ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 840-841

 ตอนที่ 840 วิชาท่าร่างขั้นสมบูรณ์

แม้โอสถจะมีขนาดแค่นิ้วหัวแม่มือ แต่ถือไว้ในมือก็มีน้ำหนักพอสมควร นอกจากนั้นโอสถนี้ระหว่างกระบวนการปรุงมีกลิ่นหอมโถมเข้าใส่จมูก แต่หลังสำเร็จเป็นโอสถกลับไม่มีกลิ่นหอมของโอสถเลยสักนิด เกรงว่าคนไม่รู้เห็นเข้าอาจคิดว่าเป็นโอสถปลอมที่นักเล่นแร่แปรธาตุในยุทธภพบางพวกใช้หลอก


หลิ่วหมิงมองนิ่งๆ พักหนึ่ง ในที่สุดบนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเข้าใจจางๆ ออกมา หน้าตาของโอสถนี้ไม่น่ามองเท่าไรนัก แต่ผู้ที่มีจิตสัมผัสเฉียบคมจะสามารถสัมผัสพลังโอสถที่เต็มเปี่ยมด้วยในได้ นี่คือโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ของแท้แน่นอนเม็ดหนึ่ง!


แม้ระดับความบริสุทธิ์จะไม่สูง พอหวุดหวิดถึงห้าส่วนเท่านั้น เป็นแค่โอสถระดับธรรมดาเม็ดหนึ่ง


หลังเขาครุ่นคิดในใจครู่หนึ่งก็เก็บโอสถเม็ดนี้ขึ้นมา จากนั้นหยิบยันต์เก็บของอีกแผ่นขึ้นมาทำตามขั้นตอนเดิมอีกหน…


ช่วงเวลาต่อจากนั้นเขาจดจ่ออยู่กับการหลอมโอสถ


เวลาผันผ่านเร็วดั่งกระสวย ไหลหายไปดุจสายน้ำ


หลังผ่านไปอีกหนึ่งปี ผ่านการปรุงโอสถทั้งวันทั้งคืนไม่หยุด ในที่สุดอัตราส่วนการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์สำเร็จก็บรรลุหนึ่งส่วน


สิบปีให้หลังอัตราส่วนการปรุงโอสถสำเร็จก็จวนเจียนเพิ่มขึ้นไปถึงสามส่วน


เมื่อถึงปีที่สิบสอง หลังผ่านการปรุงโอสถมานับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เพิ่มอัตราส่วนการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์สำเร็จไปถึงห้าส่วน นอกจากนี้ในปีนี้เขายังบังเอิญปรุงโอสถระดับสูงที่มีลวดลายโอสถสายหนึ่งออกมาได้เม็ดหนึ่งด้วย


ปีที่สิบสาม อัตราส่วนการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ก็สำเร็จบรรลุหกส่วน แต่อัตราส่วนการปรุงได้โอสถระดับสูงยังต่ำมาก ส่วนโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ระดับพสุธายิ่งไม่เคยปรากฏออกมาสักครั้ง


ปีที่สิบห้าหลิ่วหมิงก็เพิ่มอัตราส่วนการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์สำเร็จไปถึงเจ็ดส่วนได้อย่างหวุดหวิด


มาจนถึงตอนนี้ เขาสัมผัสได้เลือนรางว่าทักษะการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์มาถึงทางตันแล้ว เกรงว่าในเวลาอันสั้นอยากจะเพิ่มให้สูงขึ้นคงเป็นไปไม่ค่อยได้ เสียเวลาปรุงต่อไปก็ลงแรงเท่าทวีได้ผลลัพธ์ครึ่งเดียวอยู่หน่อยๆ


นอกจากนี้การจะปรุงโอสถระดับสูงออกมา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษะการปรุงโอสถเพียงอย่างเดียว วัตถุดิบที่ใช้ปรุงโอสถก็สำคัญมากเช่นกัน


กระดองเต่าลู่อู๋ชิ้นน้อยชิ้นนั้นที่ได้มาจากเฟิงชิงโม่ประมุขน้อยแห่งนิกายหยกทอง น่าจะมาจากเต่าลู่อู๋ที่บรรลุระดับแก่นแท้ขั้นต้นได้อย่างหวุดหวิดสักตัว คุณภาพไม่นับว่าดีมาก ผนวกกับวัตถุดิบเสริมพวกนั้นเขาก็ซื้อหาจากในตลาดอย่างฉุกละหุก อัตราส่วนการปรุงโอสถสำเร็จกับอัตราส่วนการปรุงได้โอสถระดับสูงเท่านี้ เขาก็ค่อนข้างพอใจแล้ว


วันนี้หลังหลิ่วหมิงปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ออกมาได้อีกเม็ดหนึ่ง เขาก็มองดูโอสถทีสองทีแล้วเก็บไป จากนั้นยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา


เตาหลอมลิ่วเสินเบื้องหน้าพลันลอยขึ้นมา มันหมุนติ้วกลางอากาศรอบหนึ่งจากนั้นบินเข้าไปในแขนเสื้อ


หลิ่วหมิงถือโอกาสลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายแล้วเหล่มองไปตรงมุมห้อง


เห็นเฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์ต่างยังคงฝึกฝนพลังของตนเองอย่างไม่ออมแรงอยู่ไม่ไกลออกไป


ตอนนี้เฟยเอ๋อร์แปลงกายเป็นเด็กน้อยหน้าตาเหมือนกันทุกประการเก้าคน พร่าเลือนหายวับไปมาอยู่กลางท้องฟ้าไม่หยุด วิชาท่าร่างว่องไวจนทำให้คนตาลาย


ทันใดนั้นร่างกายของเด็กน้อยเก้าคนก็ชะงักเหมือนสังเกตเห็นสายตาของหลิ่วหมิง พวกเขาเรียงแถวเป็นรูปค่ายกลอย่างหนึ่ง อ้าปากใส่กำแพงปราณกว้างสองสามจั้งผืนหนึ่งเบื้องหน้าพร้อมกัน


ลูกบอลเพลิงสีเทาเก้าลูกถูกพ่นออกมา จากนั้นผสานกันกลางอากาศกลายเป็นเสาเพลิงหนาต้นหนึ่งกระแทกบนกำแพงปราณอย่างแรง


เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง!


แสงสีเทาสาดออกไปสี่ทิศ กำแพงปราณที่เดิมทีแข็งแกร่งถูกเปลวเพลิงกัดกร่อนจนผิวหน้าหลอมละลาย


นอกจากนี้เปลวเพลิงบนผิวกำแพงปราณนี้ยังลุกโหมรุนแรง ราวกับว่าชั่วขณะหนึ่งคงไม่อาจดับลงได้


“ไม่เลว”


เมื่อหลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ในดวงตาก็ฉายแววชื่นชมอยู่บ้าง เขาเอ่ยชมขึ้นมาประโยคหนึ่งพร้อมกันนั้นสายตาก็เคลื่อนไปอีกด้าน


เซียเอ๋อร์หญิงสาวชุดตาข่ายดำด้านนั้นคล้ายสัมผัสได้ถึงความชื่นชมที่หลิ่วหมิงมีต่อเฟยเอ๋อร์จึงตะโกนเสียงหวานออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ เร่งเคล็ดวิชาที่ท่องอยู่ให้เร็วขึ้นในทันที


ตาข่ายสีดำรอบร่างพลิ้วไหว จุดแสงสีน้ำตาลทองนับไม่ถ้วนแผ่ออกมาจากในร่าง


จุดแสงสีน้ำตาลทองทยอยรวมตัวกันเหนือศีรษะนาง ผนึกรวมกันกลายเป็นก้อนศิลาเสมือนวัตถุจริงก้อนแล้วก้อนเล่าช้าๆ จากนั้นก้อนศิลาก็รวมตัวอีกหนค่อยๆ กลายเป็นยอดเขาลูกเล็กสูงถึงสิบกว่าจั้งลูกหนึ่ง


เซียเอ๋อร์บิดร่าง มือข้างหนึ่งชี้ไปยังกำแพงปราณเบื้องหน้าเบาๆ


ยอดเขาขนาดเล็กสีน้ำตาลทองเหนือศีรษะฉายแสงวูบหนึ่งก็หายไปไร้ร่องรอย


เสียงดังสั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นทีหนึ่ง!


ยอดเขาขนาดเล็กสูงสิบกว่าจั้งประหนึ่งเขาไท่ซานโถมทับศีรษะ ร่วงตรงลงมาจากฟ้ากระแทกบนกำแพงปราณใกล้ๆ อย่างรุนแรง


กำแพงปราณนี้ถูกโจมตีจนส่องแสงวูบวาบ ผิวหน้าปรากฏรอยร้าวเส้นแล้วเส้นเล่าทั้งที่ไม่เคยมี แทบจะแตกกระจุยทันที


“ดี! ดูท่าสิบกว่าปีนี้พวกเจ้าสองตัวไม่ได้เกียจคร้าน ล้วนก้าวหน้าขึ้นแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้าพลางเอ่ยกับทั้งสองตัว


หลังเขาเอ่ยชมเชยให้กำลังใจอีกพักหนึ่งก็ให้ทั้งสองฝึกฝนต่อ ส่วนตนเองสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เดินไปถึงหน้าศิลาหุนเทียนที่อยู่ไม่ไกล


ขณะที่หลิ่วหมิงมองศิลาครึ่งดำครึ่งขาวนี้ เขาก็รู้สึกอยู่เลือนรางว่าของสิ่งนี้คล้ายคลึงอย่างยิ่งกับป้ายศิลาโชคชะตาแผ่นนั้นที่พบในงานประตูสวรรค์ก่อนหน้านี้


เขาส่ายศีรษะเบาๆ ไล่ความคิดเหล่านี้ไปแล้วยกแขนขึ้นวางมือลงบนศิลา กระตุ้นพลังจิตถ่ายเทเข้าไปต่อเนื่องไม่ขาดสาย


