องครักษ์เสื้อแพร 841-844
ตอนที่ 841 แอบเคลื่อนไหว ผู้ใดรู้
โดย
Ink Stone_Fantasy
สวีจื้อเทาออกคำสั่งไปเสร็จ ทหารก็รับคำสั่งหันหลังออกไปจัดการ เว่ยกั๋วกงตระกูลสวีรุ่งเรืองอำนาจมาสองร้อยปี ย่อมต้องวางตัวสูงส่งไม่ธรรมดา ทว่าการวางตัวสูงส่งนี้ยังต้องรักษาความเป็นตระกูลขุนพลทหารไว้ด้วย จึงทำให้แตกต่างจากคนอื่น
ชนชั้นสูงเมืองหลวงพวกขุนนางบู๊ที่ได้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์แล้ว ก็ล้วนพยายามทำตัวเป็นบัณฑิตมีความรู้ ลูกหลานในตระกูลก็ย่อมเลียนแบบท่าทางวางตัวเป็นบัณฑิตชั้นสูง นี่เป็นเรื่องทำให้ผู้คนขบขัน
ทหารติดตามคนสนิทออกไป เว่ยกั๋วกงสวีจื้อเทาก็ยืนขึ้น เดินไปมาในห้องหนังสือ ยามนี้ด้านนอกมีสามคนเข้ามา คำนับแล้วก็นั่งลง
สวีจื้อเทากลับไม่นั่ง หากหันไปถามคนหนึ่งในนั้นว่า
“น้องสาม เรื่องนี้เจ้าคิดอย่างไร?”
สามคนที่นั่งอยู่ หน้าตาล้วนคล้ายกับสวีจื้อเทา อายุน้อยกว่า ความเป็นความตายตระกูลสวีย่อมเป็นหนึ่งเดียวกัน เรื่องนี้ก็ย่อมต้องเชิญสายตระกูลมาหารือ
ได้ยินหัวหน้าตระกูลถาม น้องสามสวีจื้อเทาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า
“คนของเราที่เมืองหลวงยังพึ่งพาได้ สายในวังหลายคนนั้นก็คบหากันมานานหลายสิบปี การมาปฏิบัติหน้าที่ของหวังทงในการตรวจสอบตระกูลสวีเมืองซงเจียงเราครานี้ ไม่น่ามีวัตถุประสงค์อื่น”
กล่าวถึงตรงนี้ น้องสามสวีจื้อเทาก็หันไปเบะปากลงพื้น ยิ้มด่าว่า
“เราแซ่สวี พวกเขาก็แซ่สวี ช่างน่ารังเกียจจริงพับผ่าสิ”
“น้องสามอย่าได้กล่าวเช่นนี้ หลายปีนี้ในเมืองหนานจิงมีผู้ใดจำพวกเราได้บ้าง คนพวกนั้นวันๆ ก็เอาแต่พูดว่าตระกูลสวีเมืองซงเจียงนี่นั่น บอกว่านั่นควรเป็นอันดับหนึ่งในแดนใต้!”
“เหลวไหลสิ้นดี สถานะตระกูลเราได้มาเพราะรุ่นปู่รุ่นบิดาเราเสี่ยงตายต่อสู้มา เขาแค่ใช้พู่กัน จะบอกว่า…”
สวีจื้อเทาขมวดคิ้วกระทืบเท้า ขึ้นเสียงว่า
“พูดแล้วได้อันใดเล่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องนี้”
คนที่เงียบแต่ต้นยามนี้กลับกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“พี่ใหญ่ พี่ๆ ทุกท่าน หลายปีนี้ ฮ่องเต้ไม่ว่ามีราชโองการใดมา ในวังก็มักจะมีข่าวมา พวกเรามีข่าวใดบ้างไม่รู้กัน แต่กลับมีครั้งนี้ เรื่องในจดหมายนี้พวกเราไม่รู้สักอย่าง พี่ๆ ทุกท่าน หวังทงมีความชอบใหญ่เช่นนี้ ทรงมีสมรสพระราชทานก่อน จากนั้นก็สั่งให้เขาที่ยังปักหลักในเมืองหลวงไม่แน่นต้องออกจากเมืองหลวง ประเด็นหลักก็เพื่อกำราบหวังทง ไม่ใช่มาตรวจสอบพวกเรา”
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ทุกคนล้วนพยักหน้า ท่านนี้กล่าวต่ออีกว่า
“ทว่าจดหมายกล่าวเช่นนี้ ระวังไว้อย่างไรก็มีเหตุผลอยู่ ขอให้พี่ใหญ่สั่งการ ให้คนของเราและแต่ละร้านค้ากิจการให้สงบเสงี่ยมหน่อย หากถูกผู้แทนพระองค์จับผิดได้ อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี จากนั้นรอดูปฏิกิริยาตระกูลอื่น ชนชั้นสูงอื่นๆ ในหนานจิงให้เราตระกูลสวีเป็นผู้นำ แต่ในบรรดาพวกนี้ก็มีระดับป๋อ ระดับโหวไม่น้อย ย่อมไม่ได้แจ้งแค่เรา ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาเหล่านั้นจะไม่รู้”
“เหล่าเสียน ทำตามวิธีการของเหล่าเฉิง ทำตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน!”
สวีจื้อเทาพยักหน้า สองคนข้างๆ กลับวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น
“พวกตระกูลจูนั่นระแวงขุนนางตนเอง นิสัยเช่นนี้หลายปีมาแล้วก็ยังเหมือนเดิม ช่วยพวกเขาสู้รบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมา สุดท้ายจุดจบไม่ดีสักคน ช่างน่าเจ็บปวดใจ ได้ยินว่าหวังทงกับฮ่องเต้เล่นกันมาแต่เด็ก ยังเคยช่วยฮ่องเต้ไว้ด้วย ถุยๆ ยังสร้างความชอบใหญ่เช่นนี้ เทียบกับต้นตระกูลเราแล้วก็ต่างกันไม่เท่าไร!”
“บรรพชนเรายังถูกจัดการซะราวกับห่านนึ่งตัวหนึ่ง…….”
“น้องหก คนข้างนอกพูดเหลวไหลกันก็พอแล้ว ตระกูลสวีสายหลักอย่างเราจะตามเหลวไหลไปด้วยทำไม บรรพชนเราตอนนั้นถูกปลดกำลังที่เมืองหลวง เกี่ยวอันใดกับห่านนึ่งหนานจิง กล่าวเช่นนี้ จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะเอาได้”
ตอนนั้นสวีต๋าเป็นขุนนางบู๊ในปฐมฮ่องเต้จูหยวนจาง หมิงไท่จู่ ปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางสังหารขุนนางมีความชอบ และมีข่าวลือว่าสวีต๋ามีฝีที่หลัง อาการป่วยหากกินห่านนึ่งจะต้องตาย แต่ปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางยังพระราชทานห่านนึ่งให้ สวีต๋ากินทั้งน้ำตา คืนนั้นป่วยตายกะทันหัน แต่ทว่าข่าวลือในหมู่ชาวบ้านว่า ตอนนั้นสวีต๋ากำลังอยู่ในเมืองเป่ยผิง ก็คือเมืองหลวงตอนนี้ อาการกำเริบตายในค่ายทหารเอง
สวีจื้อเทาตำหนิไป แต่ก็ควักจดหมายออกมา ในจดหมายเขียนง่ายๆ ว่า หวังทงลงใต้ครานี้ อ้างภารกิจว่าตรวจสอบที่นาจวนสวีเมืองซงเจียง แต่ในทางลับนั้นกลับต้องการสืบเรื่องผิดกฎหมายของบรรดาชนชั้นสูง ……
เว่ยกั๋วกงตระกูลสวีเมืองหนานจิงมาเกือบสองร้อยปี หูตามากมาย อิทธิพลครอบคลุมเต็มพื้นที่ การข่าวก็ย่อมไวอย่างมาก ในพื้นที่เกิดเรื่องใด ตระกูลเขาย่อมต้องรู้เป็นคนแรก
บรรดาตระกูลชนชั้นสูงที่มีอิทธิพลต่างได้รับจดหมายเช่นนี้ จดหมายล้วนกล่าวว่า หวังทงลงใต้ครานี้ อ้างภารกิจว่าตรวจสอบที่นาจวนสวีเมืองซงเจียง แต่ในทางลับนั้นกลับต้องการสืบเรื่องผิดกฎหมายของบรรดาชนชั้นสูง เพื่อรวบรวมเงินทองที่นาของชนชั้นสูงกลับคืนไปสู่ราชสำนัก
