หมอดูยอดอัจฉริยะ 836-839
ตอนที่ 836 ทรัพยากรที่สมบูรณ์
“อาจารย์ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
เมื่อเห็นสายตาของเยี่ยเทียนกวาดมองตัวเอง เหลยหู่จึงอดสั่นสะท้านไม่ได้ ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่ได้จงใจแผ่อำ นาจของตัวเองออกมา แต่ความน่าเกรงขามที่ไร้ตัวตนแบบนั้นก็สามารถทำให้เหลยหู่ถึงกับเข่าอ่อนได้
“ฉันไม่เป็นไร”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วพูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ว่า
“ก่อนที่ฉันจะเข้าฌาน ฉันได้ใช้เสียงบอกแกแล้ว ว่าอย่ารบกวนฉันไม่ใช่เหรอ? ทำไมแกถึงมารบกวนการฝึกวรยุทธของฉัน?”
การฝึกวรยุทธครั้งนี้ มีข้อดีมากมายจนเยี่ยเทียนไม่สามารถพูดหรือเปรียบเทียบได้ กระทั่งเขามีความรู้สึกว่าถ้าตัวเองเข้าใจหลักของการหลอมรวมปราณวิเศษทั้งหมดแล้ว ไม่แน่ว่าเขาก็อาจจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นปลายได้ เพียงแต่ความโชคดีนี้กลับถูกเหลยหู่ทำลายเสีย
“อาจารย์ ท่าน…ท่านเข้าฌานมาครึ่งปีกว่าแล้วนะครับ”
เหลยหู่กระแอมเสียง แล้วจึงพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“ช่วงนี้ดูเหมือนสัตว์ร้ายบนเกาะจะเข้ามารบกวน มีบางส่วนมาอยู่บริเวณใกล้ๆ ชายหาด และกระท่อมไม้หลังนี้ก็อยู่ใกล้ภูเขามากเกินไป ผมกลัวว่าอาจารย์จะได้รับบาดเจ็บครับ”
ถึงแม้นิสัยเดิมของเหลยหู่นั้นจะไม่ได้มีคุณธรรมอะไรมากนัก แต่เยี่ยเทียนมองไม่ผิดอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือความกตัญญูรู้คุณ หลังจากกราบเยี่ยเทียนเป็นอาจารย์แล้ว เหลยหู่จึงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง ที่ไม่เหมือนกับการปฏิบัติต่อผู้อาวุโสของสมาคมหงเหมิน
ดังนั้นหลังจากที่เขาพบว่ามีพลังปราณชีวิตของสัตว์ร้ายที่มีพลังแข็งแกร่งเข้าใกล้หาดทรายนั้น จึงคิดอยากจะปลุกเยี่ยเทียนอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงนี้พวกสัตว์ร้ายบนเกาะจะเกิดการเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น เหลยหู่ถึงไม่สนใจว่าจะถูกเยี่ยเทียนดุด่า จึงปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมา
“ฉันเข้าฌานนานครึ่งปีกว่าเรอะ?”
เยี่ยเทียนได้ยินก็ตกตะลึง ไม่ได้ฟังคำพูดที่เหลยหู่พูดต่อจากนั้น เขาพอจะนึกภาพออกว่า ตัวเองหายตัวไปนานครึ่งปีกว่า จะทำให้ครอบครัวที่อยู่โลกภายนอกร้อนใจมากแค่ไหน
“และแล้วการอยู่ในนี้ก็ไร้มิติแห่งกาลเวลาจริงๆ…”
เยี่ยเทียนก้มหน้ามองตัวเอง จึงเห็นฝุ่นเกาะอยู่บนไหล่ทั้งสองข้างเป็นชั้นๆ หลังจากเยี่ยเทียนลุกขึ้น ฝุ่นละอองทั้งหลายจึงกระจายร่วงหล่นลงมาจากตัว
เขาถอนหายใจ มือขวาของเยี่ยเทียนคว้าจับไปกลางอากาศ เบาะรองนั่งสมาธิที่อยู่บนพื้นก็ถูกดูดเข้ามาอยู่กลางฝ่ามือ เยี่ยเทียนมองเหลยหู่แล้วพูดว่า
“ถือว่าครึ่งปีที่ผ่านมาแกก็ไม่ได้อยู่เปล่าๆ ขาดอีกก้าวเดียวก็สามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับเซียนเทียนได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะช่วยแกอีกแรงหนึ่ง!”
“ขอบคุณครับอาจารย์!” เหลยหู่ได้ยินจึงดีใจเป็นอย่างมาก รีบเข้าไปรับวัตถุที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียนอย่างเป็นการเอาใจ
หลังจากเสียแขนขวาไปข้างหนึ่ง เหลยหู่ถึงได้ตระหนักว่ามีเพียงพลังที่สุดยอดเท่านั้น ถึงจะเป็นแก่นแท้ที่สุด ดังนั้นช่วงที่เยี่ยเทียนฝึกวรยุทธตลอดครึ่งปีนี้ เขาก็ไม่ได้ทำตัวให้ว่างเลย อาศัยเงื่อนไขเฉพาะของที่นี่ ไม่เพียงแต่สามารถสร้างความเสถียรของระดับก่อนหน้านี้ หนำซ้ำยังสามารถฝึกวรยุทธเข้าสู่ระดับพลังสับเปลี่ยนขั้นปลายได้แล้ว
เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วพูดว่า
“ฉันถือเองก็พอแล้ว ของชิ้นนี้มีความแปลกประหลาด อาจจะถึงแก่ความตายได้ วรยุทธของแกไม่ถึง หากสัมผัสแล้วจะไม่ใช่เรื่องดี!”
ปราณวิเศษธาตุไม้ที่แฝงอยู่ในของสิ่งนี้นั้น มีประโยชน์สูงต่อคนอย่างแน่นอน แต่ดังคำโบราณว่าไว้สิ่งต่างๆ เมื่อพัฒนาไปถึงจุดหนึ่งก็จะกลับกลายไปในทางตรงกันข้าม หากเหลยหู่ไปสัมผัสปราณวิเศษชนิดนี้อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องดี และนี่ก็คือสิ่งที่เยี่ยเทียนเข้าใจและรู้แจ้งจากการฝึกตนครั้งนี้
“อาจารย์ นี่มันคืออะไรกันแน่ครับ?”
สำหรับสิ่งของที่มีลักษณะเหมือนเบาะรองนั่งสมาธินั้น เหลยหู่ก็ฉงนสนเท่ห์มากเช่นกัน เขารู้ว่าตัวเองเลื่อนขั้นได้เร็ว ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับของชิ้นนี้ที่ตัวเองลงนั่งสมาธิอย่างแน่นอน
เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวอีกสักพักลองไปดูว่าท่านนักพรตจางได้บันทึกอะไรไว้หรือเปล่า!”
เดิมทีเยี่ยเทียนคิดว่าของสิ่งนี้อาจมีส่วนผสมของพลอยวิเศษธาตุไม้ แต่ตอนที่เขาลองสัมผัสด้วยตัวเองนั้น กลับพบว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิด ของสิ่งนี้ดูเหมือนจะมีปราณวิเศษที่แฝงตัวอยู่ในไม้ท่อนนี้ กระทั่งยังบริสุทธิ์มากกว่าพลอยวิเศษธาตุไม้เสียอีก
หากเยี่ยเทียนอยู่ในโลกของมนุษย์ก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือ แต่ในโลกของการฝึกวรยุทธนั้นกลับไม่รู้อะไรสักอย่าง ดังนั้นจึงไม่อาจวิเคราะห์ความเป็นมาของสิ่งนี้ได้ จึงได้แต่นำบันทึกของจางซันเฟิงมาค้นหาประวัติความเป็นมาของวัตถุชิ้นนี้
“โกรล!”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดกันอยู่ ในป่าที่อยู่ไกลๆ นั้น ก็เกิดเสียงคำรามขึ้นมาอย่างกะทันหัน เป็นเสียงที่ดังมาก จนกระทั่งทำให้กระท่อมไม้สะเทือน ฝุ่นละอองตกลงมาจากไม้กระดานที่อยู่เหนือศีรษะ
เยี่ยเทียนยื่นมือออกไป ปรากฏปราณแท้ก่อตัวเป็นลักษณะสายน้ำวน ลอยอยู่กลางอากาศด้านหน้าลำตัว ดูดฝุ่นละอองที่อยู่เต็มทั่วห้องเข้าไปทั้งหมด เยี่ยเทียนพูดพลางขมวดคิ้วว่า
“หืม? วรยุทธของสัตว์ร้ายตัวนี้น่าจะอยู่ระดับเซียนเทียนขั้นปลาย ทำไมมันถึงมาที่นี่?”
ถึงแม้ในเขตแดนนี้จะมีสัตว์ร้ายน้อยกว่าในภูเขา แต่เยี่ยเทียนก็ไม่กลัวมัน นับตั้งแต่เยี่ยเทียนเห็นฉงฉีก็มองออกว่า ถึงแม้สัตว์ร้ายพวกนี้จะมีวรยุทธสูง แต่เหมือนด้านสติปัญญาจะยังไม่เกิด อีกทั้งยังไม่ฉลาดแสนรู้เหมือนกับเหมาโถวที่อยู่เสินหนงเจี้ยอีกด้วย เมื่อมีมีดบินคู่กาย เยี่ยเทียนจึงมีความมั่นใจมากว่าตัวเองสามารถเอาชนะสัตว์ร้ายที่อยู่ในเขตแดนแห่งนี้ได้
“อาจารย์ ช่วงนี้สัตว์ร้ายที่อยู่ในเกาะดูเหมือนจะบ้าคลั่งมาก มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกฟ้าผ่าตาย…”
เหลยหู่มีวรยุทธเพียงแค่ระดับโฮ่วเทียน เขายังต้องการน้ำและอาหารในการบำรุงร่างกาย ทุกสามหรือห้าวัน เหลยหู่จะต้องพายแพชูชีพไปจับปลาในทะเล เขาพบว่าบนชายหาดที่ห่างออกไปหนึ่งพันกว่าเมตรจากกระท่อมไม้ที่เป็นจุดศูนย์กลางนั้น เกิดเหตุการณ์ของสัตว์ป่าดุร้ายกำลังบุกโจมตีค่ายกลอยู่
แต่สิ่งที่ทำให้เหลยหู่สบายใจก็คือ แม้ว่าสัตว์ดุร้ายจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถต้านทานสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากฟากฟ้าได้เลย ยกเว้นเพียงไม่กี่ตัวที่สามารถหนีเข้าไปในเกาะได้อีก ส่วนใหญ่แล้วจะถูกฟ้าผ่าตายกันหมด ทำให้เหลยหู่ได้ลิ้มรสเนื้อย่างสดใหม่ไม่น้อย
“มีค่ายกลใหญ่คอยคุ้มกันอยู่ แกไม่ต้องกลัวหรอก!”