ดวงตามายาบนศิลาเบิกออก


จากนั้นเขารู้สึกตาพร่าไปวูบหนึ่ง เมื่อมองเห็นภาพเบื้องหน้าชัดอีกหน เขาก็เข้ามาอยู่ในแดนมายาที่ถูกปกคลุมด้วยท้องนภาสีเหลืองหม่นแล้ว


ทอดสายตามองไป บนพื้นดินคือทะเลทรายเวิ้งว้าง เสาศิลาหนาเท่าคนรูปร่างต่างๆ กันนับไม่ถ้วนปักระเกะระกะอยู่ในทะเลทราย มองไปไร้จุดสิ้นสุด


บนทะเลทรายสายลมกระโชกพัดผ่านป่าศิลาเสียงดังหวีดหวิดเป็นระยะ ส่งเสียงกรีดแหลมแสบแก้วหูประหนึ่งภูตผีคร่ำครวญ


คนที่อยู่ในป่าศิลายืนไม่มั่นคงอยู่บ้าง


ที่นี่คือสภาพแวดล้อมพิเศษที่เขาจำลองขึ้นเพื่อใช้ฝึกฝนวิชาเงาสามส่วน


จะว่าไปวิชาท่าร่างเงามายาท่านี้นับแต่เขาเริ่มฝึกจนถึงวันนี้ก็ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว ยังไม่บรรลุขั้นสมบูรณ์แบบขั้นสุดท้ายเลย


หลายปีนี้เขาก็ทุ่มเทกำลังไปกับวิชาท่าร่างวิชานี้ไม่น้อย แต่สาเหตุที่ไม่บรรลุก็เพราะเมื่อฝึกฝนวิชาเงาสามส่วนจนถึงสองเงา เขาก็พบอุปสรรค


สามเงาในขั้นสมบูรณ์แบบกับสองเงาดูแล้วต่างกันเพียงก้าวเดียว แต่ความต่างนั้นประหนึ่งก้าวข้ามแม่น้ำใหญ่


บนแผ่นหยกที่หลิ่วหมิงได้มาครั้งนั้นเขียนไว้เข้าใจชัดเจน การฝึกฝนวิชาเงาสามส่วนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบจะแยกเงาออกมาได้สามร่าง นอกจากนี้เงาในตอนนี้ยังจะมีคุณลักษณะพิเศษบางประการ นั่นก็คือเริ่มสร้างร่างจริง


คุณลักษณะเช่นนี้คล้ายคลึงกับวิชาร่างแยกของหัวบินอยู่บ้าง แต่กระบวนการสร้างร่างจริงของเงาไม่อาจนานเกินไป ทั้งร่างต้นยังต้องควบคุมอย่างประณีตยอดเยี่ยมถึงจะได้


ยามนั้นที่ยอดคนรุ่นก่อนสร้างวิชานี้ออกมาไม่ได้ต้องการให้เงานี้มีพลังโจมตีสูงนัก แต่ต้องการทำให้มันสมจริงยิ่งขึ้นเพื่อให้มันล่อหลอกได้ผลขึ้นกว่าเดิม


ดังนั้นการสร้างร่างจริงที่แผ่นหยกกล่าวจึงหมายถึงการทำให้เงามีคลื่นพลังเวทปริมาณหนึ่งเพื่อใช้เท็จลวงจริง


หลิ่วหมิงชื่นชมยอดคนผู้สร้างวิชานี้อย่างยิ่ง หลายปีมานี้วิชาเงาสามส่วนมีส่วนช่วยเขาระหว่างการต่อสู้ไม่น้อย


แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับสูงกว่า มักถูกคนมองร่างต้นออกอย่างง่ายดายบ่อยครั้ง จึงเกิดข้อจำกัด


ขั้นสมบูรณ์แบบของวิชาเงาสามส่วนบรรลุยากอย่างที่สุด ต้องใช้เวลาฝึกฝนมหาศาล นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ตลอดมาวิชานี้ถูกทิ้งอยู่บนหิ้ง ไม่มีคนในสำนักถามหา


ครั้งนี้หากตัดเวลาที่หลิ่วหมิงใช้ปรุงโอสถก่อนหน้านี้ไป เขายังอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับแห่งนี้ได้อีกสิบหกสิบเจ็ดปี นับว่ามีเวลาเหลือเฟือ เขาจึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้ฝึกฝนวิชาท่าร่างวิชานี้ไปให้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบอย่างสมบูรณ์


หลิ่วหมิงยืนตระหง่านอยู่กลางป่าศิลา สองตาเริ่มหรี่ลงเล็กน้อย


ทันใดนั้นร่างกายเขาก็ขยับ ทั้งร่างกลายเป็นเงาคนสีดำจางๆ ร่างหนึ่งพุ่งตัดผ่านป่าศิลาอย่างรวดเร็ว


สายลมแรงโถมผ่านสองข้างเงาคนประหนึ่งคลื่นสมุทร ป่าศิลารอบด้านก็กระจายตัวหนาแน่นยิ่งนักทำให้ต้องเปลี่ยนทิศทางเป็นระยะ พลาดเพียงเล็กน้อยก็กระแทกบนเสาหิน


