อยากกินไหมล่ะ 841-844
บทที่ 841 ความมีน้ำใจของหยวนโจว
ในขณะที่ไม่กี่คนกำลังตกตะลึงอยู่นั้นเอง ดีนที่เฝ้าสังเกตอยู่เงียบๆก็พูดขึ้นในที่สุด
“คุณสามารถผ่าแตงโมให้เปิดอ้าก่อนที่จะตักส่วนที่อยู่ด้านในของแตงโมออกมาก่อนที่จะคั้นน้ำผลไม้ออกมา” ดีนเตือน
“อืม ถูกต้อง ดีนพูดถูก แค่นั้นก็เสร็จแล้วล่ะ” หลี่เหอเห็นด้วย
“ฉันก็เห็นด้วยนะ” ไป๋กั้วเองก็เห็นด้วยเช่นกัน
“อืม งั้นก็มาทำน้ำแตงโมกันเถอะ” เจียงเหม่ยซือกล่าวขึ้นมา
“เลือกแตงโมไร้เมล็ดมาสิครับ แบบนั้นจะช่วยให้ทำได้ง่ายขึ้นนะเขา” คุณเฉิงเตือน
ขณะที่อยู่ในร้าน คุณเฉิงจะค่อนข้างมีน้ำใจมากทีเดียว ดังนั้นเมื่อบรรดาลูกค้าเห็นเขามีน้ำใจมากขนาดนั้นก็หาได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดไม่
ถึงอย่างไรไม่ว่าพวกเขาจะมีคำถามใดอีก พวกเขาก็สามารถถามคุณเฉิงได้แล้วเขาก็จะอธิบายให้ฟังอย่างมีน้ำอดน้ำทน สิ่งนี้ช่างแตกต่างไปจากหลี่เหยียนอี้ผู้ปากร้ายนัก
“ขอบคุณครับ คุณเฉิง” หลี่เหอพยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณ
เพราะแบบนั้นเองพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะทำน้ำแตงโมกันอย่างเบิกบานใจและมองโลกในแง่ดี ถึงอย่างไรนี่ก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดที่พกเขาจะสามารถเตรียมขึ้นมาได้แล้ว
ถัดมาพวกเขาก็แจ้งให้ทีมงานทราบถึงตัวเลือกของพวกเขา จากนั้นทีมานก็วางแตงโมเอาไว้ในครัวชั่วคราว
ดีนยืนอยู่ตรงหน้าและเริ่มอธิบายวิธีการเตรียมขึ้นมา
“ในอาหารจีน ฝีมือการใช้มีดเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นพวกคุณย่อมไม่สามารถเลียนแบบสิ่งที่เถ้าแก่หยวนทำได้อย่างแน่นอน อีกทางก็คือคุณจะต้องผ่าแตกโมให้เปิดอ้าก่อนที่จะใช้มีดปอกผลไม้เพื่อดำเนินขั้นตอนที่เหลือให้เสร็จ” ดีนแนะนำ
“โอเค” พวกเขาพยักหน้าเห็นด้วยโดยสิ้นเชิง
ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าฝีมือการใช้มีดของพวกเขาช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ในตอนนี้การบรรลุภารกิจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ด้วยการแนะนำของดีนทำให้หลี่เหอ ไป๋กั้วและเจียงเหม่ยซื่อสนองความต้องการของโปรดิวเซอร์ได้ในที่สุดหลังจากเสียแตงโมไปสี่ลูกแล้ว
แน่นอนว่าในขั้นตอนการทำน้ำแตงโมย่อมต้องมีเรื่องราวน่าขบขันมากมายเกิดขึ้น และพวกเขาก็หมดเรี่ยวหมดแรงไปกับสิ่งที่ทำในตอนนั้น
ตลอดรายการนี้ นักชิมอย่างเจียงเหม่ยซือเข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่วาอาหารจะธรรมดาขนาดไหนแต่มันก็เป็นผลจากการกรำงานหนักของเชฟอยู่ดีนั่นเอง
นอกจากนี้ท่าทีเอาจริงเอาจังของหยวนโจวที่มีต่ออาหารก็ทำให้เจียงเหม่ยซือกลายเป็นผู้สนับสนุนหลักในการต่อต้านอาหารขยะอีกด้วย แน่นอนว่าทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นหลังจากการถ่ายทำ โดยที่หยวนโจวไม่ทันได้รู้ตัวแต่อย่างใด
บางครั้งอาจส่งผลต่อผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว แต่บางครั้งก็อาจจะส่งผลในทางกลับกันก็เป็นได้ ตัวอย่างของเรื่องนี้ก็คือฟางเหิงที่ตอนนี้ไม่อยากดื่มเหล้าของครอบครัวตนเองเพราะหยวนโจวนั่นเอง
หลังจากนั้นไม่นานเดือนเพ็ญก็ลอยขึ้นสูงกลางฟ้าและโคมแดงตามท้องถนนก็สว่างขึ้น ทีมงานก็บอกว่าเบาะแสของภารกิจถัดไปในมือของหยวนโจวแล้ว
เนื่องจากเป็นรายการวาไรตี้นอกสถานที่ ทีมงานจึงไม่ได้ถ่ายทำในสถานที่ที่กำหนดเอาไว้ นั่นออกจะเป็นวิธีการที่ดูน่าเบื่อเกินไปสักหน่อย ที่สำคัญไปกว่านั้นหากการถ่ายทำยืดเยื้อมากเกินไป หยวนโจวก็คงไม่เห็นด้วยเช่นกัน
ปกติแล้วพวกเขาถ่ายทำในสถานที่ที่แตกต่างกันถึงสามแห่งต่อหนึ่งตอน
“นอกเหนือไปจากสถานที่ตั้งของภารกิจต่อไปแล้ว ภารกิจในวันพรุ่งนี้ก็อยู่ในมือของเถ้าแก่หยวนแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าจะทำอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะ” ผู้กำกับกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ฉันรู้สึกว่าพวกเขากำลังพยายามที่จะฆ่าเราเลย ในตอนเช้าพวกเขามอบภารกิจที่ดูเหมือนจะง่ายแต่กลับถ้าไม่ใช่เพราะดีนแล้วล่ะก็ไม่มีทางทำได้สำเร็จเป็นแน่” ไป๋กั้วเริ่มบ่นขึ้นมาแล้ว
“แถมภารกิจตอนบ่ายก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก พวกเขาบอกเราให้เรียนรู้เขาโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับเถ้าแก่หยวนล่วงหน้าเสียด้วยซ้ำไป พวกเขาพยายามที่จะฆ่าเราชัดๆเลย แถมตอนนี้พวกเขาดันอยากให้เราตามหาเบาะแสอีก ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองตายไปแล้วยังไงก็ไม่รู้” ไป๋กั้วซบไหล่ของหลี่เหอเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเหนื่อยมากจริงๆ
“จึ๊ จึ๊ มันก็ต้องเหนื่อยแหงอยู่แล้วล่ะว่าแต่นายทำอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ? นายลืมฉันไปแล้วหรือไงกัน?” เจียงเหม่ยซือกล่าวขึ้นมา เธอพยายามที่จะบอกว่าขนาดผู้หญิงอย่างเธอยังไม่ปริปากบ่นเลยแล้วทำไมเขาถึงได้บ่นออกมาทั้งๆที่เป็นผู้ชายกันเล่า?
“ฉันขออธิบายก่อนเลยนะว่าฉันเองก็ไม่ได้สนิทสนมกับเจ้าหมอนี่เลยสักนิด เราจงมาให้ความสนใจกับเรื่องที่จะได้เบาะแสจากเถ้าแก่หยวนกันได้อย่างไรจะดีกว่านะ เรื่องนั้นน่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ของเราแล้วล่ะ” หลี่เหอผลักไป๋กั้วออกไปแล้วกล่าวด้วยใบหน้าเฉยเมย
“พูดอย่างนั้นไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยนะ ฉันก็แค่บ่นนิดๆหน่อยๆเองนะ” ไป๋กั้วกล่าวด้วยสีหน้าของคนที่ทำผิด โชคดีที่เขาเป็นคนหน้าตาหล่อเหลาจึงทำให้การกระทำของเขาดูแล้วไม่น่ารำคาญตาแต่อย่างใด
หลี่เหอกลอกตาแล้วหันไปมองดีน “ดีน คุณมีความคิดอะไรไหม?”
