หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 838-841
บทที่ 838 อัดให้อดีตผู้บัญชาการกองทหา...
หวังเป่าเล่อเคลื่อนไหวเร็วราวกับสายฟ้าฟาด ชายหนุ่มแม้จะยืนอยู่ห่างออกไปแต่ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำในชั่วพริบตา เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นทั่วท้องฟ้า ชุดเกราะมหาจักรพรรดิที่ถือกำเนิดขึ้นจากเรือบินรบเวทผนวกกับเกราะจักรพรรดิ ทำให้พลังยุทธ์ของหวังเป่าเล่อในตอนนี้เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางที่ไม่มีเรือบินรบเวทเป็นของตนเอง!
แม้ว่าผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำจะมีเรือบินรบเวทเช่นกัน แต่ระดับเคล็ดวิชาการฝึกปราณของเขาส่งผลให้พลังยุทธ์ใกล้เคียงกับขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางที่ไม่มีเรือบินรบเวทเกื้อหนุนเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อชายวัยกลางคนได้ประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไปในตอนต้น ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บไปก่อนแล้ว และในระดับของเขากับหวังเป่าเล่อนั้น การได้รับบาดเจ็บหรือการเริ่มจู่โจมก่อนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
ดังนั้นเมื่อต้องต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็เผยสัญญาณว่าตกเป็นรองมาตั้งแต่ต้น!
ขณะที่เสียงครั่นครืนดังสนั่นก้องสะท้านออกไป เลือดก็เริ่มไหลซึมออกมาจากมุมปากทั้งสองของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ขณะที่เขาต้องถอยกรูดไปอีกครั้ง ทั้งสีหน้าและหัวใจของชายวัยกลางคนขณะนี้ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึงและไม่เชื่อสายตา เขารู้ว่าขณะที่การต่อสู้นี้เกิดขึ้นอย่างปุบปับ เขาก็ได้รับบาดเจ็บและสูญเสียเหตุผลไป หากเป็นใครคนอื่น คงไม่ใคร่จะใส่ใจนักว่าการต่อสู้นี้จะสมเหตุสมผลหรือไม่ แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ เหตุผลนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำยังคิดว่า หากตนสู้ต่อในสภาพเช่นนี้ ก็คงจะยิ่งไล่ต้อนให้ตนเองเสียเปรียบ ชายวัยกลางคนเริ่มคิดสำนึกเสียใจอยู่ภายใน แต่ความหยิ่งทระนงก็ไม่ยอมให้เขาขอโทษ ทำได้เพียงคำรามออกมาเท่านั้น
“หลงหนานจื่อ ตรงนี้เป็นอาณาเขตของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ เจ้าอยากจะสู้เอาเป็นเอาตายกับข้าที่นี่อย่างนั้นหรือ!”
“น่าสนใจ เจ้าไม่ใช่หรือที่กล่าวหาว่าข้าจะขโมยความลับของกองทหารเจ้า ไหน บอกท่านบิดาเสียสิ ว่าท่านบิดาขโมยความลับใดไปจากเจ้ากันแน่” หวังเป่าเล่อเข้าใจคำขู่ในน้ำเสียงของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำดี และมองเห็นเช่นกันว่ารัศมีของชายวัยกลางคนเริ่มอ่อนกำลังลง แต่ชายหนุ่มไม่ใช่คนมีเมตตา คงจะดีกว่าหากไม่มีใครมากวนใจเขา แต่ในเมื่อผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำเลือกจะมายุ่งด้วย ทำให้เขาไม่มีทางเลือกว่าจะต่อสู้หรือไม่
ต่อให้พวกเขาไม่ได้สู้กัน ก็คงเป็นเพราะหวังเป่าเล่อตัดสินใจไม่อยากจะต่อสู้ ชายหนุ่มสะบัดกายพร้อมยิ้มเยาะก่อนจะเข้าประชิดตัวผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำอีกครั้ง เสียงสนั่นครั่นครืนดังขึ้นอีกคราก่อนที่คลื่นพลังแทรกจากการต่อสู้จะกระจายออกไปทั่วจักรวาลรุนแรงขึ้นทุกขณะ
ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ ชายวัยกลางคนอยากต่อต้านแต่ก็ไม่อาจทำได้ หวังเป่าเล่อนั้นแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้แข็งแกร่งกว่ามากและไม่อาจสังหารศัตรูได้ทันที แต่ก็ยังทำให้เขาถอยกรูดอยู่ไปมาแถมยังเสียหน้าอย่างต่อเนื่อง ตอนนั้นเอง แววตาบ้าคลั่งก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายวัยกลางคน
“หลงหนานจื่อ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าน่ะกลัวเจ้า!” ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำคำราม ก่อนจะยกมือขวาขึ้น เงาของดวงจันทร์สีดำสนิทมาปรากฏขึ้นบนศีรษะเขา ภายในมีหมอกสีดำสนิทกระจายอยู่ ก่อตัวขึ้นเป็นใบหน้าวิญญาณจำนวนมหาศาลที่พากันส่งเสียงร้องแหลมสูงไปทางหวังเป่าเล่อ
เห็นได้ชัดว่า กระบวนท่านี้เป็นไพ่ตายของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ วินาทีนั้น ชายวัยกลางคนปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมา ส่งผลให้จักรวาลโดยรอบสั่นสะเทือน ช่องว่างรอบกายเขาเริ่มบิดเบี้ยวไปตามๆ กัน แสดงให้เห็นว่าเงาดวงจันทร์บนศีรษะเขานั้นแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวเพียงใด!
มีบางอย่างตื่นขึ้นจากการหลับใหลภายในเงาดวงจันทร์นั้นอย่างเงียบเชียบ ราวกับว่ามันต้องการจะลืมตาขึ้นมาและสังหารทุกสรรพชีวิตที่มองเห็นมันให้หมดสิ้น!
เงาวิญญาณหรือ หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มไม่อาจจะทำอะไรกับผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำได้ แม้ว่าจะสามารถกดดันและโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง เพราะอย่างไรเสีย อีกฝ่ายก็เป็นถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะ คงยากยิ่งที่จะสังหารได้ แต่ขณะนี้…ดูเหมือนจะสบโอกาสแล้ว
แต่จะฉกฉวยโอกาสหรือไม่นั้น หวังเป่าเล่อยังชั่งใจอยู่ คงเป็นการโง่เขลาสำหรับตัวเขาเองที่จะเผยวิชาแห่งศาสตร์มืดออกมาเพียงเพื่อจะสังหารอีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้น…หากชายหนุ่มสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะในอาณาเขตของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ก็คงเป็นการยากที่ปรมาจารย์ของสำนักมหาทัณฑ์จะปกป้องเขาได้…
เพราะอย่างไรเสีย ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็สำคัญยิ่ง และชื่อเสียงของสำนักก็สำคัญยิ่งกว่า!
ข้าไม่เชื่อว่า มาถึงขั้นนี้ ปรมาจารย์ขั้นดาวพระเคราะห์แห่งสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำจะไม่รู้เรื่องการต่อสู้ของเรา หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ประกายเฉียบคมสะท้อนขึ้นมาในดวงตาเขาทันที
หากเขารู้ และกำลังเฝ้าดูอยู่…ก็อันตรายอยู่สักหน่อย เมื่อคิดได้เช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น
“เจ้าคิดว่า เจ้าเป็นคนเดียวที่มีไพ่ตายอย่างนั้นหรือ” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ยกมือทั้งสองขึ้นเขย่าอย่างแรง พลังปราณทั้งหมดของเขาและเกราะมหาจักรพรรดิถูกปล่อยออกมาในทันใด แปรเปลี่ยนเป็นพายุใหญ่นอกกาย ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นว่าจะต่อสู้กับผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำให้ตายกันไปข้าง ร่างกายของเขาขยับพร้อมเสียงคำรามดังสนั่น
แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้มุ่งหน้าเข้าไปหาอีกฝ่าย กลับกัน ชายหนุ่มพุ่งเข้าใส่อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกที่กำลังจ้องมองด้วยความตื่นตะลึงอยู่ห่างๆ แทน เขาเข้าประชิดตัวนางในทันทีก่อนจะยกมือขวาขึ้น แล้วดีดไปที่หว่างคิ้วของหญิงสาวโดยไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัว!