ในสภาพเช่นนี้ความเร็วของหลิ่วหมิงกลับเร็วขึ้นทุกที จนค่อยๆ ลากเป็นเส้นสีดำเส้นหนึ่ง


ทันใดนั้นเงาคนก็พร่าเลือนวูบหนึ่ง ข้างกายฉับพลันมีเงาพร่ามัวสองร่างเพิ่มขึ้นมา


เงาดำสามร่างเร็วอย่างที่สุดแล้วยังต้องเลี้ยวหลีกหลบเสาศิลาไปทางซ้ายขวาเป็นระยะ จุดที่ผ่านจึงทิ้งเงาเลือนรางสีดำคดเคี้ยวยาวเฟื้อยสามสายไว้ เหมือนปลาไหลว่องไวสามตัวมุดลึกเข้าไปในป่าศิลาอันไร้ที่สิ้นสุด


ยิ่งเข้าไปลึก เสียงสายลมแรงคำรามเกรี้ยวกราดก็ยิ่งดัง ทรายสีเหลืองที่ถูกพัดขึ้นจากพื้นกระทบป่าศิลาจนเกิดเสียงซ่าดังสนั่น


หนึ่งชั่วยาม


สองชั่วยาม


ห้าชั่วยามให้หลังบนร่างหลิ่วหมิงก็เหงื่อโชก พลังกายเริ่มเหือดหายแล้ว


พายุทรายในป่าศิลารุนแรงนัก การเคลื่อนไหวโต้ลมด้วยความเร็วสูงเป็นเวลานานย่อมผลาญพลังกายพลังเวทมากอย่างที่สุด นอกจากนี้การควบคุมร่างตนเองกับเงาทั้งสองให้เปลี่ยนทิศทางโดยมีเงื่อนไขคือไม่ลดความเร็วลงก็เป็นภาระหนักหน่วงกับพลังจิตอย่างยิ่งเช่นกัน


แม้จะค่อนข้างเหน็ดเหนื่อย แต่หลิ่วหมิงไม่มีความคิดจะหยุดแม้แต่น้อย กลับกันความเร็วยิ่งเพิ่มขึ้นอีก


เขาต้องปรับตัวกับขีดจำกัดของเงาสองร่าง เช่นนี้ถึงจะมีโอกาสผนึกเงาที่สามออกมาได้


ยามเผชิญขีดจำกัดเท่านั้นที่คนจะระเบิดศักยภาพในตัวออกมาได้ นี่เป็นวิธีที่ใช้บ่อยที่สุดยามทะลวงอุปสรรค


เวลาสามเดือนผ่านไป


วิธีนี้ค่อนข้างได้ผลจริงๆ แม้การผนึกเงาที่สามจะยังห่างไกลจนมองไม่เห็นจุดหมาย แต่ท่าร่างของเขาก็ว่องไวและพิสดารขึ้นแล้ว


สมควรกล่าวว่าเขาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ได้แล้ว ทั้งยังเรียนรู้การปรับเปลี่ยนองศาร่างกายทั้งร่างระหว่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วสำเร็จ จึงลดแรงลมเกรี้ยวกราดที่โถมเข้ามาจนเคลื่อนไหวปะทะลมไปเบื้องหน้าได้โดยแทบจะไม่มีแรงต้านแล้ว


หนึ่งปีให้หลัง


หลิ่วหมิงปรับตัวกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์และค่อยๆ กลมกลืนไปกับมัน พายุทรายส่งผลกับตัวเขารวมถึงเงาทั้งสองน้อยลงทุกที จนถึงขั้นที่เมินเฉยไม่คำนึงถึงก็ได้


เขาควบคุมร่างต้นรวมถึงร่างเงาให้เคลื่อนที่ลดเลี้ยวไปในป่าศิลาได้สบายขึ้นทุกที


แต่สิ่งที่จนปัญญาก็คือเขายังคงทะลวงผ่านอุปสรรคไปไม่ได้


แม้เขาทดลองผนึกเงาที่สามไม่หยุด แต่หลังเงาที่สามเพิ่งปรากฏขึ้นก็แตกสลายหายไปทันทีอยู่หลายครั้งนัก


หลิ่วหมิงไร้หนทางจึงได้แต่เพิ่มความยากของการฝึกฝนขึ้น เขาเพิ่มความหนาแน่นของป่าศิลาอีกเท่าหนึ่ง ในเวลาเดียวกันก็เปลี่ยนสภาพอากาศของที่แห่งนี้จากพายุทรายเป็นพายุหิมะเต็มฟ้า


พายุหิมะเย็นยะเยือกเสียดกระดูกย่อมส่งผลต่อร่างกายมากกว่าพายุทรายนัก และยิ่งฝึกปรือวิชาท่าร่างของเขาได้เช่นกัน


ตอนที่ 841 สู้กับระดับดาราพยากรณ์อีกครั้ง (ต้น)