กล่าวเช่นนี้ทำให้คนที่ได้ยินต่างตกใจ แต่คิดให้ดีก็รู้สึกไม่ใช่ว่าไร้เหตุผล ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงโปรดหวังทง อันผิงโหวก็ถูกประหารล้างตระกูล อู่ชิงโหวก็ถูกกดไว้หนักมาก ชนชั้นสูงเมืองหลวงสงบเสงี่ยมกว่าเมื่อก่อนมาก แม้ว่าสองเรื่องล้วนมีเหตุ แต่หากตามไปถึงที่สุด ก็เหมือนว่าเป็นภาพสะท้อนการจัดการชนชั้นสูงของฝ่ายใน
เจตนาหวังทงลงใต้มานั้นมีค่าควรหารือ ฮ่องเต้ว่านลี่มีสมรสพระราชทานแก่หวังทงเรื่องนี้ไม่ว่าผลเป็นเช่นไร แต่ก็ล้วนเป็นการแอบทดสอบและกำราบขุนนางมีความชอบวิธีหนึ่ง กระบวนการอย่างไรแสดงถึงอะไร ผลอย่างไรก็ย่อมแสดงสิ่งนั้น หวังทงยังคงแต่งภรรยาเอกที่งามพร้อม เขายังคงเป็นติ้งเป่ยโหวและผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร นี่ก็คือผล ชนชั้นสูงในเขตปกครองใต้เห็นกันก็คือผลเช่นนี้
ในเมื่อหวังทงยังคงเป็นติ้งเป่ยโหวและผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร อำนาจก็ยังคงไม่อาจแตะต้อง หวังทงรับราชโองการออกจากเมืองหลวงก็คงไม่ใช่เพื่อให้เขาต้องออกจากเมืองหลวงในขณะที่อำนาจยังไม่มั่นคง
ราชโองการนี้อาจไม่แน่ว่าเป็นแค่หาเหตุผล หวังทงลงใต้มาย่อมมีเหตุจากในวังคิดสิ่งใด ต้องการมาทำอะไรกันแน่
อยู่ในวงการขุนนางเป็นชนชั้นสูงกันมานาน การเมืองเล็กน้อยก็ย่อมพยายามหาทางวิเคราะห์ หนานจิงสามารถ เมืองหลวงก็สามารถ
คนที่ได้รับจดหมายไม่ใช่ว่าจะเหมือนจวนเว่ยกั๋วกงที่รับมืออย่างนิ่งเงียบ ไม่ใช่ว่าลูกน้องในจวนใต้หล้าประสบเรื่องนี้แล้วจะนำไปส่งมอบในทันที ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เห็นจดหมายนี้จะต้องถูกส่งไปขังที่โรงบ้านนอกเมือง
หลายตระกูลที่รู้เรื่องนี้ก็รีบส่งคนไปตามญาติสนิทมาหารือรับมือ คนในจวนก็ไม่ได้ว่างกัน หากนำสิ่งที่ได้เห็นได้ยินมากระจายข่าวไปทั่ว
เรื่องเช่นนี้ทุกคนชอบวิพากษ์วิจารณ์ ทุกคนชอบกระจายข่าว ไม่นาน ทั้งหนานจิงก็รู้กันทั่ว ตามแบบการจัดการที่เคยเป็นมา ทุกคนอย่างไรก็ต้องไปรวมตัวกันที่จวนเว่ยกั๋วกง ยังต้องเชิญขันทีใหญ่ประจำหนานจิงกับเสนาบดีกรมทหารหนานจิงมา ขอให้ทุกคนได้ร่วมออกความเห็น
“ทุกท่าน ราชโองการได้บอกความกระจ่างไว้ในจดหมายแล้ว เป็นไห่รุ่ยแห่งหนานจิงยื่นฎีกาฟ้องตระกูลสวีเมืองซงเจียงรุกครองที่นา ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทง ใต้เท้าหวังออกจากเมืองหลวงมาทำคดีนี้ จดหมายทุกคนก็ได้เห็นแล้ว หรือว่ายังมีเนื้อหาสาระอื่นอีก? พวกเราทำไมไม่ได้อ่านกัน?”
ขันทีใหญ่ประจำหนานจิงหูจื้ออันถามกลับเสียงเย็น คำถามนี้ ทำให้เสียงนกกระจอกเงียบไป ทุกคนไร้สำเนียง
“ทุกท่าน อย่างไรก็เป็นพระเมตตาของฝ่าบาท ราชโองการเช่นไรไม่ใช่เรื่องที่เราและท่านจะมาคาดเดา ในเมื่อราชโองการว่าไว้กระจ่างแล้ว เหตุใดยังต้องทำเรื่องไร้สาระให้มากความเช่นนี้อีก หากแพร่ไปเมืองหลวง เกรงว่าคงไม่ดีกระมัง!”
หูจื้ออันเดิมเป็นขันทีในสำนักส่วนพระองค์ เพราะปฏิบัติหน้าที่ดี จึงได้มีโอกาสมาประจำหนานจิง เขาเป็นคนไม่รับสินบน ทำให้ชนชั้นสูงหนานจิงเกรงกลัวอยู่ พอเห็นท่าทีเย็นชาเช่นนี้ เว่ยกั๋วกงสวีจื้อเทาก็ได้แต่ยืนขึ้นกวาดตามองไปรอบๆ
“หูกงกงกล่าวได้ถูกต้องๆ เว่ยกั่วกงก็กล่าวได้ถูกต้อง”
ทุกคนตอบรับเช่นนี้พร้อมกัน แต่ในใจคิดอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ หากความวุ่นวายภายนอก ก็ถูกกดให้นิ่งลงได้ในวันเดียวนี้ หากจะแอบนินทาหารือกันในที่ลับก็ย่อมไม่มีผู้ใดรู้ได้
****************
“เป็นท้องฟ้าแยงซีเกียงจริง เหตุใดจึงกว้างสิบกว่าลี้ได้ขนาดนี้กัน?”
ตลอดทางลงใต้มา จากเจียงตูเข้าสู่แม่น้ำแยงซีเกียง สำหรับชาวเหนือแล้ว ยากที่จะได้มาแดนใต้ ยากที่จะได้ล่องแม่น้ำแยงซีเกียง จะต้องดูไว้เพิ่มประสบการณ์เสียหน่อย
แม่น้ำผืนกว้าง น่าตกใจจริง ระยะทางนั้นหวังทงเคยลองคาดเดาอยู่ แต่ความกว้างแท้จริงทำให้หวังทงยังต้องตกตะลึง
“ครึ่งเดือนมาแล้วที่ไม่มีฝนตก ตอนฝนตก หากนายท่านได้เห็น จะเห็นกว้างกว่านี้อีก”
คนเรืออธิบาย หวังทงส่ายหน้า ได้แต่ยิ้ม ไม่ได้กล่าวต่อ ตอนล่องแม่น้ำแยงซีเกียงในยุคโลกก่อน แม่น้ำกว้างก็ราวกับหนึ่งในสี่ของที่ตาเห็นในตอนนี้ หลายร้อยปีผ่านไป ผืนดินแผ่นฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงจริง
ผืนน้ำที่กว้างนี้ ในการสงครามยุคนี้ก็เรียกได้ว่าอันตรายจริง แน่นอน ที่จริงแล้วก็ย่อมไม่อาจขวางจิตใจมั่นคงของกองทัพที่จะเอาชนะได้
หวังทงทอดถอนใจ ทหารติดตามเขาไม่ต้องพูดถึง ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่สองพี่น้องแม้ว่าเคยมาเจ้อเจียง แต่ตอนนั้นยังเล็ก จำอะไรไม่ได้ วันนี้ได้เห็นก็ย่อมต่างจากครั้งแรก ล้วนอ้าปากค้างตกตะลึงเช่นกัน
ก่อนข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง เรื่องราวหนานจิงต่างๆ หวังทงก็รู้หมดแล้ว เรื่องพวกนี้หลิ่วซานหลังกล่าวว่า
“ท่านโหว เรื่องมาถึงขั้นนี้ เบื้องหลังย่อมมีคนคิดหาเรื่อง แต่คนหาเรื่องนี้ใช่ตระกูลสวีเมืองซงเจียงหรือไม่ เรื่องนี้กล่าวได้ยาก”
*************
“เรื่องเช่นนี้เป็นผู้ใดกระทำกัน!?”
ณ จวนสวี เมืองซงเจียง สวีพานสอบถามสีหน้าจริงจังต่อหน้าทุกคน คนเบื้องหน้าเขาทุกคนก้มหน้านิ่ง ไม่มีคนตอบ เงียบไปครู่หนึ่ง ก็มีคนหนึ่งข้างๆ ตอบขึ้นเบา ๆ ว่า
“นายท่าน เรื่องเช่นนี้ ให้ชนชั้นสูงหนานจิงเป็นปรปักษ์กับหวังทง ให้คนทางใต้เป็นศัตรูกับหวังทง ไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่เกรงว่าเป้าชี้คงกลับมาที่เราทางนี้หมด”
“เหลวไหล!! ทำให้คนคิดหลงไปคนละทางวิธีการพวกนี้ ยังเกี่ยวพันไปถึงราชโองการกับชนชั้นสูงหนานจิง ต้องนำภัยใหญ่หลวงมาแน่ !!”
“นายท่าน หากเป็นพวกเราทำ ก็ย่อมนำภัยมาถึงตัว หากไม่ใช่ มีประโยชน์ต่อเรา ไยต้องคิดมากด้วย?”