“ไม่เลยครับ แต่ผมไม่คิดว่าเชฟหยวนจะชื่นชอบการเข้าสังคมนักหรอก” ดีนกล่าวพลางยักไหล่
“จริงด้วยสิ เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าตอนที่เห็นคนสวยอย่างฉันอยู่แถวนี้ด้วยซ้ำไป ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ติดกับตัวล่อชั้นเยี่ยมเลย” เจียงเหม่ยซือกล่าว ในฐานที่เป็นผู้จัดรายการวาไรตี้จึงจำเป็นที่จะต้องไร้ยางอายกันบ้าง
“ทำไมเธอไม่บอกล่ะว่าตัวเองสวยไม่พอที่เขาจะชะโงกหน้ามามองน่ะ?” ไป๋กั้วกล่าวขึ้นมา
“จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไงกันเล่า? ความงามของฉันเป็นที่ยอมรับของสาธารณชนเชียวนะ” เจียงเหม่ยซือกล่าวด้วยความมั่นใจ
“เรามาให้ความสนใจกับภาระหน้าที่ของเรากันเถอะ” หลี่เหอชะงักแล้วพูดต่อไปว่า “ไม่ว่าเธอจะสวยสักแค่ไหนยังไงก็ไม่ได้ช่วยให้เธอได้กินอาหารที่นี่เยอะขึ้นหรอกนะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูสิ แม้แต่หัวหน้าหลี่ก็ไม่สนใจเธอแล้ว” ไป๋กั้วล้อเลียน
“เฮอะ นั่นก็เป็นเพราะการรับรู้ความงามของนายมันผิดปกติน่ะสิ” เจียงเหม่ยซือส่งเสียงออกทางจมูกแล้วกล่าวขึ้นมา
“ดังนั้นเขาย่อมไม่ใช่คนที่ชอบวิสาสะกับใครแถมยังไม่ติดกับตัวล่อชั้นเยี่ยมอีกต่างหาก แล้วพวกเราจะได้เบาะแสจากเขาได้ยังไงกันเล่า?” หลี่เหอขนี้ตาแล้วถามออกมา นับเป็นเรื่องค่อนข้างน่าปวดหัวทีเดียวที่ผู้จัดรายการต้องมาแสดงร่วมกับเจียงเหม่ยซือและไป๋กั้ว เขาไม่มีทางเลือกจึงได้แต่เริ่มเอาจริงแล้ว
พวกเขาลองใคร่ครวญดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากมากทีเดียวที่จะได้เบาะแสจากคนที่เข้มงวดอย่างหยวนโจว
ดังนั้นพวกเขาจึงเสียเวลาในการปรึกษาหารือกันไปราวๆ 10 นาทีก่อนที่จะเริ่มแผนการ
หลี่เหอจะเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน ถ้าหากเขาถูกหยวนโจวปฏิเสธพวกเขาก็จะให้เจียงเหม่ยซือไปถามหาเงื่อนไขในการมอบเบาะแส ต่อมาไป๋กั้วก็จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการสนองต่อเงื่อนไข ส่วนดีนจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการประสานงานกับพวกเขาและช่วยเหลือเมื่อยามที่จำเป็น ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแขกรับเชิญของรายการทั้งยังเป็นชาวต่างชาติอีกด้วย ถ้าหากพวกเขาพึ่งพาอาศัยเขามากเกินไปก็คงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพื่อให้ทำงานได้สำเร็จทางที่ดีก็คือต้องแยกย้ายกันไปทำ
หลังจากตัดสินใจเรื่องแผนของพวกเขาได้แล้ว พวกเขาก็ยืดอกแล้วเดินเข้าร้านไป ในขณะนี้ลูกค้าที่มาดื่มเหล้าต่างอยู่ที่ชั้นสองแล้ว มีเพียงหยวนโจวเท่านั้นที่อยู่ชั้นล่าง
“สวัสดีครับเถ้าแก่หยวน” หลี่เหอกล่าวทักทายอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับ” หยวนโจวหันไปทักทายพลางพยักหน้าให้
“ดูสิครับ พวกเรากำลังตามหาเบาะแสของสถานที่ในวันพรุ่งนี้อยู่เลย ขอผมถามหน่อยครับว่ามีเบาะแสอยู่ที่นี่หรือเปล่า?” หลี่เหอเข้าประเด็นทันที
“ครับ มันอยู่ในซองบนชั้นตัวนั้น คุณสามารถหยิบมาเองได้เลยครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นมา
“ถ้าหาก…” คำพูดของหลี่เหอติดอยู่ในลำคอ
ใช่แล้วล่ะ เขาพูดขึ้นมาพร้อมๆกับตอนที่หยวนโจวพยักหน้า เขากำลังจะถามเรื่องเงื่อนไขในการมอบเบาะแสออกมา แต่หยวนโจวกับทำตัวอยู่นอกเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิงแถมยังจะเปิดเผยเบาะแสออกมาตรงๆเลยด้วย
“โอ้ เยี่ยมไปเลย ขอบคุณครับเถ้าแก่หยวน” เขาแก้ไขคำพูดตนเองเสียใหม่
“ด้วยความยินดีครับ ผมวาดแผนที่เอาไว้ในซองแล้วและด้านหลังแผนที่ก็คือเนื้อหาของภารกิจนะครับ ก็นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาเฉิงตูเลยนี่นา” หยวนโจวกล่าว
“ขอบคุณครับเถ้าแก่หยวน” หลี่เหอและคนอื่นๆกล่าวขอบคุณเขาแล้วจากไปหลังจากรับซองไปแล้ว
หลังจากออกจากร้านแล้ว ไป๋กั้วก็พูดขึ้นมาว่า “น่าแปลกชะมัดเลยที่เถ้าแก่หยวนเออออไปกับเขาด้วย”
“ใช่แล้วล่ะ เขามอบเบาะแสมาให้เราเสียดื้อๆเลย” เจียงเหม่ยซือเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
“ดูเหมือนเถ้าแก่หยวนจะเป็นคนที่ภายนอกเย็นชาทว่าภายในกลับอบอุ่นนะ” หลี่เหอกล่าวอย่างเบิกบานใจ
“จริงด้วย” ดีนก็เห็นด้วย ไม่ทราบว่าจริงๆแล้วเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ หลังจากออกมาแล้ว เขาก็ยังคงจ้องมองไปที่ร้านราวกับอยากจะเข้าไปอีกสักครั้ง
ทุกคนรวมไปถึงสมาชิกในทีมต่างรู้สึกตกตะลึงที่ได้เบาะแสมาง่ายๆ
“งั้นเถ้าแก่หยวนก็ไม่ได้ร้องขออะไรสำหรับเบาะแสเลยงั้นรึ?” ผู้กำกับถามขึ้นมา
“ครับ เถ้าแก่หยวนไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำอย่างคุณนี่นา” ไป๋กั้วกล่าวอย่างเบิกบานใจ
“ดีล่ะ ในเมื่อพวกคุณได้เบาะแสมากันแล้วก็ได้เวลาที่จะเปิดดูแล้วล่ะนะ” ผู้กำกับกล่าวพลางไม่ใส่ใจเรื่องความใจไม้ไส้ระกำโดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าเขาชินกับการถูกเรียกว่าใจไม้ไส้ระกำไปเสียแล้ว
“ไม่สิ ช้าก่อน นี่มันเป็นชัยชนะอันหอมหวานเกินไปแล้ว พวกเราต้องใช้เวลาเพลิดเพลินไปกับมันระหว่างที่กำลังนั่งอยู่ในรถสิ ถึงอย่างไรเถ้าแก่หยวนก็บอกว่าเขาเป็นคนวาดแผนที่ให้เราขึ้นมาเองเลยเชียวนะ” เจียงเหม่ยซือกล่าวพลางยิ้มกว้าง
“ผู้กำกับครับ เราขึ้นรถกันเถอะ” หลี่เหอเองก็เห็นด้วย
“ก็ได้ๆ” ผู้กำกับพยักหน้าเห็นด้วย ช่างกล้องติดตามพวกเขาไปด้วยเนื่องจากเขากำลังถ่ายทำต่อไปนั่นเอง
ความเบิกบานใจของพวกเขานั้นพอเป็นที่เข้าใจได้ ถึงทั้งสองภารกิจก่อนหน้านี้จะยากเกินไปทว่ากลับได้เบาะแสมาอย่างง่ายดาย ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะไม่เบิกบานใจในตอนนี้ได้
นอกเหนือไปจากนั้นพวกเขายังตกหลุมพรางของโปรดิวเซอร์มาหลายครั้งเกินไปแล้ว แต่ละครั้งที่พวกเขาได้เบาะแสมาก็จะเป็นที่อยู่อันคลุมเครือยิ่งเสียจนไม่ต่างอะไรจากปริศนาที่ต้องแก้เลยสักนิดเดียว นับเป็นเรื่องที่เปลืองทั้งเวลาและเรี่ยวแรงมากทีเดียว คราวนี้กลับต่างออกไปเนื่องจากมีคนวาดแผนที่ให้พวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเบิกบานใจเป็นอันมาก
บทที่ 842 การแกะสลักน้ำแข็ง
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เข้าไปในรถ ดีนนั่งอยู่ข้างหลัง เขายื่นศีรษะไปข้างหน้าแล้วมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นขณะที่เขารอคอยที่จะได้เห็นแผนที่ของหยวนโจว
ส่วนไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือนั้น พวกเขาตรงเข้าไปนั่งอยู่ตรงหลี่เหอที่กำลังรอเปิดซองอยู่ ข้างหลังพวกเขาและด้านนอกประตูที่เปิดอ้ามีกล้องกำลังเล็งมาที่พวกเขา
“ฉันจะเปิดแล้วนะ” หลี่เหอกล่าวพลางหยิบซองขึ้นมาโดยมีเจตนาทำให้เกิดความลุ้นระทึก
“เร็วเข้าสิ ฉันอดใจรอที่จะทราบสถานที่ต่อไปของเราไม่ไหวแล้วนะ” ไป๋กั้วเร่งเร้าด้วยความตื่นเต้น
นี่ก็คือจุดเด่นพิเศษของโรล เดียร์ บีฟ โปรดิวเซอร์จะแจ้งสถานที่ถ่ายทำแห่งแรกให้พวกเขาได้ทราบส่วนสถานที่ถ่ายทำแห่งที่สองนั้นเหล่าดาราดังจะต้องหาเบาะแสเอาเอง
โดยจะได้รับเบาะแสล่วงหน้าจากเจ้าของสถานที่แห่งแรก เจ้าของสถานที่จะมอบอำนาจให้ดาราดังจะทำอะไรและอย่างไรก็ได้อย่างเต็มที่ สำหรับสองสามตอนเมื่อก่อนหน้านี้ พวกเขาได้รับคำใบ้มาแล้ว
หลี่เหอเปิดซองสีขาวที่มีตราสัญลักษณ์ของรายการอยู่บนนั้น
“นี่มันอะไรกันวะเนี่ย?”