เป็นเช่นนี้ผ่านไปอีกสองปี


หลิ่วหมิงฝึกฝนทุกวันจนปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้อีกครั้ง ทั้งเวลานี้เขายังควบคุมเงาได้คล่องดั่งใจยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ระดับความเป็นวัตถุของเงาและคลื่นพลังจิตวิญญาณที่แผ่ออกมายิ่งใกล้เคียงกับร่างต้นขึ้นทุกที


แต่การผนึกเงาที่สามกลับยังไม่สำเร็จโดยสมบูรณ์


ดังนั้นเขาจึงเพิ่มความยากขึ้นอีกครั้งอย่างไม่รีรอ


เวลาผ่านไปทีละน้อย หนึ่งปี สองปี พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกห้าปี


ปราณดำห้อมล้อมร่างต้นของหลิ่วหมิงจนทั้งร่างประหนึ่งดวงวิญญาณสีดำเคลื่อนทะลุผ่านกลางป่าศิลาอย่างว่องไว ไม่มีเสียงดังออกมาแม้แต่น้อย


ข้างกายเขายังคงเป็นเงาที่ลักษณะภายนอกเหมือนกับเขาทุกประการสองร่าง แต่เงาสองร่างนี้สมบูรณ์กว่าก่อนหน้านี้มากอย่างเห็นได้ชัด มือเท้าครบถ้วน กระทั่งเครื่องหน้าบนใบหน้าก็เห็นชัดเจน


เมื่อมีปราณดำพลุ่งพล่านพร้อมทั้งเคลื่อนที่เร็วจี๋ก็แทบมองไม่เห็นความแตกต่างกับร่างต้นแม้แต่นิด


ตัวเขาในวันนี้ พริบตาที่ร่างกายเผชิญสภาพแวดล้อมอันตรายจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบด้านได้อย่างไม่ต้องคิด ระหว่างที่วิ่งรวดเร็วอยู่ ร่างกายจะปรับเป็นองศาที่ดีที่สุดตามสภาพแวดล้อมรอบด้านดั่งตอบสนองตามเงื่อนไข


ทั้งเขายังไม่จำเป็นต้องตั้งใจควบคุมเงาสองร่างข้างกายอีกแล้ว ราวกับว่าพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตน


เพียงแค่คิด เงาก็ขยับตาม


จิตของเขาคล้ายจะเข้าสู่สภาวะอันยอดเยี่ยมบางประการอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทุกสิ่งรอบด้านคล้ายสงบนิ่งทั้งที่กำลังเคลื่อนเร็วจี๋


ลึกลงไปในร่างเขาความรู้สึกปั่นป่วนสายหนึ่งผุดออกมา


หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังเวทในร่างแทบจะโดยสัญชาตญาณ ปราณดำรอบร่างฉับพลันลุกโหม ชั่วพริบตาด้านหลังร่างเขาก็ปรากฏเงาที่สามออกมา!


พริบตานั้นที่เงาสีดำสนิทร่างที่สามปรากฏขึ้นหลังร่างเขา มันก็วิ่งเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกับเงาร่างทั้งสามที่มีอยู่เดิม ไม่ว่าความเร็วหรือหน้าตาภายนอกมองความแตกต่างไม่ออกแม้แต่น้อย


กระบวนการนี้เป็นธรรมชาติคล้ายกับว่าเขาไม่ได้ใช้ผนึกเงาที่สาม แต่เหมือนเงาที่สามน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา


เพียงพลัดหายไปหลายปี ตอนนี้กลับมาแล้ว!


ก็คงเป็นความรู้สึกเช่นนี้!


วันนี้เงาทั้งสามร่างนี้แต่ละร่างล้วนเริ่มแผ่คลื่นพลังเวทจางๆ ออกมา ดูแล้วมีพลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง


ในที่สุดก็ฝึกฝนวิชาเงาสามส่วนก้าวสุดท้ายสำเร็จ


ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็หลุดออกมาจากสภาวะสงบนิ่งท่ามกลางความเร็วนั้น บนใบหน้าเผยสีหน้ายินดีอย่างยิ่งออกมาทันที


จากนั้นเมื่อเขาคิด ร่างกายก็กลายเป็นเงาดำสายหนึ่งพุ่งทะยานออกไป เงาสามร่างก็ติดตามไปด้วยเช่นกัน


มองจากไกลๆ ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอก การเคลื่อนไหวหรือคลื่นพลังจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาก็แยกไม่ออกสักนิดว่าเงาคนสีดำทั้งสี่ร่างไหนถึงเป็นร่างต้นของเขา!


