หมอดูยอดอัจฉริยะ 840-849
ตอนที่ 840 พลอยวิเศษธาตุไม้
เยี่ยเทียนเคยได้พลอยวิเศษธาตุไม้มาก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเทียบกับเบาะรองนั่งสมาธิที่ทำมาจากหัวใจของต้นไม้แล้ว ทั้งสองอย่างไม่สามารถนำมาเทียบกันได้
ปราณวิเศษธาตุไม้ที่อยู่ในหัวใจของต้นไม้นั้น บริสุทธิ์มากกว่าแร่พลอยมากนัก แต่จากคำพูดของจางซันเฟิง หลังจากสูญเสียการเติมเต็มของปราณวิเศษที่ได้รับจากต้นไม้ยักษ์แล้ว พลังธาตุไม้ที่อยู่ในเบาะรองนั่งสมาธิที่ทำมาจากหัวใจของต้นไม้จะเหลือน้อยลงไปทีละนิด หลังจากรอให้ปราณวิเศษที่อยู่ภายในถูกดูดซับไปหมดแล้ว ของสิ่งนี้อย่างมากสุดก็มีประโยชน์ทำให้สุขภาพของคนแก่ชราแข็งแรงขึ้น
เนื้อหนังของจางซันเฟิงที่ไม่เน่าเปื่อยมากว่าสองร้อยปี ส่วนใหญ่ก็อาศัยการหล่อเลี้ยงของปราณวิเศษที่อยู่ในหัวใจของต้นไม้ ก่อนหน้านั้นก็ยังถูกเยี่ยเทียนดูดซับไปไม่น้อย ตอนนี้ปราณวิเศษที่จึงเหลืออยู่น้อยมาก จากการคำนวณของเยี่ยเทียน หากสามารถใช้ได้อีกสามถึงห้าปีก็ถือว่าไม่เลว
เยี่ยเทียนคิดว่ารอให้เหลยหู่เลื่อนเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว เขาจะนำเบาะรองนั่งสมาธิมาแกะออกทั้งหมด แล้วทำเป็นจี้คล้องคอหรือพกพาสำหรับคนทั่วไป อีกทั้งยังจะใช้วิชาผนึกปราณวิเศษให้อยู่ในจี้ เพื่อให้ความเร็วในการสูญเสียปราณวิเศษถูกปล่อยออกมาอย่างช้าที่สุด
ปราณวิเศษธาตุไม้ มีคุณประโยชน์กับร่างกายของมนุษย์เป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับเครื่องรางของขลังที่ป้องกันคุ้มกันตัวแล้วยังแข็งแกร่งกว่าเป็นพันเท่า หากคนธรรมดาพกติดตัวเป็นระยะเวลานาน อย่างน้อยที่สุดก็ยังเพิ่มอายุขัยได้ถึงสิบปี เบาะรองนั่งสมาธิที่ใหญ่มากขนาดนี้ จึงมากพอที่เยี่ยเทียนจะทำให้คนในครอบครัวกับเพื่อนสนิททุกคน
ถ้าหากคนที่อยู่ในเสินหนงเจี้ยรู้ความคิดของเยี่ยเทียนล่ะก็ คงจะด่าว่าเขาเป็นคนที่ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายอย่างแน่นอน
หัวใจของต้นไม้ที่เป็นของแปลกนี้ แม้อยู่จะอยู่ในเสินหนงเจี้ยก็ถือว่าเป็นวัตถุในตำนาน ต่อให้มันมีปราณวิเศษอยู่ภายในเพียงน้อยนิด แต่การนั่งทำสมาธิอยู่บนนี้ทุกวันจะมีผลทำให้สมาธิแน่วแน่และจิตใจสงบ นอกจากนี้เวลาที่จะต้องฝ่าด่านฝึกวิชานั้น จะยิ่งช่วยต้านทานจิตแห่งมารที่เข้ามาโจมตี เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะรู้ แต่เขาก็ไม่สนใจอะไรมาก เพราะเขาก็เป็นปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง มีความผูกพันกับเรื่องทางโลกมากเกินไป นับประสาอะไรกับสำนวนที่ว่าหนึ่งคนบรรลุธรรม ไก่สุนัขล้วนพากันขึ้นสวรรค์ และพ่อแม่ญาติพี่น้องของเยี่ยเทียนก็ไม่สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้ ดังนั้นเขาจึงยอมเสียสละ ขอเพียงสามารถยืดอายุขัยของพ่อแม่และคนในครอบครัวได้ เยี่ยเทียนก็จะทำอย่างไม่คิดมาก
“ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อมาเอาพลอยวิเศษ ไม่เกี่ยวอะไรกับแกเลย แกรีบถอยไป ฉันจะให้อภัยกับที่แกมาล่วงเกินฉัน!”
ถึงแม้จะรู้สึกตื่นเต้นมากกับภูติต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้า เยี่ยเทียนก็พยายามข่มความโลภที่อยู่ในใจ เพราะว่าวรยุทธของภูติต้นไม้นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา บวกกับเพลิงแท้ก่อนกำเนิดระดับเซียนเทียนของเยี่ยเทียนนั้นก็มีความสามารถจำกัดในการใช้ หากทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันขึ้นมา เยี่ยเทียนจึงไม่มีเปอร์เซ็นต์ในการเอาชนะได้
เยี่ยเทียนเข้าใจดี ถ้าหากตัวเองจุดไฟไปทุกที่ ก็จะเป็นการทำให้ต้นหม่อนยักษ์ต้องโกรธเคืองอีก เกรงว่าเขาจะไม่มีแม้แต่โอกาสหนี ถึงอย่างไรต้นไม้โบราณก็มีอายุนับพันปีแล้ว ต่อให้ไม่เกิดสตินึกรู้ แต่ถ้าหากมันได้รับการข่มขู่จากความเป็นความตาย กลัวว่ามันจะช่วยภูติต้นไม้กำจัดเยี่ยเทียนเป็นแน่
เมื่อลองคิดคำนวณดูแล้ว โอกาสที่เยี่ยเทียนจะฆ่าภูติต้นไม้ชนะ จึงมีน้อยมากจริงๆ ต่อให้เยี่ยเทียนรู้ถึงคุณค่าของหัวใจต้นไม้ แต่การเสียเปรียบอะไรแบบนี้ เขาไม่ทำเด็ดขาด ขอเพียงสามารถได้พลอยวิเศษในปริมาณที่มากพอ ก็ถือว่าเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้สำเร็จแล้ว
“พละ…พลอยวิเศษ? นั่นคืออะไร?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนลดเปลวไฟที่อยู่กลางฝ่ามือแล้ว จิตใจที่ตึงเครียดของภูติต้นไม้จึงผ่อนคลายลงทันที เพราะเปลวไฟนั่นสร้างความกดดันให้มันสูงมาก ทำให้ภูติต้นไม้เกิดการเตือนโดยสัญชาตญาณ ว่าสิ่งนั้นสามารถเผาไหม้ต้นกำเนิดของมันได้ จึงตั้งสติและคิดว่าจะต้องจำกัดให้สิ้นซาก
สัญชาตญาณในการดำรงชีวิตอยู่ทำให้ภูติต้นไม้เลือกที่จะเจรจา และขอเพียงจิตวิญญาณแห่งพืชหญ้านั้นเกิดสตินึกรู้ ก็จะมีความเฉลียวฉลาดมากกว่าสัตว์ร้ายเสียอีก หลังจากที่ใช้พลังจิตเจรจากับเยี่ยเทียนพักหนึ่งแล้ว ภูติต้นไม้ก็สามารถแสดงความต้องการของตัวเองออกมาได้อย่างแม่นยำ
“ก็คือของแบบนี้!” เยี่ยเทียนหงายฝ่ามือขึ้นมา แล้วพลอยวิเศษธาตุโลหะก็ปรากฏอยู่กลางฝ่ามือของเขา อานุภาพที่สามารถทำลายกำแพงเหล็กที่แข็งแกร่ง ก็ได้แผ่ซ่านออกมาจากในนั้น
“ที่นี่…ที่นี่ไม่มีของแบบนี้!”
เพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง เถาวัลย์ที่อยู่บนตัวของภูติต้นไม้ก็ส่ายไปมาเช่นกัน มันไม่เคยเห็นของแบบนี้มาก่อนจริงๆ ถ้าหากมี มันก็จะยอมให้เยี่ยเทียน เพื่อให้ตัวอันตรายอย่างเขารีบไปจากที่นี่
“ฉันไม่ได้หมายถึงอันนี้ แต่เป็นก้อนหินที่มีปราณวิเศษแผ่ออกมาเหมือนกับมัน…”
จิตของภูติต้นไม้ เต็มไปด้วยความคิดของเด็กอายุห้าหกขวบ ความสามารถในการเข้าใจจึงมีจำกัด เยี่ยเทียนต้องเสียเวลาพูดอยู่นาน ภูติต้นไม้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ
“ก้อนหิน ภูเขาตรงโน้นก็มีก้อนหิน ก้อนหินนั่นสามารถกลายร่างเป็นคนมีพลังมาก ฉันยังไม่กล้าเข้าไป!”
“ยังมีตัวที่เก่งกว่าแกอีกหรือ? มันคืออะไร อยู่ที่ไหนกัน?”
เยี่ยเทียนรู้สึกหัวเราะไม่ออกและร้องไห้ไม่ได้กับคำพูดของภูติต้นไม้ แต่กลับคิดขึ้นมาในใจว่า สถานที่ที่มีพลอยวิเศษธาตุไม้จะมีภูติต้นไม้คอยปกปักษ์รักษาอยู่ เขาก็ไม่เคยเห็นพลอยวิเศษธาตุไม้มาก่อน ไม่รู้ว่าสถานที่ที่หินประหลาดนั่นอาศัยอยู่ใช่ที่ภูติต้นไม้พูดถึงหรือไม่?
ตอนนี้เยี่ยเทียนดูดซับพลอยวิเศษไปสี่ธาตุแล้ว นอกจากนี้ยังหลอมรวมกันได้เป็นอย่างดี เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะสา มารถดูดซับปราณวิเศษของธาตุดินได้หรือไม่ แต่สิ่งล่อใจมากมายขนาดนี้ กลับทำให้เยี่ยเทียนหัวใจเต้นโครมๆ
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ภูติต้นไม้คิดอยู่นานครึ่งค่อนวัน แล้วพูดอย่างไม่ค่อยถูกเท่าไรว่า
“ที่ภูเขาตรงโน้น ถ้าเดินไปถึงพระอาทิตย์ตกดิน ก็จะเลยอาณาเขตของแม่ ดังนั้นข้าจึงสู้มันไม่ได้!”
“ความหมายของแกคือ ถ้าหากมันมาที่อาณาเขตของแก ก็จะสู้แกไม่ได้ใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนตาสว่างทันที เพราะเขารู้ว่าแม่ที่ภูติต้นไม้พูดถึงนั้นก็คือต้นหม่อนโบราณต้นนั้น ในขณะที่ตื่นตะลึงกับขนาดใหญ่ของต้นไม้ยักษ์ ในใจของเขาก็ยังตื่นเต้นและคาดหวังอยู่บ้าง สงสัยว่าภูติภูเขาที่เกิดมาจากก้อนหินนั่น คงมีพลังไม่ถึงระดับจินตัน
เยี่ยเทียนสามารถพูดได้ว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกของการฝึกบำเพ็ญตบะ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในเสินหนงเจี้ยก็ตามแต่ ยอดฝีมือระดับจินตันนั้นก็น้อยจนสามารถนับนิ้วได้ การเกิดสติปัญญาของมนุษย์ก็เช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงภูติผีปีศาจ สิ่งที่พวกเขาต้องแลกทั้งหมดเพื่อบำเพ็ญตบะนั้น ยังมากกว่ามนุษย์หลายพันเท่า
ต่อให้เกาะแห่งนี้จะใหญ่กว่าหลายมณฑลในประเทศจีน เมื่อเทียบกับจำนวนต้าเยาระดับจินตันก็ถือว่าน้อยจนนับนิ้วได้เช่นกัน รวมทั้งหมดแล้วมีเพียงเจ็ดแปดตนเท่านั้น สามารถพูดได้ว่า อัตราที่เยี่ยเทียนจะเจอกับต้าเยาพวกนั้น มีน้อยกว่าอัตราในการถูกรางวัลใหญ่จากการซื้อลอตเตอรี่เสียอีก
“แน่นอนอยู่แล้ว ถ้ามันกล้ามา ก็สู้ข้าไม่ได้หรอก!”
ภูติต้นไม้ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนกำลังหลอกถามอยู่? มันเพิ่งเกิดสติปัญญาได้ไม่นาน และยิ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่สามารถสื่อสารได้ จิตใจจึงบริสุทธิ์เหมือนกระดาษสีขาว หลังจากที่ได้ใช้พลังจิตสื่อสารกับเยี่ยเทียนสองสามประโยค มันจึงดีใจมากเป็นพิเศษ กระทั่งเรื่องบาดหมางใจที่เยี่ยเทียนวางเพลิงมันก็ลืมไปแล้ว
“เดี๋ยวรอให้ฉันหาพลอยวิเศษธาตุไม้เจอก่อน แล้วฉันจะพาแกไปสู้กับมันดีไหม? มีฉันช่วยแก มันจะต้องสู้แกไม่ได้แน่นอน!”
เนื่องจากเยี่ยเทียนเคยท่องเที่ยวในยุทธภพจึงได้ฝึกความหน้าด้านมาด้วย ตอนที่พูดคำพวกนั้นออกไปก็ยังรู้สึกคันยุกยิก เพราะภูติต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้านี้ไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กมากจริงๆ ดังนั้นตัวเองจึงเป็นเหมือนลุงแก่ๆ ที่พูดจาหลอกเด็กไปโดยปริยาย
“ดี ดี มีเจ้าช่วยข้า ข้าต้องสู้มันชนะแน่นอน!”
ภูติต้นไม้ตื่นเต้นดีใจจนกิ่งก้านและใบไม้สะบัดวุ่นไปทั่วตัว แต่ไม่ช้ามันก็มองเยี่ยเทียนอย่างระมัดระวังทันที แล้วส่งเสียงไปว่า
“พลอยวิเศษที่เจ้าต้องการมันคืออะไรกันแน่? สิ่งที่อยู่ในตัวของข้าให้เจ้าไม่ได้นะ!”
ภูติต้นไม้สามารถสัมผัสกลิ่นอายที่คล้ายจากตัวของมันได้จากภายในร่างของเยี่ยเทียน และภูติต้นไม้ก็รู้ดีว่า พวกภูติอย่างพวกมัน ถ้าหากสูญเสียแก่นสำคัญของต้นไม้ไป ก็จะทำให้สตินึกรู้หายไปทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้ กลิ่นอายแบบนั้นที่อยู่ในตัวของเยี่ยเทียน เห็นได้ชัดว่าเป็นการเข่นฆ่าพวกเดียวกันกับตัวเอง นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ภูติต้นไม้ออกมาเพื่อฆ่าเยี่ยเทียน
“ไม่ต้องการของของแกหรอก แกแค่อย่ามาขัดขวางฉันทำธุระก็แล้วกัน!”
เยี่ยเทียนโบกมือ เงยหน้ามองตำแหน่งของพระอาทิตย์ หลังจากยืนยันทิศทางแล้ว จึงเดินไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือของภูติต้นไม้ แล้วจึงก้มหน้าตรวจสอบพื้นดินครู่หนึ่ง จากนั้นจึงใช้สองมือขุดดินขึ้นมา
เยี่ยเทียนใส่ปราณแท้ไปที่มือทั้งสองข้าง จึงเป็นเหมือนเครื่องขุดดิน แค่กรงเล็บมือจับลงไป มือของเขาก็ไม่ได้ติดดินโคลนอะไรมาก ไม่นานรอบๆ ตัวของเยี่ยเทียนก็มีกำแพงดินที่พูนสูงขึ้น บดบังร่างของเยี่ยเทียนทั้งหมด
“เจ้ากำลังหาอะไรเหรอ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังขุดอย่างบากบั่น เสียงของภูติต้นไม้ก็ดังเข้ามาในหูของเขา ทำให้เยี่ยเทียนตกใจจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ขนาดคนหลอกคนยังตกใจ มาเจอผีหลอกคนจึงยิ่งทำให้ตกใจเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะตอนที่เจ้าตัวนี้เข้ามาใกล้นั้น กลับไม่มีสุ้มเสียงใดๆ ออกมา
“ก็บอกแกไปแล้วไม่ใช่หรือ พลอยวิเศษ ฉันต้องการหาพลอยวิเศษ!”
เมื่อเห็นว่าภูติต้นไม้ไม่คิดโจมตีตัวเอง เยี่ยเทียนจึงวางใจ ถึงแม้สัตว์ป่าและภูติผีจะทำสิ่งต่างๆ โดยอาศัยสัญชาต ญาณ มีการกระทำที่โหดเหี้ยมอย่างมากเป็นบางครั้ง แต่หากมองในอีกแง่มุมหนึ่งแล้ว พวกมันมีความไร้เดียงสาและน่า เชื่อถือมากกว่าสังคมของมนุษย์เสียอีก
“เอ๋? ปราณวิเศษเกิดการเปลี่ยนแปลง สงสัยฉันจะหาถูกตำแหน่งแล้ว ฮ่าๆๆ!”
ตอนที่เขากำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ เยี่ยเทียนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เพราะเขารู้สึกถึงปราณวิเศษธาตุไม้ที่หนาแน่นส่งผ่านมาจากใต้ดิน จึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก สายแร่ของพลอยวิเศษเท่าที่เขารู้มา สามารถใช้พลังจิตในการตรวจสอบได้ทั้งหมด และตอนนี้ก็สามารถสัมผัสกับปราณวิเศษธาตุไม้ได้แล้ว จึงคิดว่าสายแร่ต้องอยู่ข้างล่างนี้แน่นอน
“นักพรตเฒ่าไม่ได้โกหกฉันจริงๆ ที่นี่มีพลอยวิเศษธาตุไม้อยู่!”
ความเร็วในการขุดของเยี่ยเทียนช้าลงมาก ตอนที่มือขวาของเขาขุดได้วัตถุที่แข็งแกร่งและเย็นชิ้นหนึ่งออกมาจากใต้ดินนั้น ใบหน้าของเขาจึงอดมีสีหน้าดีใจออกมาไม่ได้
นี่คือแร่พลอยสีน้ำเงินอ่อนทั้งชิ้น มีขนาดประมาณฝ่ามือของเด็กทารก ข้างบนเต็มไปด้วยเส้นลายไม้ ถ้าหากไม่มองอย่างละเอียด ก็คงจะคิดว่านี่คือท่อนไม้ที่แข็งกลายเป็นหิน แต่เยี่ยเทียนไม่ได้เห็นของพวกนี้เป็นครั้งแรก พอมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพลอยวิเศษธาตุไม้
“ที่แท้ก็เป็นธาตุไม้จริงๆ ด้วย!”
เยี่ยเทียนเอามือลูบไปที่พลอยวิเศษชิ้นนี้ด้วยความชอบมาก หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่เกือบธาตุไฟเข้าแทรกที่สระมังกรดำมาแล้ว ในใจของเยี่ยเทียนนั้น คิดว่าผลการจากทำงานของพลอยวิเศษธาตุไม้มีประโยชน์มากกว่าพลอยวิเศษธาตุอื่น
คำโบราณกล่าวว่าของที่หายากย่อมมีราคาแพง ยกเว้นที่ได้พลอยวิเศษธาตุไม้ขนาดเท่านิ้วมือมาจากศิษย์น้องของติงหงแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่เคยได้ยินว่าที่ไหนจะมีพลอยวิเศษชนิดนี้อีก ตอนนี้จึงเก็บพลอยวิเศษอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเริ่มขุดต่อ
ตอนที่ 841 ได้ผลผลิตค่อนข้างมาก
“เจ้า…เจ้าต้องการหาสิ่งนี้ใช่ไหม?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังทำงานอย่างลำบาก ก็เกิดเสียงดังขึ้นมาในหัวจึงรีบเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน พอมองดูแล้ว เยี่ยเทียนจึงตกตะลึงอ้าปากค้างทันที
ร่างของภูติต้นไม้ที่มีความสูงประมาณห้าเมตร เวลานี้เหมือนกับต้นไม้ที่โตอยู่ข้างหลุมลึก ใต้เท้าของมันคือรากของต้นไม้ที่มีหินแร่ที่เต็มไปด้วยลายไม้วางอยู่เป็นกองเล็กๆ
หินแร่สิบกว่าชิ้นวางกองอยู่ด้วยกัน แผ่ซ่านพลังแห่งชีวิตที่แข็งแกร่งออกมา ถึงแม้ก้อนหินพวกนี้จะมีสีเข้มบ้างอ่อนบ้าง แต่เยี่ยเทียนมองปราดเดียวก็รู้ว่าทั้งหมดนี้คือพลอยวิเศษธาตุไม้
“แกไปหาของพวกนี้มาจากที่ไหน?”
เยี่ยเทียนส่ายศีรษะไปมา หลังจากที่ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เกิดภาพลวงตา เขาจึงเอ่ยปากถามภูติต้นไม้ เพราะเขาลำบากขุดตั้งครึ่งค่อนวันจนเหนื่อยแทบตาย กลับได้พลอยวิเศษขนาดเท่าฝ่ามือเด็กทารก แต่ภูติต้นไม้กลับหามาได้มาก มายขนาดนี้อย่างไร้สุ้มเสียง
ภูติต้นไม้เอียงศีรษะพักหนึ่ง แล้วจึงชี้ไปยังสถานที่ที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน แล้วพูดว่า
“ก็อยู่ใต้ดินตรงนี้ไงเล่า จำนวนอาจจะไม่มาก เพราะมีบางส่วนที่ข้าก็เอาออกมาไม่ได้!”
“ดี แกช่วยเอาออกมาให้ฉันเท่าที่แกจะเอาออกมาได้ แล้วฉันจะช่วยต่อสู้กับภูติภูเขาให้แกเอง!”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงดีใจมาก แล้วจึงพูดจาหลอกเด็กที่แม้แต่ตัวเองก็ยังหน้าแดงอีกแล้ว จากนั้นจึงเพิ่มความเร็วในการขุดของตัวเองอีก
เมื่อเทียบกับภูติต้นไม้แล้ว ความเร็วของเยี่ยเทียนยังช้ากว่ามาก ตอนที่เขาเพิ่งจะขุดเจอพลอยวิเศษชิ้นที่สอง ก็ไม่รู้ว่าภูติต้นไม้ไปเอามาจากไหนได้อีกสิบกว่าชิ้น ทำให้ดวงตาทั้งสองของเยี่ยเทียนแทบตาลาย ตอนนั้นเขาได้สายแร่ของพลอยวิเศษธาตุทองมาจากไซบีเรียทั้งหมดเพียงสิบกว่าชิ้นเท่านั้น แต่สายแร่ของธาตุไม้นี้ยังดีกว่าสายแร่ของไซบีเรียเสียอีก
การปรากฏตัวของพลอยวิเศษหนึ่งชิ้น ได้กระตุ้นเยี่ยเทียนให้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทั่วทั้งตัว ตัวของเขาเหมือนกับเครื่องขุดเจาะ หลังจากระยะเวลาสั้นๆ สองชั่วโมงกว่าๆ เยี่ยเทียนก็ขุดคลองที่ยาวประมาณหกสิบเมตร กว้างห้าเมตรและลึกสามเมตรอยู่ที่ใต้รากของต้นไม้โบราณต้นนี้แล้ว
ในคูที่มีความยาวประมาณหกสิบกว่าเมตรนี้ มีรากไม้ขนาดใหญ่รากหนึ่งที่กลายเป็นหินแล้ว และพลอยวิเศษที่มีทั้งหมด ก็ได้มาจากส่วนที่อยู่ใกล้ๆ กับรากไม้นี้ ซึ่งก็หมายความว่า สายแร่ของพลอยวิเศษธาตุไม้สายนี้ เดิมทีก็คือรากไม้รากหนึ่งของต้นหม่อนโบราณ
“เยอะมากมายขนาดนี้เชียว!”