แต่ก่อนที่นิ้วของหวังเป่าเล่อจะสัมผัสถูกกายอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก ก็มีเสียงฮึมดังก้องมาจากทิศทางของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ก่อเป็นคลื่นรบกวนที่สั่นคลอนสวรรค์ก่อนจะระเบิดออกมาใส่หวังเป่าเล่อทันที
ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อรู้สึกเช่นนี้ ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ของตระกูลไม่รู้สิ้นบนดาวเคราะห์ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้ ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้มในทันที ความรู้สึกราวกับว่าจักรพิภพกำลังเอนเอียงและบีบรัดเข้าหาตัวทำให้วิญญาณของชายหนุ่มสั่นคลอน
ทว่า…การที่หวังเป่าเล่อกล้าที่จะสู้ในเขตของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ไม่ใช่เพราะพลังของเกราะมหาจักรพรรดิ แต่เพราะเปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายเขาและฝ่ามือขั้นดาวพระเคราะห์ที่เขากำลังหล่อเลี้ยงอยู่ต่างหาก
ดังนั้นทันทีที่พลังของสัมผัสเทพลงมาถึงตัว หวังเป่าเล่อจึงส่งเสียงคำราม พลันเปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง แม้ว่าพลังจากสัมผัสนั้นจะอ่อนแอ แต่ความแตกต่างด้านพลังที่ไม่มากนักก็ทำให้หวังเป่าเล่อยังขยับได้บ้างแม้จะถูกสัมผัสเทพระดับดาวพระเคราะห์กดดันอยู่ นิ้วที่เขาใช้ดีดหยุดลง ก่อนจะหักสะบั้น ทำให้เหลือเพียงครึ่งนิ้วที่ไปสัมผัสถูกหว่างคิ้วของอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก!
อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกไม่มีเวลาตอบสนองกับสถานการณ์นี้ นางรู้สึกเพียงว่ามีคลื่นพลังมหาศาลพวยพุ่งออกมาและมาระเบิดอยู่ตรงหน้านาง จากนั้นหญิงสาวก็รู้สึกถึงความเจ็บรวดร้าวราวกับว่าร่างกายและวิญญาณของนางถูกฉีกออกจากกัน นางส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนที่ร่างทั้งร่างจะปลิวกระเด็นไปเพราะแรงกระแทกอันรุนแรง ทันใดนั้นเอง ศีรษะของนางครึ่งหนึ่ง แขนหนึ่งข้าง พร้อมด้วยขาอีกข้างก็พังทลายก่อนจะปลิวกระจายหายไป
เส้นปราณของหญิงสาวแตกสลายภายใต้แรงกระแทกอันมหาศาลนั้น จุดตันเถียนเสียหาย และวิญญาณส่วนหนึ่งก็สลายหายไปด้วย พลังปราณของนางแทบจะถูกทำลายไปทั้งหมด ทำให้พลังของนางตกลงมาจากขั้นแสร้งอมตะ ไม่ใช่มาหยุดแค่ขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่นางกลับร่วงลงไปถึงขั้นจุติวิญญาณเลยทีเดียว!
พลังที่ตกลงมานั้นเกิดจากการที่รากฐานของนางถูกทำลาย ดังนั้นหากไม่สามารถหาวัตถุดิบที่ทั้งหายากและราคาสูงมาช่วย นางก็คงไม่สามารถกลับขึ้นมาได้อีกตลอดไป!
เมื่อทำการเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ต้านทานแรงกดดันจากดวงจิตขั้นดาวพระเคราะห์ก่อนจะถอยกรูดออกมา ชายหนุ่มยกมือขวาแล้วโบกลง เรือบินรบระเบิดตัวเองทั้งหมดของเขากลับเข้าที่ในทันที หลังจากนั้น เขาจึงแปลงกายเป็นสายรุ้งแล้วหนีไปขณะที่ทิ้งเสียงพูดเอาไว้เบื้องหลัง
“ศิษย์พี่ครามทองคำ ข้าเพิ่งเดินทางกลับมาจากทำภารกิจที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์มอบหมายให้และพบเข้ากับกองทหารผ่าดำ สตรีนางหนึ่งจากกองทหารนั้นพูดจาให้ร้ายข้าแถมยังกล่าวว่าข้าไปขโมยความลับของกองทหารของนาง หลังจากที่ข้าเปิดทางให้พวกเขาแล้ว ก็ยังไม่วายที่พวกเขาจะมาจับกุมและสังหารข้า ข้าจะรายงานเรื่องนี้กับปรมาจารย์มหาทัณฑ์และขอให้เขาช่วยพิจารณาโทษ!”
คำพูดของหวังเป่าเล่อนั้นไม่มีทั้งน้ำเสียงอวดดีหรืออ่อนน้อม ทั้งหมดฟังดูมีเหตุมีผล ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สังหารใครเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ชายหนุ่มนั้นหลีกทางให้กองทหารหลายต่อหลายครั้ง อาจจะกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะมองเรื่องนี้จากมุมใด หวังเป่าเล่อก็ไม่ผิด!
โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าชายหนุ่มได้เบี่ยงเบนประเด็นโดยโยนความผิดให้อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกแทนผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำวิธีการพูดดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นว่าหวังเป่าเล่อช่ำชองเพียงใดเรื่องการแก้ไขสถานการณ์ ดังนั้นแล้ว เมื่อเสียงพูดของชายหนุ่มดังกังวานออกไป ดวงจิตขั้นดาวพระเคราะห์ที่กดดันเขาอยู่จึงชะงักไปชั่วขณะ เสียงฮึมจางๆ ลอยมาเข้าหู ในที่สุด ดวงจิตนั้นก็เลิกเล็งเป้าเขาและสลายไป
การกลับตาลปัตรของเหตุการณ์นี้ ทั้งการต่อสู้และการจากไปโดยที่ยังพูดอยู่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา เมื่อเห็นว่าลูกน้องของเขาต้องพิการและเห็นว่าปรมาจารย์ของเขาเพิ่งจะมาถึง ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็กำลังจะเอ่ยปากพูดเมื่อได้ยินเสียงของปรมาจารย์ดังขึ้นในหู
“เจ้ายังทำให้ตัวเองขายหน้าไม่พออีกหรือ ไสหัวกลับมาเดี๋ยวนี้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของปรมาจารย์ ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็ได้แต่หยุดนิ่ง ทำได้เพียงจ้องมองอย่างแน่วแน่ไปในทิศทางที่หวังเป่าเล่อเพิ่งจากไป ความรู้สึกระแวดระวังที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ ตำแหน่งประตูหุบเขาของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ มีโลกใบหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในอีกมิติ เป็นมิติที่เต็มไปด้วยภูเขา และบนยอดเขาสีม่วงก็มีกระท่อมหลังหนึ่งตั้งอยู่
ภายในกระท่อมนี้ มีชายวัยกลางคนนั่งขัดสมาธิอยู่ ผมบนศีรษะของเขาเป็นสีม่วงเฉกเช่นเดียวกับเสื้อคลุมที่สวมใส่ กระทั่งนัยน์ตาของเขาก็เป็นสีม่วงด้วยเช่นเดียวกัน บุรุษผู้นี้ดูราวกับเป็นองค์เทพผู้ปกป้องสรวงสวรรค์และโลกมนุษย์ ในวินาทีนั้น เขาลืมตาขึ้นราวกับว่ากำลังจ้องมองออกไปในที่ห่างไกล ก่อนจะค่อยๆ ถอนสายตาออกมาช้าๆ
ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของดารานิรันดร์แบบผสม ฮ่า…เจ้าหลงหนานจื่อคนนี้ น่าสนใจจริง!
บทที่ 839 ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง!
