ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 836-839

 ตอนที่ 836 ฝักกระบี่ว่างเปล่า (ปลาย)

ห้าวันหลังจากนั้น ในห้องลับ


หลิ่วหมิงฟื้นกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด สองตาหลับสนิทนั่งขัดสมาธิ ในมือถือคัมภีร์หยกเล่มหนึ่งแนบกับหน้าผาก


สิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์หยกเล่มนี้ก็คือวิธีหลอมฝักกระบี่ที่ผู้เฒ่าเทียนเหอมอบให้ หลังเขาได้มาไว้ในมือยังไม่ทันได้ศึกษาอย่างจริงจัง


หลิ่วหมิงปล่อยจิตสัมผัสจมลงไปในคัมภีร์หยก นั่งอยู่ที่เดิมนิ่งไม่ขยับจนเวลาผ่านไปสองสามชั่วยามถึงลืมตาขึ้นช้าๆ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง


เขาเข้าใจวิธีหลอมฝักกระบี่ว่างเปล่าอย่างคร่าวๆ แล้ว วิธีที่คัมภีร์หยกเลือกใช้คือวิธีหลอมผูกพันธะเลือดซึ่งต่างจากการหลอมอาวุธจิตวิญญาณ และเนื่องจากฝักกระบี่เป็นธาตุว่างเปล่า เวลาที่ต้องใช้ในการหลอมจึงไม่สั้น


ส่วนวัตถุดิบหลักของฝักกระบี่ว่างเปล่า แม้มีหนังของอสูรแห่งความว่างเปล่าแล้ว แต่ก็ยังต้องการวัตถุดิบเสริมอื่นอีกไม่น้อย


นอกจากนี้หลังหลอมฝักกระบี่สำเร็จ ยังต้องเติมหญ้าจิตวิญญาณ สมุนไพรจิตวิญญาณนานาชนิดเข้าไปด้านในให้มันแปรสภาพกลายเป็นพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์บำรุงกระบี่บินอย่างช้าๆ อีกด้วย


หญ้าจิตวิญญาณและสมุนไพรจิตวิญญาณเหล่านี้ย่อมมีค่าใช้จ่ายก้อนโต


ยังดีที่ตอนนี้เขามีทรัพย์สมบัติไม่น้อย การรวบรวมของเหล่านี้น่าจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไป


ดังนั้นเวลาหนึ่งเดือนต่อจากนั้น หลิ่วหมิงจึงเริ่มเดินทางไปยังตลาดของนิกายและตลาดใหญ่ต่างๆ รอบเทือกเขาหมื่นวิญญาณ


ในที่สุดหลังเขาใช้หินจิตวิญญาณที่ตัวครึ่งหนึ่งกับแต้มคุณูปการไม่น้อย อีกทั้งเดินทางไปยังตลาดกว่าครึ่งใกล้ๆ รวมถึงไปเยือนวิหารไท่เจินหลายเที่ยว เขาก็รวบรวมวัตถุดิบที่จำเป็นครบอย่างหวุดหวิด


ช่วงเวลาต่อจากนั้นหลิ่วหมิงเก็บตัวเงียบอยู่ในถ้ำที่พัก บนประตูแขวนป้ายไม่ต้อนรับแขก หลังเปิดชั้นจำกัดป้องกันถ้ำที่พักทั้งหมดก็เดินเข้าไปในห้องลับอีกครั้ง


หลิ่วหมิงนั่งทำสมาธิอยู่ครึ่งค่อนวัน หลังจิตใจสงบลงอย่างสมบูรณ์จึงเริ่มลงมือวางค่ายกลที่ซับซ้อนอย่างที่สุดค่ายกลหนึ่ง


หลิ่วหมิงไม่พบชื่อค่ายกลนี้ในคัมภีร์หยก จากความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ค่ายกลของเขาเข้าใจค่ายกลนี้เพียงสองสามส่วนเท่านั้น


ทว่ายังดีที่คนเขียนวิธีหลอมนี้คล้ายจะคาดเดาจุดนี้ไว้แล้ว เขาจึงไม่รังเกียจที่จะบันทึกขั้นตอนการวางค่ายกลนี้แต่ละขั้นไว้อย่างชัดเจน เพียงทำตามสิ่งที่เขียนไว้ก็ใช้ได้


แม้หลิ่วหมิงจดจำวิธีวางค่ายกลจนขึ้นใจแล้ว แต่ถึงเวลาลงมือจริงก็ยังคงระมัดระวัง สลักยันต์ลงบนพื้นทีละขีดทีละเส้นอย่างไม่กล้าเสียสมาธิแม้แต่น้อย นอกจากนี้เมื่อทำเสร็จแต่ละส่วนยังนำคัมภีร์หยกออกมาเทียบอีกรอบหนึ่ง


ใช้เวลาเช่นนี้ไปครึ่งเดือนเต็ม ค่ายกลรูปวงกลมที่มีลวดลายจิตวิญญาณสีเงินยวงลี้ลับนับไม่ถ้วนก็แผ่อยู่เต็มเส้นผ่านศูนย์กลางห้าหกจั้ง ค่ายกลหนึ่งวางสำเร็จในที่สุด


หลิ่วหมิงแนบคัมภีร์หยกกับหน้าผากอีกครั้ง หลังแน่ใจว่าค่ายกลถูกต้องไม่มีพลาด ตอนนี้ถึงแหงนหน้าพรูลมหายใจ


จากนั้นเขาจึงล้วงแหวนย่อส่วนออกมาด้วยมือข้างเดียว นำหินแร่สีดำอ่อนสิบกว่าก้อนออกมาจากด้านใน แต่ละก้อนขนาดเท่ากำปั้น ด้านในหินแร่มีแสงสีขาวราวกับเปลวเพลิงเต้นอยู่เลือนราง


ผลึกหินสุญอัคคีเหล่านี้เป็นสิ่งที่คัมภีร์หยกบอกอย่างเจาะจงว่าต้องใช้ในการหลอมฝักกระบี่ธาตุว่างเปล่า เป็นของซึ่งเป็นรองเพียงวัตถุดิบจากอสูรแห่งความว่างเปล่าจากวัตถุดิบทั้งหมด


หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ร่างกายก็หมุนรอบหนึ่งอยู่กับที่ แสงสีขาวในมือส่องสว่างติดๆ กัน ผลึกหินสิบกว่าก้อนทยอยบินพุ่งออกมาพร้อมกับส่งเสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบๆ” จากนั้นตกลงบนช่องเว้าสี่ด้านแปดทิศของค่ายกลอย่างแม่นยำไม่พลาด


ต่อมาค่ายกลทั้งหมดก็ส่งเสียงดังวิ้ง ลวดลายจิตวิญญาณสีเงินบนพื้นฉับพลันส่องแสงสว่างจ้าหลังจากนั้นเริ่มกะพริบวูบวาบ


ยันต์ลี้ลับสีเงินที่ส่องแสงวิบวับนับไม่ถ้วนทยอยลอยขึ้นมา พวกมันค่อยๆ หมุนรอบตัวหลิ่วหมิง ส่องห้องลับทั้งห้องจนสว่างไสว


หลิ่วหมิงเห็นสภาพเช่นนี้ ในสมองก็นึกย้อนไปถึงคำบรรยายยามค่ายกลนี้ทำงานในคัมภีร์หยกอยู่เงียบๆ เมื่อเห็นว่าสภาพเวลานี้เหมือนกับที่บรรยายไว้ในนั้นไม่มีผิด ตอนนี้ถึงวางใจอย่างสิ้นเชิง


หลังจากนั้นหลิ่วหมิงไม่ได้เริ่มทันทีแต่นั่งขัดขาทำสมาธิต่อ เขาใช้เวลาโคจรปราณราวหนึ่งก้านธูป เมื่อฟื้นพลังเวทและพลังจิตกลับคืนมาถึงสภาพสูงสุดแล้วจึงพลิกมือข้างหนึ่งเรียกหนังของอสูรกวางชะมดว่างเปล่าผืนใหญ่ออกมาแล้วกรีดเป็นชิ้นไม่ใหญ่ไม่เล็กบนพื้น วางไว้ใจกลางค่ายกลอย่างระมัดระวัง


ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็โบกมือทีหนึ่ง แสงพิสุทธิ์สายหนึ่งร่วงลงตรงมุมค่ายกลใหญ่


หลังเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพักหนึ่ง ใจกลางค่ายกลก็มีลำแสงสีเงินหนาเส้นหนึ่งพุ่งออกมาล้อมหนังอสูรไว้ด้านในจากนั้นค่อยๆ ยกมันลอยขึ้น


จากนั้นหลิ่วหมิงก็กวาดแขนเสื้อยาวบนพื้นอีกครั้ง แสงเรืองรองแถบหนึ่งส่องสว่างในทันใด หลังจากนั้นบนพื้นก็ปรากฏภาชนะขวดและโหลใบแล้วใบเล่าที่ใส่วัตถุดิบกองโต


สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นวัตถุดิบเสริมที่จำเป็นในการหลอมฝักกระบี่


หลิ่วหมิงชี้นิ้วไปยังขวดหยกสีขาวใบหนึ่งเป็นอย่างแรก แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้าไป ของเหลวสีเงินยวงก้อนหนึ่งบินออกมาจากในขวด


ลำแสงสีเงินอ่อนเรียวเล็กสายหนึ่งสว่างขึ้นในค่ายกลทันที จากนั้นยกของเหลวสีเงินเหล่านี้ไว้


ต่อมาเขาก็โบกมือชี้อีกหน ผลึกหินรูปร่างเหมือนเกาลัดสีดำเข้มก้อนหนึ่งลอยขึ้นมาแล้วถูกลำแสงสีเงินสายหนึ่งยกลอย


หลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็โยนวัตถุดิบชิ้นแล้วชิ้นเล่าเข้าไปในค่ายกลไม่หยุด ผ่านไปไม่นานนัก ลำแสงเส้นหนาตรงใจกลางก็รายล้อมด้วยลำแสงสีเงินขนาดเล็กยี่สิบกว่าสาย


กลางหว่างคิ้วเขาก็มีแสงเจิดจ้าฉายออกมา จิตสัมผัสอันแข็งแกร่งถูกปล่อยออกมาอย่างไม่เก็บออมไว้สักนิด ดึงลำแสงสีเงินอ่อนทั้งหมดเข้ามาในการควบคุมทั้งหมด


ทันใดนั้นแสงสีเงินเหล่านี้ก็ประหนึ่งมีชีวิต เริ่มวนเวียนล้อมร่างเขา


หลิ่วหมิงเพ่งสายตา สะบัดมือส่งเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกไปตกกลางค่ายกล ลำแสงเส้นหนาที่สุดเส้นนั้นที่ยกหนังอสูรอยู่บิดเบี้ยวไปเล็กน้อยวูบหนึ่ง เปลวเพลิงกึ่งโปร่งใสสายเล็กๆ พุ่งออกมาจากด้านใน


หลังหลิ่วหมิงเผยสีหน้าครุ่นคิดก็อ้าปากพ่นก้อนปราณสีน้ำเงินก้อนหนึ่งออกมา มันส่องสว่างร่วงลงบนลำแสงเส้นหนา


เสียงฮู่ดังขึ้นทีหนึ่ง ทันใดนั้นเปลวเพลิงที่ล้อมศพของกวางชะมดอยู่ก็ลุกโหม เปลวเพลิงใสล้อมหนังอสูรทั้งผืนไว้ข้างใต้


หนังอสูรของกวางชะมดว่างเปล่าถูกเปลวเพลิงกึ่งโปร่งใสกลืนกินไปก็เริ่มจะละลาย พร้อมกันนั้นสิ่งเจือปนสีเทาดำจำนวนหนึ่งก็ค่อยๆ ซึมออกมา


หลิ่วหมิงสังเกตการเปลี่ยนแปลงของแผ่นหนังอย่างละเอียดไม่คลาดสายตา เคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าในมือพุ่งออกไปเร็วรี่ดุจสายน้ำไหล รักษาเปลวเพลิงกึ่งโปร่งใสดวงนี้ไว้


สภาพเช่นนี้ดำเนินไปครึ่งค่อนวันเต็มๆ สิ่งเจือปนในหนังผืนนี้ถึงไม่ซึมออกมาอีก ท้ายที่สุดกลายเป็นวัตถุสภาพเหมือนยางที่ส่องแสงสีขาวเรืองๆ ก้อนหนึ่ง ดูแล้วเหนียวอย่างยิ่ง


หลิ่วหมิงนึกย้อนถึงคำบรรยายในคัมภีร์หยกอย่างละเอียด หลังแน่ใจว่าไม่ผิดพลาด ตอนนี้ถึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ต่อจากนั้นเขาก็ขยับความคิด สะบัดมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมาลงบนเสาแสงขนาดเล็กเส้นหนึ่งรอบนอก


เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น


ลำแสงขนาดเล็กลุกไหม้รุนแรงขึ้นดุจเดียวกัน ชั่วพริบตากลายเป็นเสาอัคคีต้นหนึ่ง ทว่าสีของเปลวเพลิงกลับไม่ใช่สีแดงฉาน


สิ่งที่ลอยอยู่บนลำแสงเดิมทีคือผลึกหินใสสีน้ำเงินอ่อนก้อนหนึ่ง มันละลายอ่อนตัวท่ามกลางเปลวเพลิงอย่างรวดเร็ว


หลังหลิ่วหมิงเปลี่ยนมันให้กลายเป็นของเหลวใสสีน้ำเงินก้อนหนึ่งอย่างสมบูรณ์แล้ว สิบนิ้วบนสองมือก็กางออก พลังจิตวิญญาณละเอียดดั่งสายพิณพุ่งเร็วรี่ออกไปจากสิบนิ้ว แทรกเข้าไปในก้อนของเหลวอย่างพอดิบพอดี


จากนั้นนิ้วของเขาก็ดีดเบาๆ ไม่หยุด ก้อนของเหลวนั่นเริ่มหมุนเปลี่ยนรูปร่างตามการชักนำของสายพลังจิตวิญญาณ หยดน้ำขนาดเล็กหยดแล้วหยดเล่าขนาดเท่าๆ กันแยกตัวออกมาจากด้านใน หลังจากนั้นผสานเข้าไปในวัตถุลักษณะเหมือนยางสีขาวที่กลายสภาพมาจากหนังอสูรทีละหยดๆ ภายใต้การควบคุมของเขา


หลิ่วหมิงชักนำหยดของเหลวสีน้ำเงินหยดแล้วหยดเล่าอย่างระมัดระวังไม่หยุด พร้อมกับสังเกตความเปลี่ยนแปลงของวัตถุสภาพเหมือนยางสีขาวอยู่ตลอดเวลา


ในที่สุดหลังของเหลวสีน้ำเงินหยดที่แปดผสานเข้าไป วัตถุลักษณะเหมือนยางก้อนนั้นในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย สีสันของมันเปลี่ยนเป็นสีเงินอ่อนทันที


ดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววยินดีจางๆ หลังจากนั้นมือข้างหนึ่งจึงสะบัดอีกหน ยิงเคล็ดวิชาอีกสายหนึ่งเข้าใส่ลำแสงเส้นหนึ่งที่อีกด้าน แสงเปลวเพลิงรุนแรงปรากฏออกมา เปลี่ยนหญ้าจิตวิญญาณสีขาวน้ำนมต้นหนึ่งที่มันยกลอยอยู่ให้กลายเป็นไอ สภาพเหมือนหมอกสีขาวน้ำนมสายหนึ่ง


เคล็ดวิชาที่มือของหลิ่วหมิงชักนำไอหมอกสีขาวน้ำนมให้ซึมเข้าไปในวัตถุลักษณะเหมือนยางสีเงินอ่อนตรงกลางอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงจัดการวัตถุดิบในลำแสงรอบด้านด้วยกรรมวิธีพิเศษผสานเข้าไปในวัตถุลักษณะเหมือนยางที่แปลงสภาพมาจากหนังอสูรกวางชะมดอย่างระมัดระวังทีละอย่างๆ ไม่หยุด ในเวลาเดียวกันวัตถุลักษณะเหมือนยางก็เริ่มเปลี่ยนสภาพช้าๆ ค่อยๆ กลายเป็นวัตถุแคบแบนทรงวงรีที่ตรงกลางมีช่องว่างชิ้นหนึ่งภายใต้การควบคุมของจิตสัมผัสรวมถึงพลังเวทของเขา


สภาพของมันแลดูคล้ายฝักกระบี่ชิ้นนั้นที่ห้อยอยู่ข้างเอวซาทงเทียนอยู่หลายส่วน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ฮึกเหิมขึ้นมา เขาใช้แขนเสื้อปาดหยดเหงื่อที่ซึมออกมาจากหน้าผาก ออกแรงเล็กน้อยใช้ฟันขบปลายลิ้นจนแตก โลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งถูกพ่นออกมา รวมตัวกันกลายเป็นก้อนเลือดขนาดเท่าไข่ไก่เบื้องหน้าร่าง


ก้อนเลือดจับตัวรวมกันกลายเป็นยันต์ลี้ลับสีเลือดขนาดเล็กตัวแล้วตัวแล้วภายใต้การควบคุมของเคล็ดวิชาที่มือเขา จากนั้นเรียงเป็นลำดับบางอย่าง ผสานเข้าไปในฝักกระบี่ทีละตัวๆ


หลังทำเรื่องนี้เสร็จ หลิ่วหมิงก็พลิกมือเรียกขวดหยกน้อยใบหนึ่งออกมาอีก เขาเทผงสีขาวจำนวนหนึ่งด้านในออก เมื่อมือข้างหนึ่งชี้ ผงสีขาวเหล่านี้ก็ลอยขึ้นมาในทันใดแล้วทาไปบนผิวรอบนอกของฝักกระบี่อย่างทั่วกัน


หลังจากนั้นก็เป็นของเหลวสีดำสนิทอีกขวดหนึ่ง…


หลิ่วหมิงเติมวัตถุดิบทีละอย่างๆ เข้าไปในต้นแบบฝักกระบี่ตามวิธีการหลอมที่บันทึกไว้ในคัมภีร์หยก


ในเวลาเดียวกันเปลวเพลิงกึ่งโปร่งใสที่ล้อมรอบฝักกระบี่อยู่ก็กลายเป็นอสรพิษเพลิงกึ่งโปร่งใส หนาเท่านิ้วมือตัวแล้วตัวเล่า พวกมันวนล้อมด้านบนด้านล่างของฝักกระบี่แล้วลุกโหมไม่หยุดภายใต้การควบคุมของหลิ่วหมิง


ผิวนอกของฝักกระบี่เริ่มยืดเปลี่ยนรูปร่างไม่หยุดเช่นนี้ พร้อมกันนั้นบนผิวก็เริ่มมีเส้นสีเงินเรียวเล็กเส้นแล้วเส้นเล่าลอยออกมาเลือนราง


หลังผ่านไปเช่นนี้เป็นเวลาสองวัน ฝักกระบี่ว่างเปล่าถึงเป็นรูปเป็นร่างขึ้น


หลิ่วหมิงพรูลมหายใจยาว เมื่อจิตผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็รู้สึกสมองเจ็บแปลบอยู่เลือนราง เขาอดไม่ได้หัวเราะเจื่อนๆ ออกมา


ใช้เวลาหลอมยาวนานเช่นนี้ แม้พลังจิตของเขาแข็งแกร่ง ทั้งยังมีหนอนพลังจิตช่วยเหลือแต่ก็รู้สึกทนไม่ค่อยไหวนัก