เมื่อมองดูพลอยวิเศษธาตุไม้สามสิบกว่าชิ้นที่วางกองอยู่ตรงหน้าตัวเอง เยี่ยเทียนจึงทำหน้ายิ้มแหยๆ ดวงตายิ้มจนแทบลืมไม่ขึ้น เพราะสีหน้าแบบนั้นมันเหมือนกับคนยากจนที่ไม่มีอะไรเลยกลับได้รับมรดกจนร่ำรวยมหาศาล
สีของพลอยวิเศษพวกนี้มีทั้งเข้มและอ่อน เยี่ยเทียนค้นพบจากการสำรวจว่า พลอยวิเศษที่มีสีของลายไม้ที่ยิ่งเข้มเท่าไร ปราณวิเศษที่แฝงอยู่ในนั้นก็ยิ่งเข้มข้นมากเท่านั้น หนึ่งในนั้นก็มีพลอยวิเศษชิ้นหนึ่ง ที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ แต่กลับมีสีเขียวเข้มมาก มีปราณวิเศษที่ทรงพลังแฝงอยู่ในนั้น แม้แต่หัวใจของต้นไม้ที่เยี่ยเทียนเคยเห็นก็ยังสู้มันไม่ได้
“ไม่แน่ชิ้นนี้อาจจะเป็นปราณวิเศษเกรดสูงก็เป็นได้”
เยี่ยเทียนสัมผัสปราณวิเศษที่อยู่ในพลอยวิเศษอย่างระวัง แต่ไม่ได้คิดจะดูดซับแต่อย่างใด เขารู้ว่า ด้วยวรยุทธของเขาในตอนนี้ การใช้พลอยวิเศษเกรดสูงเท่ากับเป็นการถลุงทำลายข้าวของเสียหาย บางทีควรรอให้เขาอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเซียนเทียนก่อน จึงจะสามารถใช้พลอยวิเศษชนิดนี้ในการฝ่าด่านเข้าสู้ระดับจินตันสำเร็จมหามรรค
ถึงแม้จะรู้ว่าพลอยวิเศษพวกนี้มีความแข็งมาก แต่เยี่ยเทียนก็ยังเก็บพลอยวิเศษทั้งสามสิบกว่าชิ้นใส่กระเป๋าหนังที่ตัวเองเตรียมมาอย่างระมัดระวัง
กระเป๋าหนังใบนี้ของเยี่ยเทียนตัดเย็บมาจากหนังของสัตว์ประหลาดตนหนึ่งที่หาดทราย เวลาถืออยู่ในมือสามารถขยำเป็นก้อนได้ แต่มีความยืนหยุ่นสูงมาก ต่อให้ยัดวัวเข้าไปสักหนึ่งตัวก็ไม่ขาด จึงสะดวกในการพกพาเป็นอย่างมาก
“มู่โถว (ภูติต้นไม้) ขอบใจแกมากนะ” เพื่อความสะดวกในการเรียกชื่อ เยี่ยเทียนจึงตั้งชื่อที่เชยมากให้กับมัน แต่ภูติตนนี้ใช่ว่าจะเข้าใจอะไรมาก? แถมมันยังดีใจอยู่เป็นนานสองนาน
หลังจากเก็บพลอยวิเศษเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนมองคูขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง พร้อมกับใบหน้าที่แสดงให้เห็นความละอายใจ
ความจริงพลอยวิเศษพวกนี้ ภูติต้นไม้ขุดออกมาได้เกือบครึ่ง เพราะมันเกิดมาจากแก่นสำคัญของต้นไม้ ขอเพียงสถานที่ที่มีต้นไม้ มันก็สามารถผ่านไปได้โดยไม่มีข้อจำกัด เพียงแต่ตำแหน่งของรากไม้นั่นกลายเป็นก้อนหินไปหมดแล้ว ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงจำเป็นต้องขุดดินออกมา
ภูติต้นไม้โบกเถาวัลย์ไปมา แล้วพูดอย่างไม่สนใจว่า
“ไม่เป็นไร ของพวกนี้ ไม่มีประโยชน์กับแม่แล้ว…”
ที่แท้เนื่องจากต้นหม่อนโบราณมีขนาดที่ใหญ่เกินไป ความเร็วในการดูดซับปราณวิเศษ จึงเร็วกว่าสัตว์ประหลาดหรือภูติเป็นอย่างมาก ปริมาณของปราณวิเศษเหล่านั้น นอกจากจะเติมเต็มความอยู่รอดของต้นไม้ยักษ์แล้ว ก็ยังมีส่วนที่เหลืออีก จากนั้นจึงถูกมันเอามาสะสมไว้ที่ก้านรากใต้ดินของตัวเอง
เมื่อเวลาผ่านไปนานนับพันปี ปราณวิเศษที่สะสมได้ถูกบีบอัดกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก้านรากใต้ดินของต้นไม้ยักษ์นี้จึงกลายเป็นก้อนหิน และกลายเป็นสายแร่ธาตุไม้ที่มีคุณภาพที่สูงสุดอีกชนิดหนึ่ง
ในโลกภายนอก ต้นหม่อนโบราณนั้นได้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว แม้แต่ในเสินหนงเจี้ยก็ไม่เหลือสักต้น ดังนั้นถ้าหากพวกเขาอยากจะได้พลอยวิเศษธาตุไม้ จึงได้แต่อาศัยสายแร่ของธาตุไม้ที่ออมาจากสารอินทรีย์ที่อยู่ในป่าเขา แต่เรื่องของคุณภาพนั้น กลับห่างจากสายแร่ที่เกิดจากต้นไม้โบราณลิบลับ
“ของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์ต่อต้นไม้โบราณ แล้วไม่มีประโยชน์กับแกหรือ?”
หลังจากได้ยินภูติต้นไม้อธิบายจบแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกแปลกใจ เพราะเจ้าตัวนี้เป็นจิตวิญญาณของพืชหญ้าที่ไร้เดียงสามาก ตามหลักแล้วพลอยวิเศษเหล่านี้น่าจะเป็นตัวบำรุงที่ดีให้กับมัน
“มีประโยชน์ แต่ข้าสามารถดูดซับปราณวิเศษจากตัวของแม่ได้”
คำพูดของภูติต้นไม้ทำให้เยี่ยเทียนเข้าใจทันที การปกปักษ์รักษาต้นหม่อนโบราณ มีหรือที่จะสนใจพลอยวิเศษเล็กน้อยพวกนี้? ปราณวิเศษที่เจ้าตัวนี้ดูดซับวันละนิดอยู่ทุกวัน ก็มากพอที่จะทำให้ภูติต้นไม้นำไปฝึกวรยุทธได้แล้ว
เยี่ยเทียนพลันนึกออกอีกเรื่องหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า
“อ้อใช่ หรือว่าด้านล่างของต้นไม้โบราณทุกต้น จะมีหินแร่แบบนี้ทั้งหมดใช่ไหม?”
พลอยวิเศษชนิดนี้ เป็นสิ่งล่อตาล่อใจของผู้ฝึกตนเป็นอย่างมาก ไม่ต่างจากพ่อค้าที่เห็นทองคำ ทำให้ไม่มีแรงต้านทานใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อนึกว่ายังมีต้นหม่อนโบราณอีกเจ็ดแปดต้นที่อยู่บนเกาะนี้ ทำให้น้ำลายของเยี่ยเทียนเกือบไหลออกมา
“น่าจะมีนะ แต่…พวกเขาไม่เหมือนกับมู่โถว มู่โถวไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว!”
ขณะที่ภูติต้นไม้พูด พลันรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที หลังจากพูดไม่ชัดเจนนานครึ่งค่อนวัน ในที่สุดเยี่ยเทียนก็เข้าใจว่า ระหว่างต้นหม่อนโบราณเหล่านี้ สามารถสื่อสารกันระหว่างต้นไม้ได้โดยการเชื่อมโยงผ่านอะไรบางอย่าง และภูติต้นไม้ก็รู้ว่า นอกจากตัวของมันเองแล้ว ต้นไม้ต้นอื่นก็ไม่มีจิตวิญญาณแห่งพืชหญ้าที่เป็นพวกเดียวกับมัน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผ่านไปอีกสองสามปี ไม่แน่แกก็จะมีน้องชายน้องสาวเกิดมาแล้ว”
เยี่ยเทียนพูดปลอบใจภูติต้นไม้อย่างไม่ค่อยซึ้งใจเท่าไร จากนั้นจึงถามกลับมาเรื่องเดิม
“จากตรงนี้ไปยังต้นไม้โบราณต้นอื่น ต้องเดินอีกไกลแค่ไหน?”
ถึงแม้จางซันเฟิงจะบันทึกไว้ละเอียดมาก แต่ส่วนใหญ่มักจะพูดถึงการกระจายเขตของต้าเยาสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ เสียมากกว่า แต่กับต้นหม่อนโบราณนั้นเนื่องจากมีเรื่องของพลอยวิเศษถึงได้บันทึกออกมาด้วย ดังนั้นที่เขาพูดว่าอยู่ใกล้กับที่พักของเขามากที่สุด แต่กลับไม่มีข้อมูลของต้นไม้โบราณอะไรเลย
ภูติต้นไม้ก็นึกภาพที่ชัดเจนไม่ออก หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จึงโบกเถาวัลย์ไปมาอย่างงุนงง แล้วพูดว่า
“ข้าก็ไม่รู้ น่าจะอยู่ไกลมากๆ แถมตรงกลางยังมีภูเขารกร้างกับทะเลสาบขนาดใหญ่กั้นอยู่ แล้วก็มีกลิ่นอายที่น่ากลัวอยู่ในนั้นด้วย”
“มีภูเขารกร้างกับทะเลสาบขนาดใหญ่กั้นอยู่? อย่างนั้นข้าก็หมดหวังแล้วสิ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงถอนหายใจ เข้าใจขึ้นมาทันที ต้นหม่อนโบราณต้นนี้ กินพื้นที่ไกลนับสิบกิโลเมตร การดูดซับพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินนั้นจึงน่ากลัวพอสมควร ถ้าหากมีอีกต้นขึ้นอยู่ใกล้ๆ ล่ะก็ เช่นนั้นทั้งสองต้นก็คงอยู่ไม่ได้ หรือบางทีนี่คงเป็นสาเหตุที่มีต้นไม้โบราณเพียงเจ็ดแปดต้นอยู่บนเกาะแห่งนี้?
จากบันทึกของจางซันเฟิงและแผนที่นั้น ต้าเยาตนหนึ่งจะอาศัยอยู่ในทะเลสาบที่ไกลออกไปหนึ่งพันกว่าเมตรซึ่งอยู่หน้าต้นไม้โบราณนี้ ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนแล้ว หากอยากจะผ่านไปที่นั่นก็เท่ากับรนหาที่ตาย ดังนั้นเขาจึงต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป
“บ้าเอ้ย รอให้ข้าฝึกวรยุทธระดับจินตันได้ก่อน แล้วข้าจะขุดพลอยวิเศษบนเกาะนี้ทั้งหมดให้ได้คอยดู!”
เยี่ยเทียนถ่มน้ำลายลงไปบนพื้นอย่างชิงชัง แต่ในใจก็ไม่ได้ต่อว่าจางซันเฟิงทั้งหมด พลางคิดว่าเขาเป็นนักพรตเฒ่าที่มีวรยุทธสูง ทำไมถึงไม่ขุดพลอยวิเศษทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังบ้าง? แบบนี้จะได้ประหยัดเวลาให้ตัวเองมาขุดพลอยวิเศษเหล่านี้ด้วยความลำบาก
เพียงแต่เยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า ด้วยวรยุทธระดับจินตันขั้นสูงของจางซันเฟิงและยังสามารถบรรลุขั้นหยวนอิงได้แล้วนั้น พลอยวิเศษพวกนี้มีประโยชน์กับเขาน้อยมากเหลือเกิน
ก็เหมือนกับเรือนสี่ประสานที่ปักกิ่งของเยี่ยเทียน ตอนนั้นมีประโยชน์กับวรยุทธของเขาเป็นอย่างดี แต่เยี่ยเทียนในตอนนี้ ต่อให้ต้องฝึกวรยุทธอยู่ที่นั่นเป็นร้อยปีเกรงว่าวรยุทธก็คงไม่มีการพัฒนาเลยสักนิด
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ภูติต้นไม้จึงส่งเสียงพูดมาหาเยี่ยเทียน
“เจ้าเอาของพวกนี้ไปทำอะไร หรือว่า…หรือว่า”
“หรือว่าอะไร?”
เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง แล้วจึงเห็นสีหน้าที่บูดเบี้ยวของภูติต้นไม้พอดี
“ไปต่อสู้ยังไงเล่า มนุษย์ก้อนหินนั่นชอบรังแกข้าบ่อยๆ พวกเราต้องไปสั่งสอนมัน!”
เมื่อภูติต้นไม้เกิดอารมณ์ฮึกเหิม เถาวัลย์พวกนั้นก็โบกสะบัดไปมาเต็มท้องฟ้า หลังจากที่มันเกิดสตินึกรู้แล้ว ก็ใช้ชีวิตอยู่กับความเหงาเดียวดาย และมันยากมากที่จะเห็นภูติที่มีจิตวิญญาณเหมือนกับตัวเองที่อยู่ในเขตแดนของต้นไม้ยักษ์จึงอยากจะตีสนิทด้วย แต่ไม่คิดว่าจะถูกอีตานั่นทำให้ตกใจจนหนีไป จึงทำให้โกรธเดือดดาลอยู่ในใจ
“ได้ พวกเราไปสั่งสอนมัน จะต้องสู้มันจนเห็นแกแล้วเผ่นแน่บไปเลย!”
หลังจากได้ยินคำพูดของภูติต้นไม้แล้ว เยี่ยเทียนจึงตอบรับ เพราะสถานที่ที่มีภูติภูเขาอยู่ จะต้องเป็นที่ที่มีปราณวิเศษธาตุดินหนาแน่นอย่างแน่นอน และที่นั่นอาจจะมีปราณวิเศษธาตุดินที่ตัวเองไม่เจอมาก่อนก็เป็นได้
ส่วนเรื่องที่ภูติภูเขาตนนั้นทำไมถึงมองภูติต้นไม้เป็นศัตรู ความจริงเยี่ยเทียนก็แอบคิดในใจอยู่บ้างแล้ว เนื่องจากธาตุทั้งห้านั้นไม้จะข่มดิน และพื้นดินของโลกก็มีภูติกำเนิดออกมา เมื่อเห็นบนพื้นดินยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นแล้วจึงมีเหตุผลใดที่จะต้องคบหากัน?
“ดี ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันเลย!”
ภูติต้นไม้ตื่นเต้นดีใจขึ้นมา ถึงแม้ก่อนหน้านั้นจะถูกเยี่ยเทียนจุดไฟเผาจนอกสั่นขวัญแขวน แต่เวลานี้มันรู้สึกว่าเยี่ยเทียนคือคนที่น่าเชื่อถือที่สุดแล้ว
“แกเดินช้าเกินไปหรือเปล่า อย่างนี้เมื่อไรพวกเราจะไปถึงเล่า?”
หลังจากนำกระเป๋าหนังที่ใส่พลอยวิเศษธาตุไม้ผูกไว้ที่เอวแล้ว เยี่ยเทียนจึงขมวดคิ้วมองไปที่ภูติต้นไม้ที่ขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า
ตอนที่ 842 ภูติภูเขา
เกี่ยวกับบันทึกของภูติภูเขาและภูติต้นไม้ที่เยี่ยเทียนรู้มานั้น ภูติประเภทนี้มีการเคลื่อนไหวเร็วเหมือนปีศาจ แต่ร่างขนาดมหึมาของภูติต้นไม้เวลาที่ขยับเดินนั้น กลับช้าเป็นอย่างมาก ทำให้เยี่ยเทียนมองแล้วต้องขมวดคิ้ว
ภูติต้นไม้หยุดร่างกายที่กลมของมัน แล้วจึงส่งเสียงเข้าไปในสมองของเยี่ยเทียน
“ข้ากลัวว่าเจ้าจะตามไม่ทัน!”
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงก็คือ ภูติต้นไม้นั้นคิดแทนเขา จากนั้นเขาจึงยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดว่า
“แกรีบวิ่งไปข้างหน้าได้เต็มที่เลย ต่อให้เร็วกว่านี้ฉันก็ตามทัน”
การเหาะเหนือเกาะแห่งนี้ถูกจำกัดด้วยค่ายกล ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ ล้วนไม่สามารถเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ แต่การเหาะบนท้องฟ้าในระดับต่ำนั้นกลับไม่เป็นไร เยี่ยเทียนเพียงแค่กลัวว่าจะรบกวนสัตว์ร้ายและตัวประหลาดที่อยู่บนเกาะแห่งนี้ เขาจึงเลือกที่เดินจะเข้ามาในป่าแทน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องใช้เวลาสิบกว่าวันกว่าจะเดินมาถึงที่นี่
“ได้ อย่างนั้นข้าเดินไปก่อนนะ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ภูติต้นไม้จึงชี้บอกทาง แล้วจึงพิงเข้าใกล้กับกิ่งไม้ที่ห้อยลงมาจากต้นหม่อนโบราณ จากนั้นร่างกายขนาดใหญ่มหึมาก็หลอมรวมเข้าไปในกิ่งก้านที่ใหญ่เท่าแขนของเด็กอย่างน่าประหลาดใจ แล้วก็หายวับไปต่อหน้าของเยี่ยเทียน
“เจ้ารีบตามมาสิ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังมองด้วยความเหม่อลอยนั้น ในระยะห่างสี่ห้าร้อยเมตร ร่างของภูติต้นไม้ก็ปรากฏออกมาจากกิ่งไม้อีกครั้ง เถาวัลย์สิบกว่าสายลอยขึ้นไปเต็มท้องฟ้า ราวกับว่ากำลังกวักมือเรียกเยี่ยเทียน
“แบบนี้ก็ได้เรอะ?”
เมื่อเห็นร่างของภูติต้นไม้โผล่ออกมา เยี่ยเทียนจึงเข้าใจทันที ในฐานะจิตวิญญาณแห่งพืชหญ้า พวกมันสามารถใช้หญ้าพวกนี้เป็นตัวรองรับได้ ขอเพียงที่ไหนมีต้นไม้ใบหญ้า ภูติต้นไม้ก็สามารถไปมาได้อย่างอิสระ ดังนั้นในสถานที่แบบนี้ หากภูติต้นไม้คิดจะหนีล่ะก็ เยี่ยเทียนก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้
ต้นหม่อนโบราณ ก็เหมือนกับประเทศที่เป็นอิสระ ไม่ว่าจะบนท้องฟ้าหรือบนพื้นดิน ล้วนมีกิ่งก้านใบไม้ของมันกระจายไปทุกพื้นที่ เยี่ยเทียนเงยหน้ามองพักหนึ่ง คิดว่าการใช้ปราณแท้เดินเหิน สู้ใช้สองเท้าวิ่งจะเร็วกว่า
จากนั้นร่างของเยี่ยเทียนก็ขยับ ร่างกายของเขาก็หายไปทันทีหลังจากที่ก้าวขาออกไป ตอนที่ปรากฏร่างอีกครั้ง ก็ห่างออกมาระยะหนึ่งร้อยกว่าเมตรแล้ว จากนั้นขาทั้งสองก็เดินสลับกันไปมาแซงหน้าภูติต้นไม้ไปในชั่วพริบตา ทิ้งมันให้อยู่ข้างหลัง
“อยู่ที่นี่เจ้าวิ่งชนะข้าไม่ได้หรอก!”
ภูติต้นไม้ไร้เดียงสาเหมือนเด็กอายุห้าหกขวบ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนวิ่งแซงหน้ามัน มันจึงรีบตะโกนและไล่ตามไปทันที วิ่งสลับกันไปข้างหน้ากับเยี่ยเทียน เล่นกันอย่างสนุกสนาน คาดว่าแม้แต่เรื่องที่จะไปสู้กับภูติภูเขานั้นก็คงลืมไปแล้ว
“บ้าเอ๊ย เจ้านี้พูดจาเชื่อไม่ได้จริงๆ!”
เดิมทีได้ยินภูติต้นไม้บอกว่าจะมาถึงที่อยู่ของภูติภูเขาได้ภายในหนึ่งวัน แต่เยี่ยเทียนกลับวิ่งติดต่อกันสองวันโดยไม่ได้พักเลยเพิ่งพบว่า ความใหญ่โตของต้นหม่อนโบราณ มากเกินกว่าจินตนาการของเขาเป็นอย่างมาก การวิ่งนับร้อยกิโลเมตรตลอดสองวันนี้ ก็ยังคงไม่พ้นอาณาเขตการปกคลุมของต้นไม้โบราณสักที
“ฮ่าๆ ข้าได้ที่หนึ่ง!” เช้าตรู่วันที่สาม ภูติต้นไม้ก็ปรากฏตัวอยู่ตรงเขตแดนการปกคลุมของต้นไม้โบราณ พร้อมกับเถาวัลย์นับสิบสายที่โบกไปมา เห็นได้ชัดว่ามันดีใจเป็นอย่างมาก
“มู่โถว (ภูติต้นไม้) ภูติภูเขาที่แกบอกอยู่ตรงนั้นใช่มั้ย?”
เยี่ยเทียนรีบตามมาที่แนวชายป่า ทอดสายตามองไปข้างหน้า แล้วทั้งตัวของเขาก็ตกตะลึง
เพราะมันไม่เหมือนกับป่าไม้ที่แน่นขนัดไปด้วยธาตุไม้ แต่ตรงหน้าเยี่ยเทียนนั้น กลับเต็มไปด้วยโลกของก้อนหิน
เนินเขาแต่ละลูกทอดยาวเหยียดคดเคี้ยวติดต่อกันนับพันเมตร ถึงแม้จะยังมีดินอยู่ข้างบน แต่กลับมีต้นพืชน้อยมาก แต่ก็ไม่ได้ให้คนรู้สึกถึงความรกร้างว่างเปล่า ก้อนหินหลากสีสัน ก่อรวมกันเหมือนภาพวาดอันงดงามราวกับคลื่นที่ขยายวงกว้างออกไป
เมื่อเดินไปข้างหน้าประมาณหนึ่งร้อยกว่าเมตร ก้อนหินและพื้นดินที่เหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้า ความรู้สึกทั้งหนักและหนาพลันเกิดขึ้นมา ทำให้หัวใจของเยี่ยเทียนสั่นสะท้าน
“สือโถว (ภูติภูเขา) ออกมา ออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
ภูติต้นไม้ตะโกนเสียงดังขณะเดินตามหลังเยี่ยเทียน แต่หลังจากออกมาจากอาณาเขตของต้นหม่อนโบราณแล้ว ความเร็วในการเคลื่อนไหวของมันช้าลงมากอย่างเห็นได้ชัด จึงไม่ใช้ลำต้นทั้งสองข้างที่เหมือนขาเดินอีกต่อไป แต่ขยายเถาวัลย์สิบกว่าสายออกมาจากภายใน เพื่อลากร่างของมันให้เดินไปข้างหน้า
ลักษณะภูมิประเทศของที่นี่กว้างใหญ่มาก หลังจากภูติต้นไม้ตะโกนออกไป ก็ได้ยินเสียงสะท้อนกลับมาจากในภูเขาหิน ตอนที่ภูติต้นไม้ตะโกนออกไปนั้น เยี่ยเทียนก็ได้ปล่อยพลังจิตออกไปสำรวจสถานการณ์ภายในบริเวณหนึ่งกิโลเมตรอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่เยี่ยเทียนสำรวจแล้วไม่พบอะไรนั้น ภูติต้นไม้ก็จ้องมองไปยังทิศทางหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า
“มันมาแล้ว มันอยู่ตรงนั้น!”
