ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 841-852

 บทที่ 841 หมู่บ้านที่เงียบสงบ

Ink Stone_Fantasy

ฉินสือโอวกลับไปฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับพ่อแม่ที่บ้านก่อน ตอนที่พวกเขากลับไปถึงก็เกือบจะถึงช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เพราะวันถัดไปก็เป็นวันไหว้พระจันทร์แล้ว


ฉินเผิงนำขนมไหว้พระจันทร์ อาหารพวกเนื้อไก่ เนื้อเป็ดและเนื้อปลามาให้ ส่วนฉินสือโอวก็มอบนมผงและโสมอเมริกันที่นำกลับมาจากแคนาดาให้เขาเป็นของขวัญ เขาพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “นมผงไม่จำเป็นต้องมากมายขนาดนี้ก็ได้ ฉันเลี้ยงลูกสาวแค่คนเดียว ไม่ได้เลี้ยงหมูเป็นคอก”


เมื่อแม่ฉินซึ่งกำลังทำความสะอาดบ้านได้ยินสิ่งที่เขาพูด ก็เดินมาตำหนิว่า “พวกแกสองคนน่ะ คนหนึ่งเป็นพ่อคนแล้ว อีกคนกำลังจะได้เป็นพ่อคน ทำไมยังปากเสียอย่างนี้ เลี้ยงหมูคอกหนึ่งหมายความว่าอย่างไร?”


ฉินเผิงหัวเราะอยู่พักหนึ่ง และจู่ๆ เขาก็ได้สติ เขาเบิกตากว้างและพูดกับฉินสือโอวว่า “ให้ตาย นี่นายกำลังจะเป็นพ่อคนแล้วเหรอ? นายแต่งงานกับวินนี่เมื่อไหร่? ทำไมฉันถึงไม่รู้!”


ฉินสือโอวลากเขาออกไปข้างนอกอย่างเก้อเขิน แล้วกระซิบว่า “ยังไม่ได้แต่งงานนะ…”


“คนมีการศึกษาอย่างนายล้อเล่นเก่งจริงๆ ไม่แต่งงานจะมีลูกได้ยังไง? วินนี่เป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ เหรอ ครอบครัวของเธอยอมเหรอ?” ฉินเผิงทำท่านินทา


ฉินสือโอวกลอกตาและบอกความคิดของวินนี่ไปว่า หลังจากลูกน้อยเกิดออกมา จะอุ้มลูกเข้าพิธีแต่งงานด้วย เมื่อฉินเผิงได้ยินก็ตกใจยิ่งกว่าเดิม เขาพูดว่า “ตอนที่เมียฉันท้อง แม่เธอบอกฉันว่าถ้าไม่แต่งงานก็ทำแท้งซะ ตอนนั้นฉันร้อนใจจริงๆ”


ตอนนั้นฉินเผิงไม่มีเงิน เรื่องงานแต่งงานถ้าไม่ได้ฉินสือโอวมาช่วย คิดว่าผลน่าจะไม่ดีเท่าไร


ในตอนเย็นแม่ฉินนำไก่ย่างและเป็ดย่างที่ฉินเผิงนำมาให้ไปปรุงอาหาร พ่อฉินไปเก็บผักที่สวนผัก ครอบครัวเตรียมอาหารเย็นด้วยกันอย่างมีความสุข


ฉินสือโอวลองชิมไก่ย่าง เขาส่ายหัวและพูดว่า “รสชาติธรรมดา แม่ ถ้าเมื่อกี้แม่ไม่ฉีกจะดีกว่า จะเก็บไว้ให้คุณย่า”


ไก่ย่างที่เขากินที่ฟาร์มปลา เป็นไก่พื้นเมืองที่เขาเลี้ยงเอง ทั้งคุณภาพของเนื้อและรสชาติเป็นสิ่งที่ไก่ของที่นี่ไม่สามารถเทียบเคียงได้อย่างแน่นอน ตอนนี้เขาเลือกกินมากที่สุด


แม่ฉินตบเขาทีหนึ่งและพูดว่า “มีให้กินก็ดีแค่ไหนแล้ว จะเลือกกินไปไหน? ที่ต้าเผิงนำมาเป็นไก่ตัวผู้ด้วย แม่ลองชิมเมื่อกี้ รสชาติไม่เลวเลย”


ฉินสือโอวเบะปากแล้วพูดว่า “ผมไม่มีปัญหา แต่วินนี่ไม่ชอบกิน”


วินนี่ที่กำเล่นหยอกเล่นกับเสี่ยวฮุยหันหน้ามา ถลึงตาใส่เขาหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ฉันชอบกิน อย่าโยนความผิดมาให้ฉันนะ”


วิธีนี้ใช้ได้ดีจริงๆ แม่ฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็นำไก่ย่างไปหั่นให้ชิ้นเล็กลง และนำไปผัดกับพริกหยวก เมื่อไก่ย่างผสานเข้ากับรสชาติของพริกหยวก ก็จะทำให้มีรสชาติดีกว่าเดิม


พ่อฉินอยากทำปลาคาร์พและปลาอินทรีบั้ง แต่ฉินสือโอวโบกมือปฏิเสธ ของพวกนี้เขากินไม่ได้จริงๆ แม้แต่ปลาคุณภาพดีในฟาร์มปลา เขากินแล้วยังรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา นับประสาอะไรกับปลาที่เลี้ยงด้วยอาหารปลาที่บ้าน


พ่อฉินเองก็คิดแบบเดียวกัน เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็วางปลาลงแล้วพูดว่า “เฮ้ ที่บ้านมีเมนูหนึ่งที่พวกแกไม่เคยกินที่เมืองแฟร์เวลแน่นอน กุ้งเครย์ฟิช ไปกันเถอะ ลูก ไปจับกุ้งที่บ่อปลากัน”


เมื่อนึกถึงกุ้งเครย์ฟิชที่เขาเลี้ยงมานานกว่าครึ่งปี ฉินสือโอวก็เริ่มน้ำลายไหล เจ้าสิ่งนี้เติบโตเร็วมาก ใช้ระยะเวลาแค่ 4–5 เดือนก็สามารถนำไปขายได้แล้ว แต่เนื่องจากฤดูผสมพันธุ์ของพวกมันคือตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน พ่อฉินจึงยังไม่ได้นำไปขาย เพราะต้องการให้พวกมันผสมพันธุ์กัน


และเนื่องจากพลังโพไซดอนที่ฉินสือโอวใส่เข้าไป ทำให้กุ้งเครย์ฟิชพวกนี้ตัวอ้วนมาก และมีอัตราการอยู่รอดค่อนข้างสูง พ่อฉินและแม่ฉินไม่ทราบสาเหตุ และคิดว่าเป็นเพราะสายพันธุ์ดี จึงไม่ได้คิดจะนำไปขาย แต่อยากใช้พวกมันมาเป็นแม่พันธุ์


หนองเลี้ยงปลาหน้าหมู่บ้านแต่งต่างไปจากช่วงเทศกาลตรุษจีน มันดูไม่เหมือนที่ทิ้งขยะอีกต่อไป


พ่อฉินและแม่ฉินปลูกบวบ น้ำเต้า องุ่น และพืชอื่นๆ ริมหนองน้ำ หลังจากเถาวัลย์เลื้อยขึ้นไปก็ช่วยบดบังแสงแดด ทำให้ปลาและกุ้งที่อยู่ที่นี่ไม่รู้สึกร้อน


ตอนนี้ในหนองน้ำเต็มไปด้วยพืชใต้น้ำจำพวกสันตะวาใบข้าว สาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายพุงชะโด เป็นต้น กุ้งเครย์ฟิชและปลาอื่นๆ สามารถใช้ชีวิตและหาอาหารในนั้นได้ ถือว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว


ในภาคใต้ กุ้งเครย์ฟิชจะชอบอาศัยอยู่ในหนองน้ำที่ค่อนข้างสกปรก เพราะพวกมันกินเศษหรือซากพืชซากสัตว์เป็นหลัก และพวกมันชอบอาศัยอยู่ในน้ำปุ๋ยที่สุด น่านน้ำที่ยิ่งสะอาดมากเท่าไรยิ่งหาตัวกุ้งเครย์ฟิชได้ยาก


แต่ที่นี่ไม่มีปัญหาอะไร ฉินสือโอวใช้พืชน้ำในการเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช ทั้งสะอาด ถูกสุขลักษณะ และยังมีคุณค่าทางโภชนาการด้วย


พ่อฉินมักจะไปจับกุ้งเพื่อสังเกตการเจริญเติบโตของพวกมัน ในบ้านเหล็กเคลือบสีริมน้ำมีกรงตาข่ายที่คล้ายกับกรงตาข่ายจับกุ้งในฟาร์มปลา เป็นตาข่ายไนลอนยาวที่ถูกยึดด้วยโครงเหล็ก


ในระหว่างทางพ่อฉินขอไก่ที่ตายแล้วกับชาวบ้านที่เลี้ยงไก่โดยเฉพาะ หลังจากสับด้วยมีดแล้วก็นำเนื้อไก่และเครื่องในใส่เข้าไปในกรงตาข่ายจับกุ้ง กุ้งเครย์ฟิชชอบอาหารประเภทที่มีกลิ่นคาว ไม่นานพวกมันก็มุดเข้าไปในกรง


หลังจากนำกรงไปวาง พ่อฉินไปพูดคุยกับคนอื่นพร้อมกับคาบบุหรี่ไว้ในปาก ฉินสือโอวนั่งอยู่ริมน้ำ ใช้มือทั้งสองข้างเท้าคางและมองดูแม่น้ำอย่างเหม่อลอย


แน่นอนว่าจิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้เข้าไปในบ่อน้ำแล้ว


ตั้งแต่ครั้งก่อนที่สังเกตเห็นว่ามีคนมาปล่อยปลาไหลลงบ่อ ฉินสือโอวกังวลมาตลอดว่าคนพวกนั้นจะทำอะไรอีก แต่กระทั่งวันนี้บ่อปลาก็ยังคงสงบสุขเหมือนเดิม ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น


คาดว่า คนพวกนั้นคงไม่ใช่คนไร้ศีลธรรม ในตอนนี้แค่อิจฉาตาร้อนหรือแค่ไม่พอใจที่บ้านฉินมาใช้หนองน้ำเลยกะจะมาทำให้ตระหนกตกใจ แต่หลังจากที่รู้ว่าไม่ได้ผล มิหนำซ้ำยังติดกล้องวงจรปิดเอาไว้อีกด้วย จึงไม่กล้ามากันอีก


เมื่อเห็นว่าที่บ่อปลามีเด็กๆ หลายคนถือเบ็ดตกปลาแบบธรรมดากำลังวิ่งเข้ามา หนึ่งในคนนำเป็นเด็กข้างบ้านฉินสือโอวที่มีชื่อเล่นว่าไห่หลง


เมื่อเห็นฉินสือโอวก็เรียก ‘คุณลุง’ ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานหนึ่งครั้ง แล้วถามขึ้นว่า “ลุงครับ เสี่ยวฮุยก็กลับมาแล้วใช่ไหมครับ? ตอนไปโรงเรียนผมไม่มีเพื่อนเลย”


ฉินสือโอวเห็นเด็กคนนี้เข้ามาตีสนิทจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดขึ้นว่า “นายมาเพื่อตกปลาใช่ไหม? จะพูดถึงเสี่ยวฮุยทำไม? นายไม่รังแกเขาก็บุญโขแล้ว จะให้เป็นเพื่อนตอนไปโรงเรียนทำไม”


ไห่หลงแย้ง “อะไรครับ ผมไม่เคยรังแกเสี่ยวฮุยเลย เขาเหมือนเด็กผู้หญิง ผมไม่รังแกผู้หญิงครับ”


ฉินสือโอวหัวเราะและพูดว่า “พอเถอะ เข้ามาตกปลาสิ แต่พวกนายต้องจำให้ดี ตอนที่ลุงกับป้าไม่อยู่ ไม่อนุญาตให้เข้ามาตกปลา เข้าใจไหม?”


เขากลัวว่าเด็กพวกนี้จะแอบเข้ามาตกปลาแล้วตกลงไปในน้ำ ตอนนี้มีพืชน้ำมากเกินไป ซึ่งเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย


ปีนี้ไม่เลว พวกเด็กๆ ว่านอนสอนง่ายมาก ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวางตัวของพ่อฉินและแม่ฉินด้วย พวกเขาไม่ใช่คนตระหนี่ ในบางครั้งถ้าคนในหมู่บ้านต้องการมาตกปลาและจับกุ้ง พวกเขาก็ไม่ปฏิเสธ จึงไม่ต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ


เด็กๆ ตอบรับอย่างง่ายดาย พวกเขามุดเข้ามาเหมือนหนูและนั่งเรียงกันเป็นแถวริมน้ำแล้วเหวี่ยงตะขอลงไป เมื่อสุนัขในบ่อปลาเห็นพวกเขาก็ไม่ได้ส่งเสียงเห่า เห็นได้ชัดว่าสนิทกันมากแค่ไหน


เด็กๆ เองก็มีจิตสำนึก หลังจากตกปลาได้คนละสองตัวก็ยั้งมือ ไห่หลงจับปลาเฉาฮื้อที่มีน้ำหนักมากกว่า 3 กิโลได้หนึ่งตัวและจับปลาทองที่มีขนาดอ้วนกลมได้อีกหนึ่งตัว หลังจากใส่ลงไปในถุงตาข่ายแล้วก็พูดอย่างดีอกดีใจว่า “ลุงครับ ปลาที่นี่ทำไมโตเร็วจังครับ?”


ฉินสือโอวกล่าวว่า “นายไม่เห็นวิธีการเลี้ยงปลาของฉันเหรอ? วิทยาศาสตร์ทำให้ร่ำรวย เข้าใจไหม? กลับไปตั้งใจเรียน อย่ามัวแต่เล่นเกมทั้งวัน”


ไห่หลงยิ้มและไม่ได้พูดอะไรอีก ฉินสือโอวถามขึ้นว่า “ทำไมตกแค่สองตัวล่ะ?”


เด็กคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้เป็นวันขึ้น 15 ค่ำใช่ไหมครับ? ปลาสองตัวก็เพียงพอแล้วล่ะ ลุงครับ พรุ่งนี้ผมจะนำเนื้อเห็ดทอดที่บ้านผมทำเองไปฝากนะครับ อร่อยมาก”


หลังจากตกปลาเด็กๆ ก็พากันกระโดดโลดเต้นกันออกไปจากบ่อปลา ก่อนไปไห่หลงแกะไส้กรอกป้อนให้กับสุนัขที่เฝ้าประตู พวกมันกินอย่างมีความสุข


บทที่ 842 กุ้งเครย์ฟิชผู้บ้าคลั่ง

Ink Stone_Fantasy

หลังจากวางกรงตาข่ายไว้กว่าครึ่งชั่วโมง พ่อฉินถกขากางเกงแล้วลงไปลากกรงตาข่ายขึ้นมา ข้างในมีกุ้งเครย์ฟิชตัวอ้วนหลายสิบตัวกำลังยกก้ามขึ้นเพื่อแสดงพลัง


ฉินสือโอวเคยจับกุ้งก้ามกรามมาก่อน แต่พวกมันมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักหลายกิโลกรัม แต่พวกนี้มีความยาวมากที่สุดแค่สิบกว่าเซนติเมตรดังนั้นจึงจัดการได้อย่างง่ายดายมาก


พ่อฉินเตรียมแถบยางเอาไว้แล้ว เมื่อจับกุ้งเครย์ฟิชได้แล้วก็เพียงแค่สวมแถบยางลงไปที่ก้ามของมัน อย่างนี้กุ้งเครย์ฟิชที่ยิ่งใหญ่และเอาแต่ใจก็ไร้ประโยชน์


การเจริญเติบโตของกุ้งเครย์ฟิชมีขีดจำกัด โดยทั่วไปจะไม่โตไปกว่า 10 เซนติเมตร แต่ภายใต้วิวัฒนาการของพลังโพไซดอน กุ้งเครย์ฟิชในบ่อสามารถโตได้ถึง 12–13 เซนติเมตร


เมื่อเทียบกับกุ้งเครย์ฟิชทั่วไปแล้ว กุ้งเครย์ฟิชที่ได้รับการปรับเปลี่ยนจากพลังโพไซดอนจะมีความแข็งแรงและอวบอ้วนมากกว่า เปลือกของมันเป็นสีดำอมเขียว นั่นเป็นเพราะว่าอุดมไปด้วยแอสตาแซนธิน


แอสตาแซนธินเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับกุ้งเครย์ฟิช ปริมาณแอสตาแซนธินมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความสามารถในการทนต่อสภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งหมายความว่า เมื่อปริมาณของแอสตาแซนธินสูง ก็จะมีความสามารถในการทนต่อสภาพแวดล้อมภายนอกเพิ่มมากขึ้น


ดังนั้น กุ้งเครย์ฟิชที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีจะแข็งแรงเป็นพิเศษและมีปริมาณของแอสตาแซนธินสูง จึงนำไปสู่ความคิดแบบผิดๆ ของผู้คนที่ว่า น้ำยิ่งสกปรกมากเท่าไร กุ้งเครย์ฟิชก็จะยิ่งเติบโตได้ดีมากเท่านั้น


ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น กุ้งเครย์ฟิชไม่สามารถสร้างแอสตาแซนธินได้ด้วยตัวเอง ส่วนมากจะได้รับมาจากการกินพืชน้ำและสาหร่ายขนาดเล็ก แล้วเก็บสะสมไว้ในร่างกายเพื่อผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ


อย่างนี้ กุ้งเครย์ฟิชจึงอยู่รอดในน่านน้ำที่ค่อนข้างสะอาดได้ยาก เพราะสถานที่เหล่านี้มักจะขาดสาหร่ายที่มีแอสตาแซนธิน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนเข้าใจผิด


พืชน้ำเหล่านี้ที่มีอยู่ในบ่อปลามีแอสตาแซนธิน ทำให้เปลืองของกุ้งเครย์ฟิชมีสีที่ค่อนข้างเข้ม และพวกมันเองก็เติบโตได้อย่างแข็งแรง


กุ้งเครย์ฟิชที่จับมาได้มีทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ พ่อฉินจะโยนตัวเล็กกลับไปในน้ำ และเหลือแค่ตัวใหญ่ไว้ รวมทั้งหมด 50 กว่าตัว ฉินสือโอวลองยกดู รวมๆ แล้วประมาณ 3.5–4 กิโลกรัม กุ้งเครย์ฟิชพวกนี้ตัวอ้วนมาก ในบางตัวแค่ตัวเดียวก็มีน้ำหนักมากถึง 2 ขีด


พ่อฉินให้ฉินสือโอวกลับไปก่อน ส่วนเขาจะนำกรงโยนลงไปในน้ำอีกสักสองสามอัน แล้วเริ่มยุ่งกับการจับกุ้งอีกครั้ง


ฉินสือโอวคิดว่าพ่อแม่คงไม่รู้วิธีปรุงกุ้งเครย์ฟิชพวกนี้ จึงเตรียมที่จะลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง แต่แม่ฉินบอกว่าพวกเขาได้ไปถามวิธีปรุงกุ้งเครย์ฟิชมาจากพ่อครัวที่เพิ่งกลับมาจากทางใต้ในเมืองแล้ว และได้ไล่เขาออกไปอยู่เป็นเพื่อนวินนี่


แม่ฉินล้างกุ้งเครย์ฟิชให้สะอาด ใช้กรรไกรตัดส่วนหนวด ส่วนก้ามและส่วนขาออก จากนั้นก็ดึงลำไส้ออก แล้วเอาส่วนกระเพาะและเหงือกออก ที่เหลือขัดด้วยแปรงสะอาดในน้ำ


ฉินสือโอวชอบอาหารรสเผ็ด เขาหยิบพริกแห้งกำมือหนึ่งมาหั่น แม่ฉินขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “วินนี่กำลังท้อง กินรสเผ็ดไม่ได้ ไม่รู้เหรอ? แกเนี่ยนะ วินนี่เลือกแกมาเป็นสามีได้ยังไง?”


ฉินสือโอวพูดอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “ลูกชายแม่แย่มากเลยเหรอครับ? พูดเป็นเล่น ตอนนั้นมีผู้หญิงสี่สิบห้าสิบคนเข้าแถวรอนัดดูตัวกับผม ผมฮอตมากเลยนะครับ”


แม่ฉินเบะปากทำท่าว่าไม่เชื่อ ฉินสือโอวก็ไม่มีหลักฐานมายืนยัน แต่นี่เป็นความจริง ตอนนั้นสาวๆ กลุ่มแรกที่เดินทางไปที่เกาะแฟร์เวล ล้วนแต่ไปเพราะเขา


ความจริงแล้วกุ้งเครย์ฟิชต้องปรุงให้เผ็ดจึงจะอร่อย แต่แม่ฉินเป็นห่วงวินนี่ จึงเปลี่ยนไปทำผัดกุ้งเครย์ฟิชแช่เบียร์ เมนูนี้ใช้พริกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ตั้งกระทะน้ำมัน เทพริกไทยและพริกแห้งลงไป เมื่อน้ำมันเดือดได้ประมาณ 70–80% แล้วก็ใส่ต้นหอม ขิงและกระเทียมลงไปผัดรวมกับกุ้งเครย์ฟิช จากนั้นเติมเหล้าปรุงอาหารและเบียร์ลงไป เริ่มปรุงจากไฟอ่อนแล้วเร่งไฟให้แรงขึ้นจนสุก จากนั้นตักใส่จานแล้วโรยด้วยเกลือและผงปรุงรสไก่


เมื่อพ่อฉินกลับมา ก็ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว แม่ฉินถามเขาว่าหว่านแหหรือยัง พ่อฉินบอกว่าหว่านเรียบร้อยแล้ว ค่อยไปเก็บพรุ่งนี้เช้า ฉินสือโอวถามว่าทำอะไร พ่อฉินและแม่ฉินยิ้มและไม่ได้พูดอะไรอีก


แม้จะไม่ใช่เทศกาลไหว้พระจันทร์ แต่เป็นเพราะเป็นมื้อแรกที่กลับมากินที่บ้าน อาหารจึงถูกเตรียมขึ้นอย่างตั้งใจ ฉินสือโอวแกะกุ้งเครย์ฟิชและกำลังจะเอาเข้าปาก แต่คิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็นำไปวางในจานของวินนี่ก่อน


พ่อฉินและแม่ฉินหัวเราะเสียงดัง วินนี่ใช้ภาษาอังกฤษพูดด้วยเสียงเบาว่า “ช่างเป็นสามีที่ดีจริงๆ ไม่แปลกที่ตอนนี้ผู้หญิงฝั่งตะวันตกต่างก็ต้องการแต่งงานกับหนุ่มชาวจีน”


ฉินสือโอวพูดอย่างไม่มีทางเลือกว่า “คุณไม่รู้สึกว่าหนุ่มชาวจีนเหนื่อยกับชีวิตมากเกินไปเหรอ?”


