ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 834-835

 ตอนที่ 834 คำสั่งปีศาจลี้ลับ

หลิ่วหมิงได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยนามเต็มของตนออกมาก็สีหน้าเคร่งขรึมทันที เขาไม่พูดพร่ำแขนข้างหนึ่งขยับส่งเสียงดัง “ฟึบๆ” สร้างเงาหมัดสีดำสิบกว่าหมัดออกมาอีกครั้งแล้วต่อยทั้งหมดออกไปในพริบตา


ทว่าเมื่ออุณหภูมิสูงของเปลวเพลิงสีแดงฉานทำให้อากาศรอบตัวเขาพร่ามัวไปวูบหนึ่ง เงาหมัดทั้งหมดก็กลายเป็นไอหมอกสายแล้วสายเล่าสลายไปอีกหน ไม่อาจแตะต้องตาข่ายอัคคีได้แม้แต่น้อย


“หลิ่วหมิง ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในงานประตูสวรรค์ วันนี้ได้พบก็สมคำร่ำลือจริงๆ ไม่ว่ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณหรือวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬล้วนกล่าวได้ว่ายอดเยี่ยม พลังแค่ระดับผลึกขั้นปลายก็สังหารปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ได้อย่างง่ายดาย ทว่าแม้เจ้าจะมีความสามารถยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้ตกอยู่ในมือข้าเฟิงชิงโม่ก็มีแต่ตายสถานเดียว” เฟิงชิงโม่เวลานี้เก็บท่าทางอวดดีแต่เดิมไปแล้ว เขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม


หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยัน มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชา รอบร่างปราณดำพลุ่งพล่านโถมออกมา แต่ขณะที่มังกรหมอกมหึมาหลายตัวเพิ่งก่อตัวขึ้นบนแผ่นหลังพร้อมกับเสียงมังกรคำราม ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที ร่างกายโซเซวูบหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ


เสียง “ปัง” ดังขึ้นหลายหน มังกรหมอกทั้งหมดเลือนรางแล้วระเบิดหายไปเอง


“ฮ่ะๆ สหายหลิ่วเหตุใดสภาพเป็นเช่นนี้เล่า คงไม่ใช่สัมผัสได้ว่าพลังเวทในร่างยามนี้พร่องไปอยู่บ้างหรอกนะ” ผู้เฒ่าอ้วนเห็นหลิ่วหมิงมีสภาพเช่นนี้กลับยิ้มตาหยีเอ่ยถามต่อ


“เป็นไปไม่ได้ ข้าต้องพิษ พวกเจ้าเล่นตุกติกกับข้าตั้งแต่เมื่อไร ข้าระวังพวกเจ้าอย่างยิ่งมาตลอด” หลังร่างกายโงนเงนสองสามทีหลิ่วหมิงก็ฝืนยืนมั่นคงได้อีกครั้ง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่ตวาดถาม


ตัวเขาในเวลานี้หน้าซีดกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ปราณดำที่พุ่งออกมารอบร่างพริบตาเดียวก็เบาบางลงไปกว่าครึ่ง


พร้อมกับที่เขาตวาดถาม มือข้างหนึ่งก็ตบลงบนหน้าอก แสงสีทองชั้นหนึ่งลอยออกมาจากร่างปกป้องเขาไว้ด้านในทันที


“คิดจะป้องกันพิษนี่ตอนนี้ก็สายไปแล้ว ช่างเถิด ข้าจะให้เจ้าตายอย่างกระจ่างก็แล้วกัน! กลิ่นอายที่พัดขนนกสีขาวในมือข้าปล่อยออกมาปกติใช้ล่อลวงปีศาจอสูรเท่านั้น ไม่มีพิษแต่อย่างใด ทว่ากลิ่นหอมนี้เมื่อผสมกับกลิ่นอายไร้ลักษณ์อีกชนิดหนึ่งที่แผ่ออกมาจากเนื้อของอสูรแห่งความว่างเปล่าก่อนหน้านี้ก็จะกลายเป็นกลิ่นหอมพิเศษชนิดหนึ่ง ไม่เพียงไร้กลิ่นไร้รส ยังค่อยๆ ทำให้อวัยวะรับสัมผัสของผู้ต้องพิษอ่อนแอลงและกัดกร่อนพลังเวทของผู้ต้องพิษอย่างรวดเร็วด้วย ทำให้ในสภาวะปกติไม่อาจสังเกตได้อย่างสิ้นเชิง ยามที่เจ้ากลับมาถึงที่นี่เป็นครั้งที่สองเจ้าก็ต้องพิษประหลาดอันเป็นเอกลักษณ์ของข้าแล้วแต่ไม่รู้ก็เท่านั้น” เฟิงชิงโม่มองหลิ่วหมิงที่ปราณอ่อนแรงลงทุกทีอยู่กลางแสงสีทอง ท้ายที่สุดก็หัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น อธิบายออกมาหมดสิ้น