สวีพานแค่นเสียงเย็น โบกมือให้คนเบื้องหน้าถอยออกไป เงียบไปพักหนึ่งก็กล่าวว่า
“มอบให้ท่านไต้ไปห้าหมื่นตำลึง สถานการณ์หนานจิงเช่นนี้ ให้เขาดูว่ามีโอกาสใดไหม!”
ตอนที่ 842 หนานจิง ไห่รุ่ย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้แทนพระองค์เข้ามาในพื้นที่แล้ว คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ต้องออกมาต้อนรับ งานเลี้ยงต้อนรับก็ย่อมต้องจัดให้พร้อมเต็มเกียรติยศ ทว่าวัตถุประสงค์ไม่ใช่เรื่องนี้ หากผู้แทนพระองค์ไม่อยากพบ ทุกฝ่ายก็ย่อมดีใจที่จะได้ไม่ต้องพบ
พวกหวังทงขึ้นฝั่งที่ตันถู จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรถม้าเข้าหนานจิง การเคลื่อนไหวของเขาย่อมมีคนตามจับตาดู มีแต่ขุนนางที่ควรออกหน้ามาต้อนรับก็ย่อมต้องออกหน้ามา คนที่เหลือก็ทำเป็นว่าผู้แทนพระองค์ยังมาไม่ถึง
ท่าทีให้ความเคารพแบบมีระยะห่างนี้ หวังทงเองก็ชอบ การต้อนรับในวงขุนนางเขาก็ไม่ชอบนัก นับประสาอันใดกับครั้งนี้เดิมก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใครมาเลี้ยงต้อนรับ
คนอื่นเคารพห่างๆ นั้นได้ แต่นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิงไม่อาจทำได้ หวังทงขึ้นท่าทีตันถู พวกเขาก็ย่อมต้องรีบออกจากหนานจิงมารอรับที่หลงถาน
หลงถานเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างเมืองหนานจิงกับตันถู ขุนนางตอนเหนือมาจากคลองส่งน้ำถึงหนานจิง ไปยังหลงถานรอรับ ก็นับว่าเป็นการให้เกียรติยิ่งใหญ่แล้ว
ในเรื่องนี้ หวังทงไม่รู้สึกอะไร เขาเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร นายกองพันที่หนานจิงเป็นลูกน้องก็ย่อมต้องมาต้อนรับจึงสมเหตุสมผล
พวกนายกองพันนี้ต่างจากพวกในเมืองหลวง มีนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิงสามนายนี้เหมือนดูห่างเกิน มีอะไรกั้นไว้อีกชั้น
พอถึงเมืองหนานจิง หวังทงไม่ได้ไปยังที่พักที่ที่ทำการจัดให้ หากหาโรงเตี๊ยมในเมืองเอง เหมาโรงเตี๊ยมไว้ทั้งหมด ทุกคนแม้แต่ม้าและรถก็อยู่กันที่นี่ การกระทำนี้ย่อมเป็นที่ขบขันของบรรดาชนชั้นสูงและวงขุนนางหลายร้อยปีในหนานจิง
ขันทีใหญ่ประจำหนานจิงในจวนเว่ยกั๋วกงและพวกที่มีระดับพอจะเลี้ยงต้อนรับก็ส่งเทียบเชิญมา ต้องการจัดเลี้ยงให้หวังทง ทุกคนแอบนินทากันอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ภายนอก็ต้องรักษาท่าทีตามมารยาทไว้ และก็ตามคาด หวังทงปฏิเสธเทียบเชิญทั้งหมดและแสดงความขอบคุณ
งานเลี้ยงของนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิง เป็นธรรมเนียมในระบบงานองครักษ์เสื้อแพร หวังทงย่อมรับไว้ ทว่าก็ขอจัดการงานที่ได้รับมอบหมายมาก่อน มีเวลาค่อยจัดงาน
ชนชั้นสูงหนานจิงสงบสุขมานานปี ในเมืองรุ่งเรืองยิ่งกว่าเมืองหลวง หวังทงเหมาโรงเตี๊ยมในเมืองหนานจิงไว้ก็นับว่าดีที่สุด สามารถอยู่กันอย่างสบาย
พอตกดึก อากาศร้อนในหนานจิงก็ลดลงไปหลายส่วน หากอยู่เมืองหลวงตอนนี้ส่วนใหญ่ก็คงเงียบมาก แต่ที่หนานจิงนี้ โรงเตี๊ยมที่หวังทงอยู่ยังได้ยินเสียงดนตรีแว่วมา ทำให้รู้สึกแปลกบอกไม่ถูก
เถ้าแก่และคนงานในโรงเตี๊ยมถูกไล่กลับไปหมดแล้ว เงินทองก็ให้ไปมากพอ พวกเขาย่อมดีใจที่ได้เงินเปล่า นอกจากทหารติดตามหวังทงแล้ว ก็มีเพียงเถ้าแก่สองสามคนของร้านสาขาสามธาราในหนานจิงเท่านั้น พวกเขารับหน้าที่ติดต่อในและนอกหนานจิง
เหมือนกับที่อื่น องครักษ์เสื้อแพรอย่างไรก็ต้องมารอรับคำสั่ง ทว่าคนเหล่านี้เข้ามาด้านในไม่ได้ ได้แต่รอรับคำสั่งด้านนอก
************
เรือนเดี่ยวหนึ่งในโรงเตี๊ยมจัดการให้เป็นที่พักหวังทง หลังมาถึงหนานจิงก็ไม่ได้สบายเหมือนอยู่บนเรือ กลางวันต้องเข้าเมืองไปจัดการ เริ่มต้องเตรียมงานแล้ว
“ท่านโหว ครึ่งเดือนก่อนเฝิงเป่าป่วยจากไปแล้ว ก่อนจากไป ยังมีวาจาหนึ่งว่า ชีวิตนี้ไม่เสียดาย”
หวังทงยุ่งกับงานในห้อง เถ้าแก่ร้านสามธาราคนหนึ่งเข้ามารายงาน ไปดูว่าเฝิงเป่าเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ฮ่องเต้ว่านลี่แอบกำชับมาส่วนตัว
มหาขันทีคุมอำนาจในฝ่ายในแผ่นดินหมิงมาเกือบ 20 ปี ฮ่องเต้ว่านลี่ทั้งแค้น ทั้งเคารพ ทั้งกลัว ผสมปนเปกันไปหมด สำหรับฮ่องเต้ที่ไม่เคยทรงมีความรู้สึกอบอุ่นแบบครอบครัวแล้ว เฝิงเป่ากับจางจวีเจิ้งอาจเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของภาพแทนบิดาในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่
แต่ตอนเฝิงเป่าคุมอำนาจ ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนไม่อาจเงยพระพักตร์ขึ้นได้ ฮ่องเต้ว่านลี่ขับเฝิงเป่าออกจากเมืองหลวงแล้ว ในใจแม้ว่าทรงคิดถึง แต่ก็กลับปิดกั้นข่าวทุกทาง ด้วยเกรงว่าจะใจอ่อนเรียกตัวกลับมา ข่าวจากหนานจิงที่เกี่ยวข้องกับเฝิงเป่าย่อมไม่ถูกส่งมาเมืองหลวง
หวังทงมาครานี้ก็แวะถามไถ่ดู ก็นับว่าคงทำให้สิ่งที่ติดขัดในพระทัยหายไปบ้าง คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเช่นนี้ ครึ่งเดือนก่อนเฝิงเป่าป่วยจากไปแล้ว
เฝิงเป่าอยู่หนานจิงแม้ว่าไม่ได้สูงส่งเหมือนเมืองหลวง แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา ขันทีที่หนานจิงกับเฟิ่งหยางนับดูแล้วก็เป็นเหล่าลูกศิษย์เขาทั้งนั้น และฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงมีราชโองการชัดเจนว่าให้เฝิงเป่ามาอยู่สบายที่หนานจิง
แต่อำนาจเป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ กุมอำนาจไว้นานปีอย่างเช่นเฝิงเป่า อยู่ ๆ มาสูญเสียไป ต้องห่างไกลศูนย์กลางอำนาจมา ในใจก็ย่อมเหมือนขาดหายไป คิดก็รู้ได้ พอมาถึงหนานจิงก็ล้มป่วยมาตลอด ก็ไม่ได้แปลกอะไรหากจะป่วยจากไป
พอได้ยินข่าวเช่นนี้ หวังทงเองก็อึ้งไป รู้สึกใจหาย คนรู้จักสนิทสนมคนหนึ่ง ไม่ว่าศัตรูหรือสหาย หากจากไป ก็มักทำให้คนเรารู้สึกโหวงเหวง ในความคิดหวังทงมีภาพสนทนากับเฝิงเป่าแวบขึ้นมา เฝิงเป่าช่วยเขาไว้มากจริงๆ
“ใช้เอกสารองครักษ์เสื้อแพรเรา ใช้ม้าเร็วเรากลับไปรายงานข่าวเมืองหลวง ฝ่าบาทต้องการทราบข่าวนี้เช่นกัน”
เถ้าแก่คำนับรับคำหมุนตัวออกไป หวังทงนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็สะบัดหน้าไปมา ถอนหายใจ เสียงดังกล่าวว่า
“เอาข้อมูลนายกองพันสามคนในเมืองมา!”