“ทำไมถึงหลบการสำรวจจากพลังจิตของฉันได้?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ตกตะลึง มองไปยังทิศที่ภูติต้นไม้ชี้ ที่นั่นคือเนินเขาเล็กๆ สีดำเข้มลูกหนึ่ง มีความสูงประมาณสิบกว่าเมตร ไม่มีต้นหญ้างอกอยู่บนนั้นเลย
ความจริงพิสูจน์แล้วว่าภูติต้นไม้ไม่ได้พูดผิด เนินเขาที่อยู่ห่างจากเยี่ยเทียนและภูติต้นไม้ ไปสองร้อยกว่าเมตรนั้น จู่ๆ ก็เกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติ อย่างแรกคือมีศีรษะขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาจากพื้นดิน และสิ่งที่ตามมาจากความสูงของศีรษะแล้ว ก็มีร่างกายที่มีมือเท้าทั้งสี่ ปรากกฎอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน
รูปร่างของภูติภูเขานี้ใหญ่กว่าภูติต้นไม้มาก มีความสูงมากถึงยี่สิบกว่าเมตร นอกจากนี้ยังมีแขนขาครบทุกประ การ ดูเหมือนจะมีพลังงานมหาศาลที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกาย นี่คือสิ่งที่เยี่ยเทียนไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าหากเขาเดาไม่ผิด นี่คงจะเป็นปราณวิเศษของธาตุดิน
เมื่อสัมผัสถึงปราณวิเศษที่หนาแน่น ปราณแท้ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนก็ดูคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นมา ปราณวิเศษที่อบอวลอยู่ในอาณาบริเวณของดินผืนนี้ ได้เอ่อล้นเข้าไปภายในร่างกายของเขาอย่างไม่ขาดสาย แต่เนื่องจากมีปริมาณน้อยเกินไป พอเข้าไปในร่างกายแล้ว จึงถูกปราณแท้ทั้งสี่ธาตุของเยี่ยเทียนหลอมรวมกันจนหมด
“ถูกแล้ว นี่คือปราณวิเศษแห่งผืนดิน แต่การดูดซับแบบนี้มันช้าเกินไปจริงๆ!”
ถึงแม้ปราณแท้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่เยี่ยเทียนกลับดีใจมาก ถ้าหากสามารถหลอมรวมปราณวิเศษของธาตุดินได้ทั้งหมด คาดว่าวรยุทธของเขาจะต้องพัฒนาไปอีกขั้นแน่นอน
“จอมทึ่มอย่างแก มาหาข้าทำไม?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังดูดซับปราณวิเศษอยู่นั้น ก้อนหินที่กลายร่างเป็นมนุษย์ยักษ์นั่นก็พูดกับภูติต้นไม้ ภูติภูเขาที่มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่ากว่าภูติต้นไม้ เมื่อมองดูแล้วจึงดูน่าเกรงขามมากกว่า โดยเฉพาะกำปั้นที่มีขนาดเท่าอ่างอาบน้ำทั้งสองข้างนั้น ให้ความรู้สึกสั่นสะเทือนมากกว่าแขนที่เป็นเถาวัลย์ของภูติต้นไม้เสียอีก
“คนโง่ตัวเดียวยังไม่พอ แถมยังพาเจ้าตัวเล็กมาด้วย?”
ภูติภูเขาก็ใช้กระแสจิตพูดเช่นกัน แต่วิธีของมันนั้นมีความพิเศษเป็นอย่างมาก พลังจิตนั้นสั่นสะเทือนอากาศที่อยู่รอบทิศ ทำให้เกิดเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว
“ระดับเซียนเทียนขั้นปลาย วรยุทธของมันคือระดับเซียนเทียนขั้นปลาย?”
หัวใจของเยี่ยเทียนสั่นสะท้าน ร่างกายค่อยๆ ถอยหลังไปไกลสิบกว่าเมตร ขณะเดียวกันก็แอบใช้กระแสจิตส่งไปยังภูติต้นไม้ โลกที่เต็มไปด้วยภูเขาหินและผืนดิน หากต้องต่อสู้กับภูติภูเขา ต่อให้เยี่ยเทียนเลื่อนขั้นได้ในตอนนี้ เกรงว่าไม่มีโอกาสเอาชนะได้
“เจ้าน่ะสิโง่ ภูติภูเขา ข้ามีชื่อแล้ว ข้าชื่อมู่โถว!”
ภูติต้นไม้โบกแขนไปมา พร้อมกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เพราะพวกมันเกิดมาจากปราณบริสุทธิ์จากพลังแห่งฟ้าดินเสียส่วนใหญ่ จึงไม่มีพ่อแม่ ดังนั้นจึงไม่มีชื่อเป็นธรรมดา โดยเฉพาะสตินึกรู้ของภูติต้นไม้ที่เกิดมาไม่นาน จึงไม่เข้าใจการตั้งชื่อให้กับตัวเอง
“เป็นเจ้าคนนั้นตั้งชื่อให้แกใช่ไหม?” ร่างของภูติภูเขาเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที
“เจ้ามนุษย์ตัวเล็ก นี่คือเรื่องระหว่างข้ากับมัน เจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่ง!”
“หืม? แกรู้ว่าข้าเป็นมนุษย์? แกรู้ได้ยังไง?”
ดวงตาของเยี่ยเทียนสว่างขึ้นทันที เขาไม่คิดว่าภูติภูเขาตนนี้จะรู้จักเรียกคำว่า “มนุษย์” จึงมีความหวังขึ้นมาทันที บางทีบนเกาะเซียน “เผิงไหล” นี้อาจจะมีมนุษย์คนอื่นอาศัยอยู่
กำปั้นขนาดใหญ่ของภูติภูเขาโบกไปมา แล้วพูดคำรามใส่เยี่ยเทียนว่า
“ข้าเคยเจอมนุษย์คนหนึ่งมาก่อน ก็เลยรู้จัก เจ้าตัวเล็ก เจ้ายังเก่งไม่สู้คนคนนั้น ถ้าคิดจะมาหาเรื่องข้าล่ะก็ ข้าจะใช้กำปั้นทุบเจ้าให้ตายไปเลย!”
“แกเคยเห็นคนคนนั้นตั้งแต่เมื่อไร? เขาใส่เสื้อผ้าแบบนี้ใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ ส่งกระแสจิตไปที่ภูติภูเขาเพื่อบอกลักษณะของจางซันเฟิง ถ้าหากเขาเดาไม่ผิด คนที่ภูติภูเขาพูดถึงน่าจะเป็นท่านนักพรตจางที่ดับขันธ์ไปแล้ว
“คือเขา เจ้า…เจ้ารู้จักเขารึ?”
หลังจากมองเห็นภาพของจางซันเฟิงแล้ว ใบหน้าของภูติภูเขาแสดงความหวาดกลัวออกมา แล้วถอยหลังติดต่อกันสิบกว่าเมตร จากนั้นจึงใช้ศีรษะขนาดใหญ่กวาดมองไปรอบๆ ถ้าเห็นว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล มันก็จะชิ่งหนีก่อน
เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน ภูติภูเขาเพิ่งจะเกิดสตินึกรู้ได้ไม่นาน ตอนนั้นพลังของมันก็พอๆ กับภูติต้นไม้ จึงถูกจางซันเฟิงใช้วิชาสะกดเอาไว้ ทำให้ทั่วทั้งร่างสูญเสียการเชื่อมต่อกับพื้นดิน กระทั่งจะหนีก็ยังทำไม่ได้
แม้ว่าจะผ่านไปสองร้อยกว่าปีแล้ว แต่พอภูติภูเขานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา มันก็ยังคงหวาดกลัวไม่หยุด เพราะพลังที่แฝงอยู่ในร่างของเจ้าตัวเล็กคนนั้น ราวกับเป็นพลังอานุภาพที่ทำลายล้างโลกได้
“รู้จักอยู่แล้ว แค่ฉันตะโกน เขาก็จะมาทันที!”
เมื่อเห็นภูติภูเขาทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เยี่ยเทียนจึงกลั้นหัวเราะเอาไว้ แล้วจึงแอบอ้างชื่อของท่านนักพรตมาข่มขู่ คาดว่าท่านนักพรตจางคงจะไม่ถือสาที่เยี่ยเทียนเอาชื่อของเขามาใช้
“ข้า…ข้าไม่ได้หาเรื่องเจ้า ทำไมเจ้าถึงมาช่วยมัน?”
การใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณแห่งพืชหญ้าหรือต้าเยาและสัตว์ประหลาดที่มีสตินึกรู้ ล้วนแต่มีความคิดความอ่านที่ไร้เดียงสามาก พวกมันไม่เคยสงสัยคำพูดของอีกฝ่ายเลยสักนิด
เยี่ยเทียนไม่ได้ตอบภูติภูเขา แต่กลับย้อนถามว่า
“แกเกิดก่อนมันตั้งนาน แถมยังมีปราณวิเศษเหมือนกับพลังแห่งฟ้าดิน ทำไมแกถึงรังแกมันด้วยเล่า?”
“ข้าเกลียดกลิ่นอายที่อยู่บนตัวของมันมาก ข้าไม่ชอบกลิ่นแบบนั้น”
คำพูดของภูติภูเขาทำให้เยี่ยเทียนพยักหน้า และแล้วก็เป็นแบบนี้จริงๆ ธาตุไม้ข่มธาตุดิน ไม่ใช่ว่าภูติต้นไม้จะไม่พอใจภูติภูเขา ทว่าภูติภูเขาต้องถูกภูติไม้ข่มมาตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นมันจึงไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อภูติต้นไม้
“พวกแกก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันไม่ได้เหรอ? ทำไมถึงต้องสู้กันด้วย?”
เยี่ยเทียนไม่อยากเป็นคนไกล่เกลี่ย ประเด็นคือจางซันเฟิงได้ดับขันธ์เป็นเซียนไปนานแล้ว หากเกิดการต่อสู้กันในสถานที่แห่งนี้ เกรงว่าเขากับภูติต้นไม้ร่วมมือกัน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของภูติภูเขา และถ้าหากแพ้ขึ้นมา เยี่ยเทียนก็จะไม่ได้พลอยวิเศษธาตุดินไปด้วย
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สีหน้าของภูติภูเขาลังเลเล็กน้อย มันไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับคนคนนั้นจริงๆ เพราะว่าเพียงพลังปราณชีวิตที่รั่วไหลออกมาจากคนคนนั้น ก็บีบรัดมันจนเกือบขวัญหนีดีฝ่อแล้ว
ตอนที่ 843 ศึกไม้กับดิน
“ไม่ได้ เมื่อก่อนมันเคยรังแกฉัน ฉันต้องแก้แค้นเดี๋ยวนี้!”
ภูติภูเขาออกจะกลัวเยี่ยเทียนอยู่บ้าง แต่พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ภูติต้นไม้กลับเป็นฝ่ายกรีดร้องออกมาเสียก่อน ในสายตาของมัน เยี่ยเทียนที่สามารถทำร้ายตัวเองจนขวัญหนีดีฝ่อ ย่อมทำร้ายภูติภูเขาได้เช่นเดียวกัน
แต่ว่าภูติต้นไม้ไม่รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นปราณทองแหลมคมหรือว่าเพลิงแท้เซียนเทียนในร่างกายของเยี่ยเทียน ล้วนเป็นศัตรูตัวร้ายของธาตุไม้ทั้งสิ้น หากทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ภูติต้นไม้ก็ไม่ได้รับผลดีใดๆ
แต่สำหรับภูติภูเขาตัวนี้กลับแตกต่างไป นอกจากพลังไม้ข่มดินแล้ว เพลิงแท้เซียนเทียนของเยี่ยเทียนยังไม่อาจทำลายต้นกำเนิดของมันได้ และถึงแม้มีดบินของเยี่ยเทียนจะเยี่ยมยอดสักแค่ไหน แต่สำหรับร่างกายของเจ้าภูติภูเขาใหญ่ยักษ์ตัวนี้ คงไม่อาจเป็นอันตราย
“แกมาหาเรื่องฉัน แล้วทำไมถึงกลายเป็นฉันรังแก แกล่ะ?”
เห็นได้ชัดว่าภูติภูเขาอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แกว่งแขนสองข้างทำท่าจะลงมือ แต่พอก้มลงมองมายังเยี่ยเทียน ก็ยับยั้งอดกลั้นไว้ มันได้รับสตินึกรู้ก่อนภูติต้นไม้มานานมาก รู้ว่าในที่โล่งว่างแห่งนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มันไม่ควรทำ
“ให้ตายสิ ไม่มีเรื่องก็ยังจะแส่หาเรื่องจริงๆ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของภูติต้นไม้แล้ว เยี่ยเทียนก็นึกด่าในใจ อย่างไรก็ตามเนื่องจากได้ผลประโยชน์จากภูติต้นไม้ไม่น้อย เยี่ยเทียนจึงไม่อาจแสร้งทำเป็นคนไม่รู้จักกัน พอครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก็ตอบว่า
“พวกแกสองคนต่อสู้กัน ฉันจะไม่ช่วยใครทั้งนั้น สู้กันอีกสักรอบ แล้วไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะก็ไม่ต้องตีกันอีกต่อไป เอางั้นไหม?”
“ไม่ได้ ถ้าแกไม่ช่วยข้า ข้าก็สู้มันไม่ได้น่ะสิ!”
พวกภูติเหล่านี้ไหนเลยจะมีเล่ห์เหลี่ยม ภูติต้นไม้โวยวายออกมาทันที ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่ยอมร่วมด้วย แล้วมันจะเอาความกล้าหาญจากไหนไปหาเรื่องภูติภูเขา?
“ถ้าแกไม่ช่วยมัน อย่างมันหรือจะเป็นคู่มือของข้าได้?”
ตรงกันข้ามกับเยี่ยเทียน ภูติภูเขากลับหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง วรยุทธ์ของมันสูงกว่าภูติต้นไม้ถึงขั้นหนึ่ง แถมยังอยู่ในเขตพื้นที่ของตน จึงไม่เห็นภูติต้นไม้อยู่ในสายตา
“เอางี้นะเจ้ายักษ์ใหญ่ ฉันจะไม่ช่วยก็ได้ แต่ฉันมีเงื่อนไข!”
เยี่ยเทียนโบกไม้โบกมือ หยุดการถกเถียงของทั้งสอง แม้ตกปากรับคำว่าจะไม่ลงมือไปแล้ว แต่ว่าเยี่ยเทียนกลับรู้จุดอ่อนของภูติภูเขาดี
“เงื่อนไขอะไร?” เจ้าภูติภูเขามองมายังเยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วยิ้มออกมา ตอบว่า
“คราวที่แล้วพวกแกต่อสู้กันในดินแดนของแก ดังนั้นคราวนี้ต้องไปที่ดินแดนขอภูติต้นไม้ แบบนี้ถึงจะเรียกว่ายุติธรรมใช่ไหม?”
“ไม่ยุติธรรม ต้องให้พวกเรารุมมันคนเดียว ถึงจะเรียกว่ายุติธรรมต่างหาก!”
ภูติภูเขายังไม่ทันจะพูด ภูติต้นไม้ก็กรีดร้องขึ้นมา ด้วยมันสมองง่ายๆ อย่างมัน จึงไม่คิดว่าการต่อสู้บนสถานที่แตกต่างกันจะมีผลต่อตัวเอง
“ถ้าแกไม่ยอม ฉันก็ไม่ช่วยล่ะ”
สีหน้าของเยี่ยเทียนเคร่งขรึม ขู่ให้ภูติต้นไม้ตกใจกลัวจนต้องหุบปาก เยี่ยเทียนเงยหน้ามองไปยังภูติภูเขา บอกว่า
“ว่ายังไงล่ะ ถ้าหากว่าแกตกลง ก็ว่าตามนั้น ฉันสาบานว่าจะไม่ลงมือเด็ดขาด อีกทั้งคนที่แกเคยเจอคนนั้น ก็จะไม่ลงมือเหมือนกัน!”
“ได้ ฉันตกลง แต่ว่า แกต้องพูดคำไหนคำนั้นนะ!”
คำพูดสุดท้ายของเยี่ยเทียนกระตุ้นภูติภูเขา ขอเพียงคนในอดีตคนนั้นไม่ปรากฎตัว ต่อให้ไปสถานที่ที่ตัวเองเกลียด มันก็ไม่นึกกลัวเจ้าภูติต้นไม้
พูดพลาง ภูติภูเขาก็ลุกขึ้นวิ่งตึงตัง ไปทางชายป่า มันไม่ได้ตั้งใจจะยั่วโมโหเยี่ยเทียน เพียงแต่อยากจะจัดการภูติต้นไม้ให้เร็วที่สุดเท่านั้น
มองไปยังภูติต้นไม้ที่ยังลังเลอยู่ที่เดิม เยี่ยเทียนก็ยิ้มพลางส่งเสียงว่า
“ไม่เป็นไร พอถึงเขตรอบต้นหม่อนโบราณ แกก็แค่ใช้วิธีที่รับมือกับฉัน จัดการเจ้าทึ่มนั่นก็พอแล้ว”
แม้ว่าตอนนี้รอบตัวภูติต้นไม้มีเพียงแค่เถาวัลย์เพียงสิบกว่าเส้นเท่านั้น แต่ถ้าหากตัวอยู่กลางป่า เมื่อยืมพลังจากต้นหม่อนโบราณ ภูติต้นไม้นั่นก็จะสามารถบังคับเถาวัลย์นับพันหมื่น ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการรับมือเจ้ายักใหญ่อย่างภูติภูเขา
“จริงเหรอ?”
ภูติต้นไม้มองมาทางเยี่ยเทียนอย่างสงสัย แม้ว่าจะยังคงลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตามหลังภูติภูเขากลับไปยังชายป่า
“ฉันจะให้แกเห็นความเก่งกาจของฉัน!”
ทันทีที่เดินมาถึงในป่า ปราณวิเศษธาตุไม้อันเข้มข้นนั้น ก็ทำให้ภูติภูเขารู้สึกวิงเวียนไม่เป็นสุข ปีศาจอย่างพวกมันต่อสู้กัน ย่อมไม่จำเป็นต้องพูดถึงกฎเกณฑ์ในยุทธภพ เมื่อเห็นว่าภูติต้นไม้ก็มาถึงแล้วเช่นกัน ภูติภูเขาจึงควงหมัดทั้งสองกระโจนเข้าใส่
ตอนวัดกำลังกันคราวก่อน เจ้าภูติภูเขาใช้พลังช้างสารทำลายเถาวัลย์ของภูติต้นไม้ จนทำให้ร่างของมันฉีกขาดตามไปด้วย ตอนนี้กลับใช้ลูกไม้เก่าโจมตีด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง กำปั้นคู่ขนาดใหญ่เท่าโอ่งนั่น พุ่งเข้าสู่หัวของภูติต้นไม้ราวกับภูเขาลูกย่อม
แต่ว่าเวลานี้อยู่ในเขตแดนของภูติต้นไม้ ความว่องไวของมันเหนือกว่าที่เจ้าภูติภูเขาคาดไว้ ขณะที่หมัดกระแทกลงไป เจ้าภูติภูเขาพลันพบว่า ภูติต้นไม้ที่อยู่ใต้ร่างของตนกลับหายตัวไป
“เจ้ายักษ์ ฉันจะให้แกเห็นความเก่งกาจของฉัน!”
ภูติต้นไม้ที่ปรากฎตัวห่างออกไปห้าสิบกว่าเมตร เวลานี้นับว่ารู้ซึ้งถึงความหมายจากคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เถาวัลย์นับสิบเส้นกลายร่างเป็นตาข่ายวงใหญ่ แผ่ขยายลงไปปกคลุมยังภูติภูเขา
“เป็น…เป็นไปได้ยังไง?” พอมองไปยังตาข่ายยักษ์ที่อยู่เหนือหัว ร่างกายงุ่มง่ามของเจ้าภูติภูเขาก็ถอยหลังกรูด ใบหน้าแข็งทื่อนั้น เผยให้เห็นแววแห่งความประหลาดใจ
เดิมทีอยู่บนพื้นที่ของตนเอง เจ้าภูติภูเขาจะสามารถใช้ดินหลบหนีได้ แต่มันพบว่า หลังจากที่มันมาถึงกลางป่าแล้ว พื้นดินกว้างใหญ่เต็มไปด้วยพืชพรรณนานาชนิดไม่ใช่สถานที่ที่มันคุ้นเคยอีกต่อไป พลังงานอันไร้รูปร่างจึงถูกตัดขาดออกจากความสัมพันธ์ระหว่างมันกับผืนดิน
โดยไม่รอให้ภูติภูเขาคิดอะไรมาก ตาข่ายผืนใหญ่นั่นก็ห่อหุ้มเรือนร่างใหญ่ยักษ์ของมันเอาไว้ เจ้าภูติภูเขาผู้ไม่ยอมศิโรราบดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง บังเกิดเสียง “ครืดๆ” ดังบนผิว แล้วจึงดึงเถาวัลย์ที่อยู่ด้านในสุดสิบกว่าเส้นขาดออกจากกัน
แต่ในพื้นที่รอบด้านซึ่งปกคลุมไปด้วยต้นหม่อนโบราณ ภูติต้นไม้เป็นคู่ปรับของภูติภูเขาอย่างแท้จริง ไม่ทันรอให้มันหนีพ้นออกมาจากตาข่ายเถาวัลย์ใหญ่ยักษ์ เส้นเถาวัลย์นับร้อยก็พุ่งเข้าปกคลุมร่างของเจ้าภูติภูเขาอีกครั้ง ห่อหุ้มมันราวกับเป็นบ๊ะจ่าง
เวลาเดียวกันนั้นเอง ปรากฎเสาไม้ขนาดใหญ่สิบเจ็ดสิบแปดต้นกลางอากาศ ร่วงลงมาจากที่สูงพร้อมเสียงหวีดหวิว ขณะที่กำลังจะสัมผัสถูกตาข่ายยักษ์จากเถาวัลย์ เถาวัลย์เหล่านั้นก็พลันกระจัดกระจายออก ปรากฎร่างของเจ้าภูติภูเขาออกมา
“ตึง…ตึงๆ!”
เสียงกระแทกกระทั้นหนักหน่วงดังขึ้นติดต่อกัน เสาไม้แต่ละต้นพุ่งเข้าใส่ร่างภูติภูเขาอย่างจัง แรงอัดอย่างหนักหน่วงดันภูติภูเขาให้ล้มลงนั่งกับพื้น หินตรงส่วนข้อต่อบนเรือนร่าง ปรากฎรอยแยกออกมาไม่น้อย
“ตึง…ตึงๆ!” การโจมตียังดำเนินต่อ ส่งผลให้ภูติภูเขาไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป ในที่สุด ร่างมหึมานั่นจึงแตกสลายกลายเป็นหินก้อนเล็ก ๆ กลิ้งหล่นลงมาจากเรือนร่างแล้วกลายเป็นกองเศษหินในเวลาไม่นาน
“ฮ่าๆๆ ฉันชนะแล้ว แกพูดไม่ผิดเลย พออยู่ที่นี่มันก็ไม่ใช่คู่มือของฉันอีกต่อไป!”