หลิ่วหมิงคล้ายไม่ยอมเชื่อว่าสิ่งที่ผู้ฝึกฝนชุดขาวคนนี้เอ่ยออกมาเป็นความจริง เพิ่งฟังคำพูดของเขาจบก็คำรามโกรธเกรี้ยว ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งสร้างร่างเงาที่เหมือนกันทุกประการออกมาสามร่าง แต่ละร่างแผ่ปราณดำพลุ่งพล่านโถมเข้าใส่ตาข่ายอัคคีพร้อมกัน


ร่างเงาสามร่างยังไม่ทันเข้าใกล้ตาข่ายอัคคีก็ซัดการโจมตีจากวิชาลับนานาชนิดอย่างมีดสายลม ลูกบอลเพลิงไปจนถึงลิ่มน้ำแข็งมากมายออกมาเต็มฟ้า


“สหายหลิ่วดิ้นรนเช่นนี้มีแต่จะเสียปราณไปเปล่าๆ เท่านั้น!” หลังผู้เฒ่าอ้วนพึมพำประโยคหนึ่ง เคล็ดวิชาในมือก็เปลี่ยนทันที


“วิ้ง” ตาข่ายอัคคีส่องแสงสว่างจ้า บนผิวฉับพลันมียันต์แวววาวตัวแล้วตัวเล่าลอยออกมา เมื่อวิชาทั้งหมดโจมตีลงบนยันต์เหล่านี้ปุบก็เปล่งแสงวูบหนึ่งแล้วสลายหายไปทั้งหมด


หลิ่วหมิงผู้ใช้วิชาอันดุดันรุนแรงเช่นนี้โจมตีออกมาราวกับได้ผลาญพลังเวทสายสุดท้ายในร่างไปแล้ว ร่างเงาอีกสองร่างที่เหลือสลายหายวับไปจนสิ้น เหลือเพียงร่างสุดท้ายทรุดนั่งลงขัดสมาธิกับพื้นดัง “ตึก” แต่ยังคงมองพวกผู้อาวุโสหวงแล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชา


“ข้าถามตนเองดู ข้าไม่เคยมีความแค้นกับทั้งสองท่าน เหตุใดต้องลอบคิดร้ายทำร้ายข้าเช่นนี้?”


“เหอะ ผู้แซ่หวงไม่มีแค้นเคืองกับเจ้า จะโทษก็โทษที่เจ้าล่วงเกินนิกายปีศาจลี้ลับจนพวกเขาออกคำสั่งปีศาจลี้ลับเถอะ” ผู้เฒ่าอ้วนเห็นหลิ่วหมิงยังคงนิ่งสงบเช่นนี้ ดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจ ปากเอ่ยขึ้นช้าๆ


“คำสั่งปีศาจลี้ลับ?” ในดวงตาของหลิ่วหมิงเหมือนจะปรากฏแววตาประหลาดใจจางๆ


“หึๆ เจ้าอาจไม่รู้ นิกายปีศาจลี้ลับกับนิกายหยกทองของเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาช้านาน ในหมู่ศิษย์ของนิกายปีศาจลี้ลับทุกคนล้วนรู้จักชื่อเสียงของเจ้า! ปรมาจารย์อู๋กวงแห่งนิกายปีศาจลี้ลับได้ออกคำสั่งปีศาจลี้ลับไปทั้งในและนอกนิกาย กล่าวว่าจะมอบสมบัติเวทที่แท้จริงชิ้นหนึ่งแลกกับชีวิตของเจ้าเพื่อแก้แค้นให้หลานชายของเขา! วันนี้เจ้ามาหาเองถึงประตูย่อมไม่อาจโทษพวกเราสองคนใจดำอำมหิตได้” เฟิงชิงโม่หัวเราะหยันพักหนึ่งก็เล่าสาเหตุออกมาหมดสิ้น


“เหอะ คิดไม่ถึงว่านิกายหยกทองที่มีชื่อเสียงไม่น้อยกลับเป็นบริวารของนิกายปีศาจลี้ลับ เรื่องนี้ผู้แซ่หลิ่วคิดไม่ถึงจริงๆ มิเช่นนั้นข้าคงระวังมากกว่านี้ ไม่มีทางให้พวกเจ้าลงมือสำเร็จง่ายดายเช่นนี้” หลิ่วหมิงที่อยู่ในตาข่ายเพลิงฟังทุกสิ่งนี้จบก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วหลับตาทั้งสองข้างลงทันทีไม่เอ่ยวาจาต่อ…


เฟิงชิงโม่เห็นเช่นนี้ก็หัวเราะลั่น พัดขนนกสีขาวในมือสะบัดจะก้าวเข้าไปลงมือเอง แต่ถูกผู้เฒ่าอ้วนยกมือขวางไว้


“ผู้อาวุโสหวง นี่ท่านทำอะไร? เจ้าหนูคนนี้ตอนนี้ถูกขังอยู่ในเพลิงมายาไร้ลักษณ์ของพวกเราสองคน ต่อให้กายเนื้อของเขาแข็งแกร่ง จะกลายเป็นขี้เถ้าเมื่อไรก็รอแค่เวลา ข้าลงมือก็เพียงประหยัดเวลาขึ้นหน่อยเท่านั้น!” เฟิงชิงโม่ไม่พอใจอยู่บ้าง