อวี๋ชิงกั๋ว จางเหลียนเซิง เมิ่งเซี่ยนฮุย สามคนนี้มีประวัติในสำนักองครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวงละเอียด ทว่าหลังจากมาหนานจิง ต้องให้คนจากร้านสามธาราช่วยเสริมข้อมูล
“อวี๋ชิงกั๋วเป็นทหารจากจวนเว่ยกั๋วกง สมัยฮ่องเต้หลงชิ่งติดตามอดีตเว่ยกั๋วกงไปหลูโจวปราบโจร สร้างความชอบไว้ ยังเคยช่วยชีวิตสวีจื้อเทา ดังนั้นจึงได้ตำแหน่งนี้ ตอนนี้อวี๋ชิงกั๋วเรียกได้ว่าเป็นหัวหน้าที่ใช้งานได้ที่สุดขององครักษ์เสื้อแพรหนานจิง”
หลิ่วซานหลังมักมีข้อวิเคราะห์ที่เฉียบขาด เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยเทียนจิน คบหากับคนหลากหลาย ทำให้เขายิ่งมากความสามารถด้านนี้ พอมาถึงหนานจิง เขาก็หยิบเอาเอกสารของนายกองพันสามคนไปหาข้อมูลเพิ่มกับสายในเมือง จากนั้นค่อยมารายงานหวังทง
“จางเหลียนเซิงต้นตระกูลเป็นองครักษ์เสื้อแพรมา ต่ำสุดก็ไม่เคยต่ำกว่านายกองธงใหญ่ ตอนมีเหตุโจรสลัด บิดาและอาของเขาปราบโจรที่เจ้อเจียง อาเขาตายที่นั่น บิดาจางเหลียนเซิงแขนขาดไปข้างหนึ่ง สร้างความชอบใหญ่ ยังเป็นตระกูลทหาร ดังนั้นจึงได้มาสู่ตำแหน่งนี้ได้ จางเหลียนเซิงในเมืองนอกเมืองพอมีบารมี ว่ากันว่าแม้แต่พ่อค้าการค้าเล็กๆ ยังมอบบรรณาการให้เขา จางเหลียนเซิงเองก็มีโรงผ้าในเมือง นอกเมืองโรงผัก ปกติมักทำงานพวกนี้มากกว่างานราชการ”
พอได้ยินเช่นนี้ สีหน้าหวังทงยังคงเดิม ไม่ว่อวี๋ชิงกั๋วหรือจางเหลียนเซิง ก็ไม่ต่างอันใดกับพวกในเมืองหลวง นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวงผู้ใดไม่เป็นเช่นนี้
“เมิ่งเซี่ยนฮุยนี่ไม่เหมือนกันเท่าไร บิดาและปู่ไม่มีใครเป็นองครักษ์เสื้อแพร ปีที่สองในสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง องครักษ์เสื้อแพรขาดคนเลยรับสมัคร จึงได้เข้ามาเป็น คนผู้นี้ที่มาเบื้องหลังไม่ชัด แต่เข้ามาในสถานะพลทหาร ปีรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ที่ 5 ก็เป็นนายกองพันแล้ว”
การเลื่อนตำแหน่งในองครักษ์เสื้อแพร จากพลทหารขึ้นไป สามารถหน่อยที่มีคนหนุนหลังก็เป็นได้แค่นายกองธงใหญ่หรือนายกองร้อยเท่านั้น เมิ่งเซี่ยนฮุยถึงกับขึ้นตามน้ำมาเป็นนายกองพันได้ หาได้น้อยมาก
“เอกสารเขียนไว้เช่นนี้ พอมาแล้ว ข้าน้อยยังสอบถามอย่างละเอียด สายเราในพื้นที่ก็ไม่กระจ่างนัก จากเอกสารของเมิ่งเซี่ยนฮุย ดูไม่ออกว่าเขาอยู่ข้างไหนหรือไม่อยู่ข้างไหน มองไม่ออกว่าเกี่ยวพันกับผู้ใด”
หลิ่วซานหลังรายงานจบ หวังทงยกมือเคาะโต๊ะ กล่าวว่า
“คนเราที่หนานจิงไม่พอจริงๆ ข่าวไม่อาจไหลรื่นได้ ทว่าสามคนนี้ก็ไม่ใช่คนสำคัญอันใด ข้าแค่สงสัยว่า อิทธิพลตระกูลสวีเมืองซงเจียงมากเพียงนั้น ก้าวแทรกงานได้ทุกหน่วย นายกองพันหนานจิงสามคนนี้แบ่งเขตปกครองใต้ดูแล อย่างไรก็คงไม่อาจไร้คนของเขา”
หลิ่วซานหลังพยักหน้า ลังเลครู่หนึ่งเข้าไปกล่าวว่า
“ท่านโหว ร้านค้าในพื้นที่นอกจากสองคนที่คอยจับตาดูงานการข่าแล้ว ที่เหลือก็ทำการค้า หลายวันนี้จะให้สืบอะไรได้ ก็เป็นเรื่องไม่ง่าย ได้แต่รอวันหลังค่อยเสริมกำลัง ทว่าเกรงว่าจะชักช้าเสียการ”
หวังทงโบกมือ กล่าวว่า
“ไม่มีอันใดชักช้าเสียการ ช้าเร็วกันไม่มาก ไห่รุ่ยทางนั้นส่งเทียบเชิญไปยัง?”
“ตอนบ่ายได้ส่งไปแล้ว ใต้เท้าไห่ว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาที่ทำการรอรับท่านโหว”
แม้ตำแหน่งไห่รุ่ยในหนานจิงไม่สูงนัก แต่ไห่รุ่ยอย่างไรก็เป็นขุนนาง อายุมากขนาดนี้ ชื่อเสียงดังขนาดนี้ เหมือนว่าร้อยปีมีคนเดียว เป็นขุนนางมือสะอาด คนเช่นนี้ หากหวังทงให้อีกฝ่ายมาพบที่พำนักตน แม้กระบวนการเป็นเช่นนี้ ก็ย่อมถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ก่นด่า ว่าเหิมเกริม ไม่รู้จักวางตัว เรื่องพวกนี้ย่อมหนีไม่พ้น การไปพบที่ที่การก็ย่อมเป็นเรื่องสมควร
*************
“ใต้เท้าไห่?”
“ท่านโหว คิดว่าข้าไม่เหมือนงั้นหรือ?”
ไม่เหมือนจริงๆ พอหวังทงได้พบไห่รุ่ย ก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าคนผู้นี้ก็คือขุนนางซื่อสัตย์ที่ใต้หล้ายกย่องว่าเถรตรง ไห่รุ่ย ดูแล้วเป็นแค่ชายชราร่างผอมเกร็งคนหนึ่งเท่านั้น
ยุคนี้ขุนนางกับราษฎรนั้นต่างกันมาก ขุนนางกินดีอยู่ดี อาหารคาวครบ รู้จักดูแลร่างกาย ปกติก็ย่อมอ้วนเล็กน้อยและหน้าตาอิ่มเอิบ แต่ไห่รุ่ยหากไม่สวมชุดขุนนาง ดูแล้วก็เหมือนแรงงานที่ทำนามานานปี เป็นชาวนายากลำบากมาครึ่งชีวิต
ใบหน้าตกกระเล็กน้อย และยังค่อนข้างดำ ตัวงอ หนวดเคราตัดแต่งแล้ว แต่ก็ยังความแห้งเหี่ยวทำให้คนรู้สึกมองแล้วไม่สบายใจ ที่ทำให้รู้สึกไม่เหมือนคนอื่นก็คือแววตาไห่รุ่ย แววตาเช่นนี้ หวังทงเคยเห็นจากคนประเภทเดียว ก็คือแววตานักรบที่พร้อมพลีชีพที่แข็งแกร่งที่สุดในกองกำลังหู่เวย
สายตาและแววตาที่หนักแน่นมั่นคง ทำให้ชายชราร่างผอมร่างงองุ้มเบื้องหน้าเป็นไห่รุ่ยขึ้นมาทันที เป็นขุนนางที่ยอมหักไม่ยอมงอที่มีชื่อเสียง
“กล่าวกับใต้เท้าไห่ตรงๆ ช้ายังคิดว่าไม่เหมือน”
สองฝ่ายสบตากันหัวเราะดัง บรรยากาศผ่อนคลายลงมาก พอนั่งลง ไห่รุ่ยก็กล่าวตรงๆ ไม่อ้อมค้อมว่า
“ท่านโหว ออกจากเมืองหลวงมาครานี้คงไม่ใช่ว่าเป็นเพราะฎีกาข้ากระมัง?”
