องครักษ์เสื้อแพร 833-840
ตอนที่ 833 ผ่านเมืองจี่หนิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยิงธนูบนเรือช่างไร้คุณธรรม บนคลองส่งน้ำไม่เหมือนบนท้องทะเล เรือแต่ละลำระยะห่างน้อยมาก เล็งธนูมั่วไปโดนคนอื่นเข้าทำไง
ขบวนเรือหวังทงแขวนก้อนฟางแห้งขึ้น เรือรอบๆ ยังคิดว่าจะทำอะไรกัน พอธนูยิงเข้า ก็พากันตกใจ รีบหาที่หลบกันให้วุ่น คนที่อารมณ์ร้อนก็แอบด่ากัน
ทว่าทุกคนรู้ดีว่า ขบวนเรือใหญ่เช่นนี้ ยังกล้ายิงธนูไม่เกรงกลัว คงมีที่มาไม่น้อย แม้ว่าเป็นขบวนเรือชาวบ้าน แต่อย่าได้ล่วงเกินเป็นดี
พอยิงธนูผ่านไปหลายระลอก เรือรอบๆ ก็เริ่มวางใจ ฝีมือยิงยอดเยี่ยมจริง คลองส่งน้ำแม้ว่าเงียบสงบ แต่เรือบนผืนน้ำก็กระเพื่อมขึ้นลงตามแรงน้ำอยู่ดี กอปรกับลมพัดมาเอื่อยๆ ก้อนฟางก็เคลื่อนไหวไปมา แต่ระยะห่าง 60 ก้าว ถึงกับยิงเข้าเป้าทุกดอก เป็นยอดฝีมือจริง
เริ่มแรกคนบนเรือลำอื่นยังหาที่กำบังกันแอบมอง ต่อมาก็มายืนกันบนระเบียงเรือ ทางนั้นยิง ทางนี้ก็ร้องเชียร์ดังเป็นระยะ
ยิงไปหมดสิบดอก ก้อนฟางก็ปักเต็มไปด้วยลูกธนู ตรงนี้มีเรื่องหนึ่งที่น่าอัศจรรย์แต่คนรอบๆ ดูไม่ออก ก็คือก้อนฟางนั้นไม่ใหญ่ ปักเข้าไปดอก อีกดอกก็เหลือที่น้อย สิบดอกยิงไปปัก ก็ยิ่งต้องแม่นอย่างมาก
“ม่อยื่อเกินกับปาถูเดิมเป็นพี่น้องกัน พวกเขาเป็นคนในเผ่าเล็กแต่มีปัญหาเพราะปรากฏหญิงงามนางหนึ่งในเผ่า ถูกหลายเผ่ารุมกันแย่ง แม้บอกว่าได้มอบแด่ชนชั้นสูงเผ่าเคอเอ่อชิ่น แต่เพราะแย่งไม่ได้จึงเคียดแค้นมาก ต่อมาเผ่าพวกเขาถูกสังหารหมดสิ้น สองคนขึ้นม้าหนีได้เร็วจึงได้รอดมาได้ ตอนนั้นก็เป็นกองโจรม้าบนทุ่งหญ้านอกด่าน และยังสายให้กองกำลังเมืองจี้โจว”
หวังทงอยู่บนเรือลำที่สอง มองดูชายหลายคนที่ยืนกันอยู่บนเรือด้านหน้า อู๋เอ้อร์ข้างๆ แนะนำ คนที่ยิงก็คือม่อยื่อเกิน แปลว่ามือธนูเทพในภาษามองโกล
“สืบประวัติชัดหรือยัง? พวกนอกด่านตายในน้ำมือเราเกือบแสนนะ!”
“ขอใต้เท้าวางใจ ตรวจสอบเรียบร้อยจึงได้พามาด้วย เดิมให้เป็นผู้คุ้มกันอยู่โรงบ้าน หลี่เฉิงเหลียงตีตัวหลุนได้ แต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้านอกด่านก็กลับไปบ้าคลั่งปราบปรามเข้ม ขอเพียงมีสายสัมพันธ์กับแผ่นดินหมิงเราเล็กน้อยก็จะไม่เก็บไว้ สองพี่น้องอยู่บนทุ่งหญ้านอกด่านต่อไม่ได้ จึงได้มาขอสวามิภักดิ์ เมื่อก่อนเคยมีการค้าไปมากันหลายรอบ ครั้งนี้จึงได้ให้นายกองทหารตรวจสอบพิเศษ”
อู๋เอ้อร์ทำงานได้ครบกระบวนการ หวังทงจึงพยักหน้า หันไปมองก้อนฟางยิ้มกล่าวว่า
“มือธนูเทพจริง!”