“นายน้อยไม่ต้องเข้าไป ให้ข้าใช้พลังปราณเพิ่มสักหน่อยอาศัยพลังของค่ายกลทำให้เขากายจิตดับสูญเสียดีกว่า อย่างไรพลังของเขาก็ไม่อ่อนแอ ไม่แน่อาจยังมีลูกเล่นก้นหีบอยู่อีก หากบุ่มบ่ามไป เกิดเจ้าหนูคนนี้ใช้กระบวนท่าตายพร้อมกันสักอย่างออกมา นั่นจะได้ไม่คุ้มเสียแล้ว” ผู้เฒ่าอ้วนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางส่งกระแสจิตบอก


ไม่รู้เพราะเหตุใด แม้หลิ่วหมิงจะถูกขังอยู่ในตาข่ายเพลิงดูคล้ายไร้กำลังต่อต้าน แต่ผู้เฒ่าอ้วนกลับรู้สึกไม่วางใจอย่างรุนแรง เพียงแต่ไม่ทราบว่าความรู้สึกเช่นนี้มาจากที่ใด


“ในเมื่อผู้อาวุโสหวงรอบคอบเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ดูฝีมือของผู้อาวุโสแล้ว” เฟิงชิงโม่ฟังแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นมองหลิ่วหมิงที่นั่งหลังตรงไม่ขยับอยู่กลางตาข่ายเพลิง หลังครุ่นคิดเล็กน้อยก็ยิ้มเอ่ยขึ้นทันที


“นายน้อยโปรดวางใจ คอยดูข้า” หลังผู้เฒ่าอ้วนหัวเราะหึๆ มือข้างหนึ่งก็พลิกหมุน ในมือพลันมีธงน้อยสีแดงฉานผืนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ดูเหมือนยาวไม่กี่ชุ่น ทว่าเมื่อมันแกว่งเบาๆ โต้ลมก็ขยายจนใหญ่เจ็ดแปดฉื่อ ต่อจากนั้นปากของเขาก็ท่องมนตร์ กรอกพลังเวทในร่างเข้าไปในธงอย่างบ้าคลั่งจากนั้นชี้ไปทางตาข่ายอัคคี


เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นหนหนึ่ง


ผิวธงสีแดงฉานมีแสงเปลวเพลิงลุกโหมออกมา เสาเพลิงสีแดงฉานต้นหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกไปทันที แวบเดียวก็จมหายไปในตาข่ายเพลิงที่อยู่ไกลออกไป


ตาข่ายเพลิงมายาไร้ลักษณ์สั่นไหวในทันใด พริบตาเดียวก็ปริแตกทีละชุ่นๆ ด้วยตัวเอง ส่งเสียงดัง “ปังๆ” ไม่หยุดกลายเป็นเมฆอัคคีสีแดงฉานนับไม่ถ้วนซัดถาโถม


กลางเมฆเพลิงเห็นยันต์แวววาวสีแดงฉานนับไม่ถ้วนกะพริบอยู่เลือนราง จากนั้นมันก็กลายเป็นทะเลเพลิงโหมกระหน่ำพร้อมกับเสียงระเบิดซัดเข้าไปยังใจกลาง หมายจะเผาหลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิไม่ขยับอยู่ด้านในให้กลายเป็นจุณ


เฟิงชิงโม่เห็นเช่นนี้ บนใบหน้าก็เผยสีหน้าพึงพอใจทันที


ผู้อาวุโสหวงกระตุ้นพลังค่ายกลโจมตีเต็มที่เช่นนี้ หลิ่วหมิงไม่มีโชคดีให้พูดถึงแล้วแน่แท้


พริบตานั้นที่เห็นทะเลเพลิงกำลังจะมาถึงตัว หลิ่วหมิงก็ลืมตาสองข้างขึ้นในทันใด เขายิ้มประหลาดไปทางนอกค่ายกลทั้งที่มีเปลวเพลิงหนาขวางกั้นอยู่


ผู้เฒ่าอ้วนใจสะท้านแต่ยังไม่ทันตอบสนองอย่างใด หลิ่วหมิงกลางทะเลเพลิงก็พลันมีแสงสีทองส่องออกมารอบร่าง กลายเป็นแสงสีทองดวงหนึ่งแล้วระเบิด แสงสว่างเจิดจ้ากับเสียงระเบิดโถมออกมาดับเปลวเพลิงใกล้ๆ ไปกว่าครึ่ง


เสียง “ฟู่” ดังขึ้นทีหนึ่ง ธงสีแดงฉานในมือผู้เฒ่าอ้วนพริบตาก็หักครึ่ง ส่วนตัวเขาเองก็หน้าซีดเผือด อ้าปากพ่นเลือดคำหนึ่งออกมา


เขาถูกพลังของค่ายกลสะท้อนกลับจนตนเองได้รับบาดเจ็บไม่น้อย


เฟิงชิงโม่เห็นเช่นนี้ก็ตกใจอย่างยิ่ง ไม่พูดพร่ำขยับพัดขนนกในมือทันที สายลมบ้าคลั่งสายหนึ่งพัดออกมา พัดเปลวเพลิงที่เหลือกับแสงสีทองนั่นสลายหายไปทั้งหมดในพริบตา