ยังดีที่การขึ้นรูปฝักกระบี่ซึ่งสำคัญที่สุดสำเร็จไปแล้ว งานต่อจากนี้แม้เทียบกันแล้วทำง่ายกว่ามาก แต่ก็เป็นก้าวที่ซับซ้อนที่สุดยาวนานที่สุดของขั้นตอนการทำทั้งหมด


หลิ่วหมิงกินโอสถหลายเม็ดลงไป หลังพักครู่หนึ่งสองมือก็เริ่มทำท่าเคล็ดวิชา เสาอัคคีสีเงินอ่อนรอบนอกส่องสว่างสองสามหนก็หายวับไปกับความว่างเปล่า มีเพียงลำแสงสีเงินอ่อนตรงกลางค่ายกลที่ยังคงส่องแสงสว่างไสวออกมา


จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สิบนิ้วบนสองมือดีดไม่หยุด ยันต์หน้าตาเหมือนลูกกบบูดเบี้ยวเล็กจิ๋วตัวแล้วตัวเล่าพุ่งออกมาจากด้านใน เริ่มสลักยันต์ลงไปในฝักกระบี่


เวลาผ่านไปทีละน้อยเช่นนี้


ครึ่งปีให้หลัง ประตูใหญ่ของห้องลับจึงค่อยๆ เปิดออก ชายหนุ่มสีหน้าซูบเซียวผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน


ตอนที่ 837 อายุขัย

หลิ่วหมิงไม่พูดพร่ำมือข้างหนึ่งตบฝักกระบี่ข้างเอว ผิวของฝักกระบี่ฉับพลันมีแสงเรืองรองสีเงินอ่อนสายหนึ่งม้วนออกมา ดูดกลืนหญ้าจิตวิญญาณและสมุนไพรจิตวิญญาณทั้งหมดเหล่านี้เข้าไป


ต่อจากนั้นเขาก็ทำท่ามือของเคล็ดกระบี่แล้วชี้ที่หว่างคิ้ว แสงสีทองสายหนึ่งฉายออกมากลายเป็นกระบี่บินว่างเปล่าขนาดสองฉื่อแปดชุ่น หลังมันพร่าเลือนวูบหนึ่งก็กลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งอีกครั้งบินเข้าไปในฝักกระบี่


“ผนึก!”


เขาเอ่ยเบาๆ สองมือยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าออกมาประหนึ่งวงล้อร่วงลงบนฝักกระบี่


ตอนนี้เขากำลังเพิ่มตราผนึกลงบนฝักกระบี่ เมื่อกระบี่ว่างเปล่าอยู่ด้านในจะค่อยๆ ได้รับการบำรุง ยามเผชิญศัตรูพริบตาที่ออกจากฝักก็จะได้ฝักกระบี่เสริมส่ง พลังวิชาขี่กระบี่ของเขาย่อมเพิ่มมากขึ้นไม่น้อย


“ปิด!”


หลิ่วหมิงเอ่ยเบาๆ อีกคำหนึ่ง ผิวของฝักกระบี่สีเงินอ่อนก็ส่องแสงสีเงิน กะพริบวูบวาบหายไปตรงเอว


นี่เป็นจุดที่พิเศษอีกจุดหนึ่งของฝักกระบี่ว่างเปล่า อาศัยธาตุว่างเปล่าซ่อนเร้นร่องรอยได้ดั่งใจปรารถนา


เมื่อเป็นเช่นนี้ยามหลิ่วหมิงเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งย่อมไม่ถูกศัตรูล่วงรู้ไพ่ตายของตนก่อน ความแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้ไม่ต้องบอกก็รู้


หลังทำทุกสิ่งนี้เสร็จ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว เขาเดินไปห้องนอนทิ้งตัวลงนอนกรนทันที


สามวันให้หลัง หลิ่วหมิงถึงตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง


ความเหนื่อยล้ากายใจครึ่งปีติดต่อกันนี้ในที่สุดก็หายไปจนหมด


หลิ่วหมิงเข้าไปในห้องศิลาด้านข้างที่เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์อยู่เป็นอย่างแรก หลังคุยกับทั้งสองตัวครู่หนึ่ง เขาจึงรู้ว่าในเวลาครึ่งปีนี้อสูรเลี้ยงทั้งสองตัวกินโอสถจิตวิญญาณจนพลังเพิ่มขึ้นไม่น้อย ปราณแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มาก คาดว่าคงใกล้จะถึงจุดสูงสุดของระดับผลึกแล้ว


เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เคยได้โชควาสนามาหนหนึ่ง วันนี้ในร่างจึงมีเลือดของปีศาจสวรรค์กับปีศาจยักษ์โบราณอยู่มากบ้างน้อยบ้าง ลำพังความเร็วในการฝึกฝนจึงเหนือกว่าหลิ่วหมิงอยู่เล็กน้อย


หลิ่วหมิงย่อมยินดีกับเรื่องนี้ยิ่งนัก


อย่างไรเสียถ้าเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ไปถึงระดับแก่นเสมือนได้จริง พวกมันย่อมเป็นกำลังเสริมให้ตนในยามต่อสู้ได้มากขึ้นไปอีกขั้น


จากนั้นเขาก็เดินมาถึงโถงถ้ำ ปลดค่ายกลชั้นจำกัดของถ้ำที่พักออก


พริบตาที่ชั้นจำกัดเพิ่งสลายไป ทันใดนั้นก้อนแสงหลากสีสันสิบเจ็ดสิบแปดดวงก็บินเข้ามาจากประตูใหญ่ของถ้ำพุ่งวูบมาถึงเบื้องหน้าเขา


หลิ่วหมิงอึ้งไปเล็กน้อย แต่เมื่อเพ่งสายตามองก็ยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา


พวกนี้เป็นยันต์ถ่ายทอดเสียงที่นิกายส่งมาในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ก็เท่านั้น


จะว่าไปแล้วนับแต่หลิ่วหมิงกลับมาจากแดนลึกลับประตูสวรรค์เขาก็กลายเป็นบุคคลผู้โด่งดังในหมู่ศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ คนที่มุ่งหน้ามาเยี่ยมเยือนสานสัมพันธ์มากกว่าก่อนหน้านี้หลายสิบเท่า


นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาจำต้องเปิดชั้นจำกัดของถ้ำที่พักก่อนจะเก็บตัว


เขาส่ายศีรษะยกแขนเสื้อขึ้นทีหนึ่ง ทันใดนั้นยันต์ถ่ายทอดเสียงทั้งหมดก็ร่วงลงในมือเขา


หนึ่งเค่อหลังจากนั้นหลิ่วหมิงยืนอยู่ที่เดิม ฟังเสียงที่ส่งมาเหล่านี้ทีละแผ่นๆ อย่างนิ่งสงบ


ไม่ผิดจากที่คาดยันต์ถ่ายทอดเสียงเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นของศิษย์สายในที่มาเยี่ยมเยียนทิ้งไว้ จดหมายส่วนใหญ่แสดงความต้องการจะผูกมิตรอย่างเกรงอกเกรงใจ ถึงขนาดมีจดหมายเชื้อเชิญไปร่วมฝึกฝนไม่น้อย


หลิ่วหมิงเห็นเนื้อหาเหล่านี้ย่อมลอบกลอกตา ไม่อยากจะไปสนใจเพิ่ม


ทว่าในเสียงที่ส่งมาเหล่านี้ไม่มีของเจียหลาน นี่กลับทำให้ในใจหลิ่วหมิงเกิดความรู้สึกประหลาดที่บอกไม่ถูก


หลิ่วหมิงสั่นศีรษะ หลังปัดความคิดเหล่านี้ไป ความคิดก็นึกไปถึงเรื่องเกี่ยวกับห้องว่างเปล่าลึกลับขึ้นมาอีก


คำนวณดูแล้วตอนนี้ห่างจากครั้งก่อนที่ฟองอากาศลึกลับน้อยปรากฏใกล้ครบสามสิบสองปีแล้ว


ยามนี้พลังของเขาบรรลุถึงระดับผลึกขั้นปลาย ในเวลาสั้นๆ อยากเลื่อนระดับอีกเห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้


ทว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่เวลานี้จัดการสักหน่อยได้


ก่อนหน้านี้นิกายมอบแต้มคุณูปการสามล้านแต้มให้เป็นรางวัลสำหรับความดีความชอบในงานประตูสวรรค์ของเขา แล้วเขายังได้วัตถุดิบปรุงโอสถและโอสถที่หายากไม่น้อยมาจากแดนลึกลับรวมถึงจากสองคนนั้นของนิกายหยกทอง หากมอบให้นิกายก็น่าจะแลกแต้มคุณูปการมาได้ไม่น้อย เมื่อรวมกับแต้มคุณูปการจำนวนหนึ่งที่เขามีอยู่เดิม รวมกันให้ได้สี่ล้านแต้มคุณูปการก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก


ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาสองสามวันจัดแหวนย่อส่วนดีๆ รอบหนึ่งอีกครั้ง เมื่อแยกวัตถุดิบปรุงโอสถและโอสถที่ตนคิดว่าไม่ได้ใช้แต่ยังนับว่าล้ำค่าจำนวนหนึ่งออกมาจนหมด เขาก็เดินทางไปวิหารไท่เจินหนึ่งเที่ยว สุดท้ายก็รวบรวมแต้มคุณูปการได้สี่ล้านแต้ม


หลังจากนั้นเขาจึงไปหอคุมกฎในนิกาย ในที่สุดก็คืนแต้มคุณูปการที่ติดค้างอยู่จากการฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งได้หมด นับว่ากำจัดความกังวลใจไปได้เรื่องหนึ่ง