วินนี่ยักไหล่แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันจะตามใจคุณทุกอย่าง คุณอยากทำอะไรก็ได้”


ฉินสือโอวกำลังดื่มเบียร์ เขาเกือบจะสำลักเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด จึงรีบเงยหน้าขึ้นมองคนในครอบครัวอย่างรวดเร็ว


โชคดีที่มีแค่เสี่ยวฮุยเท่านั้นที่เข้าใจภาษาอังกฤษ แต่เขาก็กำลังถูกกุ้งดึงดูดความสนใจ เขากำลังดูดเปลือกกุ้งอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อเห็นฉินสือโอวกำลังมองไปที่เขา เขายิ้มตอบด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ


พลังโพไซดอนเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ กุ้งเครย์ฟิชที่ได้รับการดัดแปลงมีขนาดอ้วนกว่าเดิม ในเปลือกเต็มไปด้วยเนื้อที่เนียนนุ่ม และเนื้อของมันก็มีคุณภาพดี หลังแกะเปลือกออกแล้วก็สามารถดึงเนื้อออกมาได้ทั้งหมด


ฉินสือโอวกินไปหนึ่งตัว เนื้อกุ้งมีความเหนียวอย่างคาดไม่ถึง ขณะเคี้ยวก็มีน้ำเล็ดออกมา รสชาติสดใหม่จนหาที่เปรียบไม่ได้ ผสมกับรสเผ็ดชาและกลิ่นเบียร์อ่อนๆ อร่อยกว่าเมนล็อบสเตอร์สักอีก


อย่างนี้ กุ้งเครย์ฟิชก็ได้กลายเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมสูงสุดบนโต๊ะอาหาร พวกเขาแย่งกันกิน ไม่นานกุ้งกว่าสามกิโลครึ่งก็หมดไป พ่อฉินและแม่ฉินเห็นพวกเขากินอย่างมีความสุข ก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเหมือนกัน


หลังจากรับประทานอาหาร วินนี่ช่วยแม่ฉินเก็บโต๊ะอาหาร ฉินสือโอวออกไปหาฉินเผิง


พรุ่งนี้ก็เป็นวันไหว้พระจันทร์แล้ว หมู่บ้านตระกูลฉินเป็นหมู่บ้านชนบทแบบดั้งเดิมเล็กๆ พวกเขาให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้เป็นอย่างมาก หนุ่มสาวมากมายที่ออกไปทำงานข้างนอกต่างก็กลับมาที่บ้านเกิด ฉินเผิงอยู่ไม่ไกล เขาเองก็ลากลับมาบ้านล่วงหน้าเหมือนกัน


กลางคืนผ่านไปอย่างเงียบสงบ ฉินสือโอวตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ออกไปดูก็เห็นว่าพ่อและแม่ต่างก็ไม่อยู่บ้าน เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้แล้วว่าพวกเขาคงไปที่บ่อปลา จึงวิ่งออกจากหมู่บ้านไปโดยถือว่าเป็นการออกกำลังกาย


ตามที่คิดไม่มีผิด พ่อฉินและแม่ฉินกำลังยุ่งอยู่กับบ่อปลา กรงจับกุ้งไนลอนขนาดยาวหลายอันถูกวางไว้ริมแม่น้ำ ข้างๆ มีถังน้ำ ในถังมีกุ้งก้ามกรามอยู่


ฉินสือโอวถามว่ากำลังทำอะไรกัน พ่อฉินยิ้มและตอบว่า “วันนี้เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ทุกครอบครัวต่างก็ต้องการเตรียมอาหารมื้อค่ำให้ดีที่สุด ในเวลานี้กุ้งก้ามกรามจะมีราคาแพงที่สุด พ่อกับแม่แกจะจับบางส่วนไปขาย”


ฉินสือโอวกำลังจะช่วย พ่อฉินโบกมือและพูดว่า “ไม่ต้องๆ แกกลับไปอยู่เป็นเพื่อนวินนี่เถอะ นี่ไม่ใช่งานหนักอะไร ให้ฉันกับแม่แกจัดการก็พอแล้ว ตอนนี้ก็กำลังจะกลับกันแล้วล่ะ”


พ่อฉินและแม่ฉินไม่ได้แค่จับกุ้งก้ามกรามขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังแยกตัวผู้และตัวเมียด้วย ตัวเมียกำลังอยู่ในช่วงตั้งท้อง ดังนั้นจึงขายได้แต่กุ้งตัวผู้เท่านั้น


การแยกกุ้งเครย์ฟิชตัวผู้และตัวเมียนั้นง่ายมาก เนื่องจากตัวผู้ต้องใช้ก้ามในการต่อสู้และหาอาหาร ดังนั้นจึงมีก้ามโตกว่าตัวเมีย นอกจากนี้ส่วนหน้าและส่วนหลังของกุ้งก้ามกรามตัวผู้จะมีเนื้อเยื่อสีแดงสด ซึ่งโดดเด่นมาก แต่ตัวเมียไม่มีสิ่งนี้


ฉินสือโอวเข้าไปช่วย เขาโยนกุ้งตัวเมียส่วนใหญ่ลงไปในน้ำ แล้วเก็บกุ้งเข้าไปในกล่องฉนวนกันความร้อน จากนั้นใส่พืชน้ำเข้าไปจำนวนหนึ่ง เท่านี้ก็นำไปขายได้แล้วล่ะ


กุ้งเครย์ฟิชอยู่รอดได้ง่าย ดังนั้น เมื่ออาศัยอยู่ในกล่องฉนวนกันความร้อนที่มีพืชน้ำข้างใน พวกมันยังสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้อีกหลายวัน


หลังจากรวบรวมได้สองกล่อง พ่อฉินและฉินสือโอวขี่จักรยานไฟฟ้าตรงเข้าไปในเมือง


แม้ไม่ใช่วันที่มีตลาดนัด แต่บนถนนในเมืองมีร้านค้ามากมายที่ขายผักและเนื้อสัตว์ ตอนนี้ยังไม่เที่ยงก็มีคนจำนวนมากออกมาซื้อของแล้ว


ฉินสือโอวไปเดินดูหนึ่งรอบ ไม่มีคนขายกุ้งเครย์ฟิช บริเวณบ้านเกิดของเขามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เลี้ยงสิ่งนี้ และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ปรุงเป็น ดังนั้นจึงลำบากในการขายเล็กน้อย


บทที่ 843 ความคิดใหม่

Ink Stone_Fantasy

สิ่งที่ฉินสือโอวกังวลก็ถือว่ามีเหตุผล หลังจากวางกุ้งก้ามกรามลง แม้ว่าพวกมันจะตัวอ้วนและแข็งแรงมากเพียงใด แต่ก็มีผู้ซื้อแค่ไม่กี่คน


พ่อฉินเคยสอบถามเกี่ยวกับราคา อยู่ที่ 25 หยวนต่อครึ่งกิโล สำหรับกุ้งเครย์ฟิชขนาดเล็กอย่างนี้แล้ว ถือว่าเป็นราคาที่เป็นธรรมมากแล้ว


กุ้งเครย์ฟิชของฉินสือโอวไม่มีปัญหาเรื่องรูปลักษณ์ พวกมันกำลังชูก้ามต่อสู้กันอยู่ ซึ่งมีพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม ฉินสือโอวเสียบก้ามของพวกมันลงบนโฟมของกล่องฉนวนกันความร้อน กุ้งเครย์ฟิชทำท่าหลากหลายเหมือนนักยิมนาสติก แค่มองก็รู้แล้วว่ากุ้งก้ามกรามเหล่านี้ไม่มีปัญหาด้านคุณภาพ


ผู้คนที่มาซื้ออาหารที่ตลาดต่างก็สังเกตเห็นกุ้งเครย์ฟิชที่หาได้ยากในย่านนี้อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มีคนหลายสิบคนเข้ามามุงดู ส่วนใหญ่จะเป็นคนรู้จัก มีคนถามพ่อฉินว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร


พ่อฉินแนะนำกุ้งเครย์ฟิชที่พวกเขาเลี้ยงเอาไว้และบอกวิธีนำไปปรุงอาหารให้พวกเขาฟังด้วย แต่ผู้ที่มาสังเกตการณ์มีคนสนใจไม่เท่าไร และมีคนพึมพำว่า “เจ้านี่ 25 หยวนต่อครึ่งกิโลเลยเหรอ? แพงกว่าซี่โครงหมูสักอีก”


ฉินสือโอวกลอกตา นี่เป็นกุ้งเครย์ฟิช กุ้งเกรดนี้ ถ้านำไปวางไว้ในเมืองไหเต่า อย่าว่าแต่ 25 หยวนต่อครึ่งกิโลเลย แม้แต่ 50 หยวนต่อครึ่งกิโลก็คงขายหมดภายในไม่กี่นาที


ช่วยไม่ได้ ผู้คนในบ้านเกิดของเขาไม่มีประสบการณ์ในการปรุงกุ้งเครย์ฟิช เห็นในโทรทัศน์บอกว่าเจ้าสิ่งนี้อร่อย แต่ถ้าปรุงไม่เป็นก็เสียเปล่า แค่มาสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าจะให้ควักเงินซื้อถือว่าเป็นเรื่องยากเลยล่ะ


ในที่สุด ก็มีชายหนุ่มที่ไปทำงานทางใต้กลับมาและรู้จักสิ่งนี้ จึงเข้ามาถามว่าขายยังไง


พ่อฉินจริงใจมาก ให้เขาสุ่มกุ้งมาตัวหนึ่ง แล้วใช้มีดผ่าออกตั้งแต่ตอนนั้น เผยให้เห็นเนื้อกุ้งที่อวบอ้วนและขาวราวกับหิมะ


ชายหนุ่มยื่นมือออกไปบีบเนื้อกุ้งที่มีความยืดหยุ่นอย่างมากแล้วพูดว่า “ให้ตายเถอะ นี่เป็นกุ้งคุณภาพดี ขายแค่ 25 หยวนไม่แพงเลย ฉันขอซื้อสักร้อยหนึ่ง”


ฉินสือโอวเริ่มรู้สึกกระปรี้กระเปร่า คิดว่าธุรกิจเริ่มไปได้ดีแล้ว แต่ผลปรากฏว่าผู้ที่มาสังเกตการณ์ก็ยังคงยืนมองอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีคนซื้อ แต่แผงขายปลาข้างๆ กลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทั้งปลาทอง ปลาคาร์พ ปลาเฉาฮื้อ ปลาซ่ง ปลาลิ่นและปลาดุกต่างก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก


เจ้าของแผงปลารู้จักกับพ่อฉิน เขายื่นบุหรี่ให้แล้วพูดว่า “นายนี่มันมีความคิดสร้างสรรค์จริงๆ ทำไมเลือกเลี้ยงกุ้งก้ามกรามล่ะ คนที่นี่กินเป็นซะที่ไหนกัน? สู้มาเลี้ยงปลาเหมือนฉันดีกว่า”


ฉินสือโอวไปซื้อน้ำมาหนึ่งขวด เขารู้สึกโมโหเล็กน้อย จึงดื่มน้ำเพื่อคลายความโมโห


ขณะที่เขากำลังนั่งดื่มน้ำ รถจักรยานยนต์คันหนึ่งขี่มาจอดตรงหน้าเขา จากนั้นเสียงของฉินเผิงก็ดังขึ้น “เฮ้ๆ ฉินโซ่ว นายมาทำอะไรที่นี่?”


ฉินสือโอวเตะล้อหน้าของจักรยานยนต์หนึ่งที แล้วชี้ไปด้านหลังโดยไม่หันกลับไปมองและพูดขึ้นอย่างจนปัญญาว่า “พ่อฉันมาขายกุ้งก้ามกราม ให้ตายเถอะ ที่นี่ไม่มีใครสนใจกุ้งก้ามกรามเลย! ผิดคาดจริงๆ!”


ฉินเผิงไปกินกุ้งเครย์ฟิชที่บ้านฉินสือโอวอยู่บ่อยๆ รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้อร่อยจริงๆ ตอนนี้ลูกสาวของเขาสามารถดื่มโจ๊กกุ้งก้ามกรามได้แล้ว กุ้งเครย์ฟิชเป็นที่นิยมในครอบครัวของเขามาก ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมาก แค่นึ่งให้สุกแล้วนำเนื้อกุ้งไปจิ้มกับวาซาบิ รสชาติก็ดีมากแล้วล่ะ


เขาจอดรถจักรยานยนต์แล้วมองดูกุ้งก้ามกรามที่แข็งแรงเหล่านั้น แล้วพูดว่า “ที่นี่มีคนไม่มากที่รู้จักเอาเจ้าสิ่งนี้ไปปรุงเป็นอาหาร ถ้าซื้อไปแล้วปรุงออกมาไม่อร่อยก็เสียเปล่า แต่อย่างน้อยๆ นายก็เคยเรียนมหาวิทยาลัย ทำไมนายถึงโง่อย่างนี้ล่ะ?”


ฉินสือโอวมองเหยียนลี่ลี่ภรรยาของฉินเผิงด้วยเจตนาไม่ดีเท่าไร และพูดว่า “นายพูดดีๆ หน่อย ฉันโง่ยังไง? ถ้านายพูดไม่ชัดเจน วันนี้ฉันจะให้เมียนายจ่ายหนี้แทนนาย”


ภรรยาของฉินเผิงเป็นแม่บ้านที่อ่อนโยน เธอหน้าแดงเล็กน้อยหลังจากได้ยินที่ฉินสือโอวพูด แต่เธอก็ตอกกลับด้วยคำพูดที่เฉียบคมว่า “เสี่ยวฉิน นายยังจำเพื่อนสนิทฉันที่ชื่อโหลวมู่ชิงได้ไหม? เธอถามเรื่องนายกับฉันมาตลอด นายว่าฉันควรตอบเธอว่ายังไงดีล่ะ?”


ฉินสือโอวทำเสียงฮึดฮัดสองครั้งและไม่มีอะไรจะพูด ได้แต่เอามือจับจมูกและหัวเราะแห้งๆ “อย่าล้อฉันเล่นเลย”


เหยียนลี่ลี่ยิ้มและพูดว่า “ถ้านายล้อฉันเล่น ฉันจะทำให้เรื่องล้อเล่นนี้กลายเป็นเรื่องจริง”


ฉินเผิงขัดจังหวะทั้งสองคนและพูดว่า “กำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่ไม่ใช่เหรอไง? ทำไมกลายเป็นเรื่องผู้หญิงไปได้ล่ะ? ฉินโซ่วฉันจะบอกนายให้รู้ไว้ว่า นายทำอย่างนี้ไม่ถูก นายมาขายกุ้งเครย์ฟิชทื่อๆ ใครจะไปซื้อล่ะ? ทำไม่ถูกเลย นายนำไปปรุงก่อน แล้วมาขายสินค้าสำเร็จรูปน่ะ! รับรองว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่นอน!”


เมื่อฉินสือโอวคิดตามก็รู้สึกเห็นด้วย ผู้คนที่นี่ไม่รู้วิธีปรุง ทำไมไม่ขายสินค้าสำเร็จรูปเลยล่ะ?


เขาไปหาพ่อ และถามว่าเรียนรู้วิธีทำกุ้งเครย์ฟิชในเมืองมาจากใคร พ่อบอกชื่อร้านอาหารมาร้านหนึ่ง ฉินสือโอวตรงไปหาที่ร้านนั้น เมื่อเจอพ่อครัวที่กำลังจะเปิดร้าน ก็บอกจุดประสงค์ในการมาให้เขาฟัง


“ผมจะให้ค่าปรุงอาหารคุณ 10 หยวนต่อกุ้งเครย์ฟิชครึ่งกิโลกรัม คุณคิดว่ายังไง?


เมื่อได้ยินข้อเสนอนี้ พ่อครัวลูบเคราที่อยู่ใต้คางแล้วถามว่า “นายมีกุ้งก้ามกรามทั้งหมดเท่าไร?”


“มีไม่มาก มีแค่ 25–30 กิโลกรัม”


พ่อครัวพยักหน้าและพูดว่า “ได้ ไปเอามาเลย จะปรุงให้เสร็จทั้งหมดภายในหนึ่งชั่วโมง รับรองว่าออกมาดีแน่นอน”


ฉินสือโอวไปลากกุ้งเครย์ฟิชมาที่นี่ พ่อครัวคนนี้อายุไม่มาก น่าจะราวๆ เขา แต่ทำความสะอาดกุ้งรวดเร็วมาก และเขาไม่ได้แค่ปรุงกุ้งเครย์ฟิชให้สุกเท่านั้น ยังแบ่งออกเป็น 6 ส่วนด้วย เขาทำกุ้งเครย์ฟิชที่มีรสชาติแตกต่างกันทั้งหมด 6 รสชาติ


ได้แก่ กุ้งเครย์ฟิชเผ็ดชา กุ้งเครย์ฟิชสามรส กุ้งเครย์ฟิชเผ็ดกลมกล่อม กุ้งเครย์ฟิชแช่เบียร์ กุ้งเครย์ฟิชผัดกระเทียมและกุ้งปรุงรส พ่อครัวหนุ่มปรุงกุ้งเครย์ฟิชแต่ละส่วนอย่างคล่องแคล่ว ทำให้ภายในร้านอาหารเล็กๆ นั้นฟุ้งไปด้วยกลิ่นพริก


สุราดีย่อมไม่กลัวตรอกลึก หลังจากตักกุ้งเครย์ฟิชใส่จานและยังไม่ทันได้ยกออกไป คนที่มาสั่งอาหารที่ร้านเมื่อได้กลิ่นก็มาถามวิธีหาด้วยความอยากรู้อยากเห็น


พ่อฉินเชิญชวนให้ผู้คนมาลิ้มลอง รสชาติของกุ้งเครย์ฟิชที่ได้การดัดแปลงจากพลังโพไซดอนสามารถพิชิตใจของผู้คนที่นี่อย่างรวดเร็ว มีคนควักเงินออกมาซื้อตั้งแต่ยังอยู่หน้าประตูร้านอาหารเล็กๆ นั่น


ราคาของกุ้งที่ปรุงสุกแล้วไม่สูงมาก แค่ 40 หยวนเท่านัน เมื่อหักค่าธรรมเนียมการดำเนินการออก 10 หยวน ก็มีราคาแพงกว่ากุ้งดิบแค่ 5 หยวนเท่านั้น


อย่างไรก็ตาม นี่เป็นแค่พื้นผิวเท่านั้น ความจริงแล้วกุ้งเครย์ฟิชที่ปรุงสุกแล้วจะมีน้ำมัน ต้นหอม ขิงและกระเทียมติดไปด้วย ถ้าคิดอย่างละเอียด กุ้งดิบ 2.5 กิโลกรัม สามารถนำไปปรุงให้ได้กุ้งสุก 3 กิโลกรัม


วันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ ทุกครอบครัวจะล้อมวงกันกินข้าว อาหารค่ำมื้อนี้เป็นมื้อที่เป็นทางการมาก สำหรับหมู่บ้านที่ฉินสือโอวอาศัยอยู่นี้ มันเป็นมื้อที่รองจากอาหารค่ำวันส่งท้ายปีเก่าเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่มีครอบครัวไหนที่คิดจะประหยัดเงินกับอาหารมื้อนี้ นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่ได้ออกไปทำงานกันแล้ว ทุกคนจึงมีเงินเย็นที่กล้าจะควักมาใช้จ่าย


อย่างนี้ กุ้งเครย์ฟิชจำนวน 32.5 กิโลกรัม นอกจาก 5 กิโลที่พ่อครัวเก็บไว้เพื่อวางแผนจะขายเป็นจานให้แขกที่มากินข้าวแล้ว ที่เหลือก็ขายหมดในเวลาไม่ถึงชั่วโมง


พ่อครัวหนุ่มอ้วนเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและหัวเราะว่า “กุ้งเครย์ฟิชบ้านนายเลี้ยงยังไง? ตอนที่ฉันไปเรียนทำอาหารที่ภาคใต้ เคยปรุงกุ้งเครย์ฟิชมาไม่น้อย แต่คุณภาพต่างจากของบ้านนายมาเลย”


พ่อฉินแนะนำวิธีการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามอย่างกระตือรือร้น เริ่มอธิบายจากคุณภาพน้ำ ชนิดพันธุ์พืชน้ำและปลาที่เลี้ยงรวมกัน ทำเอาพ่อครัวหนุ่มตะลึงพรึงเพริด


ฉินสือโอวคิดบางอย่างในใจแล้วพูดว่า “เพื่อน นายคิดว่ายังไงถ้าเราจะขายส่งกุ้งเครย์ฟิชให้กับร้านอาหารของนาย?”