ผลปรากฏว่าเห็นเพียงที่เดิมที่หลิ่วหมิงอยู่ไร้เงาคน เหลือไว้เพียงยันต์สีทองอ่อนแผ่นหนึ่งกำลังลอยลงมาเบื้องล่างช้าๆ มันคือยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองที่ใช้พลังจิตวิญญาณหมดสิ้นแล้ว


ในเวลาเดียวกันนี้ปราณดำสายหนึ่งก็พัดผ่านหลังร่างเฟิงชิงโม่ เงาร่างสีดำจางๆ ร่างหนึ่งผุดขึ้นมาจากบนพื้นดิน เสียง “ปัง” ดังขึ้น ฝ่ามือที่มีเกล็ดสีม่วงเข้มแผ่เต็มข้างหนึ่งพุ่งทะลุปราณแกร่งคุ้มร่างของเขาประดุจสายฟ้าแลบแล้วจมลงไปในแผ่นหลังของเขา


“ฟึบ”


เฟิงชิงโม่รู้สึกว่าหน้าอกเย็นวูบ เมื่อก้มศีรษะลงมองก็เห็นหน้าอกของตนมีรูเลือดมหึมารูหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่บริเวณหัวใจด้านในกลับว่างเปล่า


“ไม่”


เฟิงชิงโม่ร้องเสียงดัง พัดขนนกในมือสะบัดบ้าคลั่งหมายจะหมุนตัวกลับไป


ทว่าเงาคนด้านหลังขยับแขนวูบเดียวก็ขยี้หัวใจกลางฝ่ามือจนแหลก ส่วนมืออีกข้างหนึ่งมีเสียงพยัคฆ์คำรามดังขึ้น หัวพยัคฆ์สีดำหัวหนึ่งร้องคำรามปรากฏออกมา ชั่วพริบตาก็โจมตีศีรษะรวมถึงวิญญาณด้านในของเฟิงชิงโม่กระจุยในหนเดียว


น่าสงสารนายน้อยของนิกายหยกทองผู้นี้ แม้ทั้งตัวเต็มไปด้วยสมบัติ แต่ไม่มีโอกาสใช้แม้แต่น้อยก็ตายสนิทเช่นนี้


เงาคนร่างนี้ย่อมคือร่างต้นของหลิ่วหมิงที่หายไปอย่างประหลาดก่อนหน้านี้


เดิมทีตั้งแต่เริ่มร่วมมือกัน หลิ่วหมิงก็ไม่เคยเชื่อทั้งสองคนจากนิกายหยกทองจริงๆ ดังนั้นพริบตาที่ผู้เฒ่าอ้วนจุดระเบิดค่ายกลที่ใหญ่ที่สุด เขาก็แปลงยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองเป็นหน้าตาตน ส่วนร่างต้นอาศัยคลื่นพลังจิตวิญญาณบริเวณนั้นซึ่งเกิดจากการจุดระเบิดค่ายกล หลบจิตสัมผัสที่จับจ้องอยู่ของทั้งสองคนไปซ่อนอยู่ใต้ดิน เมื่อทั้งสองคนถูกร่างแปลงของยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองดึงความสนใจไป เขาถึงลอบออกมาโจมตีเป็นผลสำเร็จ


ส่วนพิษของกลิ่มหอมไร้กลิ่นไร้รสนั่นแม้จะร้ายกาจ แต่ด้วยระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อวันนี้ของเขา เพียงใช้โอสถจิตวิญญาณแก้พิษกำหนึ่งแล้วถ่วงเวลาอีกเล็กน้อยก็กดลงไปได้อย่างง่ายดาย ไหนเลยจะทำอันใดเขาจริงๆ ได้


เหตุการณ์พลิกผันเร็วประหนึ่งเหยี่ยวโฉบกระต่าย แทบจะในพริบตาที่ยันต์สีทองในค่ายกลปรากฏ เฟิงชิงโม่ก็ถูกหลิ่วหมิงลงมือสังหารดั่งอสนีบาต


ผู้เฒ่าอ้วนที่เพิ่งเหลียวกลับมาเห็นภาพนี้ชัดเจนแจ่มแจ้ง


“ประมุขน้อย!”


ผู้เฒ่าอ้วนดวงตาแทบปริแยก เขาคำรามโกรธเกรี้ยว เพลิงปราณสีทองระเบิดออกมาทั่วร่างในพริบตา เสียงข้อต่อลั่นเปรี๊ยะดังลอยมา ร่างกายของเขาขยายพรวดจนสูงสองสามจั้ง แรงกดดันระดับแก่นแท้ขั้นกลางแผ่ออกมาอย่างไม่กักเก็บแม้แต่น้อย แขนข้างหนึ่งของเขาเหวี่ยงทีเดียวก็พร่าเลือนหายไป เงาหมัดสีทองมากมายกระหน่ำโจมตีออกมาดุจสายลมคลั่งพุ่งตรงมาหาหลิ่วหมิง


ตอนที่ 835 ฝักกระบี่ว่างเปล่า (ต้น)

หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าทันที ผู้เฒ่าอ้วนผู้นี้ความคิดลึกล้ำ ทั้งยังชำนาญศาสตร์ยันต์และค่ายกลเช่นนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าเขายังเป็นผู้ฝึกร่างระดับแก่นแท้ขั้นกลางคนหนึ่งอีก


ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายใช้วิชาของผู้ฝึกร่างย่อมบ่งบอกว่าบริเวณใกล้ๆ ไม่มีค่ายกลอื่นวางไว้แล้ว


ในใจเขาความคิดแล่นเร็วจี๋ แต่การเคลื่อนไหวไม่หยุดสักนิด ขณะที่เงาหมัดกำลังจะมาถึง ทันใดนั้นบนแผ่นหลังแสงสีเงินก็สว่างวาบ ปีกเนื้อสีเงินคู่หนึ่งปรากฏออกมา


ปีกทั้งคู่กระพือทีหนึ่ง คนก็กลายเป็นแสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไป การโจมตีของเงาหมัดสีทองพุ่งผ่านใต้ตัวเขาไปกระแทกลงบนพื้นใกล้ๆ ดังเปรี้ยง


เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นขึ้นหนึ่งหน!


หลังฝุ่นทรายที่ปลิวว่อนสงบ แสงสีทองก็ดับหายไป บนพื้นก็ปรากฏหลุมยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งหลุมหนึ่ง


“เร็ว!”


หลิ่วหมิงที่อยู่กลางท้องฟ้าตวาดเสียงเบาคำหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อ กระบี่ว่างเปล่าพุ่งออกมากลางอากาศในทันใด หลังมันส่งเสียงกังวานใสก็กลายเป็นรุ้งทองสิบกว่าจั้งโถมออกมา


แม้ผู้เฒ่าอ้วนจะรู้นานแล้วว่ากระบี่ว่างเปล่าของหลิ่วหมิงทรงพลังไม่น้อย แต่เมื่อจิตกระบี่มโหฬารครอบทับลงมา ในใจก็ยังคงพรั่นพรึงอย่างยิ่ง เขาสะบัดแขนเสื้อ เรียกค้อนเล็กที่ส่องแสงสีดำขมุกขมัวออกมาอีกครั้ง หลังเหวี่ยงไปด้านหน้า มันก็ขยายใหญ่หลายจั้งขวางอยู่หน้าร่างเขา


เสียง “ปัง” ดังขึ้นทีหนึ่ง


หลังแสงสีทองกับค้อนยักษ์สีดำปะทะกันอย่างรุนแรง แสงสีทองสายแล้วสายเล่ากับปราณดำหลายสายก็เกี่ยวกระหวัดกันกลางอากาศ ทั้งสองฝ่ายชนปะทะจนระเบิดกลายเป็นสะเก็ดไฟเจิดจ้าดวงแล้วดวงเล่า


ตอนนี้เองปีกทั้งคู่บนแผ่นหลังของหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านบนก็กระพืออีกครั้ง เขาเลือนหายไปจากบนท้องฟ้าสูงอีกหน


ในเวลานี้เองสองมือของผู้เฒ่าอ้วนก็คลายจากค้อนยักษ์สีดำ หมุนตัวเหวี่ยงแขนต่อยหนึ่งหมัดย้อนไปด้านหลังร่างในทันใด


แทบจะในเวลาพร้อมกัน ด้านหลังเขาก็เกิดคลื่นสั่นสะเทือนขึ้น หลิ่วหมิงปรากฏตัวออกมาด้านหลังอีกฝ่ายพอดี


เสียง “ฟุบ” ดังขึ้น!


“หลิ่วหมิง” ถูกกำปั้นสีทองโจมตีจนแตกสลายกลายเป็นไอหมอกสีดำกลุ่มหนึ่ง


นี่กลับเป็นเงาติดตาร่างหนึ่งเท่านั้น!


ตอนที่ผู้เฒ่าอ้วนรู้ตัว ทันใดนั้นอากาศข้างร่างก็สั่นไหว หลิ่วหมิงอีกคนปรากฏตัวขึ้น สองแขนสะบัด เหวี่ยงหลายสิบหมัดเข้าใส่เขาประหนึ่งสายฝนกระหน่ำ


ผู้เฒ่าอ้วนผวา ร่างกายพุ่งถอย จากนั้นอ้าปากถ่มแผ่นกลมสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมา สมบัติชิ้นนี้หมุนติ้วหน้าร่างรอบหนึ่งก็กลายเป็นม่านสีเหลืองแข็งหนาผืนหนึ่งปกป้องเขาไว้ด้านใน


เงาหมัดสีดำหมัดแล้วหมัดเล่ากระหน่ำลงบนม่านสีเหลืองประหนึ่งฝนเท เสียงฝนกระทบดังเกรียวกราว!


ม่านแสงสีเหลืองสั่นสะเทือนพักหนึ่งจากนั้นก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ทำท่าจะทานไม่ไหวในทันใด


เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้นทีหนึ่ง!