ปรมาจารย์ขั้นดาวพระเคราะห์เช่นนั้นหรือ…ในห้วงจักรพิภพ หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือบินรบเวทของเขาหลังจากที่ถอดเกราะมหาจักรพรรดิออก หลังจากที่นึกย้อนไปถึงฉากสถานการณ์ก่อนหน้า นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ค่อยๆ หรี่ลง
ข้ายังต้องรออีกสักหน่อยจึงจะมีพลังพอสู้กับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงเปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายและฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ที่เขาหล่อเลี้ยงอยู่ แต่ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังจากนั่งไปสักพัก
เขารู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะหล่อเลี้ยงฝ่ามือนั้นดีเพียงใด มันก็จะมอบพลังให้เขาได้มากที่สุดเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของพลังระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้น หวังเป่าเล่ออาจใช้มันเพื่อหลบหนีหรือรับการโจมตีจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้เพียงไม่กี่ครั้ง แต่หากต้องการสังหารคู่ต่อสู้ หรือต่อสู้กันได้อย่างสูสี ก็คงจะเป็นการยากยิ่ง
นอกเสียจาก…ข้าจะหลอมกระดูกมือของหลี่อู๋เฉินได้…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ตอนนี้กระดูกมือของหลี่อู๋เฉินในชาติก่อนผสานรวมกับเกราะจักรพรรดิของเขาอยู่ ชายหนุ่มสามารถใช้กระดูกนั้นเป็นไพ่ตายได้ เพราะอย่างไรเสีย มันก็มีระดับพลังใกล้เคียงอาวุธเทพมากไปแล้ว
ทว่าหวังเป่าเล่อได้ทดลองแล้วระหว่างที่เดินทางกลับมา แต่เปลวเพลิงดารานิรันดร์ของเขายังไม่มั่นคงแถมยังน้อยเกินไป มันอาจใช้หลอมฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ได้ แต่เป็นการยากยิ่งที่จะใช้เปลวเพลิงเดียวกันนี้ในการหลอมกระดูกมือของหลี่อู๋เฉินจากชาติปางก่อนให้ปลดปล่อยพลังดั้งเดิมออกมา
เท่านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพลังปราณของหลี่อู๋เฉินในชาติก่อนนั้น…ต้องอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์เป็นอย่างต่ำ หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะเก็บความคิดการหลอมกระดูกมือของหลี่อู๋เฉินเอาไว้ ชายหนุ่มปิดตาลงทำสมาธิ พลางคิดถึงแผนการณ์ของเขาเมื่อกลับไปถึงสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์
เวลาผ่านไปเช่นนั้นอย่างแช่มช้า หลังจากนั้นสองวัน เรือบินรบเวทของหวังเป่าเล่อที่ไม่พบอุปสรรคใดๆ ก็เดินทางกลับมาถึงอาณาเขตของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ชายหนุ่มไม่ได้แวะไปคำนับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก่อน แต่มุ่งหน้ากลับไปยังกองทหารผ่าวิญญาณเลยแทน
เมื่อหวังเป่าเล่อจากไปในตอนแรก เขาได้ทิ้งหุ่นเชิดเอาไว้มากมาย พร้อมออกคำสั่งให้พวกมันสร้างฐานที่มั่นให้เขา ดังนั้นเมื่อเขากลับมาถึง ความรกร้างว่างเปล่าในตอนแรกจึงหากไป และมีสิ่งปลูกสร้างปกคลุมอยู่ทั่วเฉกเช่นเดียวกับที่ฐานที่มั่นของกองทัพควรจะมี อีกทั้งชายหนุ่มยังมองเห็นหุ่นเชิดจำนวนมหาศาลที่ยังง่วนอยู่กับการก่อสร้าง
ในขณะเดียวกัน จำนวนเรือบินรบที่ถูกหลอมขึ้นมาในช่วงนี้ก็พุ่งเฉียดหมื่นลำ ทำให้ฐานที่มั่นของหวังเป่าเล่อขณะนี้ดูทรงพลังยิ่ง
แน่นอนว่า ระดับของเรือบินรบนั้นแตกต่างกันออกไป เพราะอย่างไรเสีย วัตถุดิบที่มีก็ยังขาดแคลน ส่งผลให้ต้องใช้วัตถุดิบระดับต่ำลงมาเพื่อหลอมเรือบินรบ แต่ถึงอย่างนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังพึงพอใจไม่ใช่น้อย
ดังนั้น หลังจากที่ตรวจตราเสร็จ หวังเป่าเล่อก็เมินเจ้าอู๋น้อยและเจ้าลาที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะไปนั่งขัดสมาธิอยู่คนเดียวในห้องลับ หลังจากที่เรียบเรียงความคิดเสร็จสรรพ หวังเป่าเล่อก็ไม่เสียเวลา รีบยกมือขวาขึ้นมาทันที ก่อนจะโบกเรียกแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ทันทีที่แผ่นหยกปรากฏขึ้น ชายหนุ่มก็รีบส่งข้อความแจ้งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เพื่อท้าสู้กับกองทหารระดับสูงทันที!
“กองทหารผ่าวิญญาณต้องการท้าสู้กับกองทหารอันดับสอง!”
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะท้าสู้กับกองทหารอันดับหนึ่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และเอาชนะได้ และก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการของกองทหารอันดับสี่ก็ปฏิบัติกับเขาอย่างดีงาม หนำซ้ำหวังเป่าเล่อย่อมไม่ท้าสู้กับกองทัพของเทพธิดาหลิงโยวที่อยู่อันดับห้าแน่
ดังนั้นจึงเหลือเพียงกองทหารอันดับสามและสองเท่านั้น ชายหนุ่มคงจะเสียหายบ้างจากการท้าสู้นี้ แต่หวังเป่าเล่อไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ จึงตัดสินใจท้าสู้กับกองทหารอันดับสองทันที
หลังจากที่ชำระค่าใช้จ่ายเสร็จเรียบร้อย ก็ยังต้องจัดการเอกสารการสมัครเพื่อท้าประลองอีกระยะหนึ่งเพราะมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะที่หวังเป่าเล่อเฝ้ารอผลลัพธ์อยู่นั่นเอง ข่าวเรื่องการต่อสู้ระหว่างเขากับผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็ค่อยๆ แพร่ออกไปและสั่นคลอนบรรยากาศภายนอกอย่างช้าๆ
เป็นการยากยิ่งที่จะปกปิดข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวการปะทะกันครั้งนั้น เพราะอย่างไรเสียก็มีผู้ฝึกตนจากขั้วการเมืองอื่นที่เห็นการต่อสู้ในอวกาศไกลโพ้น ในเวลาเดียวกัน คลื่นพลังแทรกแซงที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ก็ยิ่งใหญ่มาก การต่อสู้กันระหว่างผู้ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะย่อมดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ เป็นธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าพลังปราณของอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกถึงกับเสียหาย ทำให้ข่าวที่ออกมายิ่งน่าตื่นตาตื่นใจเข้าไปอีก
“หลงหนานจื่อกลับมาอย่างยิ่งใหญ่! เขาทำลายพลังปราณของรองผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำเสียยับเยิน!”
“หลงหนานจื่อไปพบโชคก้อนใหญ่ในต่างแดน ทำให้พลังปราณรุดหน้าไปไกลลิบ จนบรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะเสียเฉยๆ!”
“สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเพิ่มอีกคนแล้ว!”
“พอหลงหนานจื่อกลับมา เขาก็เข้าไปสู้กับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ แถมยังได้เปรียบอีกด้วย!”
ข้อมูลต่างๆ แพร่กระจายออกไปอย่างช้าๆ ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แน่นอนว่า ต้องมีผู้ฝึกตนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้ยินข่าว อันที่จริงแล้ว สิ่งที่พวกเขารู้นั้นยิ่งแม่นยำกว่าข่าวลือจากโลกภายนอกเสียอีก
เหตุการณ์นั้นทำเอาบรรดาผู้ฝึกตนจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ถึงกับตัวสั่น ยิ่งไปกว่านั้น ภายในสำนัก ข่าวเรื่องกองทหารผ่าวิญญาณไปท้าสู้กับกองทหารอันดับสองก็แพร่กระจายออกไป ทำให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ไม่เพียงผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าจิตวิญญาณอมตะเท่านั้นที่สนใจ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเองก็เริ่มจับตามองข่าวนี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น เทพธิดาหลิงโยวเองก็เดินทางออกจากดาวเคราะห์ของนางแล้วมุ่งหน้าไปยังกองทหารผ่าวิญญาณเพื่อพบหวังเป่าเล่อทันทีที่ทำได้
พวกเขาพบกันเพียงสามสิบนาทีเท่านั้น เมื่อเทพธิดาหลิงโยวจากมา กองทหารลำดับที่ห้าของนางก็ประกาศออกไปทันทีว่าเทพธิดาหลิงโยวจะขอเป็นพาหนะให้กองทหารผ่าวิญญาณด้วยความตั้งใจของนางเอง สถานะของหวังเป่าเล่อจึงเทียบเท่ากับเทพธิดาหลิงโยวในกองทหารของนางเอง ในเวลาเดียวกัน นางก็ประกาศอีกว่ากองทหารของนางได้สร้างความสัมพันธ์อันลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับกองทหารผ่าวิญญาณและจะขอเคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กันนับแต่นี้!