พ่อครัวยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “นั่นเป็นไปไม่ได้แน่นอน ฉันเคยคิดเรื่องนี้แล้ว แม้วันนี้ผู้คนในหมู่บ้านจะยอมควักเงินจ่ายอย่างง่ายดาย แต่นั่นเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ ในวันปกติจะมีสักกี่คนที่ยอมควักเงิน 40–50 หยวนเพื่อกินกุ้งเครย์ฟิชครึ่งกิโลกันล่ะ?”


“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กุ้งก้ามกรามของนายตัวใหญ่ แค่ตัวเดียวก็ปาไป 10 หยวนแล้ว แม้ว่ามันจะอร่อย แต่ไม่คุ้มค่า พวกเขาไม่เต็มใจที่จะควักเงินหรอก” เถ้าแก่เนี้ยเองก็ส่ายหัว “เมืองเล็กๆ อย่างเรา ขายได้วันละ 4–5 กิโลกรัมก็เหลือเชื่อแล้วล่ะ”


ฉินสือโอวยิ้มพร้อมกับพยักหน้า แต่ในใจเขากลับมีความคิดใหม่


บทที่ 844 เปิดร้านอาหารร่วมกัน

Ink Stone_Fantasy

หลังจากขายกุ้งเครย์ฟิชหมดแล้ว และได้รับกำไรมาประมาณสองพันหยวน พ่อฉินยิ้มจนรอยย่นบนใบหน้าเรียบไปเลย


“ตอนนั้นที่ฉันส่งแกไปเรียนมหาวิทยาลัย ฉันทำถูกแล้วล่ะ แกดูสิ สมองระดับนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างพวกแกใช้ดีขนาดไหน การเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชดีกว่าทำไร่ทำนามากเลยล่ะ แกว่าถ้าเราเริ่มเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนนี้เราน่าจะมีเงินมากมายขนาดไหนกัน” พ่อฉินรู้สึกตื้นตันใจและถอนหายใจไม่หยุด


ฉินสือโอวหัวเราะไปกับเขา แต่ในใจกลับไม่เห็นด้วย พ่อ ก่อนหน้านี้ลูกพ่อไม่มีหัวใจโพไซดอน ดังนั้นมันไม่เกี่ยวกับการได้เรียนสูงแค่ไหน


พ่อฉินซื้อผัก เนื้อสัตว์และของกินเล่นจำนวนมากมาจากในเมือง เห็นมีคนขายหมูพื้นเมือง ก็ใช้เงินซื้อเนื้อหมูและน้ำมันหมูไปทั้งหมดห้าร้อยกว่าหยวน นอกจากนี้ ยังซื้อจี้หยกเจ้าแม่กวนอิมมาคู่หนึ่ง ว่ากันว่าเป็นหยกพม่าเก่า คู่หนึ่งขายแค่ 100 หยวนเท่านั้น


ฉินสือโอวขำท้องแข็ง หยกถูกกว่ากระจกอะคริลิกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน จี้หยกคู่ละ 100 หยวน? นี่เมียนมาร์กำลังล้อเล่นกับประเทศจีนเหรอ?


แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจเรื่องเงิน แค่พ่อแม่มีความสุขก็เพียงพอแล้ว แค่พ่ออยากซื้อเขาก็ซื้อให้หนึ่งคู่ กลับไปใส่คู่กับวินนี่สักช่วงหนึ่ง ยังไงตอนนี้ทั้งสองคนก็ไม่มีอะไรใส่อยู่แล้ว


ในระหว่างทางกลับบ้าน ฉินสือโอวขี่จักรยานยนต์ไปพร้อมกับคิดถึงวิธีทำเงินที่ตัวเองเพิ่งคิดออกเมื่อครู่ไปด้วย จี้ส่ายไปมาบนอกเขา เขารู้สึกไม่ชินเท่าไร จึงล้างน้ำจนสะอาดแล้วอมไว้ในปาก


หลังจากกลับถึงบ้าน ฉินสือโอวเห็นรถออดี้สองคันจอดอยู่หน้าประตูบ้านตัวเอง คันหนึ่งเป็น A6 ของน้องเขย อีกคันเป็น A8 ที่ดูน่าเกรงขาม


เมื่อได้ยินเสียงของจักรยานยนต์ คนในบ้านต่างก็เดินออกมา หนึ่งในนั้นเป็นคนแปลหน้าที่คุ้นเคย เจ้าของร้านออดี้ 4S ที่เป็นเจ้าภาพทีมขบวนรถในงานแต่งงานของฉินเผิงเมื่อปีที่แล้ว


ต้วนเหล่ยยังคงแต่งตัวในสุดสูทและรองเท้าหนังแบรนด์เนม แสดงให้เห็นถึงฐานะที่ไม่ธรรมดาของเขาอยู่ตลอดเวลา เมื่อเทียบกันแล้ว ฉินสือโอวดูมีความติดดินมากกว่า เขาสวมชุดนักศึกษาสมัยเรียนมหาวิทยาลัยและเต็มไปด้วยคาบโคลน


อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกันในแง่ของบุคลิกภาพและการวางตัวแล้ว ต้วนเหล่ยยังตามหลังเขาเยอะเลยล่ะ เนื่องจากหัวใจโพไซดอน ทำให้ฉินสือโอวดูกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาอย่างมั่นใจ นี่เป็นเหตุผลที่คนส่วนใหญ่อยากเป็นเพื่อนกับเขา บุคลิกอย่างนี้หาได้ยากในหมู่คนหนุ่มสาว


ทันทีที่พบกัน ต้วนเหล่ยก็ยื่นมือออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม ฉินสือโอวจับมือกับเขา และคายจี้ในปากออกแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ต้วน ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? ทำไมมาไม่บอกกันก่อน จะได้ต้อนรับดีๆ… เฮ้ พวกนายเป็นอะไรไป?”


ต้วนเหล่ยมองฉินสือโอวอย่างชะงัก คนอื่นๆ ก็แสดงท่าทีคล้ายกัน เสี่ยวฮุยพูดขึ้นอย่างประหม่าว่า “ลุงปวดท้องไหมครับ? ลุงกำลังจะตายครับ! ถุงน้ำดีของลุงแตกครับ!”


ฉินสือโอวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อะไรกัน? ใครสอนให้แกพูดจาแบบนี้? เกิดอะไรขึ้น?”


พี่สาวฉินรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดกล้องหน้าแล้วให้เขาแลบลิ้นออกมา ฉินสือโอวเองก็รู้สึกตกใจเหมือนกันเมื่อได้เห็นลิ้นของตน ทั้งลิ้นเป็นสีเขียว เขาถ่มน้ำลายออกมาเป็นสีเขียวมรกต…


“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ต้วนเหล่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ให้ฉันขับรถไปส่งที่โรงพยาบาลประจำเขตของเราหน่อยไหม?”


ฉินสือโอวรู้สาเหตุแล้ว เขาก้มหน้าและดึงจี้ที่ห้อยอยู่บนคอขึ้นมา หยกได้กลายเป็นกระจกสีขาวขุ่นไปแล้ว


“พ่อ นี่คือหยกพม่าเหรอ” ฉินสือโอวยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “น่าจะทนอีกสักสองวันสิ”


พ่อฉินต้องการกลับไปหาชาวภาคใต้ที่ขายหยกอย่างโกรธแค้น แต่ฉินสือโอวรู้สึกว่าไม่จำเป็น คู่ละ 100 หยวน เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องหลอกลวง คนหนึ่งอยากขาย อีกคนก็อยากซื้อ แต่โชคดีที่ยังไม่ได้ให้วินนี่ใส่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้มีพิษหรือไม่


ฉินสือโอวไปแปรงฟันรอบหนึ่ง ต้วนเหล่ยแนะนำเขาให้ไปดูอาการที่โรงพยาบาลสักหน่อย ฉินสือโอวโบกมือปฏิเสธ เขาไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร อีกอย่างคนขายหยกพวกนั้นก็คงไม่ใช่พวกคนขายยาพิษ พวกเขาไม่กล้าใช้สิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์มาทาบนกระจกหรอก


หลังจากเข้าไปนั่งในบ้าน วินนี่ชงกาแฟคุณภาพดีที่นำกลับมาจากแคนาดาให้ต้วนเหล่ย ต้วนเหล่ยแสร้งทำเป็นหลับตาดมกาแฟแล้วพูดว่า “กาแฟจาเมกาใช่หรือไม่?”


ฉินสือโอวประหลาดใจเล็กน้อยและพูดว่า “พี่ต้วนเก่งจริงๆ นี่เป็นกาแฟจาเมกาจริงๆ”


กาแฟจาเมกา ได้รับการขนานนามว่าเป็นพี่น้องสายเดียวกันกับกาแฟบลูเมาน์เทน กาแฟจาเมกาเป็นกาแฟชั้นนำของโลก แต่ความจริงแล้วอัตราการผลิตต่ำมาก ซึ่ง ‘กาแฟบลูเมาน์เทน’ ที่วางขายข้างนอกในตอนนี้ ร้อยละ 90 เป็นของปลอม


ดังนั้น ถ้าต้องการลิ้มรสของกาแฟจาเมกา กาแฟบลูเมาน์เทนเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย เพราะของปลอมค่อนข้างน้อย


ต้วนเหล่ยยิ้มอย่างเขินอายพร้อมกับพูดว่า ‘ไม่มีอะไร’ จากนั้นก็เล่าประสบการณ์ตอนที่ตนไปเรียนที่แคนาดาให้ฟัง เขาบอกว่าสิ่งที่เขาโปรดปรานมากที่สุดในตอนนั้นคือดื่มกาแฟไปอ่านหนังสือในห้องสมุดไป เพื่อฆ่าเวลา


ในตอนท้าย ต้วนเหล่ยพูดว่า “แน่นอนว่า การที่ฉันสามารถบอกชื่อกาแฟของนายได้ในทันที เป็นเพราะว่าฉันเห็นโลโก้บนกล่องกาแฟตอนที่ภรรยานายหยิบมันมา ฮ่าๆ โลโก้ของกาแฟบลูเมาน์เทนสะดุดตาไม่น้อย”


ในตอนที่เขาพูดประโยคนี้ออกมานั้น คนในห้องต่างพากันหัวเราะ ฉินสือโอวรู้สึกว่าต้วนเหล่ยเป็นคนที่ไม่เลวเลย ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงรสนิยมของตัวเอง และยังแสดงให้เห็นถึงความมีอารมณ์ขันในตัวเขาด้วย


การมาครั้งนี้ของต้วนเหล่ยไม่มีจุดประสงค์อื่น ดูเหมือนว่าเขาจะมาเพื่อตามรอย A6 แต่ความจริงแล้วเขามาเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีกับฉินสือโอว


พอดีกับที่ฉินสือโอวต้องการหาคนช่วย การมาของต้วนเหล่ยก็ไม่เลวเหมือนกัน ดังนั้นหลังจากพูดคุยกันพักหนึ่งเขาก็เข้าสู่ประเด็นหลัก “พี่ต้วน ผมมีโอกาสดีที่อาจจะทำเงินได้ ไม่รู้ว่าพี่สนใจหรือไม่?”


ต้วนเหล่ยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา และถามว่า “โอกาสอะไร? แน่นอนว่าต้องสนใจอยู่แล้ว!”


“เปิดร้านอาหาร!”


ต้วนเหล่ยที่เดิมทีมีท่าทีตื่นเต้นหยุดนิ่งในทันที “เปิดร้านอาหารเหรอ? ฉันคือว่าโดยพื้นฐานแล้ว ธุรกิจนี้ยากที่จะร่ำรวยได้”


ฉินสือโอวกล่าวว่า “ไม่ใช่ร้านอาหารธรรมดาทั่วไป พี่ต้วน ผมวางแผนจะเปิดโรงแรมอาหารทะเลชั้นนำในเขต พี่เองก็รู้ว่าผมทำธุรกิจเพาะเลี้ยงปลาที่แคนาดา แต่พี่อาจจะยังไม่รู้ อาหารทะเลในฟาร์มปลาของผมเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา”


ครั้งนี้ไม่ต้องคุยโว เขาแค่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากนั้นค้นหาอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน ก็จะเห็นรายงานที่เกี่ยวข้องมากมายจนนับไม่ถ้วน


“ถึงเวลานั้นแค่ใช้อาหารทะเลของผม รวมอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับสูงในเขตเข้าด้วยกันก็จะง่ายต่อการจัดการอย่างมาก!” ฉินสือโอวพูดอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม


แต่ความจริงแล้วเขาก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดที่จะรวมตลาดอาหารทะเลทางตะวันออกของแคนาดาเข้าด้วยกัน แต่ตอนนี้เปลี่ยนมารวมเขตเล็กๆ ในบ้านเกิดแทน


ต้วนเหล่ยเริ่มลังเลใจ การที่เขาต้องการสร้างสัมพันธไมตรีกับฉินสือโอว ก็เพื่อยืมทรัพยากรที่เขามีอยู่มาสร้างทำเงินไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว ก็ต้องดูที่วิสัยทัศน์ของเขาแล้วล่ะ


ต้วนเหล่ยพูดอย่างระมัดระวังว่า “ฉันขอกลับไปคิดก่อนได้ไหม?”


เรื่องนี้ไม่เร่งรีบ แม้จะร่วมมือกันก็ต้องหารือเกี่ยวกับสัดส่วนของเงินปันผล ฉินสือโอวต้องการที่จะร่วมมือกับต้วนเหล่ยเป็นอย่างมาก เพราะการเปิดร้านอาหารระดับไฮเอนด์นั้นแตกต่างจากร้านอาหารทั่วไป จำเป็นที่จะต้องใช้เส้นสาย ต้วนเหล่ยสามารถเปิดร้าน 4S ที่ใหญ่ที่สุดได้ แสดงว่าเส้นสายต้องไม่ธรรมดา


เขาต้องการนำอาหารทะเลในฟาร์มปลาไปเทขายในเมืองจริงๆ แต่ต้องการจัดการกับปลาในบ่อเลี้ยงปลาเป็นหลัก เขาเชื่อว่า แค่กุ้งเครย์ฟิชและปลาชนิดอื่นในบ่อเลี้ยงปลา ก็สามารถรองรับร้านอาหารระดับเขตได้


หลังจากที่ส่งต้วนเหล่ยกลับ เหล่าข้าราชการในหมู่บ้านก็มาที่บ้านของเขา พวกเขานำขนมไหว้พระจันทร์ ผลไม้อบแห้งและอาหารกระป๋องมาให้  เพื่อให้เขานำกลับไปที่แคนาดาด้วย โดยเฉพาะผลไม้อบแห้งและอาหารกระป๋อง มีจำนวนมากจนสามารถยัดห้องให้เต็มได้เลยล่ะ


บทที่ 845 คุยกระซิบในคืนฤดูใบไม้ร่วง

Ink Stone_Fantasy

โรงงานกระป๋องเริ่มผลิตมาตั้งแต่ฤดูร้อนแล้ว


อากาศที่บ้านปีนี้ค่อนข้างแห้งแล้ง อากาศอย่างนี้เหมาะสำหรับการเติบโตของพืชผล หลังจากนั้นจะเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์มากเกินไปด้วยซ้ำ


หรือก็คือ ผลไม้ปีนี้มีมากเกินความต้องการ ราคาจึงตกลงมาก!


แต่คนในหมู่บ้านไม่ได้กังวล เพราะว่าผลไม้ของพวกเขาต่างก็ส่งเข้าไปยังโรงงานกระป๋องในหมู่บ้าน เปลี่ยนมันให้เป็นผลไม้กระป๋อง และยังมีบางส่วนที่นำไปแปรรูปเป็นผลไม้อบแห้ง เลยไม่ต้องกังวลเรื่องช่องทางการค้าขายอย่างแต่ก่อน


หัวหน้าหมู่บ้านพัฒนาช่องทางไปทุกที่ ชาวบ้านเองก็รวมกลุ่มกันไปทำการขายส่งตามตลาดต่างๆ ของแต่ละเขตอำเภอเอง สถานการณ์การค้าขายในตอนนี้ถือว่าไม่เลว ทำให้พวกชาวบ้านดีใจไม่น้อย


ชาวบ้านและเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน ทุกคนรู้ว่าพึ่งพาและได้ดีเพราะใคร ดังนั้นเทศกาลไหว้พระจันทร์ในครั้งนี้ คนที่ส่งสิ่งของไปที่บ้านของฉินสือโอวจึงเยอะมาก


เมื่อวานนี้พ่อแม่ของเด็กๆ ที่ไปตกปลาที่บ่อปลาเองก็ส่งของมาให้ด้วย บางคนเป็นของที่ธรรมดามาก เช่น พืชผักที่ปลูกเองที่บ้าน บางคนซื้อขนมไหว้พระจันทร์และเหล้าเบียร์ แต่ขนมไหว้พระจันทร์เยอะที่สุด ถึงแม้พ่อของฉินสือโอวจะกินวันละกล่องก็คงกินได้จนถึงปีใหม่


นอกจากส่งของขวัญแล้ว เหล่าเพื่อนบ้านยังพูดอ้อมค้อมเพื่อแนะนำญาติตัวเองหรือไม่ก็ลูกสาวของเพื่อน แม้ว่าวินนี่จะอยู่ด้วยก็ยังกล้าเสนอ ตอนนี้ฉินสือโอวกลายเป็นชายหนุ่มที่ดังที่สุดในแถบนี้ ใครๆ ต่างก็รู้ว่าถ้าให้ลูกสาวแต่งเข้าบ้านตระกูลฉิน ทั้งชีวิตนี้ก็รอเสวยสุขได้เลย


ฉินสือโอวรำคาญมาก รู้ว่าคนอื่นเขาเพียงแค่หวังดี เพราะที่จริงแล้วเขายังไม่ได้แต่งงาน จึงทำได้เพียงปล่อยให้คนอื่นแนะนำไป โดยที่ทำอะไรไม่ได้ เขาจึงพาวินนี่ไปเดินเล่นที่ภูเขาท้ายหมู่บ้าน


ก่อนจะไป เขายังได้ยินผู้หญิงคนหนึ่งที่ตามฐานะแล้วเขาควรเรียกว่าป้าบ่นกับแม่ว่า “คุณพี่ พี่ต้องคิดให้ดีนะ ยังไงมีสะใภ้เป็นคนใกล้ตัวดีที่สุด ผู้หญิงต่างชาติสวยก็จริง แต่ว่ายังไง วัฒนธรรมก็ไม่เหมือนกันนะ พี่ว่าอีกหน่อยแม่ผัวกับลูกสะใภ้จะอยู่กันยังไง…”


วินนี่ยิ้มอย่างใจกว้างตอนอยู่ที่บ้าน ลับหลังก็แสดงภาพลักษณ์เด็กผู้หญิงออกมา แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “วัฒนธรรมไม่เหมือนกันยังไง? หรือว่าฉันไม่ได้โตมาจากการกินข้าวเหรอ? ฉันไม่เคยได้เรียนหนังสือมาก่อนเหรอ? งั้นได้ พูดแค่เรื่องวัฒนธรรม ฉันไม่เชื่อว่าเด็กผู้หญิงที่พวกเธอแนะนำ จะเข้าใจในวัฒนธรรมของประเทศจีนมากไปกว่าฉัน”


ฉินสือโอวกุมมือเธอแล้วยิ้มขึ้นมา ฟังคำบ่นของวินนี่ไประหว่างทาง ทั้งสองผ่านไร่นาในหมู่บ้านเข้าไปในภูเขา บนเขาเต็มไปด้วยพืชผลต้นไม้ คนในหมู่บ้านประสบความสำเร็จในการพัฒนาหมู่บ้านแห่งนี้เป็นอย่างมาก


เข้าสู่เทศกาลไหว้พระจันทร์ ผลไม้ที่ขึ้นเต็มภูเขาต่างก็สุกงอมหมดแล้ว องุ่นสีม่วงแดงบ้างสีเหลืองเขียวบ้างห้อยอยู่บนกิ่ง แอปเปิลสาลี่สีเหลืองอ่อนแขวนอยู่บนกิ่งไม้ ลูกพลับยังมีบางส่วนที่ออกเขียว ลูกพลัมและเกาลัดต่างก็สุกแล้วเหมือนกัน


ตอนที่เดินผ่านสวนองุ่นแห่งหนึ่ง สุนัขเฝ้าบ้านข้างในก็เห่าขึ้นมา เจ้าของที่ดูแลสวนวิ่งออกมาดูเห็นว่าเป็นฉินสือโอว จึงเด็ดองุ่นสองพวงล้างแล้วยื่นให้เขา ยิ้มพูดว่า “เสี่ยวโอวทำไมถึงขึ้นมาบนเขาล่ะ? มา ลองชิมองุ่นดำของบ้านอาก่อน หวานมากเลยนะ”


ฉินสือโอวยิ้มแล้วบอกว่าจะเดินไปรอบๆ กับภรรยาเพื่อให้คุ้นเคยบ้านเกิดเสียหน่อย ชายคนนั้นถอนหายใจพูดว่า “เฮ้อ ต้องกลับมาบ่อยๆ นะ นี่ถ้าอีกหน่อยนายไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ลูกเองก็เป็นสัญชาติต่างประเทศ รอผ่านไปอีกเป็นปี ก็ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเราแล้วสิ”


ฉินสือโอวบอกว่าไม่เป็นแน่ รากอยู่ที่หมู่บ้าน อีกหน่อยมีลูกแล้วก็ต้องพากลับมาอย่างแน่นอน ให้วัยเด็กของลูกเติบโตที่หมู่บ้านนั่นแหละ


พูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค ฉินสือโอวและวินนี่ก็กินองุ่นไปแล้วเดินเล่นบนเขาต่อ


เมื่อเทียบกับเทือกเขาเคอร์บัลแล้ว ธรรมชาติของภูเขาในบ้านเกิดไม่ค่อยดี ต้นไม้ถูกตัดโค่นอย่างรุนแรง และถูกปลูกแทนด้วยพืชผล แต่เพราะว่าสวนพืชผลกำลังพัฒนาได้ไม่นาน ทำให้ไม่มีต้นไม้ใหญ่ แบบนี้มองดูไกลๆ ยังสวยอยู่ แต่พอมองใกล้แล้ว จะเห็นว่าเป็นแค่ภูเขาโล้นๆ


แต่ว่าเขาทุกลูกมีดอกหญ้าขึ้นเต็มไปหมดเหมือนกัน


ฉินสือโอวแนะนำชนิดพันธุ์ของดอกไม้พวกนี้ให้วินนี่รู้จัก วินนี่ฟังอย่างออกรส ดอกไม้หลายอย่างต่างก็มีตำนานเรื่องเล่าของมัน ตอนที่แนะนำก็เลยค่อนข้างสนุก


หาที่สะอาดที่หนึ่งบนเนินเขานั่งลง ฉินสือโอวมองลงไปข้างล่าง สามารถมองเห็นได้ทั้งหมู่บ้าน


แม่น้ำไป๋หลงไหลผ่านจากตีนเขา เลี้ยวโค้งหน้าหมู่บ้านแล้วไหลไปข้างหน้าต่อ กำแพงกระเบื้องสีแดงและต้นไม้เขียวขจีในหมู่บ้าน ถนนตรอกซอกซอยตัดกันไปมาราวกับกระดานหมากรุก


ฉินสือโอวเงยหน้าขึ้นมาดูท้องฟ้าที่ยังคงมีสีฟ้าใส ถอนหายใจว่า “เมื่อก่อน ตอนที่ผมยังไม่ได้ออกไปเรียน รู้สึกว่าหมู่บ้านมันใหญ่มาก แค่หาสถานที่สักที่ก็สามารถเล่นได้ทั้งวันแล้ว กลับมาดูตอนนี้ ความจริงแล้วหมู่บ้านก็เล็กนิดเดียว”


วินนี่ยิ้มตอบ “เป็นเพราะใจคุณใหญ่ขึ้นต่างหาก มันก็เป็นอย่างนี้นั่นแหละ ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น สายตาของพวกเราก็กว้างไกลขึ้นด้วย”


ฉินสือโอวกุมมือเธอแล้วพูดว่า “ใช่ ใจของผมมันใหญ่ขึ้น วินนี่ คุณไม่รู้หรอก ถ้าหากไม่ได้ไปที่เมืองแฟร์เวล ผมไม่รู้จริงๆ ว่าชีวิตนี้ผมจะผ่านมันมายังไง ตอนที่อยู่เมืองไหเต่า ผมสับสนมาก…”


พูดอยู่เขาก็ส่ายหัวขึ้นมา ช่วงวันที่เพิ่งถูกไล่ออกจากงาน ช่างทุกข์ทรมานจริงๆ ทำงานในรัฐวิสาหกิจหลายปี ทำให้ความมุ่งมั่นของเขาถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น และทำให้สิ่งที่เขาได้เรียนมาตอนเรียนมหาวิทยาลัยถูกทำลายลงจนหมด


บางครั้งตอนตื่นขึ้นมากลางดึก ฉินสือโอวไม่รู้ว่าทางออกของอนาคตเขาอยู่ทางไหน ถึงขั้นเคยคิดที่จะฆ่าตัวตายด้วย


ตอนนั้นเขากลัวจริงๆ กลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคซึมเศร้า อยู่คนเดียวในห้องเล็กๆ งานก็หาไม่ได้ ความกดดันและหน้าที่กดดันให้เขาหายใจแทบไม่ออก


พอมาคิดดูตอนนี้ เขาในตอนนั้นไม่ค่อยได้เรื่อง ประเด็นคือความกดดันนั้นมากเกินไป


วินนี่กุมมือเขาไว้แน่น อมยิ้ม “พระเจ้าได้ขีดเส้นทางเดินให้กับเราเอาไว้แล้ว พวกเราเพียงแค่ก้าวเดินไปอย่างกล้าหาญก็พอแล้ว อย่ากลัวเลย คุณควรเข้มแข็งกล้าหาญ ไม่ต้องกลัว และไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน พระยะโฮวาห์ พระเจ้าจะอยู่กับคุณ”


ฉินสือโอวยิ้มแล้วเก็บก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่งโยนลงไป โยนเข้าไปในพงหญ้าที่เริ่มแห้ง ปรากฏว่าทำให้กระต่ายป่าสีเทาตัวหนึ่งกระโดดออกมา


กระต่ายป่านั้นมองดูรอบข้างอย่างตื่นกลัว จากนั้นก็วิ่งหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างเร็ว ถ้าหากนี่เป็นเทือกเขาเคอร์บัล กระต่ายป่านี้คงไม่กลัวขนาดนี้ ขอเพียงแค่ฉินสือโอวและวินนี่ไม่เข้าไปใกล้มัน มันก็จะกลับไปซ่อนในพงหญ้าเหมือนเดิม


ท้องฟ้าสูงสดใส ฝูงห่านเทาปากดำบินมาจากทิศเหนือ จัดขบวนบินไปทางทิศใต้เป็นรูปตัว Y หลังจากนั้นลมเย็นฤดูใบไม้ร่วงก็พัดมา ฉินสือโอวอยู่ในบ้าน รู้สึกถึงไอฤดูใบไม้ร่วงอย่างเข้มข้น


ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้ว


พลบค่ำ ฉินสือโอวพาวินนี่ลงเขาไป มีเสียงประทัดดังขึ้นมาเป็นระยะในหมู่บ้าน แต่ว่าบนถนนเงียบเหงามาก ไม่มีบรรยากาศของเทศกาลเลย ผู้คนออกมาจุดประทัดเสร็จก็รีบกลับเข้าไปในบ้าน


ผ่านเทศกาลไหว้พระจันทร์ ฉินสือโอวช่วยงานเก็บเกี่ยวไร่นาที่บ้าน ข้าวโพดและถั่วลิสงสุกแล้ว เนื่องจากปีนี้เปิดบ่อปลา จึงได้ปลูกข้าวโพดเพียงครึ่งไร่และถั่วลิสงครึ่งไร่เท่านั้น การเก็บเกี่ยวจึงง่ายดายมาก โดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องจักรเลย


ฉินสือโอวบอกพ่อแม่ว่าปีหน้าไม่ต้องปลูกเสบียงอาหารแล้ว ครั้งนี้พ่อและแม่ของฉินสือโอวฟังคำเขาอย่างว่าง่าย “ได้ ปีหน้าพวกเราจะไม่เพาะปลูกแล้ว เลี้ยงปลาเลี้ยงกุ้งแทน พัฒนาบ่อปลาให้ใหญ่อีกหน่อย จะเปิดโรงแรมใหญ่ที่หนึ่งในเมืองให้แกให้ได้!”


ได้ยินแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวยิ้มขมขื่นขึ้นมา เรียบร้อย พ่อแม่ได้ยุ่งต่อแล้ว


บทที่ 846 เกาะล่องแก่ง

Ink Stone_Fantasy

อยู่ที่บ้านยี่สิบกว่าวัน ช่วงเวลานี้ฉินสือโอวและวินนี่ได้ไปร่วมพิธีแต่งงานของซ่งจวินเหมยและเยียนเฟย ครั้งนี้ทุกคนค่อนข้างจะยับยั้งชั่งใจ นอกจากกินดื่มกันแล้ว ก็ไปร้องเพลงที่คาราโอเกะ


อาจเป็นเพราะว่าเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ฉินสือโอวมีอาการอ่อนไหวง่ายขึ้นมา เพลงที่เขาเลือกร้องในคาราโอเกะล้วนเป็นเพลงเก่าที่มีความหมายพิเศษ เช่น ‘มิตรภาพยั่งยืนนิรันดร’ ‘เสียงของความเงียบ’ ‘เพื่อน’ และ ‘พี่น้อง’


เทียบกับคนรุ่นหลังยุค 95 ที่เรียนมหาวิทยาลัยในตอนนี้แล้ว พวกนี้ต่างก็เป็นกลุ่มคนแก่แล้ว บางครั้งเวลาที่ร้องเพลงอยู่ก็จะกอดคอกัน ดวงตาแดงก่ำ


ยังดีที่ห้องคาราโอเกะมืดสลัว


ตอนที่ร่วมพิธีแต่งงาน ฉินสือโอวเอาผลไม้แห้งและผลไม้กระป๋องมาด้วย ของพวกนี้ไม่เสียเงิน ในบ้านมีกองเป็นภูเขา เขาเอามาให้ซ่งจวินเหมยและเยียนเฟย สามารถเอามารับของแขกได้พอดี


แบบนี้ตอนที่พวกเขาไป เยียนเฟยที่เกรงใจจึงเตรียมของของฝากท้องถิ่นให้เขาอีกกองหนึ่ง เขาจึงต้องเอาขึ้นเครื่องบินไปกับเหมาเหว่ยหลง


ท้ายเดือนตุลาคม ตามกระแสลมหนาวที่พัดมาจากขั้วโลกเหนือ ฉินสือโอวและวินนี่กลับมาถึงเกาะแฟร์เวล


ตอนที่ลงจากเครื่องบินที่โทรอนโต ฉินสือโอวรู้สึกว่าอากาศยังดีอยู่ แต่พอถึงนครเซนต์จอห์น ก็กลายเป็นอากาศหนาวไปเลย


เอาของฝากที่เอากลับมาแบ่งให้กับเหล่าชาวประมงและทหาร ฉินสือโอวกำลังพูดคุยไร้สาระกับคนกลุ่มหนึ่ง การ์เซียและเซลียาหาเขาจนเจอ ยิ้มบอกว่า “ฉิน การออกแบบของพวกเราสิ้นสุดแล้ว คงได้เวลาที่จะเริ่มทริปท่องเที่ยวทั่วโลกแล้วล่ะ”


ทั้งสองคนอยู่ที่เกาะแฟร์เวลเป็นเวลาประมาณสองเดือน ฉินสือโอวรู้สึกว่าทั้งสองคนดีมาก การ์เซียทำอะไรอย่างตั้งใจและพยายาม ถ้าหากเป็นไปได้ เขายินดีที่จะจ้างทั้งสองคนให้ทำงานอยู่ที่ฟาร์มปลา


แต่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ สองสามีภรรยาคู่นี้ยังมีทริปที่อยากจะท่องเที่ยวทั่วโลกอีก


ฉินสือโอวเชิญทั้งสองคนให้อยู่ต่อ หนุ่มหล่อชาวสเปนปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ไม่ล่ะ ฉิน คุณก็รู้ พวกเราจากบ้านเกิดมาเพื่อท่องเที่ยวทั่วโลก เกาะแฟร์เวลสวยมาก พวกคุณเองก็ดีมาก แต่ว่าพวกเราไม่สามารถอยู่ต่อได้”


เซลียายิ้มเอ่ย “ระหว่างที่ท่องเที่ยว พวกเราพบเจอการยั่วยวนหลายต่อหลายครั้ง หลายๆ สถานที่เป็นที่ที่ยอดเยี่ยมมาก พวกเราอยากจะใช้ชีวิตอาศัยอยู่ที่นั่นตลอดไป แต่ว่าพวกเรารู้ว่า ถ้าหากจะท่องเที่ยวทั่วโลกให้สำเร็จ ก็ต้องพบเจอกับการยั่วยวนมากมาย แต่โชคดีที่พวกเรารับมือกับมันได้”


เมื่อพูดถึงขนาดนี้แล้ว ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงอวยพรให้ทั้งสองคนเท่านั้น


เขาแวะไปชมเกาะพลาสติก มันใหญ่กว่าที่คิดเล็กน้อย ขนาดพื้นที่มีเพียงสองพันห้าร้อยตารางเมตร


เดิมทีคาดการณ์ว่าเป็นสองพันตารางเมตร การ์เซียอธิบายว่า “ตอนปลายเดือนกันยายนก็เสร็จสิ้นส่วนที่คาดการณ์เอาไว้ แต่หลังจากนั้นผมคิดว่า ในเมื่อยังไม่สามารถไปไหนได้ชั่วคราว อย่างนั้นทำไมผมถึงไม่ขยายพื้นที่ให้คุณสักหน่อยล่ะ?”


ฉินสือโอวตบไหล่การ์เซียอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณ เพื่อน ผมทำให้พวกคุณเสียเวลาไปหน่อย”


การ์เซียยักไหล่ว่า “อย่าพูดแบบนี้เลย ฉิน คุณก็รู้ เหตุผลที่พวกเรายังอยู่ไม่ใช่เพราะคุณไม่อยู่แคนาดาแล้วรับเงินไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่าพวกเราชื่นชอบที่นี่จริงๆ”


“ทุกคืนก่อนนอน ฉันกับการ์เซียมักจะพูดว่า นี่เป็นคืนสุดท้ายที่พวกเราจะอยู่ที่นี่ แต่พอตื่นนอนขึ้นมา พวกเราก็โน้มน้าวตัวเอง ให้อยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งวัน มันเป็นแบบนั้นนั่นแหละ” เซลียาพูดเสริม


เกาะพลาสติกไม่มีปัญหาอะไร จุดสำคัญคือแผ่นพีวีซีและขวดพลาสติก แต่ส่วนสำคัญระหว่างนี้มีพวกวัสดุเช่น ไม้ กระจกนิรภัยเทมเปอร์และสเตนเลสคอยพยุง ทั้งตัวเป็นสายเบ็ดที่ยืดหยุ่นและเทปกาวกันน้ำจำนวนมาก ค่อนข้างแข็งแรงเป็นอย่างมาก


เกาะนี้ถูกมัดไว้กับท่าเรือ แม้ว่าจะใช้พลาสติกเป็นหลัก แต่เพราะมีความหนาพอ น้ำหนักของเกาะจึงค่อนข้างเยอะ ตอนที่ลมทะเลพัดมาเบาๆ เกาะสามารถลอยอยู่บนน้ำทะเลได้โดยไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย


ฉินสือโอวใช้เรือเด็คลองดึงให้ห่างออกจากฝั่งไปไกลกว่าหนึ่งกิโลเมตรดู พอลองยืนบนเกาะพลาสติกก็เหมือนกับกำลังยืนอยู่บนทะเล อีกหน่อยถ้าย้ายกระท่อมเขามา จะต้องน่าสนใจอย่างแน่นอน


การตรวจรับงานผ่าน ฉินสือโอวให้วินนี่โอนเงินห้าแสนดอลลาร์แคนาดาให้กับการ์เซีย การ์เซียหนุ่มหล่อยกมือถือขึ้นมาดู “นี่เป็นเงินที่พวกเราเคยได้เยอะที่สุดภายในครั้งเดียว ขอบคุณมาก ฉิน อนาคตถ้ามีโอกาส พวกเราจะมาฟาร์มปลาของคุณอีกอย่างแน่นอน”


“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นสิ่งที่พวกคุณควรจะได้รับ พวกคุณให้เกาะเล็กๆ ที่เยี่ยมที่สุดกับผมเกาะหนึ่ง” ฉินสือโอวพูดอย่างชอบใจว่า “เกาะสำหรับฉัน”


แบล็คไนฟ์พาคนไปถอดกระท่อมออกมา จากนั้นใช้รถกระบะขนไปที่ท่าเรือ แล้วย้ายไปไว้บนเกาะเล็ก ประกอบขึ้นใหม่บนนั้น อย่างนี้เกาะเล็กที่อยู่อาศัยก็เสร็จสิ้นแล้ว


การ์เซียและเซลียาไปถ่ายรูปบนนั้นหลายรูป สุดท้ายหนุ่มหล่อการ์เซียก็ก้มลงจูบเกาะพลาสติกทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ลาก่อนเพื่อน แล้วเราค่อยเจอกันใหม่”


ช่วงกลางวันวันที่สองหลังจากฉินสือโอวกลับมาถึงฟาร์มปลา เรือสีขาวลำนั้นก็ออกไปจากท่าเรือของฟาร์มปลาล่องขึ้นเหนือ


การ์เซียและเซลียาโบกมือลาทุกคนอยู่บนท้ายเรือ ฉินสือโอวพาเหล่าชาวประมงทุกคนมาส่งทั้งสองคน แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมองไม่เห็นร่างอีกฝ่ายแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงโบกมือให้กันอยู่


ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกับฉากที่สวยงามอีก


นี่ก็เป็นสิ่งที่งดงามที่สุดของชีวิตคน เราไม่อาจล่วงรู้ในสิ่งที่ยังไม่เกิด อนาคตอาจจะดำมืด หรืออาจจะสวยสดงดงาม และสิ่งที่มันยั่วยวนก็คือความลึกลับไม่แน่นอนของมัน


พระเจ้าไม่ได้เป็นใจ เพราะว่าการมาถึงของกระแสลมหนาว ลมทะเลหลายวันมานี้ค่อนข้างแรง ทำให้เกาะล่องแก่งไม่ได้ใช้งานเลย จึงได้แต่ลากขึ้นไปบนชายหาดเพื่อหลบเลี่ยงคลื่นลม


กระทั่งถึงปลายเดือนตุลาคม กระแสลมหนาวนี้จากไป คลื่นลมน่านน้ำนิวฟันแลนด์ถึงได้กลับมาสงบอีกครั้ง แต่ว่าอากาศก็เย็นลงแล้ว องุ่นล็อตแรกของสวนองุ่นฟาร์มปลายังไม่เคยได้เก็บเกี่ยวก็ยังถูกแช่แข็งอยู่บนราวองุ่น


องุ่นที่ใช้มักเหล้าในองุ่นล็อตนี้ไม่สามารถเก็บได้แล้ว ฉินสือโอวเองก็ไม่ได้คิดจะเก็บเกี่ยว แต่ว่ายังปลูกพวกองุ่นแดงองุ่นเขียวที่เอาไว้กินอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะพวงเล็กเม็ดเล็ก แต่เพราะมีการพัฒนาจากพลังโพไซดอน จึงทำให้มีรสชาติไม่เลวเลย


กระแสลมช่วงกลางคืนก็คือตู้เย็นธรรมชาติ รสชาติขององุ่นพวกนั้นหลังแช่เย็นจะยิ่งอร่อย วินนี่ทำเป็นสลัดให้ฉงต้า ฉงต้าสามารถกินได้มื้อละกว่าห้ากิโลกรัมเลย!