เวลาเพียงสองสามลมหายใจ ม่านแสงก็พังทลาย


ชั่วพริบตาเงาหมัดมากมายก็กระหน่ำต่อยลงบนร่างผู้เฒ่า


“เป็นไปได้อย่างไร…”


ผู้เฒ่าอ้วนตกตะลึง สองขากระทืบพื้นถอยพรวดออกไปหลายจั้งถึงหวุดหวิดตั้งร่างมั่นคงได้ ปราณแกร่งรอบร่างเหลือเพียงชั้นบางๆ ชั้นหนึ่งหลังการโจมตีของเงาหมัดมากมาย


เวลานี้เองร่างกายของหลิ่วหมิงก็หายไปประหนึ่งภูตผีอีกครั้ง


เพียงหนึ่งลมหายใจให้หลัง เงาดำสามร่างก็ปรากฏขึ้นข้างกายเขา สิบนิ้วดีดทีเดียว ปราณกระบี่สีทองสายแล้วสายเล่าพลันซัดบ้าคลั่งออกมา


ผู้เฒ่าอ้วนตกตะลึงยิ่ง ทว่าอย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ขั้นกลาง ย่อมไม่ใช่กลุ่มคนที่จะจัดการได้ง่ายๆ มือข้างหนึ่งของเขาตั้งท่าเคล็ดวิชาอย่างไม่ต้องคิด แสงสีทองสาดออกมารอบร่างกลายเป็นเงาดอกบัวเลือนรางดอกหนึ่งห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ ต้านเงาหมัดที่พุ่งทะลวงมา จากนั้นแหวกท้องฟ้าหนีไปไกล


เมื่อผู้อาวุโสแห่งนิกายหยกทองผู้นี้สัมผัสได้ว่าพลังของหลิ่วหมิงแข็งแกร่งเช่นนี้ ส่วนตนก็บาดเจ็บหนัก จึงไม่สนใจไยดีกระทั่งอาวุธจิตวิญญาณค้อนเล็กสีดำชิ้นนั้น หนีเอาชีวิตรอดทันที


“ยามนี้จะไป ไม่รู้สึกว่าสายเกินไปแล้วหรือ?”


หลิ่วหมิงเอ่ยเสียงเย็นชา มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวัก กระบี่น้อยสีทองที่อยู่ไกลออกไปบนท้องฟ้าสั่นเบาๆ จากนั้นส่งเสียงใสกังวานกลายเป็นรุ้งกระบี่สีทองยาวเจ็ดแปดจั้งสายหนึ่งไล่ตามไปติดๆ


หลังเปล่งแสงดาราสีขาวน้ำนมดวงหนึ่งออกมาภายนอก รุ้งน่าตะลึงสีทองก็เพิ่มความเร็วขึ้นกลางอากาศ มันส่งเสียงดังกึกก้องแล้วหายวับไป


เมื่อรุ้งน่าตะลึงสีทองปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันก็ไล่ตามมาถึงสองสามจั้งหลังร่างผู้เฒ่าอ้วนแล้ว


ผู้เฒ่าอ้วนรู้สึกว่าหลังร่างมีปราณกระบี่สูงเทียมฟ้าไล่ตามมาไม่ลดละ เขาตกใจอย่างยิ่ง รีบร้อนสะบัดแขนเสื้อโยนยันต์ที่ส่องแสงเรืองๆ หลายแผ่นไปด้านหลัง พริบตาเดียวยันต์เหล่านั้นก็ระเบิดออกกลายเป็นม่านแสงหลายชั้นขวางอยู่หลังร่าง


เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นต่อเนื่อง


รุ้งกระบี่เพียงสั่นเบาๆ ก็ทะลวงผ่านม่านแสงไปทันทีประหนึ่งโค่นไม้เฉา ทั้งยังสาดแสงกระบี่เย็นเยียบนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านไปในทันใด


“เจ้าหนู เจ้ากล้า…อ้าก!”


ผู้เฒ่าอ้วนร้องเสียงดังได้สองสามครั้ง แม้เขาดิ้นรนโยนอาวุธจิตวิญญาณป้องกันหลายชิ้นออกมาอีก แต่ชั่วพริบตาแสงกระบี่มากมายก็ฟาดฟันร่างเขากระจุย หลังกรีดร้องโหยหวน ร่างกายก็ถูกฟันเป็นท่อนๆ ร่วงลงไปเบื้องล่าง กระทั่งวิญญาณในร่างเขาก็ถูกแสงกระบี่ฟันเป็นชิ้นๆ ด้วย ไม่มีโอกาสหนีรอดสักนิด


เสียง “ปัง” ดังขึ้น!