“เดี๋ยวก่อนนะ ฉันกำลังดูอะไรอยู่งั้นเหรอ? นี่คือแผนที่ใช่ไหม?”
ทันทีที่พวกเขาเปิดซองและมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน พวกเขาก็ถึงกับตะลึงงันไปด้วยสีหน้าที่ดูเกินจริงที่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกหน้าชาขึ้นมาจริงๆ
อันที่จริงแล้วแผนที่ถูกวาดลงบนกระดาษ แต่วาดเพียงแค่เส้นลงในแผนที่ฉบับนี้เท่านั้น โดยที่เส้นจะตรงและเลี้ยวในบางครั้งบางคราแถมในตอนท้ายของเส้นก็มีคำว่า “จุดหมายปลายทาง” เขียนเอาไว้ด้วย และตรงมุมแผนที่ได้กำหนดมาตราส่วนของแผนที่เอาไว้ที่ 1:50,000 อีกด้วย
“อืม เขาลายมือสวยจริงๆ” ไป๋กั้วให้คำวิจารณ์ตามตรง
“แต่ว่านี่มันภาพวาดบ้าอะไรกันเนี่ย?” เจียงเหม่ยซือถึงกับพูดไม่ออกไปแล้ว “ดูสิ เขามีมาตราส่วนของแผนที่ลงเอาไว้ที่นี่ด้วยล่ะ”
ทั้งไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือมองไปทางหลี่เหอเพื่อดูซิว่าเขาจะสามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง
“อย่ามามองฉันสิ ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าใจแผนที่ฉบับนี้เหมือนกันแหละ” หลี่เหอจ้องมองแผนที่อีกนิดหน่อยก่อนที่จะสารภาพออกมาอย่างอับจนหนทาง
แน่นอนว่ามาตราส่วนของแผนที่ย่อมแม่นยำอยู่แล้ว หยวนโจวแสดงความช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยการซื้อไม้บรรทัดแล้ววาดแผนที่ไปพลางวัดไปพลาง
น่าเสียดายที่แทนที่จะหวังให้หยวนโจววาดแผนที่แล้ว น่าจะบอกให้เขาแกะสลักแผนที่แทนเสียดีกว่า ถ้าหากเป็นแผนที่แกะสลักย่อมชัดเจนอย่างหาใดเปรียบไม่ได้และอ่านง่ายเนื่องจากมีแผนที่สามมิติปิดท้ายอยู่นั่นเอง แต่ในเมื่อเป็นแผนที่ที่หยวนโจววาดย่อมไม่ต่างอะไรกับการให้สุนัขประทับรอยเท้าลงบนกระดาษ
อีกด้านหนึ่ง มีคำอธิบายภารกิจที่เขียนเอาไว้ด้านหลังกระดาษอย่างชัดเจนยิ่งคือ: “ตามหาลูกฟุตบอลชนิดพิเศษที่ซ่อนอยู่ในโรงยิม” พวกเขาจ้องมองแผนที่อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะไป๋กั้วกับหลี่เหอรั้งเจียงเหม่ยซือเอาไว้ เธอก็คงจะเริ่มอาละวาดไปแล้ว
“อืม ยอดเยี่ยมไปเลย” ดีนพยักหน้า ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เขากำลังพูดถึงเลย เขาน่าจะตะลึงกับการทำอาหารของหยวนโจวจนโง่ไปแล้วก็เป็นได้
หยวนโจวหาได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่พวกเขารู้สึกแต่อย่างใดไม่ หลังจากทีมงานถ่ายทำจากไปแล้ว เขาก็รู้สึกผ่อนคลายจากการถ่ายทำที่เสร็จสิ้นลงโดยสิ้นเชิง เขาเริ่มค้นคว้าหาข้อมูลทักษะการทำอาหารอีกครั้ง
การทบทวนสิ่งเก่าๆและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเป็นสิ่งที่หยวนโจวมักจะกระทำอยู่เสมอ
ในขณะเดียวกัน หยางซู่ซินก็ได้มาถึงเมืองเฉิงตูแล้วเพื่อผลงานแกะสลักมังกรน้ำแข็งของเขานั่นเอง เขาเตรียมที่จะไปเยือนร้านหยวนโจวแล้ว
หยางซู่ซินกับโจวซื่อเจี๋ยมีความสนิทสนมกันในระดับธรรมดาๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่โจวซื่อเจี๋ยจะเตรียมอาหารจานพิเศษและต้องการผลงานแกะสลักน้ำแข็งหรือจานน้ำแข็งที่ไม่เหมือนใคร เขาก็จะมองหาหยางซู่ซิน
ตัวอย่างที่น่าจะเป็นอาหารที่สร้างชื่อเสียงในช่วงแรกๆให้โจวซื่อเจี๋ยก็คือ: หงสาคืนถิ่น หยางซู่ซินเป็นคนแกะสลักรังที่นกหงส์หวนคืนกลับมานั่นเอง
อาจจะกล่าวได้ว่าเมื่อโจวซื่อเจี๋ยต้องการความช่วยเหลือของหยางซู่ซิน หยางซู่ซินก็จะทำให้เรื่องยากยิ่งให้เขา และตอนนี้หยางซู่ซินก็เป็นฝ่ายที่ต้องการความช่วยเหลือของโจวซื่อเจี๋ย
โจวซื่อเจี๋ยจะถือโอกาสนี้แก้แค้นเขาหรือเปล่าน่ะเหรอ? คำตอบก็เห็นกันชัดๆอยู่แล้ว ระหว่างมื้อกลางวัน โจวซื่อเจี๋ยทำมะระผัดเนื้อโดยมีหยางซู่ซินเป็นฝ่ายกินมะระส่วนเขาเป็นฝ่ายกินเนื้อ
จะสังเกตได้ว่ามักจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามเสมอมา
หลังจากกินเนื้อเสร็จแล้ว โจวซื่อเจี๋ยก็ทอดถอนใจออกมาด้วยความเศร้าใจ หยวนโจวเป็นความภาคภูมิใจและความปีติยินดีของเขาอย่างแท้จริง
จากสิ่งนี้จะเห็นว่าคนผู้หนึ่งพอเริ่มแก่ตัวเข้าก็จะมีนิสัยเป็นเด็กๆไปจริงๆ
หยางซู่ซินมาถึงเมืองเฉิงตูได้สองวันแล้ว เหตุผลเดียวที่เขาตัดสินใจที่จะไปร้านหยวนโจวคืนนี้ก็เพราะเขาได้ยินเรื่องการถ่ายทำของโรล เดียร์ บีฟที่ร้านนั่นเอง
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เนื่องจากที่ร้านมีคนเยอะเกินไป เขาจึงตัดสินใจที่จะยังไม่ไปที่นั่น ในที่สุดหลังจากทีมงานถ่ายทำจากไปแล้ว เขาก็เลยตัดสินใจที่จะไปมันคืนนี้เลย ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็คือกิจการส่วนตัวแล้วเข้าก็ไม่มีเจตนาที่จะเข้าไปรบกวนหยวนโจวในเวลางาน ดังนั้นเขาจึงสรุปได้ว่าทางที่ดีเขาควรจะไปเยือนคืนนี้หลังจากร้านปิดเสียเลย
ภายใต้การนำทางของโจวซื่อเจี๋ย หยางซู่ซินก็มาถึงถนนเถ่าซือเสียที เมื่อเขามาถึงร้านหยวนโจวแล้ว เขาก็มองสภาพแวดล้อมบริเวณร้านแล้วแสดงความคิดเห็นออกมา
“โจวซื่อเจี๋ย ดูซิว่านายมันหน้าเลือดขนาดไหนกัน คนที่มีฝีมือการแกะสลักยอดเยี่ยมออกขนาดนั้นอย่างหยวนโจวควรจะได้อาศัยอยู่ในสถานที่อันหรูหราโอ่อ่า หากเขาอยู่ที่ฮาร์บินก็คงไม่ต้องอาศัยอยู่ในสถานที่ซอมซ่อเช่นนี้หรอก” หยางซู่ซินคร่ำครวญต่อความอยุติธรรมที่เขาต้องพบเจอ