และหลังจากที่เทพธิดาหลิงโยวจากไป ผู้บัญชาการของกองทหารอันดับสี่ ผู้ที่เคยนอนหลับใหลอยู่บนด้วงเกราะดำใกล้เขตชายแดนและช่วยหวังเป่าเล่อไว้ก่อนหน้านี้ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะก่อนจะครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้น เขาก็จัดแจงให้ลูกน้องนำของขวัญชิ้นใหญ่ไปมอบให้กองทหารผ่าวิญญาณ
แค่นั้นก็แสดงความเป็นมิตรของเขาได้เป็นอย่างดี!
ทั้งหมดนี้ทำให้ชื่อหลงหนานจื่อเป็นที่กล่าวขวัญถึงไปทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในขณะนั้น หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากทุกๆ ขั้วอำนาจ ก็กำลังถือแผ่นหยกและส่งผู้ฝึกตนคนหนึ่งออกไปยังอวกาศ
ผู้ที่ชายหนุ่มกำลังน้อมส่งไปนั้น คือรองผู้บัญชาการกองทหารอันดับสี่ ผู้อยู่ในขั้นแสร้งอมตะและมีพลังปราณที่ยอดเยี่ยม
แผ่นหยกนั้นเป็นของขวัญที่ผู้บัญชาการกองทหารอันดับสี่ส่งมาให้ ภายในจุไปด้วยข้อมูลโดยละเอียดของกองทหารอันดับสอง
กองทหารวงแหวนกาลเวลา…ชื่อนี้โดดเด่นดีแท้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อตรวจสอบแผ่นหยกและเปรียบเทียบข้อมูลกับสิ่งที่เทพธิดาหลิงโยวบอกและสิ่งที่เขารู้อยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มรู้ได้รางๆ ว่ากองทหารอันดับสองแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นเป็นเช่นไร
ผู้บัญชาการกองทหารอันดับสอง ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงมีตบะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง และมีผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะเป็นลูกน้องถึงห้าคน ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการพัฒนาของพวกเขาก็แตกต่างจากกองทหารอันดับหนึ่ง กองทหารวงแหวนกาลเวลาไม่มีหน่วยย่อย แต่รวมกำลังพลทั้งหมดเอาไว้ในกองทัพใหญ่! เมื่อคิดไปพลางเทียบข้อดีข้อเสียไป หวังเป่าเล่อก็ได้บทวิเคราะห์เล็กๆ เอาไว้ในใจ
เป้าหมายหลักของการต่อสู้นี้ไม่ใช่ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงแต่คือผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะทั้งห้า! หวังเป่าเล่อหลุบศีรษะลงมองที่อุ้งมือ เมื่อชายหนุ่มพลิกฝ่ามือครั้งหนึ่ง แหวนห้าวงมาปรากฏอยู่บนนั้น
แหวนทั้งห้าวงมีสีแตกต่างกัน เทพธิดาหลิงโยวทิ้งไว้ให้เขาเมื่อนางมาเยือน เมื่อชายหนุ่มสังเวยแหวนทั้งห้านี้ เขาก็จะสามารถผนึกผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะทั้งห้าไว้ได้สองชั่วโมง!
น่าสนใจดีนี่ ดูเหมือนว่ายังมีผู้ที่เกลียดกองทหารลำดับหนึ่งอยู่มากพอดู เทพธิดาหลิงโยวก็ให้แหวนปิดผนึกกับข้า ขณะที่กองทหารอันดับสี่ก็ส่งข้อมูลเบื้องลึกมาให้ แม้ว่าทั้งหมดนี้จะแสดงความใจดี แต่พวกเขาก็ทำเพราะรู้ดีว่าเป้าหมายของข้าคือกองทหารอันดับหนึ่ง พวกเขาต้องการให้ข้าไปสู้ให้กองทหารอันดับหนึ่งอ่อนกำลังลง ประกายกล้าฉายชัดอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อ ความชาญฉลาดของชายหนุ่มทำให้เขาอ่านลูกไม้นี้ออกได้ไม่ยาก
เอาอย่างนั้นก็ได้ พวกเราทุกคนต่างก็มีเป้าหมายของตนเอง! หวังเป่าเล่อฉีกยิ้ม ชายหนุ่มเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงแหงนคอขึ้นมองฟ้า ขณะที่แหงนหน้าขึ้นนั้น ท้องฟ้าก็ส่งเสียงครั่นครืนสนั่น ก่อนจะมีหลุมดำขนาดมหึมาปรากฏออกมาจากสรวงสวรรค์ ดูคล้ายอุโมงค์ แล้วจึงมีเสียงทุ้มต่ำดังลั่นออกมา กระจายไปทั่วดาวเคราะห์ที่กองทหารผ่าวิญญาณตั้งอยู่
“คำท้าต่อสู้จากกองทหารผ่าวิญญาณถึงกองทหารวงแหวนกาลเวลาได้รับการรับรองแล้ว การต่อสู้จะเริ่มขึ้นในสิบลมหายใจ!”
เร็วขนาดนั้นเชียว หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปด้วยการหมุนตัวเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้น เกราะมหาจักรพรรดิพุ่งเข้าสวมกายเขาเอาไว้ ก่อนที่พลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะจะปะทุออกมา เงาร่างของเขาไม่ได้หยุดนิ่ง แต่เคลื่อนไหวพุ่งตรงเข้าไปยังหลุมดำบนท้องฟ้าราวกับเป็นดาวหาง!
เขาพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วก่อนจะหายไปในพริบตา
เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็มาอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ ชายหนุ่มมาปรากฏตัวอยู่บนพื้นที่รกร้างที่เต็มไปด้วยสะเก็ดดาว
มีสะเก็ดดาวอยู่ดาษดื่นทั่วบริเวณ แถมยังกระจายออกไปรอบนอกอีกด้วย หากมองจากที่ไกลๆ ก็ดูคล้ายกับจะเป็นทะเลสะเก็ดดาว ที่นี่คือฐานที่มั่นของกองทหารวงแหวนกาลเวลา บนสะเก็ดดาวแต่ละชิ้นก็มีฐานที่มั่นเล็กๆ ตั้งอยู่ และในตอนนั้น ผู้ฝึกตนที่สวมชุดสีดำจำนวนมากก็กำลังยืนจ้องหวังเป่าเล่อเขม็งอย่างเยือกเย็น
เมื่อได้เห็นสถานที่นี่ แค่จำนวนผู้ฝึกตนก็นับไม่ถ้วนแล้ว ไหนจะเรือบินรบที่ลอยอยู่ระหว่างสะเก็ดดาวอีก ราวกับว่ามันเป็นเส้นเขตแดนที่ปิดผนึกทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ก็ไม่ปาน!
โดยเฉพาะในบรรดาผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วน มีรัศมีห้าสายที่สั่นคลอนทั้งสวรรค์แล้วพื้นพสุธาราวกับเป็นดวงจันทร์ทั้งห้ารวมอยู่ด้วย รัศมีเหล่านั้นคือพลังรบกวนระดับแสร้งอมตะ ซึ่งมีรัศมีการทำลายล้างพอๆ กับพลังอันเหลือล้น และบนสะเก็ดดาวตรงกลางระหว่างรัศมีทั้งห้านั้น ก็มีชายวัยกลางคนนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาสวมชุดสีขาวโพลนและมีผมยาวเต็มศีรษะ บุรุษผู้นั้นดูสง่า แต่ในมือข้างหนึ่งกลับถือกระดูกอสูร และกกำลังเปิดปากแทะกินคำแล้วคำเล่า
ภาพนี้ปรากฏในคลองจักษุของหวังเป่าเล่อ ทำให้ชายหนุ่มหรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะยกมือประสานขึ้นไปทางบุรุษในชุดสีขาวพร้อมโค้งให้เล็กน้อย
“ข้าน้อยคารวะศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง”
“หลงหนานจื่อ เจ้ากล้ามานั่งจิบเหล้ากับข้าสักหน่อยไหมเล่า” ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงพยักพเยิด มีประกายประหลาดปรากฏขึ้นในแววตา ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะแสยะยิ้มขึ้นมาพลางพูดเชื้อเชิญ
บทที่ 840 คำเตือนและคำขู่!