หลังจากได้ยินเหลยหู่พูดจบแล้ว เยี่ยเทียนจึงครุ่นคิดพักหนึ่ง แล้วพูดว่า
“ฉันจะจัดระเบียบบันทึกของนักพรตจางอีกหน่อย แกไปฝึกวรยุทธข้างนอกเถอะ!”
เยี่ยเทียนเชื่อว่า จางซันเฟิงใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งนี้มาหลายร้อยปี จะต้องพบอะไรบางอย่าง และมู่เจี่ยนที่วางกองอยู่ในมุมห้องพวกนั้น ไม่แน่อาจจะมีสิ่งที่ตัวเองต้องการทำความเข้าใจ ดังนั้นจึงรีบไล่เหลยหู่ออกไป เพื่อทยอยดูมู่เจี่ยนเหล่านั้น
…
มู่เจี่ยนที่จางซันเฟิงหลงเหลือไว้ ส่วนใหญ่เป็นบันทึกการฝึกบำเพ็ญตบะในช่วงสองพันกว่าปีของตัวเอง จึงเล่าเรื่องเกี่ยวกับเขตแดนต่างๆ ได้อย่างละเอียดมาก หนึ่งในนั้นมีเนื้อหาที่ทำให้เยี่ยเทียนอ่านแล้วสบายใจ ซึ่งสามารถไขข้อข้องใจในการฝึกวรยุทธได้ไม่น้อย และบ่อยครั้งเพียงแค่ประโยคเดียว ก็สามารถสะกิดให้เยี่ยเทียนต้องนั่งทำสมาธิขึ้นมา
เพียงแต่การทำเช่นนี้ ทำให้ความเร็วในการจัดระเบียบมู่เจี่ยนช้าลงเป็นอย่างมาก เขาใช้เวลาทั้งหมดสองเดือนกว่า จึงสามารถแยกประเภทของมู่เจี่ยนทั้งหมดเรียบร้อย สิ่งที่วางอยู่ขวามือของโต๊ะคือการฝึกจิต และที่วางอยู่ซ้ายมือกลับน้อยลงมาหน่อย เป็นบันทึกบางส่วนของจางซันเฟิง เกี่ยวกับสิ่งที่เคยเห็นและได้ยินบนเกาะเซียน “เผิงไหล” แห่งนี้
หลังจากอ่านสิ่งที่ได้พบและได้ยินพวกนั้นแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้ความเป็นมาของ “เบาะรองนั่งสมาธิ” ที่ตัวเองนั่งสมาธิมาตลอด
ที่แท้บนเกาะนี้เรียกอีกอย่างว่าเกาะดิน มีต้นไม้ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ก็คือต้นหม่อนโบราณที่เยี่ยเทียนเคยเห็นก่อนหน้านี้ ต้นไม้ชนิดนี้ต่ำที่สุดก็มีความสูงประมาณหนึ่งร้อยเมตร พบเห็นน้อยมากบนเกาะแห่งนี้ ทั้งหมดมีเพียงสิบกว่าต้นเท่านั้นซี่งน้อยมากเหลือเกิน
เบาะรองนั่งสมาธินี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสิบเซ็นติเมตรกว่าๆ ความจริงแล้วมันคือหัวใจของต้นหม่อนโบราณ มีครั้งหนึ่งตอนที่จางซันเฟิงต่อสู้กับสัตว์ร้าย ได้ทำร้ายต้นหม่อนขนาดใหญ่ต้นนั้นโดยไม่ตั้งใจ หลังจากสัตว์ร้ายล่าถอยไปแล้ว เขาจึงรับรู้ถึงพลังชีวิตบางอย่างที่มาจากตอไม้ที่แตกหัก
เมื่อเห็นว่าต้นไม้ยักษ์อาจจะไม่รอดแล้ว จางซันเฟิงจึงขุดต้นไม้ท่อนหนึ่งที่ยังมีพลังชีวิตอยู่ออกมา แล้วทำมันเป็นเบาะรองนั่งสมาธิทุกวัน จางซันเฟิงประเมินคุณค่าของมันสูงมาก และเขาจะนั่งมันเกือบทุกครั้งที่ฝึกวรยุทธ
หลังจากได้แก่นของต้นไม้ท่อนนี้มาแล้ว จางซันเฟิงก็เคยคิดจะไปตัดต้นไม้ยักษ์อื่นๆ เพียงแต่อย่างแรกคือข้างๆ ของต้นไม้ยักษ์เหล่านั้นจะมีสัตว์ดุร้ายที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย อย่างที่สองด้วยนิสัยที่รักสงบของจางซันเฟิง พอคิดคำนวณดูแล้ว ก็ไม่ได้ลงมือทำ
หลังจากอ่านบันทึกส่วนนี้แล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่มีความคิดที่จะไปเอาแก่นของต้นไม้อีก เพราะแม้แต่จางซันเฟิงก็ยังรู้สึกกลัวสัตว์ดุร้าย ซึ่งน่าจะมีพลังยุทธระดับจินตันเป็นอย่างน้อย ยกเว้นสมองของเยี่ยเทียนจะใช้การไม่ได้แล้วถึงจะกล้าเข้าไป
ส่วนเรื่องที่สัตว์ร้ายพวกนั้นที่บุกโจมตีชายหาด เยี่ยเทียนก็ได้รับคำตอบจากบันทึกของจางซันเฟิงเช่นกัน
ที่แท้ค่ายกลยักษ์ที่ปิดล้อมเกาะแห่งนี้ ทุกยี่สิบปีจะมีช่วงหนึ่ง ที่พลังอานุภาพของค่ายกลจะอ่อนแรงมาก ทำให้สัตว์ร้ายที่ถูกขังอยู่บนเกาะแห่งนี้ เลือกที่จะบุกทำลายค่ายกลในช่วงเวลานี้ ซึ่งมักจะกินเวลานานถึงหนึ่งปีเต็ม
จังหวะที่เยี่ยเทียนกับเหลยหู่เข้ามาอยู่ที่นี่ ก็เป็นช่วงเวลาบ้าคลั่งของสัตว์ร้ายเหล่านั้นพอดี เหตุการณ์ที่เหลยหู่เห็นนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าหากไม่ใช่เพราะปราณวิเศษที่กระท่อมไม้นี้มีเปี่ยมล้นมากที่สุด การลงทัณฑ์ของสายฟ้าฟาดก็คงรุนแรงดุเดือดเช่นกัน เกรงว่าสัตว์ร้ายพวกนั้นคงจะบุกโจมตีไปนานแล้ว
แต่ข้อมูลที่มีคุณค่ามากที่สุดของจางซันเฟิง กลับไม่ใช่สองสิ่งนี้ แต่เป็นสิ่งที่เขาเคยค้นพบว่า ในเกาะที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่มหึมาแห่งนี้ มีธาตุทั้งห้าได้แก่ ธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุดินครบทุกอย่าง นอกจากนี้พลอยวิเศษสองชนิดอย่างธาตุไม้และธาตุดินที่ล้ำค่าและมีน้อยมากที่สุดในโลกภายนอกนั้น กลับอุดมสมบูรณ์มากที่สุดในเกาะแห่งนี้
ด้วยวรยุทธระดับจินตันขั้นปลายของจางซันเฟิง กลับไม่สามารถใช้พลอยวิเศษเหล่านั้นเพื่อเลื่อนขั้นได้อีก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปขุดพลอยวิเศษพวกนั้น นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่เยี่ยเทียนไม่พบพลอยวิเศษชนิดใดๆ ในกระท่อมไม้หลังนี้
แต่ในบันทึกของจางซันเฟิง กลับทำให้เยี่ยเทียนดีใจแทบบ้า เพราะการดูดซับพลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดิน จำเป็นต้องแปรเปลี่ยนพลังให้เป็นปราณแท้ของตัวเองก่อน แต่การดูดซับปราณวิเศษจากพลอยวิเศษนั้น ร่างกายสามารถรองรับเข้าไปได้โดยตรง เมื่อใช้พลอยวิเศษในการฝึกวรยุทธ จะทำให้เยี่ยเทียนพัฒนาได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
“เหลยหู่!”
รวมเวลาของการฝึกฝนก่อนหน้านี้ เยี่ยเทียนใช้เวลาอยู่ในกระท่อมไม้แปดเก้าเดือนเต็มๆ เพิ่งได้ออกมาจากกระท่อมเป็นครั้งแรก จึงเรียกเหลยหู่ที่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนหาดทราย
“อาจารย์ ท่านออกมาแล้วหรือครับ?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนออกมาแล้ว เหลยหู่จึงรีบเดินไปต้อนรับ ครั้งนี้เยี่ยเทียนไม่ได้เก็บตัวถือศีล เหลยหู่จึงสามารถถามปัญหายากที่จะพบเจอขณะที่ฝึกวรยุทธกับเยี่ยเทียนได้อยู่บ้าง
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป แกเอาอันนี้ไปฝึกนะ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปี แกจะสามารถเปลี่ยนจากพลังโฮ่วเทียนเป็นระดับเซียนเทียนได้แล้ว!”