หลังจากภูติภูเขาแตกสลายเป็นชิ้นแล้ว ภูติต้นไม้ก็ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ แต่ว่ามันก็ไม่ได้โจมตีภูติภูเขาตัวนั้นต่อ แต่กลับม้วนเก็บเถาวัลย์ขึ้นไป ภูติต้นไม้มักขี้อายใจอ่อนเสมอมา ถ้าหากบนร่างของเยี่ยเทียนไม่มีกลิ่นอายชนิดเดียวกับตนเองที่ถูกเขาดูดซับไว้ ภูติต้นไม้ก็คงจะไม่เข้าโจมตีเยี่ยเทียนก่อน
“เจ้าปีศาจแห่งแดนพฤกษาเหล่านี้ สมกับที่อยู่ในเขตได้เปรียบจริงๆ!”
เยี่ยเทียนที่ยืนดูการต่อสู้อยู่ไม่ไกลยังสัมผัสได้ว่า เจ้าภูติภูเขานั่นไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใดๆ หินก้อนเล็กก้อนน้อยเหล่านี้เป็นเพียงตัวพยุงร่างชั่วคราวเท่านั้น รอให้กลับไปยังพื้นที่ของมันเมื่อไหร่ ก็สามารถก่อร่างที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกได้ตลอดเวลา
ตามคาด เสียงของภูติต้นไม้เพิ่งจะเงียบลง เศษหินเหล่านั้นก็เริ่มก่อตัวกันเป็นภูติภูเขาใหม่ขึ้นมาอีกครั้งราวกับมีชีวิต เพียงทว่าสภาพออกจะดูอ่อนล้านิดหน่อย เมื่ออยู่ในเขตของไม้ พวกมันจึงไม่ได้รับพลังหนุนจากปราณวิเศษแห่งธาตุดิน
เจ้าภูติภูเขาเหลือบมองเยี่ยเทียนอย่างหมดแรง เอ่ยเสียงอู้อี้
“สู้จบแล้ว ฉันกลับได้หรือยัง?”
นับว่าเจ้าภูติภูเขายังรับความจริงได้ เมื่อในอดีตเขาอัดร่างภูติต้นไม้จนฉีกขาด มาตอนนี้ร่างของตัวเองถูกโจมตีจนแตกสลาย ทั้งสองจึงนับว่าหายกัน แน่นอนว่า หากเยี่ยเทียนไม่ได้อยู่ตรงนี้ เขาก็คงไม่ว่าง่ายแบบนี้
เยี่ยเทียนพยักหน้า ตอบว่า
“แน่นอนว่ากลับได้เลย แต่คนคนนั้นเขาให้ฉันมาหาแกเพื่อของบางอย่าง!”
เบื้องหน้าคือท่อนไม้ตะปุ่มตะป่ำ กับหินหนึ่งก้อน ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่ใช้หนังเสือแสร้งทำเป็นธงเพื่อขู่กรรโชกเอาของสักอย่าง ก็คงเป็นสิ่งมีชีวิตอันชาญฉลาดแต่ไร้ความสามารถเต็มที
“คนผู้นั้นต้องการอะไรล่ะ?”
ภูติภูเขามองมายังเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าหงุดหงิด ถ้าหากไม่กลัวคนในอดีตคนนั้น เขาคงต่อยเยี่ยเทียนไปสักหมัดนานแล้ว
“พลอยวิเศษ พลอยวิเศษที่สามารถแผ่ปราณวิเศษธาตุดิน!”
เยี่ยเทียนพูดออกมาตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อม
“ของนั่นหรือ? ก็ได้ งั้นแกตามฉันมาหยิบเอาไป!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ภูติภูเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“แกรู้จักของชิ้นนี้ด้วยหรือ?”
เห็นสีหน้าของภูติภูเขาแล้ว เยี่ยเทียนกลับประหลาดใจขึ้นมา
“อืม คนเมื่อในอดีตนั่นเคยพูดถึง ทำไมตอนนั้นไม่เอา จะมาให้แกเอาไปตอนนี้นะ?”
ภูติภูเขาพึมพำประโยคหนึ่ง แต่ด้วยสติปัญญาของมัน จึงเห็นได้ชัดว่าไม่อยากครุ่นคิดให้ลึกซึ้ง ร้องเรียกเยี่ยเทียน แล้วยกขาขึ้นก้าวไปบนก้อนหินที่อยู่ห่างไปไม่ไกล กระทืบฝ่าเท้าเหยียบดอกไม้ใบหญ้าตายด้วยความขุ่นเคือง
ภูติต้นไม้แม้ใสซื่อ แต่ก็เข้าใจว่าหากตนไปยังดินแดนแห่งดินด้วย จะต้องโดนรังแกอย่างแน่นอน เมื่อเห็นเยี่ยเทียนมองมาทางตนเอง จึงรีบตอบว่า
“ฉันไม่ชอบไปที่นั่น แกเอาของมาได้แล้ว ค่อยมาหาฉันที่นี่ก็แล้วกัน!”
“ได้ แกอย่าออกมาจากเขตต้นไม้โบราณนี่ล่ะ ไม่อย่างนั้นมีหวังสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ด้านนอกคงทำให้แกกลัวหัวซุกหัวซุน”
เยี่ยเทียนพยักหน้า คิดถึงสัตว์พิสดารเหล่านั้นที่อยู่บนเกาะนี้แล้ว ปีศาจเหล่านี้ยังใจดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด เยี่ยเทียนยังไม่อยากให้พวกมันถูกสัตว์ประหลาดพวกนั้นกลืนกินต้นกำเนิดไป
หลังจากบอกลาภูติต้นไม้ เยี่ยเทียนก็ตามหลังภูติภูเขาไปติดๆ ถึงแม้เขาจะใช้เคล็ดวิชาย่อพสุธา ก็ยังตามไม่ทันฝีก้าวของเจ้าภูติภูเขา ที่ก้าวเพียงครั้งเดียวไปไกลนับได้หลายกิโลเมตร
“สุดยอดเลย ในเขตพื้นที่นี้ น่ากลัวว่าสัตว์ประหลาดระดับจินตันคงไม่ครณามือเจ้านี่กระมัง?”
เยี่ยเทียนตรวจสอบรอยเท้าของภูติภูเขาอย่างละเอียด ยิ่งพินิจก็ยิ่งประหวั่นพรั่นพรึง เจ้าภูติภูเขาดูราวจะสามารถเปลี่ยนแปลงขนาดพื้นดินใต้ร่างตนเองได้ รอยเท้าก้าวหนึ่งที่ดูไม่ใหญ่โตนัก กลับทำให้ภูเขาและแม่น้ำเปลี่ยนรูปร่าง ทั้งความเร็วยังน่าพรั่นพรึง
ตอนที่ 844 ความรู้สึก
“ชักช้าจริง ฉันพาแกไปดีกว่า!”
มองเห็นเยี่ยเทียนที่ออกแรงไม่คิดชีวิตแล้วก็ยังตามตัวเองไม่ทัน ภูติภูเขาจึงหยุดฝีเท้า ยื่นฝ่ามือใหญ่มาจับตัวเยี่ยเทียนไป
“ขอบคุณ!” สัมผัสได้ถึงเจตนาดีของภูติภูเขา เยี่ยเทียนจึงไม่หลบหลีก ยอมให้ภูติภูเขาประคองตัวขึ้นไปอยู่บนหัวไหล่ของมัน
หลังจากเอาตัวเยี่ยเทียนขึ้นไปแล้ว ภูติภูเขาก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีกหลายระดับ สายลมที่ปะทะเข้ามาเกือบทำให้เยี่ยเทียนโดนพัดหล่นลงไป เลยรีบปลดปล่อยปราณแท้คุ้มกันร่างกาย ถึงสามารถยืนอยู่บนไหล่ของภูติภูเขาได้
เพราะมีเยี่ยเทียนมาด้วย ภูติภูเขาจึงไม่สามารถมุดลงใต้ดิน ทำได้แค่ห้อตะบึงไปตลอดทาง ระหว่างทางเข้าลึกไปยังใจกลางเนินเขาที่ทอดยาวติดต่อกัน ปราณวิเศษธาตุดินก็ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ความรวดเร็วในการก้าวเท้าของภูติภูเขา ยังไวกว่าเยี่ยเทียนเหาะเหินสุดแรงเกิดหลายเท่า ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น พอหมดวัน สิ่งที่เข้าสู่สายตายังคงเป็นเทือกเขาทั่วทุกหนแห่ง นอกจากกลุ่มหญ้าเตี้ยๆ แล้ว ก็มองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีกเลย
นอกจากธาตุไม้แล้ว ธาตุอื่นๆ ที่เหลือเมื่อถึงระดับสูงสุดล้วนถูกปิดกั้น ภายในโลกแห่งดินนี้ สิ่งที่อยู่ในสายตานอกจากก้อนหินและภูเขา ก็มีเพียงปราณวิเศษที่แผ่กระจายไปทั่วทุกทิศของแผ่นดินสีดำ
“มิน่าล่ะในอดีตจางซันเฟิงถึงใช้เวลาสิบกว่าปี กว่าจะเดินบนเกาะ “เผิงไหล” ทั่ว ถ้าหากเป็นเราล่ะก็ น่ากลัวว่าต่อให้ใช้เวลาสักร้อยปีคงยังไม่พอ!”
เยี่ยเทียนซึมซับปราณวิเศษธาตุดินบริสุทธิ์จากฟ้าดิน โดยปราศจากคำพูดใดๆ
ด้วยวิทยายุทธ์ของจางซันเฟิง ใช้เวลาสิบปีท่องเที่ยวทั่วประเทศจีนยังนับว่าเหลือเฟือ แต่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางท้องทะเลเช่นนี้ เขากลับต้องใช้เวลายาวนาน จวบจนเวลานี้ เยี่ยเทียนถึงได้ตระหนักในความกว้างใหญ่แห่งเกาะ “เผิงไหล”
“ลงมาเถอะ ถึงแล้ว!”
หลังจากวิ่งตะบึงโดยไม่หยุดพักผ่อนมาตลอดทั้งวัน ภูติภูเขาก็หยุดฝีเท้าลง เดิมทีเขาก็ถือกำเนิดจากธาตุแห่งดิน หากว่าตามคำโบราณ ตราบใดที่ได้รับพลังจากผืนดิน เขาจะไม่มีวันสัมผัสถึงความเหน็ดเหนื่อย
“ที่นี่คือที่ไหน?”
เยี่ยเทียนก้าวลงมาจากไหล่ของภูติภูเขา รวบรวมลมปราณแล้วก้อนเมฆก็ปรากฎขึ้นใต้เท้า หอบร่างของเขาค่อยๆ ลอยสู่ลงบนผืนดิน
ต่อหน้าสายตาของเยี่ยเทียนคือยอดเขาสูงเกือบร้อยเมตร ทั้งหมดล้วนอยู่ในใจกลางทิวเขาที่ทอดยาวติดต่อกันอันพบพานได้ยากยิ่ง ยอดเขาทั้งมวลอบอวลไปด้วยปราณวิเศษแห่งธาตุดิน จนเมฆหมอกโดยรอบสี่ทิศล่องลอยขึ้น ราวกับ “เผิงไหล” ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
“ฉันถือกำเนิดในที่แห่งนี้เองแหละ”
ในดวงตาของภูติภูเขาฉายแววระลึกถึงอดีต ก้มหน้ามองเยี่ยเทียน กล่าวว่า
“คนผู้นั้นในอดีตก็เคยมาที่นี่เช่นกัน แต่ว่าเขาไม่เคยบอกว่าต้องการพลอยวิเศษอะไรนั่น!”
ภูติภูเขาแม้จะใสซื่อ แต่ก็ไม่โง่เง่า หลังจากมาถึงที่นี่แล้วถึงเพิ่งรู้สึกได้ว่า เมื่อเทียบกับพลังงานอันน่าหวาดหวั่นในตัวของชายคนนั้น คุณประโยชน์ของพลอยวิเศษคงมีเพียงแค่น้อยนิด
เยี่ยเทียนตอบอย่างห้าวหาญ “เขาไม่ได้ต้องการมัน แต่เป็นฉันต่างหาก เขาบอกฉันว่ามันอยู่ที่นี่!”
คำพูดของเยี่ยเทียนกลับทำให้ภูติภูเขาสงสัยอย่างที่สุด พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“ถึงแม้สิ่งของที่นี่จะไม่มีประโยชน์กับฉันมากมายนัก แต่แกก็เอาไปจนหมดไม่ได้หรอกนะ เอาไปได้อย่างมากแค่เสี้ยวหนึ่งเท่านั้น!”
“ตกลง ฉันขอแค่บางส่วนก็พอ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า คนเราต้องรู้จักพอถึงจะมีชีวิตยืนยาว ภายในเขตแดนแห่งธาตุดินนี้ หมัดเดียวของภูติภูเขาก็ทำให้เขาแหลกเหลวเป็นธุลี เยี่ยเทียนจึงไม่มีพื้นที่ให้ต่อรอง
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สองเท้าของภูติภูเขาก็ย่ำลงบนพื้นดิน เรือนร่างมหึมาเดินไปยังยอดเขาร้อยเมตรลูกนั้น ทุกก้าวย่างที่เหยียบลงไป ร่างของภูติภูเขาดูราวกับสูงขึ้นหลายเมตร ตอนที่มันมาถึงหน้ายอดเขา ส่วนหัวของมันดูราวจะอยู่ระดับเดียวกับยอดเขาทีเดียว
“จงเปิดออก!”
แล้วสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึงก็บังเกิด สองมือของเจ้าภูติภูเขานั่นกดลงบนยอดเขา คล้ายจะแยกภูเขาออกเป็นสองส่วน
หลังจากเสียงตะโกนก้องของภูติภูเขา ภูเขาลูกนั้นก็สั่นสะเทือนราวกับฟ้าดินแยกเป็นเสี่ยงๆ ฝุ่นดินปลิวกระจายไปทั่วทุกแห่ง หินภูเขาก้อนมหึมานับไม่ถ้วนหล่นร่วงมาจากยอดเขา เยี่ยเทียนซึ่งเดิมทีอยู่ที่เชิงเขาหายตัววับ ถอยออกไปด้านหลังนับพันเมตร
เสียง “ครืน!” ดังขึ้น เยี่ยเทียนพลันพบว่า ภูเขาลูกนั้นถูกเขาแยกออกคล้ายถูกขวานผ่าลงบนภูเขาจริงๆ รอยแยกขนาดยักษ์แตกออกเป็นแนวจากตรงกลาง จนกลายเป็นหุบเขาขนาดมหึมา
“เข้าไปสิ ของที่แกต้องการอยู่ในนั้นแหละ!”
หลังจากการกระทำเหล่านั้น สีหน้าของภูติภูเขาก็ดูเหนื่อยล้าขึ้นมาก ร่างกายหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ตอนที่กลับมาตรงหน้าเยี่ยเทียน เหลือความสูงเพียงยี่สิบกว่าเมตรเท่านั้น
“ปราณ…ปราณวิเศษบริสุทธิ์อะไรขนาดนี้?”
กระทั่งอยู่ห่างออกมาหลายพันเมตร เยี่ยเทียนยังสามารถสัมผัสปราณวิเศษธาตุดินซึ่งแทบจะกลายเป็นของเหลวที่แผ่ออกมา ปราณแท้ภายในร่างเดือดพล่านราวกับน้ำร้อนในฉับพลัน สัญชาตญาณใกล้เคียงดั้งเดิมประเภทหนึ่ง ทำให้เยี่ยเทียนก้าวเดินไปยังภูเขาที่แยกออกเป็นสองส่วนนั้น
“นี่คงจะเป็นเส้นลมปราณวิเศษธาตุดินสินะ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนมาถึงตรงหน้าหุบเขาราวกับรอยแยกบนฟากฟ้า ดวงตาพลันเบิกกว้าง
เส้นลมปราณธาตุดินร่างสีดำซึ่งพริ้วไหวอยู่ภายใน ส่องประกายเรืองรองคล้ายธาตุโลหะบางชนิดอยู่ตรงหน้าเขา ราวกับมังกรดินตัวหนึ่ง ยืดตัวออกมาข้างหน้าหลายร้อยเมตร คล้ายสามารถฟื้นคืนชีพทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ตลอดเวลา
“นี่มันคือที่ไหนกันแน่?”
เยี่ยเทียนร้องออกมาโดยสัญชาตญาณ แต่สองขากลับเดินเข้าไปข้างในเองโดยอัตโนมัติ แค่ตอนที่เขาเหยียบเข้ามาในหุบเขา ปราณวิเศษซึ่งฟุ้งกระจายเต็มท้องฟ้าก็แผ่พุ่งออกมา ไหลหลากเข้าสู่ร่างเยี่ยเทียน
“พวกแกค่อยๆ กันหน่อยไม่ได้หรือไง?”
เยี่ยเทียนยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวใดๆ ก็สูญเสียการทรงตัวของร่างกาย ปราณวิเศษธาตุดินอันหนักแน่นราวขุนเขา กดทับเสียจนกระทั่งนิ้วมือ ยังกระดิกไม่ได้
อีกทั้งปราณวิเศษที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ยังทะลวงเข้าสู่จุดตันเถียนของเยี่ยเทียนอย่างคุ้มคลั่ง ด้วยปริมาณมากมายมหาศาล จุดหยินหยางตันเถียนของเยี่ยเทียนจึงถูกทะลวงสั่นไหวอย่างฉับพลัน จนไม่สามารถควบคุมได้อย่างปกติอีกต่อไป
เมื่อสูญเสียการควบคุมปราณแท้ จึงไม่อาจข่มบังคับปราณวิเศษที่ไหลพลุ่งพล่านเข้ามาได้อีก เส้นลมปราณของเยี่ยเทียนจึงถูกทำลายไม่หยุดหย่อน กระทั่งมีดบินไร้ร่องรอยเหนือจุดตันเถียนของเขา ยังถูกกดทับจนคมมีดทื่อทึบ ไม่สามารถดูดซับปราณแท้จากภายในร่างเยี่ยเทียนได้อีกต่อไป
“ให้ตายสิ นี่คิดจะแกล้งกันใช่มั้ย? เข้ามาพร้อมกันแบบนี้ทุกที!”
หลังมีประสบการณ์หลอมรวมปราณวิเศษตรงหน้าหลายต่อหลายครั้ง เแม้เยี่ยเทียนจะไม่ตื่นตระหนก แต่ร่างกายของเขาก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ อย่างไรก็ตามกลับไม่มีผลต่อสติสัมปชัญญะ เมื่อตั้งสมาธิแล้ว จิตก็แปลงร่างกลายเป็นฝ่ามือคู่ใหญ่ คว้าเอาพลอยวิเศษธาตุไม้หยิบออกมาจากกระเป๋าหนังช่วงเอว
“ว่าแล้วต้องมีประโยชน์!”
พอพลอยวิเศษเหล่านั้นถูกเยี่ยเทียนใช้จิตดึงเอาปราณวิเศษออกมา ปราณวิเศษแห่งดินที่คุกคามอยู่นั้น พลันถอนตัวออกจากกระแสลมปราณในร่างกายของเยี่ยเทียนอย่างต่อเนื่อง ราวกับพบพานศัตรูตามธรรมชาติ
เนื้อในของปราณวิเศษนั้นไม่มีสติปัญญา ปราณวิเศษที่อยู่ภายในกระแสพลอยวิเศษจึงไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวของเยี่ยเทียน ยังคงพุ่งเข้าไปภายในต่ออย่างไม่คิดชีวิต และทันทีที่เข้าสู่ภายในร่างของเยี่ยเทียนแล้ว ก็ถูกปราณวิเศษธาตุไม้จากกระแสลมปราณขับไล่ออกไปทันที แต่ในขั้นตอนนี้ ปราณวิเศษธาตุไม้ก็ลดหายไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
เวลาผ่านไป ปราณวิเศษธาตุดินในร่างของเยี่ยเทียนก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ แต่ถูกขับไปยังกลางจุดตันเถียนทั้งหมด
จุดหยินหยางตันเถียนถูกปราณวิเศษแห่งแผ่นดินอันหนักอึ้งถาโถมอย่างรุนแรง แม้ว่าหากพูดถึงคุณภาพปราณแท้ของปราณวิเศษทั้งสี่ชนิดแล้วเหนือกว่าปราณวิเศษธาตุดิน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปริมาณแล้ว กลับเห็นได้ชัดว่าอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้
“ครืน!” เสียงดังกระหึ่มดังมาจากช่องท้องของเยี่ยเทียน แต่เยี่ยเทียนกลับหยิบเอาพลอยวิเศษธาตุไม้อีกชิ้นหนึ่ง ดูดซับเข้ามาโดยไม่สนใจ ขณะเดียวกันกับที่พลังชีวิตฟื้นฟูกระแสลมปราณทั่วร่าง พลังงานแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งก็หลั่งไหลเข้าสู่จุดตันเถียนของเยี่ยเทียน
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจก็คือ พลังงานมหาศาลนี้ ยังเหนือกว่าปราณวิเศษธาตุดินเสียอีก
ทันทีที่มันเข้ามา ก็ข่มทับปราณวิเศษธาตุดินที่แผ่กระจายทั่วจุดตันเถียนเอาไว้ จนไม่อาจรุกรานเข้ามาจากทุกทิศทาง กระทั่งปราณวิเศษธาตุดินที่อยู่ด้านนอก ก็ไม่กล้าเข้ามาในร่างกายเยี่ยเทียนอีก จุดตันเถียนที่ผิดปกติของเขา จึงค่อยๆ เริ่มควบคุมได้ทีละน้อย
“เฮ้ย ไหงหยิบพลอยวิเศษชิ้นนี้ออกมาล่ะ?”