“อย่าหลงลืมความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของนายระหว่างที่กำลังพูดก็แล้วกัน” โจวซื่อเจี๋ยเหลือบมองหยางซู่ซิน
“ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของฉันบอบช้ำก็ตอนที่ฉันเห็นช่างแกะสลักที่มีพรสวรรค์ต้องมาติดแหง็กอยู่ในสถานที่เช่นนี้แหละ” หยางซู่ซินกล่าวออกมาตามตรง
โจวซื่อเจี๋ยยิ้มเยาะแต่หาได้หวาดกลัวเนื่องจากเขาไม่ได้ทำอะไรผิด
ในสภาพเศรษฐกิจตอนนี้แม้แต่ผู้มีฝีมือก็ไม่อาจปราศจากความกังวลใจได้ ดังนั้นผู้ที่กล้าเปิดร้านของตัวเองในสถานที่เช่นนี้ได้ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีฝีมืออย่างแท้จริงเป็นแน่ โจวซื่อเจี๋ยมั่นใจว่าหยางซู่ซินเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่เขาเพียงแค่แสดงท่าทีทึ่มทื่อเพื่อหาเหตุผลที่จะขโมยตัวหยวนโจวไป
“ประธานโจว คุณอยู่นี่เอง”
พ่อค้าเร่ที่เก็บแผงลอยของตนเองกล่าวทักทายเมื่อเขาเห็นโจวซื่อเจี๋ย จากนั้นเขาก็ยื่นเหลียงเฝิ่นให้โจวซื่อเจี๋ย
“ประธานโจว ผมว่าจะเก็บชามนี้เอาไว้เสียเองแต่ผมขอยกให้คุณแทนก็แล้วกันครับ”
โจวซื่อเจี๋ยไม่ปฏิเสธเหลียงเฝิ่น เขากล่าวขอบคุณพ่อค้าเร่แล้วเริ่มกินเฉาก๊วย รสชาติยังคงเหมือนเดิมคือเปรี้ยวและเผ็ดร้อน เป็นรสชาติที่เผ็ดร้อนมากพอที่จะทำให้เขาแทบต้องปาดน้ำตาเมื่อยามที่กิน ว่ากันว่าเหลียงเฝิ่นจะถือว่าเป็นขนานแท้ถ้าหากมีรสชาติเผ็ดร้อนมากพอที่จะทำให้เขาต้องปาดน้ำตาจากการกินมันเข้าไป
“ยอดเยี่ยมไปเลย พยายามต่อไปนะครับ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวขึ้นมา
พ่อค้าเร่รู้สึกเบิกบานใจมากที่ได้รับการยอมรับจากโจวซื่อเจี๋ย ถัดมาเขาก็เก็บแผงลอยแล้วจากไป อย่าได้ดูถูกพ่อค้าเร่ผู้นี้เพราะเขาแต่งกายธรรมดาเป็นอันขาด อันที่จริงแล้วเขาเป็นถึงเจ้าของกิจการร้านอาหารแบบลูกโซ่เชียวนะ
แน่นอนว่าเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา เขายังเป็นแค่พ่อค้าเร่ธรรมดาๆอยู่เลย จริงๆแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นค่อนข้างสลับซับซ้อนมากทีเดียว ในช่วงปีใหม่เพราะมาช้าเกินไปภรรยาของเขาจึงล้มป่วยลงและต้องการเงินก้อนใหญ่ในการรักษา เนื่องจากพ่อค้าเร่ใช้เงินเก็บส่วนหนึ่งเพื่อเปิดแผงลอยนี้ไปแล้ว เขาจึงไม่มีเงินพอที่จะพาเธอไปรักษาได้
จากนั้นม่านม่านก็เผอิญไปพบเรื่องนี้เข้าแล้วนำไปเล่าสู่กันฟังในร้านหยวนโจว สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นนับเป็นเรื่อง “บังเอิญ”
ประธานโจวซื่อเจี๋ยของสมาพันธ์เชฟแห่งประเทศจีน “ผ่านมาพอดี” แล้วได้กินเหลียงเฝิ่นจากแผงลอยนี้เข้า หลังจากนั้นเขาก็เริ่มแนะนำแผงลอยแห่งนี้ในบทความฉบับพิเศษ
ด้วยตำแหน่งของโจวซื่อเจี๋ยทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นานนับตั้งแต่เขาแนะนำอาหาร แผงลอยก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา
นอกจากนี้พ่อค้าเร่ยังเป็นคนขยันขันแข็งในขณะที่เหลียงเฝิ่นของเขาก็ยอดเยี่ยมกว่าเหลียงเฝิ่นของผู้อื่นจริงๆ ดังนั้นจึงมีคนมาหวังจะมาลงทุนกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ
และนี่ก็คือเหลียงเฝิ่นของแผงลอยแห่งนี้ที่กลายสภาพมาเป็นตราสินค้าพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเฉิงตู ถึงแม้ว่านับแต่นั้นมาจะกินเวลาเพียงแค่สามเดือนเท่านั้น แต่เขาก็เปิดมาสามสาขาแล้ว
อาจกล่าวได้ว่าคำแนะนำเพียงคำเดียวของโจวซื่อเจี๋ยได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของพ่อค้าเร่คนหนึ่งไปเสียสิ้น ด้วยเหตุนั้นพ่อค้าเร่จึงเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจในตัวโจวซื่อเจี๋ย
พูดกันจริงๆก็คือพ่อค้าเร่อยู่ในระดับที่สามารถรับสมาชิกได้แล้วให้พวกเขาจ่ายเงินค่าธรรมเนียมสมาชิกเพื่อทำให้เขาสามารถสร้างรายได้จากมันขึ้นมาได้ เขาลังเลใจเรื่องนี้อยู่สักพักหนึ่งแต่ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจที่จะตั้งแผงลอยอยู่หน้าร้านหยวนโจวต่อไป ไม่ว่าในภายภาคหน้าเขาจะเปิดอีกสักกี่สาขา แผงลอยเล็กๆของพ่อค้าเร่ผู้นี้ก็จะอยู่บนถนนสายหลักตลอดไป โดยภรรยาของเขาก็สนับสนุนในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
เมื่อโจวซื่อเจี๋ยกับหยางซู่ซินเข้ามาในร้าน พวกเขาก็เห็นหยวนโจวกำลังค้นหาข้อมูลอะไรสักอย่างอยู่
“หยวนน้อย ทำอะไรอยู่งั้นรึ?” โจวซื่อเจี๋ยถามขึ้นเมื่อเขาเห็นหยวนโจวมีสมาธิเต็มเปี่ยม
“กำลังดูซาลาเปาห่อใบไม้ว่ามีใบไม้ที่ดีกว่าใบส้มยังไงน่ะครับ” หยวนโจวตอบ จากนั้นเขาก็ชะโงกหน้าขึ้นมาจนเห็นว่าโจวซื่อเจี๋ยพาคนแปลกหน้ามาด้วย
“หยวนน้อย คนผู้นี้คือหยางซู่ซินเป็นช่างแกะสลักน้ำแข็ง” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวขึ้นมา
หยวนโจวกล่าวทักทายเขาว่าอาจารย์หยางทว่าแววตากลับยังเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
“คุณ…”
หยางซู่ซินขัดจังหวะโจวซื่อเจี๋ย เขาเจตนาที่จะบอกส่วนที่เหลือด้วยตัวเอง โจวซื่อเจี๋ยพยักหน้าเห็นด้วยเพราะหยางซู่ซินมักจะสุภาพมากเมื่อเขาต้องการร้องขออะไรสักอย่าง