เยี่ยเทียนนำพลอยวิเศษธาตุน้ำยื่นให้เหลยหู่ พลางคิดในใจว่าเจ้านี่โชคดีจริงๆ เพราะอายุศิษย์พี่ทั้งสองคนของเขาเมื่อรวมกันแล้วก็มีอายุเกินหนึ่งร้อยหกสิบปีแล้ว กลับมีสภาพไม่ต่างไปจากของเหลยหู่เลย
โดยเฉพาะโก่วซินเจีย เนื่องจากไม่มีพลอยวิเศษที่เหมาะสม จึงไม่อาจเปลี่ยนจากพลังปราณชีวิตให้เป็นปราณแท้ได้ ทำให้ยังติดอยู่ในขั้นหลอมปราณสู่จิตมาตลอด
ตอนที่ 837 ต้นหม่อนโบราณ
“นี่คืออะไรครับ?”
เหลยหู่รับพลอยวิเศษธาตุน้ำมาด้วยความสงสัย ปราณวิเศษอันเยือกเย็นกระตุ้นจนเขาสั่นไปทั้งตัว จากนั้นบนใบหน้าจึงมีสีหน้าดีใจออกมา
เหลยหู่สามารถสัมผัสได้ว่า ก้อนหินที่ดำสนิทเหมือนหยกดำชิ้นนี้ มีปราณวิเศษแฝงอยู่ ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นปราณแท้โดยตรงจากภายในร่างกายของเขา และที่สำคัญที่สุดคือ ปราณแท้ที่เปลี่ยนแปลงนั้น เหมือนจะแตกต่างจากเมื่อก่อนอยู่เล็กน้อย
สัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของระดับโฮ่วเทียนที่จะเข้าสู่ระดับเซียนเทียน ก็คือพลังปราณชีวิตเปลี่ยนเป็นปราณแท้ การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ จำเป็นต้องใช้พลอยวิเศษที่มีคุณสมบัติเดียวกันกับร่างกาย เหมือนกับโก่วซินเจียที่ยังติดอยู่ที่ขั้นสูงสุดของระดับโฮ่วเทียนและยังไม่อาจเลื่อนขั้นได้เสียที สาเหตุเนื่องจากเยี่ยเทียนยังหาพลอยวิเศษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมให้เขาไม่ได้
ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ เยี่ยเทียนเคยเล่าถึงความแตกต่างระหว่างระดับเซียนเทียนกับระดับโฮ่วเทียนให้เหลยหู่ฟัง ดังนั้นหลังจากที่ได้รับพลอยวิเศษธาตุน้ำชิ้นนี้ เหลยหู่จึงดีใจแทบบ้า เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว และจะมีพลังยุทธเหมือนกับอาจารย์เสียที
“แต่ก่อนทำไมฉันถึงมองโชคชะตาของแกไม่ออกนะ?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางถอนหายใจ แล้วพูดว่า
“ช่วงนี้แกก็นั่งฝึกวรยุทธอยู่บนแก่นของต้นไม้นั่นก็แล้วกัน บางทีอาจจะมีส่วนช่วยต่อการเลื่อนขั้นของแก”
“อาจารย์ แต่ก่อนศิษย์จิตใจต่ำช้า ทำเรื่องชั่วมากมาย ต่อไปผมจะทำตัวเป็นคนดีตรงไปตรงมาแน่นอนครับ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ใบหน้าของเหลยหู่จึงมีสีหน้าละอายใจออกมา การฝึกพลังจิตนั้น เป็นการขยายขอบเขตของสมองอย่างหนึ่ง หลังจากเข้าสู่ระดับพลังสับเปลี่ยนขั้นปลายแล้ว จิตใจของเหลยหู่นั้นกระจ่างแจ้งมากขึ้น จึงรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เคยทำไว้ในอดีตทั้งหมด
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องในอดีตแล้ว แกตั้งใจฝึกวรยุทธเถอะ!”
เยี่ยเทียนโบกมือ เขาสามารถมองออก ถึงการพัฒนาวรยุทธของเหลยหู่ และโหงวเฮ้งของเหลยหู่นั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ก่อนหน้านั้นความหมองคล้ำและโหดเหี้ยมบนใบหน้าได้หายไปหมดแล้ว แต่กลับเป็นความสงบสุขและเปิดเผยตรงไปตรงมาเข้ามาแทนที่ จึงเป็นการแสดงว่าจิตใจของเหลยหู่นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก
“อาจารย์ ท่านจะไปไหนเหรอครับ?”
หลังจากเยี่ยเทียนสั่งแล้ว จึงหมุนตัวเดินไปยังทางเดินเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างภูเขาที่อยู่ข้างกระท่อมไม้ ทำให้เหลยหู่ตกใจหน้าซีดอย่างช่วยไม่ได้ รีบตะโกนเรียกทันที
“อาจารย์ สัตว์พวกนั้นที่อยู่ในภูเขาต่อสู้ยากนะครับ ท่าน…ท่านอยู่ที่นี่จะปลอดภัยมากกว่า!”
ช่วงที่เยี่ยเทียนเก็บตัวถือศีลรวมทั้งจัดระเบียบมู่เจี่ยน เหลยหู่ได้เห็นความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายพวกนั้นกับตาตัวเอง อย่าว่าแต่เหาะเหินมุดลงดินเลย แต่ละตัวนั้นสามารถทลายภูเขาพลิกแม่น้ำได้ทั้งนั้น เขาเคยเห็นสัตว์ร้ายที่หลบสายฟ้าฟาด แล้วกระแทกไปโดนเนินเขาที่สูงเท่าเอวแห่งหนึ่งจนหักมากับตาตัวเอง
ถึงแม้เหลยหู่จะรู้ถึงความแข็งแกร่งของเยี่ยเทียน แต่ถ้าหากเยี่ยเทียนเจอสัตว์ร้ายพวกนั้นเข้า เหลยหู่ก็เป็นห่วงเยี่ยเทียนอยู่ดี ถึงได้พูดห้ามเยี่ยเทียนไม่ให้เข้าไปในภูเขา
“ไม่เป็นไร แกฝึกวรยุทธอย่างสบายใจเถอะ ฉันจะระวังตัว!”
หลังจากอ่านมู่เจี่ยนที่จางซันเฟิงทิ้งเอาไว้แล้ว เยี่ยเทียนจึงเข้าใจเกาะแห่งนี้มากขึ้น ซึ่งไกลเกินกว่าจินตนาการของเหลยหู่เสียอีก บนมู่เจี่ยนพวกนั้น ยังบอกถึงการกระจายความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายที่อยู่บนเกาะรวมทั้งอาณาเขตของพื้นที่ สัตว์ร้ายที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุด มักจะครอบครองส่วนใดส่วนหนึ่งในแต่ละฝ่าย ต่างคนต่างอยู่โดยไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน
ในเกาะเซียน “เผิงไหล” นี้ มีสัตว์แปลกประหลาดมากมายนับไม่ถ้วนที่มีพรสวรรค์สามารถบำเพ็ญตบะได้ เพียงแต่พวกมันก็มีข้อดีและข้อเสียแยกกันไป นั่นก็คือสติปัญญาของมันที่เกิดช้าจำเป็นต้องบำเพ็ญตบะเทียบเท่ากับระดับ จินตันของผู้ฝึกตนก่อนถึงจะมีสติปัญญาแสนรู้เหมือนเด็กอายุประมาณสิบขวบได้
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกเป็นเซียนหรือปีศาจที่บำเพ็ญตบะก็ตาม การเบิกสติปัญญานั้นสำคัญเป็นอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ปราณวิเศษที่อยู่บนเกาะจะมีอย่างเปี่ยมล้น แต่สัตว์ประหลาดที่สามารถฝึกถึงขั้นจินตันได้จริงๆ นั้น กลับมีน้อยมากเหลือเกิน จางซันเฟิงที่เดินทางท่องเที่ยวบนเกาะนี้เกือบสิบกว่าปี ก็เห็นเพียงแค่สิบกว่าตัวเท่านั้น
ซึ่งสิบกว่าตัวนี้ถูกจางซันเฟิงเรียกว่าสัตว์ปีศาจ ”ระดับต้าเยา” โดยพื้นฐานแล้วต่างจะอยู่เฝ้าอาณาเขตของตัวเอง ฝึกบำเพ็ญตบะเป็นปกติ จะออกมาข้างนอกน้อยมาก นอกจากนี้จางซันเฟิงก็ยังระบุตำแหน่งขอบเขตอำนาจของพวกมันเอาไว้อย่างชัดเจน ขอเพียงเยี่ยเทียนไม่เข้าไปก็จะไม่ถูกโจมตี
นอกจากสัตว์ปีศาจระดับต้าเยาแล้ว ยังมีสัตว์ร้ายที่ติดอยู่ในขั้นที่จะก้าวเข้าสู่ระดับต้าเยา ซึ่งเยี่ยเทียนยังพอที่จะต่อสู้ได้ วรยุทธของเยี่ยเทียนในตอนนี้ได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นกลางแล้ว ห่างจากขั้นปลายเพียงแค่เส้นเดียว ถึงแม้ว่าจะสู้ไม่ได้ แต่การหลบหนีนั้นก็ยังพอมั่นใจอยู่
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ว่างจนอยากไปหาเรื่องสัตว์ร้ายพวกนั้น จุดประสงค์ในการเข้ามาในภูเขาของเขา ก็เพื่อพลอยวิเศษทั้งห้าธาตุเหล่านั้นที่จางซันเฟิงบันทึกเอาไว้ ไม่ว่าจะสามารถออกไปจากเกาะนี้ได้หรือไม่ แต่หากใช้พลอยวิเศษประกอบในการฝึกปราณวิเศษที่อยู่ที่นี่ จะทำให้ความรวดเร็วเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน นี่คือความน่าดึงดูดบางอย่างที่เยี่ยเทียนไม่อาจต้านทานได้
“อาจารย์ ท่านระวังตัวหน่อยนะครับ!”