หลังจากนั้นหลิ่วหมิงใช้เวลาอีกสิบกว่าวันเดินทางไปตลาดในนอกนิกายหลายหน รวบรวมวัตถุดิบการปรุงสูตรโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ที่ได้มาจากเฟิงชิงโม่ราวสิบชุด เตรียมจะศึกษาสูตรโอสถนี้ดีๆ ในช่วงนี้ที่เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ


จะว่าไปแล้วโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์นี้ นอกจากกระดองเต่าลู่อู๋วัตถุดิบหลักที่ค่อนข้างหายาก วัตถุดิบเสริมอื่นก็ไม่ได้หายาก


พูดไปแล้วก็บังเอิญ กระดองเต่าลู่อู๋นี้ในกำไลเก็บของของเฟิงชิงโม่ผู้นั้นบังเอิญมีอยู่ครึ่งชิ้นน้อยพอดี คิดว่าหลังคนผู้นี้ได้สูตรมาคงยังไม่ทันได้ลองหาคนปรุง ชิ้นน้อยขนาดนี้เต็มที่ก็พอปรุงได้สิบครั้งเท่านั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะทำโอสถที่สำเร็จขั้นสุดท้ายออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ


ทว่าสำหรับหลิ่วหมิงที่กำลังจะเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ นั่นเพียงพอแล้ว


หลังเขาทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้นก็เปิดชั้นจำกัดทั้งหมดของถ้ำที่พัก เขาเรียกเฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์มาข้างกายแล้วเริ่มเก็บตัว รอฟองอากาศลึกลับเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างนิ่งสงบ


เวลาสองเดือนผ่านไปในพริบตา


วันนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาสองข้างแน่นอยู่กลางห้องลับ เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์ก็แยกกันอยู่ซ้ายขวาของเขา นั่งขัดขาทำสมาธิโคจรปราณเหมือนเดิม


ทันใดนั้นเขาก็เลิกคิ้วขึ้น ปล่อยจิตสัมผัสมองสำรวจภายใน พบว่าทะเลจิตวิญญาณของตนโหมซัดเล็กน้อยอยู่พักหนึ่ง ฟองอากาศน้อยใสฟองหนึ่งก็ลอยออกมาช้าๆ


“ในที่สุดก็มาแล้ว…”


หลิ่วหมิงถอนหายใจในใจพลางเอ่ยพึมพำกับตนเอง


เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็รีบลุกขึ้นยืนอย่างรู้กัน ต่างคนต่างดึงแขนเสื้อของหลิ่วหมิงไว้คนละข้าง


เสียง “ฟู่” แผ่วเบาดังขึ้น


ฟองอากาศใสในทะเลจิตวิญญาณสั่นแผ่วเบาแล้วส่งแรงดูดรุนแรงสายหนึ่งออกมาในทันใด


หลิ่วหมิงขยับความคิด รีบกระตุ้นผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดที่ลอยอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ แผ่พลังเวทข้างในออกมาให้ฟองอากาศใสน้อยนี้ดูดซับ


ทว่าครู่ต่อมาสีหน้าของหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย


ครั้งนี้ฟองอากาศน้อยคล้ายจะเกิดความผิดปกติบางอย่าง ราวกับว่ามันมีหลุมดำไร้ก้นหลุมหนึ่งดูดซับพลังเวทอย่างดุดันต่างจากปกติ เหนือกว่าหลายครั้งก่อนหน้ามาก


หลิ่วหมิงตกตะลึงอย่างยิ่ง แต่ยามนี้ไม่อาจสนใจเรื่องนี้มากได้ เขาได้แต่พยายามกระตุ้นพลังเวทในร่างส่งให้ฟองอากาศน้อยนี้ดูดซับอย่างสุดความสามารถ พร้อมกันนั้นในใจก็ภาวนาให้พลังเวทบริสุทธิ์ที่เหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันของตนจะจัดการให้ผ่านด่านนี้ตรงหน้าไปได้


ครึ่งค่อนชั่วยามผ่านไปในพริบตา!


เวลานี้พลังเวทในร่างหลิ่วหมิงเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ความเร็วในการกลืนกินของฟองอากาศใสน้อยกลับไม่ลดลงสักนิด


ใบหน้าของหลิ่วหมิงเริ่มซีด


เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์ที่ยืนอยู่สองด้านของเขาก็ค้นพบเช่นกันว่าสภาพเวลานี้ของหลิ่วหมิงคล้ายจะไม่ปกติ พวกมันสบตากันทีหนึ่งแล้วเผยสีหน้ากังวลเล็กน้อยออกมา แต่ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำสิ่งใด ได้แต่จ้องตากันรอคอยอย่างร้อนใจ


ขณะที่เวลาผ่านไปทีละน้อย พลังเวทในร่างหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ลดลง สีหน้ายิ่งย่ำแย่ขึ้นทุกที


สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ แม้เขาจะรู้ว่าแย่แล้วแต่ไม่มีวิธีขัดขวางแม้แต่น้อย


เดิมคิดว่าเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลาย พลังเวทของตนจะเพียงพอให้ฟองอากาศใสดูดซับ แต่วันนี้ดูแล้วเขาคงจะมองโลกในแง่ดีเกินไป


ตอนนี้เฟยเอ๋อร์ด้านข้างคิดจะเปิดปากอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนถูกเซียเอ๋อร์อีกด้านหนึ่งใช้สายตาห้ามไว้


แม้เซียเอ๋อร์จะเป็นห่วงร้อนรนเช่นเดียวกัน แต่ในใจยังเชื่อมั่นว่านายท่านผู้นี้ของตนจะฝืนทนจนผ่านด่านนี้ไปได้


หากพวกมันสอดมือยุ่งวุ่นวายจนทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอื่นขึ้น นั่นถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้!


หลังเวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วมื้ออาหาร หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าทะเลจิตวิญญาณหนักขึ้น พลังเวทสายสุดท้ายถูกกลืนเข้าไปหมดสิ้น


ในใจเขาตกตะลึง พริบตานั้นภาพตนเองถูกดูดจนตัวแห้งก็ผุดขึ้นมาในสมอง


ทว่าตอนที่พลังเวทของเขาถูกดูดไปจนหมดนั่นเอง ในที่สุดการกลืนกินของฟองอากาศใสก็ช้าลง


หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายเย็นเยียบ เลือดและปราณในร่างถูกแรงล่องหนสายหนึ่งชักนำกรอกเข้าไปในฟองกาศอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันภายในร่างเขาก็มีกระแสความร้อนสายหนึ่งกำลังถูกฟองอากาศใสดูดกลืนเข้าไปไม่หยุดเช่นกัน


ในใจหลิ่วหมิงยิ้มขมขื่น ความรู้สึกนี้ไม่เพียงคุ้นเคยแต่เขายังจดจำได้เหมือนใหม่ มันคือสิ่งที่บ่งบอกว่าอายุขัยของเขากำลังไหลหายไปอย่างรวดเร็ว


เลือดและปราณสายแล้วสายเล่ากับอายุขัยไหลเข้าไปในฟองอากาศ หากมีคนอยู่ที่นี่ก็จะเห็นว่าแม้สีหน้าของหลิ่วหมิงปกติ แต่ลมหายใจขอเขากลับแผ่วเบาลงทุกที นอกจากนี้เส้นผมสีดำขลับบนศีรษะก็ค่อยๆ กลายเป็นสีเทาขาวด้วย


“แย่แล้ว นายท่านเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว!” เฟยเอ๋อร์เห็นสภาพนี้ในที่สุดก็ทนไม่ไหวร้องเสียงดัง


“รอดูอีกเดี๋ยว…” เซียเอ๋อร์สีหน้าเปลี่ยนไปมาหลายหน แต่ยังคงอดทนกัดฟันเอ่ยขึ้น


แทบจะในเวลาเดียวกัน หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเกิดเสียง “ฟู่” แผ่วเบาดังขึ้นภายในร่างตน ความเร็วการไหลหายไปของอายุขัยพริบตาช้าลงมาก


นี่ทำให้หลิ่วหมิงผู้เดิมทีคิดว่าตนยากจะหนีพ้นคราวเคราะห์ครั้งนี้แล้วแรกสุดตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นในดวงตาก็ฉายแววยินดีอย่างยิ่งทันที


เป็นเช่นนี้ผ่านไปอีกเป็นเวลาครึ่งก้านธูปเต็ม ในที่สุดการกลืนกินของฟองอากาศใสถึงหยุดลง


หัวใจที่เต้นรัวอยู่ในร่างหลิ่วหมิงเมื่อครู่ท้ายที่สุดจึงสงบลง


ครั้งนี้แม้เขาจะเสียเลือดและปราณไปมากอย่างที่สุด แต่ดีร้ายก็ยังไม่ถูกดูดจนแห้งตาย


พริบตานั้นที่จิตใจของเขาผ่อนคลาย เบื้องหน้าฉับพลันก็ดับมืด หมดสติไปทั้งอย่างนั้น


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หลิ่วหมิงถึงได้สติขึ้นมาช้าๆ เบื้องหน้าเป็นโลกสีเทาแห่งหนึ่ง


ที่แท้ตอนที่เขาหมดสติเขาก็เข้ามาในห้องว่างเปล่าลึกลับแล้วอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว


“นายท่าน ท่านตื่นแล้ว!” ข้างหูได้ยินเสียงของเฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์ดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน


เขาพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ศีรษะยังคงรู้สึกวิงเวียนวูบหนึ่ง เมื่อจิตสัมผัสมองสำรวจภายในร่างครู่หนึ่ง บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจืดเจื่อนออกมาจางๆ


แค่ชั่วเวลาสั้นๆ เมื่อครู่ โลหิตบริสุทธิ์ในร่างเขาก็ถูกดูดกลืนไปมากกว่าครึ่ง อายุขัยก็เสียไปไม่น้อยกว่าร้อยปี