“อาจารย์หยวน ผมเห็นคุณแกะสลักมังกรโดยใช้อุปกรณ์ทั่วๆไป นั่นเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ผมมากทีเดียวเลยล่ะครับ ดังนั้นผมเลยมาเยือนที่นี่เสียเลย” หยางซู่ซินกล่าว
หยวนโจวรู้สึกอึดอัดใจแทบตายกับคำชมที่เขาได้รับ
เนื่องจากหยางซู่ก็เป็นคนที่ให้ความสนใจกับฝีมือของตนเอง เขาไม่ถนัดในการพูดจาตลบตะแลงแต่อย่างใด ทันใดนั้นเขาก็ตรงเข้าประเด็นทันทีว่า “ผมอยากชวนให้คุณมาร่วมมือกับผมทำผงานแกะสลักมังกรนพเก้าให้เสร็จสมบูรณ์น่ะครับ”
บทที่ 843 บางอย่างที่มีความยุ่งยาก
ผลงานแกะสลักมังกรนพเก้างั้นรึ? หยวนโจวขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเคยได้ยินชื่อผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าเมื่อตอนที่เขาได้เรียนรู้การแกะสลักน้ำแข็งมาก่อน หลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวนของปรมาจารย์ด้านการแกะสลักที่ทำผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าออกมาได้สำเร็จก็มีไม่ถึงห้าคนแล้ว
หยวนโจวตอบหลังจากเงียบไปสักครู่ “อาจารย์หยางครับ ถึงแม้ว่าผมจะแกะสลักน้ำแข็งมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่ผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าก็ยังยากเกินกว่าที่ผมจะทำให้สำเร็จได้อยู่ดีแหละครับ”
อันที่จริงแล้วคำว่า “สักระยะหนึ่ง” นั้น หยวนโจวก็แค่ลองแกะสลักน้ำแข็งดูเล่นๆมาได้ประมาณสามเดือน แน่นอนว่าหยางซู่ซินย่อมไม่ทราบเรื่องนี้ เขาจึงตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“คุณไม่ใช่คนเดียวที่ไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จหรอก ผมก็เหมือนกันครับ นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจมาชวนคุณให้มาทำงานร่วมกันน่ะสิครับ” หยางซู่ซินกล่าว จากนั้นเขาก็พูดต่อไปว่า “ผมหวังว่าพวกเราจะสามารถเสริมทักษะให้กันและกันระหว่างการแกะสลักได้นะครับ”
เรื่องนั้นก็พอเป็นที่เข้าใจได้ การเสริมทักษะให้กันและกันอาจจะช่วยให้ไปถึงการแกะสลักในระดับใหม่ๆได้
เนื่องจากปรมาจารย์หลายต่อหลายคนจากยุค 40 และ 50s ที่เกษียนตัวเองออกมานั้น นอกเหนือไปจากการแกะสลักน้ำแข็งแล้ว งานฝีมือหลายๆแขนงก็เริ่มเลือนหายไปตามกาลเวลา
บางทีความล้มเหลวที่ต้องประสบพบพานในงานศิลป์ก็ไม่อาจโทษความเอาแน่เอานอนไม่ได้และความใจร้อนของคนเดี๋ยวนี้ไปเสียทั้งหมดได้ ถึงอย่างไรความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของมนุษย์ก็นำมาซึ่งความสะดวกสบายที่มาพร้อมกับความตื้นเขิน
สุดท้ายหยวนโจวก็ตอบตกลงหลังจากใคร่ครวญดูแล้ว เขาอยากรู้ว่าจะสามารถท้าทายภารกิจครั้งนี้ได้สำเร็จหรือไม่เช่นเดียวกัน
หยวนโจวหาใช่คนที่มีนิสัยชอบประกวดประขันแต่เขาดูจะเพลิดเพลินไปกับการทำเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารให้ดีที่สุด
โจวซื่อเจี๋ยไม่ได้ขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขาแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าเขาจะคอยเฝ้าระวังมิให้หยวนโจวถูกขโมยตัวไปก็ตามที แต่ด้วยการสนทนาที่จริงจังเช่นนั้น โจวซื่อเจี๋ยก็ยังรู้ว่าเป็นสิ่งที่สมควรต้องทำ
พวกเขาตอบตกลงที่จะทำงานร่วมกันอย่างง่ายดาย แต่กลับเกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกันในด้านเทคนิคการแกะสลักน้ำแข็ง
วัตถุดิบของผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าย่อมไม่ใช่ก้อนน้ำแข็งทั่วๆไป หยางซู่ซินได้กำหนดน้ำแข็งที่เขาต้องการจะนำมาใช้เอาไว้แล้ว
เมืองเฉิงตูไม่มีก้อนน้ำแข็งที่ตรงตามความต้องการของเขาเลย ดังนั้นหยางซู่ซินจึงต้องเชิญหยวนโจวไปเมืองฮาร์บิน
แต่หยวนโจวก็ยังยืนกรานว่าเขาจะไม่ลาพักเพียงเพื่อการแกะสลักน้ำแข็งเป็นแน่ ท้ายที่สุดแล้วหยางซู่ซินก็ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมหยวนโจวได้จึงได้แต่จำใจกำหนดสถานที่ทำงานอยู่ในเมืองเฉิงตูแล้ว โดยก้อนน้ำแข็งที่ต้องการจะต้องถูกลำเลียงมาจากเมืองฮาร์บิน
“นายกลับไปก่อนก็ได้นะ ฉันมีเรื่องอยากหารือกับหยวนน้อยสักหน่อยน่ะ” โจวซื่อเจี๋ยโบกมือพลางบอกให้หยางซู่ซินกลับไป
ทันทีที่หยางซู่ซินหารือกับหยวนโจวเสร็จ โจวซื่อเจี๋ยก็โบกมือไล่เขาราวกับว่าเขาเป็นแมลงวันอย่างไรอย่างนั้นแหละ
เนื่องจากหยางซู่ซินกำลังอารมณ์ดีที่ปฏิบัติภารกิจที่นี่สำเร็จ เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ถือสาเรื่องนี้ หลังจากบอกลาหยวนโจวไปแล้วเขาก็จากไปทันที
“หยวนน้อย คุณสนใจโต๊ะจีนขงจื๊อไหม?” โจวซื่อเจี๋ยถามขึ้น “สองวันหลังจากนี้ อาจารย์ข่งลี่จะมาจัดงานในปักกิ่ง”
ชื่อโต๊ะจีนขงจื๊อกระตุ้นความสนใจของหยวนโจวเอามากๆทีเดียวเนื่องจากนี่เป็นงานเลี้ยงที่มีชื่อเสียงซึ่งเหนือกว่าโต๊ะจีนแมนจูฮั่นครบสูตรอันเป็นหนึ่งในสี่โต๊ะจีนที่ดีที่สุดในประเทศสูตรเสียด้วยซ้ำไป
นอกจากนี้ยังสังเกตได้ว่าโต๊ะจีนแมนจูฮั่นครบสูตรเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดเป็นอันดับที่สี่จากโต๊ะจีนที่ดีที่สุดในประเทศทั้งสี่รูปแบบ
“ปักกิ่งอยู่ไกลเกินไปหน่อยน่ะสิครับ ผมทิ้งร้านไปไม่ได้หรอก” หยวนโจวกล่าวขึ้นหลังจากนึกขึ้นมาได้ “ถ้าเป็นไปได้คุณช่วยอัดวิดีโอของโต๊ะจีนให้ผมหน่อยได้ไหมครับ ประธานโจว?”