เหลยหู่ตะโกนตามหลังไปอย่างเป็นห่วง สาเหตุที่เขาสามารถฝึกวรยุทธได้อย่างสบายใจนั้น ก็เป็นเพราะเยี่ยเทียนผู้เป็นอาจารย์อยู่ด้วย แต่ตอนที่เห็นเยี่ยเทียนจะเข้าไปในภูเขา ทำให้ในใจของเขารู้สึกโหวงเหวงขึ้นมาทันที
“รู้แล้ว น้อยสุดก็สามวัน มากสุดก็หนึ่งอาทิตย์ เดี๋ยวฉันก็กลับมาแล้ว!”
เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วจึงก้าวขาออกไป ดูเหมือนพื้นดินจะหดสั้นลงไปนับสิบเมตร ภายในชั่วพริบตาก็เข้ามาอยู่กลางป่าเขาที่เขียวชอุ่มเป็นพุ่มพฤกษ์แล้ว
“สัตว์ร้ายที่วรยุทธไม่ถึงระดับต้าเยาหากไม่ฝึกพลังจิต ทำไมฉันต้องกลัวพวกมันด้วย?”
เยี่ยเทียนเดินอยู่บนทางเส้นเล็กๆ ในภูเขาด้วยจิตใจที่สงบ ถึงแม้การปล่อยพลังจิตบนเกาะแห่งนี้จะทำได้จำกัดมาก แต่เยี่ยเทียนก็สามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ที่อยู่รอบบริเวณหนึ่งกิโลเมตรได้ ต่อให้เจอสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งอะไร เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถหลบได้อย่างแน่นอน
“หืม? ที่นี่ก็ถือเป็นแดนสวรรค์อีกที่หนึ่งเหมือนกัน แม้แต่เจ้าสิ่งนี้ก็ยังมีวรยุทธระดับเซียนเทียนขั้นปลาย?”
หลังจากเยี่ยเทียนเข้าไปในป่าลึกได้ประมาณห้าสิบกิโลเมตรแล้ว ก็หยุดชะงักฝีเท้าทันที เพราะเขาพบว่าในหนองบึงที่อยู่ตรงหน้าตัวเองในระยะหนึ่งร้อยกว่าเมตรนั้น มีพลังปราณชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกมา เมื่อลองสัมผัสดูอย่างละเอียดแล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนจึงแสดงความตกใจออกมา
ตอนแรกเยี่ยเทียนไม่ได้พบเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดใดๆ แต่หลังจากที่ใช้พลังปราณชีวิตสัมผัสแล้ว จึงพบว่ามีคางคกขนาดเท่าโม่หินตัวหนึ่งเอาตัวมันแนบติดอยู่ในหนองบึง สีเทาอมดำที่หลังของมันเหมือนกับหนองบึงมาก จึงยากที่ใครจะสังเกตุเห็นได้ชัดเจน
ขณะที่เยี่ยเทียนใช้พลังปราณชีวิตสัมผัสคางคกที่ตัวใหญ่มากนั้น มันก็เหมือนจะสัมผัสอะไรได้เช่นกัน จึงขยับร่างอยู่ในบึงด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัย ดวงตาโตราวกับแสงไฟสว่างจ้าคู่นั้นก็กวาดมองไปทั่ว แล้วสิ่งที่อยู่ภายในปากที่อ้าใหญ่ของมัน ก็ค่อยๆ พองขึ้นมาอย่างช้าๆ
“โกรล!”
ตอนที่คางของมันพองเป็นลูกบอลนั้น คางคกตัวนี้ก็อ้าปากอย่างกะทันหัน แล้วส่งเสียงคำรามสนั่นหวั่นไหวออก มา ทำให้ทั่วทั้งป่าสั่นไหว เสียงที่มองไม่เห็นกระจายไปรอบทิศ รอบๆ บึงก็เหมือนจะเกิดพายุทอร์นาโดระดับสิบขึ้นมา พร้อมกับต้นไม้ที่หนาเท่าเอวบางส่วนแตกหักไป
“บ้าเอ้ย วิชาลมปราณคางคกของโอวหยางเฟิงไม่ได้ฝึกมาแบบนี้ใช่ไหม?”
ความจริงตอนที่ใต้คางของคางคกกำลังพองนั้น เยี่ยเทียนก็เพิ่มความระมัดระวังแล้ว แต่เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าการคำรามจะมีอานุภาพขนาดนี้ ขนาดเขาใช้ปราณแท้ปกป้องแก้วหู เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกมีเสียงดังหวึ่งอยู่ในหัวเลย
พอผ่านไปสักพักหนึ่ง เสียงคำรามนั่นก็สงบลง หนองบึงที่คางคกตัวนั้นซ่อนตัวอยู่ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นไม่น้อย เกิดพื้นที่ว่างเปล่ามากมายรอบบริเวณ
เยี่ยเทียนขยี้หูที่รู้สึกปวดบวม ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย เขาพบว่าตัวเองประเมินสัตว์ร้ายที่อยู่บนเกาะนี้ต่ำเกินไป แม้ว่าจะไม่มีวรยุทธระดับจินตัน ไม่สามารถใช้พลังจิตได้ แต่สัตว์ประหลาดพวกนี้ก็มีพรสวรรค์ในแบบของสัตว์ ใช่ว่าจะรังแกได้ง่ายๆ
หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ดูเหมือนคางคกตัวนั้นจะเหนื่อยพอสมควร ถึงแม้จะรู้สึกว่ารอบตัวยังมีคนแอบมองตัวเองอยู่ แต่คางคกก็หาไม่เจอ หลังจากมองไปรอบๆ แล้ว ร่างกายขนาดใหญ่ของมันจึงค่อยๆ จมลงไปในหนองบึง ในเขตนี้มันคือผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้ศัตรู ดังนั้นมันจึงไม่กลัวว่าจะมีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นมาโจมตีตัวเอง
เยี่ยเทียนก็ไม่ได้หยุดอยู่ตรงนี้นาน เดินอ้อมอาณาเขตของคางคกมุ่งตรงไปในภูเขาลึกต่อไป เป้าหมายของเขาในครั้งนี้ คือต้นหม่อนโบราณที่อยู่ใกล้หาดทรายมากที่สุด จากบันทึกของจางซันเฟิงนั้น ด้านล่างของต้นไม้มีสายแร่ของพลอยวิเศษธาตุดินแฝงอยู่ไม่น้อย
ถึงแม้จะมีแก่นของต้นไม้แล้ว แต่สำหรับพลอยวิเศษนั้น เยี่ยเทียนก็คิดเสียว่าเป็นเหมือน “หานซิ่นตรวจแถวทหาร” ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
โดยเฉพาะปราณวิเศษธาตุดินที่สามารถหล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่งและยังมีประสิทธิผลในการหลอมรวมปราณวิเศษให้เข้าด้วยกัน ซึ่งพลอยวิเศษธาตุอื่นนั้นไม่มีคุณสมบัตินี้ หากมีพลอยวิเศษธาตุดินอยู่ในมือสักหนึ่งชิ้น ต่อให้ได้รับบาดเจ็บหนักอีกครั้ง ก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มอีกหนึ่งชีวิต!
มองดูต้นหม่อนโบราณต้นนั้นจากในทะเล เหมือนมันจะอยู่แค่ตรงหน้า แต่พอเดินเข้าไปในป่าโบราณจริงๆ แล้ว เยี่ยเทียนเพิ่งพบว่าอะไรคือแค่เห็นภูเขาก็ทำให้ม้าเหนื่อยตายได้ เขาเดินทะลุผ่านป่ามาห้าวันเต็มๆ ก็ยังคงมองเห็นแค่ยอดที่บังแดดบังท้องฟ้าอยู่เหมือนเดิม แต่เงาของลำต้นกลับยังมองไม่เห็น
เวลาห้าวันที่ผ่านมานี้ เยี่ยเทียนกลับเจออันตรายทุกย่างก้าว ถึงแม้เขาจะสามารถใช้พลังปราณชีวิตสัมผัสถึงสถานที่และอานุภาพที่มาจากสัตว์ร้ายเหล่านั้นได้ แต่ในป่าแห่งนี้ ไม่ได้มีเพียงสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถฆ่าคนให้ตายได้ สิ่งมีชีวิตอ่อนแอบางส่วน ก็เกือบจะเอาชีวิตของเยี่ยเทียนไปสองสามครั้งเช่นกัน
เหมือนกับดอกไม้กินคนที่อยู่ในป่า ดูแล้วสวยงามผิดปกติ แถมยังมีแมลงเดินไต่อยู่ข้างบน ท่าทางเหมือนจะไม่สามารถทำร้ายคนได้
ตอนที่เยี่ยเทียนเดินผ่านข้างตัวของมัน มงกุฎดอกไม้นั่นก็อ้าปากแล้วกลืนเยี่ยเทียนเข้าไป หนามพิษมีฤทธิ์เป็นยาชานับสิบได้ทิ่มตัวของเยี่ยเทียนในขณะเดียวกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนตอบสนองไว แล้วปล่อยปราณธาตุไฟที่พืชกลัวที่สุดออกมา เกรงว่าเขาคงจะถูกดอกไม้กินคน กินเข้าไปแล้ว
นอกจากนี้ภายในป่ายังมีมดขนาดเท่าหัวแม่มือชนิดหนึ่ง มดชนิดนี้เดิมทีมีความสามารถที่น้อยมาก แต่พวกมันมักจะมาเป็นจำนวนหลายร้อยล้านตัว เพื่อร่วมมือกันทำงาน ซึ่งเยี่ยเทียนก็เห็นมากับตาตัวเองว่า มีสัตว์ประหลาดที่มี วรยุทธระดับเซียนเทียนขั้นต้น ถูกมดที่อ่อนแอพวกนั้นกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกเลยสักนิด
ทำให้เยี่ยเทียนยิ่งต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น บางครั้งหากต้องผ่านพื้นที่อันตราย เยี่ยเทียนก็ยอมที่จะรอหนึ่งวัน ความกดดันจากอันตรายทุกย่างก้าวนี้ ก็ทำให้วรยุทธระดับเซียนเทียนขั้นกลางของเยี่ยเทียนเสถียรมั่นคงมากขึ้น และระยะห่างของระดับเซียนเทียนขั้นปลาย ก็อยู่ห่างเพียงแค่กระดาษกั้นเท่านั้น
“หืม? ฉันมาถึงแล้วเหรอ?”