หากร่างจริงของเขาอยู่ที่นั่นด้วย หวังเป่าเล่อก็อาจบอกว่าตนไม่กล้า แต่ร่างสารัตถะของเขาแทบจะไม่ได้รับผลจากพิษใดๆ เลย ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้ร่างสารัตถะถูกพิษได้ แต่ยาพิษที่จะใช้กับชายหนุ่มได้ผลนั้นมีราคาแพงเสียจนคงมีไม่กี่คนที่กล้านำมาใช้วางยาเขาเปล่าๆ ปลี้ๆ
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเลิกคิ้วขึ้นและหัวเราะคิกคักออกมา ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นวางมาดและแผ่รัศมีความโอบอ้อมอารี ทำทีเป็นว่าไม่เกรงกลัวความตายสักเท่าใด หรือก็คือ แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้จักความตายนั่นเอง
“หลงหนานจื่อต้องอยากร่ำสุรากับสหายร่วมสำนักเต๋าคู่หลิงแน่นอน!” ไม่ทันขาดคำ หวังเป่าเล่อก็กระโจนพลิกกายก่อนจะแปลงเป็นสายรุ้งทอดยาว ชายหนุ่มพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงผ่านชั้นสะเก็ดดาวชั้นแล้วชั้นเล่า เขาไม่แม้กระทั่งจะปรายตามองเหล่าผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวงแหวนกาลเวลาที่ต่างพากันจับจ้องมองมาด้วยสายตาดุร้าย หวังเป่าเล่อเดินทางผ่านผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะห้าคน กระทั่งมาถึงสะเก็ดดาวชิ้นที่ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงนั่งอยู่
ชายหนุ่มไม่ได้กระมิดกระเมี้ยนแม้แต่น้อย เขาเลือกที่จะนั่งลงประจันหน้ากับศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงทันทีที่มาถึง หวังเป่าเล่อหยิบจอกสุราบนโต๊ะขึ้น เอียงคอมอง ก่อนจะกระดกสุราลงคอไปหมด เขาไม่ได้ใส่ใจรสชาติของสุราแต่อย่างใด แต่กลับเอ่ยปากชมเปาะขึ้นมาทันที
“เหล้าดีนี่!”
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ แววตาของศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายขึ้นมา เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อหัวจรดเท้า ก่อนจะวางกระดูกอสูรในมือลง หยิบจอกสุราของตนขึ้น ไม่อนาทรกับมือทั้งสองข้างที่มันปลาบ และดื่มเข้าไปจนหมด จากนั้นก็พูดออกมาอย่างนิ่งเฉย
“หลงหนานจื่อ ด้วยระดับปราณขั้นแสร้งอมตะของเจ้า ยังบังอาจมาท้าทายกองทหารของข้า ที่อยู่ในอันดับสองอย่างนั้นหรือ เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร”
“หากไม่ลองข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า” หวังเป่าเล่อหัวเราะ ก่อนจะหยิบน้ำเต้าที่บรรจุสุราไว้ขึ้นมา แล้วรินให้ตนเองอีกจอก
“หากเจ้าแพ้เล่า” สีหน้าของศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงเรียบเฉยขณะเริ่มถามคำถามต่อไป
“ข้าคงไม่แพ้หรอก” หวังเป่าเล่อกระดกสุราเข้าไปจนหมดแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปาก คำสรรเสริญรสสุราก่อนหน้านี้ของชายหนุ่มนั้นไม่ผิดนัก รสชาติของมันเข้าขั้นยอดเยี่ยมทีเดียว
“หากเจ้าชนะเล่า” ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงถามอีกครั้ง
“หลังจากที่ข้าชนะ ก็คงต้องวางแผนไปท้าทายกองทหารอันดับหนึ่งต่อไป” หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะเบนสายตาไปมองหน้าศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง
ผู้ถูกจ้องมองหรี่ตาลง หลังจากที่มองหวังเป่าเล่ออยู่ชั่วอึดใจ คู่หลิงก็หัวเราะขึ้นมาก่อนจะยกมือขวาขึ้น ในทันใดนั้น พลังปราณทั้งหมดของเขาก็ระเบิดอออกมา ระดับปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน พลังปราณของผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะทั้งห้าที่อยู่รอบกายเขาก็ระเบิดออกมาเช่นกัน ผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวงแหวนกาลเวลานับแสนที่รายล้อมอยู่ก็ทำเช่นเดียวกัน พลังของพวกเขาทำให้รู้สึกเหมือนว่ามีพายุใหญ่พัดผ่านจักรวาลรอบบริเวณสะเก็ดดาวนั้น
หากมองจากที่ไกลๆ ก็อาจสามารถมองเห็นพายุหมุนขนาดมหึมาที่ก่อตัวขึ้นในบริเวณนั้นได้ มันมีรูปร่างคล้ายปากของอสูรที่หมายกลืนกินหวังเป่าเล่อเข้าไปทั้งตัว ประกายเย็นเยียบสะท้อนขึ้นมาในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ขณะที่ผลึกสีชาดหมุนวนอยู่ไปมา คลื่นรบกวนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็พุ่งทะยานออกมา รัศมีกดดันกระจายออกมาตามกัน แม้จะไม่รุนแรงเท่าพลังของศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง แต่ก็รุนแรงพอที่จะทำให้รู้สึกว่า ชายหนุ่มสามารถรับมือคู่หลิงได้อย่างสมน้ำสมเนื้อแน่นอน!
ในแง่หนึ่ง ความรู้สึกนั้นก่อขึ้นมาจากประสบการณ์และความมั่นใจของหวังเป่าเล่อ ในอีกแง่ ชายหนุ่มก็มีเปลวเพลิงดารานิรันดร์อยู่ในกาย ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงสัมผัสถึงความมั่นใจนั้นได้ทันที ก่อนจะมีประกายเล็กๆ สะท้อนขึ้นในแววตา หลังจากพินิจพิจารณาหวังเป่าเล่ออย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาจึงลดมือขวาที่ยกขึ้นมาเมื่อครู่ลง
ขณะที่มือขวาของศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงค่อยๆ ลดระดับลงนั้น คลื่นพลังปราณรบกวนจากผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวงแหวนกาลเวลาโดยรอบก็สลายไป เฉกเช่นเดียวกับพลังจากขั้นแสร้งอมตะทั้งห้า บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่อันตรธานไปในพริบตา
ฉากนี้ทำให้นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายลุ่มลึก ชายหนุ่มเก็บงำความเคลือบแคลงเอาไว้ในใจ ก่อนจะเก็บเกราะจักรพรรดิกลับไปแล้วนั่งอยู่ตรงนั้นต่อ พลางจ้องหน้าศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงอยู่อย่างนั้น
ทั้งคู่ต่างก็จ้องหน้ากันข้ามโต๊ะอยู่เป็นเวลาราวสามลมหายใจ หลังจากนั้น ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงก็ละสายตาไปก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย
“เจ้าชอบสุราของข้าหรือไม่”
“ไม่เลวเลย” หวังเป่าเล่อดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่ตอบออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าจะให้สุราเจ้าไปเลยก็แล้วกัน กองทหารวงแหวนกาลเวลาขอยอมแพ้!” ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะเงยศีรษะมองจักรวาล น้ำเสียงที่เขาพูดนั้นดังราวกับเป็นฟ้าร้องที่เบียดชำแรกเข้าไปในความว่างเปล่า หลังจากพูดจบ เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนจะหมุนกายทะยานออกจากสะเก็ดดาวไป ผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวงแหวนกาลเวลาและเรือบินรบทั้งหมดต่างพากันล่าถอย บินตามศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงและเร่งความเร็วจากไปในหมู่สะเก็ดดาว
ในไม่ช้า ก็ไม่เหลือผู้ฝึกตนในบริเวณนั้นอีกนอกจากหวังเป่าเล่อเพียงผู้เดียว
“น่าสนใจนี่” ชายหนุ่มนั่งอยู่เช่นนั้น หรี่ตาลง ก่อนจะหยิบน้ำเต้าขึ้นมา หลังจากที่ดื่มของเหลวในน้ำเต้าเข้าไปอึกใหญ่ ชายหนุ่มก็รู้แน่แก่ใจ ในความเป็นจริง เมื่อหวังเป่าเล่อเข้าไปถึงบริเวณนั้น ชายหนุ่มก็พอจะคาดเดาได้แล้วในใจ หลังจากเหตุการณ์กับศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง เขาก็ยิ่งแน่ใจว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้อง
ชายหนุ่มคาดเดาไว้ว่า…ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงไม่ต้องการต่อสู้!