“นายท่าน ผมของท่าน…” หญิงสาวชุดตาข่ายดำนั่งอยู่หน้าร่างหลิ่วหมิง เมื่อนางเห็นเขาตื่นก็ยินดี แต่หลังมองเส้นผมของหลิ่วหมิงก็เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง


เฟยเอ๋อร์ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้ากังวลเช่นกัน


ตอนที่ 838 ความลับของหลัวโหว

หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่พูดพร่ำมือข้างหนึ่งวาดผ่านอากาศเบื้องหน้า กระจกวารีแวววาวบานหนึ่งปรากฏขึ้น สะท้อนหน้าตาของเขาชัดเจน


แม้หน้าตาไม่เปลี่ยนไปเท่าไร แต่เส้นผมกลายเป็นครึ่งเทาครึ่งขาว ไม่เหลือสีดำมันเงาแต่เดิมแม้แต่น้อย


“ไม่เป็นไร ตรงนี้ไม่มีอันตรายใดแล้ว พวกเจ้าสองตัวไปฝึกฝนก่อนเถิด ข้าจะโคจรปราณสักพัก” หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติในทันที แล้วหันไปพูดกับอสูรเลี้ยงทั้งสองตัว


“รับคำสั่ง นายท่าน”


เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์เห็นหลิ่วหมิงไม่เป็นอะไรมากจริงๆ จึงวางใจเช่นกัน หลังคำนับอย่างนอบน้อมทีหนึ่ง ต่างคนก็ไปหามุมเริ่มฝึกฝนพลังของตนเอง


หลังหลิ่วหมิงหยิบโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งออกมากลืนลงไป พลังเวทในทะเลจิตวิญญาณที่แห้งเหือดไปก็ค่อยๆ ฟื้นกลับมาบ้าง พร้อมกันนั้นในใจเขาก็รู้สึกยินดี รู้สึกว่าประสบคราวเคราะห์ใหญ่แต่รอดตาย


หากฟองอากาศลึกลับดูดซับนานขึ้นอีกพักหนึ่ง ต่อให้เขาไม่ตาย ชีวิตในร่างก็คงถูกทำลายไปมากอย่างที่สุด


หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังเวทชักนำพลังจิตวิญญาณให้ไหลเข้าสู่สี่แขนขาร้อยกระดูกทันที เส้นผมสีขาวดอกเลาจึงค่อยๆ ฟื้นกลับมาเป็นสีดำขลับ ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะก็ค่อยๆ หายไป


ครึ่งชั่วยามให้หลังเขาก็หยุดนั่งสมาธิจากนั้นลุกขึ้นยืนอย่างปลอดโปร่ง


เวลานี้รูปลักษณ์ภายนอกของเขาเกือบฟื้นคืนกลับสภาพเดิมแล้ว แต่อารมณ์กลับหนักอึ้งอย่างยิ่ง!


ตอนที่นั่งสมาธิเมื่อครู่เขาลอบสำรวจสภาพภายในร่างรอบหนึ่ง พบว่าอายุขัยที่เสียไปครั้งนี้มากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้ามาก อย่างน้อยก็เสียไปเกือบห้าหกสิบปี


จากที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ ด้วยพลังระดับผลึกขั้นปลายของเขา สมควรจัดการกับการดูดกลืนพลังเวทครั้งนี้ได้อย่างเหลือเฟือ


ตอนนี้เกิดเรื่องที่ทำให้อายุขัยของเขาเสียหายหนัก เห็นชัดว่ากรงขังลึกลับนี่เกิดสิ่งผิดปกติบางอย่างที่เขาไม่รู้ขึ้นแล้ว


“ผู้อาวุโสหลัวโหวเชิญออกมาพบหน้ากันหน่อย! ผู้เยาว์มีเรื่องบางอย่างต้องการขอคำชี้แนะเล็กน้อย” หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ประสานมือเอ่ยเสียงดังใส่พื้นที่ว่างเปล่าสีเทาขมุกขมัว


“ไม่ต้องเสียงดังเช่นนี้ ข้าได้ยินแล้ว” เงาคนพร่าเลือนวูบหนึ่ง หลัวโหวก็โผล่ออกมาเบื้องหน้า เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์


“ผู้อาวุโสหลัว…” หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง


“ไม่ต้องพูดมาก สถานการณ์เมื่อครู่ข้าเห็นแล้ว” หลัวโหวโบกมือห้ามไม่ให้หลิ่วหมิงพูด จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นนิ่งๆ


หลิ่วหมิงอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปอีก


ในเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนี้ ดูท่าคงจะบอกสาเหตุของเรื่องนี้ให้ฟังแน่


หลัวโหวเงียบไปชั่วครู่บนใบหน้าถึงปรากฏสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยขณะที่เอ่ยขึ้นช้าๆ


“เดิมทีคิดว่าผ่านไปอีกสักพักจะบอกเจ้า แต่ตอนนี้ดูท่า ไม่พูดคงไม่ได้แล้ว ต้องคุยกับเจ้าดีๆ สักหน่อย”


“เชิญผู้อาวุโสคลายข้อสงสัย!”


หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว หลังประสานมืออีกครั้ง ในใจก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่เลือนราง


“ที่จริงเรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ก็แค่จิตวิญญาณอาวุธที่แท้จริงของกรงขังกำลังจะตื่น ดังนั้นพลังเวทที่ดูดเข้าไปถึงเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน แต่โชคของเจ้ายังนับว่าไม่เลว กายเนื้อกับความบริสุทธิ์ของพลังเวทเหนือจินตนาการไปไกลถึงไม่ถูกดูดจนแห้ง” หลัวโหวอ้าปากปุบก็เอ่ยคำพูดที่ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงออกมา


“จิตวิญญาณอาวุธที่แท้จริงของกรงขังหรือ? คำนี้หมายความว่าอย่างไร ผู้อาวุโส ท่านไม่ใช่…?” หลิ่วหมิงตะลึงงัน


“เจ้าเชื่อมาตลอดว่าข้าคือจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังสินะ” หลัวโหวมองหลิ่วหมิงนิ่งๆ มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะนิดๆ ออกมา


“ไม่ผิด”


หลิ่วหมิงพยักหน้าตามตรง


“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่ามิติกรงขังแห่งนี้คือผนึกอันหนึ่ง ด้านในผนึกวิญญาณมารไว้มากมายนัก พูดให้ชัดที่จริงข้าก็เป็นผู้หนึ่งที่ถูกผนึกไว้เช่นกัน”


“แต่ข้าแตกต่างจากวิญญาณมารทั่วไป ข้ากับจิตวิญญาณอาวุธกรงขังนี้มีต้นกำเนิดเดียวกัน เป็นจิตวิญญาณที่มีความคิดของตัวเองส่วนน้อยในหมู่วิญญาณที่ถูกนายท่านของกรงขังจับมาตอนนั้น ยามนั้นนายท่านของกรงขังผสานวิญญาณเข้าไปในอาวุธชิ้นนี้เพื่อสร้างจิตวิญญาณอาวุธ แต่ข้ากลับไม่ถูกกลืนหายไปเพราะสาเหตุบางอย่างจึงได้แต่ถูกผนึกไว้ในกรงขัง เพราะเรื่องนี้ขณะที่จิตวิญญาณอาวุธหลับใหลอย่างยาวนานนั้น ท้ายที่สุดข้าจึงทลายผนึก ปรากฏตัวออกมาควบคุมพลังส่วนหนึ่งของกรงขังได้” ในที่สุดหลัวโหวก็เล่าความเป็นมาที่แท้จริงของตนเองช้าๆ


“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ผู้เยาว์นับว่าเข้าใจข้อสงสัยจำนวนหนึ่งก่อนหน้านี้แล้ว แต่ตามที่ผู้อาวุโสกล่าวเมื่อจิตวิญญาณอาวุธที่แท้จริงของกรงขังตื่นขึ้น ท้ายที่สุดจะกลายเป็นอย่างไร?” หลังหลิ่วหมิงฟังจบก็ดูเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว


“ถ้า ‘เขา’ ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ข้าก็คงถูกเขากลืนกินหลอมเป็นหนึ่งเพื่อซ่อมแซมตัวเขา ส่วนเจ้า นายท่านตัวปลอมที่กรงขังนี้ยอมรับชั่วคราวย่อมจะถูกดูดจนแห้งอย่างไร้ปรานี ใช่แล้ว มิติที่เจ้าอยู่ตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ ‘เขา’ สร้างขึ้นมากับมือเมื่อตอนนั้น” หลัวโหวเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้หลิ่วหมิงขนพองสยองเกล้าออกมา


ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็ทำหน้าหายใจไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงหัวเราะเจื่อนๆ เอ่ยขึ้นว่า


“ในเมื่อผู้อาวุโสหลัวโหวกับจิตวิญญาณอาวุธมีต้นกำเนิดเดียวกัน จะบอกความเป็นมาของนายท่านของกรงขังกับจิตวิญญาณอาวุธแก่ข้าได้หรือไม่ หากข้าทราบรายละเอียดของทั้งสองคน ไม่แน่อาจหาวิธีรับมือได้?”