หลิ่วหมิงอารมณ์ดีอย่างที่สุด ความเร็วไวว่องขึ้นทุกที เงาดำสี่ร่างเดี๋ยวแยกเดี๋ยวรวมตัว จุดที่ผ่านไปปรากฏเงาติดตานับไม่ถ้วน แม้มีเงาดำเพียงสี่ร่าง แต่ดูเหมือนมีเงาคนนับพันนับร้อยบินทะลุทะลวงไปทุกหนทุกแห่ง


ทันใดนั้นเงาคนทั้งหมดก็รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นคนเดียว ยืนนิ่งอยู่บนยอดศิลาก้อนหนึ่ง


หลิ่วหมิงนั่นเอง


เวลานี้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายิ่งกว้างขึ้นอีก ในดวงตาก็ฉายแววพึงพอใจเล็กน้อยเช่นกัน


เขารู้สึกได้ว่าวิชาเงาสามส่วนขั้นสมบูรณ์คงใช้ประโยชน์ในสถานการณ์จริงได้เพิ่มขึ้นมาก


สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือพลังเวทที่ใช้ก็หมดลงเร็วกว่าเดิมมากด้วย


แต่ในเมื่อวิชานี้เป็นขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว เขาจึงหยุดฝึกฝนวิชานี้ทันที หลังใคร่ครวญพักหนึ่งก็ตัดสินใจใช้เวลาที่เหลือฝึกฝนการต่อสู้จริงด้วยดวงตามายาของศิลาหุนเทียน


………


ปีที่สามสิบที่หลิ่วหมิงเข้ามาในแดนมายาของห้องว่างเปล่าลึกลับ


เงาคนสีดำร่างหนึ่งกับผู้ที่มีแสงอสนีบาตสีม่วงล้อมรอบร่างผู้หนึ่งกำลังไล่ล่ากันอยู่กลางหมู่เขาร้าง


นั่นคือหลิ่วหมิงกับเลี่ยเจิ้นเทียนปีศาจสายฟ้าผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับดาราพยากรณ์แห่งหนานฮวง!


ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงก็เคยจำลองการต่อสู้กับปีศาจสายฟ้าในแดนมายาอยู่ แต่เวลานั้นเขาฝึกฝนวิชาหลบหนีของเขาเป็นหลัก แต่ครั้งนี้เขาคิดจะประมือกับปีศาจสายฟ้าผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์คนนี้ซึ่งหน้า


เขาไม่ได้เพ้อฝันว่าจะสู้ชนะผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ผู้นี้ได้ เขาหวังจะฝึกปรือความสามารถในการพลิกแพลงสถานการณ์เมื่อประมือกับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์เท่านั้น


แสงกระบี่สีทองอ่อนสายหนึ่งใต้เท้าหลิ่วหมิงยกร่างเขาลอยเคลื่อนลดเลี้ยวระหว่างหมู่เขาเกิดเป็นเงาติดตาร่างแล้วร่างเล่า ร่างกายว่องไวอย่างที่สุด


ด้านหลังอสนีบาตสีม่วงรอบร่างปีศาจสายฟ้าหนาทึบขึ้นจนกลายเป็นแสงสายฟ้าเส้นหนาที่ฉีกทึ้งทุกอย่างได้สายหนึ่ง แสงอสนีบาตสีม่วงส่องสว่างแล้วพุ่งเร็วรี่เข้าใส่หลิ่วหมิงเบื้องหน้า


เสียง “บึ๊ม” ดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น!


พริบตาที่แสงอสนีบาตสีม่วงไปถึงยอดเขาน้อยลูกหนึ่งเบื้องหน้า มันก็กลายเป็นเศษหินกองหนึ่ง


หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหน้าไม่รู้ร่างกายบิดท่าประหลาดอย่างไรจึงหลบพ้นอย่างสบายๆ ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย นอกจากนี้ความเร็วเหมือนจะเพิ่มขึ้นอยู่บ้างอย่างไม่ใส่ใจ


ปีศาจสายฟ้าคำรามเกรี้ยวกราด มันสะบัดแขนท่ามกลางแสงอสนีบาต หอกยาวสีม่วงหนาเท่าถังน้ำสองเล่มพุ่งพรวดแหวกอากาศเข้าใส่หลิ่วหมิงด้านหน้า


ครั้งนี้หลิ่วหมิงกลับไม่ได้หลบ


พร้อมกับที่อีกฝ่ายใช้การโจมตีเขาก็หันหลังกลับปานสายฟ้าแลบ หลังตวาดเบาๆ คำหนึ่ง หนึ่งหมัดก็ต่อยพรวดออกมา พลังเวทในร่างเสริมส่ง หมอกดำรอบร่างพลุ่งพล่าน เสียง “ฟุบๆ” ดังขึ้นแผ่วเบาหลายครั้ง ก่อตัวเป็นเงามังกรดำมหึมาห้าตัวกับพยัคฆ์ดำดุดันห้าตัวอย่างเร็วไว


ห้ามังกรห้าพยัคฆ์หลังร่างเขาบินวนรอบหนึ่งก็ยืดร่างยืน แต่ละตัวส่งเสียงคำรามพ่นเพลิงดำโหมกระหน่ำออกจากปาก พุ่งเข้าใส่หอกสายฟ้าสีม่วงสองเล่ม


ทว่าหอกสายฟ้าสีม่วงสองเล่มนั้นกลับส่องแสงอสนีบาตเจิดจ้า ยิงสายฟ้าหนาเท่าแขนสิบกว่าเส้นออกมารอบด้านกะทันหัน ดับเปลวเพลิงสีดำที่โถมมาถึงจนเกลี้ยงอย่างง่ายดาย