เฉกเช่นเดียวกับเทพธิดาหลิงโยวและผู้บัญชาการกองทัพอันดับสี่ พวกเขาต่างเลือกจะช่วยหวังเป่าเล่อ มากน้อยแตกต่างกันไป โดยมีเป้าหมายคือการรอให้กองทัพอื่นอ่อนแรง แม้ว่าเป้าหมายของทุกคนคือกองทัพอันดับหนึ่ง แต่ก็ย่อมเป็นการดีหากกองทัพอันดับสองจะอยู่ในสภาพอ่อนล้าเช่นกัน
ฝ่ายศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง การที่เขาเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพแถมยังบรรลุถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางได้ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนโง่เขลา เห็นได้ชัดว่า ตัวเขาเองก็มีความมักใหญ่ใฝ่สูงอยู่เช่นกัน ดังนั้น เมื่อเห็นระดับปราณและพลังการยุทธ์ของหวังเป่าเล่อ ประกอบกับข้อมูลที่รับรู้อยู่แล้ว ผู้บัญชาการกองทัพอันดับสองจึงตัดสินใจยอมแพ้ เมื่อเล็งเห็นว่าหวังเป่าเล่อมีความสามารถที่จะต่อกรกับกองทหารอันดับสองได้จริงดังว่า
สำหรับเขาแล้ว การยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย เป้าหมายของเขานั้นเรียบง่ายนัก จนไม่อาจเรียกว่าเป็นแผนการชั่วร้ายได้เลย มันควรเรียกว่าเป็นกลยุทธ์อันเฉียบคมมากกว่า เขาต้องการจะเห็นการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างหวังเป่าเล่อและกองทหารอันดับหนึ่ง!
ด้วยวิธีนี้ ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงก็จะได้รับโอกาสงามที่อาจจะมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต!
และเพื่อได้มาซึ่งโอกาสนั้น ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงจึงไม่สนใจเลยว่าจะชนะหรือแพ้ในวันนี้
เป็นจิ้งจอกเฒ่าเหมือนกันทุกคนจริงๆ หลังจากที่กำจัดสุราในน้ำเต้าจนหมดเรียบ หวังเป่าเล่อก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพลิกกายแล้วพุ่งทะยานผ่านชั้นสะเก็ดดาวออกไป ขณะกำลังกลับไปยังกองทหารผ่าวิญญาณของเขา ก่อนที่จะย่างกรายเข้าไปยังประตูกระแสวนเคลื่อนย้ายนั้น หวังเป่าเล่อก็หยุดชะงัก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองออกไปยังจักรวาลที่อยู่ไกลห่าง
ทันทีที่เขามองออกไปนั้น เสียงลั่นครั่นครืนก็ดังขึ้นในอวกาศ หัตถ์สองข้างที่เหมือนจะเดินทางมาจากต่างมิติพลันปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า หัตถ์ทั้งสองนั้นจับความว่างเปล่าที่รายล้อมอยู่แล้วดึงแยกออก ขณะที่บังเกิดเสียงดังลั่นเขย่าสวรรค์ รอยฉีกขนาดมหึมาก็เผยออกมา
ภายในรอยฉีกมีร่างเงาขนาดมโหฬารที่ฉาบคลุมไปด้วยสีดำสนิท ร่างเงานั้นมีหนามแหลมปกคลุมทั่วร่างแถมยังแผ่รัศมีน่าเกรงขามออกมาไม่หยุดหย่อน พลังแทรกแซงของพลังปราณเกือบเทียบเท่าขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง ร่างเงานั้นก็คือ…อี้เหนียนจื่อแห่งกองทหารอันดับหนึ่งนั่นเอง!
เบื้องหลังเขามีกระแสพลังรบกวนอีกเก้าสาย มีทั้งบุรุษและสตรี แถมทุกคนยังสวมชุดเกราะที่แข็งแกร่ง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่เรือบินรบเวท แต่พลังยุทธ์ของแต่ละคนก็ล้วนกล้าแข็ง กระแสพลังรบกวนทั้งเก้านั้นต่างก็เป็นขั้นแสร้งอมตะทั้งสิ้น แน่นอนว่า พวกเขาก็คือนักรบอมตะของกองทหารอันดับหนึ่งนั่นเอง!
เบื้องหลังของพวกเขามีเรือบินรบจำนวนมหาศาลเรียงแถวกันเต็มเส้นขอบฟ้า ความยิ่งใหญ่นั้นมากล้นเพียงพอที่จะเขย่าวิญญาณของใครก็ตามที่ได้พบเห็น ยิ่งไปกว่านั้น ในจำนวนเรือบินรบมหาศาลนั้น มีเรือบินรบเวทอยู่ห้าลำ ที่กำลังแผ่คลื่นรบกวนขั้นจิตวิญญาณอมตะออกมา!
เรือบินรบเวททั้งห้าทำเอานัยน์ตาของหวังเป่าเล่อหดเล็กลง
นอกจากนั้นแล้ว…ด้านหลังไปอีก ยังมีวังขนาดใหญ่ลอยอยู่ แม้จะมองไม่เห็นผู้คนด้านใน แต่จากรัศมีอันสั่นคลอนสวรรค์บีบคั้นจักรวาลที่แผ่กระจายผ่านบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งหมดจากภายในวัง ก็ทำให้เดาตัวตนของผู้ที่อยู่ภายในได้ไม่ยาก
แน่นอนว่า ผู้ที่อยู่ภายในก็คือ… ผู้บัญชาการกองทหารอันดับที่หนึ่ง กูโม่นั่นเอง! บุรุษผู้นี้เป็นรองเพียงปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เท่านั้นและอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์!
“หลงหนานจื่อ ข้าให้โอกาสเจ้าเลือกเข้าร่วมกองทหารอันดับหนึ่งอีกครั้ง” ในขณะที่จิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นไหว อี้เหนียนจื่อก็พูดอย่างใจเย็น เสียงของเขาสะท้อนก้องไปทั่วผ่านรอยแยกจักรวาลนั้น
มันไม่ใช่คำเชิญ แต่เป็นคำขู่ ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำเตือน!
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไป ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอี้หนานจื่อและผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะทั้งเก้าเท่าใดนัก แต่เรือบินรบเวททั้งห้าทำเอาชายหนุ่มหนักใจ ไหนจะยังมีกูโม่อีก…
“ไม่ตอบอย่างนั้นหรือ เอาอย่างนั้นก็ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เจ้าไม่ชอบขี้หน้าข้าไม่ใช่หรือ ข้ารอให้เจ้ามาท้าสู้อยู่นะ!” อี้หนานจื่อหรี่ตาก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง
หวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นจ้องมองอี้หนานจื่ออย่างสงบ ชายหนุ่มมองเห็นกองทหารที่เตรียมพร้อมอยู่ภายในรอยแยก เขาไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดขณะที่หันหลัง ก่อนจะก้าวเข้าไปในประตูกระแสวนเคลื่อนย้ายและอันตรธานไปในพริบตา
เมื่อหวังเป่าเล่อหายตัวไป นัยน์ตาของอี้หนานจื่อก็มีความเสียดายปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง หากหวังเป่าเล่อท้าเขาสู้ในตอนนั้น ทุกๆ อย่างก็คงเข้าทางพอดิบพอดี เพราะในแง่หนึ่ง การท้าเขาต่อสู้ก็นับเป็นการท้าทายกองทหารอันดับหนึ่งด้วยเช่นกัน
“ไม่เลว เขาไม่ใช่คนโง่ เขามองเห็นปัญหาทะลุปรุโปร่ง” อี้หนานจื่อพึมพำ ก่อนจะหันกลับไปคารวะอย่างนอบน้อมยังทิศทางของปราสาทที่ลอยอยู่ห่างออกไป หลังจากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นโบก รอยฉีกในอวกาศพลันปิดตัวกลับเข้าไป จักรวาลกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ในเวลาเดียวกันนั้น หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งเพิ่งเคลื่อนย้ายกลับมาถึงกองทหารผ่าวิญญาณ ก็มีสีหน้าวิตกกังวลสุดขีดทันทีที่ก้าวออกมา ชายหนุ่มยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน หลังจากนั้นจึงมีความปลงตกปรากฏขึ้นในแววตา เขาหยิบแผ่นหยกสื่อสารที่เซี่ยไห่หยางมอบไว้ให้ขึ้นมาส่งข้อความเสียงไป
“สหายร่วมสำนักเต๋าไห่หยาง เรื่องข่าวที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้ หากว่ามันมีโอกาสจะช่วยให้ข้าบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะจริงๆ แล้วละก็…ข้าเอาด้วย!”