การเดินทางที่ยากลำบากอยู่ในป่าเกือบสิบวัน ในที่สุดก็มาอยู่ใต้ต้นหม่อนโบราณต้นนั้นแล้ว พอแหงนหน้าขึ้นไปกลับมองไม่เห็นลำต้นด้านบนสุด ทำให้เกิดความประหลาดใจบนใบหน้าของเยี่ยเทียนยากที่จะบรรยายออกมาได้
ตอนที่ 838 โจมตี
ระยะที่ไกลออกไปหนึ่งพันกว่าเมตรที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน มีต้นไม้ยักษ์หนาเกือบหนึ่งร้อยเมตรต้นหนึ่ง บดบังทางเดินของเยี่ยเทียน ถ้าหากไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนอยู่ไกลมากพอ เขาคิดว่าจะต้องเป็นหน้าผาสูงตระหง่านปรากฏอยู่ตรง หน้าแน่นอน
ใต้ต้นไม้ยักษ์นั้น กิ่งก้านที่ใหญ่และหนาแผ่ปกคลุมไปบนพื้นดินไปรอบบริเวณนับพันเมตร มีบางส่วนที่สอดเข้าไปอยู่ในหินผา เหมือนกับเป็นเขาวงกตที่สลับซับซ้อนแห่งหนึ่ง ก้านรากใต้ดินบรรจบรวมกัน ชูให้ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า
ภายในบริเวณสิบกว่ากิโลเมตรของต้นไม้ยักษ์ มีปราณวิเศษของไม้เต็มเปี่ยมอยู่ทุกที่ พืชทุกชนิดล้วนเขียวชอุ่ม และยังมีเถาวัลย์หนาเท่าแขนเด็กที่แผ่ขยายติดลำต้นของต้นไม้ยักษ์นี้ ราวกับว่าเป็นเสื้อเกราะอีกชั้นให้กับต้นหม่อน โบราณ
ต้นไม้ทั้งต้นราวกับเป็นประเทศอิสระ ข้างบนมีกิ่งก้านนับไม่ถ้วนแผ่ขยายออกไป พร้อมกับฝูงลิงที่ล้อเล่นกันอยู่บนกิ่งไม้ แถมยังมีเสือดาวที่ชอบปีนขึ้นไปบนต้นไม้ซ่อนตัวอยู่อีกด้าน หลบซ่อนตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อเตรียมพร้อมที่จะโจมตีได้ตลอดเวลา
“ที่นี่คงจะเป็นสถานที่ที่มีแร่ของพลอยวิเศษตามบันทึกของท่านนักพรตจางสินะ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงปราณวิเศษธาตุไม้ที่มีอยู่ทุกที่ เยี่ยเทียนถอนหายใจยาวๆ โล่งอก เพราะการเดินทางสิบกว่าวันนี้ทำให้เขาเหนื่อยยากลำบากจริงๆ ถ้าหากไม่ได้เลื่อนขั้นถึงระดับเซียนเทียนขั้นกลาง และอาศัยวรยุทธเพียงก่อนหน้านี้ กลัวว่าเยี่ยเทียนคงจะตายอยู่กลางทางไปนานแล้ว
“ตามที่จางซันเฟิงบอก ปกติสัตว์ร้ายทั่วไป หากมีอาการบาดเจ็บหนักถึงจะมาที่นี่ ดังนั้นที่นี่ก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร?”
เยี่ยเทียนเดินเข้าไปที่ต้นไม้ยักษ์ด้วยความมั่นใจ ระยะห่างจากต้นไม้ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ พร้อมกับในใจที่ตื่นเต้น เพราะว่าเบาะรองนั่งสมาธิจากแก่นของต้นไม้ของจางซันเฟิง ก็คือหัวใจของต้นไม้ยักษ์พวกนี้ ตอนนั้นจางซันเฟิงต่อสู้กับสัตว์ร้าย ต้าเยา จึงทำลายต้นไม้ยักษ์ที่สูงเทียมฟ้าลงไป แสดงว่าการต่อสู้ของยอดฝีมือระดับจินตันนั้นน่ากลัวมากจริงๆ!
“โกรล โกรล!”
ขณะที่ร่างของเยี่ยเทียนปรากฏอยู่ตรงหน้าต้นไม้ยักษ์ในระยะสี่ร้อยก้าวนั้น ฝูงลิงขี้เล่นที่อยู่บนกิ่งไม้ด้านล่างของต้นไม้ยักษ์ จู่ๆ ก็ส่งเสียงร้องเสียงเตือนขึ้นมาเป็นพักๆ ฝูงลิงจำนวนนับร้อยตัวเกิดความโกลาหลขึ้นมา รีบปีนขึ้นไปบนที่สูง หลบอยู่ในกิ่งไม้เขียวชอุ่มภายในพริบตาเดียว
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนหยุดชะงักฝีเท้าก็คือ แม้แต่เสือดาวที่เป็นผู้ล่าเหยื่อ จู่ๆ ก็เหมือนจะตกใจ กระโดดพรวดลงมา พุ่งเข้าไปหลบในพุ่มไม้ โดยไม่หันหน้ากลับมาเลย
“หืม? เกิดอะไรขึ้น หรือว่ามีสัตว์ร้ายอยู่ที่นี่?”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนปรากฏความสงสัย จึงรีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จางซันเฟิงจะไม่ได้เจอสัตว์ร้ายที่นี่ แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อสองร้อยกว่าปีแล้ว ใครจะรู้ว่าตอนนี้ที่นี่ถูกยึดครองพื้นที่แล้วหรือยัง?
ในสถานที่ที่เรียกว่า “เกาะเซียน” นี้ มีอันตรายทุกย่างก้าว เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าประมาทสักนิดเดียวจนกระทั่งถอยออกมาไกลได้หนึ่งพันกว่าเมตร จึงหยุดร่างให้มั่นคงแล้วปล่อยพลังจิตตรวจสอบขึ้นมา
“แปลก? ไม่มีอะไรนี่นา!”
หลังจากตรวจสอบบริเวณรอบๆ ของต้นไม้ยักษ์ที่อยู่ทางฝั่งตัวเองแล้ว เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ทันใดนั้นสายตาจึงสั่นไหว “หรือว่าจะเป็นต้าเยาระดับจินตัน ถึงทำให้ฉันหาอะไรไม่เจอ?”
เยี่ยเทียนรู้ว่า วรยุทธระดับเซียนเทียนกับจินตันมหามรรคนั้น เป็นระดับที่ไม่เหมือนกันและไม่สามารถเอามาพูดด้วยกันได้ ถ้าหากจะเรียกระดับเซียนเทียนว่าเป็นเด็กที่ยังเดินไม่ได้ อย่างนั้นยอดฝีมือระดับจินตัน ก็เท่ากับหนุ่มกำลังแข็งแรง ซึ่งหนุ่มที่มีกำลังแข็งแรงสามารถล้มเด็กนับร้อยกระทั่งนับพันคนได้ ทั้งสองอย่างจึงไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
เยี่ยเทียนรู้ว่าตลอดทางนี้ไม่มีต้าเยาระดับจินตัน เขาถึงได้กล้ามาหาหัวใจของไม้ที่นี่ ไม่อย่างนั้นแม้ว่าจะให้ความกล้าแก่เขามากกว่านี้ เขาก็ไม่กล้าบุกเข้ามาในสถานที่ฝึกบำเพ็ญของต้าเยา เพราะมันเท่ากับเป็นการรนหาที่ตายชัดๆ
การกระทำของฝูงลิงกับเสือดาวเมื่อครู่ ก็แสดงว่ามีสิ่งที่มีพลังแข็งแกร่งปรากฏตัว ซึ่งพลังจิตของเยี่ยเทียนไม่สามารถสัมผัสอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ทันใดนั้นเขาจึงรู้สึกกลัวขนลุกซู่ขึ้นมา นอกจากต้าเยาที่อยู่ระดับจินตันแล้ว เยี่ยเทียนก็หาเหตุผลอธิบายที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีก
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เยี่ยเทียนจึงกลั้นลมหายใจไว้ แล้วหลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกิ่งไม้ยักษ์ที่ห้อยย้อยลงมาจากด้านบน จากนั้นจึงกลบลมหายใจของตัวเองให้หมดไป
“ไม่ดีแล้ว!”
ขณะที่เยี่ยเทียนเพิ่งจะหลบซ่อนตัว จู่ๆ ศีรษะด้านหลังก็ชา หัวใจเต้นกระทันหัน ไม่ทันให้คิดอย่างละเอียด ร่างกายของเยี่ยเทียนก็ตอบโต้กลับโดยการพุ่งออกไป ขณะที่พ่นลมหายใจออกมานั้น ลำแสงสีขาวก็ขึ้นมาโอบล้อมอยู่รอบตัวเขา
“บ้าเอ้ย นี่มันต้นไม้กินคน?”