เมื่อชิ้นส่วนขาดวิ่นของผู้เฒ่าอ้วนร่วงลงพื้น ร่างกายของเขาก็กลับคืนสภาพเดิมก่อนหน้า


แสงกระบี่เต็มฟ้าดับลง ร่างกายของหลิ่วหมิงปรากฏขึ้นอีกครั้งจากนั้นกวาดจิตสัมผัสลงไป หลังแน่ใจว่าอีกฝ่ายตายจนไม่อาจตายได้อีกแล้ว เขาถึงกวักมือทีหนึ่งเรียกกระบี่น้อยสีทองกับยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองกลับมา


หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็โฉบวูบไปปรากฏตัวข้างศพของผู้เฒ่า มือข้างหนึ่งดึงกำไลเก็บของอันประณีตไม่ธรรมดาวงนั้นบนมืออีกฝ่ายมาไว้ในมือ แล้วยกมือปล่อยลูกบอลเพลิงขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งออกมาเผาศพเขากลายเป็นขี้เถ้าอยู่ตรงนั้น


เมื่อเขาปล่อยจิตสัมผัสสำรวจภายในกำไลเก็บของก็เผยสีหน้ายินดีออกมาทันที


นิกายหยกทองแห่งนี้ไม่เสียทีเป็นนิกายใหญ่อายุหมื่นปีที่ทรัพยากรการฝึกฝนพรั่งพร้อม ในกำไลเก็บของของคนผู้นี้นอกจากศพของอสูรกวางชะมดกับอาวุธจิตวิญญาณมากมายแล้ว หญ้าจิตวิญญาณ โอสถจิตวิญญาณและยันต์ต่างๆ ก็มีนับไม่ถ้วน ในมุมหนึ่งยังมีหินจิตวิญญาณกองอยู่ประหนึ่งภูเขา นับดูคร่าวๆ อย่างน้อยก็มีมหาศาลถึงยี่สิบสามสิบล้าน เรียกได้ว่าเขาได้ลาภก้อนโตทีเดียว


คิดถึงตรงนี้เขาก็อดไม่ได้มองไปทางศพของเฟิงชิงโม่อีกด้านหนึ่ง แววตาร้อนแรงจางๆ แล่นผ่านดวงตาไปอย่างห้ามไม่ได้


กระทั่งผู้อาวุโสตัวเล็กๆ คนหนึ่งในนิกายยังมีทรัพย์สมบัติปานนี้ เฟิงชิงโม่ผู้นั้นที่มีฐานะเป็นประมุขน้อย นั่นยิ่งไม่ต้องพูดแล้ว


หลังจากนั้นเขาก็หยิบกำไลเก็บของของเฟิงชิงโม่มากวาดจิตสัมผัสอย่างรีบร้อนบ้าง


ไม่ผิดจากที่คาด คนผู้นี้มั่งคั่งอย่างที่สุดจริงๆ


แค่หินจิตวิญญาณติดตัวก็พกมาไม่น้อยกว่าสามสิบล้าน นอกจากนี้โอสถจิตวิญญาณ ยันต์ อาวุธเวท ธงค่ายกลนานาชนิดก็นับไม่ถ้วน


แน่นอนหลิ่วหมิงถ่ายของเหล่านี้มาไว้ในแหวนย่อส่วนอย่างไม่เกรงใจสักนิด


ทว่าตอนที่เขากำลังจะถ่ายหินจิตวิญญาณทั้งหมดไปนั้น เขาก็พบกล่องไหมสีม่วงอ่อนที่ค่อนข้างประณีตใบหนึ่งใต้หินจิตวิญญาณที่กองอยู่ในกำไลเก็บของของอีกฝ่าย


หลิ่วหมิงฉุกใจคิดบางอย่างจึงหยิบกล่องผ้าไหมใบนี้ออกมาทันที


หลังสะบัดมือเปิดก็พบคัมภีร์หยกสีขาวเล่มหนึ่งนอนอยู่ด้านใน


“สิ่งใดกัน ต้องซ่อนไว้มิดชิดเช่นนี้เชียว”


หลิ่วหมิงแนบคัมภีร์หยกเล่มนี้กับหน้าผากอย่างสงสัยใคร่รู้ จิตสัมผัสจมดิ่งลงไปด้านในทันที


“สูตรโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์!”


หลังความตกตะลึงจางหาย หลิ่วหมิงพลันตื่นเต้นยินดี


จะว่าไปเขาก็ไม่ได้เพิ่งเคยได้ยินชื่อโอสถชนิดนี้เป็นครั้งแรก ตอนที่เขายังเป็นศิษย์สายนอกอยู่ ของรางวัลที่หลวงจีนกระดูกหยกผู้ฝึกฝนชั่วร้ายซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผู้นั้นมอบให้เขาก็คือโอสถชนิดนี้


ได้ยินว่าโอสถนี้ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง เป็นโอสถชนิดหนึ่งที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกหรือกระทั่งระดับแก่นแท้กินเพื่อหลอมร่างชำระกระดูกได้


ยามนี้เขาย่อมไม่สะดวกศึกษาอย่างละเอียด เมื่ออ่านคร่าวๆ รอบหนึ่งแล้วจึงเก็บสูตรโอสถเข้าไปในแหวนย่อส่วน หลังจากนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้นปล่อยลูกไฟหลายดวงออกมาเผาศพเฟิงชิงโม่เป็นจุณเช่นเดียวกัน


เมื่อเขาแน่ใจแล้วว่าที่แห่งนี้ไม่มีร่องรอยอื่นใดอีกก็ใช้เคล็ดวิชากลายเป็นแสงสีทองเส้นหนึ่ง แหวกท้องฟ้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ทันที