หยวนโจวหาใช่คนโง่แต่อย่างใดไม่ เขารู้ว่าของอย่างโต๊ะจีนขงจื๊อจะไม่อนุญาตให้ถ่ายทอดสด ดังนั้นเขาจึงได้แต่ขอความช่วยเหลือจากโจวซื่อเจี๋ยเพียงเท่านั้นแล้ว
เนื่องจากเขาเพิ่งจะลาหยุดไปสองวันเมื่อตอนที่เขาป่วยย่อมไม่สามารถลาหยุดเร็วๆนี้ได้อีก นี่คือการประนีประนอมที่หยวนโจวสามารถทำได้
โจวซื่อเจี๋ยไม่ได้พยายามที่จะเกลี้ยกล่อมหยวนโจวอีก เขาพยักหน้าแล้วตอบตกลงว่าถ้าเป็นไปได้เขาก็จะอัดวิดีโอมาให้ ที่สุดแล้วถึงแม้ว่าโจวซื่อเจี๋ยจะมีตำแหน่งสูงกว่าข่งลี่ แต่นี่ก็เป็นเรื่องของมารยาท
“ฝีมือการทำอาหารเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ?” โจวซื่อเจี๋ยเริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระหลังจากจัดการธุระเสร็จแล้ว
“ตอนนี้ผมกำลังค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีของเสฉวนน่ะครับ” หยวนโจวตอบ
โจวซื่อเจี๋ยพยักหน้า เขาทราบว่าเมื่อเร็วๆนี้อาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีในตำหรับเสฉวนได้ถูกเพิ่มลงในเมนูของร้านหยวนโจวเข้าไปแล้ว นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้โจวซื่อเจี๋ยไม่กังวลเรื่องที่หยางซู่ซินจะสามารถลักตัวหยวนโจวได้สำเร็จ
หยวนโจวยังคงวิเคราะห์และพัฒนาฝีมือการทำอาการของเขาต่อไป
หยวนโจวมีสิ่งหนึ่งที่เขาต้องการความช่วยเหลือจากโจวซื่อเจี๋ย “ประธานโจวครับ คุณรู้จักคนตั้งเยอะตั้งแยะ คุณช่วยหาข้อมูลสำหรับผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าให้หน่อยได้ไหมครับ?”
เรื่องนี้สร้างความสับสนให้แก่โจวซื่อเจี๋ยเป็นอันมาก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ขัดจังหวะการสนทนาของหยวนโจวกับหยางซู่ซิน แต่เขาก็ยังได้ยินชัดเลยว่าก้อนน้ำแข็ง จะถูกหยางซู่ซินลำเลียงมาจากเมืองฮาร์บิน
“อาจารย์หยางเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแกะสลักน้ำแข็งและอาจจะลำเลียงก้อนน้ำแข็งมาจากเมืองฮาร์บินเลย ผมไม่รู้จักใครจากเมืองฮาร์บินเลยแล้วก็ไม่สามารถหาก้อนน้ำแข็งที่เหมาะแก่การแกะสลักมังกรนพเก้าเลย ดังนั้นผมจึงต้องการความช่วยเหลือของคุณน่ะครับ”
โจวซื่อเจี๋ยชักจะสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆแล้วว่าเขาเข้าใจภาษาจีนจริงๆหรือเปล่า เขาไม่เข้าใจสิ่งที่หยวนโจวพยายามที่จะบอกเลยสักนิด เขาจึงได้แต่จ้องมองหยวนโจวจนตาค้าง
“แน่นอนว่าผมย่อมไม่มีฝีมือในการแกะสลักน้ำแข็งเท่าอาจารย์หยางหรอกครับ ดังนั้นในสงครามแห่งผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าของเราอีกสองวันหลังจากนี้ ผมจึงหวังว่าตัวเองจะไม่แพ้ในด้านเนื้อหาเช่นกันครับ” หยวนโจวกล่าว
สงครามแห่งผลงานแกะสลักมังกรนพเก้า… โจวซื่อเจี๋ยรู้สึกว่าหยวนโจวจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปเสียแล้ว หลังจากนึกบางอย่างขึ้นได้ เขาก็พูดขึ้นมาอย่างแยบยลว่า “ที่จริงตาเฒ่าหยางชวนคุณให้มาทำผลงานแกะสลักมังกรนพเก้ากับเขาให้เสร็จน่ะ”
“ผมรู้ครับ ผมยังได้ยินมาอีกด้วยว่าไม่ว่าจะเป็นการแกะสลักน้ำแข็งตามตำหรับของทางภาคเหนือและภาคใต้ งานฝีมือส่วนใหญ่จึงเลือนหายไปตามกาลเวลา เมื่อพันกว่าปีที่ผ่านมายังไม่มีใครสักคนที่สามารถทำผลงานแกะสลักชิ้นนี้สำเร็จเพียงลำพัง” หยวนโจวกล่าว เขาพูดต่อไปอีกว่า “แต่ในการพัฒนาจำเป็นต้องมีแรงกดดัน ผมกลับชื่นชมความกระตือรือร้นในการแสวงหาหนทางการพัฒนาของอาจารย์หยางมากเลยล่ะครับ”
อันที่จริงแล้วถ้ามีคนสองคนที่กำลังแข่งขันกัน หากทั้งสองมีฝีมือเพียงพอแล้วล่ะก็จะเป็นวิธีการพัฒนาที่ดีเชียวล่ะ
“ผมเองก็หวังว่าฝีมือการแกะสลักของตัวเองจะสามารถพัฒนาขึ้นได้ระหว่างการแข่งขันครั้งนี้” หยวนโจวกล่าว ไม่ว่ายังไงเขาก็จำเป็นที่จะต้องแกะสลักน้ำแข็งและจานน้ำแข็งเพื่อการตกแต่งอาหาร มันจะช่วยเขาในการทำอาหารได้มากทีเดียว
เหตุผลเดียวที่หยวนโจวไม่เอ่ยถึงก็คือในเมื่อสุดยอดช่างแกะสลักน้ำแข็งมาตามหาเขาก็เป็นการบ่งบอกแล้วว่าเขามีฝีมือในการแกะสลักน้ำแข็งดีมากเช่นกัน ดังนั้นหยวนโจวจึงมีความรู้สึกค่อนข้างลำพองใจ แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมไม่สะท้อนออกมาทางสีหน้าของเขา
ในที่สุดโจวซื่อเจี๋ยก็เข้าใจเสียทีว่าหยวนโจวเข้าใจหยางซู่ซินผิดไปโดยสิ้นเชิง แต่หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว เขาก็ยังตัดสินใจที่จะไม่แก้ไขความเข้าใจผิดนั้น เขาจึงตอบตกลงคำร้องขอของหยวนโจว
สิ่งต่างๆดูจะน่าสนใจในสองวันข้างหน้า จะเห็นได้ว่าตอนเด็กๆโจวซื่อเจี๋ยย่อมต้องเป็นจอมก่อเรื่องอย่างแน่นอน
หลังจากพูดคุยกันอีกเล็กน้อย โจวซื่อเจี๋ยก็กลับไป
หลังจากหยวนโจวทำความสะอาดเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นสอง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวขึ้นบันไดไปนั้น เขาก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกเขาอย่างเร่งด่วนจากด้านนอก
โชคดีที่เจ้าระบบไม่ได้ตัดสินใจที่จะป้องกันเสียงมิให้ผ่านเข้าร้านได้หลังเวลาเปิดร้าน มิฉะนั้นก็คงไม่ได้ยินเสียงคนที่กำลังร้องตะโกนอยู่เป็นแน่
นอกเหนือไปจากอู๋ไห่แล้วจะยังมีผู้ใดมาหาหยวนโจวยามดึกดื่นเช่นนี้อีกเล่า?