ตอนที่พุ่งร่างกายออกมานั้น ศีรษะของเยี่ยเทียนได้หันไปข้างหลังพอดี เขาพบว่าเถาวัลย์สีดำสนิท เหมือนกับหอกยาวกำลังไล่ตามหลังตัวเอง
ตำแหน่งที่อยู่เหนือสุดของเถาวัลย์ ก็มีแสงสว่างแวววาวของโลหะสีดำชนิดหนึ่ง เยี่ยเทียนเชื่อว่า เมื่อครู่หากตัวเองตอบสนองช้าไปนิดเดียว ตอนนี้เกรงว่าสมองด้านหลังของเขาคงถูกเจ้าสิ่งนั้นเจาะทะลุไปแล้ว
ถึงแม้การเคลื่อนไหวหลบหลีกของเยี่ยเทียนจะเร็วมากพอ แต่เหมือนเถาวัลย์นั่นจะมีสตินึกรู้ ไล่ตามหลังเยี่ยเทียนอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะเปลี่ยนไปทางไหน ก็ไม่อาจะสะบัดหลุดจากมันได้
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนยิ่งตกใจคือ หลังจากที่ร่างกายของเขาถูกเปิดเผยแล้ว ทั้งบนพื้นดินและกลางอากาศก็ปรากฏเถาวัลย์เจ็ดแปดเส้นขึ้นมาพร้อมกัน ราวกับตาข่ายขนาดใหญ่ที่จะจับเยี่ยเทียนเอาไว้ ถึงแม้ร่างกายของเยี่ยเทียนรวดเร็วปานสายฟ้า แต่พื้นที่ในการหลบหลีกนั้นกลับยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
“ท่านนักพรตจางครับ ทำไมท่านถึงไม่บอกว่าต้นหม่อนโบราณมันชอบกินคน? ท่านแกล้งผมใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนอยากจะฝ่าวงล้อมของเถาวัลย์ออกไปหลายครั้ง แต่ก็ถูกเถาวัลย์ที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ขวางไว้ให้กลับเข้าไป เขาไม่รู้ว่าการโจมตีของเถาวัลย์พวกนี้ทำเพื่ออะไรกันแน่ แต่ก็ไม่กล้าใช้มีดบินคู่กายที่ปกป้องตัวเองให้ไปปะทะด้วย เยี่ยเทียนจึงได้แต่แอบด่าจางซันเฟิงอยู่ในใจ
จากคำพูดของจางซันเฟิงนั้น ถึงแม้ต้นหม่อนโบราณจะมีขนาดใหญ่ยักษ์ แต่อย่างแรกคือไม่มีสตินึกรู้ สองไม่มีแรงการโจมตีใดๆ จะมีเพียงแต่ปราณวิเศษที่ออกมาเท่านั้น ไม่มีตอนไหนที่พูดถึงเหตุการณ์ที่เยี่ยเทียนกำลังพบเจออยู่
เขาพอรู้ว่าดอกไม้กินคนสามารถกัดหัวของกวางมิลูให้เป็นก้อนเลือดได้ภายในพริบตา ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็ไม่กล้าให้เถาวัลย์พวกนี้สัมผัสกับร่างกายเด็ดขาด หลังจากเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งนาที เยี่ยเทียนก็พบว่า เขาไม่สามารถหนีออกจากรังของเถาวัลย์ที่นี่ได้แล้ว
“บัดซบเอ้ย อยากจะฆ่าฉันให้ตายนักใช่ไหม?”
เถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนรวมกันเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ เมื่อเห็นว่าตัวเองหนีไม่รอดแล้ว เยี่ยเทียนจึงตัดสินใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรเถาวัลย์ก็คือพืช ไม่น่าจะทำลายมีดบินคู่กายได้ ดังนั้นเขาจึงวางเท้าไปบนพื้นอย่างแรง แล้วทั้งตัวก็กลายเป็นแสงสีขาว พุ่งตรงไปข้างหน้าทันที
“ติง…ติงติง…”
การกระทบกันของโลหะกับไม้ได้ดังมาจากทิศทางการฝ่าวงล้อมของเยี่ยเทียน ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาพูด ถึงแม้เถา วัลย์พวกนี้จะมีพลังโจมตีไม่เบา แต่เมื่อเจอพลังมีดของอู๋เหิน จึงกลายเป็นเศษไม้ที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้า กระจัดกระจายอยู่กลางอากาศแล้วตกลงมา
“ถ้าแน่จริงก็มาสู้กับข้าสิ หลบอยู่ข้างหลังจะเรียกว่าเป็นวีรบุรุษได้ยังไง?”
หลังจากตัดตาข่ายให้เป็นช่องแล้วพุ่งออกไปได้แล้ว ร่างของเยี่ยเทียนก็ไปปรากฏอยู่ในระยะสามร้อยกว่าเมตร จากการประมือเมื่อครู่ ทำให้เยี่ยเทียนมั่นใจมากว่า สิ่งที่โจมตีตัวเองนั้นไม่ใช่ต้าเยาระดับจินตันแน่นอน ไม่อย่างนั้นเพียงแค่นิ้วเดียวก็สามารถบดขยี้ตัวเองให้ตายได้แล้ว จะมาเสียความคิดพวกนี้ทำไมกัน?
“ซวบ…ซวบ…”
สิ่งที่ตอบเยี่ยเทียนคือ เสียงที่ดังมาจากกลางอากาศเป็นพักๆ เถาวัลย์พวกนั้นเองที่อยู่นอกระยะสามร้อยกว่าเมตร กำลังไล่โจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็ว เถาวัลย์ที่เยี่ยเทียนเพิ่งตัดให้ขาดไปเมื่อครู่ จึงเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปเลย ไม่สามารถทำอะไรเถาวัลย์พวกนี้ได้อย่างสิ้นเชิง
ดูเหมือนมันจะสัมผัสได้ว่าเยี่ยเทียนยากจะต่อสู้ได้ ครั้งนี้จึงมีกิ่งไม้ที่หนาเท่าเอวผสมเข้ามาด้วย จากนั้นมันจึงฟาดไปที่หน้าของเยี่ยเทียนราวกับสายฟ้าฟาดด้วยพลังอันมหาศาล มากพอที่จะทำให้เยี่ยเทียนถูกตีลงไปกับกองกับพื้นได้ แม้แต่ปราณแท้ที่คุ้มครองร่างกายของเยี่ยเทียนอยู่ก็ไม่สามารถต่อกรได้
“บ้าเอ้ย หรือว่าต้นหม่อนโบราณนี้จะเป็นปีศาจ?”
เยี่ยเทียนถอยหลังไปอีกข้าง พลางสบถด่าขึ้นมา ในใจก็ยิ่งอยากจะถามบรรพบุรุษรุ่นที่สิบแปดอย่างจางซันเฟิงจริงๆ ถ้าหากไม่ได้ดูบันทึกของเขา ต่อให้เยี่ยเทียนมีความกล้ามากกว่านี้ เขาก็ไม่กล้ามาสถานที่แบบนี้แน่นอน
หลังจากถอยหลังไปหนึ่งร้อยกว่าเมตรแล้ว เยี่ยเทียนพบว่า เดิมทีทางเดินที่เป็นทุ่งหญ้า เวลานี้ไม่รู้ว่าเป็นป่าหนามไปตั้งแต่เมื่อไร มีพุ่มไม้เตี้ยที่มีหนามยาวประมาณห้านิ้วเหมือนกับมีดสั้น เต็มไปด้วยพลังอาฆาตที่ดุเดือดรุนแรงขึ้นมา
“ฉันขอสู้กับแกให้เต็มที่ก็แล้วกัน!”
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางถอยแล้ว พลังฮึกเหิมในใจของเยี่ยเทียนจึงถูกกระตุ้นขึ้นมา ร่างของเขาไม่ถอยแต่กลับถลันเข้าสู้ จากนั้นจึงควบคุมมีดบินให้พุ่งไปตัดเถาวัลย์ที่เป็นตาข่ายใหญ่ เพื่อหลบกิ่งไม้ที่จะตกลงมาจากกลางอากาศ
“อยากให้ฉันตายเรอะ? ไม่ง่ายขนาดนั้น!”
เมื่อถูกเถาวัลย์ฟาดมาที่ตัวราวกับแส้ ใบหน้าของเยี่ยเทียนจึงมีรอยยิ้มอันโหดเหี้ยมขึ้นมา มือขวาวาดกลางอากาศ พลิกฝ่ามือขึ้นข้างบน แล้วแสงไฟสีม่วงกลุ่มหนึ่ง ก็ปรากฏอยู่กลางฝ่ามือของเขาขึ้นมา
“ฟาดฉันมันสนุกนักใช่ไหม?” เยี่ยเทียนขยับพลังที่ฝ่ามือ เพลิงแท้ก่อนกำเนิดกลุ่มนั้นก็ระเบิดขึ้นตรงหน้าเยี่ยเทียน กลายเป็นลูกไฟจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงไปบนเถาวัลย์พวกนั้น
เพลิงแท้ก่อนกำเนิดถูกหลอมมาจากพลังบริสุทธิ์จากร่างกายของมนุษย์ ใช้พลังงานมากกว่าปราณที่บีบอัดอยู่ในปราณแท้เสียอีก นอกจากจะใช้สร้างอาวุธได้แล้ว ยังเป็นไฟที่ไม่มีทางดับ สามารถเผาทำลายได้ทุกสิ่ง
หลังจากเพลิงแท้ก่อนกำเนิดระเบิดออกไป ก็เหมือนกับระเบิดไฮโดรเจนที่ระเบิดกลางอากาศ แม้ว่าจะถูกประกายไฟเพียงนิดเดียว เถาวัลย์พวกนั้นก็ถูกไฟเผาลุกขึ้นมาทันที ทำให้รอบตัวของเยี่ยเทียน เหมือนกับปรากฏโลกแห่งไฟขึ้นมา
“ดูสิว่าแกจะกำเริบเสิบสานอีกไหม?”
เมื่อเห็นสภาพการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เยี่ยเทียนจึงสบายใจ พยายามรวมเพลิงแท้ก่อนกำเนิดให้ออกมาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันรอให้เยี่ยเทียนโยนออกไป เถาวัลย์ที่ล้อมเขาเอาไว้ ก็เหมือนกับผี หดตัวกลับเข้าไป บริเวณรอบๆ จึงพลันขยายกว้างขึ้นมาทันที
เถาวัลย์ที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ยังมีไฟติดไปด้วย พอหดตัวกลับไป จึงทำให้ต้นไม้ดอกไม้และใบหญ้าถูกเผาจนไฟลุกขึ้นมา เพียงระยะเวลาลมหายใจสั้นๆ รากของต้นไม้ขนาดยักษ์ก็กลายเป็นไฟลุกโชนขึ้นมาแล้ว
ตอนที่ 839 ภูติต้นไม้
“นี่เราทำอะไรลงไป? วางเพลิงแล้วหรือ?”