ฉินสือโอวเด็ดองุ่นและบลูเบอร์รีมาจำนวนหนึ่ง ปลายเดือนคลื่นลมบนทะเลสงบลงแล้ว เขาใช้เรือเด็คลากเกาะล่องแก่งไปยังสถานที่ที่ห่างจากชายทะเลไปไกลมาก วางเก้าอี้ยาวไว้บนนั้น พาวินนี่และพวกหู่เป้าฉงหลัวไปอาบแดดบนทะเล


นครเซนต์จอห์นเป็นสถานที่ยอดนิยมในการอาบแดดช่วงฤดูใบไม้ร่วง ฟ้าสูงอากาศสดชื่น แสงอาทิตย์สดใส ฉินสือโอวนอนคว่ำลงบนเก้าอี้ยาว ปล่อยให้แผ่นหลังถูกปลอบประโลมจากแสงแดด จิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็เข้าสู่ฟาร์มปลา


พอเข้าไปในฟาร์มปลา ก็เห็นเข้ากับปลาหัวเมือกฝูงใหญ่ที่เขานำกลับมาจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา


ปลาหัวเมือกพวกนี้อาศัยอยู่ในฟาร์มปลาได้ไม่เลว พวกมันหาสถานที่ใต้ทะเลลึกหนึ่งพันเมตรกว่าเพื่อพักผ่อน บางครั้งก็ออกไปหาอาหารกันเป็นกลุ่มเป็นฝูง ส่วนใหญ่แล้วจะอาศัยอยู่ใต้พื้นทะเลอย่างสงบ ไม่มีวิกฤตการณ์อะไร


ฉินสือโอวตั้งความหวังไว้กับปลาหัวเมือกไว้มากอยู่ จนถึงตอนนี้ ได้มีการจับปลาชนิดนี้ในเชิงพาณิชย์มายี่สิบกว่าปีแล้ว ทรัพยากรกำลังอยู่ในสถานการณ์ขาดแคลน ทรัพยากรปลาหัวเมือกในแถบมหาสมุทรแอตแลนติกแทบจะสูญสิ้นแล้ว ปลาชนิดนี้ยังมีแนวโน้มดีในตลาดอนาคตอยู่


บทที่ 847 ผลิตภัณฑ์ทางทะเลที่ล้ำค่า

Ink Stone_Fantasy

ปลาหัวเมือกเป็นปลาทะเลชนิดหนึ่งที่ชอบความสงบ นี่เป็นผลมาจากการพัฒนาของธรรมชาติ พวกมันไม่มีฟันที่แหลมคม ไม่มีร่างกายที่กำยำ ไม่มีความเร็วที่เหนือใคร แต่กลับมีเนื้อปลาที่อวบอ้วน เป็นอาหารรสเลิศในสายตาของเหล่านักล่าทางทะเลจริงๆ


และที่ซวยที่สุดคือ พวกมันสวยสดเกินไป นอกจากพวกปลาเขตร้อนมากมายหลายสีในแถวเส้นศูนย์สูตร มีปลาทะเลน้อยนักที่จะมีร่างกายสีสวยสดอย่างพวกมัน แบบนี้ทำให้พวกมันหาอาหารค่อนข้างยาก และใช้ชีวิตอยู่ยาก เพราะพวกมันมักจะถูกศัตรูตามธรรมชาติพบเจอได้ง่าย


ดังนั้น จึงมีการสร้างนิสัยการอยู่รอดแบบนี้ระหว่างการพัฒนาของธรรมชาติ


ฉินสือโอวถ่ายพลังโพไซดอนไปให้ฝูงปลาหัวเมือกเล็กน้อย กระตุ้นอัตราการเติบโตของพวกมัน และแน่นอนว่ายังมีความสามารถในการขยายพันธุ์ด้วย


ทรัพยากรปลาหัวเมือกขาดแคลนมาตลอด แม้ว่าจะพัฒนาได้ไม่เยอะ และยังมีปัญหาเรื่องการจับเกินอัตรา


ด้านการจัดการทรัพยากรปลาหัวเมือกนั้น ในตอนนี้สหรัฐอเมริกาและแคนาดาเข้ามาจัดการผ่านการจำกัดการนำเข้าและอัตราที่สามารถจับได้ เขตเศรษฐกิจพิเศษของนิวซีแลนด์ ออสเตรเลียและชิลี ก็ใช้วิธีการจัดการกับปริมาณที่นำปลาขึ้นฝั่ง


ในความเป็นจริงส่วนใหญ่ปลาเศรษฐกิจที่พบได้น้อยแบบนี้ ต่างก็เข้าสู่ตลาดทวีปเอเชียและทวีปยุโรปแล้ว แทบจะไม่มีผลในการจัดการกับปัญหาการลดลงของปลาหัวเมือกในระบบนิเวศน์ใต้ทะเลลึกและการทำลายแหล่งที่พักอาศัยโดยการจับ


ฉินสือโอวเคยทำวิจัยมาก่อนหน้านี้ ทรัพยากรปลาหัวเมือกในทุกวันนี้ส่วนใหญ่จะมีการจับเกินกำลัง สถานการณ์ขาดแคลนจึงไม่ค่อยมีความเป็นไปได้ในการที่จะพัฒนาต่อ


และผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ถ้าหากทรัพยากรปลาหัวเมือกขาดแคลนเมื่อไหร่ก็ยากที่จะฟื้นคืนกลับมา แม้ว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจจะค่อนข้างสูง แต่ความเป็นไปได้ในการพัฒนานั้นค่อนข้างน้อย


ปลาหัวเมือกที่มาถึงในล็อตนี้ ไปกระตุ้นพวกปลาจานเข้า ฉินสือโอวคาดการณ์ว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็จะสามารถพัฒนาทรัพยากรปลาจานได้ แล้วให้พวกมันขยายพันธุ์ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวก็คงเพียงพอแล้ว


หลังจากถ่ายพลังโพไซดอนให้กับปลาหัวเมือก จิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็ไปค้นหาสมาชิกใหม่ที่สำคัญของฟาร์มปลา ปลาไส้ตันฟลอริดา


ฉินสือโอวชี้นำให้พวกมันมาถึงฟาร์มปลา แต่ว่าพวกมันตัวเล็กเกินไป ประชากรก็น้อยเกินไป หาไปหลายรอบก็ยังหาไม่เจอ ครั้งนี้เขาให้ไอซ์สเกต บอลหิมะและบีนทั้งสามตัวมาช่วยเขาหา


ปรากฏว่า พอทั้งสามตัวได้รับคำสั่งก็มาหาเขาเลยในทันที ปลาไส้ตันฟลอริดาไม่ได้ถูกปลาตัวใหญ่ในฟาร์มปลากิน พวกมันหลบเข้าไปซ่อนในแนวปะการัง อาศัยสาหร่ายทะเลและแพลงก์ตอนที่อุดมสมบูรณ์ในการอยู่รอด


เห็นพวกตัวเล็กที่เหมือนปลาอีโต้มอญตัวเล็กพวกนี้มุดเข้าออกมาจากซอกปะการัง ฉินสือโอวก็ดีใจไม่น้อย ยังดีที่ไม่ได้ถูกพวกปลาตัวใหญ่กิน…


ก่อนหน้านี้หาพวกตัวเล็กไม่เจอสักที เขาเป็นกังวลจริงๆ ว่า ปลาเล็กพวกนี้พอเข้ามาในฟาร์มปลาก็อาจจะถูกพวกปลาค็อดจัดการหมด


ความสามารถในการต่อสู้ของปลาไส้ตันฟลอริดาแย่เกินไป พวกมันควรจะอาศัยอยู่ในลำธารน้ำจืดมากกว่า ท้องทะเลน่ากลัวเกินไป ไม่เหมาะกับพวกมัน


กลุ่มปลาในฟาร์มปลาต้าฉินหนาแน่นมาก การล่าอาหารเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา การแข่งขันในห่วงโซ่อาหารโหดร้ายมาก และบนห่วงโซ่อาหารปลาไส้ตันฟลอริดาถือเป็นปลาที่อ่อนแอกว่าปลาแฮร์ริ่งและปลาซาบะเสียอีก พวกมันสามารถมีชีวิตรอดจนหาปะการังเจอ ก็ถือว่าเทพโพไซดอนคุ้มครองพวกมันแล้ว


ฉินสือโอวค้นหาปลาไส้ตันฟลอริดาอย่างละเอียดเพื่อถ่ายพลังโพไซดอนให้พวกมัน ปลาแบบนี้จับง่ายมาก บนเกาะแฟร์เวลมีลำธารจากภูเขาสู่ทะเลเพียงเส้นเดียว เพียงแค่ขวางลำธารเล็กเอาไว้ ก็สามารถจับปลาพวกนี้ได้แล้ว


บอลหิมะและบีนต่างก็ค่อนข้างเรียบร้อย ไอซ์สเกตเป็นฉลามตะกละตัวหนึ่ง มันชื่นชอบที่จะลิ้มลองอาหารใหม่ทุกอย่าง ฉินสือโอวจึงต้องสั่งให้มันปกป้องปลาไส้ตันฟลอริดาตัวเล็ก ไม่ใช่จับพวกมันกิน


แม้ว่าจะเข้าสู่ฟาร์มปลาแล้ว ฉินสือโอวก็ยังเสริมพลังโพไซดอนให้กับพวกปลิงทะเลอีก อัตราในการเติบโตของปลิงทะเลขั้วโลกเหนือที่เลี้ยงรุ่นแรกสุดเร็วมาก ปลิงตัวเล็กเองก็มีขนาดเกือบสิบเซนติเมตรแล้ว


สถานที่ที่ปลิงทะเลพวกนี้อาศัยอยู่มีค่อนข้างเยอะ มีตามแนวปะการัง พื้นทรายใต้ทะเลและโขดหินใต้ทะเลลึก ระบบนิเวศน์ที่ไม่เหมือนกัน จึงทำให้รูปร่างของปลิงทะเลเองก็ไม่เหมือนกัน


ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือในแนวปะการังมีหลังออกเขียว ปลิงทะเลตามแนวโขดหินเป็นสีน้ำตาล และปลิงทะเลที่อาศัยบนพื้นทรายใต้ทะเลมีหลังเป็นสีเหลือง และข้างบนยังมีจุดด้วย


เมื่อก่อนฉินสือโอวยังคิดว่าฟาร์มปลามีปลิงทะเลชนิดใหม่เกิดขึ้น แต่หลังจากไปถามชาร์คก็ได้คำตอบว่า เรื่องแบบนี้พบเจอได้บ่อย ไม่มีอะไรต้องแปลกใจ


ก่อนหน้านี้ช่วงหนึ่ง ฉินสือโอวไม่ได้สนใจปลิงทะเล เพราะว่าช่วงฤดูร้อนพวกตัวเล็กพวกนี้มีนิสัยจำศีลในฤดูร้อน


อุณหภูมิน้ำเกินยี่สิบองศาเซลเซียส ปลิงหนามก็จะย้ายไปซ่อนตัวอยู่ในซอกโขดหินหรือใต้ก้อนหิน ไม่กินไม่ขยับเขยื้อน หดตัวทั้งตัวจนแข็งราวกับก้อนหนาม มันจำศีลทั้งฤดูร้อน กระทั่งฤดูใบ้ไม้ร่วงถึงฟื้นกลับมา


ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือเป็นปลิงชั้นดีในบรรดาปลิงหนาม อีกอย่างความอดทนต่ออุณหภูมิของน้ำต่ำยิ่งกว่า การทนทานต่ออุณหภูมิสูงได้เพียงแต่สิบห้าสิบหกองศาเซลเซียสเท่านั้น ถ้าหากถึงยี่สิบองศาเซลเซียสจริง พวกมันคงเป็นฮีทสโตรกตายแน่


ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือไม่กลัวอุณหภูมิน้ำต่ำ กลัวแต่อุณหภูมิน้ำสูง


พอเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศก็เย็นลง บรรดาปลิงทะเลก็มีชีวิตชีวา พวกปลิงทะเลกรีนแลนด์และปลิงทะเลขั้วโลกเหนือเปลี่ยนร่างกายที่เป็นก้อนหนามให้กลายเป็นก้อนเนื้อนิ่ม และเริ่มค้นหาอาหารใต้ท้องทะเล


เป็นแบบนี้แล้ว สถานการณ์ของพวกปลิงทะเลก็มีอันตรายหน่อยแล้ว ปลาใหญ่ ปูและกุ้งมังกร ต่างก็กินพวกมันเป็นอาหาร


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนหากลุ่มปลิงขาวกลุ่มหนึ่งเจอบริเวณโขดหิน ฉินสือโอวกำลังจะถ่ายพลังโพไซดอนเข้าไป ก็มีปลาอีโต้มอญที่ดุร้ายหลายตัวพุ่งเข้ามา


ตัวของปลาอีโต้มอญค่อนข้างเขียวมาก เขียวจนเหมือนภรรยาสวมหมวกเขียวให้พวกมันร้อยกว่าใบอย่างนั้น พวกมันจะจู่โจมเพื่อจับปลาทะเลค่อนข้างยาก ห่างกันตั้งไกลแต่ปลาทะเลก็สามารถเห็นหมวกเขียวบนหัวของพวกมันแล้ว


ดังนั้น พวกมันจึงชอบจับปลิงทะเล กุ้งเครย์ฟิช ปูตัวเล็กและพวกหอยกินมากกว่า


ศัตรูตามธรรมชาติมา ปลิงทะเลตัวอ้วนที่อยู่รอบนอกหลายตัวก็ลอยขึ้นมาอย่างมีสติ จากนั้นก็อ้าปากพ่นสิ่งของที่มีสีฉูดฉาดออกมากองหนึ่ง ของพวกนี้มันมาก หลังจากปรากฏออกมาน้ำทะเลรอบข้างก็มีคราบน้ำมันขึ้นมา


ปลาอีโต้มอญถูกของพวกนี้ดึงดูด จึงพุ่งเข้าไปแย่ง จนลืมปลิงทะเลที่อยู่ข้างล่างไปเลย และพวกปลิงทะเลเองก็ใช้แรงปฏิกิริยาสะท้อนของสิ่งที่คายออกมาเพื่อลอยหนีออกไป


นี่เป็นวิธีการเอาตัวรอดของปลิงทะเล สิ่งที่พวกมันคายออกมาเป็นเครื่องใน เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ที่มีวิธีการเอาตัวรอดที่โหดที่สุดในโลกแล้ว!


คนทั่วไปเวลากินปลิงทะเล มักจะเอาเครื่องในออก คิดว่ามันมีโลหะหลักหรือสิ่งสกปรกเยอะ แต่สำหรับปลากุ้งปูในทะเลแล้ว เครื่องในปลิงทะเลเป็นของดีเลยล่ะ


ปลิงทะเลมีความสามารถหนึ่งที่สุดยอดมาก นั่นก็คือแม้ไม่มีเครื่องในก็ไม่ตาย และใช้เวลาเพียงเดือนกว่าก็จะมีเครื่องในชุดใหม่เกิดขึ้นมาอีก


ฉินสือโอวโบกมือไล่ปลาอีโต้มอญไป แล้วถ่ายพลังโพไซดอนให้กับพวกปลิงทะเล


พวกปลิงทะเลคายเครื่องในออกมา เปรียบเหมือนกับการกระทำของเหล่านักพรตในนิทานเทพเซียนที่ระเบิดหยวนยิงตัวเองเพื่อเพิ่มพลังในการต่อสู้ ซึ่งมีผลเสียหายต่อร่างกายเป็นอย่างมาก อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาครึ่งปีในการพักรักษาฟื้นฟูสารอาหารที่สูญเสียไป


ในบริเวณใจกลางปะการัง หอยเป๋าฮื้อบริติชลายสลับสีผลิตภัณฑ์ทางทะเลล้ำค่าหนึ่งในหลายชนิดของฟาร์มปลามีชีวิตที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ตอนที่ฉินสือโอวหาพวกมันเจอ พวกหอยเป๋าฮื้อกำลังเปิดฝาออกเพื่อจับอาหาร ตอนบ่ายเป็นช่วงเวลาหาอาหารของพวกมัน


ฉินสือโอวถ่ายพลังโพไซดอนให้กับพวกหอยเป๋าฮื้อ เพื่อเตรียมการสำหรับการขยายพันธุ์ในปีหน้า มีเพียงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนเท่านั้นที่หอยเป๋าฮื้อจะตกไข่ ฤดูกาลอื่นพวกมันจะไม่ขยายพันธุ์


บทที่ 848 เรือผีที่แปลกประหลาดยิ่งกว่า

Ink Stone_Fantasy

เก็บกวาดฟาร์มปลาเสร็จแล้ว ช่วงบ่ายฉินสือโอวเห็นว่าพระอาทิตย์เริ่มคล้อยลงแล้ว จึงเก็บเก้าอี้กลับเข้าไปในบ้าน


วินนี่นั่งอยู่หน้าประตู ถือหนังสือเล่มหนึ่งอ่าน ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มจางๆ แสงอาทิตย์สีทองอ่อนสาดส่องอยู่บนผิวกายขาวของเธอ ราวกันแสงอันศักดิ์สิทธิ์


ฉินสือโอวกอดเธอจากด้านหลังแล้วถามว่าเธอกำลังอ่านอะไร วินนี่หอมเขาทีหนึ่งแล้วบอกว่ากำลังอ่านคู่มือการเลี้ยงลูกอยู่


ทั้งสองคุยกันสักพัก อากาศก็เริ่มเย็นลง ฉินสือโอวจึงขึ้นเรือเด็คพาวินนี่กลับเข้าฝั่ง


เพิ่งถึงฝั่ง บูลก็วิ่งมาด้วยหน้าบานเป็นกระด้ง ฉินสือโอวคิดว่าคงมีเรื่องดีอะไร แต่พอเห็นว่าวินนี่อยู่ด้วย เขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไร แล้วผิวปากเดินเล่นอยู่ตรงนั้น


ฉินสือโอวจะบ้าตาย การแสดงนี้ยังจะแย่กว่านี้อีกไหม?


วินนี่แกล้งโง่อย่างฉลาด เธอพาพวกหู่เป้าฉงหลัวไป บอกพวกมันว่าจะทำอาหารให้กิน หลังจากพาพวกเด็กๆ ไป ก็เหลือเพียงฉินสือโอวกับบูลอยู่กันตามลำพัง


“เป็นอะไร?” ฉินสือโอวถามอย่างไม่สบอารมณ์


บูลยิ้มตอบว่า “กัปตัน มีเรือประมงเข้ามาในฟาร์มปลาพวกเราลำหนึ่งอีกแล้ว เจ้าพวกนี้ไม่ยอมล้มเลิกจริงๆ พวกมันตั้งใจจะขโมยปลาของเราให้ได้ครับ!”


ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปไมอามี บัตเลอร์เคยบอกกับฉินสือโอวว่า ตระกูลมอร์รี่ได้ออกกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เลวร้ายออกมา โดยรับซื้อผลิตภัณฑ์ทางทะเลที่ผลิตมาจากฟาร์มปลาต้าฉินในราคาสูง


นี่จึงสามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงมีเรือที่มาขโมยปลาในเขตน่านน้ำฟาร์มปลาต้าฉินเยอะขนาดนี้ ทั่วทั้งแคนาดามีฟาร์มปลาเอกชนเยอะมาก ถึงจะไม่มีเป็นพัน แต่อย่างน้อยก็คงมีราวๆ แปดร้อยฟาร์ม ปีปีหนึ่งมีคดีการขโมยปลาอีกตั้งเท่าไร? อย่างมากก็คงสองพันคดีได้ แต่ว่าปีนี้แค่ฟาร์มปลาต้าฉินก็มีมากถึงสิบกว่าคดีแล้ว


ได้ยินคำพูดของบูล ฉินสือโอวตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มีอะไรน่าดีใจขนาดนั้นกัน? ดูท่าทางนายสิ ฉันยังคิดว่าพวกนายพบฝูงปลาขนาดใหญ่ซะอีก”


บูลพูดพึมพำว่า “พบฝูงปลาขนาดใหญ่ไม่น่าสนใจสักนิด แบบนี้พวกเราจะได้เอาเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ออกอีกครั้งแล้ว น่าตื่นเต้นออก พวกเราจะได้สร้างตำนานเรือผีออกมาอีกแล้ว!”


เรือไก่ฟ้ามิกาโดได้นำเรื่องราวของเรือผีกระจายไปถึงหูของพวกชาวประมงในแฮลิแฟกซ์แล้ว แน่นอนว่าคนที่เชื่อมีเท่าไหร่กันแน่ก็ยังไม่รู้


แต่ว่า เรื่องเล่าแบบนี้มันกระจายออกไปได้ง่ายที่สุด ฉินสือโอวเองก็ไปอ่านกระทู้แนะนำเกี่ยวกับเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์มาบ้าง


ไม่พูดเปล่า แน่นอนว่ากลางคืนยังต้องนำเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ออกปฏิบัติการต่อ ตำนานเรือผียังไม่ดังเพียงพอ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีเรือกล้ามาขโมยปลาอีก


ครั้งนี้ฉินสือโอวขึ้นเรือดำน้ำเองเลย ทักษะการขับของบีบีซวงถือว่าแข็งแรงมาก


เรือดำน้ำบรรทุกคนทั้งสี่คน บีบีซวงและทริกเกอร์เป็นคนขับเรือดำน้ำ ฉินสือโอวและนีลเซ็นรับหน้าที่จัดการกับข้าวของทั่วไป


จะขับเรือดำน้ำลำหนึ่งต้องใช้จำนวนคนมากกว่าเรือประมงส่วนใหญ่มาก ตอนที่ตระกูลมอร์รี่มาขโมยปลา บนเรือดำน้ำลำหนึ่งมีคนทำงานอยู่ถึงหกเจ็ดคน


แต่ว่าตอนนี้เรือดำน้ำหลักๆ แล้วใช้ล่องเรือ ดังนั้นแค่คนขับคนเดียวก็เพียงพอแล้ว คนอื่นที่เหลือเป็นแค่ผู้ช่วยเท่านั้น


เรือดำน้ำพาฟลาวเวอร์ฟอกซ์ดำลงไปลึกประมาณยี่สิบกว่าเมตร จากนั้นก็เร่งความเร็วเต็มกำลังจนถึงสามสิบนอตแล้วเริ่มออกเดินทาง


เรือดำน้ำทางทหารปกติจะมีความเร็วไม่เกินสี่สิบนอต เรือดำน้ำนิวเคลียร์ระดับ P ของสหภาพโซเวียตสามารถทำลายสถิติความเร็วใต้น้ำได้ถึงสี่สิบสี่นอต แต่ว่าเรือดำน้ำภายใต้ความเร็วขนาดนี้จะมีเสียงที่ดังมาก ทำให้ไม่สามารถรักษาเป็นความลับได้ ว่ากันว่าหากใช้ความเร็วที่สี่สิบสี่นอต ทั่วทั้งมหาสมุทรแอตแลนติกก็สามารถรับรู้ได้ถึงเสียงดังของเรือ


ใช้เรือดำน้ำพลเรือนไม่จำเป็นต้องกังวลปัญหาเรื่องเสียงดัง แต่ว่าก็มีปัญหาเรื่องจำกัดความเร็วของเรือไว้ นั่นก็คือความจุของแบตเตอรี่ เหมือนกับเรือดำน้ำทั้งสองลำนี้ของฉินสือโอว ดำน้ำได้ประมาณสี่ชั่วโมงก็ต้องขึ้นบนผิวน้ำเพื่อทำการชาร์ตแบตเตอรี่ ไม่อย่างนั้นคนที่อยู่ข้างในก็อาจจะขาดอากาศตายได้


แล่นเรือตั้งแต่พลบค่ำจนกระทั่งเช้าตรู่ ฉินสือโอวเบื่อจนถึงที่สุดแล้ว ในที่สุดก็เข้าใกล้ตำแหน่งเรือลำข้างหน้าที่มาขโมยปลาสักที


เดิมทีเขายังค่อนข้างสนใจ คิดว่าสามารถมองทิวทัศน์สวยงามของท้องทะเลได้จากหน้าต่าง แต่สรุปไม่ใช่อย่างนั้น เรือดำน้ำดำลงไปแค่ยี่สิบกว่าเมตร ได้เห็นเพียงแค่น้ำทะเล


มองน้ำทะเลมาครึ่งค่อนวัน ฉินสือโอวไม่อาเจียนออกมาก็ถือว่าเขาเก่งมากแล้ว


ทริกเกอร์ระบุตำแหน่งของเรือผ่านเครื่องสแกนคลื่นเสียงโซนาร์ จากนั้นบีบีซวงค่อยๆ นำเรือดำน้ำขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย บนเสากระโดงเรือของเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์มีกล้องบันทึกภาพอยู่ หลังลอยขึ้นจากน้ำก็ส่งภาพทั้งหมดลงมา


ฉินสือโอวมองดูจอภาพ LED เรือประมงขนาดกลางลำหนึ่งปรากฏอยู่ข้างบน


ขณะนี้บนเรือประมงคงจะกำลังง่วนอยู่กับการจับปลา ไฟบนเรือส่องสว่าง ฉินสือโอวกลัวว่าพวกเขาจะรับรู้ได้ถึงเรือที่ค่อยๆ ลอยขึ้นมา เพราะยังไงบนเรือก็ยังมีเครื่องสแกนปลา สามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวใต้น้ำได้


เขาใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปตรวจสอบดู พอดูเท่านั้นแหละก็อดไม่ได้ที่จะด่าในใจ ให้ตายสิ พวกนี้มันช่างโอหังจริง กล้าใช้อวนล้อมจับปลาในฟาร์มปลาของเขา!