“แม้ร่างต้นยามนั้นของข้าคงอยู่มายาวนานนัก แต่หลังถูกหลอมเป็นจิตวิญญาณอาวุธ ความทรงจำส่วนใหญ่ก็สูญหายไปแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับนายท่านคนแรกของกรงขังกับตัวข้าเองล้วนเป็นเพียงความทรงจำเลือนรางจำนวนหนึ่ง ไม่อาจนึกความทรงจำละเอียดออกมาได้ จำได้เพียงลางๆ ว่าร่างเดิมของข้าเป็นอสูรยักษ์สูงเทียมฟ้าที่ตระเวนไปยังโลกต่างๆ ได้ตนหนึ่ง ส่วนนายท่านของกรงขังพลังลึกล้ำหยั่งไม่ถึง เคยปราบโลกหลายแห่งด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว” บนหน้าหลัวโหวเผยสีหน้าย้อนความทรงจำออกมา ชั่วครู่ให้หลังจึงส่ายศีรษะ


หลิ่วหมิงได้ยินคำตอบคลุมเครือนี้ย่อมไร้ถ้อยคำจะกล่าวตอบ


“เดิมทีข้าคิดว่ากว่าจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังจะตื่นน่าจะยังมีเวลาอีกหลายพันหรือนับหมื่นปี แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับมีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นแล้ว หากเป็นเช่นนี้ถ้าเจ้าอยากมีชีวิตรอดก็มีเพียงหนทางเดียวคือกลายเป็นนายท่านที่แท้จริงของกรงขัง ชิงหลอมกลืนจิตวิญญาณอาวุธเสียก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมา” หลัวโหวสองตาจ้องนิ่งมาทางหลิ่วหมิง เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ


“หลอมกลืนจิตวิญญาณอาวุธ…”


ในปากหลิ่วหมิงรู้สึกถึงรสขม!


แม้ความทรงจำเกี่ยวกับกรงขังของหลัวโหวจะพร่าเลือน แต่ดูจากความลี้ลับน่าเหลือเชื่อนานับประการของห้องว่างเปล่าลึกลับเพียงอย่างเดียว ก็ไม่รู้ว่าพลังของจิตวิญญาณอาวุธดวงนี้น่ากลัวเท่าไรแล้ว


“อาศัยเพียงเจ้าคนเดียวย่อมไม่ไหว แต่ขอเพียงเจ้าตัดสินใจแน่วแน่ ข้าย่อมช่วยเจ้าได้บ้าง” หลัวโหวคล้ายมองปราดเดียวทะลุไปถึงความคิดในใจของหลิ่วหมิงจึงเอ่ยขึ้นนิ่งๆ


“ขอผู้อาวุโสหลัวโหวอธิบายสักหน่อยเถิด” หลังสายตาของหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่งก็จ้องหลัวโหวเขม็งแล้วเอ่ยถามทันที


“ง่ายดายยิ่ง ต่อจากนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำอันดับแรกก็คือทะลวงไปถึงระดับแก่นแท้ภายในหกสิบปีนี้ นี่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของเจ้าในการกลายเป็นนายท่านที่แท้จริงของกรงขัง หากเรื่องนี้ทำไม่ได้ ไม่ต้องรอจิตวิญญาณอาวุธตื่น ครั้งต่อไปที่กรงขังต้องดูดซับพลังเวท เจ้าก็คงถูกดูดอายุขัยหมดสิ้นแล้ว ส่วนเรื่องอื่นที่ต้องเตรียมหลังจากนั้นล้วนต้องมีระดับแก่นแท้เป็นพื้นฐานก่อน หากเจ้าไม่กลายเป็นระดับแก่นแท้ ข้าพูดไปก็ไร้ประโยชน์” หลัวโหวได้ฟังก็เผยสีหน้ายินดีจางๆ ขณะเอ่ยบอก


“กลายเป็นระดับแก่นแท้ในหกสิบปี!” หลิ่วหมิงสูดลมหายใจดังเฮือก แต่ไม่ได้เผยท่าทางคิดไม่ถึงออกมามากนัก


เวลาหกสิบปีดูเหมือนนานมาก แต่อยากเข้าสู่ระดับแก่นแท้ในเวลาสั้นเช่นนี้ไหนเลยจะง่าย!


แค่ระดับแก่นเสมือนขั้นก่อนหน้าก็ขวางผู้ฝึกฝนไว้ได้ไม่รู้เท่าไรแล้ว


ส่วนการสลายผลึกผนึกแก่นแท้ยิ่งเป็นก้าวสำคัญที่สุดบนเส้นทางการฝึกฝนอันยาวนาน เรียกได้ว่าหากผนึกแก่นแท้สำเร็จ พลังจะก้าวกระโดดอย่างมาก ถึงขนาดที่ในบางความหมายกล่าวกันว่าระดับแก่นแท้ถึงจะนับว่าเริ่มต้นเหยียบบนเส้นทางของผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง


หากต้องการผนึกแก่นแท้สำเร็จ ต่อให้เป็นแก่นแท้ระดับต่ำสุดซึ่งพึ่งสิ่งภายนอกก็ยากเย็นแสนเข็ญ


ยกตัวอย่างแผ่นดินอวิ๋นชวนที่หลิ่วหมิงเคยอยู่ก่อนหน้านี้ แม้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกไม่มาก แต่ก็ไม่นับว่าน้อยนัก อย่างน้อยแต่ละสำนักมีมากมีน้อยก็ล้วนมี แต่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้กลับไม่มีสักคน


แม้แต่ทั้งเขตทะเลชังไห่ จากที่เขารู้มาก็มีเพียงราชาปีศาจสมุทรตนเดียวเท่านั้น ทว่าถึงแม้เป็นเช่นนี้ก็เป็นใหญ่เหนือทิศหนึ่งแล้ว


กระทั่งนิกายยอดบริสุทธิ์สี่ยอดนิกายใหญ่แห่งเผ่ามนุษย์เช่นนี้ ศิษย์ระดับผลึกในนิกายไม่รู้มีเท่าไร แต่มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ประหนึ่งขนหงส์เขากิเลน แต่ละคนต่างกลายเป็นผู้ควบคุมยอดเขา เป็นผู้อาวุโส ฐานะสูงส่งมีอำนาจอย่างที่สุด


นอกจากนี้หนึ่งในเงื่อนไขตั้งต้นของการกลายเป็นศิษย์ลับผู้ลึกลับของนิกายยอดบริสุทธิ์ก็คือต้องผนึกแก่นแท้ให้ได้ในระยะเวลาที่กำหนด ถึงจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง


“เจ้าก็ไม่ต้องหดหู่เกินไป ในหกสิบปีนี้ข้าย่อมทุ่มเทใช้ปราณจำนวนหนึ่งที่สะสมมาของตน พยายามช่วยเจ้าทะลวงไปถึงระดับแก่นแท้ให้ได้” หลัวโหวมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ น้ำเสียงให้กำลังใจเล็กน้อย


“อืม หากผู้อาวุโสหลัวโหวลงมือเอง ผู้เยาว์ย่อมมั่นใจอยู่บ้าง” หลิ่วหมิงได้ยินก็ยินดี รีบร้อนก้มต่ำคำนับหลัวโหวทีหนึ่ง


หากอาศัยเพียงตัวเขา เวลาหกสิบปีฝึกฝนไปถึงระดับแก่นแท้ เขาไม่มั่นใจสักเท่าไรจริงๆ


แม้หลัวโหวผู้นี้บอกว่าตนเป็นเพียงจิตวิญญาณสายหนึ่ง แต่ความสามารถที่เคยแสดงออกมาตลอดก่อนหน้านี้ก็ลึกล้ำไม่อาจหยั่ง เขาคงมั่นใจประมาณหนึ่งแน่นอนถึงเอ่ยออกมาเช่นนี้


“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าตอนนี้ ข้าก็ไม่ได้ช่วยเจ้าโดยไร้สิ่งตอบแทน ถึงเวลานั้นเจ้าต้องใช้วิชาลับสาปจิตหมื่นเคราะห์สาบานว่าภายภาคหน้าหากหลอมกลืนจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังสำเร็จจนกลายเป็นนายท่านที่แท้จริงของกรงขังแล้ว เจ้าจะต้องตามหาร่างกายที่เหมาะสมร่างหนึ่ง ปลดปล่อยข้าออกไปจากกรงขัง” หลัวโหวเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นเยียบ


“เรื่องนี้แน่นอน ขอเพียงผู้อาวุโสช่วยให้ข้าควบคุมกรงขังได้ เงื่อนไขเหล่านี้ข้าย่อมทำตามที่ว่ามาทั้งหมด ไม่กลับคำเด็ดขาด” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเพียงครู่เดียวก็รับปากเต็มปากเต็มคำ


“ดีมาก หากเป็นเช่นนี้ ถึงเวลาข้ากับเจ้าต่างฝ่ายถึงจะได้สิ่งที่ต้องการ”


หลัวโหวคล้ายพอใจกับคำตอบของหลิ่วหมิงอย่างยิ่ง สีหน้าจึงอ่อนโยนขึ้นอยู่บ้าง


ต่อจากนั้นหลิ่วหมิงก็ถือโอกาสสอบถามเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับกรงขังรวมถึงจิตวิญญาณอาวุธ ประเด็นที่ตอบได้หลัวโหวล้วนพยายามตอบตามจริง


นี่ทำให้หลิ่วหมิงเข้าใจเกี่ยวกับกรงขังเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย


“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสหลัวโหว ศิลาเทียนหุนในทะเลจิตรับรู้ของข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของกรงขังด้วยใช่หรือไม่?” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็คิดอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถามกะทันหัน


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกมาตลอดว่าศิลาเทียนหุนค่อนข้างลึกลับ เหมือนมันไม่ได้ทำได้แค่นำจิตของเขาเข้ามาในอาวุธเวทห้องว่างเปล่าลึกลับ แต่น่าจะมีความลี้ลับอื่นใดอยู่อีก


วันนี้มีโอกาส เขาย่อมถามตรงๆ


ตอนที่ 839 สูตรโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์

หลัวโหวที่รู้มาตลอดแต่ไม่บอกได้ยินเข้าก็อึ้งไปชั่วครู่ ครู่หนึ่งให้หลังถึงเอ่ยตอบอย่างลังเลอยู่บ้าง