เยี่ยเทียนมองดูแล้ว ใบหน้าก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ พลอยวิเศษก้อนนั้นที่อยู่ใจกลางฝ่ามือเขา คือพลอยวิเศษคุณภาพดีสุดที่หยิบออกมาจากใต้ต้นไม้ยักษ์นั่นเอง จนเยี่ยเทียนเริ่มสงสัยว่าคุณภาพของมันอาจดีกว่าพลอยวิเศษคุณภาพยอดเยี่ยมเสียอีก
แต่ว่าเวลานี้เยี่ยเทียนไม่อาจใส่ใจอะไรได้มากนัก ปากน้อยๆ ของจิตดั้งเดิมซึ่งลอยอยู่เบื้องหน้าเขาเปิดอ้า ดูดซับลมปราณจากพลอยวิเศษต่อเนื่องไม่มีหยุด เพื่อคงสภาพควบคุมปราณวิเศษธาตุดินนั้นเอาไว้
อีกทั้งเมื่อฟื้นฟูการควบคุมจุดตันเถียนหยินหยางแล้ว ยังหลอมรวมปราณวิเศษธาตุดินที่อยู่ภายในจุดตันเถียนได้อีกด้วย จนกลายเป็นปราณวิเศษสีเหลืองจางที่เยี่ยเทียนไม่เคยพบเห็นมาก่อน ท่องไปทั่วทุกหนแห่งในกระแสลมปราณ
ขั้นตอนนี้เชื่องช้าอย่างยิ่ง เมื่อปราณวิเศษสีเหลืองจางเพิ่มจำนวนขึ้น เบื้องหน้าของเยี่ยเทียนคลับคล้ายปรากฎม้วนภาพหนึ่ง ทีแรกเป็นภาพอุทกภัยโรมรัน ตามมาด้วยแสงเพลิงทะยานฟ้า จากนั้นจึงเป็นภาพราวร่างอยู่ในแดนสวรรค์อันอุดมด้วยร่มเงาแมกไม้
ภาพทิวทัศน์เหล่านี้ปรากฎขึ้น ราวกับจะนำพาเยี่ยเทียนเข้าสู่โลกแห่งธาตุทั้งห้า ความรู้สึกที่ไม่อาจสัมผัสได้ในเวลาทั่วไป ทำให้เยี่ยเทียนดื่มด่ำ จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ร่างของเขานั่งลงบนพื้น เข้าสู่สมาธิขั้นลึกโดยอัตโนมัติ
เวลาผ่านไป ผมของเยี่ยเทียนค่อยๆ ตกลงมาสู่หัวไหล่ บนศรีษะและร่างของเขา เต็มไปด้วยฝุ่นละอองหนาเตอะ มองแล้วราวกับรูปปั้นหินร่างมนุษย์ นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
ขณะที่ประกายจากพลอยวิเศษธาตุดินรอบตัวของเยี่ยเทียน ค่อยๆ หรี่ดับลง สายลมเบาบางก็พัดมาวูบหนึ่ง กลายเป็นฝุ่นผงละเอียด ล่องลอยอยู่บนร่างของเยี่ยเทียน
………………-
ภายนอกกระแสพลอยวิเศษนี้ ภูติภูเขายืนคอยอยู่นานแล้ว ในโลกแห่งนี้ มีเพียงเขาที่สามารถสัมผัสถึงเจ้าตัวเล็กที่อยู่ภายใน ลมหายใจแข็งแกร่งไม่มีแผ่ว เฉกเช่นเดียวกับดาบวิเศษข้างกายท่านนักพรตชราในอดีตที่ไม่เคยชักออกจากฝักเล่มนั้น จนทำให้มันใจระทึก
“ท่านอาจารย์ ท่านไปถึงไหนแล้วครับ?”
เบื้องหน้ากระท่อมไม้ภายใต้ตัวอักษร “เผิงไหล” สองตัว เหลยหู่เหม่อมองไปยังเทือกเขาทอดยาวติดต่อกันด้วยสีหน้าวิตกกังวล!
ตอนที่ 845 เจี่ยตัน
“ฮูม!”
เสียงคำรามของสัตว์ประหลาดดังกึกก้องไปทั่วทั้งเกาะ สั่นสะเทือนจนคลื่นบนฟากฟ้าและมหาสมุทรเคลื่อนไหวไปตามกัน เยี่ยเทียนที่เข้าสู่ภวังค์มานาน ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงคำรามกึกก้อง จึงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
“นี่เราอยู่ที่ไหน?”
หลังจากลืมตาเยี่ยเทียนออกจะงุนงงเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงชนิดอธิบายไม่ถูกฉายออกมาจากแววตาของเขา ในโลกของห้าธาตุ ประสบการณ์ที่ร่างกายของเยี่ยเทียนได้รับและแสดงออกด้วยปราณวิเศษทั้งห้านั้น ราวกับผ่านมาเป็นพันหมื่นปี
“ตื่นจนได้เรอะ? ออกมาได้แล้ว ฉันต้องปิดภูเขาลูกนี้แล้ว!”
เห็นว่าร่างกายของเยี่ยเทียนเริ่มขยับ ภูติภูเขาที่รออยู่ด้านนอกมาตลอดก็ตื่นเต้นยินดี หลายวันนี้ที่เยี่ยเทียนเก็บตัวนั่งสมาธิ พลอยวิเศษรอบตัวเขาต่างค่อยๆ กลายเป็นฝุ่นผง สูญไปอย่างน้อยยี่สิบกว่าชิ้น จนภูติภูเขากลัวว่าหากยังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป กระแสพลอยวิเศษคงจะถูกเยี่ยเทียนสูบไปจนหมด
“หืม? แกพูดกับฉันอยู่เหรอ?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ยืดตัวลุกขึ้น สองดวงตาที่ราวกับเลือนพร่าด้วยชั้นดาวมองมายังภูติภูเขา แรงกดดันอันไร้รูปร่างพลันพุ่งตรงออกไป แรงสะเทือนที่มาจากจิตวิญญาณนั้น ทำให้ภูติภูเขาถอยกรูดออกไปถึงหลายร้อยเมตร
“ฉันนึกออกแล้ว แกคือภูติภูเขา และฉันอยู่กลางเกาะ “เผิงไหล…”
มองไปยังร่างขนาดมหึมาของภูติภูเขาแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเข้าสู่ภวังค์ก็ปรากฎขึ้นในสมองของเยี่ยเทียน ตัวเขากำลังอยู่ ณ ใจกลางขอบเขตกระแสพลอยยิ่งใหญ่แห่งนี้ และปราณวิเศษธาตุดินอันเข้มข้นเกือบถึงแก่น ก็กำลังทะนุบำรุงกายเนื้อของเขา
“ไม่รู้ว่าคราวนี้อยู่ในภวังค์ไปนานแค่ไหน?”
เยี่ยเทียนลุกขึ้น ฝุ่นผงที่อยู่บนตัวและหัวพลันหล่นร่วงกราว พอใช้มือปัดเส้นผมตนเองที่หลังบ่าแล้ว เยี่ยเทียนยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้
โบราณว่าฝึกปราณแท้ไร้เวลาจำกัด เยี่ยเทียนกลัวจริงๆ ว่าเมื่อตัวเองตื่นขึ้นมา เวลาจะผ่านไปนับร้อยปี ถ้าเป็นเช่นนั้นแม้จะฝึกฝนจนบรรลุเต๋า คงไม่อาจเยียวยาความเจ็บปวดที่สูญเสียญาติสนิทหรือคนรักได้ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ดิ่งเข้าสู่สภาวะฝึกฝน
เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เยี่ยเทียนจะควบคุมได้ ทุกครั้งที่หลอมรวมปราณวิเศษแต่ละธาตุ เขามักสูญเสียการควบคุมร่างกายและสติสัมปชัญญะเป็นประจำ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าตัวเองฝึกฝนวิชาอยู่ที่นี่เป็นเวลานานเท่าไหร่
ภูติภูเขาเห็นว่าเยี่ยเทียนดูเหมือนฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว จึงเดินกลับมา เอ่ยปากอย่างระมัดระวังว่า
“การเปลี่ยนแปลงของปราณวิเศษใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว นับว่าไม่ยาวนานเท่าไหร่!”
ภูติภูเขาสามารถสัมผัสได้ว่า ปริมาณพลังภายในร่างกายของเยี่ยเทียนไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าเขา แต่สิ่งที่ทำให้มันประหลาดใจก็คือ พลังงานนั้นกลับสามารถบังคับเขาได้ตามธรรมชาติ เมื่อเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียน ภูติภูเขาจึงรู้สึกคล้ายถูกมัดมือมัดเท้าไว้อยู่เสมอ
“อ้อ งั้นช่วงเวลาที่ฉันอยู่ในภวังค์ก็ไม่ถึงปีละสิ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วตกใจเล็กน้อย ช่วงเวลาที่อยู่ในภวังค์คราวนี้ไม่ได้ยาวนานขนาดนั้น นั่นเพราะจากบันทึกบนคัมภีร์ไม้ของจางซันเฟิง ทุกครั้งพอผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง ปราณวิเศษจำนวนมากบนเกาะจะกลับกลายเบาบางลงเล็กน้อย โดยจะเกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งปี
ตอนที่เยี่ยเทียนมาถึงที่นี่ครั้งแรก การเปลี่ยนแปลงของปราณวิเศษก็เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานนัก อีกทั้งกำลังจะจบลงเวลานี้ จึงหมายความว่าตนเองฝึกฝนวิชาอยู่ที่นี่อย่างมากเป็นเวลาแปดถึงเก้าเดือน
พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็ปล่อยวางลงทันใด แล้วจึงใช้สติมองเข้าภายใน ตรวจดูสถานการณ์ในร่างกายตน จนสามารถสัมผัสได้ว่า ตอนนี้ภายในเส้นลมปราณวิเศษของร่างกาย ไม่หลงเหลือความรู้สึกหนาหนักกดทับเอาไว้แล้ว แต่เป็นความเบาสบายอย่างที่สุด
“หืม? เกิดอะไรขึ้น ทำไมหยินหยางตันเถียนถึงหายไปล่ะ?”
พอจิตของเยี่ยเทียนเข้าสู่จุดตันเถียน ใบหน้าก็ขุ่นเครียด นั่นเพราะเขาพบว่า จุดหยินหยางตันเถียนที่คงอยู่มาตลอดนับตั้งแต่ตนเองเข้าสู่ระดับเซียนเทียนกลับหายไป และถูกแทนที่ด้วยลูกกลมสีทองคำจางลูกหนึ่ง
ลูกกลมสีทองคำจาง หยุดอยู่ตรงกลางจุดตันเถียนของเยี่ยเทียน รอบด้านของมันมีปราณวิเศษหลากหลายสีสันกระจัดกระจาย ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ล้วนอยู่ภายใน เปล่งประกายสีสันแตกต่างกัน ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าคอยปกป้องดวงตะวัน
“สีของปราณวิเศษก็เปลี่ยนไปด้วยหรือ?”
ลูกกลมสีทองคำอ่อนนั้น ปรับปราณวิเศษที่ไหลเข้าไปในจุดตันเถียนให้กลายเป็นปราณแท้สีเหลืองจางชนิดหนึ่ง ย้อนกลับไปทะนุบำรุงในลมปราณของเยี่ยเทียน แม้จะยังไม่ได้ทดสอบพละกำลังของปราณแท้ชนิดนี้ แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า กำลังของตนเองคงจะพุ่งพล่านมากกว่าเก่าขึ้นหลายสิบเท่า
และมีดบินคู่กายด้านบนตันเถียนของเยี่ยเทียน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง สีเงินขาวตลอดทั้งตัวแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อน อีกทั้งขนาดยิ่งดูราวหดลงอีกหลายส่วน อย่างไรก็ตามเยี่ยเทียนยังสามารถสัมผัสถึงพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวชนิดทลายฟ้าทลายดินที่อยู่ภายในมีดบินได้อย่างชัดเจน
“ระดับหลังเซียนเทียน คือขอบเขตจินตัน!”
เยี่ยเทียนเกิดกระจ่างแจ้งขึ้นมาในใจ เขาที่เคยอ่านบันทึกของจางซันเฟิงอย่างละเอียด อดระทึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ ระหว่างระดับเซียนเทียนจนถึงบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรค ยังมีอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือระดับเจี่ยตัน
ระดับเจี่ยตันสามารถเรียกได้ว่าเป็นครึ่งก้าวของจินตันแล้ว ผู้ฝึกวิชาถึงขั้นเจี่ยตันร้อยทั้งร้อยจะได้ต้อนรับอัสนีสวรรค์จินตัน อีกทั้งเมื่อเทียบกับผู้ฝึกวิชาสุดยอดเซียนเทียน เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จผ่านอัสนีสวรรค์ยังสูงกว่ามากมาย
หลังจากเข้าสู่ขั้นเจี่ยตันแล้ว จะดูดซับปราณวิเศษอีกอย่างไม่หยุดหย่อน เข้าอกเข้าใจสัมผัสถึงมรรคผล พอฝึกฝนขับเคี่ยวเจี่ยตันไม่หยุดยั้ง จากปริมาตรแปรเปลี่ยนเป็นคุณภาพ ก็จะถึงขอบเขตของจินตันอัสนีสวรรค์นั่นเอง เพียงแค่ผ่านอัสนีสวรรค์ไปได้ ก็จะสามารถฝึกฝนจนบรรลุจินตัน สำเร็จมรรคผล
ติงหงเมื่อในอดีต อยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นปลายเท่านั้น ที่เขาไม่กล้าอาจหาญไประดับอัสนีสวรรค์ นั่นเพราะยังไม่กลายเป็นเจี่ยตัน ถ้าหากเวลานั้นเขาอยู่ระดับเจี่ยตัน แม้จะยังไม่ผ่านอัสนีสวรรค์ ก็ยังสามารถหลีกหนีแก่นวิญญาณ จนไม่ต้องพบจุดจบที่ม้วยมรณา
“ต่อให้เข้าสู่สุดยอดจินตันแล้วยังไง? หากไม่เข้าสู่ขอบเขตหยวนอิง ก็ยังหลีกหนีจากตรงนี้ไม่ได้!”
เยี่ยเทียนที่กำลังดีอกดีใจ พลันคิดถึงสิ่งที่จางซันเฟิงพบพาน ยังกลับกลายเป็นเปลี่ยวเหงาขึ้นมา ด้วยการคาดคำนวณของจางซันเฟิง เมื่อเข้าถึงระดับหยวนอิง จึงจะสามารถฉีกทำลายมิติ หลุดพ้นจากค่ายกลคุมขังแห่งนี้
และเวลานี้เยี่ยเทียนอยู่เพียงแค่ระดับเจี่ยตัน ยังห่างชั้นจากระดับหยวนอิงไม่รู้กี่ขั้น พลันอดหดหู่เศร้าหมองในใจไม่ได้ อารมณ์ความรู้สึกอันยากอธิบายแล่นกระทบในใจเขา ความตื่นเต้นที่ได้เลื่อนระดับก็สูญสลายไปอย่างไร้ร่องรอย เวลาเดียวกันนั้นเอง ปราณแท้ภายในร่างของเยี่ยเทียนเกิดสับสนว้าวุ่น สภาพจิตเหม่อลอยไปชั่วขณะ
“จางซันเฟิงออกไปไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเยี่ยเทียนจะออกไปไม่ได้เช่นกัน ชะตาของเรา ต้องเป็นเราที่กำหนดเอง!”
ทันใด ไอเย็นก็แผ่ออกมาจากภายในเจี่ยตัน กระตุ้นให้เยี่ยเทียนหนาวสั่น จิตพลันได้สติขึ้นมา ผู้ฝึกตน หากจิตใจไม่หนักแน่นมั่นคง อย่าว่าแต่ระดับหยวนอิงเลย เกรงว่ากระทั่งจินตันอัสนีสวรรค์ก็คงไม่อาจผ่านไปได้
“เมื่อครู่เสียงอะไรเหรอที่ปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมา?”
เยี่ยเทียนถอนหายใจยาวเหยียด สะกดปราณแท้ที่สับสนวุ่นวายอยู่ภายในร่างกายเอาไว้ เงยหน้ามองภูติภูเขา
“เป็นเสียงของพวกอสูรร้ายเปล่งออกมาก่อนตายน่ะ!”
ภูติภูเขาเหลือบมองไปทางชายหาด มันผ่านประสบการณ์การปรับเปลี่ยนปราณวิเศษมาหลายต่อหลายครั้ง รู้ว่าทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ มักจะมีสัตว์บางตัวที่เงยหน้าขึ้นมองหาความเป็นไปได้ ทดลองหนีออกไปจากที่นี่ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเลยที่ทำสำเร็จ
“ต้องเป็นปีศาจยักษ์ระดับหลังจินตันแน่ๆ!”
สามารถส่งเสียงที่ทำให้เยี่ยเทียนใจระทึกได้ นอกจากสิ่งมีชีวิตระดับสูงสุดบนเกาะนี้ ก็คงไม่มีคำอธิบายใดอื่น
รวบรวมสติสัมปชัญญะแล้ว เยี่ยเทียนก็มองไปทางภูติภูเขา เอ่ยปากว่า
“ฉันต้องการพลอยวิเศษจำนวน หนึ่ง แกไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
“แก…แกอย่าเอาไปหมดก็แล้วกัน”
ภูติภูเขาหน้าหุบ เยี่ยเทียนถามมันอย่างนี้ ต่อให้มันไม่พอใจก็คงพูดอะไรไม่ได้ แต่ก่อนเคยยืมพลังแห่งผืนแผ่นดินมาควบคุมเยี่ยเทียน แต่เวลานี้กลับมีกระทั่งความรู้สึกเช่นนี้ ความกลมเกลียวระหว่างธาตุดินกับเยี่ยเทียน ดูท่าจะเหนือกว่ามันไปแล้ว
“วางใจเถอะ ฉันแค่ต้องการนิดหน่อยเท่านั้น!”
หลังจากเข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้ว เยี่ยเทียนเองก็รู้ว่า ต่อให้ตนเองนำกระแสพลอยวิเศษมาหลอมรวมทั้งหมด ก็ไม่สามารถทะลวงผ่านด่านหยวนอิงได้ในทันที เพราะความหยั่งรู้ของเขาที่มีต่อขั้นนั้นยังไม่เพียงพอ สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ความเข้มข้นของปราณวิเศษจะสามารถกำหนดได้
พอยื่นมือออกไปคว้า พลอยวิเศษที่แผ่ลมปราณออกมาภายในระยะร้อยเมตร ก็ร่วงหล่นลงมาทีละชิ้น เป็นอย่างที่เยี่ยเทียนได้พูดเอาไว้ เขาเพียงหยิบพลอยคุณภาพดีเพียงสามสิบกว่าชิ้นเท่านั้น แล้วก็หยุดมือ จึงไม่ส่งผลกระทบใดต่อกระแสพลอยวิเศษทั้งหมด
“ขอบคุณมาก วันหลังฉันจะกลับมาหาแกอีก!”
หยิบพลอยวิเศษใส่ถุงหนังที่ช่วงเอวแล้ว เยี่ยเทียนก็ย่ำเท้าออกมาก้าวหนึ่ง แล้วทั้งร่างก็หายตัวออกมาจากตรงนั้น พอปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ก็กลับมาถึงข้างกายภูติภูเขาแล้ว
“แกอย่ามาหาฉันอีกเลย ขืนมาหาฉันอีกครั้ง ดินแดนที่ฉันเกิดก็คงไม่เหลือแล้ว”
คำพูดของภูติภูเขาทำให้เยี่ยเทียนอดหัวเราะไม่ได้ ปีศาจเหล่านี้ถึงแม้จะพูดจาโผงผาง แต่ก็น่ารักกว่ามนุษย์หลายเท่า
“ได้สิ อย่าเจอกันอีกเลย!”
เยี่ยเทียนระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงหัวเราะดังสะท้อนไปมาระหว่างขุนเขา แต่ตัวกลับห่างไปร้อยลี้แล้ว หลังจากหลอมรวมปราณวิเศษธาตุดิน เยี่ยเทียนก็พบว่า เขาได้รู้ซึ้งถึงวิชาหายตัวจากธาตุทั้งห้า ขอเพียงมีดินแดนแห่งปราณวิเศษทั้งห้าอยู่ ก็สามารถไปมาได้อย่างอิสระ
ภูติภูเขาใช้เวลาวิ่งตลอดทางสองวันเต็ม แต่ด้วยวิชาพสุธาหลบหลีก หลังจากเวลาหนึ่งชั่วโมงสั้นๆ เยี่ยเทียนก็มาถึงชายป่า แต่ว่าทันทีที่เขาปรากฏตัว ก็ถูกพบโดยภูติต้นไม้ที่เฝ้ารออยู่ที่นั่นทันที
“ทำไมแกถึงไปนานนักล่ะ? หรือว่าเจ้าภูติภูเขากลั่นแกล้งแก?”
แตกต่างจากภูติภูเขาที่ถูกเยี่ยเทียนข่มขู่ ภูติต้นไม้กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกดีต่อเยี่ยเทียน นับแต่มันมีสติปัญญาก็ไม่เคยคบหากับสิ่งมีชีวิตอื่น นอกจากต้นหม่อนโบราณที่ถูกมันนับถือเป็นแม่ ภูติต้นไม้จึงเห็นเยี่ยเทียนเป็นคนสนิทใกล้ชิดที่สุดจากใจจริง
“จากนี้ไปอย่าไปทะเลาะกับมันอีกล่ะ ไปจากที่นี่ซะ แกไม่ใช่คู่มือของมันหรอก!”
เยี่ยเทียนยิ้มแล้วโยนพลอยวิเศษธาตุดินคุณภาพธรรมดาให้ภูติต้นไม้ พูดว่า
“ฉันต้องไปแล้ว ไว้วันหลังจะมาหาแกอีก หลังจากแกเอาของนี่หลอมรวมเข้าไปแล้ว หากเจอเจ้าภูติภูเขานั่นก็ไม่ต้องกลัวมันแล้วล่ะ!”
ธาตุทั้งห้าต่อต้านและต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน เดิมทีไม้ข่มดิน ถ้าหากภูติภูเขาสามารถหลอมพลอยวิเศษธาตุดินได้ ต่อให้เข้าไปยังเขตแดนของดินอีก ก็จะไม่ถูกภูติภูเขาข่มเหง ในทางกลับกันก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่ภูติภูเขาไม่เป็นมิตรกับเยี่ยเทียนเท่าไหร่ เขาจึงไม่ให้พลอยวิเศษธาตุไม้กับมัน
“แกจะไปแล้วเหรอ?” รากเถาวัลย์เส้นหนึ่งโอบรัดพลอยวิเศษก้อนนั้นไว้ ใบหน้าของภูติต้นไม้ฉายแววเศร้าสร้อย เถาวัลย์นับสิบเส้นสัมผัสร่างของเยี่ยเทียนอย่างแผ่วเบาราวหนวดปลาหมึก
ตอนที่ 846 ขบถ
“บนเกาะนี้มีจิตสังหารเต็มไปหมด วิทยายุทธ์ของแกไม่เพียงพอ วันหลังอย่าได้ออกไปจากเขตต้นไม้โบราณล่ะ!”
เยี่ยเทียนเองก็ชื่นชอบภูติต้นไม้มากเช่นเดียวกัน ตอนที่พบกันครั้งแรก เขาอาจจะเคยใช้ไฟเผาผลาญภูติต้นไม้จนกรีดร้องดังลั่น แต่เมื่อได้รู้จักกันแล้ว กลับรักใคร่ปีศาจที่มีจิตใจใสซื่อตนนี้อย่างมาก ถ้าหากบนชายหาดไม่มีค่ายกลขีดกรอบไว้ เยี่ยเทียนคงถึงขั้นคิดจะพามันกลับไปด้วย
“รู้แล้วล่ะ วันหลังต้องมาหาฉันอีกนะ!” ภูติต้นไม้โบกลำแขนเถาวัลย์อย่างเศร้าสร้อย ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้อยู่กับเยี่ยเทียน สติปัญญาของมันพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งท่าทางและคำพูดคล้ายคลึงมนุษย์อย่างมาก
“ฮูม!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกับภูติต้นไม้อาลัยอาวรณ์กันอยู่นั้นเอง เสียงอสูรดุร้ายก็ดังขึ้นจากที่ไกล เสียงร้องคำรามดังกึกก้องทั่วทั้งเกาะ
ในเวลาเดียวกันก็ปรากฏฟ้าผ่าจำนวนมหาศาลที่ขอบฟ้า และเสียงร้องคำรามนั้นก็กลับกลายโหยหวนยิ่งขึ้น
“ฉันต้องไปแล้วล่ะ รักษาตัวด้วย!”