บทที่ 841 สุสานหลวง!
ผลึกสีชาดสามพันผลึกนั้นแพงเหลือเชื่อสำหรับหวังเป่าเล่อ ทั้งตอนนี้และในอดีต อันที่จริงแล้ว หากบอกราคานี้ออกไป ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็คงต้องคลั่งไปตามๆ กัน
แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็ยังต้องหวั่นไหว นั่นจึงเป็นเหตุให้หวังเป่าเล่อปฏิเสธเซี่ยไห่หยางไปก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มคิดว่าเซี่ยไห่หยางพยายามขูดเลือดขูดเนื้อตน แต่ตอนนี้ หวังเป่าเล่อคิดว่าโอกาสการได้บรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะนั้น หากเทียบกับทรัพย์สินเล็กน้อยเช่นผลึกสีชาดสามพันผลึกก็นับว่าคุ้มค่า!
เมื่อข้าบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะเมื่อใด ข้าก็จะสามารถต่อกรกับกูโม่ได้หากมีคำสาปของหน้ากากช่วย… แม้อาจจะเห็นได้ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้ชนะ แต่ข้าก็คงจะพอป้องกันตัวเองจากเขาได้บ้าง! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ในใจพลางรอคอยคำตอบจากเซี่ยไห่หยาง
สิบห้านาทีต่อมา น้ำเสียงแปลกใจของเซี่ยไห่หยางก็ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของแผ่นหยกสื่อสาร
“ศิษย์พี่เป่าเล่อหรือ ฮะฮ่า ในที่สุดเจ้าก็ติดต่อข้ามาจนได้ พวกเรานั้นอย่างไรก็เสมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน ข้าจะโกงเจ้าได้อย่างไรเล่า ข้าจะบอกให้ เคล็ดลับของข้านี้มีโอกาสที่จะช่วยให้เจ้าบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ แต่ต้องขอเตือนเอาไว้ก่อนเลย ว่ามันเป็นเพียงโอกาสเท่านั้น เจ้าจะคว้าเอาไว้ได้หรือไม่…ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง
“แน่นอนว่า หากเจ้าอยากจะจ่ายผลึกสีชาดเพิ่มอีกสักหน่อย ข้าก็จะพยายามหาช่องทางแล้วส่งโอกาสนั้นไปให้เจ้าโดยตรง ทุกอย่างนี้สามารถพูดคุยกันได้”
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงความลิงโลดใจของเซี่ยไห่หยางผ่านแผ่นหยก หลังจากที่บ่นอุบอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อก็ถามราคาที่ต้องจ่ายเพื่อจะได้โอกาสนั้นเอาไว้ในกำมือ
“ห้าหมื่นผลึกสีชาด!”
เซี่ยไห่หยางกระฉับกระเฉงขึ้นทันตาพลางพูดด้วยน้ำเสียงคาดหวัง
บัดซบ…เมื่อได้ยินราคานั้น คำนี้ก็เป็นคำเดียวที่ปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังคิดว่าเซี่ยไห่หยางช่างเป็นพ่อค้าหน้าเลือดเสียจริง เขาได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในอกก่อนจะกล่าวว่า “ตกลง ข้าจะขอติดเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน”
“ฮะฮ่า อย่าล้อข้าเล่นเลย ศิษย์พี่เป่าเล่อ ขอให้ข้าได้บอกเคล็ดลับราคาสามพันผลึกกับเจ้าก่อน” เซี่ยไห่หยางกระแอมกระไอ เลี่ยงที่จะตอบประเด็นก่อนหน้า ก่อนจะเริ่มพูดเรื่องเคล็ดลับที่ว่า
“ว่าไปสิ” หวังเป่าเล่อพูดด้วยความรู้สึกรำคาญใจ
“ข้าเกรงว่า…เจ้าคงต้องจ่ายเงินต้นมาก่อน” เซี่ยไห่หยางรีรอ
“ศิษย์น้องไห่หยาง! เจ้าไม่เชื่อใจข้ากระนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อกำแผ่นหยกสื่อสารแน่นพลางพูดเน้นทุกถ้อยคำ
“อ่า…ก็ได้ๆ ไหนๆ เจ้าก็ติดต่อข้ามาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่เจ้ามี ข้าจะไม่ปิดเจ้าอีกต่อไป เจ้าไม่ต้องจ่ายก่อนก็ได้ ข้าจะบอกแหล่งที่มาของโอกาสนั้นให้” เซี่ยไห่หยางถอนหายใจ
“มีคนไม่กี่คนในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของเจ้าที่ล่วงรู้เรื่องนี้ จะว่าไปอาจมีเพียงราชวงศ์เท่านั้นกระมัง ข้อมูลนี้นับเป็นความลับที่รู้กับแค่ในแวดวงเท่านั้น”
“เป็นเพราะว่า เคล็ดลับนี้พูดถึงสุสานราชวงศ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เซี่ยไห่หยางก็จงใจลดเสียงลงเพื่อเพิ่มความลึกลับเข้าไป
“สุสานหรือ” หวังเป่าเล่อนิ่งขึง
“ใช่แล้ว สถานที่ฝังศพราชนิกูลทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่ผู้ก่อตั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นต้นมา ที่รู้จักกันในนามจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ จนกระทั่งถึงจักรพรรดิพระองค์ก่อน”
“ภายในสุสานหลวงนั้นคือโอกาสที่เจ้าตามหา มันเป็นที่ต้องการของราชวงศ์แห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์รุ่นก่อนๆ แต่พวกเขาก็ยังคว้าเอามาครองไม่ได้ หากเจ้าสามารถทำได้ ข้าขอรับรองว่าเจ้าจะต้องบรรลุไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ทันทีอย่างแน่นอน!” เซี่ยไห่หยางพูดไปแล้วจู่ๆ ก็หยุด กระดกลิ้นหนึ่งครั้ง ก่อนจะหยุดพูดไปโดยปริยาย
หวังเป่าเล่อรออยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายหยุดพูดไปจริงๆ ชายหนุ่มก็รู้ว่าเซี่ยไห่หยางต้องการเงินต้น หวังเป่าเล่อกัดฟันก่อนจะถามว่า “ข้าจะจ่ายผลึกให้เจ้าได้ทางใดบ้าง”
“เจ้าเพียงแค่วางผลึกลงบนแผ่นหยกเคลื่อนย้ายเท่านั้น แต่เจ้าพูดอะไรกันศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าจะไม่ไว้ใจเจ้าและอยากให้เจ้าจ่ายเงินต้นมาให้ขณะที่กำลังให้ข้อมูลเจ้าได้อย่างไรกัน ที่ข้าหยุดพูดไปเพราะมีธุระสำคัญจะต้องไปสะสางเท่านั้น” เซี่ยไห่หยางพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
หวังเป่าเล่อคร้านเกินจะใส่ใจ ชายหนุ่มเพียงแต่หยิบผลึกสีชาดออกมาแล้วส่งไปให้อีกฝ่ายสามพันก้อนตามตกลง
“เจ้าช่วยเล่าต่อได้หรือยัง” เมื่อชำระเงินเสร็จ หวังเป่าเล่อก็พูดต่ออย่างใจเย็น
“ฮะฮะฮ่า ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าช่างเถรตรงเสียจริง ไม่ต้องห่วงไป จากตอนนี้จนถึงเมื่อข้าพูดจบ ข้าจะนับว่าผู้ที่ขัดคอข้าเป็นศัตรูทุกคนไป ข้าจะตั้งสมาธิอยู่กับเจ้าตลอดช่วงเวลานี้” แม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่เซี่ยไห่หยางก็เริ่มจริงจังมากขึ้น แถมยังพูดจาออดอ้อนทันทีก่อนจะเล่าทุกสิ่งที่เขารู้ให้หวังเป่าเล่อฟัง
“สุสานหลวงเป็นอาณาเขตหวงห้ามของราชวงศ์แห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ สถานที่นั้นมีพลังเทพแห่งสายโลหิต แปลว่าจะไม่ต้อนรับผู้ที่ไม่มีเลือดขัตติยะเด็ดขาด ดังนั้น หากเจ้าเข้าไปแล้ว ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าจะต้องรู้สึกแน่นอนว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้อนรับ ราวกับว่าสุสานหลวงทั้งหมดรังเกียจเจ้าเสียเต็มประดา ฉะนั้นแล้ว เจ้าจะต้องว่องไว!