ตอนที่ 843 ขุนนางแม้สูงอายุแต่ก็ยังคงเฉียบขาด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่ว่าขุนนางซื่อมือสะอาดเพียงใด ตอนนั้นดื้อดึงเพียงใด ตอนนั้นตั้งใจจริงจังเพียงใด ตอนนั้นไม่รู้ความเพียงใด หลายปีผ่านไป เห็นมามาก ผ่านมามาก แม้จะยังคงยึดมั่นดังเดิม แต่สายตาย่อมมองได้กระจ่างกว่าวันวานมากเป็นแน่
หากกล่าวว่าเมื่อ 20 ปีก่อน หลังไห่รุ่ยยื่นฎีกา เมืองหลวงส่งผู้แทนพระองค์มาจัดการ ไห่รุ่ยย่อมดีใจอย่างที่สุด คิดว่าฝ่าบาทให้การสนับสนุนเขา เขาคงต้องตั้งใจจัดการครั้งใหญ่ สืบให้ถึงที่สุด ไม่ให้ทรงผิดหวัง
แต่ตอนนี้เขากลับเข้าใจกระจ่างแล้ว หวังทงมาในฐานะผู้แทนพระองค์นี้อย่างมากก็คงให้ออกมาเดินเล่นรอบหนึ่ง ไม่ให้อยู่เมืองหลวงนานนัก และไม่ใช่ว่ามาเพื่อสืบคดีนี้
ไห่รุ่ยยังสามารถยิ้มพูดเช่นนี้ได้ ท่าทางแสดงออกแม้เสียไม่ได้ แต่ก็ยังคงนุ่มนวล เดิมตามคาดเดาของหวังทง พอตนเองกล่าวถึงที่มากระจ่าง ไห่รุ่ยคงต้องโมโหมาก จากนั้นก็สะบัดหน้าจากไป แน่นอน รู้ส่วนรู้ หากวาจากลับไม่อาจกล่าวเช่นนี้ หวังทงหัวเราะกล่าวว่า
“ราชโองการให้ข้ามาดูแลคดีตระกูลสวีรุกที่นา นี่คือเหตุที่ข้าออกจากเมืองหลวงมา ใต้เท้าไห่ไยกล่าวเช่นนี้?”
“ถือว่าข้าพลั้งกล่าววาจาไม่สมควรแล้ว ขอท่านโหวโปรดอภัย!”
ไห่รุ่ยก้มตัวขออภัย เงยหน้าขึ้นสบตากับหวังทง สีหน้าหวังทงแปลกใจ ไห่รุ่ยอึ้งไป หลุดหัวเราะออกมา หวังทงอึ้งไป ได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม
ไห่รุ่ยนี่ไม่ได้ดูคบหายากเหมือนที่เล่ากัน หวังทงถึงขั้นรู้สึกว่าชายชราร่างผอมนี้มีอารมณ์ขันน่าคบ รับราชโองการออกจากเมืองหลวงมา ใต้หล้าล้วนรู้ว่ามาทำอะไร หวังทงย่อมไม่กลัวจะเอ่ยถึง ทว่าก็ยังต้องรักษาธรรมเนียมไว้ สองฝ่ายสนทนาทั่วไปสักพัก กลับไม่เห็นไห่รุ่ยจะเอ่ยถึงเรื่องในราชโองการ หวังทงจึงกล่าวว่า
“ข้าเป็นขุนนางบู๊ เรื่องการเมืองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องมาก แดนใต้นี้ใต้เท้าไห่คงรู้มากกว่าข้า ข้าไปสืบคดี คิดจะสืบอะไรก็คงไม่ง่ายนัก เรื่องพวกนี้ ข้าคิดได้ ใต้เท้าไห่ก็คงคิดได้ คนอื่นก็ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะคิดไม่ได้”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่ง ไห่รุ่ยได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ยกชาขึ้นจิบ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะรับว่า
“สืบยากจริง ตอนนั้นข้าเป็นผู้ตรวจการเมืองอิ้งเทียน นับว่าเป็นขุนนางท้องที่ ยังมีสภาพเช่นนั้นได้ งานท่านโหวครั้งนี้หากต้องการสืบให้ได้ความอันใดก็คงไม่ง่าย”
เขตปกครองใต้มีสองผู้ตรวจการ หนึ่งผู้ตรวจการเมืองเฟิ่งหยาง สองผู้ตรวจการเมืองอี้งเทียน เหมือนว่าแบ่งแม่น้ำแยงซีเกียงออกเป็นสองส่วน ผู้ตรวจการเมืองอิ้งเทียนเป็นขุนนางท้องถิ่นที่สูงสุดในเขตปกครองใต้ ยังเป็นไห่รุ่ยที่มีความสามารถรู้ทุกเรื่องในพื้นที่อีก ยังประสบเหตุจุดจบเช่นนั้นได้ หวังทงในฐานะผู้แทนพระองค์ที่มาจากทางเหนือ สิ่งที่ทำได้ คิดก็รู้แล้วว่ามีข้อจำกัดมาก
ในเมื่อวาจาเมื่อครู่บอกกระจ่างชัด รู้ว่าหวังทงครั้งนี้มาไม่ใช่เพื่อตรวจสอบที่นา สองฝ่ายก็ย่อมสนทนากับได้สบายใจมากขึ้น
จากนั้นก็ไร้บทสนทนา ดื่มน้ำชาไปอีกสองสามคำ ไห่รุ่ยก็ให้คนยกเอกสารตั้งหนึ่งเข้ามา ตอนวางบนโต๊ะ หวังทงหรี่ตามอง กลับพบว่าเอกสารเหลืองเก่ามาก ขอบๆ มีร่องรอยขาด เห็นได้ว่าเก็บไว้มานานปี ไห่รุ่ยลุกขึ้นกล่าวว่า
“ท่านโหว นี่เป็นเอกสารที่ข้าน้อยรวมรวมมาได้ในตอนนั้น ไม่ทราบว่าจะมีประโยชน์กับท่านโหวหรือไม่ แต่เอกสารพวกนี้เป็นพยานหลักฐานจากเจ้าทุกข์ หาแทบไม่ได้แล้ว ในนี้มีกล่าวถึงหนังสือสัญญาและสมุดบัญชี…ด้วยอิทธิพลตระกูลสวีแห่งเมืองซงเจียง คิดว่าน่าจะเตรียมพร้อมแล้ว อาจช่วยท่านโหวไม่ได้มาก ขอท่านเอาไปตรวจดูก็แล้วกัน!”
หวังทงรับไป อ่านข้ามๆ พยักหน้ากล่าวว่า
“มีอันนี้ดีมาก อย่างไรก็ไม่ถึงกับสืบมั่วราวกับแมลงวันบินอย่างไร้หัว”
หวังทงยิ้มพยักหน้า นั่งต่อสักครู่ แม้ไห่รุ่ยท่าทีอ่อนโยน แต่วาจากลับไม่มาก แสดงให้เห็นว่าไม่อยากคุยให้มากแล้ว หวังทงก็รู้สึกเบื่อแล้ว จึงลุกขึ้นกล่าวอำลา
พอออกไปก็พบกับเจ้าหน้าที่จากสำนักตรวจสอบหนานจิงมารอพบอย่างเกรงใจ หวังทงขี้เกียจจะไปร่วมงานเลี้ยงกับเขา จึงได้ปฏิเสธอย่างสุภาพ อีกฝ่ายไม่รั้งต่อ ออกไปส่งหวังทงกลับ
พอออกจากประตูสำนักตรวจสอบ ทหารติดตามก็พากันออกมารอรับ อำนาจก็มีข้อดีของอำนาจ แม้ว่าแดนใต้ ม้าร้อยกว่าตัวก็ได้รับการดูแลอย่างดี
“ท่านโหว มีหกเป้าหมายลอบดูเรา ตอนนี้ด้านหลังมีอีกสามเป้า”
สื่อชีบนหลังม้ากล่าวเบาๆ หวังทงขมวดคิ้วหันไปมอง กลับเห็นหน้าประตูสำนักตรวจสอบมีร้านข้างทางขายผลไม้อยู่สองร้าน ล้วนตั้งอยู่หน้าร้านสุรา หลายคนกำลังทำเป็นชื่นชมป้ายประกาศเกียรติคุณหน้าร้านสุรา พวกเขามองดูก็รู้ว่าเป็นสองเป้าหมาย
“ไม่ต้องสนใจ กลับไปค่อยพูดกัน!”
หวังทงกล่าวนิ่งๆ เคลื่อนม้าออกไปต่อ คนรอบๆ ก็ตามกันไป ไปได้ไม่ไกล เฉินต้าเหอก็เข้ามารายงาน เขามาจากลานฝึกหู่เวย เทียบกับคนอื่นแล้ว เฉินต้าเหอก็ย่อมวางตัวท่าทีสบายๆ กว่ามาก เขายิ้มถามขึ้น
“ท่านโหวเมื่อครู่ได้พบไห่รุ่ยแล้ว ได้ฟังคนเล่ากันว่าหน้าผากไห่รุ่ยมีปานรูปตะวัน จริงหรือไม่?”