เยี่ยเทียนฟังออกว่า เสียงคำรามนั่นเหมือนไม่ได้มาจากทางกระท่อมไม้ ใจจึงอดเป็นกังวลไม่ได้ ถ้าหากปีศาจยักษ์เหล่านั้นเลือกชายหาดเป็นสถานที่ข้ามขั้น เกรงว่าแค่สายตามองก็คงทำให้วิญญาณของเหลยหู่กระจัดกระจาย
หลังจากร่ำลาภูติต้นไม้มาแล้ว เยี่ยเทียนก็ใช้วิชาหลบหนีธาตุทั้งห้า หายตัวต่อหน้าภูติต้นไม้ในฉับพลัน แล้วเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ก็มาถึงยังชายขอบต้นหม่อนโบราณ
เมื่อเข้าสู่ระดับเจี่ยตัน เยี่ยเทียนก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือบนเกาะ “เผิงไหล” แห่งนี้แล้ว นอกเหนือไปจากปีศาจยักษ์ที่มีวรยุทธ์เทียบเท่าระดับจินตัน สัตว์อสูรที่ยังไม่บังเกิดปัญญา ก็เป็นศัตรูของเขาด้วยเช่นกัน
ดังนั้นตลอดทางเยี่ยเทียนจึงไม่ปกปิดลมปราณของตัวเองแม้แต่น้อย แรงกดดันจากผู้มีอำนาจเหนือกว่า กลุ่มสัตว์ป่าที่ซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัว และการเคลื่อนไหวอย่างระแวดระวัง ปรากฏขึ้นภายในเวลาเดียวกัน
แน่นอนว่ามีสัตว์อสูรบางตัวที่ประมาทฝีมือลอบทำร้ายเยี่ยเทียน แต่ก็ล้วนสิ้นชีพภายใต้มีดบินคู่กายไปหมดแล้ว แต่ในทางกลับกันยังใด้หนังสัตว์ที่โจมตีด้วย “อาวุธเวทย์มนต์” ไม่ได้มาอีกด้วย
ขามาใช้เวลาไปสิบกว่าวัน ตอนขากลับ เยี่ยเทียนกลับใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้น เช้าตรู่ในวันที่สาม เขาก็ได้มาถึงยอดเขาสูงที่มีอักษรสองตัวแกะสลักว่า “เผิงไหล”
“ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?” มองไปยังหาดทรายเชิงเขาซึ่งไอหมอกพวยพุ่ง ใบหน้าของเยี่ยเทียนฉายแววประหลาดใจ
เยี่ยเทียนพบว่า จากจุดใจกลางยอดเขาใต้ร่าง บนหาดทรายตลอดทางยาวไกลเจ็ดถึงแปดพันเมตรบนชายหาดเท่าที่สายตามองเห็น อัดแน่นเต็มไปด้วยศพของสัตว์ร้ายนานาชนิด มีสิงสาราสัตว์ขนาดร่างปกติ และมีอสูรร่างยักษ์ขนาดหลายสิบเมตร ล้วนตายซากอยู่รอบชายหาดด้านนอก เห็นได้ชัดว่าถูกโจมตีสังหารหนักหน่วง
อีกทั้งอสูรร้ายเหล่านี้ล้วนราวกับกินยามาผิด ต่างพากันเข้าไปโดนกระหน่ำด้วยสายฟ้าบนชายหาด บนหาดทรายเต็มไปด้วยแสงไฟและฟ้าผ่า ราวกับทะเลแห่งกระแสไฟห่อหุ้มอสูรร้ายที่เข้าไปภายในทั้งหมด
“เหลยหู่ล่ะ? เยี่ยเทียนมองลงมายังเชิงเขา ใจสั่น นั่นเพราะกระท่อมที่จางซันเฟิงสร้างขึ้น เวลานี้ถูกเหล่าอสูรร้ายทำลายจนหมดสิ้นแล้ว เยี่ยเทียนรู้ว่า ด้วยวรยุทธ์ของเหลยหู่ สัตว์อสูรด้านล่างทุกตัวล้วนมีพลังความสามารถสังหารเขาได้
“หือ? ฉลาดแฮะ!”
เมื่อเพ่งสายตาไปในทะเล เยี่ยเทียนก็พบว่า บนผิวน้ำทะเลห่างจากชายหาดไปสามร้อยเมตร มีแพนิรภัยลอยอยู่ บนหลังแพนั้น มีถุงใบมหึมาทำจากหนังสัตว์ดุร้ายลอยอยู่ ภายในอัดแน่นไปด้วยสิ่งของ
เมื่อพบเหลยหู่แล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ชักช้า ลงไปยังเชิงเขาด้วยรอยแยกเล็กระหว่างภูเขาด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้า แต่สิ่งที่ทำให้เขาชะงักงันก็คือ สัตว์ร้ายหลากหลายชนิดจากป่าทึบเชิงเขาที่มองไม่เห็นจากบนยอดเขา ต่างมุ่งไปยังชายหาดไม่ขาดสาย จำนวนมหาศาลนั้นทำให้เยี่ยเทียนถึงกับขนหัวลุก
“โฮก!” อสูรร้ายรูปร่างคล้ายเสือตัวหนึ่งมองมาทางเยี่ยเทียน กระโจนเข้ามาทันทีที่ปรากฏร่าง กางกรงเล็บแหลมคมสองข้างส่องประกายเย็นเยียบ พุ่งกรงเล็บขนาดเท่าใบหน้ามาทางหน้าผากเยี่ยเทียน
“ไปซะ!”
เยี่ยเทียนจ้องตาเขม็ง เสียงคำรามกึกก้องดังออกมาจากปากเขา ร่างของเสือตัวนั้นที่ยังอยู่ห่างจากเยี่ยเทียนสามถึงสี่เมตรผงะค้าง ร่วงหล่นลงมาจากบนอากาศสู่พื้นดิน แววตากลับกลายหดกลัวตั้งแต่ยังไม่ร่วง
เวลานี้ด้านล่างเชิงเขาเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย สัตว์ป่าไม่น้อยต่างกำลังฉีกทึ้งร่างกันเอง แต่หลังจากปลดปล่อยลมปราณออกมาแล้ว ก็ไม่มีสัตว์ป่าตัวไหนกล้าโจมตีเยี่ยเทียนอีก ในสภาวะที่ไร้ซึ่งปีศาจยักษ์ระดับจินตัน เยี่ยเทียนเหมือนจะอยู่บนจุดสุดยอดของห่วงโซ่อาหาร
“อสูรเซียนเทียนขั้นต้น รนหาที่ตาย แต่ว่าหนังของมันก็สวยดีไม่น้อย”
เยี่ยเทียนก้าวเท้าย่ำลงตรงหน้าของซากเสือตัวหนึ่ง ยื่นมือซ้ายไปหยิบมันขึ้นมา นิ้วชี้ของมือขวา เจาะรูเล็กๆ ใต้กราม จากนั้นส่งปราณแท้ใส่เข้าไปในช่องโหว่นั้น
หลังจากที่ใส่ปราณแท้ลงไป ร่างของเสือก็โป่งพองขึ้นอย่างรวดเร็ว บวมเป่งราวกับลูกบอลลูกหนึ่ง มือขวาของเยี่ยเทียนหนีบผิวหนังตรงส่วนปากของเสือไว้อย่างรวดเร็ว พอออกแรงฉีกครั้งเดียว เสียงดัง “ฉัวะ” หนังเสือทั้งตัวก็ถูกเขาผ่าออกจากกัน
“ของดีนี่นา!” เยี่ยเทียนนำซากเสือขนาดยาวกว่าห้าเมตรวางไว้ด้านข้าง แล้วจึงพับหนังเสือนั้นอย่างระมัดระวัง พอเยี่ยเทียนพับเสร็จเรียบร้อยแล้ว พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ รอบด้านของตนดูคล้ายจะเงียบสงบลงมาก
“ชิบเป๋ง มาจ้องฉันกันทำไม?”
พอเงยหน้ามองรอบๆ เยี่ยเทียนก็ยืนไม่อยู่ขึ้นมาทันใด เพราะว่ารอบตัวมีสัตว์ร้ายนับร้อย ที่เวลานี้ต่างหยุดห้ำหั่นกันเอง ถลึงตาแดงก่ำมองมายังเยี่ยเทียน ลมหายใจเน่าเหม็นโชยออกมาจากปาก
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า ที่สัตว์ร้ายเหล่านี้ห้ำหั่นกัน เพื่อให้ตำแหน่งของตัวเองอยู่ทีหลัง จะได้โดนค่ายกลโจมตีช้าลงอีกหน่อย แต่กลับไม่มีตัวไหนที่โหดร้ายอย่างเยี่ยเทียน ซึ่งหลังจากฆ่าแล้วยังแล่เนื้อเถือหนัง ด้วยเหตุนั้นจึงพุ่งเป้ามาทางเยี่ยเทียน
“โฮก!” พอสัตว์ร้ายตัวหนึ่งเริ่มขึ้น ตัวที่เหลือนับร้อยต่างก็คำรามขึ้นมา กรงเล็บนับไม่ถ้วนพุ่งไปทางเยี่ยเทียน พวกมันต้องการฉีกทึ้งคนที่ฝ่าฝืนกฎนี้
“บัดซบเอ๊ย แหย่รังแตนเข้าแล้วสิ!”
ขนาดเยี่ยเทียนที่เพิ่งขึ้นสู่ระดับเจี่ยตัน เวลานี้ยังขนหัวชูชัน พออ้าปาก ลำแสงสีทองคำก็ล้อมรอบตัวเขา เยี่ยเทียนเองไม่คิดจะโจมตีอีกฝ่าย จึงพุ่งตรงดิ่งไปทางชายหาด
สัตว์ร้ายตลอดทางทุกตัว ที่ถูกลำแสงสัมผัสเข้า ล้วนกลับกลายเป็นเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อย เยี่ยเทียนแหวกเส้นทางออกไป แต่ด้านหลังของร่างเขากลับเต็มไปด้วยซากสัตว์ป่า เสียงร้องครวญครางก่อนตายของเหล่าสัตว์ร้ายดังทั่วทุกทิศ
“ทางนี้ไปไม่ได้!”
เดิมทีเยี่ยเทียนคิดจะพุ่งตรงไปจนถึงชายหาด แต่ว่าที่ตรงหน้าเขา สัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังโจมตีค่ายกล ที่นั่นเต็มไปด้วยสายฟ้าปกคลุมถ้วนทั่วไม่เว้นหน้า หากเยี่ยเทียนเข้าไปคงจะต้องถูกสายฟ้ากระหน่ำใส่เช่นเดียวกัน
ดังนั้นจึงเกิดภาพประหลาดบนรอบนอกชายหาด เยี่ยเทียนหนีบหนังเสือนั้นไว้ใต้รักแร้แล้ววิ่งห้อไปด้านหน้า ข้างหลังตามมาด้วยสัตว์เล็กเท่าแรคคูนนับพัน และสัตว์ใหญ่ดุร้ายสูงหลายสิบเมตรตามล่า ดึงดูดสายตาเหลยหู่ที่อยู่กลางทะเลไปในตัว
“ท่านอาจารย์ ข้างหน้าไม่มีค่ายกลโจมตีสัตว์ร้าย!”
พอเห็นเยี่ยเทียนปรากฏตัว เหลยหู่ก็ขยี้ตาตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วยังหยิกขาอ่อนตัวเองอีกครั้ง ในดวงตามีน้ำตารื้นขึ้นมา ขนาดตอนแรกที่เข้าวงการถูกพวกมาเฟียห้อมล้อมฟันจนมีแผลทั่วทั้งตัว จนเหลยเจิ้นเทียนพาคนมาช่วย เหลยหู่ยังไม่ตื้นตันใจถึงขนาดนี้
เหลยหู่เองก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ถึงแม้รอบนอกชายหาดจะเต็มไปด้วยเสียงคำรามของสัตว์ร้าย แต่เสียงของเขาก็ยังดังมาถึงหูเยี่ยเทียน หลังจากมองไปข้างหน้าแล้ว เยี่ยเทียนก็เพิ่มความเร็วยิ่งขึ้น ทิ้งระยะห่างจากพวกสัตว์ร้ายไว้ข้างหลัง
“อุ๊บ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนเตรียมจะพุ่งไปบนหาดทรายนั้น ทันใดจากด้านหลังก็มีเสียงคำรามกึกก้องดังมาจุดที่ไม่รู้ไกลเท่าไหร่ คลื่นสั่นสะเทือนที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่มากระแทกร่างของเยี่ยเทียนซึ่งกำลังพุ่งไปด้านหน้าอย่างรุนแรงจนสะดุด เกือบล้มลงไปกับพื้น
“ปีศาจยักษ์ระดับเทียบเท่าจินตันหรือ?”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนเผยให้เห็นอาการตกตะลึง ทันใดนั้นก็ส่งปราณแท้เข้าไปในขาทั้งสองข้าง ร่างทั้งร่างทะยานไปข้างหน้าราวกับลูกศรจากคันธนู จนห้วงอากาศที่ถูกเสียงคำรามนั่นห่อหุ้มถูกเยี่ยเทียนพุ่งชนจนแหวกออก
หลังจากกลิ้งตัวลงบนหาดทราย เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมอง พุ่งลงทะเลด้วยแรงทั้งหมด เสียงคำรามหนึ่งครั้งเกือบทำให้ปราณแท้ทั่วร่างกระจัดกระจาย เห็นได้ชัดว่าปีศาจยักษ์ระดับจินตันปรากฏตัวอยู่ที่นี่
“ไม่ได้ ต้องวิ่งให้ไกลกว่านี้” สองขาเหยียบลงบนน้ำ จนกระทั่งมาถึงแพนิรภัยที่เหลยหู่อยู่ เยี่ยเทียนจึงหยุดฝีเท้า ถอนหายใจออกมายาวเหยียด เวลานี้เขาถึงรู้สึกได้ว่า เสื้อผ้าด้านหลังเขาเปียกชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
“ท่านอาจารย์ ผม…ผมนึกว่าท่านจะกลับมาไม่ได้เสียแล้ว!”
พอเห็นเยี่ยเทียน เหลยหู่อายุสี่สิบกว่าปีก็ร้องไห้ออกมาราวกับคนขี้แย หลายวันที่ผ่านมาเขาลำบากมาก หลังจากที่กระท่อมไม้ถูกสัตว์ดุร้ายทำลาย เหลยหู่ก็ใช้ชีวิตอยู่บนทะเลมาตลอดระยะเวลาครึ่งปีกว่า จนปัจจุบันมีกลิ่นปลาสดตั้งแต่หัวจรดเท้า
ความจริงเหตุผลที่เหลยหู่อยู่บนเส้นขอบแห่งความสิ้นหวัง ไม่ใช่เพราะแรงกดดันในการมีชีวิตอยู่ แต่เป็นความกลัวในความไม่รู้ เมื่อสูญเสียกระดูกสันหลังอย่างเยี่ยเทียน ที่ปรากฏสู่สายตาก็เป็นสัตว์ป่าดุร้ายอีก นั่นจึงทำให้เหลยหู่รู้สึกตื้นตันเมื่อได้เห็นเยี่ยเทียนถึงขนาดนี้
“พูดจาเหลวไหล ฉันเหรอจะตายง่ายๆ แบบนั้น?”
เยี่ยเทียนจ้องมองเหลยหู่อย่างอารมณ์เสีย แน่นอนว่า เขาไม่รู้ความคิดในใจของเหลยหู่ ไม่อย่างนั้นคงจะถีบเขาตกทะเลไปนานแล้ว
“ที่เท่าแมวดิ้นตาย จะคุกเข่าทำไม ลุกขึ้นมาพูด มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ตอนที่เยี่ยเทียนจากไป ถึงแม้สัตว์ทั้งหลายบนเกาะจะวุ่นวายโกลาหล แต่ก็ไม่มีค่ายกลรวมพลโจมตีแบบนี้ จึงทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
เหลยหู่ลุกขึ้น ปาดน้ำตาออก บอกว่า
“ท่านอาจารย์ พอท่านไป ก็มีสัตว์ร้ายมายังที่นี่ ผมไม่ใช่คู่มือของพวกมัน เลยถูกพวกมันขับไล่ลงกลางทะเล”
ความจริงช่วงแรกขอบเขตความวุ่นวายของเหล่าสัตว์ร้ายยังไม่กว้างมาก พลังก็ไม่แข็งแกร่งขนาดนี้ เหลยหู่ยืนหยัดได้สองสามวันสังหารสัตว์ร้ายไปหลายตัว แต่ว่าภายหลังพลังของสัตว์ร้ายก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เหลยหู่อับจนหนทางจึงทำได้เพียงหนีลงทะเล
ตอนที่ 847 สิงห์ขนทอง
ครึ่งปีกว่ามานี้เหลยหู่กินปลาทะเลเป็นอาหารมาตลอด ยังดีที่เขาก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว จึงสามารถใช้ปราณแท้กลั่นน้ำจากในอากาศ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าแม้จะไม่ขาดอาหาร ก็คงขาดน้ำจนตายเช่นกัน
“เซียนเทียนระดับต้น แต่สามารถทำให้ระดับมั่นคงได้แล้ว ไม่เลวเลย!”
เยี่ยเทียนพิจารณาเหลยหู่ดูรอบหนึ่ง แอบถอนใจในความโชคดีของเขาอยู่ในใจ คุณสมบัติของศิษย์พี่ทั้งสองกับลูกศิษย์คนแรกเหนือกว่าเหลยหู่ร้อยเท่า แต่กลับไม่มีโอกาสเช่นนี้ ดูท่าตอนนี้ยังคงติดอยู่ที่ระดับโฮ่วเทียนขั้นปลาย
“ท่านอาจารย์ ผมดูท่านไม่ค่อยออก ตอนนี้ท่านอยู่ระดับไหนแล้วครับ?”
เดิมทีนึกว่าเมื่อตนเองเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว จะสามารถย่นระยะห่างจากเยี่ยเทียนได้ แต่เยี่ยเทียนกลับเหมือนสระน้ำไร้ก้น ด้วยจิตสัมผัสของเหลยหู่ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถหยั่งวัดความลึกของเยี่ยเทียนได้เลย
“ฉันเหรอ? ขาดอีกเพียงนิดเดียว ก็อาจจะบรรลุมรรคผลจินตันแล้วล่ะมั้ง?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า หัวเราะเจื่อน
“มีวิทยายุทธสูงแล้วได้ประโยชน์อะไร? ขนาดเทพจางมีวิทยายุทธ์ถึงปลายระดับจินตัน ยังไม่อาจออกจากเกาะแห่งนี้ได้ ต่อให้ฉันอยู่สูงถึงระดับนั้นแล้วจะเป็นยังไง?”
“ท่านอาจารย์ ท่านมีวิชาทำนายไม่ใช่เหรอครับ?”
เหลยหู่ พลันนึกถึงความสามารถติดตัวของเยี่ยเทียนขึ้นมา
“ท่านทำนายดวงชะตาให้ตัวเองหรือผมไม่ได้เหรอ? ถ้าหากออกไปไม่ได้จริงๆ ผมก็คงต้องถอดใจเช่นกัน”
“ไม่มีประโยชน์หรอก วิถีแห่งฟ้าตื่นกลัว ใช่ว่าฉันจะเห็นได้ทะลุปรุโปร่ง ขืนบุ่มบ่ามทำนายดวง มีแต่จะพาตัวเองไปสู่การลงทัณฑ์?”
ที่เหลยหู่พูดออกมา ใช่ว่าเยี่ยเทียนจะไม่เคยคิดถึง เพียงแต่ตอนที่เขาเสี่ยงทำนายกลับพบว่ายิ่งวิทยายุทธ์ของตนเองพัฒนา ชะตาชีวิตก็ยิ่งสั่นคลอนไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะใช้วิธีไหน ก็ไม่อาจลอบดูลิขิตฟ้า
ไม่เพียงเท่านี้ ชะตาชีวิตของเหลยหู่เองก็พอกัน จวบจนเวลานี้เยี่ยเทียนจึงรู้ว่า เดิมทีเคยคิดว่ารอดพ้นสามภพภูมิหลุดจากธาตุทั้งห้า ความจริงเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นคิดไปเองเท่านั้น เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับเจี่ยตัน ห่างจากจินตันไม่ไกลเท่าไหร่ เยี่ยเทียนจึงได้สัมผัสการมีอยู่ของวิถีแห่งฟ้าอย่างแท้จริง
“ท่านอาจารย์ พวกเราจะต้องลอยคออยู่ในทะเลอย่างนี้ตลอดไปหรือครับ?”
หลังจากได้เห็นเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่นับว่าเริ่มมีความหวัง ครึ่งปีกว่าที่ผ่านมาเขากินนอนทำทุกอย่างในทะเล ยังดีว่าพอสำเร็จระดับเซียนเทียนแล้วไร้ซึ่งกิเลส ไม่อย่างนั้นเหลยหู่คงทนไม่ไหวไปนานแล้ว
“ท่านอาจารย์ คัมภีร์ที่นักพรตเต๋าท่านนั้นทิ้งเอาไว้ ผมเก็บเอามาด้วย ไม่รู้ว่าจะโดนน้ำทะเลจนโป่งพองเสียหรือเปล่า ช่วยสอนผมอ่านให้เข้าใจตัวหนังสือหน่อยเถอะครับ”
ช่วงเวลาที่เยี่ยเทียนจากไป เหลยหู่อยู่อย่างเดียวดายจนใกล้จะเสียสติ เวลานี้ได้พบเยี่ยเทียน จึงมีสิ่งที่อยากพูดมากมาย อีกทั้งเขายังอยากศึกษาหาความรู้ที่อยู่บนคัมภีร์ไม้ ถ้าหากเยี่ยเทียนหายไปเป็นปีไม่กลับมาอีก เขาจะได้กำจัดความหงอยเหงาในใจตนเอง
“คัมภีร์ไม้พวกนี้ท่านเทพจางเขียนขึ้นเอง ด้านบนมีร่องรอยบรรลุมรรคผลของเขาอยู่ อย่าว่าแต่หยดน้ำเลย ต่อให้ไฟเผาผลาญก็ไม่อาจทำลาย”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า กล่าวว่า
“ถ้าแกอยากรู้ฉันสามารถสอนให้แกได้ แต่ฉันสัมผัสได้ว่าปราณวิเศษที่วุ่นวายคงจะสงบลงในอีกสองสามวันข้างหน้า ถึงเวลานั้นเหล่าสัตว์ร้ายพวกนี้คงจะถอนตัวกลับไป ไว้เวลานั้นค่อยเรียนยังไม่สาย…”
“หืม เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังพูดอยู่ ดวงตาพลันสว่างวาบ มองไปสามสี่ร้อยเมตร ทางหาดทราย เหลยหู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างเนื้อตัวอ่อนยวบ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความตกตะลึง
“นั่นมันตัวอะไรกัน?”
อารมณ์ของเยี่ยเทียนเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ลมปราณรุนแรงพอจะทำลายสรวงสวรรค์แผ่พุ่งมาจากจุดที่เขาออกมายังทะเลก่อนหน้านี้
ผ่านแนวกั้นขนาดใหญ่ ลมปราณชนิดนี้ถึงแม้ไม่สามารถทำร้ายพวกเยี่ยเทียน แต่ยังสามารถกดดันเหลยหู่จนตัวแข็งทื่ออยู่บนแพนิรภัย ต่อหน้าลมปราณชนิดนี้ เขารู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นเพียงมดปลวกไร้ค่า
“พวกมันคือปีศาจยักษ์ระดับจินตันงั้นเหรอ?” เยี่ยเทียนเพ่งสายตามอง ใบหน้าอดแสดงความประหลาดใจออกมาไม่ได้
สัตว์สองตัวที่ปรากฏขึ้นบนชายหาด รูปร่างไม่ดุดัน ตลอดทั้งเนื้อตัวมีขนสั้นสีทองคำปกคลุม ขนาดไม่ใหญ่มาก เหนือกว่าเสือดาวเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ใบหน้าคล้ายสิงโต จุดเดียวที่แสดงให้เห็นถึงความดุร้าย คือกรงเล็บอันแหลมคมทั้งคู่ตรงหน้าอกยามยืนอยู่เท่านั้น
“เจ้าสองตัวนี้ดูคล้ายสิงห์ขนทองหรือเปล่านะ?”