อุตสาหกรรมประมงในแคนาดาห้ามใช้อวนล้อมจับแล้ว พลังการทำลายล้างของอวนนี้มากเกินไป พวกปลาเล็กปลาน้อยจะถูกจับขึ้นมาด้วย เป็นการทำลายการพัฒนาของสิ่งแวดล้อมทางทะเลมากเกินไป


ซึ่งแน่นอนว่า พวกโจรขโมยปลาไม่ได้สนใจกฎระเบียบของกรมประมง เพราะยังไงสิ่งที่พวกเขาทำในตอนนี้ก็ผิดกฎหมายอยู่แล้ว


ฉินสือโอวกระพือคลื่นลม คลื่นเริ่มปรากฏออกมาแล้วค่อยๆ ใหญ่ขึ้น อีกอย่างใต้น้ำก็มีกระแสน้ำวนเกิดขึ้น พัดให้อวนล้อมจับพันเข้าด้วยกัน


คนบนเรือขโมยปลาเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมา มีคนตะโกนบอกให้รีบเก็บอวนขึ้นมาก่อน หากอวนล้อมจับพันเข้าด้วยกัน อยากจะแยกออกจากกันยากมาก


แต่ว่าคลื่นทะเลใหญ่ขึ้น การเก็บอวนล้อมจับทำได้ยาก อาศัยเวลาที่ความสนใจของคนบนเรือไม่ได้อยู่บนทะเล เรือดำน้ำจึงค่อยๆ เข้าใกล้เรือประมงอย่างระมัดระวัง


บนทะเลที่กว้างใหญ่และดำมืด เรืออับปางลำหนึ่งที่เก่าทรุดโทรมและยังเต็มไปด้วยสาหร่ายโผล่พ้นน้ำขึ้นมา เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากจริงๆ


ที่ยิ่งน่ากลัวคือ คนบนเรือไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ปรากฏออกมาได้ยังไง…


ภายในเรือดำน้ำมีที่ที่เหมือนกับสถานีวิทยุขนาดเล็ก นีลเซ็นนั่งอยู่ข้างหน้า สวมหูฟังแล้วเริ่มเปิดเพลงที่เศร้าหดหู่เพลงหนึ่ง เพลงนี้มีชื่อว่า ‘หัวใจที่แหลกสลายบนธารน้ำแข็ง’ เป็นเพลงที่ฮิตในช่วงประมาณสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง


ฉินสือโอวมองดูเรือประมงผ่านกล้องบันทึกภาพ ตามเสียงเพลงที่ถูกปรับดังขึ้น ไฟบนเรือประมงก็ส่องลงมาทันที เห็นชัดว่าเจอเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์เข้าแล้ว


บีบีซวงผิวปากพร้อมกับบังคับเรือดำน้ำส่ายไปมา แบบนี้เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ก็จะขยับขึ้นมาแล้ว ฉินสือโอวมีความคิดเกิดขึ้น กระพือคลื่นลมไปพร้อมกับผืนน้ำทะเล ให้เหมือนกับว่าเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ขับไปพร้อมกับคลื่นอย่างนั้น


เดิมทีเขาอยากจะเสริมสร้างบรรยากาศสักหน่อย แต่สุดท้ายทำให้พวกบีบีซวงเขากลัวกัน “เฮ้ย! นี่มัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้มีคลื่นขึ้นมากัน?! ให้ตายสิ คืนนี้ไม่มีคลื่นลมแรงไม่ใช่เหรอ?”


ทริกเกอร์พูดอย่างใจเย็นว่า “หุบปาก บีบี! มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือมีคลื่นเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง? เร็ว อาศัยจังหวะนี้ รีบปล่อยน้ำแข็งแห้ง เข้าไปใกล้เรือระยำนั่น!”


บีบีซวงถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “อย่าทำเป็นสงบนิ่งอยู่เลย เจ้างั่ง ปุ่มควบคุมท่อน้ำแข็งแห้งอยู่บนมือนายไม่ใช่หรือไง?!”


ฉินสือโอวขมวดคิ้วถาม “มันมีอะไรน่าโวยวายกัน? เป็นอะไรไป?”


บีบีซวงสีหน้าตื่นเต้น พูดเสียงต่ำ “บอส คุณไม่รู้สึกว่ามันแปลกประหลาดเหรอ? ก่อนที่เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์จะปรากฏ คลื่นลมก็สงบดี แต่พอมันปรากฏออกมาเท่านั้นแหละ ก็กลายเป็นอย่างนี้ไป…”


บทที่ 849 ข่าวลือเริ่มแพร่กระจาย

Ink Stone_Fantasy

บนเรือประมงมีเสียงหายใจเข้าดังขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง แม้ว่าจะมีเสียงกระแสลมเย็นที่พัดอยู่บนมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ แต่ก็ไม่สามารถปกปิดเสียงสูดหายใจเข้าลึกนี้ได้ ราวกับว่ามีคนเปิดเครื่องสูบกำลังแรงสูงอยู่อย่างนั้นแหละ


“ฟะ…ฟัค นั่นมันตัวอะไรน่ะ?” ชาวประมงหัวล้านคนหนึ่งเหงื่อแตกขึ้นมาทันที


ฉินสือโอวขยับเมาท์เพื่อซูมเข้าจุดโฟกัสของกล้อง และยังสามารถเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวของชาวประมงพวกนั้นได้


อย่าว่าแต่พวกชาวประมงเลย แม้แต่บีบีซวงและอีกสามคนก็กลัวกันมาก ก่อนหน้าคลื่นลมยังนิ่งสงบอยู่ตลอด แต่ในชั่วขณะที่เรือผีปรากฏตัว คลื่นทะเลก็เริ่มซัดขึ้นมาทันที!


แม้จะรู้ว่าพวกตนเองเป็นคนที่สร้างเรือผีขึ้นมา แต่ว่าทั้งสามคนก็ยังคงคิดถึงตำนานเรื่องเล่าเรือผีขึ้นมามากมาย ตำนานมีอยู่ว่า คนที่ตายจากภัยทางทะเลจะไม่ได้ไปเกิดใหม่ แต่จะกลายเป็นวิญญาณล่องลอยอยู่ในทะเล จนกระทั่งหาสถานที่พักผ่อนที่เหมาะสมเจอ…


“เรือของพวกเรา ศักดิ์สิทธิ์เกินไปหน่อยหรือเปล่า?” บีบีซวงถามอย่างยากลำบาก


ฉินสือโอวมองบน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ให้ตายสิ พวกนายมีความกล้าแค่นี้เหรอ? ตั้งสติได้แล้ว หลอกไอ้พวกนั้นให้ออกไป แล้วกลับไปนอน!”


เหล่าทหารใหญ่มองตากัน รู้สึกเหมือนตัวเองคิดมากเกินไปจริงๆ นี่อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ


พวกชาวประมงที่ไม่รู้เรื่องกลัวจนฉี่ราด พวกเขาโหวกเหวกโวยวายอยู่บนเรือ เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์เข้าไปใกล้ พวกเขาขยับหางเสือหนีอย่างหวาดกลัว สำหรับอวนปลาในน้ำนั้น ยังจะมีใครสนใจอีก?


งานตกปลาทะเลน้ำลึกเป็นหนึ่งในสายงานที่มีอัตราเสียชีวิตสูงที่สุด ทุกครั้งที่ออกทะเลพวกชาวประมงต่างก็เตรียมตัวแล้วว่าอาจจะกลับมาไม่ได้อีก พวกเขาไม่กลัวตาย แต่ว่ากลัวเรือผี ถ้าหากวิญญาณถูกจับขังอยู่บนเรือผี อย่างนั้นขอตายเสียยังจะดีกว่าอีก!


บนเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ค่อยๆ มีหมอกขึ้นปกคลุม เรือทั้งลำหม่นมัวมองไม่ชัดแล้ว บางครั้งก็เห็นหัวเรือท้ายเรือโผล่ออกมาบ้างตามคลื่น แค่นี้ก็สามารถหลอกจนพวกชาวประมงบนเรือร้องไห้กันระงมแล้ว


นีลเซ็นเปลี่ยนเสียงดนตรี เป็นเสียงหัวเราะสดใสของผู้หญิง เสียงแบบนี้ลอยอยู่บนทะเล อย่าว่าแต่พวกชาวประมงที่ไม่รู้ความจริงเลย แม้แต่กลุ่มฉินสือโอวเอง หากได้ยินก็คงกลัวเหมือนกัน


พวกนั้นเร่งความเร็วของเรือประมงสูงสุด หนีกระเจิดกระเจิงกันอย่างบ้าคลั่ง


นีลเซ็นหัวเราะแล้วพูดว่า “ไอ้พวกนี้แย่แน่แล้ว นี่มันเรือประมงนะ ไม่ใช่เรือสปีดโบ๊ท เครื่องยนต์รองรับการเร่งความเร็วแบบนี้ไม่ได้ เกรงว่าอีกเดี๋ยวเครื่องยนต์คงหยุดทำงานเพื่อประท้วงแน่แล้ว พวกเราจะตามไปอีกไหม? หลอกพวกเขาตอนนั้น ค่าจะน่าตื่นเต้นมากแน่ๆ”


ฉินสือโอวส่ายหัวบอก “ช่างเถอะ พวก ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น อีกอย่าง ใครจะไปรู้ว่าเรือของพวกเขาจะเสียเมื่อไหร่? แล่นต่ออีกสักพัก จากนั้นพวกเราก็กลับกัน”


พูดเสร็จ เขาก็หาวแล้วเสริมต่อว่า “น่าจะยังกลับไปทันหลับต่ออีกได้”


ตามคำแนะนำของฉินสือโอว บีบีซวงบังคับเรือดำน้ำตามเรือประมงไป ตามไปได้สิบกว่ากิโลเมตร ตอนนี้เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ได้ถูกหมอกหนาปกคลุมไปจนทั่วแล้ว เขาถึงหันหัวเรือกลับ


เรือพวกหัวขโมยมีชื่อว่า ‘เรือดีพซีแซฟไฟร์’ เป็นเรือลำหนึ่งบนหมู่เกาะแซงปิแยร์และมีเกอลง หมู่เกาะห่างจากนครเซนต์จอห์นไม่ไกล เรือประมงแล่นหนีไปตอนรุ่งเช้า ครึ่งวันผ่านไป ในที่สุดพลบค่ำก็กลับมาถึงท่าเรือหมู่เกาะแล้ว


เมื่อเรือเทียบเข้าฝั่งได้ ชาวประมงบนนั้นก็แย่งกันพุ่งลงมา พวกเขาจับตัวคนที่พบเจอแล้วตะโกนว่า “โอ้ พระเจ้า! พวกเราเจอเข้ากับเรือผี! พระเจ้า เรือผีเชียวนะ!”


“ไอ้พวกบัดซบบนเรือไก่ฟ้ามิกาโดไม่ได้โกหก! มันเป็นเรื่องจริง มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือมีเรือผีปรากฏอยู่จริงๆ!”


“เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ มันกลับมาแล้ว! พระเยซูคริสต์คุ้มครอง พวกเรามีชีวิตรอดกลับมาแล้ว โอ้ ฟัค แต่ว่าเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ก็กลับมาแล้ว!”


พพวกชาวประมงบนท่าเรือมองดูพวกคนที่ตื่นตระหนกกลุ่มนี้อย่างงุนงง มีคนขวางพวกเขาเอาไว้ แล้วถามว่า “พูดให้ชัดเจนหน่อย พวก อะไรกลับมา? ใครกลับมาแล้ว? พวกนายไปเจอเข้ากับอะไร?”


ชาวประมงที่กล้าหาญคนหนึ่งบนเรือดีพซีแซฟไฟร์ตะโกนว่า “เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์! เรือผีฟลาวเวอร์ฟอกซ์ มันกลับมาแล้ว! มันกลับมาจากนรกแล้ว!”


พวกชาวประมงต่างพากันส่ายหน้า หัวเราะอย่างไม่เชื่อว่า “พอเถอะ พวก นั่นก็เป็นแค่คำพูดเพ้อเจ้อของคนแฮลิแฟกซ์ที่ซวยแค่ไม่กี่คน พวกนายคงไม่เชื่อจริงๆ หรอกใช่ไหม?”


“บางทีพวกเขาอาจจะเห็นภาพลวงตาอะไรสักอย่าง ลอยอยู่บนทะเลนานเกินไป ก็จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นบ่อยๆ …โอ้!”


กัปตันเรือดีพซีแซฟไฟร์ยกมือถือขึ้น ในภาพที่วุ่นวาย มีซากเรืออับปางทรุดโทรมลำหนึ่งลอยอยู่บนคลื่นทะเล ตัวเรือเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเล เปลือกหอยและโคลนทะเล ถ้ามองดูให้ดียังสามารถเห็นชื่อเรือ ‘เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์’ ที่ซีดจางได้ด้วย


กัปตันเรือตะโกนว่า “พวกนาย ไอ้พวกโง่ พระเจ้าจะช่วยให้พวกนายเจอเข้ากับเรือผีบัดซบนั่นแน่! ถือว่าพวกนายโชคดี ที่พวกนายเห็นแค่วิดีโอและภาพถ่าย พวกนายไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของวิญญาณ! ถือว่าเป็นโชคดีของพวกนายแล้ว ไอ้พวกเวร!”


พวกชาวประมงบนเรือตอบกลับว่า “ใช่แล้ว เสียงร้องไห้ของวิญญาณสาว! พระเจ้าช่วย ทำไมถึงได้มีของที่น่ากลัวขนาดนี้กัน?!”


“ฟังนะ อย่าได้คิดว่าพวกเราเป็นคนบ้า และอย่าคิดว่าพวกเราเป็นคนปอดแหก! กว่าเรือของพวกเราจะสลัดเรือผีได้ไม่ง่ายเลย ในตอนรุ่งเช้า รู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ เรือของพวกเราก็เสียโดยไม่ทราบสาเหตุ!”


“ฉันกล้าพนันเลย พวก นั่นจะต้องเป็นฝีมือของวิญญาณแน่! โชคดีเรือเสียตอนที่ฟ้าสว่างแล้ว ขอบคุณสวรรค์ที่ส่องแสงอาทิตย์ลงมา! ไม่อย่างนั้น โอ้ พระเจ้าช่วย ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะไม่โอกาสได้เจอหน้าจิมน้อยลูกชายของฉันอีกแล้ว!”


ไม่เพียงแต่กัปตันเรือคนเดียวเท่านั้น คนบนเรือหลายคนต่างก็ใช้มือถือถ่ายรูปเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์เอาไว้ แต่เป็นเพราะว่าตัวเรือถูกปกคลุมด้วยหมอกขาวจากน้ำแข็งแห้ง ทำให้ภาพถ่ายไม่ค่อยชัดเจน แบบนี้ยิ่งเพิ่มความรู้สึกน่าขนลุกของเรือผีเข้าไปอีก


ไม่นาน คนในท่าเรือต่างก็ล้อมวงกันเข้ามา แม้แต่คนในฝ่ายควบคุมก็มาร่วมด้วย พวกเขาผลัดกันดูภาพถ่ายและวิดีโอในมือถือ คนที่ขี้กลัวสีหน้าขาวซีดไปแล้ว คนส่วนใหญ่วาดกางเขนบนหน้าอกไม่หยุด


“จอน พวกนายไปเจอเรือผีเข้าที่ไหน?!” มีคนถามอย่างตื่นกลัว


จอน กัปตันเรือดีพซีแซฟไฟร์แสดงสีหน้ารำลึกถึงเหตุการณ์ ชี้ไปทางน่านน้ำทะเลทิศเหนือว่า “แต่ว่าอยู่ตรงไหนฉันเองก็ไม่รู้ ฉันรู้แค่ว่านั่นเป็นทะเลที่เย็นยะเยือกผืนหนึ่ง! คลื่นลมบ้าคลั่งขนาดนั้น! คงจะเข้าใกล้ฟาร์มปลาเกาะแฟร์เวลของนิวฟันด์แลนด์แล้วมั้ง ใครจะไปรู้กันล่ะ? ตอนนั้นใครสนกันล่ะ?!”


ทะเลนิวฟันด์แลนด์ ฟาร์มปลาเกาะแฟร์เวล เรือผี เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ คำสำคัญที่เกี่ยวข้องก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่เกาะ จากนั้นก็แพร่ไปจนถึงแฮลิแฟกซ์


หลังชาวประมงบนเรือไก่ฟ้ามิกาโดได้ข่าวเรื่องนี้ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ตั้งแต่ที่พวกเขาปล่อยข่าวเรื่องเรือผี ก็ถูกผู้คนหัวเราะเยาะมาตลอด พวกเขาทำได้แต่หลบอยู่ในโรงแรมและใช้แอลกอฮอล์เพื่อมอมเมาตัวเองเท่านั้น


ตอนนี้ มีคนเห็นเรือผีอีกแล้ว และยังสามารถถ่ายรูปไว้ได้ด้วย มีหลักฐานแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเชิดหน้าชูตาขึ้นมาได้บ้างแล้ว


โรนัลด์กัปตันเรือไก่ฟ้ามิกาโดยืนอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งในร้านเหล้าแล้วบอกตำแหน่งน่านน้ำที่เรือผีปรากฏ “ตำแหน่งอยู่ทางทิศใต้ของฟาร์มปลาเกาะแฟร์เวล! ฉันกล้าพนันเลยว่า เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ที่น่าสงสารในตอนนั้น อับปางอยู่แถวโขดหินนั่นแน่!”


บทที่ 850 หิมะแรก

Ink Stone_Fantasy

ภาพถ่ายที่ชาวประมงบนเรือดีพซีแซฟไฟร์ถ่ายไว้กลายเป็นพาดหัวข่าวอย่างรวดเร็ว ข่าวเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของเรือผีลำใหม่ในน่านน้ำนิวฟันด์แลนด์ สร้างความตื่นตะลึงให้กับบรรดาชาวประมงในเมืองตามแนวชายฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ


อารยธรรมใดๆ ล้วนแต่มีตำนานที่เล่าต่อกันมาทั้งนั้น และที่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เรื่องเล่าที่เป็นตำนานที่สุดก็คือตำนานเรือผี


ครั้งที่แล้วตำนานเรือผีปรากฏขึ้นมา คือเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ในตอนนั้นมันเป็นเพียงเรื่องที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาเท่านั้น แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ไม่เพียงแต่มีคนสองกลุ่มที่มองเห็นเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ แต่ยังมีคนถ่ายรูปเรือลำนี้เอาไว้อีกด้วย!


เมื่อดูจากภาพถ่ายเลือนราง ก็เหมือนว่าเรือลำนี้เพิ่งจะลอยขึ้นมาจากก้นทะเลจริงๆ ส่วนนี่จะใช่เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์จริงๆ หรือไม่ ใครจะไปสนใจกันล่ะ?


เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์อับปางลงสู่ก้นทะเลลึก นี่เป็นเรื่องราวกว่าร้อยปีมาแล้ว ในตอนนั้นมันเป็นเพียงเรือโดยสารธรรมดาๆ ลำหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรือไททานิค ไม่มีใครถ่ายรูปเอาไว้ ดังนั้นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเรือลำนี้ จึงเป็นเศษส่วนที่ตกหล่นออกมา


นี่เป็นสาเหตุที่พวกชาวประมงเลือกเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์มาเป็นตัวหลอก หากอ้างเรืออับปางจากยุค 80 แบบนั้นก็เท่ากับเรื่องตลกแล้ว เพราะเรือในยุคปัจจุบัน พอลงทะเลก็จะถูกถ่ายรูปเก็บไว้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแปลนเรือที่ถูกเก็บเอาไว้ในระเบียนเลย


เดิมทีข่าวที่มีความเกี่ยวข้องปรากฏขึ้นครั้งแรกในเว็บบอร์ดเกี่ยวกับมหาสมุทรบางเว็บไซต์ ต่อจากนั้น ข่าวนี้ก็เริ่มแพร่กระจายออกไปบนทวิตเตอร์อย่างบ้าคลั่ง จนสุดท้ายช่องทีวีบางแห่งก็เริ่มนำเสนอข่าวนี้เช่นกัน


คนธรรมดาทั่วไปต้องพากันดูแคลนข่าวนี้อยู่แล้ว พวกเขามั่นใจว่านี่ต้องเป็นวิดีโอที่ถูกทำขึ้นมาแกล้งหลอกคนเล่นแน่ๆ ส่วนเรื่องภาพถ่าย? ก็คงจะใช้โฟโตชอป และถึงแม้จะไม่ใช่โฟโตชอป ภาพมันเบลอขนาดนั้น ใครที่ไหนจะมองเห็นได้ชัดกัน?