เดิมหวังทงอารมณ์ไม่นัก พอได้ยินก็กลับอึ้งหลุดหัวเราะออกมา ปานบนหน้าผาก หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับปานรูปจันทร์เสี้ยวของเปาบุ้นจิ้นที่มีหน้ากากวางขายในตลาด เป็นขุนนางซื่อสัตย์เหมือนกัน จะมีเรื่องเล่าก็ยากจะเลี่ยง
“ตลกจริง คนดีๆ เหตุใดจะมีของอย่างนั้นปรากฏบนหน้าได้กัน”
ได้ยินหวังทงสัพยอก เฉินต้าเหอก็หัวเราะตาม กล่าวอีกว่า
“ท่านโหวครั้งนี้ลงใต้มีเรื่องยากไม่น้อย เรื่องสืบคดีคิดแล้วก็ไม่อาจไปตามความต้องการของไห่รุ่ย ไห่รุ่ยแต่ไรมาเถรตรงมาก เมื่อครู่ทำให้ท่านโหวลำบากใจหรือไม่?”
“ต้าเหอ ต่อหน้าท่านโหวระวังมารยาทหน่อย!”
หลิ่วซานหลังข้างๆ ตำหนิ เฉินต้าเหอกำลังจะขออภัย หวังทงยิ้มโบกมือ สะบัดแส้กล่าวว่า
“ใจไห่รุ่ยราวกับตายไปแล้ว ยื่นฎีกากล่าวเรื่องพวกนั้น ก็เหมือนว่าได้ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของตนสำเร็จแล้ว ส่วนเรื่องจัดการได้หรือไม่ เขาไม่สนใจแล้ว!”
ทอดถอนใจเสร็จ ก็เร่งม้าให้วิ่งกลับที่พัก คนรอบๆ ได้แต่อึ้งรีบตามไป
**************
อยู่ตอนเหนือมานาน อากาศร้อนหนานจิงตอนนี้ไม่ชินเอาเสียเลย ชุดขุนนางหวังทงชุ่มไปด้วยเหงื่อ พอกลับถึงโรงเตี๊ยมก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
แต่งตัวง่ายๆ แล้วหวังทงก็ออกมาสั่งการว่า
“สื่อชี ไปดูว่าคนสืบข่าวข้างนอกยังอยู่หรือไม่ หากยังอยู่ ก็ให้จับตัวเข้ามา อย่าปล่อยให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว!”
สื่อชีรีบรับคำ ตะโกนตามพวกอู๋เอ้อร์ออกไปด้วยกัน หวังทงนั่งลง หลิ่วซานหลังลังเลครู่หนึ่ง ก็เข้ามากล่าวอย่างระมัดระวังว่า
“ท่านโหว นี่เป็นหนานจิง หรือว่า?”
“ข้าเป็นผู้แทนพระองค์ ข้าคือติ้งเป่ยโหว ข้าคือผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร พวกหนานจิงส่งคนมาจับตาดูข้าเหมือนไม่มีข้าในสายตา ก็ย่อมไม่เคารพราชสำนัก ไม่สั่งสอนพวกเขาเสียบ้าง เกรงว่าคงจะขึ้นมายืนบนหัวข้าแล้ว”
หลายบทบาทที่จับตาดูอยู่ด้านนอกทำได้มืออาชีพมาก บ้างก็ทำเป็นเลือกของที่ร้านริมทาง บ้างก็ทำเป็นตะโกนขายผลไม้ให้เป็นที่สะดุดหน้าหน้าสำนักตรวจสอบ ทว่าทางโรงเตี๊ยมนี้ปกติยิ่ง ยังมีคนขี่ม้าผ่านไปมา ทำเป็นเตรียมมาขอพักแรมที่โรงเตี๊ยม
คนพวกนี้แม้สถานะแตกต่างกันไป แต่ก็ล้วนมีจุดหมายเดียวกัน ล้วนจับตาดูโรงเตี๊ยมอยู่ คนพวกนี้มักเป็นคนคุ้นเคยกัน พอพบกัน ก็จะยิ้มให้เล็กน้อย แม้หวังทงมีสถานะเช่นนี้ แต่เจ้ามาพื้นที่หนานจิง เจ้าก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อันใดทั้งนั้น
กำลังจับตาดูอย่างสบายใจก็กลับพบว่ามีเรื่องไม่ถูกต้องนัก ทหารติดตามหวังทงกรูกันออกมาจากโรงเตี๊ยม พวกที่จับตาดูอยู่ก็ส่งสัญญาณเตือนกันทันที รู้ว่าเปิดเผยสถานะแล้วก็จะพากันหนี แต่เพิ่งจะเดินออกไปสองข้างถนน ก็เห็นหัวถนนสองทางมีทหารหวังทงกั้นไว้หมดแล้ว
คนขายผลไม้ทำเป็นไม่รู้เรื่องจะเดินผ่านไป คำนับนอบน้อมกล่าวว่า
“นายท่านทั้งหลาย ขอทางให้ข้าน้อยผ่านไปหน่อยขอรับ”
องครักษ์ของหวังทงสบตากัน กลับพากันยิ้มกล่าวว่า
“หนานจิงไม่เหมือนที่อื่นจริงนะ ที่อื่นนี่ พ่อค้าเล็ก ๆ เห็นขุนนางก็ต้องให้ขุนนางไปก่อน เจ้านี่ใหญ่โตไม่เบานะ”
คนขายผลไม้อึ้งไป รู้ว่าสถานะเปิดเผยแล้ว กำลังจะพูดบางอย่าง กลับถูกทหารเข้ามาจับแขนไว้ ชกเข้าที่ท้องน้อยทีหนึ่ง คนขายผลไม้นั่นไม่ทันได้ป้องกัน กุมท้องล้มคุกเข่าลงกับพื้น อีกคนเข้ามาใช้เชือกมัดไว้อย่างรวดเร็ว
สายสืบที่เหลือพอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ลนลาน คนขี่ม้าเตรียมเข้าพักโรงเตี๊ยมก็รีบโดดขึ้นม้า เตรียมตะบึงหนี เขาเคลื่อนไหวเร็ว แต่ก็ไม่อาจเร็วไปกว่าทหารหวังทง พอขึ้นมาได้ คนข้างๆ ก็โดดเข้ามาลากตัวเขาลงจากหลังม้าทันที
ก็ไม่ได้ยุ่งยากอันใด เพียงแค่ส่งเสียงเจ็บตัวนิดหน่อย ถูกจับกุมหมดแล้ว คนพวกนี้ถูกจับ ดูแล้วยังมีสายคนอื่นอีก สามารถเห็นพวกไกลๆ หลายคนพากันวิ่งหนี ไม่จำเป็นต้องไปสนใจแล้ว
คนจับกลับมาได้แล้ว สื่อชีกับอู๋เอ้อร์กลับมารายงาน จากนั้นก็รีบวิ่งมา เห็นคนแปดคนถูกจับกองที่พื้น สื่อชีกล่าวว่า
“บอกที่มาของตนเองกับคนบงการมา รักษาชีวิตปลอดภัย ไม่เช่นนั้น…”
“พวกข้าเป็นชาวบ้านบริสุทธิ์ ขอใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย…”
อู๋เอ้อร์ด่าไป ตะโกนกล่าวว่า
“จูงสุนัขในโรงเตี๊ยมมา”
มีคนรับคำ ไม่นานสุนัขโรงเตี๊ยมก็ถูกจูงมาถึง อู๋เอ้อร์ชักดาบที่เอวออกมา จับหัวสายสืบคนหนึ่งไว้ สะบัดมือ ได้ยินเสียงร้องดังโหยหวน หูข้างหนึ่งขาดหลุดลงมา อู๋เอ้อร์เก็บใบหู โยนให้สุนัข
ของที่มีเลือดสดๆ สุนัขโรงเตี๊ยมย่อมกลืนลงไปทันที บาดเจ็บไม่ถึงชีวิต แต่พริบตาทุกคนก็ขนหัวตั้ง อู๋เอ้อร์หยิบมีดสั้นออกมาอีก เสียงเย็นเยียบกล่าวว่า
“หากยังไม่ยอมพูด จะตัดเลี้ยงสุนัขอีก ข้าไม่มีเวลามาเสียเวลากับพวกเจ้านะ!!”