แต่ก็อีกนั่นแหละนะ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าหาใช่เสียงของอู๋ไห่แต่อย่างใดไม่ หยวนโจวจึงเดินขึ้นห้องนอนชั้นบนไปแล้วมองลงมาจากทางหน้าต่าง เขาเห็นชายแปลกหน้าร่างสันทัดคนหนึ่ง
ขณะที่หยวนโจวกำลังจะพูดอยู่นั้น ประตูเหล็กม้วนของร้านค้าฝั่งตรงข้ามถนนก็เปิดออก ถัดมาก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากร้าน
เมื่อชายร่างสันทัดคุยกับชายหนุ่มแล้ว หยวนโจวถึงได้รู้ว่าชายหนุ่มมีนามว่าหยวนเล่อปาน ดังนั้นหยวนโจวจึงเข้าใจผิดไปว่าชายร่างสันทัดมาตามหาเขาเมื่อได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “เถ้าแก่หยวน”
“มีร้านที่เปลี่ยนเจ้าของกิจการอีกแล้วงั้นรึ?” หยวนโจวบ่นพึมพำ
ก่อนช่วงปีใหม่ร้านแห่งนั้นยังขายบะหมี่อยู่เลย ถัดมาก็เริ่มขายคอเป็ดแทน แถมตอนนี้กลับมีเจ้าของกิจการคนใหม่อีกคนปรากฏตัวขึ้นด้วย
บางทีอาจเป็นเพราะร้านแห่งนั้นมีฮวงจุ้ยที่ไม่ค่อยดีก็ได้ เนื่องจากร้านหยวนโจวทำให้ถนนสายนี้ได้รับความนิยม ทุกร้านจึงอยู่รอดกันมาได้ แม้แต่ลี่ลี่ก็ยังหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำจากร้านของเขาเลย แต่ร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนแห่งนี้เป็นร้านเดียวที่เอาแต่เปลี่ยนเจ้าของกิจการอยู่เรื่อย
หยวนโจวนึกใคร่ครวญดูแล้วก็ได้ข้อสรุปว่าไม่ว่าจะร้านอื่นจะเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน แต่ร้านสุดยอดเชฟของเขาก็จะยังคงอยู่ตลอดไป
ถัดมาหยวนโจวก็เริ่มร่างพิมพ์เขียวขึ้นมา ในการทำผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าให้ออกมาเสร็จสมบูรณ์นั้น ไม่เพียงต้องแกะสลักเท่านั้น แต่ยังต้องทำพิมพ์เขียวที่เป็นการทดสอบขนานใหญ่อีกด้วย
ถึงอย่างไรมังกรนพเก้าก็หาได้ยืนอยู่เคียงกันเสียเมื่อไหร่เล่า ทว่ามังกรแต่ละตัวกลับมีท่าทางที่แตกต่างกันออกไป หยวนโจวจึงเริ่มเตรียมความพร้อมของตนเองด้วยท่าทีเอาจริงเอาจัง
บทที่ 844 กระตุ้นให้ไปวิ่งออกกำลัง
“ฉันน่าจะสามารถหาก้อนน้ำแข็งมาได้อยู่นะ แต่ผมเคยได้ยินมาว่าน้ำแข็งของเมืองฮาร์บินแข็งกว่าน้ำแข็งธรรมดาๆเสียอีก”
ในด้านการแกะสลักน้ำแข็ง หยวนโจวได้เรียนรู้ฝีมือด้วยตนเองโดยไม่มีใครสอนเขาเลยแม้แต่เจ้าระบบ เนื่องจากมีฝีมือการใช้มีดที่ดีเป็นพื้นฐาน แต่กลับขาดความรู้เกี่ยวกับการแกะสลักน้ำแข็งในด้านต่างๆ ตัวอย่างของเรื่องนี้ก็คือการที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับความแข็งของก้อนน้ำแข็งชนิดต่างๆในภูมิภาคที่แตกต่างกัน คำแนะนำเหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่เรียนรู้มาจากครูบาอาจารย์มาตั้งแต่แรก
ช่างฝีมือจะได้รับความเคารพยำเกรงจากการความเชี่ยวชาญในงานฝีมือของเขา
“ดูเหมือนว่าฉันจะลืมถามประธานโจวเรื่องก้อนน้ำแข็งในภูมิภาคที่เขาจะนำเอามาให้ฉันเลย พรุ่งนี้เห็นทีฉันต้องโทรหาเขาแล้วถามเรื่องนี้ดูเสียแล้วล่ะ” หยวนโจวบ่นพึมพำพลางจ้องมองไปทางก้อนน้ำแข็งที่เขามีอยู่ในช่องเก็บน้ำแข็งเมื่อตอนที่เขากลับเข้าครัวหลังจากร่างพิมพ์เขียวเสร็จแล้ว
“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ฉันจะแกะสลักพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” หยวนโจวสะกดกลั้นอารมณ์อยากจะแกะสลักเอาเสียตอนนี้แล้วเตรียมตัวมุ่งหน้าไปที่เตียงนอน
ใช่แล้วล่ะ หลังจากการมาเยือนของหยางซู่ซินและการทำงานบนพิมพ์เขียวก็เล่นเอาเสียดึกดื่นเข้าไปแล้ว แม้แต่เซินหมินก็ยังเลิกงานแล้วเลย ได้เวลาเข้านอนเสียที
หยวนโจวทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วดิ้นไปดิ้นมาอีกนิดหน่อยก่อนที่เขาจะเผลอหลับไป นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหายากจากตัวเขาแต่ก็พอเป็นที่เข้าใจได้อยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกภาคภูมิใจหลังจากได้รับการยอมรับจากสุดยอดช่างแกะสลักน้ำแข็ง
วันรุ่งขึ้นหยวนโจวตื่นเร็วกว่าปกติห้านาที เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วล้างหน้าตามเคยก่อนที่จะออกไปวิ่งออกกำลัง
เขายืนกรานที่จะออกกำลังกายเหมือนกับที่เขายืนกรานว่าจะพัฒนาฝีมือการทำอาหารของตนเอง ถึงจะช้าแต่ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
เมื่อก่อนหยวนโจวเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านไม่เคยออกไปข้างนอกเลย เขาหมดเวลาไปกับการยืนทำอาหารอยู่ในครัวและถึงแม้ว่าเขาจะมีเงินทองไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่องแล้ว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกว่าหมดเรี่ยวหมดแรงไปกับรูปแบบการดำเนินชีวิตเช่นนี้อย่างไม่น่าเชื่อ
ทุกวันนี้เขาไม่ได้หมดเรี่ยวหมดแรงหลังจากหมดวันอีกต่อไปแล้ว สิ่งนี้ช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าร่างกายของหยวนโจวแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆเช่นกันและเป็นผลทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าการเพิ่มขึ้นของเงินที่เขาได้รับก็น่าจะมีส่วนทำให้เขารู้สึกดีเช่นเดียวกัน
ที่สำคัญไปกว่านั้นหยวนโจวสามารถรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้เขากำมีดแน่นขึ้นแม้แต่ในช่วงสุดท้ายของเวลาเปิดร้านที่เขาจวนจะหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่แล้ว ทว่าเขาก็ยังสามารถกำเอาไว้ได้มั่น
การพัฒนาเพียงช่วงเวลาสั้นๆทำให้เขารู้สึกเบิกบานอย่างไม่น่าเชื่อ
“มาวิ่งออกกำลังอีกแล้วเหรอ เถ้าแก่หยวน?”
“อรุณสวัสดิ์ เถ้าแก่หยวน”
“อรุณสวัสดิ์ เถ้าแก่หยวน”
“อาหารเช้าวันนี้เป็นอะไรงั้นรึ เถ้าแก่หยวน?”