ในความคิดของเยี่ยเทียนปรากฏชื่อหนึ่ง นั่นก็คือสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งที่บันทึกใน “คัมภีร์ซานไห่”สิงห์ขนทองในตำนานมีพละกำลังไร้เทียมทาน เคลื่อนที่ราวสายลม กินสมองเสือเป็นอาหารหลัก แต่ว่านิสัยคล้ายมนุษย์อย่างมาก เคยถูกยอดฝีมือสำนักเต๋าเลี้ยงดูเพื่อคุ้มกันรักษาถ้ำที่อยู่อาศัย
เห็นปีศาจตัวน้อยมาแล้ว คราวนี้ยังมาเจอสัตว์ประหลาดอีก จึงไม่อาจทำให้ใจของเยี่ยเทียนสั่นไหวอีกต่อไป สิ่งเดียวที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือ สิงห์ขนทองร่างใหญ่และเล็กสองตัวนั้น ล้วนมีวรยุทธ์ถึงระดับจินตัน
ภายในรัศมีหลายร้อยเมตรโดยรอบตัวอสูรสองตนนี้ สัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วนล้วนหมอบคลานอยู่กับพื้น แม้แต่หัวยังไม่กล้าโงขึ้น ราวกับทำความเคารพราชา ท่าทางไล่ล่าอย่างโหดเหี้ยมดุร้ายหายไปจนสิ้น
“โกรล!”
สิงห์ขนทองตัวเล็กกว่าที่อยู่ด้านขวา ส่งเสียงครางออกมาจากปาก สัตว์ทั้งหลายที่อยู่รอบตัวมันตื่นตัวขึ้นมาทันที สัตว์รูปร่างคล้ายเสือและสิงโตห้าหกตัวร่างสั่นงันงกเดินออกมา แล้วคลานไปยังตรงหน้าสิงห์ขนทองทั้งสอง
สิงห์ขนทองที่ส่งเสียงออกมา ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง สิงห์โตที่ใหญ่กว่าตัวมันหลายเท่าพลันส่งเสียงร้องกระอัก แล้วกระโหลกของมันก็ถูกฉีกขาดออก
ร่างของสัตว์ดุร้ายที่เหลือยิ่งตัวสั่นงันงกหนักขึ้น แต่ไม่มีสักตัวกล้าหนีออกไปจากตรงนั้น แรงกดดันโดยธรรมชาติจากผู้เหนือกว่า ทำให้พวกมันไม่สามารถต่อต้านหรือคิดหนีแม้เพียงนิดเดียว
“หา? ยังมีอีกตัวเหรอ?”
เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ไกลพบว่า นอกจากสิงห์ขนทองโตตัวที่ลงมือฉีกกะโหลกนั้นและอีกตัวหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ ยังไม่เริ่มกินอาหาร จากใต้รักแร้ของสิงห์ขนทองตัวเล็กนั่น ยังมีสิงห์ขนทองตัวขนาดเท่าลิงแสมโผล่ออกมา
เยี่ยเทียนกับเหลยหู่ตาโตอ้าปากค้าง พวกเขาทั้งสองถึงแม้อายุแตกต่างกันเกือบยี่สิบปี แต่ก็เติบโตมาในยุคอารยธรรมเช่นเดียวกัน มีหรือจะเคยเห็นภาพป่าเถื่อนอย่างนี้ ท้องไส้เกิดปั่นป่วน รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
สิงห์ขนทองตัวนั้นแม้จะร่างเล็ก แต่ก็กินจุไม่เบา ยังไม่ทันครบสามนาที กระโหลกของสิงโตตัวนั้นก็ถูกมันดูดกินจนสะอาด ข้างกายดูเหมือนจะเป็นสิงห์ขนทองตัวแม่ ก็เริ่มผ่ากะโหลกของสัตว์ประหลาดอีกสามตัวข้างๆ
กระทั่งเจ้าสิงห์ขนทองตัวน้อยกินจนท้องอิ่มคลานกลับไปยังอ้อมอกของแม่ สิงห์ขนทองตัวนั้นจึงคำรามออกมา สัตว์ประหลาดสองสามตัวที่เหลือราวกับถูกนิรโทษกรรม ยืดตัวลุกขึ้นวิ่งกลับไปยังฝูงอย่างไม่คิดชีวิต
“โฮก!”
หลังจากลูกกินเสร็จแล้ว สิงห์ขนทองตัวนั้นก็ส่งเสียงคำรามด้วยความขุ่นเคือง เกิดแรงสั่นสะเทือนจนคลื่นปั่นป่วนในทะเลแม้ไร้ลม ค่ายกลรอบหาดทรายดูเหมือนจะได้รับแรงกระทบเช่นกัน สายฟ้าขนาดเท่าลำแขนส่องแสงแปลบปลาบในอากาศ ผ่าลงมายังสิงห์ขนทองตัวนั้น
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึงก็คือ สิงห์ขนทองตัวนั้นกลับไม่หลีกหนี ปล่อยให้สายฟ้าผ่าลงบนตัวมัน เมื่อประกายไฟส่องแสง มันยังไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย รับสายฟ้าลงมาตรงๆ
จากเสียงคำรามอันขุ่นเคือง กลุ่มสิงสาราสัตว์ที่หมอบอยู่กับพื้นราวกับได้รับคำสั่ง ต่างลุกขึ้นมาทีละตัว ทยอยไปโดนโจมตีในค่ายกลตามๆ กัน ทันใดนั้นพายุสายฟ้าก็กระหน่ำทั่วทั้งหาดทราย
“ที่นี่ไม่ปลอดภัย พวกเราออกไปไกลอีกหน่อยดีกว่า!”
ขนาดวิทยายุทธของเยี่ยเทียน ยังรู้สึกตื่นตระหนก จึงใช้ปราณแท้เคลื่อนย้ายแพนิรภัยไปกลางทะเลอีกสองร้อยกว่าเมตร จึงค่อยหยุดลง
“บ้าเอ๊ย ฉันรู้แล้ว ที่แท้สัตว์ประหลาดพวกนี้คลุ้มคลั่งขึ้นมาเพราะถูกอสูรระดับจินตันสองตัวนั้นกระตุ้นนั่นเอง!”
เห็นภาพอย่างนั้นแล้ว มีหรือเยี่ยเทียนจะไม่รู้ ว่าต้นกำเนิดแห่งความวุ่นวายมาจากสิงห์ขนทองสองตัวนั้นนั่นเอง
เพียงแต่เยี่ยเทียนยังคิดไม่ออกว่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นวรยุทธสูงสุดก็คงอยู่เพียงแค่ระดับหลังเซียนเทียน ไม่น่าจะสามารถทำให้เกิดค่ายกลใหญ่ สิงห์ขนทองจะทำอย่างนั้นไปทำไมกัน? ไม่เห็นมีประโยชน์ใดๆ กับพวกมันเลย
หลังจากวิเคราะห์กับเหลยหู่สักครู่ เยี่ยเทียนก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ จึงนั่งลงบนแพเพื่อฝึกวิชา ด้วยวิทยายุทธ์ของเขา ต่อให้ฟ้าถล่มทลายก็ยังคงสติให้นิ่งอยู่ เสียงคำรามของสัตว์ร้ายและเสียงฟ้าร้องกึกก้องไม่ไกล จึงไม่อาจสั่นคลอนจิตแห่งเต๋าของเยี่ยเทียนได้
“ท่านอาจารย์ ดูสิ ตัวใหญ่…ออกมาอีกตัวแล้ว!”
ขณะเยี่ยเทียนนั่งสมาธิเป็นวันที่สาม เขาก็ถูกเหลยหู่ร้องเรียกให้ตื่น ความจริงต่อให้เหลยหู่ไม่เรียกเขา เยี่ยเทียนเองก็ได้ยินเสียงร้องของมังกรนั่นอย่างชัดเจน จึงเงยหน้ามองไปยังหาดทราย กลับเป็นมังกรน้ำลำตัวยาวขนาดร้อยเมตร ขาหน้ามีกรงเล็บงอกออกมาสองข้าง บนหัวมีเขาแท่งหนึ่ง โจมตีไปทางค่ายกล
“บ้าเอ๊ย ถ้า…ถ้างอกออกมาอีกเขาหนึ่ง ก็จะกลายเป็นมังกรจริงๆ ?”
เยี่ยเทียนที่นั่งขัดสมาธิยืดตัวลุกขึ้นยืน ใบหน้ามีอาการตกตะลึงจนปิดไว้ไม่มิด เมื่อเทียบกับมังกรน้ำตัวนี้ มังกรดำจากเขาฉางไป๋ซานนับว่าอ่อนแอกว่าจนเทียบไม่ติด มันแค่มีรูปร่างอย่างมังกร พลังปีศาจก็ยังเจือจาง อีกทั้งยังไม่เข้าขั้นอสูร
แต่เจ้ามังกรน้ำตัวนี้ก็ส่งพลังข่มขู่มาทางเยี่ยเทียน ถึงแม้เทียบกับสิงห์ขนทองสองตัวนั้นแล้วจะอ่อนแอกว่าเล็กน้อย แต่มันก็ยังเป็นอสูร ภายใต้รังสีข่มขู่ของมังกร แม้เป็นเยี่ยเทียนในระดับเจี่ยตัน ก็ยังไม่อาจมีความคิดต่อต้าน
“เปรี้ยง!”
ค่ายกลนี้ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้วางเอาไว้ ยิ่งสัตว์ประหลาดพุ่งโจมตีอย่างดุร้าย แรงสะท้อนกลับก็ยิ่งรุนแรงตาม ขณะที่มังกรน้ำตัวนั้นพุ่งไปบนหาดทราย พายุสายฟ้าก็ปกคลุมมันโดยไร้ซึ่งสัญญาณเตือน
แต่ว่าแตกต่างจากสัตว์ประหลาดแนวหน้าเหล่านั้น แม้พายุสายฟ้าจะเข้าห้อมล้อมมังกรน้ำ แต่กลับไม่สามารถทำอันตรายต่อชีวิตของมัน เสียงร้องของมังกรดังมาเป็นระยะจากภายในนั้น
ตอนที่ 848 เขตแดน
“ช่างเป็นอสูรที่ร้ายกาจ ถึงจะไม่แข็งแกร่งขนาดสิงห์ขนทองสองตัวนั้น ก็คงห่างชั้นกันไม่ไกล!”
หลังจากเข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้ว พลังสายตาของเยี่ยเทียนก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก จนเขาพอจะเห็นสถานการณ์ในพายุสายฟ้าราง ๆ มังกรน้ำตัวนั้นไม่ยี่หระในกระแสไฟที่กระหน่ำลงมาจากฟากฟ้า ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายแสงไฟแปลบปลาบ ราวกับดูดซับพลังงานกระแสไฟเอาไว้ แม้แต่เกล็ดสักชิ้นก็ยังไม่ร่วงหล่นลงมา
แต่เห็นได้ชัดว่าความรุนแรงของค่ายกลยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เมื่อเห็นว่ากระแสไฟธรรมดาไม่สามารถทำอะไรมังกรน้ำตัวนั้นได้ สายฟ้าที่กระหน่ำลงมาจากเบื้องบนจึงยิ่งรุนแรงมากขึ้น ลมปราณผนวกกับกระแสไฟแปลกประหลาดสีขาวระดับทลายฟ้าทะลายดิน กระหน่ำลงยังมังกรน้ำตัวนั้น
“ฮื่อ!”
เมื่อพายุสายฟ้าชุดนี้ฟาดลงมา มังกรน้ำกลับไม่สามารถต้านทานต่อไปได้ เลือดปรากฏบนตัวของมัน เกล็ดแข็งร่วงหลุดลงพื้น เปล่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
เห็นได้ชัดว่า เหล่าสัตว์ร้ายนั้นไม่อาจเทียบสติปัญญาของอสูรได้เลย
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถต้านทานได้ ร่างใหญ่โตของมังกรน้ำตัวนั้นก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาร่างใหญ่ยักษ์ขนาดร้อยเมตร ก็กลับกลายเหลือความยาวเพียงสามถึงสี่เมตรเท่านั้น และทันทีที่ร่างกายหดลง ก็วิ่งหนีออกจากขอบเขตพายุสายฟ้าเป็นระยะทางหลายร้อยเมตร โดยไม่ทันรอให้ประกายสายฟ้าครั้งที่สองส่องสว่าง ก็มุดเข้าไปในป่า ทั้งยังเก็บลมปราณอย่างมิดชิด
“ร้ายกาจ สุดท้ายขนาดอสูรระดับจินตัน ด้วยสายฟ้าระดับนี้ยังไม่สามารถต้านทานได้ “
เยี่ยเทียนตกตะลึงมองตาค้างจากในทะเล ด้วยวิทยายุทธ์ของเขา อย่าว่าแต่สายฟ้าครั้งที่สองเลย กับแค่พายุสายฟ้าชุดแรก เกรงว่าคงจะกระหน่ำโจมตีเขาจนไม่เหลือซาก แต่อสูรตัวนี้กลับต้านทานได้ด้วยตัวเปล่า หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็คงไม่มีทางเชื่อ
อสูรตัวนั้นถึงแม้จะหนีไปแล้ว แต่สัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ ที่ถูกโจมตีโดยค่ายกล ล้วนย่ำแย่ หลังจากพายุสายฟ้าชุดที่สองกระหน่ำลงมา ทั่วทั้งหาดทรายก็มีเสียงร้องครวญครางดังขึ้น เมื่อประกายไฟแผ่กระจายออกไป บนชายหาดก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่ กลิ่นเหม็นไหม้ระลอกนั้น ลอยมาไกลถึงบนทะเล โชยมาแตะจมูกพวกเยี่ยเทียน
อีกทั้งสัตว์ร้ายไม่กลัวตายเหล่านั้นที่อยู่ไกลออกไป เกิดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจนได้ ต่างถอยหนีไปราวกับสายน้ำ แม้จะมีเสียงข่มขู่คำรามจากสิงห์ขนทองในป่าเขา ก็ไม่มีสัตว์ประหลาดตัวไหนกล้าย่างกรายมาทางหาดทรายอีกเลย
“ให้ตายสิ หอมจริงๆ”
ได้กลิ่นหอมที่ลอยโชยมาแล้ว เยี่ยเทียนอดกลืนน้ำลายไม่ได้ ถึงแม้เขาจะไม่จำเป็นต้องกินอาหารเพื่อบำรุงร่างกายนานแล้ว แต่เยี่ยเทียนที่ชื่นชอบเนื้อทุกประเภทมาตั้งแต่เด็ก ยังถูกดึงดูดด้วยกลิ่นนี้จนท้องร้องโครกคราก
“ท่านอาจารย์ ให้ผมไปเอาซากสัตว์สักตัวกลับมาไหมครับ?”
หลังจากได้ยินคำพูดเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่ก็หิวเช่นกัน ครึ่งปีที่ผ่านมาเขาประทังชีวิตด้วยปลาทะเลมาตลอด จากปลายผมจรดฝ่าเท้าล้วนเป็นกลิ่นคาวของปลาทะเล เหลยหู่อยากกินจนน้ำลายไหลกลับลงท้อง แทบจะลืมรสชาติภายในปาก
เมื่อเห็นว่าสัตว์ร้ายเหล่านั้นไม่กล้ามายังหาดทรายชั่วคราว เหลยหู่ก็เริ่มใจกล้าขึ้นไม่น้อย โยนหินถามทาง มองมายังเยี่ยเทียนทันที ขอเพียงอีกฝ่ายตกลง ก็จะพายแพนิรภัยเข้าสู่ชายฝั่ง
“ฉันไปเองดีกว่า ในป่ามีพวกน่ากลัวอยู่หลายตัว ฉันกลัวแกจะสู้มันไม่ได้”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ระยะทางระหว่างหาดทรายกับป่าห่างเพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น ไม่ว่าจะสู้กับสิงห์ขนทองหรือมังกรน้ำ เหลยหู่ก็คงไม่อาจต้านทาน แม้ตัวเองจะไม่ใช่คู่มือของพวกมัน แต่ก็ยังพอหนีกลับลงทะเล
พูดพลาง เยี่ยเทียนก็ก้าวออกไป แล้วร่างกายก็ไปปรากฏอยู่บนชายหาดห่างไปสามร้อยเมตร เพียงจรดเท้าลงเบาๆ ก็มาถึงยังขอบหาดทราย
“ให้ตายสิ สายฟ้านี่ร้ายกาจจริงๆ!” แม้ว่าพายุสายฟ้าจะหมดไปแล้ว แต่มองไปยังซากศพริมชายหาดที่ราวกับเถ้าถ่านเหล่านั้น เยี่ยเทียนยังอดเศร้าสลดไม่ได้ สายฟ้าระดับนี้ เกรงว่าคงจะมีแต่ยอดฝีมือระดับหยวนอิงที่สามารถต้านทานได้เท่านั้น?
อย่างไรก็ตามสัตว์ร้ายภายในค่ายกลโจมตีมีมากมายหลายชนิด และไม่ใช่ทุกตัวที่ถูกเผาจนเกรียม เยี่ยเทียนพลิกดูสักพัก ก็พบว่ามีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งรูปร่างคล้ายตัวนิ่ม ผิวด้านนอกของมันถึงแม้มีสีราวกับเถ้าถ่าน แต่กลับไม่ไหม้ถึงเนื้อภายใน
“หึๆ กลับไปโรยเกลือสักหน่อย ต้องอร่อยแน่นอน!”
เยี่ยเทียนหัวเราะหึๆ ยื่นมือไปหยิบตัวนิ่มตัวนั้น เพียงแต่ขณะที่หันตัวกำลังจะจากไปนั้นเอง ร่างกายพลันแข็งทื่อ
หันไปด้วยคอแข็งๆ แล้วเยี่ยเทียนก็พบว่า ที่ว่างห่างจากตัวเองร้อยกว่าเมตรไปทางด้านหลัง อสูรสามตัวนั้นกำลังมองมายังตัวเองด้วยความสงสัย
สิงห์ขนทองสองตัวนั้นยังมีขนาดเท่าเดิม แต่ไอ้ตัวเล็กในอ้อมอกของแม่โผล่หัวออกมามองเยี่ยเทียนด้วยความสงสัย ส่วนมังกรน้ำตัวนั้นขนาดเพียงสองสามร้อยเมตร ใช้หางยันพื้นประคองร่างตัวเองยืนขึ้น
หลังจากได้อ่านบันทึกของจางซันเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้ว่า สติปัญญาของเหล่าอสูรไม่ได้น้อยไปกว่าพวกมนุษย์ จึงยิ้มเจื่อนๆ พูดว่า
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย มี…มีอะไรหรือ? ผมแค่อยากหาอะไรกินเท่านั้น!”
“เจ้ามนุษย์ พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย!”
สิงห์ขนทองตัวผู้มองมาทางเยี่ยเทียน ส่งเสียงที่มีจังหวะประหลาดออกมาจากปาก สามารถเรียบเรียงเป็นภาษาจีนกลางให้เยี่ยเทียนฟังเข้าใจได้
“ในอดีตพวกเรารู้จักมนุษย์ผู้หนึ่ง แต่ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าสองคนมาก พวกเจ้ามายังที่นี่ได้อย่างไร?”
“ผมก็ไม่รู้ว่าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ดูเหมือนมีช่องว่างระหว่างมิติ แล้วผมก็หลุดเข้ามาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวครับ”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วสีหน้ายิ้มเจื่อน ในใจลึก ๆ แค้นซ่งเซียวหลงถึงกระดูก ถ้าหากไม่ใช่กลุ่มทหารรับจ้างแม่ม่ายดำของหมอนั่น ป่านนี้ตัวเองคงนั่งกอดเมียอยู่ที่บ้านแล้ว มีหรือจะพลัดหลงมาอยู่ที่แบบนี้
“รอยแยกของมิติ? ว่าแล้ว พวกเราเดาไว้ไม่ผิด” อสูรสองสามตัวมองหน้ากัน สีหน้ามีแววประหลาดใจ
“ผู้อาวุโสทุกท่าน ที่ท่านใช้ค่ายกลโจมตีสัตว์ร้ายเหล่านั้น เพื่อใช้ปราณวิเศษควบคุมค่ายกลใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าอสูรเหล่านี้ไม่ใช่พวกกระหายเลือด ความกังวลภายในใจของเยี่ยเทียน ก็ค่อยคลายลง ถ้าหากพวกมันเป็นอันตรายต่อเขา แม้จะไม่ใช้ค่ายกล ก็ยังสามารถสังหารเขาก่อนแล้วค่อยจากไป
สิงห์ขนทองพยักหน้า มองไปยังเยี่ยเทียนอย่างชื่นชม กล่าวว่า
“ถูกต้องแล้ว น่าเสียดายคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าไม่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นหากรวบรวมกำลังของพวกเรา ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะแหกค่ายกลนี้ออกไป…”
บนเกาะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยเทียนหรือว่าอสูรเหล่านี้ ล้วนราวกับถูกคนคุมขังอยู่ด้วยกัน สิงห์ขนทองเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไร บอกเล่าแผนการของพวกมันต่อเยี่ยเทียนอย่างตรงไปตรงมา
ที่แท้ อสูรเหล่านี้ล้วนฝึกวิชามาหลายพันปีแล้ว จึงรู้จักเกาะนี้และค่ายกลคุ้มกันเกาะราวกับฝ่ามือตัวเอง ประกายไฟเหล่านั้นถึงแม้ร้ายกาจ แต่ทุกครั้งที่มันส่องแสง ล้วนต้องใช้ปราณวิเศษจากฟ้าดินมาทดแทน
พวกมันรู้แน่ชัดว่าเวลาไหนที่ค่ายกลนี้จะอ่อนแอลง ดังนั้นทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวของปราณวิเศษ ก็จะกระตุ้นให้สัตว์ร้ายเหล่านั้นทยอยมาใช้งานค่ายกลเพื่อควบคุมปราณวิเศษ ค่ายกลทั้งหมดล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อค่ายกลใหญ่อ่อนแอลงถึงระดับหนึ่งแล้ว พวกมันจะเตรียมตัวฝ่าออกไป
ส่วนเรื่องการทำให้สัตว์ร้ายเหล่านั้นเป็นเถ้าถ่าน ไม่เคยอยู่ในสายตาของเหล่าอสูรพวกนี้เลยสักนิด เกาะ “เผิงไหล” อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปราณวิเศษ มีสิ่งมีชีวิตเกิดใหม่จำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นทุกวัน แม้จะตายไปเป็นพัน ใช้เวลาไม่กี่ปีก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้
“ผู้อาวุโสทุกท่านครับ เท่าที่ผมรู้ โลกภายนอกปราณวิเศษเบาบาง จนไม่สามารถฝึกวิชาได้ ไม่ทราบว่าพวกท่านจะรีบร้อนออกไปข้างนอกทำไม?”