หลิ่วหมิงดวงตาทอประกาย เคล็ดวิชาในมือแปรเปลี่ยนอย่างเร็วไว ห้ามังกรห้าพยัคฆ์พุ่งออกมาตามการเคลื่อนไหวของเขา หลังพวกมันส่ายไปมาอย่างคลุ้มคลั่งพักหนึ่งก็ทยอยหลุดออกจากร่างมาผสานร่างกลางอากาศกลายเป็นอสูรยักษ์สีดำที่ศีรษะมีเขาหนึ่งคู่ เท้ามีสี่กรงเล็บตัวหนึ่ง


อสูรตัวนี้มีขนาดถึงสิบกว่าจั้ง ร่างกายคล้ายพยัคฆ์แต่ไม่ใช่พยัคฆ์ คล้ายมังกรแต่ไม่ใช่มังกร เกล็ดสีดำแผ่ทั่วร่าง ยามผนึกร่างแสงสีดำระลอกแล้วระลอกเล่าฉายออกมาแลดูประหนึ่งมีชีวิต สภาพไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตสักเท่าไร


ในเวลาเดียวกันนี้ปราณแข็งแกร่งสายหนึ่งก็แผ่ออกมาจากร่างของมัน


“ไป!”


คิ้วเรียวของหลิ่วหมิงตั้งตรง แขนสะบัดในทันใด


อสูรยักษ์สีดำอ้าปากกว้าง สี่เท้าขยับทันที ร่างกายมหึมาพริบตาพร่าเลือนไม่ชัดกลายเป็นสายลมคลั่งสีดำวูบหนึ่งโถมใส่หอกสายฟ้าสีม่วง


ปีศาจสายฟ้าเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ปากกลับส่งเสียงหัวเราะหยัน


ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวอย่างไร แต่หอกยาวสีม่วงสองเล่มกลับแล่นตัดกันทีหนึ่งแล้วระเบิดแสงอสนีบาตรุนแรงออกมา แสงสีม่วงพุ่งท่วมฟ้าทำให้คนไม่อาจมองได้ตรงๆ


เสียง “บึ๊ม” สนั่นสะเทือนฟ้าดังขึ้นทีหนึ่ง


แสงสายฟ้าสีม่วงกับอสูรยักษ์สีดำปะทะกัน แสงสีม่วงกับแสงสีดำโรมรันคล้ายต่างฝ่ายไม่มีใครยอมใคร


ทว่าครู่ต่อมาอสูรยักษ์สีดำก็ร้องครวญครางออกมา ร่างกายพังทลายพร้อมเสียงดังกึกก้อง


แม้หอกยาวสีม่วงจะโจมตีอสูรยักษ์สีดำสลายไปได้ แต่พลังที่เคลื่อนมาก็ชะงักไปเพราะเหตุนี้อย่างช่วยไม่ได้


หลิ่วหมิงสีหน้าซีดเผือด แต่หลังเขาสูดลมหายใจลึก มือก็ยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งใส่กระบี่บินสีทองใต้ร่าง


แสงสีทองรอบร่างเข้มขึ้นก่อตัวเป็นเงากระบี่ยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งสายหนึ่งในพริบตา


เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!


แสงอสนีบาตสีทองพลันหุ้มร่างกายเขาไว้ ความเร็วที่หลบหนีเพิ่มขึ้นในพริบตา ในที่สุดก็หลบการจู่โจมของหอกอสนีบาตสองเล่มไปได้อย่างเฉียดฉิว รอดจากสถานการณ์อันตรายได้จริงๆ!


เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นถล่มฟ้าถล่มดิน!


ยอดเขาลูกหนึ่งเบื้องหน้าหลิ่วหมิงถูกหอกอสนีบาตสีม่วงสองเล่มพุ่งโจมตีระเบิดเป็นแสงอสนีบาตสีม่วงแสบตาสองดวง


หลังแสงอสนีบาตดับลง บนตัวภูเขาก็ปรากฏหลุมลึกยี่สิบกว่าจั้งดำสนิทสองหลุมเพิ่มขึ้นมา ร่องลึกแตกแขนงดั่งใยแมงมุมมากมายแผ่ขยายไปรอบตัวภูเขา ศิลาใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนกลิ้งร่วงลงเบื้องล่าง


ปีศาจสายฟ้าเห็นเช่นนี้พลันคำรามอย่างเกรี้ยวกราด


หลิ่วหมิงหันศีรษะกลับไปมองเงาร่างของปีศาจสายฟ้านิ่งนาน แสงสีดำบนร่างไหลเคลื่อนอยู่เลือนราง ชั่วครู่ให้หลังสีหน้าของเขาจึงฟื้นกลับคืนเป็นปกติ


เมื่อเคล็ดวิชาในมือชักนำ แสงกระบี่สีทองก็เลี้ยวเคลื่อนเป็นเส้นทแยงชิ่งไปมา เหาะรวดเร็วอ้อมยอดเขาที่โงนเงนใกล้พังทลายเบื้องหน้าต่อไปไกล