“อาหารเช้าวันนี้มีบะหมี่ไหมเงินเนื้อปลารมควันหรือเกี๊ยวน้ำไหม? ฉันชอบอาหารสองอย่างนี้มากเชียวล่ะ”
ขณะที่หยวนโจววิ่งออกกำลังอยู่นั้นก็มีคนมากมายเข้ามาทักทายเขาโดยมีบางคนที่ถามเรื่องอาหารเช้าด้วย ถึงแม้ว่าจะมีแค่ไม่กี่คนที่อาศัยร้านหยวนโจวทุกมื้ออย่างอู๋ไห่ก็ตามที แต่อาหารเช้าของร้านก็ยังเป็นสิ่งที่หลายๆคนตั้งตารอคอยในแต่ละวัน
“อรุณสวัสดิ์” หยวนโจวทักทายกลับไปทีละคนๆ
ส่วนผู้ที่ถามเรื่องอาหารเช้านั้น หยวนโจวก็ตอบไปแกนๆว่า “คุณจะได้รู้ตอนมื้อเช้านี่แหละครับ”
หยวนโจวเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าการบอกตอนจบเป็นเรื่องที่ทำให้เสียอรรถรส ดังนั้นเขาจึงชอบเก็บสิ่งต่างๆเอาไว้เป็นความลับมากกว่า
ระหว่างที่กำลังวิ่งออกกำลังอยู่นั้น หยวนโจวก็เห็นสาวงามที่เขามักจะพบเห็นเป็นบางครั้งบางคราว เธอให้ความรู้สึกสดชื่นแต่เนื่องจากเธอไม่เคยไปที่ร้านหยวนโจวเลย เขาจึงไม่เคยพูดคุยและทำความรู้จักกับเธอ
หลังจากออกกำลังกายแล้วก็ถึงเวลาอาหารเช้าอันแสนยุ่งวุ่นวายแล้ว เนื่องจากนี่มิใช่เช้าวันอาทิตย์ ลูกค้าส่วนใหญ่กำลังเร่งรีบ ดังนั้นจึงใช้เวลาเพียงไม่นานหยวนโจวก็จำหน่ายอาหารเช้าได้ถึง 100 ชุดแล้ว
แม้แต่แผงลอยจำหน่ายอาหารเช้านอกร้านก็ยังพลอยขายดีไปด้วย
“อืม ตอนนี้ฉันก็สามารถเริ่มแกะสลักได้แล้ว” หยวนโจวพึมพำด้วยความเบิกบานใจขณะที่เขาทำความสะอาดถ้วยใบสุดท้าย
“เถ้าแก่หยวน วันนี้คุณก็คันไม้คันมือจะแกะสลักอีกแล้วเหรอคะ?” โจวเจียที่กำลังเช็ดโต๊ะถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“อืม ผมมีแข่งน่ะ” หยวนโจวพยักหน้า
“แข่งงั้นเหรอคะ? ยังมีคนที่แกะสลักได้เก่งกว่าคุณอยู่จริงๆอีกเหรอคะ?” โจวเจียกล่าวด้วยความประหลาดใจ
ใช่แล้วล่ะ ในความคิดของโจวเจีย การแกะสลักของหยวนโจวหาใช่งานฝีมืออีกต่อไปแล้ว ทว่ากลับพัฒนาไปเป็นงานศิลป์ไปแล้วต่างหากเล่า
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือทิวทัศน์ หยวนโจวก็สามารถแกะสลักพวกมันออกมาได้ด้วยหัวผักกาดธรรมดาๆ เขาสามารถแกะสลักได้แม้แต่ดอกโบตั๋นจากมะเขือเทศ ด้วยฝีมือการแกะสลักเช่นนี้ยังมีคนแข่งกับเขาได้อยู่จริงๆน่ะเหรอ? โจวเจียไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน
“เปล่าหรอก มันเป็นการแกะสลักน้ำแข็งน่ะ” หยวนโจวพูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังแม้ว่าเขาจะรู้สึกลำพองใจขึ้นมาอีกแล้วก็ตามที
“ฉันเข้าใจแล้วล่ะค่ะ” โจวเจียพยักหน้า
นี่เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้มากเนื่องจากเป็นการแกะสลักน้ำแข็ง ถึงอย่างไรการแกะสลักน้ำแข็งของหยวนโจวก็ใช่ว่าจะดีอย่างการแกะสลักพืชผักของเขา แต่โจวเจียก็ยังคงรู้สึกไม่ดีกับผู้ท้าดวลสักเท่าไหร่นัก
“กลับบ้านดีๆล่ะ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา
“ใส่เสื้อให้อุ่นๆเข้าไว้นะคะเถ้าแก่ อย่าให้จับไข้เสียได้นะคะ” โจวเจียพยักหน้าแล้วให้คำแนะนำด้วยความเป็นห่วง
“ผมไม่ยอมให้ตัวเองจับไข้อีกแน่” หยวนโจวเงียบไปสักครู่ก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“ลาก่อนค่ะ เถ้าแก่” โจวเจียมองเสื้อผ้าที่ค่อนข้างหนาที่หยวนโจวกำลังสวมใส่อยู่แล้วจึงคลายกังวลลงบ้าง
หลังจากโจวเจียกลับไปแล้ว หยวนโจวเริ่มย้ายของออกไปนอกร้านเพื่อเตรียมตัวสำหรับการแกะสลักน้ำแข็งของเขา
ทันทีที่เขาย้ายเก้าอี้ออกไปข้างนอก โทรศัพท์ของเขาก็พลันดังขึ้น
“กริ๊ง กริ๊ง” โทรศัพท์ดังขึ้น
“ซุนหมิงเหรอ?” หยวนโจวรู้สึกสงสัยเมื่อเขาได้เห็นชื่อผู้โทรเข้ามา ถึงอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็เพิ่งจะมาเยี่ยมเขาเมื่อไม่นานมานี้เอง
“มีอะไรงั้นรึ?” หยวนโจวรับโทรศัพท์
“ไม่มีอะไรหรอก แค่โทรมาเช็คอาการป่วยของนายเท่านั้นเองแหละ” ซุนหมิงตอบ
หยวนโจวตอบว่า “ฉันดีขึ้นมาได้สองวันแล้ว”
ดูเหมือนว่าเขากำลังต่อว่าซุนหมิงที่เพิ่งจะมาโทรหาเขาเอาตอนนี้ แต่แน่นอนว่านี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่หยวนโจวตั้งใจ อนิจจา นี่เป็นวิธีการที่เขามักจะใช้ทำลายการสนทนา
โชคดีที่ซุนหมิงมีหนังหนาจึงสามารถทานทนต่อความกระอักกระอ่วนและสนทนาต่อไปได้
“ยาของนายค่อนข้างดีเชียวล่ะ” หยวนโจวกล่าวอย่างจริงจัง
ถูกต้องแล้ว ตอนที่หยวนโจวจับไข้อยู่นั้น ซุนหมิงได้ส่งยาแก้ไข้หวัดมาให้เขาด้วย
“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ” ซุนหมิงตอบ
“อืม” หยวนโจวเองก็ตอบเช่นกัน
“อีกอย่างฉันก็มีข่าวดีมาบอกนายด้วยล่ะ” ซุนหมิงกล่าว
“บอกข่าวร้ายมาก่อนก็แล้วกันนะ” หยวนโจวตอบตามสัญชาตญาณ
ไม่อาจตำหนิเขาสำหรับท่าทีตอบสนองเช่นนี้ได้ ถึงอย่างไรคนส่วนใหญ่ก็มักจะถามว่าอยากได้ยินข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อนเมื่อมีสิ่งที่อยากจะบอก ส่วนหยวนโจวมีนิสัยชอบฟังข่าวร้ายก่อน ดังนั้นเขาจึงกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมาโดยอัตโนมัติ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ” ซุนหมิงหัวเราะลั่นแล้วกล่าวขึ้นมา
“งั้นก็ว่ามา” หยวนโจวกล่าวขึ้นหลังจากชะงักไปเล็กน้อย
“อย่าโมโหไปเลยน่า ใช่ว่าฉันเจตนาแกล้งนายเสียเมื่อไหร่กันเล่า นายเป็นฝ่ายที่เข้าใจผิดเองนะ” ซุนหมิพูดหยอกเล่น
“ฉันจะไปแกะสลักแล้ว” หยวนโจวกล่าวพลางบอกเป็นนัยว่าเขากำลังจะวางสายแล้ว
“อย่านะ ช้าก่อน ฉันมีเรื่องจะบอกนายจริงๆ” ซุนหมิงกล่าวขึ้นมาทันควันเนื่องจากเขารู้จักหยวนโจวเป็นอย่างดี
“นายก็รู้นี่นา ใกล้จะถึงวันเกิดฉันแล้วนะ ฉันจะเลี้ยงอาหารนายในวันเกิดฉันเอง” ซุนหมิงกล่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“วันเกิดงั้นรึ? ฉันนึกว่านายนายฉลองวันเกิดไปตั้งแต่สองเดือนที่แล้วเสียอีก” หยวนโจวกล่าวอย่างเย็นชา
“นั่นเป็นวันเกิดตามปฏิทินจีนของฉันต่างหากเล่า ตอนนี้ฉันกำลังฉลองวันเกิดตามปฏิทินเกรโกเรียนของฉันน่ะ” ซุนหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ฉันไม่มีของขวัญให้นายหรอกนะ” หยวนโจวพ่ายแพ้ให้กับความไร้ยางอายของซุนหมิงจึงรีบอธิบายเรื่องนั้นให้กระจ่างแจ้ง
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันก็แค่อยากได้ของขวัญธรรมด๊าธรรมดาเท่านั้นเอง ไม่เป็นปัญหาสำหรับนายอยู่แล้วล่ะน่า” ซุนหมิงรีบกล่าวออกมาทันที
“พอถึงเวลาค่อยมาว่ากันอีกทีก็แล้วกันนะ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา
“ได้เลย ฉันจะไปเยี่ยมนายภายในสองวันเพื่อรับของขวัญนะ อย่าลืมเตรียมไว้ด้วยล่ะ” ซุนหมิงกล่าวแล้ววางสายทันทีเพื่อป้องกันมิให้หยวนโจวปฏิเสธเขา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น