ว่ากันจากใจ เยี่ยเทียนก็ไม่อยากให้อสูรเหล่านี้หลบหนีไปจากเกาะ “เผิงไหล” เพราะว่าพวกเขาล้วนไม่ใช่มนุษย์ และไม่มีวิจารณญาณขั้นต้น หากปล่อยให้พวกมันหนีออกไป ไม่รู้ว่าจะเกิดการสังหารหมู่อย่างไรบนโลกมนุษย์บ้าง
อีกทั้งด้วยวรยุทธ์ของพวกมัน เกรงว่าต่อให้ใช้จรวดมิสไซล์ ก็คงทำลายพวกมันได้ยาก นอกจากจะให้มันอยู่เฉยๆ แล้วอาศัยการโจมตีของทุกประเทศ ไม่อย่างนั้นการล่า อสูรระดับหลังจินตันด้วยพลังเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ คงไม่ต่างจากจินตนาการของคนบ้า
ด้วยเหตุนั้นเยี่ยเทียนจึงอธิบายสถานการณ์ในโลกภายนอกให้พวกมันฟังอย่างอดทน เขาเองก็ไม่ได้โกหก ด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมช่วงร้อยปีที่ผ่านมา โลกทั้งใบเป็นราวกับกองขยะขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยมลพิษทางอากาศ ไม่เหมาะสมต่อการฝึกวิชาแม้แต่น้อย
“ที่เจ้าพูดถึงคือโลกมนุษย์ เป็นเพียงสถานที่ธรรมดา นอกเหนือไปจากนั้น ยังมีเขตแดนอื่นๆ สถานที่ที่เผ่าอสูรอย่างพวกเราเกิดเองก็เป็นอีกเขตแดนหนึ่ง!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สิงห์ขนทองตัวผู้ก็ส่ายหัว ตอบว่า
”บนเกาะแห่งนี้เคยมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งผ่ามิติหนีออกไป ร่างของเขาแข็งแกร่งไร้เทียมทาน เมื่อออกไปได้ก็ไปสู่เขตแดนอีกแห่ง ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโลกมนุษย์…”
ที่แท้ เมื่อหนึ่งพันสามร้อยกว่าปีก่อน มีอสูรเปี่ยมด้วยพรสวรรค์กำเนิดขึ้นบนเกาะ มันใช้เวลาเพียงสามร้อยปีก็ฝึกวิชาจนถึงระดับจินตัน และเมื่อหนึ่งพันปีก่อนก็สามารถฝาทะลวงค่ายกลใหญ่ที่ปิดกั้นเกาะแห่งนี้ไว้ได้เพียงลำพัง แหกค่ายกลนั้นออก แล้วหนีไปจากที่นี่
ตอนที่อสูรตัวนั้นหนีออกไป เป็นเวลาที่ปราณวิเศษบนเกาะนี้แปรปรวนพอดี นั่นจึงทำให้อสูรอื่นๆ ที่อยู่บนเกาะล้วนเห็นความหวัง เพียงแต่ว่าวรยุทธ์ของตัวพวกมันห่างไกลจากอสูรตัวนั้น ในระยะเวลาหนึ่งพันปีกว่า ยังไม่มีสักตัวที่สามารถต้านทานสายฟ้าคุ้มกัน จนพวกอสูรต่างตายตามกันไปหกตัว
เมื่อมีบทเรียนจากผู้อื่น อสูรบนเกาะจึงไม่กล้าฝ่าค่ายกลด้วยตนเอง และมังกรน้ำที่ผลักดันให้สัตว์ร้ายโจมตีค่ายกล ความจริงก็เพื่อใช้ปราณวิเศษบนเกาะให้หมดไปสักส่วนหนึ่ง จากนั้นจึงเลือกจุดที่ปราณวิเศษเบาบางแหกมิติออกไป แล้วหลบหนีออกไปจากกรงขังเช่นเดียวกับอสูรตนนั้น
“ยังมีดินแดนของเผ่าอสูรอีกเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วตกใจจนอ้าปากค้าง เขาเพียงเคยได้ยินว่ามีเขตแดนของเทพ นึกไม่ถึงว่านอกจากนั้น กระทั่งเผ่าอสูรก็ยังมีเขตแดนที่อยู่เป็นของตนเอง
สิงห์ขนทองพยักหน้าอย่างหนักแน่น กล่าวว่า
“ถูกต้องแล้ว แม้ว่าพวกข้าจะถูกขังอยู่ที่นี่ แต่สัญชาตญาณที่สืบทอดต่อกันมาทางสายเลือดต้องไม่ผิดแน่….”
“จริงสิ แล้วผู้อาวุโสที่หนีออกไปได้ก่อนหน้านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไหนครับ? เวลานั้นทำไมพวกคุณถึงไม่หนีไปด้วยกันล่ะ?”
ถูกขังอยู่บนเกาะนี้มาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ถึงแม้ปราณวิเศษที่นี่จะอุดมสมบูรณ์เหมาะสมแก่การฝึกวิชา แต่เยี่ยเทียนก็ยังคิดจะหนีออกไปตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงสนใจอสูรตัวเดียวที่สามารถหนีออกไปจากเกาะได้เป็นพิเศษ
ตอนที่ 849 ผ่ามิติ(1)
“มันคือวานรเทพโบราณ ได้ยินว่าฝึกฝนวิชาสวรรค์ลี้ลับ แม้ว่าเขาจะมาฝึกเมื่อสาย แต่ในอดีตอสูรบนเกาะทั้งหลายก็ไม่มีตัวไหนเป็นคู่มือของมันได้!”
ขณะที่พูดถึงอสูรตนนั้น ใบหน้าของสิงห์ขนทองก็แสดงสีหน้าเหมือนคนอย่างยิ่ง ในอดีตมันเองก็เคยประมือกับวานรเทพตนนั้น แต่เพราะความหยิ่งผยองของตนเองจึงพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่าย ภายในโลกแห่งนี้ ล้วนนับถือผู้แข็งแกร่งเป็นผู้เหนือกว่า สิงห์ขนทองจึงไม่รู้สึกเจ็บใจอะไร
“วานรเทพ? ไหงเป็นลิงอีกแล้วล่ะ?”
คำพูดของสิงห์ขนทองทำให้เยี่ยเทียนนึกถึงวานรขาวตัวนั้นในเสินหนงเจี้ยขึ้นมา ใจเต้นระทึก ในอดีตวานรเทพตัวนั้นเคยปรากฏตัวบนโลกมนุษย์ หรือว่าจะมาจากเรื่อง “ไซอิ๋ว” ของอู๋เฉิงเอิน?
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้นเอง เสียงของสิงห์ขนทองก็ดังขึ้นข้างหู
“เจ้ามนุษย์ เจ้าก็เหมือนกับคนนั้นที่เคยตกมาอยู่บนเกาะนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน ต่างไม่กลัวค่ายกลเช่นกัน แต่กลับไร้ความสามารถผ่ามิติ เจ้าไม่อยากออกไปเหรอ?”
“ออกไปเหรอ? อยากสิ มีวิธีไหนที่จะช่วยให้ผมออกไปได้บ้างล่ะครับ?!”
เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นทันควัน แม้จะมีจิตแห่งเต๋า แต่เขาก็อดมีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ แม้เขาจะบรรลุมรรคผลจินตัน มีชีวิตอยู่ถึงหลายร้อยหลายพันปี แต่หากญาติสนิทมิตรสหายล้มหายตายจาก ต้องอยู่โดดเดี่ยวลำพังแล้วจะมีความสุขได้อย่างไร?
“พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ปราณวิเศษแปรปรวน และเป็นวันที่เขตแดนอ่อนแอที่สุด หากจะหลบหนีออกไปก็เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียว!”
ดวงตาเปล่งประกายสีทองคำคู่นั้นของสิงห์ขนทองจดจ้องมายังเยี่ยเทียน กล่าวว่า
“ถึงเวลานั้นพวกข้าจะสั่งให้อสูรร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีค่ายกล แล้วดูดซับปราณวิเศษทั้งหมดที่อยู่ภายในเขตนี้มา เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าสามารถเหาะเหินบนอากาศ แล้วผ่ามิติให้เปิดออกได้!”
“ผมเหรอ? ผ่ามิติแห่งนี้? ท่านล้อเล่นหรือเปล่า?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วตกตะลึงตาโต ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้ว แต่เจี่ยก็ยังคงเป็นเจี่ย ยังห่างชั้นจากการบรรลุมรรคผลจินตันอีกไกล ขนาดจางซันเฟิงที่วิทยายุทธล้ำลึกถึงระดับหยวนอิงยังไม่อาจผ่ามิตินี้ได้ ต่อให้เยี่ยเทียนกินยาวิเศษ เกรงว่าก็คงไม่สามารถสั่นคลอนมิตินี้ได้หรอก?
“วิทยายุทธ์ของเจ้าด้อยเพียงนิดเดียวเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีสิทธิ์!”
สิงห์ขนทองตัวนั้นครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วก็อ้าปาก ไข่มุกสีทองคำตลอดทั้งเม็ด แผ่รังสีกดดันรุนแรงล่องลอยออกมาจากปากของมัน
“นี่คือจินตันของข้า จงเอามันใส่เข้าไปในจุดตันเถียน ในช่วงเวลาธูปดอกหนึ่ง จะสามารถแสดงพลังของข้าได้แปดส่วน!”
ตอนที่อสูรสิงห์ขนทองทั้งสามกับมังกรน้ำปรากฏตัว ต่างเก็บงำลมปราณของตัวเองไว้ตลอด แต่เมื่อจินตันเม็ดนี้ปรากฏออกมาแล้ว แรงกดดันชนิดฟ้าถล่มดินทลายก็พลันแผ่พุ่งออกมาทั่วทุกทิศ จนสัตว์ประหลาดภายในป่าล้วนหมอบราบลงกับพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะโงหัวขึ้นมา
กระทั่งเยี่ยเทียนที่เข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้วยังถอยหลังไปหลายก้าว ดึงปราณแท้มาปกคลุมตัวเองเอาไว้แล้วจึงสามารถออกห่างจากแรงกดดันนั้นได้ ใบหน้าถอดสี กล่าวว่า
“ท่านกับผมเป็นอสูรกับคน หนทางแตกต่าง จะยืมพลังอสูรจากท่านมาใช้ได้อย่างไร?”
มองไปยังจินตันที่ปกคลุมไปด้วยพลังอันน่าหวาดหวั่น ยังทำใจกล้ากลืนลงไปไม่ได้ ถ้าหากสิ่งนี้เข้าสู่จุดตันเถียนของเขา จะไม่ระเบิดร่างเขาออกมาจนตายเหรอ?
สิงห์ขนทองส่ายหัว กล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นจินตันของเหล่ามนุษย์อย่างพวกเจ้า หรือจินตันของเผ่าอสูรอย่างพวกข้าเดิมทีก็ล้วนสร้างขึ้นจากพลังอันเข้มข้น ยืมใช้เพียงชั่วคราวไม่เป็นอันตรายหรอก จงวางใจเถอะ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เอ่ยปากว่า “ไม่ได้ ไม่ได้หรอก เผ่าอสูรของพวกท่านมีสมาชิกมากมาย ให้พวกมันยืมพลัง จะไม่เป็นการสมัครสมานกลมเกลียวยิ่งขึ้นหรือ? จะได้เป็นการแสดงถึงพลังอำนาจมากขึ้นด้วย ไม่ได้จริงๆ บนเกาะนี้น่าจะมีอสูรตัวอื่นอีก ร่วมมือกับพวกเขาดีกว่าครับ!”
“ให้พวกนั้นเรอะ? ไม่ได้หรอก สามารถให้เจ้าใช้ได้เท่านั้น!”
สิงห์ขนทองเองก็ไม่ปิดบัง พูดออกมาตรงๆ ว่า
“สัตว์ประหลาดที่ยังไม่กำเนิดสติปัญญาบนเกาะ ถ้าหากกลืนยาเม็ดอสูรของข้าลงไปแล้วก็ จะหลอมละลายในทันที ถึงเวลานั้นข้าอยากดึงเอากลับมาก็ทำไม่ได้แล้ว แต่เจ้าแตกต่างไป สามารถยืมพลังไปใช้และไม่อาจเก็บเอาไว้ใช้เอง…”
จินตันของสัตว์อสูร สำหรับสัตว์ร้ายเหล่านั้น ก็ไม่ต่างจากยาวิเศษที่ทำให้กลายเป็นผู้วิเศษในฉับพลัน หากสิงห์ขนทองส่งให้พวกมัน ยาเม็ดอสูรที่เคี่ยวกรำมาหลายพันปีก็จะเหมือนเล่าปี่ยืมเมืองเกงจิ๋ว ได้แล้วไม่ส่งคืน
ดังนั้นข้อสองที่เยี่ยเทียนพูดถึง สิงห์ขนทองจึงยิ่งทำไม่ได้เข้าไปใหญ่
จริงอยู่ว่าภายในเกาะแห่งนี้ มีอสูรมากมายที่วรยุทธ์เทียบเท่ากับพวกมัน แต่ว่าท่ามกลางสิงสาราสัตว์เหล่านั้นหรือนกดุร้ายที่ฝึกวิชาถึงขั้น กับตัวมันและมังกรน้ำต่างเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ อย่าว่าแต่ร่วมกันผ่าค่ายกลเลย เกรงว่าแค่เผชิญหน้ากันก็คงจะสู้จนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตาย
ความจริงถึงแม้จะให้เยี่ยเทียนยืมจินตัน หลังจากนั้นพลังปราณชีวิตดั้งเดิมของสิงห์ขนทองก็คงจะบาดเจ็บหนักเช่นเดียวกัน นั่นเพราะเยี่ยเทียนคงจะดูดซับแหล่งพลังของมันไปไม่มากก็น้อย แต่ว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับวันสุดท้ายที่ปราณวิเศษแปรปรวน เจ้าสิงห์ขนทองเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น
การบรรลุมรรคผลจินตัน ไม่ใช่แค่อายุยาวนานพันปีขึ้นไป สิงห์ขนทองมีชีวิตอยู่มาสองสามพันปีแล้ว และสัตว์เทพดึกดำบรรพ์อย่างพวกมันสืบพันธุ์อย่างยากลำบาก เมื่อปีที่ผ่านมาสิงห์ขนทองสองตัวสละทั้งเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ เพื่อให้กำเนิดทายาทหนึ่งตัว
แต่การใช้เลือดเนื้อและจิตวิญญาณนี้ ก็เป็นการเร่งเวลาตายให้กับสิงห์ขนทอง หากว่ายังไม่สามารถต่อสู้กับภัยธรรมชาติ ก้าวเข้าสู่อีกระดับขั้น เกรงว่าภายในไม่กี่ปีพวกมันคงต้องแก่ตายเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้สัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งทั้งหมดภายในเขตนี้เหนื่อยหน่าย เกิดเป็นการกระทำที่เยี่ยเทียนเรียกว่าการขบถของเหล่าสัตว์ร้าย
ในอดีตตอนที่จางซันเฟิงมาเยี่ยมเยียน “เผิงไหล” ต่างเคยทำความรู้จักกับเหล่าอสูรพวกนี้ เขาเป็นคนฉลาดเฉลียวใจกว้าง จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุให้สิงห์ขนทองเชื่อใจเยี่ยเทียน พวกมันที่ไม่เคยออกจากเกาะนี้ จึงนึกว่ามนุษย์ทั้งหลายล้วนเหมือนกับจางซันเฟิง
“ถ้าหากเจ้าอยากออกไป ก็มีแต่ต้องร่วมมือกับพวกเรา ไม่อย่างนั้นภายหลังก็ไม่มีโอกาสแล้วล่ะ!”
ประโยคสุดท้ายของสิงห์ขนทอง ทำให้เยี่ยเทียนหน้าถอดสีจริงจัง
“อย่างมากก็แค่ตายเท่านั้นล่ะ!”
เยี่ยเทียนกัดฟัน ตอบว่า
“ผมยอมตกลงกับพวกท่าน แต่ว่าต้องทำยังไงบ้าง พวกท่านต้องบอกผมให้ละเอียดนะ!”
ต่อให้บรรลุมรรคผลจินตันบนเกาะนี้ อนาคตก็ยังต้องตายอยู่ดี สู้เยี่ยเทียนลองดูสักตั้ง หากพนันสำเร็จก็จะมีโอกาสพบหน้าพ่อแม่ตัวเองอีกครั้ง หากแพ้ผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนกัน คือต้องตายสถานเดียว
“ง่ายมาก วันพรุ่งนี้พวกเราสามตัวจะโจมตีค่ายกลนี้ เมื่อกระตุ้นสายฟ้าได้แล้ว จะบอกจังหวะให้เจ้าผ่าแยกมิติ เจ้าแค่ทำให้ทันเวลาก็พอ!”
แผนการของสิงโตทองคือใช้กำลังผ่าค่ายกล ซึ่งต้องมีจุดอ่อนอยู่ อันจะทำให้เยี่ยเทียนบุกเข้าค่ายกลได้โดยไม่กระตุ้นการโจมตีของสายฟ้า เขาสามารถส่งพลังทั้งหมดของตัวเองและพลังจากจินตันโจมตีมิติจากจุดที่อ่อนแอที่สุดของค่ายกล
“พรุ่งนี้ผมจะคอยคำสั่งของผู้อาวุโสทุกท่านครับ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เขาก็ไม่อาจหวั่นไหวอีก หลังจากพูดคุยถึงรายละเอียดอยู่สักพัก อสูรทั้งสามก็จากไป เยี่ยเทียนจึงค่อยไปรับเหลยหู่กลับมาจากทะเล
“อะไรนะครับ ให้ท่านโจมตีเขตแดน ท่านอาจารย์ ถึงแม้สายฟ้านั่นจะไม่ผ่าพวกเรา แต่…แต่ถ้าหากท่านยั่วโมโหมัน มันอาจจะจัดการเราเป็นรายต่อไปก็ได้นะ!”
เมื่อได้ยินผลสรุปที่เยี่ยเทียนคุยกับอสูรทั้งสามแล้ว เหลยหู่ก็ส่ายหน้าติดๆ กัน ถึงแม้เขาเองก็กังวลถึงผู้คนที่อยู่ข้างนอก แต่โบราณว่าตายดียังไม่สู้มีชีวิตอยู่ เทียบกับรนหาที่ตายแล้ว สู้มีชีวิตอยู่เพื่อหาทางอื่นดีกว่า
เยี่ยเทียนครุ่นคิดสักครู่ ส่ายหน้าแล้วตอบว่า
“ไม่หรอก บนเกาะนี้ไม่มีมนุษย์อยู่แม้แต่คนเดียว ค่ายกลจึงไม่รวมถึงพวกเรา เพียงแต่วิทยายุทธ์ของฉันและแกยังด้อยเกินไป เลยฝ่าเขตแดนออกไปไม่ได้เท่านั้น”
ความจริงตอนที่พบบันทึกของจางซันเฟิง เยี่ยเทียนก็สงสัยอยู่ในใจ ค่ายกลใหญ่ของเกาะนี้ถูกใครจงใจสร้างขึ้น แล้วนำสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ยากจะพบในโลกภายนอกมาเลี้ยงไว้ภายใน ที่พวกเขาเข้ามาได้ จึงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
เมื่อเห็นเหลยหู่ยังอยากพูดอะไรอีก เยี่ยเทียนก็โบกมือ กล่าวว่า
“ฉันตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้แกไปจากเขตหาดทรายคอยคุ้มกันด้านนอก ถ้าหากเห็นว่าฉันสามารถผ่าเขตแดนมิติเปิดออก แกก็รีบเหาะขึ้นมา หนีไปด้วยกันกับฉัน!
ถ้าหากว่าฉันเป็นอะไรไป แกสามารถไปทางใต้สองพันลี้ ที่นั่นมีปีศาจชื่อว่าภูติต้นไม้ นายสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้…”
“ครับ อาจารย์ ผมเข้าใจแล้ว!”
เห็นสีหน้าของเยี่ยเทียน เหลยหู่ก็รู้ว่าตัวเองคงเปลี่ยนใจไม่สำเร็จ จึงไม่พูดมากอีกต่อไป หลังจากลากแพนิรภัยกลับขึ้นฝั่งแล้ว ก็ใช้หนังสัตว์ประหลาดทำเป็นกระเป๋าถือ ใส่เบาะนั่งสมาธิกับมู่เจี่ยนไม้ไผ่ที่จางซันเฟิงทิ้งเอาไว้ใส่เข้าไปข้างในจนหมด
“ของพวกนี้เก็บไว้ข้างในเถอะ…”
เยี่ยเทียนแกะถุงหนังที่เอวออก โยนใส่ในถุงใหญ่ใบนั้น ถ้าหากตัวเองเกิดเป็นอะไรขึ้นมา พลอยวิเศษเหล่านี้มีมากพอจะทำให้เหลยหู่ฝึกวิชาถึงระดับระดับเจี่ยตัน ส่วนเขาจะถึงขั้นบรรลุมรรคผลจินตันหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับวาสนาแล้ว
นับตั้งแต่ปราณวิเศษเปลี่ยนแปลงมา ทุกแห่งบนชายหาดก็ไม่มีวันไหนเลยที่จะเงียบสงบอย่างวันนี้ นอกจากซากสัตว์ร้ายไหม้เกรียมเหล่านั้นแล้ว บนหาดทรายก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นอีก เพียงแต่บรรยากาศกลับกลายตึงเครียดยิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกเหมือนเมฆหมอกปั่นป่วนอยู่รำไร
พอถึงเช้าวันต่อมา เมื่อแสงอาทิตย์แรกแตะถูกจุดที่ตัวอักษรสลักขนาดใหญ่ว่า “เผิงไหล” เสียงร้องคำรามของสิงห์ขนทองและมังกรน้ำ ก็ดังขึ้นพร้อมกัน
นาทีนี้เอง เหล่าสัตว์ร้ายจำนวนนับล้าน กรูกันพุ่งออกมาจากป่าเขาราวกับเสือที่หลุดออกจากกรง เบียดเสียดห้อมล้อมชายหาดเป็นแนวระยะพันเมตร ต่างเข้าโจมตีค่ายกลโดยไม่ห่วงชีวิตตามๆ กัน
“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลายครับ จะลงมือเมื่อไหร่ดี?” เยี่ยเทียนพาเหลยหู่ออกจากชายหาด มายืนเคียงข้างสิงห์ขนทองและมังกรน้ำ
หลังจากผ่านเรื่องเมื่อวานเยี่ยเทียนจึงเข้าใจได้ ว่าถ้าหากอสูรเหล่านี้ต้องการเอาชีวิตเขาจริงๆ ต่อให้เขาหนีลงทะเลลึกก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยวิทยายุทธ์ของสิงห์ขนทอง มีมากพอจะพุ่งเข้าไปฉีกเขาเป็นชิ้นๆ จากนั้นค่อยหนีกลับเข้าป่า
“ไม่ต้องรีบร้อน เมื่อถึงเวลาเที่ยงตรง จึงจะเป็นเวลาลงมือของเรา”
สิงห์ขนทองตัวเมียนั่นเหลือบมองเหลยหู่แวบหนึ่ง กล่าวว่า
“ของพวกนี้วางไว้ตรงนี้เถอะ อีกอย่าง ช่วยฉันดูแลลูกของพวกเราด้วย!”
พูดพลาง สิงห์ขนทองก็ให้ถุงใบหนึ่งซึ่งทำขึ้นจากหนังสัตว์ประหลาดทั้งตัวขนาดสูงเท่าตัวคน กับเหลยหู่ ถึงแม้ฝีมือจะไม่ปราณีตเท่าเหลยหู่ แต่คุณภาพก็ดีกว่าไม่รู้กี่เท่า
หลังจากส่งกระเป๋าให้เหลยหู่แล้ว สิงห์ขนทองตัวเมียก็อุ้มลูกเอาไว้ในมือ หลังจากมองอยู่เนิ่นนาน จึงค่อยวางไว้บนบ่าของเหลยหู่อย่างอาลัยอาวรณ์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น