คนที่อาศัยท้องทะเลในการเลี้ยงชีพกลับไม่ได้คิดแบบนั้น พวกเขาไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ สำหรับคนทั่วไปแล้วนี่เป็นเพียงแค่เรื่องขำขัน แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ความหวาดกลัวที่มีอาจจะมากพอที่จะทำลายครอบครัวและอาชีพการงานของพวกเขาเลยก็ได้


เรือไก่ฟ้ามิกาโดกับเรือดีพซีแซฟไฟร์ เพราะเรือสองลำนี้พบกับเรือผี ปีนี้ทั้งปีจึงจะไม่สามารถออกทะเลได้อีกแล้ว เนื่องจากตามตำนานที่เล่าต่อกันมา วิญญาณจะติดตามอยู่ที่ก้นเรือ รอคอยพวกเขาอยู่ตลอด


คนที่ชอบลองดีก็จะขับเรือไปที่น่านน้ำระหว่างนครเซนต์จอห์นกับหมู่เกาะแซงปิแยร์ ลอยลำอยู่บนน้ำเพื่อที่จะพบกับเรือผีในตำนาน แน่นอนว่า พวกเขาย่อมไม่สามารถพบเห็นมันได้อยู่แล้ว


ฉินสือโอวบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว นับตั้งแต่ข่าวลือเรื่องเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ถูกเผยแพร่ออกไป เรือที่เข้ามารุกล้ำฟาร์มปลาของเขาก็หายเข้ากลีบเมฆไปอย่างรวดเร็ว


นอกจากกลัวว่าจะพบกับเรือผี เรือขโมยปลายังกลัวที่จะถูกเรือทั่วไปที่ลอยไปลอยมาพวกนั้นพบเข้าอีกด้วย เพราะถึงยังไงพวกเขาก็มาขโมยปลา ถ้าถูกคนพบเข้า แล้วเอาไปแจ้งตำรวจหน่วยรักษาการณ์ชายฝั่ง แบบนั้นก็คงจะกินไม่หมด แอบห่อกลับ[1]จริงๆ แล้ว


ตำนานเรื่องเล่าในช่วงฤดูใบไม้ผลิผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดือนพฤศจิกายนมาถึงแล้ว และที่นิวฟันด์แลนด์ในเดือนพฤศจิกายน ก็เป็นช่วงเวลาของฤดูหนาวแล้ว


หิมะแรกของปีนี้มาถึงเร็วเป็นพิเศษ เช้าวันแรกของต้นเดือน ฉินสือโอวลุกจากเตียงมาเตรียมตัวออกกำลังกายยามเช้าข้างนอก ก็เห็นว่าด้านนอกของวิลล่ามีหิมะสีขาวตกลงมาแล้วหนึ่งชั้น…


เกล็ดหิมะร่วงลงมาจากทั่วท้องฟ้าอย่างยิ่งใหญ่สง่างาม ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนที่ต้นชูการ์เมเปิลในสวนไม่มีใบเหลืออยู่แล้ว เกล็ดหิมะตกลงมาบนกิ่งก้าน ประดับตกแต่งจนเต็มไปด้วยสีขาวเงิน


หู่เป้าฉงหลัวเหล่าสัตว์เลี้ยงพวกนี้ชอบเล่นกันท่ามกลางหิมะเป็นอย่างมาก ฉินสือโอวตั้งใจจะให้พวกมันลองลงไปดูระดับความหนาของพื้นหิมะ ดังนั้นเขาจึงโยนพวกมันทั้งสี่ตัวออกไป


ฉงต้าเข้าไปในพื้นหิมะแล้วโบกอุ้งเท้าโปรยหิมะ ปรากฏว่าโปรยได้ไม่เท่าไร ทันใดนั้นมันก็คลำโดนของหนักๆ อย่างหนึ่ง จึงเผลอยกมันขึ้นมา หลังจากนั้นก็เผยให้เห็นใบหน้าด้านๆ ที่ดูโหดเหี้ยมดุร้ายของมาสเตอร์


ไอ้แม่สิ้น หมีงี่เง่าแบบแกคิดจะเป็นศัตรูกับข้าอย่างนั้นเหรอ? มาสเตอร์ที่กำลังจะจำศีลในพื้นหิมะกับดวงตาทั้งสองข้างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยากจะอ้าปากกัดฉงต้าจนแทบแย่


แต่มันก็ทำไม่ได้ เนื่องจากตอนนี้ร่างกายของมันรู้สึกมึนชาไปครึ่งตัวแล้ว ขยับไม่ได้เลย


เต่าเป็นสัตว์เลือดเย็น ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีอุณหภูมิร่างกายไม่คงที่ ในฤดูหนาวที่มีอากาศหนาวเย็นและขาดแคลนอาหาร ทำให้พวกมันต้องเข้าสู่การจำศีล


อาหารในฟาร์มปลาย่อมมีอยู่อย่างเต็มอิ่มเป็นธรรมดา อีกทั้งหิมะที่ตกลงมาในปีนี้ก็รีบเร่งจนเกินไป ฤดูใบไม้ร่วงยังไม่ทันจะสิ้นสุด หิมะตกหนักก็มาถึงแล้ว มาสเตอร์ยังไม่ทันได้เตรียมตัวดี เมื่อหิมะตกลงมาในช่วงก่อนฟ้าสางจึงทำให้มันต้องเข้าสู่สภาวะจำศีล


ขณะจำศีลอุณหภูมิร่างกายของสัตว์จำพวกเต่าจะลดลง เช่นนี้จะสามารถรักษาพลังงานและพลังชีวิตของพวกมันไว้ในขีดจำกัดที่มากที่สุด นี่ไม่ใช่สิ่งที่มาสเตอร์จะเลือกเองได้ มันเป็นการปกป้องจากร่างกายของมัน หลังจากสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิต่ำก็จะบังคับให้เข้าสู่สภาวะกึ่งจำศีลโดยอัตโนมัติ


หมีสีน้ำตาลก็ต้องจำศีลเช่นกัน แต่พวกมันสามารถเลือกได้เอง ขอแค่มีอาหารพวกมันก็จะไม่จำศีล เมื่อพิจารณาจากจุดนี้ หมีจึงเป็นสัตว์ชั้นสูงกว่าเต่าอย่างแท้จริง


เดิมทีเมื่อฉงต้าเห็นว่าตัวเองยกมาสเตอร์ขึ้นมามันก็ตกใจจนตัวโยน ตั้งแต่ที่ลงไปในทะเลครั้งที่แล้วก็เหมือนว่ามันไม่เคยตีกับมาสเตอร์มาก่อน เวลาเผชิญหน้ากับเต่าอัลลิเกเตอร์มันก็ทำตัวดีขึ้นกว่าเดิมมากๆ


พลิกตัวมาสเตอร์ไว้ครึ่งหนึ่ง ฉงต้าเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้วจิตใต้สำนึกของมันจึงสั่งให้หนีไป หู่เป้าหลัวทั้งสามตัวก็อยากจะวิ่งหนีเช่นกัน เวลาโมโหมาสเตอร์ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น จับใครได้ก็ทำร้ายคนนั้น ไม่มีข้อโต้แย้ง!


แต่หลังจากฉงต้าวิ่งออกมาได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นมันก็พบว่าสถานการณ์ในครั้งนี้แตกต่างออกไป ราวกับว่ามาสเตอร์ถูกแช่แข็งเอาไว้ ตัวข้างหนึ่งของมันล้มอยู่ในพื้นหิมะ คาดไม่ถึงว่าขาทั้งสี่ข้างจะทำได้เพียงสะบัดไปมาอย่างเชื่องช้า ไม่เหมือนกับในช่วงฤดูร้อน ที่สามารถปีนขึ้นมาได้อย่างปราดเปรียว


การค้นพบครั้งนี้ทำให้ฉงต้ารู้สึกทะนงตัวขึ้นมา มันลองวิ่งกลับไปใช้อุ้งเท้าแหย่หัวมาสเตอร์ดูก่อน


เต่าอัลลิเกเตอร์ไม่สามารถหดหัวกับขาทั้งสี่ข้างกลับเข้าไปในกระดองได้ทั้งหมด ทำได้แค่ยอมให้ฉงต้าทรมานมันเล่นอยู่อย่างนี้


ฉงต้ายื่นอุ้งเท้าที่มีขนปุกปุยออกไปขยับหัวมาสเตอร์ เขี่ยไปได้สักพัก ก็ตบลงไปบนกระดองของมาสเตอร์จนมันพลิกล้มลงอีกครั้ง ส่วนมาสเตอร์ก็ทำได้เพียงจ้องมองมันด้วยสายตาราวกับกำลังจะพ่นไฟ ไร้ทางตอบโต้


ทันใดนั้น ฉงต้าก็เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ มันร้องคำรามขึ้นมาอย่างมีความสุข


หู่เป้าหลัวแก้วตาดวงใจทั้งสาม ก็พากันวิ่งเข้ามามุงดู พวกมันเห็นฉงต้าแกล้งมาสเตอร์อย่างมีความสุข จึงฟาดเท้าอ้าปากงับ เริ่มแกล้งมาสเตอร์ให้ตกอยู่ในความยากลำบาก


ตอนนี้ส่วนหัวของปอหลัวโตจนเลยกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่แล้ว เพราะนอนอยู่ในพื้นหิมะมาครึ่งคืน หัวของมันจึงเป็นสีขาวโพลนทั่วทั้งหัว


มันเป่าลมออกทางจมูกพร้อมกับสะบัดหัวแล้วเดินออกมา พอเห็นมาสเตอร์ถูกพลิกไปมาจนมีสภาพแบบนี้ มันก็ชะงักงันไปชั่วครู่ ต่อจากนั้นมันก็วิ่งสะบัดก้นข้ามไปทันที มันก้มหัวลงต่ำ จนเหมือนรถดันดินดันมาสเตอร์ให้ไถลไปกับพื้นหิมะ


หลัวปอเห็นว่าน่าสนใจ จึงกระโดดขึ้นไปบนหลังมาสเตอร์ ปอหลัวใช้หัวดันมาสเตอร์วิ่งไปวิ่งมา เท้าหลัวปอเหยียบอยู่บนแผ่นกระดูกหลังของมาสเตอร์ มันทำท่าทางโอหังอย่างดูถูกเหยียดหยาม ทั้งยังแหงนหน้าหอนบรู๊วๆ ออกมา


ฉินสือโอวไปวิ่งออกกำลังกายก่อนแล้ว เขาวิ่งฝ่าหิมะมาหนึ่งรอบ หลังจากกลับมาแล้วสิ่งที่เขาเห็นก็คือมาสเตอร์ที่กำลังถูกทรมานจนจะกลายเป็นเต่าง่อยไปแล้ว


ขยี้ๆ ตา ฉินสือโอวถึงได้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาลาย มาสเตอร์ที่น่าสงสาร ถูกแกล้งจนกลายเป็นเหยื่ออย่างน่าเวทนาแล้ว!


พอเห็นว่ามาสเตอร์ขยับตัวไม่ได้ เขาก็ตกใจจนตัวโยน รีบโบกมือไล่เหล่าสัตว์เลี้ยงออกไป ลากมาสเตอร์เข้ามาในห้องรับแขก ต่อจากนั้นก็ลองค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ถึงได้เพิ่งรู้จักสภาวะกึ่งจำศีลของเต่าอัลลิเกเตอร์


ในวิลล่ามีเตาผิง ฉินสือโอวเลยลากมาสเตอร์ข้ามไป หลังจากจุดไฟด้วยไม้สน เปลวไฟที่เกิดจากการเผาไหม้ก็ลุกโชนขึ้นมา อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ในที่สุดสภาวะจำศีลของมาสเตอร์ก็ค่อยๆ หายไป


สภาวะกึ่งจำศีลของเต่าอัลลิเกเตอร์ ไม่ได้แตกต่างกับการติดสตันในเกมเท่าไรนัก อยากขยับก็ขยับไม่ได้ ทรมานมากๆ


ฉินสือโอวเห็นว่าอาการของมันดีขึ้นแล้ว จึงเข้าไปในห้องครัวเพื่อที่จะหาอะไรมาให้มาสเตอร์กิน ปรากฏว่าเขาเพิ่งจะเดินออกไป หู่เป้าฉงหลัวกับปอหลัวที่แอบมองอยู่ตรงประตูก็พากันวิ่งเข้ามาอย่างสนุกสนาน


รังแกมาสเตอร์ต่อ!


อาศัยช่วงที่แกป่วยเอาชีวิตแก!


ปกติปล่อยให้แกทำอวดดีมามากพอแล้ว!


……………………………………………………


[1] กินไม่หมด แอบห่อกลับ หมายถึงแอบทำเรื่องไม่ดี จึงต้องรับผลร้ายที่ตามมา


บทที่ 851 สงครามยังดำเนินต่อ

Ink Stone_Fantasy

ฉินสือโอวเปิดตู้เย็นกำลังเลือกปลาคาพีลิน ในตอนนี้เสียงร้องครวญครางก็ดังขึ้นมาจากในห้องรับแขก “อ๋าวๆ!!”


เวร นั่นเสียงฉงต้า! ในใจของฉินสือโอวพอบ่งชี้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของเสียงร้องครวญครางเขาก็รีบถือปลาคาพีลินสองตัว แล้วพุ่งตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว เมื่อออกมาถึงห้องรับแขก ก็พบกับวินนี่ที่กำลังประคองท้องน้อยยืนอยู่บนบันไดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน


ฟอกส์กับมิแรนด้าอยู่ดูแลวินนี่ที่ฟาร์มปลามาโดยตลอด ทั้งสองคนเดินออกมาด้วยความเร่งรีบ มิแรนด้าถามขึ้นมาว่า “เป็นอะไรกัน? เกิดเรื่องอะไรขึ้น? อย่าส่งเสียงแบบนี้ในบ้านสิ”


ในที่สุดปฏิกิริยาตอบสนองในช่วงตั้งครรภ์ก็เริ่มปรากฏออกมาแล้ว ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน วินนี่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ดังนั้นจึงไม่สามารถทนรับการกระตุ้นได้


ฉินสือโอวลองวิ่งออกไปดู เขาเห็นฉงต้าที่มองเขาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลเป็นสาย พอเห็นเขาออกมาแล้ว ปากใหญ่ๆ ก็อ้าออกแล้วร้องขึ้นมาอีกครั้ง


มิแรนด้าจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “เงียบนะ ฉงต้า! ดูแม่วินนี่ของแกสิ อย่าทำให้เธอตกใจนะ!”


พอพูดจบ เธอก็ชี้ไปทางวินนี่ที่อยู่ด้านหลัง


เมื่อเห็นว่าวินนี่กำลังทำหน้านิ่ว ฉงต้าจึงยัดอุ้งเท้าอ้วนๆ ข้างหนึ่งของมันเข้าไปในปาก หลังจากนั้นก็น้ำตานองหน้าหันมามองฉินสือโอวต่อ อุ้งเท้าอีกข้างของมัน ติดอยู่ในปากของมาสเตอร์…


หู่จือ เป้าจือ หลัวปอกับปอหลัว สัตว์เลี้ยงทั้งสี่ตัวยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยใจที่กำลังอกสั่นขวัญแขวน กับท่วงท่าที่วิ่งแจ้นสุดฝีเท้าเมื่อเห็นว่าท่าทางไม่ดีแล้ว


แบบนี้ฉินสือโอวก็รู้แล้วว่า พวกมันต้องไม่รู้แน่ๆ ว่ามาสเตอร์หลุดพ้นจากสภาวะกึ่งจำศีลแล้ว จึงฉวยโอกาสช่วงที่เขาเข้าไปในครัว คิดจะรังแกมาสเตอร์ต่อ


แต่ปรากฏว่า นอกจากจะแกล้งไม่สำเร็จแล้วก็ยังถูกจัดการเอาคืนอีกต่างหาก คาดว่าพอฉงต้ายื่นอุ้งเท้าออกมา มาสเตอร์ก็กัดมันเข้าไป


ครั้งนี้มาสเตอร์วางยาแรง มองดูใบหน้าอ้วนๆ ที่ยับย่นของฉงต้าก็รู้ได้เลยว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน


ไม่แส่หาเรื่องก็ไม่ตาย เมื่อสักครู่เหล่าสัตว์เลี้ยงพวกนี้ทรมานมาสเตอร์ได้น่าเวทนามากจริงๆ!


ตอนนี้ฉงต้าได้รับบทเรียนแล้ว ฉินสือโอวจึงเข้าไปปลอบมาสเตอร์ เขาเอาปลาคาพีลินมาแกว่งอยู่ตรงหน้ามัน เพื่อให้มันอ้าปากออก


แววตาของมาสเตอร์ยังเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ฉินสือโอวปลอบมันอยู่สักครู่มันถึงเพิ่งจะอ้าปากออกด้วยความคับแค้นใจ


เมื่อคืนวานต้องอยู่ด้านนอกแบบหนาวๆ มาแล้วทั้งคืน มาสเตอร์ก็รู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน มันอ้าปากกัดปลาคาพีลิน แล้วรีบกลืนเอื้อกๆ เข้าไปอย่างตะกละตะกลาม


ฉงต้านั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นกอดอุ้งเท้าอวบอ้วนที่มีเลือดไหลอาบอยู่ข้างๆ วินนี่เข้าไปกอดปลอบมันไว้ แต่ฉินสือโอวพูดขึ้นมาด้วยความโกรธเคืองว่า “มันทำตัวมันเอง คุณไม่ต้องไปสนใจ มันจะได้รู้จักจำซะบ้าง!”


วินนี่ตบหัวของฉงต้าทางด้านหลังเบาๆ เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณโกรธอะไรคะ? ฉงต้ายังเด็กอยู่นะ หมีสีน้ำตาลโคโลราโดอายุขวบสองขวบชอบเล่นซนกันทั้งนั้นนั่นแหละ ที่จริงแล้วมันไม่ได้มีเจตนาร้ายกับมาสเตอร์นะคะ”


ฉงต้ามุดหัวเข้าไปในอ้อมกอดของวินนี่ อุ้งเท้าอีกข้างก็ผลักฉินสือโอวที่อยู่ทางด้านข้างออก ไปเลยนะ จะไม่รักพ่ออีกแล้ว


ฉินสือโอวผิวปากออกมา หู่จือเป้าจือกับสัตว์เลี้ยงอีกสองตัวที่เหลือก็พากันเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า หลังจากเข้ามาใกล้แล้วหู่จือก็รีบถูหัวของมันเข้ากับหลังมือของเขา พร้อมกับแลบลิ้นเลียฝ่ามือของเขาอย่างเอาอกเอาใจ


มาสเตอร์กินปลาคาพีลินเข้าไปแล้วติดๆ กันสองตัวจึงค่อยๆ ฟื้นกำลังขึ้นมา มันใช้สายตาอันตรายจ้องมองไปที่พวกหู่เป้าหลัวปอ โดยเฉพาะปอหลัว ความแค้นจากเมื่อสักครู่ที่มันเพิ่งจะถูกปอหลัวขวิดดันไปทั่วพื้นหิมะ ต้องชำระแค้น!


ปอหลัวกลับไม่ได้กลัวมาสเตอร์ เพราะมันหาจุดอ่อนที่แท้จริงของมาสเตอร์เจอแล้ว


ฉินสือโอวประเมินใจที่คับแคบของเหล่าสัตว์เลี้ยงไว้ต่ำเกินไป ปอหลัวกับมาสเตอร์สายตาทั้งสองคู่ปะทะกัน ต่างก็สื่อความหมายอย่างเดียวกันว่า การหลั่งเลือดปรากฏขึ้นมาแล้ว มีเพียงสงครามเท่านั้น ที่จะสามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีของพวกเราคืนมาได้!


ตอนเที่ยงท้องฟ้าปลอดโปร่งอยู่ช่วงหนึ่ง ฉินสือโอวจึงลองออกไปประเมินสถานการณ์ดู คาดไม่ถึงว่าระดับความหนาของพื้นหิมะจะมากถึงสิบเซนติเมตรกว่าๆ เข้าส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “ดูท่าว่าปีนี้คงจะมีพายุหิมะอีกแล้ว ถึงได้มีหิมะตกหนักเร็วขนาดนี้!”