“อีกอย่างหลังจากที่เข้าไปแล้ว ยิ่งเข้าไปลึกเท่าใด การต่อต้านนั้นก็จะยิ่งรุนแรงเท่านั้น ในส่วนที่ลึกที่สุด ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งของประตูเข้าสู่สุสานหลวงด้านใน แรงต่อต้านจะรุนแรงเสียจนน่าทึ่งทีเดียว ดังนั้น…ทันทีที่เจ้าก้าวเข้าไปในอาณาเขตหวงห้าม หรือบริเวณด้านนอกของสุสานหลวง เวลาจะเริ่มนับถอยหลัง เจ้ามีเวลาราวๆ สิบห้านาทีเท่านั้น ในทางทฤษฎีแล้ว เจ้าไม่มีทางไปถึงส่วนในของสุสานหลวงได้เลยเพราะเวลาเท่านั้นไม่พอแน่ๆ อีกทั้งเจ้ายังต้องการเวลาเพื่อจะปลดผนึกประตูหลักของสุสานหลวงอีก”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้ว ภาพของสุสานหลวงปรากฏขึ้นมาในใจเขาเรียบร้อยจากคำอธิบายของเซี่ยไห่หยาง เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า สุสานหลวงแบ่งได้เป็นส่วนในและส่วนนอก โดยจุดศูนย์กลางของสุสานคือประตูทางเข้าหลัก
“แต่ศิษย์พี่เป่าเล่อ ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารับผลึกสีชาดจากเจ้ามาแล้ว แต่ข้าไม่ได้จะขายให้แค่ข้อมูลเท่านั้นหรอกนะ โปรดนำแผ่นหยกสื่อสารที่ข้าให้ติดตัวไปด้วย และติดต่อมาหาข้าทันทีที่เจ้าผ่านส่วนนอกและเข้าไปใกล้ประตูหลักของสุสานหลวงได้ ข้าจะช่วยเคลื่อนย้ายเจ้าเข้าไป” น้ำเสียงของเซี่ยไห่หยางฟังดูมั่นอกมั่นใจ ราวกับว่าพึงพอใจกับการบริการของตนเสียเต็มประดา
“หลังจากที่เจ้าได้เคลื่อนย้ายเข้าไปยังส่วนด้านในของสุสานแล้ว เจ้าจะคว้าโอกาสมาได้ทันเวลาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เมื่อพูดจบ แผ่นหยกสื่อสารก็เขย่าเบาๆ หวังเป่าเล่อส่งดวงจิตไปตรวจสอบดูด้วยความสงสัย แล้วจึงสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังแทรกจากบนแผ่นหยกสื่อสารนั้น วินาทีต่อมา แผนที่ของสุสานหลวงก็ปรากฏขึ้นในใจเขา
เหตุการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหรี่ตาลง หลังจากที่มองดูแผ่นหยกสื่อสารในมืออย่างถี่ถ้วน ชายหนุ่มก็หลับตาพิจารณาแผนที่อย่างตั้งใจ แม้ว่าแผนที่นั้นจะแตกต่างจากที่เขาจิตนาการไว้ไปบ้าง แต่ก็ยังคล้ายคลึงกันพอสมควร เป็นความจริงที่บริเวณนั้นถูกแบ่งเป็นส่วนด้านในและด้านนอก
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ นอกจากจะช่วยเหลือเจ้าในการเปิดประตูหลักของสุสานหลวงแล้ว ผลึกสีชาดสามพันชิ้นที่เจ้าจ่ายมายังครอบคลุมไปถึงบริการเคลื่อนย้ายไปกลับอีกสองครั้ง เมื่อเจ้าพร้อม ข้าก็จะส่งเจ้าไปยังด้านหน้าสุสานหลวงทันที!
“เช่นกัน หากเจ้าต้องการจะเดินออกมาจากบริเวณด้านใน เพียงกดใช้แผ่นหยก ข้าก็จะสามารถเคลื่อนย้ายเจ้ากลับมาที่เดิมได้ทันทีเช่นกัน!”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า ข้านี่พึ่งได้ใช่หรือไม่!” เซี่ยไห่หยางพูดต่อไปอย่างคึกคัก ส่วนของหวังเป่าเล่อนั้นไม่ได้ตอบคำ แต่กลับครุ่นคิดอย่างหนัก
ชายหนุ่มวิเคราะห์สถานการณ์ในใจอย่างถ้วนถี่ หลังจากผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง ประกายแสงก็สว่างวาบขึ้นระหว่างดวงตาทั้งสองของหวังเป่าเล่อ
“เคลื่อนย้ายเดี๋ยวนี้!”
“ได้เลย!” เซี่ยไห่หยางหัวเราะก่อนจะใช้กระบวนท่าปริศนาออกมา ในอีกอึดใจเดียว ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าระเบิดออกมาจากแผ่นหยกในมือของหวังเป่าเล่อ แสงนั้นกระจายออกไปและห้อมล้อมกายหวังเป่าเล่อเอาไว้ในพริบตาก่อนจะจางหายไป
ดูราวกับว่าเป็นช่วงเวลาครู่เดียวแต่ก็เหมือนผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อสายตาของหวังเป่าเล่อกลับมามองเห็นอีกครั้ง เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ที่โลกใบใหม่แล้ว!
ท้องฟ้าเป็นสีแสด และแผ่นดินก็มีสีดำสนิท ห่างออกไป มีภูเขาและพื้นที่เขียวขจีมากมาย แต่ก็ยังมีสายลมสีดำที่พัดโชยเอากลิ่นสาปสางของความตายมาพร้อมกัน สายลมนั้นพัดมาจากทุกทิศทุกทางก่อนจะกรรโชกผ่านร่างของหนุ่มไป จากนั้นก็สลายตัวไปสิ้น ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกแปร่งและความหนาวเย็น!
ห่างออกไป มีเสาสูงใหญ่จำนวนหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ เสาเหล่านั้นดูราวกับว่ากำลังค้ำยันท้องฟ้าเอาไว้ไม่ให้ถล่มลงมา มีสายฟ้าสีดำสนิทที่ไหลไปมาอยู่บนเสา ส่งเสียงครั่นครืนพลางสั่นคลอนวิญญาณของสรรพชีวิตที่มองไปเห็น
สถานที่นั้น…ไม่ใช่ดาวเคราะห์ของกองทหารผ่าวิญญาณอีกต่อไป ทว่า…เป็นดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ที่นี่คือสุสานหลวง อาณาเขตหวงห้ามภายในดินแดนปิดตายของราชวงศ์!
เมื่อมองไปยังสิ่งรอบข้าง หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจลึก ชายหนุ่มรู้สึกประทับใจพลังของเซี่ยไห่หยางอยู่ลึกๆ
ข้าจะทิ้งขว้างผลึกสีชาดสามพันชิ้นไม่ได้ โอกาสนี้…ข้าจะคว้ามันเอาไว้ให้จงได้! เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้ตัวว่าเวลามีจำกัด ชายหนุ่มพลิกกายโผทะยานไปอย่างไม่รอช้า เมื่อแผนที่ปรากฏขึ้นมาในใจ เขาก็เร่งความเร็วมุ่งหน้าไปยังประตูหลักของสุสานหลวงในทันที!
เมื่อหวังเป่าเล่อพุ่งทะยานออกไปนั้น จู่ๆ ชายหนุ่มก็หรี่ตาลง เงาของเขาหยุดเคลื่อนไหว หลังจากที่ใช้ประสาทสัมผัสลองควานไปรอบกาย ความเคลือบแคลงสงสัยก็ปรากฏขึ้นในดวงตา
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น