งานจับตาไม่ใช่งานพลีชีพ คิดไม่ถึงว่าคณะผู้แทนพระองค์จะมีกำลังเข้มแข็งเก่งกล้าเช่นนี้ ทุกคนพากันหวาดกลัวพูดออกมาหมด ไม่กล้าปิดบังอันใด
ที่พวกเขาพูดมา ก็แค่ว่าผู้ใดส่งมา ไม่รู้มากกว่านี้ หวังทงก็รับมือง่ายๆ บอกว่าพวกเขาคิดการไม่ดีต่อผู้แทนพระองค์ ส่งตัวให้ศาลเมืองอิ้งเทียนจัดการ
พอฟ้ามืด ไห่รุ่ยมาเยือนถึงที่…
ตอนที่ 844 ใจยังอยู่
โดย
Ink Stone_Fantasy
“มีคนจากจวนเว่ยกั๋วกงส่งมา ยังมีคนหนึ่งเป็นนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรท่านหนึ่งในเมืองส่งมา นายกองร้อยผู้นั้นหายตัวไปแล้ว คนที่เหลือศาลเมืองอิ้งเทียนยอมรับไปแล้ว บอกว่าเพื่อดูแลความปลอดภัยใต้เท้าผู้แทนพระองค์”
ผลสรุปจากศาลเมืองอิ้งเทียนมาอย่างเร็ว หลิ่วซานหลังไปศาลเมืองอิ้งเทียนด้วยตนเองก่อนจะกลับมารายงานหวังทง หวังทงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ไปดูว่านายกองร้อยนี้เป็นคนของผู้ใด แค่นายกองร้อย ไม่น่ากล้าเพียงนี้ และก็ไม่มีความจำเป็นใด ต้องไปดูให้ได้ว่าเบื้องหลังคือผู้ใด!”
หลิ่วซานหลังพยักหน้ารับ หวังทงพิงพนักเก้าอี้ ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ศาลเมืองอิ้งเทียนก็ไว้ใจไม่ได้!”
กล่าวถึงตรงนี้ ด้านนอกก็มีคนมารายงาน ว่าไห่รุ่ยแห่งหนานจิงขอพบ คนผู้นี้มาขอพบทำให้หวังทงอึ้งไป ให้เข้ามาได้
พอไห่รุ่ยเข้ามาในห้อง ก็ย่อมต้องคารวะยกน้ำชามารับ ทักทายตามมารยาท สองฝ่ายนั่งลง หวังทงยิ้มถามขึ้น
“ใต้เท้าไห่มาดึกเช่นนี้ คงไม่ใช่เพราะว่าข้าจับสายสืบที่ไม่มีตามองกระมัง?”
“ย่อมไม่ใช่ พอท่านโหวจากไป ข้าน้อยมาคิดๆ ดู บางเรื่องใต้หล้านี้มีแต่ท่านโหวทำได้ ข้าน้อยแก่มากแล้ว หากพลาดครั้งนี้ไป หลายเรื่องเกรงว่าคงได้แต่เอาเข้าโลงไปด้วยเท่านั้น”
ขณะกล่าวประโยคนี้ ไห่รุ่ยก็ล้วงเอกสารติดตัวออกมา ส่งให้หวังทงอธิบายว่า
“นี่คือเอกสารที่สืบคดีตระกูลสวีเมืองซงเจียงในตอนนั้น อำเภอหวาถิงและชิงผู่สองอำเภอในเมืองซงเจียงมีฉบับสำรองอยู่อีกชุด ยังมีพยานลงลายนิ้วมือไว้ในคำให้การ”
หวังทงเอื้อมมือไปรับไว้ นับว่าหลักฐานพยานพร้อมมูลแล้ว ไม่รอให้หวังทงเปิดอ่าน ไห่รุ่ยแค่นยิ้มกล่าวว่า
“ท่านโหวอย่าได้คิดว่ามีประโยชน์ หลายปีมานี้ เพราะนโยบายภาษีที่ดินท่านอำมาตย์จาง ทำให้สมุดบัญชีเปลี่ยนไปรอบหนึ่ง และพยานพวกนี้ก็หายตัวไปแล้ว ย้ายหนีไปไม่น้อย ในพื้นที่ก็หาไม่พบ คิดจะหาตัวออกมา คงต้องพึ่งพาโชควาสนาแล้ว”
“ก็ยังมีกว่าไม่มีจุดให้สืบ!”
หวังทงยิ้มตอบกลับ ไห่รุ่ยถอนหายใจยาวกล่าวว่า
“ท่านโหวครั้งนี้อาจสืบไม่ได้อันใด แต่เรื่องตระกูลสวีเมืองซงเจียงรุกครองที่นาไม่ใช่แค่ตระกูลเขาคนเดียว แต่ละตระกูลใหญ่แดนใต้ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ท่านโหวต้องระวังให้รอบคอบ!”
กล่าวถึงตรงนี้ ไห่รุ่ยก็ลุกขึ้นยืนขึ้น คำนับอย่างนอบน้อมที่สุด กล่าวจริงจังว่า
“ใต้หล้าขุนนางแบ่งเป็นสองประเภท หนึ่งก็คือ ใต้เท้า สองก็คือ คนอื่น พวกที่มีความชอบก็มักจะรวบรวมที่นามาครอง พอรวบรวมได้ก็อาศัยชื่อยกเว้นภาษี ตอนนี้ใต้หล้าสงบสุข พวกขุนนางมีความชอบก็มากขึ้นเรื่อยๆ การรุกครองที่นาก็ยิ่งมากขึ้น แต่พวกนี้แผ่นดินก็มีให้เบี้ยหวัดอยู่แล้ว พวกเขาต้องการร่ำรวยยิ่งขึ้น ก็ได้แต่ต้องขูดรีดพวกที่เป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ไร้ความชอบไร้ตำแหน่ง พวกร่ำรวยก็ยิ่งรวย พวกยากจนก็ยิ่งจน หากปล่อยเช่นนี้ต่อไป พวกชาวบ้านตัวเล็กๆ ก็คงถูกขูดรีดยิ่งมาก สุดท้ายแผ่นดินหมิงก็จะหมดสิ้นเงินทอง สิ้นหนทาง!”
ได้ยินไห่รุ่ย หวังทงกลับยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า
“ใต้เท้าไห่กล่าวเช่นนี้เหมือนจับข้าแยกออกจากชนชั้นสูงใต้หล้า กลายเป็นเหมือนชาวบ้านเหมือนโจรแล้ว!”
เดิมไห่รุ่ยกล่าวถึงคุณธรรมใหญ่ ก้มกายคำนับอยู่ก็ยืดตัวตรง ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็อึ้งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา บรรยากาศในห้องผ่อนคลายลงไปมาก
“ใต้เท้าไห่นั่งลงสนทนากัน ข้าฟังก็พอ ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดเช่นนี้”
บรรยากาศไม่อาจทำให้เคร่งเครียดจริง ไห่รุ่ยส่ายหน้านั่งลงก่อนจะกล่าวว่า
“เมืองซงเจียงมีตระกูลสวี เมืองฉางโจวเมืองเมืองซูโจวและที่อื่นๆ ก็มีเช่นตระกูลสวีอีก 20 ถึง 30 ตระกูลใหญ่พวกนี้ก็มีคนเป็นขุนนาง พวกเขามีที่นาในครอบครองมาก ทำการค้าในเมืองมาก อาศัยตำแหน่งไม่ต้องจ่ายภาษีทางการ เรื่องนี้ใต้หล้ามีกันทุกแห่ง แดนใต้พิเศษหน่อย หากเป็นตะวันออกเฉียงใต้ที่ถูกเก็บภาษีหนักสุด หากปล่อยเช่นนี้ไป ราชสำนักไม่มีเงิน ก็ย่อมต้องล่มสลาย”
“แม้ว่าตระกูลสวียอมคายที่นาออกมา ก็ยังมีตระกูลจาง ตระกูลหลี่ เมืองซงเจียงไม่มีตระกูลสวี เมืองซงเจียงก็ยังมีอีกหลายตระกูล จะมีประโยชน์อันใด?”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่ง วาจากล่าวจบ ไห่รุ่ยอึ้งไป กำลังคิดอยู่นานก็พบว่าไม่อาจกล่าวอันใดต่อได้ ก่อนหวังทงออกจากเมืองหลวง ก็เห็นเอกสารไห่รุ่ยแล้ว ได้ลองวิเคราะห์แนวคิดไห่รุ่ยมาแล้ว ยามนี้กล่าวอีกว่า
“ใต้เท้าไห่กล่าวได้มีเหตุผล ทว่ามากไปกว่านั้นก็คือยังคิดจะคืนความยุติธรรมให้กับชาวบ้านที่ถูกยึดที่นาไปพวกนั้นกระมัง”
“…ตอนนั้นก็คิดเช่นนี้ ชาวบ้านเล็กๆ ลำบากมาทั้งชีวิต ทำนาสร้างครอบครัว กลับถูกตระกูลสวีใช้อำนาจฮุบที่ดินทำกินไป พริบตาสมบัติหายไปสิ้น แม้แต่ที่จะยืนก็ไม่มี ข้าน้อยอ่านตำราปราชญ์มามาก รู้หลักการคุณธรรมดี ไม่อาจยอมรับเรื่องพวกนี้ได้ ต้องดูแลสักหน่อย!”