ได้เนื้อหนังของอสูรแห่งความว่างเปล่าซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้มาแล้ว ภารกิจเร่งด่วนยามนี้ย่อมเป็นการกลับไปถ้ำที่พักในสำนักให้เร็วที่สุด


……


ในเวลาเดียวกันหน้าถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงที่ยอดเขาลั่วโยวในนิกายยอดบริสุทธิ์ เงาแผ่นหลังอ้อนแอ้นในชุดกระโปรงสีเขียวหยกร่างหนึ่งก็กำลังเดินกลับไปมาอยู่หน้าประตูถ้ำที่พัก


เมื่อเจ้าของเงาแผ่นหลังหันร่างกลับมาก็เผยใบหน้างามล้ำดวงหนึ่ง สตรีผู้นี้ก็คือเจียหลานนั่นเอง


ครึ่งปีไม่พบหน้า สตรีผู้นี้ยังคงสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม แต่ตรงหว่างคิ้วคล้ายจะมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา


ความกังวล ความเหงาหรือว่าความคาดหวังหน่อยๆ?


เจียหลานยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็ถอยหายใจแผ่วเบา มือทำท่าเคล็ดวิชาทำให้รอบร่างเกิดรอยกระเพื่อมจางๆ จากนั้นร่างกายก็พร่าเลือนกลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่งลอยล่องจากไปไกล


……


หลายเดือนให้หลังหลิ่วหมิงเพิ่งเดินทางจากดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือกลับมาถึงภาคกลางของแผ่นดินจงเทียน จากนั้นตรงดิ่งไปยังเทือกเขาหมื่นวิญญาณ


ระหว่างทางเขาเปลี่ยนโฉมหน้าหลายครั้ง แล้วยังถือโอกาสไปตลาดที่ลอบจดจำไว้ครั้นเดินทางเมื่อครั้งก่อนอีกหลายแห่งเพื่อขายโอสถ ยันต์และอาวุธเวทที่ไม่สะดุดตานักจำนวนหนึ่งซึ่งได้มาจากคนของนิกายหยกทองทั้งสองคน ถึงจะเป็นแค่ของเล็กน้อยแต่รวมกันแล้วก็ขายได้หินจิตวิญญาณมหาศาลหลายสิบล้านก้อน


แน่นอนเขายังซื้อหาวัตถุดิบจำเป็นที่เหลือจำนวนหนึ่งมาจากตลาดเหล่านี้ด้วย


เมื่อหลิ่วหมิงกลับมาถึงถ้ำที่พักก็ตรงไปยังห้องศิลาที่เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์อยู่ทันที


เขาออกไปข้างนอกเพื่อตามหาอสูรแห่งความว่างเปล่าเกือบหนึ่งปี ไม่รู้ว่าสภาพของอสูรเลี้ยงสองตัวนี้ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง


ผลปรากฏว่าเขาเพิ่งเหยียบเข้ามาในห้องศิลาก็พบก้อนปราณทรงกลมสีดำขลับสองก้อนลอยอยู่กลางอากาศ ด้านในมีแมงป่องกระดูกสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือตัวหนึ่งกับศีรษะบุรุษที่มีเส้นผมสีเขียวเต็มหัวศีรษะหนึ่งอยู่


เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์นั่นเอง!


แต่เวลานี้ทั้งสองกลับคืนรูปลักษณ์ที่แท้จริง บนร่างมีพลังหยินปริมาณมากล้อมอยู่


“นายท่าน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”


เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์คล้ายสัมผัสได้ถึงการมาของหลิ่วหมิงจึงตื่นจากสภาวะฝึกฝนในทันใด พวกมันส่ายร่างทีหนึ่งก็กลายเป็นสาวน้อยชุดตาข่ายดำกับเด็กน้อยชุดเขียวพากันคำนับหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อมทันที


“ข้าเพิ่งกลับมาอยากดูสภาพของพวกเจ้าสักหน่อย ตอนนี้ดูท่าอาการบาดเจ็บของพวกเจ้าคงไม่เป็นไรมากแล้ว” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ พลางโบกมือให้ทั้งสองคนลุกขึ้น


อสูรเลี้ยงสองตัวนี้กินโอสถจิตวิญญาณจำนวนมากที่เขาทิ้งไว้ให้เข้าไป ยามนี้อาการบาดเจ็บบนร่างจึงหายดีดังเดิมแล้ว อีกทั้งพลังยังเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อยด้วย


หลิ่วหมิงคุยกับอสูรเลี้ยงทั้งสองตัวสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เขาก็สั่งให้ทั้งสองตัวสงบใจฝึกฝนต่อ ส่วนเขาหมุนตัวเข้าไปในห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนกรนคร่อกๆ


การออกไปข้างนอกครั้งนี้แม้มีเรื่องไม่คาดฝันอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็รวบรวมวัตถุดิบที่จำเป็นในการหลอมฝักกระบี่ได้ครบ กระนั้นการระหกระเหินเดินทางไกลเช่นนี้ย่อมทำให้กายใจเหนื่อยล้า คาดว่าไม่พักสามวันห้าวันคงไม่มีทางฟื้นกลับไปมีสภาพที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดดังเดิมได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)