“เอาเถอะ วันนี้จะพูดกับเจ้าให้ชัด เจ้าจะได้ไม่ต้องเก็บความสงสัยไว้นาน ศิลาหุนเทียนที่จริงเป็นสมบัติพิสดารอีกชิ้นหนึ่งที่นายท่านคนก่อนของกรงขังผู้เป็นมนุษย์ปีศาจได้มาโดยไม่ได้ตั้งใจ เดิมไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับกรงขัง แต่มนุษย์ปีศาจผู้นั้นเป็นอัจฉริยะผู้มากพรสวรรค์ เขาสร้างวิชาลับขึ้นมาวิชาหนึ่ง บังคับศิลาหุนเทียนกับกรงขังให้หลอมกลืนเป็นร่างเดียว หลังจากนั้นข้าได้หลอมศิลาหุนเทียนเพิ่มอีกเล็กน้อยหนหนึ่ง เจ้าถึงหยิบยืมพลังจากของสิ่งนี้เข้าออกที่แห่งนี้ได้ตามใจ”


หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ก็ลอบพยักหน้า


ศิลาหุนเทียนมีความเป็นมาเช่นนี้เอง มนุษย์ปีศาจผู้นั้นผสานศิลาหุนเทียนกับกรงขัง สมบัติสองชิ้นที่เดิมไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ดูท่าคงเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมอย่างที่สุดในศาสตร์การหลอมอาวุธอย่างแน่นอน


คิดมาถึงตรงนี้เขาก็อดไม่ได้นึกถึงครั้งแรกที่ตนถูกยึดครองร่างขึ้นมา ‘มนุษย์ปีศาจ’ ที่ยึดครองร่างตนนั้น ไม่เพียงปรับปรุงกระบี่จันทราทองกับมุกพลังวารีของตนได้ด้วยมือเปล่าในเวลาสั้นๆ ยังไม่รู้ใช้วิธีการใดผสานเกล็ดมังกรแดงเข้าไปในร่างกายตนอีก สิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าก็คือกระทั่งตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่ปรมาจารย์ลิ่วอินทิ้งไว้ให้แก่ทายาทก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกับตัวอ่อนกระบี่ที่เพิ่งหลอมออกมาของตนได้


หรือว่ามนุษย์ปีศาจในตำนานเหล่านี้ล้วนชำนาญศาสตร์การหลอมอาวุธ?


“ที่จริงข้าก็ไม่รู้เกี่ยวกับศิลาแท่งนี้ทุกอย่าง นอกจากยืมพลังของกรงขังให้เจ้าเข้ามาฝึกฝนในแดนมายาแล้ว โฉมหน้าที่แท้จริงของศิลาหุนเทียนที่จริงคือกุญแจซึ่งยากจะคาดเดาดีร้ายดอกหนึ่ง! เจ้าก็น่าจะจำปรากฏการณ์ประหลาดยามศิลาแท่งนี้ปรากฏขึ้นครั้งก่อนได้กระมัง?” หลัวโหวเอ่ยต่อ


หลิ่วหมิงได้ฟังคำนี้ในใจก็พรั่นพรึง นึกถึงประตูแสงประหลาดที่ศิลาหุนเทียนเปิดออกตอนนั้นขึ้นมาทันที


“ครั้งนั้นที่จริงข้ากำลังลองกุญแจดอกนี้ น่าเสียดายที่ล้มเหลว ดูท่าเวลาที่จะใช้มันยังมาไม่ถึง ในเวลาอันสั้นยากจะใช้กุญแจนี้นำผลประโยชน์อันใดมาให้เจ้า ส่วนเรื่องอื่นเกี่ยวกับศิลานี้ ตอนนี้เจ้ารู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ไม่ต้องสนใจนักจะดีกว่า…” หลัวโหวเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุด เหมือนจะไม่ยินดีพูดอันใดเกี่ยวกับศิลาหุนเทียนเพิ่มอีก


“ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ ผู้เยาว์นับว่าคลายข้อสงสัยจำนวนหนึ่งในใจได้แล้ว”


แม้ในใจหลิ่วหมิงยังคงสงสัยเกี่ยวกับคำว่า ‘กุญแจ’ อยู่มาก แต่หลังครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ไม่ถามอันใดเพิ่มอีกอย่างรู้สถานการณ์


“เอาล่ะ อย่างอื่นไม่ต้องพูดมากแล้ว ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดของเจ้าก็คือเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนให้เร็วที่สุด ต่อจากนั้นข้าจะหลับใหลเป็นช่วงเวลานานมากช่วงหนึ่ง พยายามสะสมพลังเพิ่ม เมื่อเจ้าเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้วจะได้ช่วยเจ้าอีกแรง ดังนั้นเมื่อฝึกฝนไปถึงระดับแก่นเสมือนแล้วก็ได้แต่พึ่งตัวเจ้าเองทั้งหมด” สายตาของหลัวโหวมองหลิ่วหมิงนิ่งนานพลางเอ่ยบอก


“ผู้เยาว์เข้าใจและจะไม่ทำให้ผู้อาวุโสผิดหวังแน่นอน” หลิ่วหมิงสีหน้าขึงขังเอ่ยตอบด้วยเสียงจริงจัง


หลังหลัวโหวพยักหน้าก็ถอยหลังไปหลายก้าว ร่างกายพร่าเลือนไม่ชัดอีกครั้งแล้วค่อยๆ หายไปจากเบื้องหน้าหลิ่วหมิงอย่างไร้ร่องรอย


หลิ่วหมิงมองเบื้องหน้าที่กลับมาว่างเปล่าอีกหนแล้วแหงนหน้าถอนหายใจยาว หลังจากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิ ใช้นิ้วนวดหว่างคิ้วอย่างปวดหัวอยู่บ้าง


วันนี้เขารับรู้ข้อมูลสำคัญมากมายเช่นนี้ในคราวเดียว รู้สึกว่าสมองรับไม่ไหวนิดๆ ต้องเรียบเรียงความคิดดีๆ สักหน่อยถึงจะได้


การใคร่ครวญครั้งนี้ของหลิ่วหมิงใช้เวลาไปครึ่งชั่วยาม เนิ่นนานหลังจากนั้นเขาถึงหัวเราะเจื่อนๆ ทีหนึ่งขณะปรับอารมณ์ จากนั้นพลิกมือเรียกคัมภีร์หยกสีขาวเล่มหนึ่งออกมา


สิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์หยกก็คือวิธีปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์นั่นเอง


ครั้งนี้เขาอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับแห่งนี้ได้ต่อกันนานสามสิบกว่าปี สิ่งที่จะฝึกฝนและร่ำเรียนในช่วงเวลานี้ย่อมต้องวางแผนทุกสิ่งให้ดีตั้งแต่ต้น


สิ่งแรกย่อมต้องศึกษาการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์นี้


โอสถแฝงจิตวิญญาณกับโอสถจินหยวนที่เขาปรุงก่อนหน้านี้เมื่อเทียบกับโอสถชนิดนี้ ความยากเหมือนรุ่นใหญ่เจอรุ่นเล็กโดยแท้


จากที่บันทึกไว้ในคัมภีร์หยก โอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์นี้มีที่มาจากนิกายวัชรนิกายใหญ่ของผู้ฝึกร่างแห่งหนึ่งในยุคโบราณ หลังกินเข้าไปมีฤทธิ์เพิ่มพูนพละกำลังของร่างเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผลทำให้กระดูกแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย วิธีการต่างแต่มีฤทธิ์คล้ายคลึงกับเคล็ดวิชากระดูกดำที่หลิ่วหมิงฝึกฝนอยู่บ้าง


สิ่งที่หาได้ยากก็คือโอสถนี้ไม่จำกัดจำนวนครั้งที่กิน แม้กินเข้าไปมากครั้ง ผลจะลดลงอยู่บ้าง แต่จากที่บันทึกไว้บนคัมภีร์หยก ก่อนร่างกายจะต่อต้านยา โอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ก็สามารถทำให้พละกำลังของร่างเนื้อและกระดูกเพิ่มขึ้นได้มากกว่าครึ่ง


สำหรับผู้ฝึกฝนที่กายเนื้อแข็งแกร่งเช่นนี้อย่างหลิ่วหมิง คุณค่าของโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ย่อมไม่ต้องพูดถึง แน่นอนกระบวนการปรุงมันก็ซับซ้อนยากลำบากเพียงพอทำให้ปรมาจารย์ปรุงโอสถทั่วไปได้แต่มองแล้วถอนใจ


ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือต่อให้เป็นปรมาจารย์ปรุงโอสถที่มีคุณสมบัติปรุงโอสถนี้ โอกาสที่จะปรุงโอสถสำเร็จก็ต่ำเตี้ยจนน่าสงสาร สิ่งที่ทุ่มลงไปกับสิ่งที่ผลิตออกมาได้ต่างกันราวฟ้ากับดิน มันจึงไม่อาจดึงความสนใจของปรมาจารย์ปรุงโอสถที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นได้แม้แต่น้อย ทำให้โอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์แทบจะไม่ปรากฏให้เห็นข้างนอก


แน่นอนสูตรโอสถนี้หลวงจีนกระดูกหยกถนอมเป็นของล้ำค่ามาตลอด น้อยนักที่จะมีคนเห็น นี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของเรื่องนี้เช่นกัน


ไม่แปลกที่ตอนนั้นราชาโลหิตและเซียนหงส์ดำผู้ฝึกฝนระดับนี้ลงมือปล้นฆ่าหลิ่วหมิงด้วยตนเองอย่างไม่ลังเลเพราะโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์เม็ดหนึ่ง


หลังหลิ่วหมิงท่องจำกระบวนการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์จนขึ้นใจก็พลิกมือทีหนึ่งเรียกยันต์เก็บของสิบแผ่นออกมา


เขาวางยันต์เก็บของเก้าแผ่นไว้ด้านข้าง จากนั้นขยี้ยันต์แผ่นนั้นที่เหลืออยู่ในมือเรียกวัตถุดิบปรุงโอสถจำนวนมากออกมา


จากนั้นหลิ่วหมิงจึงสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งบินพุ่งออกมาจากด้านใน สิ่งที่ถูกแสงสีน้ำเงินหุ้มไว้ก็คือเตาหลอมโอสถขนาดเล็กที่ส่องแสงสีน้ำเงินเรืองๆ ทั้งเตาชิ้นหนึ่ง


เตาหลอมโอสถหมุนวนกลางอากาศอยู่พักหนึ่งก็ขยายใหญ่จนสูงถึงสามจั้งแล้วร่อนลงมาอย่างมั่นคง บนตัวมันมีลวดลายจิตวิญญาณลี้ลับแผ่อยู่ทั่ว เตาหลอมลิ่วเสินนั่นเอง!


เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!


แทบจะในพริบตาที่เตาหลอมลิ่วเสินแตะพื้น เคล็ดวิชาสายหนึ่งก็ร่วงลงในเตาหลอมลิ่วเสินอย่างแม่นยำไม่พลาด เสียงพรึ่บดังขึ้นทีหนึ่งเปลวเพลิงร้อนแรงสีแดงฉานฉับพลันพวยพุ่งออกมาจากใต้เตาหลอมลุกโหมโชติช่วง


ผ่านไปไม่นานเตาหลอมโอสถสีน้ำเงินที่อยู่กลางแสงแวววาวระยิบระยับของเปลวเพลิงก็แผ่กลิ่นอายร้อนระอุออกมา คลื่นความร้อนสายหนึ่งเริ่มซัดสาดออกไปสี่ด้านแปดทิศ ทำให้อุณภูมิรอบตัวมันเพิ่มสูงขึ้นในทันใด


หลิ่วหมิงรอเตาหลอมโอสถร้อนเต็มที่แล้วจึงยกมือขึ้น เคล็ดวิชาสายหนึ่งร่วงลงในเตาหลอมลิ่วเสิน


เสียง “ปุ๊” ดังขึ้นทีหนึ่ง ฝาเตาลอยขึ้นบินวน ลอยไม่นิ่งอยู่เหนือเตาหลอมโอสถ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ มือก็ชี้กล่องหยกใบหนึ่งบนพื้นดิน ฝากล่องเปิดออกอย่างเงียบเชียบเผยชิ้นส่วนกระดองชิ้นน้อยสีเขียวทั้งชิ้นที่มีลวดลายจิตวิญญาณเล็กละเอียดมากมายถี่ยิบดวงแล้วดวงเล่าอยู่บนผิวด้านในออกมา


แม้สิ่งนี้ไม่สะดุดตาอย่างยิ่ง แต่เป็นถึงชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งจากกระดองเต่าลู่อู๋ปีศาจอสูรระดับแก่นแท้


หลังเขาเพ่งมองของสิ่งนี้อยู่ชั่วครู่ก็ยื่นมือออกมากวักกลางอากาศ กระดองสีเขียวลอยออกมาจากนั้นเข้าไปในเตาหลอมช้าๆ ต่อจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นอีกหน รากต้นไม้เหี่ยวเหลืองท่อนน้อยที่ดูไม่สะดุดตาสักนิดท่อนหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากบนพื้น


นิ้วมือดีดทีหนึ่ง แสงกระบี่สีทองก็แล่นผ่านไป รากต้นไม้ถูกหั่นกลายเป็นชิ้นเล็กๆ หลายชิ้น ทยอยร่วงลงไปในเตาหลอมลิ่วเสิน


พร้อมกับที่มือของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวไม่หยุด วัตถุดิบปรุงโอสถชนิดแล้วชนิดเล่าก็ถูกจัดการทำความสะอาดทีละอย่างๆ จากนั้นจมลงไปด้านในเตาหลอมจนหมด


เป็นลำดับขั้นตอน ไม่รู้สึกวุ่นวายแม้แต่น้อย


วัตถุดิบทั้งหมดยี่สิบกว่าชนิดตามสูตรโอสถในคัมภีร์หยกก็เข้าไปอยู่ในเตาหลอมเช่นนี้


หลิ่วหมิงยื่นนิ้วมือขาวผ่องนิ้วหนึ่งออกมาจิ้มเบาๆ ไปทางเตาหลอมที่ลอยไม่ขยับ


เพียงชั่วครู่หลิ่วหมิงก็ควบคุมเปลวเพลิงสีแดงฉานใต้เตาหลอมก็เปลี่ยนจากเรียวเล็กกลายเป็นเส้นหนา จากนั้นแยกออกเป็นเปลวเพลิงหกสายที่หนาเท่าแขน อุณหภูมิรอบด้านสูงพรวดขึ้นมากในทันใด


สายตาของหลิ่วหมิงจ้องเขม็งบนตัวเตา พร้อมกับที่เวลาผ่านไปทีละน้อย กลิ่นหอมของโอสถที่เตาหลอมลิ่วเสินส่งออกมาก็ทำให้คนดมฮึกเหิม


จากประสบการณ์การปรุงโอสถนับครั้งไม่ถ้วนของเขา เวลานี้วัตถุดิบมากมายในเตาหลอมคงจะเริ่มหลอมละลาย อยู่ระหว่างการหลอมรวมเข้าหากันแล้ว


เป็นเช่นนี้ผ่านไปอีกหลายชั่วยาม กลิ่นหอมที่เตาหลอมลิ่วเสินแผ่ออกมายิ่งเข้มขึ้น ด้านในเริ่มมีเสียงเป๊าะเหมือนเม็ดถั่วถูกผัดดังออกมา ทั้งเสียงก็ดังขึ้นทุกที


สายตาหลิ่วหมิงฉับพลันเป็นประกาย สิบนิ้วดีดไม่หยุดประหนึ่งวงล้อ เคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าดีดพุ่งออกมา พวกมันพุ่งตัดผ่านกันกลางอากาศจากนั้นทยอยส่องแสงวูบวาบร่วงลงบนตัวเตาหลอม


ตามที่สูตรโอสถว่าไว้ หากความเร็วที่ตกและตำแหน่งที่ตกของเคล็ดวิชาแต่ละสายในนั้นผิดเพี้ยนแม้แต่น้อยล้วนจะส่งผลกับโอกาสการปรุงสำเร็จและคุณภาพสูงต่ำของโอสถในตอนสุดท้าย ดังนั้นแทบจะพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว


เปลวเพลิงสีแดงฉานที่เขาควบคุมยิ่งสว่างจ้าจนกลืนเตาหลอมลิ่วเสินค่อนครึ่งเข้าไปด้านใน มองจากไกลๆ ตัวเตาหลอมเหมือนกลายเป็นลูกบอลเพลิงมหึมาลูกหนึ่ง


เหนือเตาหลอม ลวดลายค่ายกลหลากสีชั้นหนึ่งเริ่มปรากฏขึ้นเลือนราง


เสียงด้านในเตาหลอมกลายเป็นเสียงทุ้มต่ำของอสนีบาตคำรน เดี๋ยวดังเดี๋ยวเบา ฟังดูค่อนข้างประหลาด


หลิ่วหมิงสีหน้าเรียบเฉย มีเพียงสองตาที่ทอแสงสีน้ำเงินออกมาเลือนราง


“ปุ้ง”


ทันใดนั้นในเตาหลอมก็มีเสียงระเบิดเบาๆ ดังออกมา!


เสียงไม่ดังแต่ทำให้หลิ่วหมิงหน้าเคร่งเครียด จากนั้นก็ส่ายศีรษะเผยรอยยิ้มจืดเจื่อนออกมา


เคล็ดวิชาในมือเขาหยุดนิ่งหยุดเปลวเพลิงใต้เตาหลอม มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวักปุบ ฝาเตาร้อนระอุก็ลอยขึ้นมาเอง ควันสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นฟ้า หลังควันสลายไปในเตาหลอมก็เหลือเพียงเม็ดผลึกทรงสี่เหลี่ยมสีเทาขาวจำนวนหนึ่ง


สีหน้าหลิ่วหมิงฟื้นกลับมาเป็นปกติ


การปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ยากกว่าโอสถแฝงจิตวิญญาณ ย่อมวาดหวังให้ปรุงสำเร็จเป็นโอสถอย่างง่ายดายในครั้งเดียวเช่นนี้ไม่ได้


หลังเขาทำความสะอาดโอสถที่เสียในเตาหลอมลิ่วเสินแล้วก็นั่งขัดสมาธิทำสมาธิครู่หนึ่ง เมื่อปรับอารมณ์ได้แล้วถึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นคว้า หนึ่งในยันต์เก็บของที่เหลือเก้าแผ่นลอยหวือเข้ามาอยู่ในมือเขาด้วยตัวเอง


หลังขยี้จนแหลกวัตถุดิบปรุงโอสถกองโตก็ร่วงกระจายตรงหน้าหลิ่วหมิงอีกครั้ง


การปรุงโอสถครั้งที่สองเริ่มต้น


……


ล้มเหลว!


ล้มเหลว!


แล้วก็ยังล้มเหลว!


แม้เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่การปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ก็ยากกว่าที่หลิ่วหมิงคิดไว้มาก


ยังดีที่ตอนนี้อยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับ ทำให้เขาปรุงซ้ำใหม่ได้แทบไม่ต้องหยุด


สามปีเต็มๆ หลังหลิ่วหมิงผ่านความล้มเหลวมานับร้อยครั้ง ในที่สุดก็ปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์เม็ดแรกขึ้นมาได้สำเร็จ


ผิวของเม็ดโอสถสีดำมันวาวประหนึ่งโลหะ ในเวลาเดียวกันก็ปรากฏลายจุดสีทองที่ส่องแสงเรืองๆ ขนาดเท่าเม็ดข้าวสารจุดแล้วจุดเล่าแลดูไร้รูปแบบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)