ไห่รุ่ยจมเข้าสู่ห้วงความคิด หวังทงส่ายหน้ากล่าวอีกว่า
“ใต้เท้าไห่กล่าวเหตุผลมามากมาย กลับไปสู่จุดเริ่มต้น ก็ยังต้องการให้ข้าน้อยจัดการตระกูลสวี ให้คายที่นาคืนเจ้าทุกข์”
ไห่รุ่ยพยักหน้า กลับไม่กล่าวอันใด หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“วันนี้ใต้เท้าไห่กับข้าสนทนากันมากมายเช่นนี้ ข้ามีวาจาขอใต้เท้าไห่อย่าได้กล่าวออกไป”
ด้วยคุณธรรมไห่รุ่ย ในเมื่อหวังทงกำชับก็ย่อมไม่พูดออกไป หวังทงรู้ดีจึงกล่าวอีกว่า
“ธรรมเนียมบรรพชนตั้งไว้ พวกมีคุณความชอบมีตำแหน่งย่อมได้รับการเว้นภาษี พวกนี้ได้กำไรมาก กลับไม่จ่ายภาษี ไม่มีภาระหน้าที่อันใด แต่ราชสำนักยังมีเงินที่ต้องใช้จ่าย จะหาเงินมาได้อย่างไร ย่อมต้องอาศัยการเก็บภาษี แต่คนทำกำไรมากกลับไม่ต้องจ่ายภาษี คนทำกำไรน้อยกลับต้องรับภาระภาษีของคนทำกำไรมาก ตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่ที่เก็บภาษีได้ถึงหกส่วนในใต้หล้า เพราะพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีการค้าอีกมากมาย และเพราะรวยทำให้คนก็พลอยมีคุณภาพ มีพรรคพวก ขุนนางทางนั้นได้ตำแหน่งกันก็ยิ่งมาก คนรับหน้าที่จ่ายภาษีก็ยิ่งน้อยลง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ช้าเร็วก็ย่อมต้องเดินเข้าสู่ทางตัน”
“นโยบายภาษีที่ดินจางจวีเจิ้งไม่ดีหรือ?”
“นโยบายภาษีที่ดินแค่ประวิงเวลาระยะหนึ่ง ไม่อาจได้ตลอดชาติ ขุนนางยิ่งมาก พวกเขาแม้ไม่ฮุบที่นา กิจการพวกเขาปลอดภาษี ก็ย่อมทำให้ผลประโยชน์แผ่นดินหมิงลดลง นโยบายภาษีที่ดินที่ข้ารู้มาถึงตอนนี้กลายเป็นวิธีการเพิ่มภาษีราษฎรแทนแล้ว เรื่องใต้เท้าไห่คงไม่ใช่ว่าไม่รู้กระมัง!?”
หวังทงกล่าวจบก็ทำเอาไห่รุ่ยอึ้งไปนาน ถอนหายใจยาว กล่าวว่า
“ที่ท่านโหวว่ามาเป็นความจริง แต่แก้ไขอย่างไร ลงมืออย่างไร จะให้คนมีตำแหน่งไม่ได้ประโยชน์ในการงดภาษี ก็ย่อมเป็นนโยบายดี แต่จะจัดการอย่างไร ทำอย่างไร ก็ย่อมเท่ากับเป็นศัตรูกับบัณฑิตใต้หล้า เป็นศัตรูกับขุนนางใต้หล้า แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่แน่ว่าไม่อาจทำได้”
กล่าวถึงตรงนี้ก็นิ่งไป ไห่รุ่ยส่ายหน้าถอนหายใจกล่าวว่า
“ไม่ใช่ทุกคนเป็นเช่นข้าน้อย ที่บ้านทำนา ให้หญิงในบ้านทอฟ้า ฟังท่านโหวว่ามาเช่นนี้ ข้าน้อยอยู่ๆ ก็คิดได้ ทำหรือไม่ก็เหมือนกัน ช้าเร็วก็คงต้องเดินไปสู่ทางตัน”
หวังทงพูดได้มีเหตุผล แก้ไขสถานการณ์ก็ง่ายมาก ยกเงินสิทธิพิเศษของพวกมีตำแหน่ง พวกบัณฑิตสอบได้พวกนั้นให้หมด แต่หากทำแล้ว ก็เท่ากับทำลายระบบการสอบรับราชการ ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับบัณฑิตใต้หล้า เป็นศัตรูกับขุนนางใต้หล้า มีคำกล่าวว่า ฮ่องเต้และบัณฑิตร่วมบริหารงานใต้หล้า ใต้หล้านี้ต้องพึ่งพาบัณฑิตมาจัดการ ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับใต้หล้า
ไห่รุ่ยสามารถคิดได้ว่าการเติบโตของตระกูลใหญ่เป็นการรุกทำลายแผ่นดินหมิง คงไม่ใช่ว่าคิดเหตุผลนี้ไม่ได้ เพียงแต่เขากล้าจะคิด หากได้แต่กล้าจ้องมองแค่สิทธิพิเศษของตระกูลสวี
อย่างไรไห่รุ่ยเองก็เป็นบัณฑิตเรียนตำรามา ก็อาศัยการสอบขุนนางค่อยๆ ก้าวสู่วันนี้ เขาสามารถคิดได้ทำได้อย่างมาก็คือแก้ไขให้ดีขึ้น แต่ตอนนี้ไห่รุ่ยยึดมั่นก็ยังคงเป็นการเอาเรื่องตระกูลสวีให้ได้ ที่เขาเอ่ยถึงคุณธรรมและหลักการนั้นล้วนคิดให้หวังทงไปตรวจสอบตระกูลสวีเท่านั้น
คนยึดมั่นถือมั่นอายุมากแล้ว และไม่อาจทำใจให้สงบได้ และไม่อาจปล่อยวางได้ ย่อมเป็นเช่นนี้ ทว่าหวังทงคิดมากกว่านั้น
ไห่รุ่ยทอดถอนใจเสร็จ ก็นั่งเงียบไปนาน หวังทงนั่งจิบน้ำชาไปเรื่อยๆ ไม่ส่งเสียง ผ่านไปครู่หนึ่ง ไห่รุ่ยคิดจะยืนขึ้น อาจเพราะนั่งนานไปหน่อย พอยืนขึ้นจึงโงนเงนจนต้องใช้มือท้าวพนักเก้าอี้ ยกมือจัดชุดให้เรียบร้อยก่อนกล่าวน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“ท่านโหวกล่าวได้ดี กล่าวได้กระจ่าง ดูท่าตระกูลสวีไม่จำเป็นต้องสืบคดีอันใดแล้ว สืบตระกูลสวีก็ต้องแตะโดนตระกูลอื่น ราษฎรยังคงต้อง…”
“อย่างไรก็ต้องสืบ หลังใต้เท้าไห่ยื่นฎีกา จากเมืองหลวงมาหนานจิง ทุกแห่งได้เห็นการกระทำของตระกูลสวี บนแผ่นดินหมิงนี้ มีคนไม่ต้องจ่ายภาษี กลับสามารถสั่งการราชสำนักได้ เป็นโชคหรือเป็นภัยแผ่นดินกัน ขุนนางใต้หล้าแดนใต้ร่วมมือกัน ส่งเสียงประสานกัน คิดการคุมอำนาจราชสำนัก ในราชสำนักก็จะมีแต่ขุนนางที่พวกเขาต้องการใช้งาน ราชสำนักทำได้แต่ออกนโยบายเป็นประโยชน์กับพวกเขา ตั้งแต่ฮ่องเต้ซื่อจงขึ้นครองราชย์มาระยะหลัง 20 ปีถึงตอนนี้ เกือบ 50 ปีแล้ว สถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้น ใต้หล้านี้เป็นของฮ่องเต้ หรือว่าเป็นของขุนนางใต้กันแน่ สืบตระกูลสวีก็เท่ากับเคาะภูเขาตักเตือนพยัคฆ์”
ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าไห่รุ่ยก็ผ่อนคลายลง หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ใต้เท้าไห่ วาจาคืนนี้ไม่ใช่ราชโองการฝ่าบาท แต่เป็นการคาดเดาของข้าคนเดียว ไม่ได้เป็นดังคำกล่าวของทางการ!”
ไห่รุ่ยส่ายหน้าเบาๆ ลังเลครู่หนึ่ง ถามขึ้น
“เมืองหลวง สมรสพระราชทาน ข้าน้อยได้ยินมาบ้าง ท่านโหวยังเป็นเช่นนี้ ช่าง…”
“ข้าเป็นขุนนางแผ่นดินหมิง ทุกอย่างทำไปก็เพื่อแผ่นดินหมิง จะว่าไป ข้าก็ไม่ได้เสียอะไรไป”
หวังทงยิ้มตอบ พูดกันถึงตรงนี้ ไห่รุ่ยก็ย่อมไม่มีอันใดกล่าวต่อ ได้แต่ลุกขึ้นอำลา หวังทงไปส่งก็อดไม่ได้ถามว่า
“ใต้เท้าไห่ทำมาทั้งชีวิต เพื่อชาติเพื่อประชา ไม่มีคิดเพื่อตนเองสักนิดบ้างเลยหรือ?”
“เริ่มแรกก็มีอยู่ แต่ต่อมาข้าก็ลืมไปหมด ทว่าถามใจตนเอง ที่ทำมาไม่รู้สึกผิดต่อผู้ใด ล้วนเพื่อแผ่นดินหมิง เพื่อปวงประชา!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น