การท้าสู้นับครั้งไม่ถ้วนทำให้เขาคุ้นชินกับวิชาและการใช้วิชารูปแบบต่างๆ ของปีศาจสายฟ้าดุจฝ่ามือตั้งนานแล้ว แม้ตอนนี้ยังไม่อาจต้านปีศาจสายฟ้าระดับดาราพยากรณ์ตนนี้ซึ่งหน้าได้ แต่แค่หลบหลีก เขามีกำลังเหลือเฟืออย่างยิ่ง


ดวงตาทั้งสองข้างของปีศาจสายฟ้าฉายประกายดุดัน สัมผัสความดุร้ายหนักหน่วงที่แผ่ออกมาจากบนร่างเขาได้อย่างชัดเจนแม้จะกั้นกลางด้วยแสงอสนีบาตชั้นแล้วชั้นเล่า


แขนข้างหนึ่งของเขายกขึ้นวาดกลางอากาศเบื้องหน้า อสนีบาตโค้งสีม่วงหนาเท่าถังน้ำสายหนึ่งพลันพุ่งออกมาแล้วโต้ลมกลายเป็นสายฟ้ารูปอสรพิษสิบกว่าตัว แหวกอากาศกวาดไปเบื้องหน้าเป็นรูปพัด


สายฟ้ารูปอสรพิษแต่ละตัวล้วนหนาเท่าแขน บนตัวมันยังมีสายฟ้าเส้นเล็กสั้นมากมายแยกออกมาอีก วงโค้งสายฟ้าฟาดส่งเสียงดังชี่ๆ คลุมพื้นที่กว้างอย่างที่สุด จุดที่แล่นผ่านทุกสิ่งเบื้องหน้าล้วนกลายเป็นความว่างเปล่า


ความเร็วของสายฟ้าเร็วอย่างที่สุด พริบตาเดียวก็อยู่ห่างแผ่นหลังหลิ่วหมิงไม่ถึงสิบกว่าจั้ง กำลังจะฟาดบ้าคลั่งเข้าใส่ศีรษะและใบหน้า


หลิ่วหมิงเพิ่งผ่อนลมหายใจได้เฮือกเดียว สายตาก็เหล่มองเล็กน้อย จำได้ทันทีว่านี่คือวิชาระดับสูงประเภทสายฟ้า อยู่ในมือระดับดาราพยากรณ์ถึงกับใช้ออกมาได้ในพริบตา


การโจมตีขอบเขตกว้างเช่นนี้ เขาอยากหลบหลีกย่อมเป็นไปไม่ได้ สีหน้าจึงเคร่งขรึมขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ มือสะบัดเคล็ดวิชา ปราณกระบี่สีทองรอบร่างดับหายไป กระบี่บินสีทองที่กะพริบวูบวาบจมลงไปในแขนเสื้อเขาอย่างเร็วไว


ในเวลาเดียวกันนี้แสงสีดำบนร่างเขาก็ส่องสว่างจ้า คนหยุดชะงักกลางอากาศ หมุนวนอย่างรวดเร็วจนหมุนติ้วประหนึ่งลูกข่าง ทั้งร่างเขาฉับพลันกลายเป็นเมฆดำที่พัดเคลื่อนไม่หยุดแถบหนึ่ง


กลางเมฆดำเกิดแสงสีน้ำเงินออกมา มองเห็นเงาวัวสีน้ำเงินตัวหนึ่งปรากฏขึ้นเลือนราง ส่งเสียงวัวร้องออกมาแผ่วเบา


ครู่ต่อมาแสงอสนีบาตสีม่วงก็ขยายลงมาล้อมบริเวณร้อยจั้งไว้ด้านใน


แสงสีม่วงแสบตาสว่างอย่างที่สุด ส่องท้องฟ้ามืดสลัวทั้งหมดจนสว่างไสวอย่างยิ่ง แต่จากนั้นก็สลายไปอย่างรวดเร็วยิ่งอีกหน


บนพื้นปรากฏหลุมลึกหลุมหนึ่งจมลงไปสามฉื่อกว่า ด้านในไหม้เกรียมเป็นแถบ ควันสีดำลอยขโมง


นาทีนี้เอง เงาคนสีดำสนิทร่างหนึ่งก็ทะยานร่างเหาะออกมาจากกลางไอดำ หลิ่วหมิงนั่นเอง


ทว่าเวลานี้บนหน้าของเขากลายเป็นสีเทาปื้นหนึ่งสีดำปื้นหนึ่ง เส้นผมสีดำบนศีรษะส่วนใหญ่ก็ตั้งตรง เสื้อผ้าบนร่างไหม้เกรียมเป็นแถบ บางจุดถึงขั้นมีควันสีดำลอยโชยขึ้นมาด้วย


“หึ วิชาระดับสูงที่ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ใช้ พลังไม่ธรรมดาอย่างยิ่งจริงๆ…” หลิ่วหมิงอ้าปากส่งเสียงหึติดกันหลายครั้ง ลมหายใจที่พ่นมาจากปากคล้ายจะมีควันสีดำสายน้อยออกมาด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)