เมื่อเห็นด้านหน้าตัวเองเต็มไปด้วยทะเลเพลิง เยี่ยเทียนจึงรู้สึกงงมาก คิดว่านี่คือไฟสุมขอนที่แท้จริง เมื่อมันลุกโชนขึ้นมา แม้แต่เขาก็ไม่อาจควบคุมได้ จึงได้แต่ปล่อยให้ไฟลุกลามไปบริเวณรอบๆ จนกระทั่งเห็นว่ามันใกล้จะไหม้ไปถึงข้างบนของต้นหม่อนโบราณแล้ว
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เยี่ยเทียนจึงทำตัวไม่ถูกเช่นกัน รีบถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะสถานที่ที่เขายืนอยู่นั้น ด้านล่างล้วนเป็นรากต้นไม้ของต้นหม่อนโบราณ ถ้าหากถูกไฟเผาขึ้นมา เยี่ยเทียนก็เท่ากับเล่นกับไฟ จนถูกไฟเผาเอง
ส่วนตัวเองจะสามารถเผาต้นไม้โบราณที่สูญพันธุ์ไปนานบนโลกมนุษย์ได้หรือไม่นั้น เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว นอกจากต้นหม่อนโบราณที่ลงมือกับเขาก่อนแล้ว เยี่ยเทียนก็คิดไม่ออกว่าตัวเองที่อยู่ตรงนี้ยังจะมีศัตรูอื่นอยู่ด้วย
เพลิงแท้ก่อนำเนิดนั้นเจอน้ำก็ไม่ดับ และเมื่อยิ่งเจอศัตรูอย่างธาตุไม้ พอปล่อยไฟออกไป ปราณวิเศษที่อยู่รอบๆ ก็เหมือนถูกเผาไหม้ขึ้นมาด้วย
ช่วงเวลาเพียงครู่เดียว เถาวัลย์ที่โจมตีเยี่ยเทียนก็ถูกเผาเป็นจุณ อานุภาพของไฟได้เผากิ่งก้านของต้นไม้ยักษ์ที่ห้อยลงมา พวกสัตว์ที่เกาะอยู่บนต้นไม้ต่างก็ตื่นตระหนกตกใจ ส่งเสียงร้องเตือนกันอย่างน่าเวทนา
“แค่ไฟเพียงเล็กน้อยก็สามารถเผาทุ่งหญ้าให้มอดไหม้ได้นะ!”
เยี่ยเทียนเดินถอยหลัง พลางสบถอย่างโหดเหี้ยม
“เผาไปเถอะ ถึงยังไงก็เผาพลอยวิเศษไม่ได้อยู่แล้ว ไหนบอกว่าพืชรักความสงบ แต่ไม่เคยเห็นที่โหดเหี้ยมดุร้ายแบบนี้มาก่อน!”
การลงมือของต้นไม้ยักษ์เมื่อครู่ ทำให้เยี่ยเทียนตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ปกติเขาก็เป็นคนเด็ดเดี่ยวอยู่แล้ว เวลานี้จึงจัดต้นไม้ยักษ์อยู่ในรายการของศัตรูเช่นกัน ในใจจึงไม่มีความปราณีอีกต่อไป ถ้าหากไม่ใช่เพราะการควบรวมเพลิงแท้ก่อนกำเนิดต้องสูญเสียปราณแท้มากเกินไป เยี่ยเทียนก็คิดอยากจะจุดไฟอีกสักลูก
“หืม? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมฝนถึงตกลงมา?”
ขณะที่อานุภาพของไฟเริ่มลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ บนต้นไม้ยักษ์ที่สูงเทียมฟ้านั้น ก็มีสายฝนปรอยลงมา ถึงแม้ฝนจะตกไม่แรง แต่ก็ปกคลุมทั่วพื้นดินบริเวณรอบๆ อย่างไม่ขาดสาย กลบทะเลเพลิงให้หมดสิ้นไป
“ตกลงมาเถอะ ฉันไม่เชื่อว่าจะสามารถดับเพลิงแท้ก่อนกำเนิดได้?”
เยี่ยเทียนมีสีหน้ายิ้มเยาะออกมา เนื่องจากเพลิงแท้ก่อนกำเนิดเกิดจากการบีบอัดของปราณแท้ ต่อให้อยู่บนน้ำก็ยังลุกไหม้ได้ การที่ฝนตก ก็เป็นการเพิ่มอานุภาพของไฟอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคิดอยู่นั้น ไฟก็กำลังคุโชนอยู่
“เอ๋? ไม่ถูกสิ ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้?”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังมองอย่างเฉยชานั้น จู่ๆ เขาก็พบว่า ละอองฝนที่ตกลงบนทะเลเพลิงนั้น สามารถควบคุม อานุภาพของไฟได้ การตกลงมาของน้ำฝน ทำให้ทะเลเพลิงที่กำลังแผดเผาจนท้องฟ้าเป็นสีแดงก็ค่อยๆ ดับลงไป
“หรือตำนานเจ้าแม่กวนอิมที่พรมสายฝนแผ่กำจาย จะเป็นแบบนี้?”
เยี่ยเทียนกำลังรับความรู้สึกที่สายฝนตกลงมาบนหน้าตัวเองอย่างละเอียด ใบหน้าก็มีสีหน้าที่ตื่นเต้นดีใจออกมา เพราะในน้ำฝนนี้ แฝงไปด้วยปราณวิเศษที่หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง ราวกับน้ำค้าง ทำให้ไฟโกรธที่อยู่ในใจของเยี่ยเทียนดับไปด้วย
เมื่อจิตใจสงบแล้ว เยี่ยเทียนจึงพบว่า น้ำฝนนี้ไม่ได้ตกลงมาจากท้องฟ้า แต่กลั่นมาจากใบไม้ที่ลอยสูงอยู่กลางอากาศของต้นหม่อนโบราณยักษ์ต้นนี้ต่างหาก ถ้าหากเยี่ยเทียนเดาไม่ผิด นี่คงจะเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของต้นไม้โบราณ
ถึงแม้ไฟนี้จะมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ดับลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ภายในระยะเวลาสั้นๆ สองสามนาที ทะเลเพลิงที่เต็มทั่วท้องฟ้าก็ดับจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่ควัน
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึงพรึงเพริดก็คือ ตอนที่น้ำฝนที่หลั่งออกมาจากต้นไม้ยักษ์นั้นตกลงบนพื้น พื้นที่ที่ถูกไฟเผาจนไหม้เกรียม กลับมีหญ้าสีเขียวงอกขึ้นมาอย่างรวดเร็วซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่ช้าตรงหน้าของเยี่ยเทียนก็เต็มไปด้วยความเขียวขวี ไม่มีร่องรอยหลงเหลือจากการถูกไฟเผาเลยสักนิด
“บ้าเอ้ย แบบนี้ก็มาเสียเที่ยวแล้วสิเรา!”
เมื่อเห็นว่าเพลิงแท้ก่อนกำเนิดไม่สัมฤทธิ์ผลแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกหมดแรง เพราะปริมาตรของต้นไม้ยักษ์ต้นนี้มันใหญ่เกินไปจริงๆ พื้นที่ที่ถูกไฟไหม้เมื่อครู่ กระทั่งยังสู้เศษหนึ่งในหมื่นของมันไม่ได้เลย จึงไม่สามารถทำอะไรมันได้อย่างสิ้นเชิง เยี่ยเทียนจึงมีทางเดียวคือถอย
แต่ว่าเยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกไม่ยอมแพ้ หลังจากรอให้ละอองฝนที่ตกลงมาจากต้นไม้กระจายหายไปหมดแล้ว ร่างของเยี่ยเทียนก็เดินเข้าไปข้างหน้า เขายังอยากจะรวมเพลิงแท้ก่อนกำเนิดออกมาอีกครั้ง จากนั้นค่อยถอยหนีออกมาก็ยังพอมั่นใจอยู่
“ไม่มีการโจมตี?”
ตอนที่เยี่ยเทียนมาถึงต้นไม้ยักษ์ในระยะห้าร้อยเมตรกว่าๆ นั้น ครั้งนี้เถาวัลย์กิ่งไม้พวกนั้นกลับไม่ได้โจมตีเขา เยี่ยเทียนจึงดีใจขึ้นมา เพราะเรื่องที่เขาหวังเป็นที่สุดก็คือทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ขอเพียงขุดพลอยวิเศษออกมาได้ เยี่ยเทียนก็จะรีบถอยกลับไปทันที
“หืม? นั่นคืออะไร?”
ทันใดนั้นสายตาของเยี่ยเทียนก็มองไปยังส่วนหนึ่งของต้นไม้ยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า เพราะลำต้นที่ดำเข้มเหมือนกับหิน ดูเหมือนจะแตกต่างจากตรงอื่น ลำต้นที่เรียบลื่นจู่ๆ ก็นูนออกมาด้านนอก เหมือนกับมีสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายคนกำลังเบียดตัวออกมา
“นี่…นี่มันคืออะไรกันเนี่ย?”
หลังจากระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบวินาที ในสายตาของเยี่ยเทียน ก็ปรากฏรูปร่างลักษณะทรงกลม สูงประมาณห้าเมตร มีเถาวัลย์โอบล้อมอยู่รอบตัว ส่วนหัวนั้นสามารถมองออกถึงตัวประหลาดที่ใบหน้าคล้ายกับพวกมนุษย์ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนปล่อยพลังปราณชีวิตเพื่อสัมผัสพลังงานที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างของอีกฝ่ายได้แล้วล่ะก็ ตัวประหลาดที่อยู่ตรงหน้านี้ เขาคงจะเข้าใจว่ามันเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
“ฮือๆ…” การเคลื่อนไหวของตัวประหลาดเชื่องช้าเป็นอย่างมาก ดวงตาประกายสีเขียวสว่างวาบคู่นั้น กวาดมองไปที่ตัวของเยี่ยเทียนไม่หยุด สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าไฟลูกนั้นของเยี่ยเทียนเผามันจนกลัวไปแล้ว
“ฉันมาที่นี่เพื่อหาพลอยวิเศษธาตุไม้ ไม่ต้องการข้องเกี่ยวอะไรกับแกทั้งนั้น ทำไมแกถึงต้องโจมตีฉัน?”
เยี่ยเทียนใช้พลังจิตเอ่ยปากพูดออกไป ในขณะเดียวกันเปลวไฟก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือ ทำให้ตัวประหลาดรีบถอยหลังติดต่อกันด้วยความตกใจ เอาทั้งตัวแนบไปติดลำต้นของต้นไม้ยักษ์ ท่าทางแบบนั้นขอเพียงเยี่ยเทียนโยนไฟลูกนั้นออกมา มันก็จะสามารถมุดเข้าไปหลบในต้นไม้ยักษ์ได้ทันที
“ที่แท้ก็เข้าออกต้นไม้ต้นนั้นได้เรอะ? นี่มันคือตัวประหลาดอะไรกันแน่?”
ตอนนี้เยี่ยเทียนพอจะเข้าใจแล้ว สิ่งที่โจมตีเขา ไม่ใช่ต้นหม่อนโบราณ แต่เป็นตัวประหลาดที่อยู่ตรงหน้าตัวนี้ แต่เนื่องจากเยี่ยเทียนปล่อยเพลิงแท้ก่อนกำเนิดไปทำร้ายต้นไม้โบราณ ถึงทำให้เกิดการหลั่งของน้ำฝนและน้ำค้างมาจากบนต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้านี้
“โกรล!” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่ได้ปล่อยลูกไฟออกมา ตัวประหลาดตัวนั้นก็เหมือนจะกล้าขึ้นมาเล็กน้อย แผดเสียงคำราม เถาวัลย์ที่อยู่โดยรอบพลันขยายออกมาในพริบตา กลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ เพื่อที่จะคลุมตัวของเยี่ยเทียน
“ยังไม่ยอมแพ้?”
พฤติกรรมของตัวประหลาดทำให้เยี่ยเทียนโกรธ เพราะพลังที่อยู่ในตัวของตัวประหลาดนี้ก็สูสีพอๆ กับเยี่ยเทียน ถ้าหากไม่ได้อาศัยส่วนสำคัญในชีวิตของต้นไม้ยักษ์ เยี่ยเทียนคงเผามันให้มอดไหม้ไปนานแล้ว
แต่เพลิงแท้ก่อนกำเนิดของเยี่ยเทียนนั้นใช่ว่าจะใช้ได้ตลอดเวลา ตอนที่เขายกมือขวาขึ้น ไฟลูกนั้นก็ต้อนรับเถาวัลย์ที่เข้ามาโอบล้อม
“ซวบๆ…” สติปัญญาของตัวประหลาดนี้ถึงแม้จะไม่สูงมาก แต่การเสียเปรียบเมื่อครู่ ก็ไม่อยากโดนอีกครั้ง หลังจากเห็นการกระทำของเยียเทียน เถาวัลย์ที่ยาวเหมือนแส้งูที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ก็รีบลอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
“บ้าเอ้ย นี่มันคือปีศาจเฒ่าเขาเฮยซานใช่ไหม?”
เมื่อเห็นเถาวัลย์ที่ลอยอยู่รอบตัวของตัวประหลาดนั่น ในใจของเยี่ยเทียนจึงผุดคำหนึ่งออกมา ตอนนั้นเขาเคยดูภาพยนตร์เรื่อง “โปเย โปโลเย” ซึ่งก็มีฉากนี้เหมือนกัน?
“ฉันเข้าใจแล้ว นี่คือภูติต้นไม้ตนหนึ่ง!”
เมื่อถึงตอนนี้ ในที่สุดเยี่ยเทียนก็รู้แล้ว ว่านี่คือภูติตนหนึ่ง
จากบันทึกของหนังสือคัมภีร์โบราณ สิ่งที่เรียกว่าภูตินั้น คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถเติบโตจากการฝึกฝนโดยธรรรม ชาติ เกิดจากการดูดซับสารบริสุทธ์ของพระอาทิตย์กับพระจันทร์ และแก่นแท้ของพลังแห่งฟ้าดิน แต่ว่ามันต่างจากสัตว์และปีศาจ เพราะการก่อตัวของภูตินั้นลำบากมากว่า นอกจากนี้ยังต้องผ่านเวลานับพันปี ถึงจะเกิดสติปัญญาขึ้นมาได้
เหมือนกับปีศาจต้นไม้รวมทั้งดอกเซียนวารีที่อยู่ในหนังสือ “เรื่องประหลาดจากห้องหนังสือ” ก็เป็นภูติในลักษณะนี้เช่นกัน เพียงแต่พลังโจมตีของภูติประเภทนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมาก หลังจากที่เกิดสติปัญญาแล้ว ก็จะถูกสัตว์ร้ายกลืนกินเข้าไป ดูดซับสารสำคัญของพวกมันจนหมดสิ้น
สาเหตุที่ภูติต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้าสามารถใช้เถาวัลย์โจมตีได้นั้น น่าจะเป็นเพราะมันสิงอยู่ในต้นหม่อนโบราณยักษ์ต้นนี้ถึงสามารถทำได้ เพราะตัวของมันเองก็ก่อเกิดมาจากสารบริสุทธิ์ของต้นไม้ยักษ์ต้นนี้ ดังนั้นจึงสามารถยืมใช้พลังจากต้นไม้ยักษ์ได้
ที่จางซันเฟิงไม่ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ในสมุด ก็คงจะเป็นเพราะตอนที่เขาเดินทางมาถึงที่นี่ ภูติต้นไม้ตนนี้ยังไม่เกิดสติปัญญาอย่างสมบูรณ์ หลังจากที่จางซันเฟิงดับขันธ์ไปสองร้อยกว่าปีแล้วถึงได้เกิดออกมา เป็นจังหวะที่เยี่ยเทียนมาพบเข้าพอดี
เยี่ยเทียนไม่ได้เดาผิด เพราะภูติต้นไม้ตนนี้ เพิ่งเกิดได้เพียงหนึ่งร้อยกว่าปีเท่านั้น กระทั่งร่างกายของมันยังไม่สามารถก่อเป็นรูปร่าง เพียงแต่มันเกิดมาจากหัวใจสำคัญของต้นหม่อนโบราณยักษ์ ถึงสามารถใช้พลังของต้นไม้ยักษ์โจม ตีเยี่ยเทียนได้
แต่หลังจากที่มันกลายเป็นภูติต้นไม้แล้ว มันกับต้นหม่อนโบราณยักษ์ต้นนี้ก็เหมือนสิ่งมีชีวิตสองชนิด หลังจากต้นหม่อนโบราณสัมผัสได้ถึงอานุภาพของเพลิงแท้ก่อนกำเนิด จึงหยุดมอบพลังให้กับภูมิต้นไม้อีกและไม่ยอมให้มันใช้งานอีกต่อไป จากนั้นถึงได้บังคับให้มันปรากฏตัวออกมา
“ฉันมาที่นี่ไม่ได้มาทำร้ายแก วิญญาณของต้นไม้ใบหญ้าควรจะขอบคุณสวรรค์ ทำไมแกถึงต้องโจมตีฉันด้วย?”
หลังจากที่รู้ความเป็นมาของตัวประหลาดตัวนี้แล้ว เยี่ยเทียนจึงไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว อ้าปากพ่นลมหายใจ แล้วแสงสีขาวราวกับแม่น้ำในท้องฟ้า ก็ส่องแสงกระพริบสีเงินเป็นชั้นๆ ม้วนพุ่งไปยังภูติต้นไม้ โดยไม่รอให้ภูติต้นไม้มีการตอบสนองใดๆ จากนั้นเถาวัลย์ก็ถอยห่างออกจากตัวของมัน ถูกตัดสะบั้นแล้วตกลงไปบนพื้นทั้งหมด
“โกรล!”
ภูติต้นไม้แผดเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมา รีบมุดตัวครึ่งหนึ่งเข้าไปในลำต้นของต้นไม้ยักษ์อย่างรวดเร็ว ผิวชั้นนอกของร่างกาย จึงโผล่ให้เห็นเถาวัลย์ที่มีรากเหมือนหนวดงอกออกมา พร้อมกับสายตาที่แสดงความหวาดกลัวมากขึ้น
“กลิ่นอายที่อยู่ในตัวของเจ้าเหมือนกับข้า เจ้าจะมาฆ่าข้า!”
ถึงแม้ภูติต้นไม้จะเสียท่าหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ยอมถอย ส่งกระแสจิตเข้าไปในหัวของเยี่ยเทียน
“กลิ่นอายที่อยู่ในตัวฉันเหมือนของแก?”
หลังจากเข้าใจถึงกระแสจิตที่ส่งมาแล้ว เยี่ยเทียนจึงตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ แล้วจึงขยับพลังจิต ทำให้เข้าใจขึ้นมาทันที ที่แท้เบาะรองนั่งสมาธิที่จางซันเฟิงเหลือไว้หลังจากที่ดับขันธ์ไปแล้ว ก็ได้มาจากในร่างภายของภูติตนนี้นั่นเอง!
“ก็ภูติวิญญาณมันเป็นของดีน่ะสิ!”
เยี่ยเทียนมองดูภูติต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้า พลางเอาลิ้นเลียปากไปด้วย พลางคิดว่าไม่แปลกใจเลยที่เหล่ายอดฝีมือในสมัยโบราณถึงชอบปราบปีศาจอสูรกายกันนัก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น