จากปรากฏการณ์เรือนกระจกที่เลวร้ายลง ประเทศเขตหนาวแบบแคนาดาได้รับผลกระทบขนาดหนัก หิมะตกหนักไม่ใช่เรื่องดี หิมะตกหนักหมายถึงไอน้ำที่มีอยู่อย่างเต็มอิ่ม แล้วไอน้ำมาจากไหนน่ะเหรอ? จากน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายไงล่ะ


ฉินสือโอวคิดไปเรื่อยตั้งแต่เมืองเมเปิลลีฟ ไปจงหนานไห่ไปจนถึงตึกเพนตากอนอยู่สักพัก จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วไปตรวจสอบสภาพผลเก็บเกี่ยวของฟาร์มปลา


ตอนนี้อีกประมาณหนึ่งสัปดาห์บัตเลอร์ก็จะมารับปลาไปอีกล็อตแล้ว เฉพาะช่วงนี้ผลเก็บเกี่ยวของฟาร์มปลาจะวางจำหน่ายที่ร้านตัวแทนผูกขาดเท่านั้น ไม่มีตัวแทนจำหน่ายจากรัฐอื่น ซึ่งนี่เป็นความคิดของฉินสือโอวเอง


เพราะถึงอย่างไรฟาร์มปลาก็เปิดมาได้ไม่ถึงสองปี หากมีปริมาณการผลิตจำนวนมาก จะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลได้ง่าย


ฟาร์มปลาแห่งหนึ่งที่อยู่ในฐานะตกต่ำเกือบจะถึงขั้นล้มละลาย เวลาแค่ปีครึ่งกลับกลายมาเป็นฟาร์มปลาทองคำที่มีทั้งคุณภาพและปริมาณผลผลิตชั้นหนึ่งควบคู่กัน นั่นเป็นเรื่องที่ผิดปกติเกินไปจริงๆ


มาสเตอร์เห็นว่าข้างนอกมีแสงแดดแล้ว จึงเดินต้วมเตี้ยมออกไปเตรียมตัวอาบแดด มันดูท่าทางเหมือนกับกำลังชะล่าใจ ทั้งๆ ที่ทั้งตัวก็มีแต่จุดอ่อน


ปอหลัวตามไปเงียบๆ แววตาทั้งคู่เป็นประกายวาววับเย็นยะเยือก เขาขนาดใหญ่บนหัวส่องแสงแวววาวตั้งอยู่อย่างมั่นคงราวกับมีดดาบ


หู่จือเป้าจือกับหลัวปอตามไปทางด้านหลังของปอหลัว ด้านหนึ่งเพื่อทำให้ปอหลัวดูแข็งแกร่ง ส่วนอีกด้านก็เพื่อเตรียมตัวดูเรื่องสนุก


ฉงต้านั่งอยู่ข้างๆ วินนี่ด้วยความเศร้าโศก อุ้งเท้าข้างหนึ่งเป็นสีแดงสด แน่นอนว่าไม่ใช่เลือด แต่เป็นยาแดงที่วินนี่ทาให้มันต่างหาก ก่อนหน้านี้ฉงต้าถูกกัดเข้าไปอย่างแรงเลย


มาสเตอร์นอนหมอบอยู่ตรงประตูเพื่อดื่มด่ำกับความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ มันหรี่ตาเล็กน้อย ดวงตาคู่เล็กกวาดมองไปด้านหลังอยู่เรื่อยๆ มันสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายของปอหลัวตั้งนานแล้ว


ปอหลัวเดินเตร่ไปรอบๆ อยู่พักหนึ่ง ในระหว่างนั้นอยู่ๆ มันก็วิ่งออกไป ก้มหัวใช้เขาของตัวเองกักตัวมาสเตอร์ คิดจะดันมันออกไปอีก


ทว่ามาสเตอร์ลงมือได้ว่องไวกว่า เหมือนกับดริฟต์รถ อุ้งเท้าทั้งสี่ข้างเกาะพื้นบ้านไว้เพื่อหมุนตัว ปากใหญ่เต็มไปด้วยซี่ฟันแหลมคมอ้าออกกว้าง มันกัดลงไปบนเขาขนาดใหญ่ของปอหลัว


คราวนี้มาสเตอร์ต้องลำบากแล้ว เขาของปอหลัวไร้ซึ่งความรู้สึก มันไม่เจ็บ!


เขาของกวางอูฐก็เหมือนกับพลั่ว แข็งแกร่งและทรงพลัง ปอหลัวกักตัวมาสเตอร์ไว้ มันหอบหายใจฮืดฮาด มุ่งมั่นที่จะดันมาสเตอร์ลงไปจากขั้นบันไดของวิลล่า


มาสเตอร์เห็นแบบนี้ก็ร้อนใจแล้ว มันอ้าปากออกคิดจะเริ่มโจมตีจากจุดอื่น


แต่ปอหลัวกลับไม่ปล่อยโอกาสให้มัน ภายใต้แสงอาทิตย์สีทอง ขนของมันส่องแสงสีทองสว่างไปทั่วทั้งตัว ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง เขาขนาดใหญ่ราวกับพลั่วยึดกระดองด้านหนึ่งของมาสเตอร์เอาไว้ ท่อนขาทั้งสี่ข้างส่งพลังให้มันเริ่มออกวิ่ง!


นี่คือจุดอ่อนของมาสเตอร์ที่ปอหลัวหาเจอ เต่าอัลลิเกเตอร์หนังเหนียวเนื้อหนาต้านการโจมตีได้ มีซี่ฟันทรงพลังและรวดเร็ว ทว่าคอของมันสั้นเกินไป กลยุทธ์การโจมตีก็เรียบง่ายเกินไป การลงมือก็ช้า หากถูกยึดตัวไว้ก็ไร้ซึ่งหนทางสู้


ปกติปอหลัวจะจัดการกับมาสเตอร์ไม่ได้ เนื่องจากพื้นหญ้าไม่ลื่นพอ มันดันมาสเตอร์ที่แข็งแรงกำยำไม่ได้


พื้นหิมะช่วยมันไว้ มาสเตอร์ที่อยู่บนพื้นหิมะก็เหมือนกับแคร่เลื่อนหิมะ ถูกปอหลัววิ่งขวิดไปทั่วทุกหนทุกแห่งอย่างจนปัญญา…


หู่เป้าหลัวมีความสุขจนเห่าบรู้วๆ ออกมา พวกมันวิ่งตามอยู่ด้านหลัง ในตอนนี้พื้นหิมะมีความคึกคักขึ้นมาแล้ว


ฉงต้าเห็นว่าปอหลัวแก้แค้นให้ตัวเองได้แล้ว จึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจจนอยากจะลุกออกไปดูความครึกครื้นข้างนอกทันที ทว่าอุ้งเท้าของมันได้รับบาดเจ็บ พอเหยียบลงไปบนพื้นมันก็ร้องอ๋าวๆ ออกมา เจ็บจัง!


วินนี่ปวดประสาทอย่างถึงที่สุด เธอกำลังแพ้ท้องอยู่ตรงนี้ เหล่าสัตว์เลี้ยงที่อยู่ด้านนอกกลับเริ่มทะเลาะกันอีกแล้ว จึงทำได้แค่เปิดวิทยุสื่อสารไปหาฉินสือโอว แล้วตะโกนไปว่า “กลับมาดูเด็กๆ ด้วยค่ะ ทะเลาะกันอีกแล้ว!”


ฉินสือโอวกำลังนอนหมอบอยู่บนท่าเรือเพื่อตรวจดูสภาพการยึดเกาะของเพรียงตีนเต่า ช่วงฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงที่เพรียงกำลังแพร่พันธุ์ เขาจึงตั้งใจจะควบคุมกระแสน้ำให้พัดลูกเพรียงหินมาที่เสาเข็มหรือไม่ก็พื้นผนังของท่าเรือ เพื่อที่ปีหน้าจะได้เก็บออกได้ง่าย


ขณะที่เขากำลังตรวจดูอยู่ทางนี้ เสียงของวินนี่ก็ดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร จึงต้องรีบลุกขึ้นมา แล้ววิ่งกลับไปดูอย่างจนปัญญา


หลังจากนั้น เขาจึงพบว่าบนพื้นหิมะที่ด้านหน้าวิลล่า ปอหลัวกำลังดันมาสเตอร์วิ่งไปทั่ว โดยมีหู่จือเป้าจือกับหลัวปอวิ่งตามท้ายอย่างสนุกสนาน ส่วนฉงต้าก็กำลังร้องคำรามอยู่ตรงประตู…


บทที่ 852 นักข่าวมาเยี่ยมเยือน

Ink Stone_Fantasy

ฉินสือโอววิ่งเข้ามาดึงเขาปอหลัวเพื่อกักตัวมันไว้ เขาโบกมือฟาดลงไปบนก้นของมันหลายที พร้อมกับด่าว่า “ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้? ทำไมถึงได้ก้าวร้าวแบบนี้? อยู่นิ่งๆ หน่อยไม่ได้หรือยังไง? แกสู้ได้แล้วยังไง? สู้ได้แล้วจะมีกวางตัวเมียมาให้แกทำพันธุ์ไหม?”


“ฉิน คุณพูดเหลวไหลอะไรเนี่ย!” วินนี่พูดอย่างไม่พอใจมาก


หู่เป้าหลัวเหล่าสัตว์เลี้ยงสามตัวที่วิ่งตามมาตลอดทางพอเห็นฉินสือโอวมาแล้ว พวกมันก็พากันวิ่งแจ้นเข้าไปบนพื้นหิมะทันที


แต่ปรากฏว่าลูกหมาป่าขาววิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวอยู่ๆ มันก็เดินโซเซขึ้นมา ลูกกระรอกดินตัวหนึ่งกำลังมุดออกมาจากพื้นหิมะด้วยความสับสนงงงวย ใครมันเหยียบรังของฉัน?


เหมือนเกมทุบตัวตุ่น ลูกกระรอกดินตัวหนึ่งยื่นหัวออกมา ลูกกระรอกดินตัวอื่นๆ ก็พากันคลานขึ้นมาจากในพื้นหิมะบริเวณรอบๆ แล้วเหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้พื้นหิมะสีขาวกว้างใหญ่จึงมีลูกบอลขนสีเหลืองปรากฏตัวขึ้นมาหลายลูก


มาสเตอร์พลิกตัวคลานออกไป ด้วยความโมโหมันเลยอยากจะกัดปอหลัวคืน ฉินสือโอวจึงต้องดึงสัตว์ทั้งสองตัวที่กำลังจะตีกันอีกครั้งให้ออกห่างจากกัน แล้วลากมาสเตอร์กลับไปที่วิลล่า


มาสเตอร์รู้ว่าพื้นหิมะไม่ใช่สนามเจ้าถิ่นของมัน มันจึงทิ้งสายตาเตือนปอหลัวให้ระวังตัวไว้ แล้วมุดเข้าไปในวิลล่าอย่างเร่งรีบ หาที่ที่อบอุ่นแล้วหมอบลงตรงนั้น เพื่อเตรียมตัวเก็บแรงเอาไว้ต่อสู้อีกครั้ง


ฉันจะบอกแกให้นะ ไอ้อ่อนหัด เรื่องนี้มันยังไม่จบหรอก!


ฉินสือโอวปวดประสาทจนทนไม่ไหว สัตว์เลี้ยงพวกนี้เลี้ยงยากกว่าเด็กเสียอีก ทำไมเจ้าพวกนี้ไม่ยอมอยู่ด้วยกันดีๆ นะ?


ช่วงบ่าย เพอริสน้องสาวของแฮมเล็ตมาหาฉินสือโอว วินนี่ประคองท้องเดินออกมาต้อนรับเธอ เธอพูดกับวินนี่ด้วยความอิจฉาว่า “พระเจ้า ตอนนี้คุณสวยจริงๆ อยากเห็นจริงๆ เลยว่าลูกของคุณจะน่ารักขนาดไหน”


เป็นเพราะการอบรมสั่งสอน ชาวแคนาดาจึงให้ความเคารพแก่ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์เป็นอย่างมาก ช่วยไม่ได้ที่สภาพแวดล้อมของแคนาดาหนาวเย็นเกินไป อัตราการให้กำเนิดบุตรจึงต่ำมากมาโดยตลอด คำว่าแม่จึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในประเทศนี้


วินนี่ยิ้มหวานหยดย้อย เธอยื่นมือออกมาลูบหน้าท้อง เธอพูดพร้อมกับสีหน้าท่าทีประคบประหงมว่า “ขอบคุณที่ชมนะคะ ฉันก็อยากเจอมันเร็วๆ เหมือนกันค่ะ”


ฉินสือโอวแสดงสีหน้าสะเทือนใจออกมา ทุกครั้งที่ได้ยินคำที่วินนี่ใช้เรียกลูก เขาก็รู้สึกปวดใจทุกครั้ง ‘มัน’!


ตอนนี้ยังไม่รู้เพศลูกของวินนี่ นั่นเป็นเพราะหลังจากผู้หญิงตั้งครรภ์ได้ยี่สิบสัปดาห์หรือเท่ากับห้าเดือน ถึงจะสามารถใช้การอัลตราซาวด์ดูเพศของเด็กได้ แต่อายุครรภ์ของวินนี่ยังไม่ถึง


ทว่าแคนาดายังมีเทคโนโลยีทันสมัยที่ใช้สำหรับแยกเพศของทารกในครรภ์อยู่อีกหนึ่งประเภท นั่นก็คือการตรวจเลือด เทคโนโลยีประเภทนี้ที่จีนยังไม่มีการครอบคลุมเลยด้วยซ้ำ


นักวิจัยค้นพบว่ายีนที่เรียกว่า “SRY” มีอยู่บนโครโมโซม Y เท่านั้น ถ้าตรวจพบมัน นั่นก็แปลว่าทารกในครรภ์เป็นเพศชาย ดังนั้นการแยกดีเอ็นเอของทารกในครรภ์จากเลือดของมารดาเพื่อหาว่ามียีน SRY อยู่หรือไม่นั้น ย่อมสามารถแก้ข้อสงสัยเกี่ยวกับเพศของทารกในครรภ์ได้


การใช้การอัลตราซาวด์ตรวจต้องรอให้ทารกในครรภ์โตพอถึงจะสามารถสังเกตดูความแตกต่างของลักษณะทางเพศได้ แต่วิธีการตรวจประเภทนี้หลังจากตั้งครรภ์ได้ 7-8 สัปดาห์ก็สามารถดำเนินการได้แล้ว ทั้งยังมีอัตราความแม่นยำสูงกว่าการอัลตราซาวด์ มากถึง 99.4%


ทว่า ฉินสือโอวกับวินนี่ต่างก็ไม่อยากใช้วิธีการนี้ ทำไมถึงต้องรู้เพศของลูกก่อนด้วยล่ะ? สำหรับพวกเขาแล้ว ลูกเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นยินดีที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเขา รอจนถึงตอนที่คลอดออกมา ค่อยรับเอาเรื่องน่าตื่นเต้นแบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ?


เพอริสสวมชุดแบบเป็นทางการมา เสื้อโค้ตปกสูงเข้าคู่กับเสื้อผ้าฤดูหนาวสไตล์ออฟฟิศเลดี้ ให้ความรู้สึกแบบพนักงานออฟฟิศสาวสวยสุดๆ นีลเซ็นเข้ามาหาฉินสือโอว หลังจากมองเห็นเพอริสตาของเขาก็เบิกโตขึ้นมาทันที


ฉินสือโอวถามว่าเขามาทำอะไร นีลเซ็นก็เอาแต่อ้อมๆ แอ้มๆ ไม่ยอมพูด เนื่องจากปัญหาของเขาถ้าได้รับการแก้ไขแล้วเขาก็ต้องเดินออกไป แบบนั้นก็จะได้มองเพอริสไม่มากแล้ว


ตั้งแต่ดื่มเหล้าด้วยกันคราวที่แล้ว หลังจากนีลเซ็นถูกเพอริสจัดการไปแล้วครั้งหนึ่ง ฉินสือโอวก็รู้สึกว่านีลเซ็นคงจะคิดอะไรกับผู้หญิงที่เฉลียวฉลาดแบบนี้แน่ๆ


ดังนั้น เขาจึงจะแกล้งนีลเซ็น ต้องให้เขาพูดถึงเรื่องที่จะคุยออกมาก่อนให้ได้ “ขอร้องล่ะ เพื่อน นายมีอะไรจะพูดก็รีบพูดเถอะ ฉันยังต้องต้อนรับน้องสาวของแฮมเล็ตอยู่นะ”


นีลเซ็นยิ้มแหยๆ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ บอส ไม่รีบ ผมไม่รีบ คุณกับเพอริสคุยกันไปเถอะครับ ผมรอได้”


ฉินสือโอวยังอยากแกล้งเขาอยู่ วินนี่จึงพูดเพราะความรำคาญว่า “โอเค เลดี้เฟิร์ส คุณลองถามเพอริสก่อนแล้วกันค่ะว่าเธอมาทำอะไร”


เมื่อภรรยาออกคำสั่ง ฉินสือโอวจึงปล่อยนีลเซ็นไป เขายักไหล่น้อยๆ แล้วถามจุดประสงค์ของเพอริส


เพอริสเม้มปากยิ้ม เธอเห็นแล้วว่าฉินสือโอวแกล้งปั่นนีลเซ็น แต่กลับยังรู้สึกสนอกสนใจเป็นอย่างมาก


รอจนพูดถึงเรื่องของตัวเองแล้ว เธอถึงเอ่ยปากบอกว่า “ฉันมาเพราะเรือผีค่ะ ตามเรื่องที่เล่าต่อๆ กันในตอนนี้ สถานที่เรือผีปรากฏตัวขึ้น เหมือนจะอยู่ใกล้กันกับฟาร์มปลาของคุณมากๆ พวกคุณเคยพบอะไรมาก่อนไหมคะ?”


ฉินสือโอวกระแอมไอหนึ่งครั้ง เขาแสดงท่าทางเคร่งขรึมออกมา ในใจก็เริ่มท่องบทละครชีวิตคือโลกมายาอีกครั้ง


ช่วงนี้ความวุ่นวายของเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ไม่เพียงแต่จะไม่สงบลง แต่ยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ เป็นเพราะก่อนหน้านี้เพิ่งจะผ่านเทศกาลวันสารทของอเมริกาเหนือ หรือก็คือเทศกาลวันฮาโลวีนมาไม่นาน เป็นธรรมดาที่เรื่องพวกนี้จะเป็นที่นิยมที่สุดในคืนก่อนวันฮาโลวีน


หลังจากเทศกาลวันฮาโลวีนของทุกปี ช่องโทรทัศน์ทุกแห่ง สื่อหนังสือพิมพ์จะพากันทำรายการเกี่ยวกับเรื่องผีปีศาจที่น่าหวาดหวั่น เห็นได้ชัดว่าในปีนี้ทางฝั่งนครเซนต์จอห์นมุ่งความสนใจไปที่เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์


“เมื่อก่อน ผมไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไรนัก ตอนนี้หลังจากได้ยินที่ทุกๆ คนพูดคุยกันแล้ว ผมก็เริ่มนึกย้อนไปถึงค่ำคืนช่วงที่ผมเพิ่งออกทะเลในช่วงแรกๆ ในตอนนั้น ผมเคยเห็นเรือแห่งม่านหมอกลำหนึ่ง” ฉินสือโอวพูดอย่างช้าๆ เขาหยิบเอาความสามารถในการเล่าเรื่องผีออกมาใช้


นีลเซ็นพูดอย่างหน้าบานด้วยความยินดีว่า “ใช่ๆ เพอริส บอสของพวกเราพูดเรื่องจริงนะ เขาไม่ได้โกหก ตอนนั้นผมอยู่กับเขา พระเจ้า เรือแห่งม่านหมอก! น่ากลัวจริงๆ!”


ฉินสือโอวใช้แววตาแปลกประหลาดจ้องนีลเซ็น พี่ชายคนทึ่มนายช่วยอยู่นิ่งๆ ทีได้ไหม? นี่เป็นช่วงเวลาคับขัน ถ้าเกิดปล่อยไก่ออกไปก็รอดูข่าวที่พวกเรากลายเป็นตัวตลกได้เลย


โชคดีที่นีลเซ็นเป็นพวกมีสมอง ไม่เหมือนคนโง่ทึ่มอย่างบูล พอเขาเห็นฉินสือโอวสีหน้าไม่ดีก็ถูจมูกไปมาแล้วไม่พูดอะไรต่อ


ทว่าวินนี่ไม่รู้แผนการร้ายเรื่องเรือผี เธออยากจับคู่ให้นีลเซ็นกับเพอริส จึงถามขึ้นมาว่า “คุณพูดจริงๆ หรือเปล่า ตอนนั้นพวกคุณอยู่บนเรือด้วยกันทั้งคู่เลยเหรอ? ฉิน เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ?”


ตอนนี้ฉินสือโอวพูดอะไรได้บ้างล่ะ? เขาทำได้เพียงยอมรับว่า “ใช่แล้ว เป็นเรื่องจริงครับ”


วินนี่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้นีลเซ็นเล่าเรื่องนี้ให้เพอริสฟังเถอะ ฉันคิดว่านีลเซ็นที่เป็นทหารปลดประจำการจากกองกำลังพิเศษ ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น เขาต้องใจเย็นกว่าคุณแน่ๆ ความทรงจำก็น่าจะชัดเจนยิ่งกว่า”


ฉินสือโอวจึงรีบพูดว่า “ไม่ๆๆ ให้ผมเล่าเถอะ ถึงนีลเซ็นจะ…”


ได้ยินที่เขาพูด รอยยิ้มของวินนี่ก็เปลี่ยนเป็นมีความหมายลึกซึ้งกว่าเดิม เธอถามเขาว่า “คุณคิดว่าคุณเหมาะที่จะเล่าเรื่องนี้มากกว่านีลเซ็นเหรอคะ?”


ฉินสือโอวรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาทันที แม่เอ็ง ในคำพูดนั้นยังมีความหมายอีกอย่าง วินนี่นึกว่าเขาอยากจะสร้างความสัมพันธ์กับเพอริส เป็นความผิดของไอ้เวรนีลเซ็นทั้งหมด!


นีลเซ็นไม่ได้สนใจว่าฉินสือโอวจะคิดยังไง วินนี่มอบหมายหน้าที่ให้เขาแล้ว เขาจึงทำความเคารพด้วยความตื่นเต้นทันที พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “ขอบคุณที่นายผู้หญิงไว้ใจครับ ผมจะบรรยายเหตุการณ์ให้เพอริสฟังโดยละเอียดอย่างแน่นอน!”


ทว่าฉินสือโอวกลัวเขาจะทำให้เรื่องวุ่นวาย จึงรีบดึงเขาเข้ามากำชับเสียงเบา


แต่เรื่องทั้งหมดในสายตาของวินนี่กลับเปลี่ยนเป็นอีกความหมาย เธอรอจนนีลเซ็นกับเพอริสออกไปแล้ว จึงยิ้มน้อยๆ แล้วพูดกับเขาว่า “คุณอยากเสนอตัวต่อหน้าเพอริสมากๆ เลยเหรอคะ?”


ฉินสือโอวกลอกตา เรื่องเรือผีไม่ได้มีอะไรให้ต้องปิดบัง เขาเห็นว่าไม่มีคนอยู่รอบๆ จึงพูดเรื่องแผนการยุทธวิธีของตัวเองออกไป หลังจากนั้นก็พูดว่า “ผมกลัวนีลเซ็นจะอยากได้หน้าจนเล่าเรื่องที่ไม่ควรเล่าให้เพอริสฟังต่างหาก!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)