หวังทงเสียงไม่เบานัก ม่อยื่อเกินได้ยินจึงคำนับให้จากตำแหน่งที่ยืนบนเรือด้านหน้า ชายอีกคนก็ยิงตามไป คิดว่าน่าจะเป็นปาถู
การเทียบฝีมือยิงก็ต้องดูจากเป้าธนูเดียวกัน ปาถูได้ยินเมื่อครู่หวังทงเอ่ยชมพี่ชายตน ก็คิดจะแสดงฝีมือบ้าง เขาหยิบธนูขึ้นน้าวลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงน้าวต่อ ยิงไปดอกแรก ตัดเชือกแขวนก้อนฟางขาด ดอกสอง ปักอยู่บนเสาแขวนเชือก ดอกสามตอกเข้าที่เสาอีกที ยิงไปติดๆ กัน ล้วนปักเข้าเสาไม้หมด
แสดงให้เห็นความสามารถ หวังทงยิ้มปรบมือ เรือสองข้างก็ส่งเสียงตะโกนชมดังสนั่นไปทั่ว เดินทางบนคลองส่งน้ำ ทิวทัศน์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก็น่าเบื่อ บนแม่น้ำมีฝีมือยอดเยี่ยมให้ชม ก็ช่างเป็นเรื่องทำให้ทุกคนรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น
ม่อยื่อเกินกับปาถูสองคนหากไม่มีฝีมือธนูดี มองดูภายนอกก็เป็นชายโรงบ้านตอนเหนือธรรมดา ร่างกายเตี้ยล่ำ ขี่ม้าจนโครงขางอ ผมเปียบนหัว มาถึงแดนหมิงจึงได้ตัดเปียทิ้ง
“เจ้าสองพี่น้องตั้งใจทำงานให้ดี ทุ่งหญ้านอกด่านไม่ดูความสามารถ หากดูสายเลือด แต่ข้านี้ไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้ พวกเจ้าทำความชอบได้ ย่อมมีอำนาจวาสนาบนแผ่นดินหมิงนี้ แม้ว่าอยู่ทุ่งหญ้านอกด่าน ก็ย่อมรับประกันได้ว่าจะมีตำแหน่งชนชั้นสูง”
เรียกตัวมากำชับไปสองสามคำ สองคนก็ตื่นเต้นมาก ได้พบหวังทงก็หมอบคุกเข่าลงกับพื้นเรือ สีหน้าตื่นเต้นตระหนกยิ่ง หวังทงเริ่มแรกยังรู้สึกงง ในใจก็คิดว่าสองฝ่ายรู้จักกันไม่นาน เหตุใดสองคนจึงให้ความเคารพมากมายเพียงนี้
อู๋เอ้อร์ข้างๆ อธิบายจึงได้เข้าใจ ตอนนี้ชื่อเสียหวังทงบนทุ่งหญ้านอกด่านนั้นยิ่งใหญ่มาก ตอนนั้นข่านเผ่าอันต๋าดำรงตนเป็นเจ้าผู้ครองอันดับหนึ่งบนทุ่งหญ้านอกด่าน แต่ก็ถูกหวังทงสังหารสิ้นแผ่นดิน หวังทงในใจของชาวนักรบทุ่งหญ้านอกด่านมีสถานะใดก็ย่อมคิดแล้วก็รู้ได้
พอหวังทงให้กำลังใจไป สองพี่น้องก็โขกศีรษะติดๆ กัน หวังทงยิ้มให้พวกเขากลับไปประจำที่เดิม กำลังจะพูดอะไรกับกับอู๋เอ้อร์ ก็เห็นว่าอู๋เอ้อร์กำลังจ้องบนบนผืนน้ำ
มองตามสายตาอู๋เอ้อร์ไป ก็เห็นเรือใหญ่เรือน้อย บนเรือมีใหญ่ตรงกลางกางใบใหญ่แล่นสวนไปอย่างเร็ว บนเรือมีสามคน หนึ่งคนบังคับใบเรือ อีกสองคนกำลังชะเง้อมองอยู่บนหัวเรือคนหนึ่ง ท้ายเรือคนหนึ่ง
เรือลำเล็กแล่นสวนกับเรือหวังทง เรือลำเล็กมีชายฉกรรจ์สองคนมองมาอย่างตั้งใจ พอเรือผ่านไป หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งถามขึ้น
“อะไรกัน? มีอันใดแอบแฝง?”
“เรียนใต้เท้า เมื่อครู่มีคนลอยเรือมาดูสินค้าแล้ว!”
อู๋เอ้อร์มองไปยังด้านหลังเรือลำเล็ก กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ คลองส่งน้ำไม่สงบสุข และบนแม่น้ำก็มักเกิดคดี สังหารคนฝังริมฝั่ง เรือเปลี่ยนสีใหม่ หากเจ้าของหาไม่เจอ ก็ย่อมเป็นคดีไร้ที่สืบต่อ ค่าน้ำร้อนน้ำชาบนแม่น้ำมีมาก คนการค้ามีไม่น้อย
สงบสุขมาหลายปี อิทธิพลบนคลองส่งน้ำก็ค่อยๆ ลดลง การปล้นสังหาร ก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ได้กำไรไม่มาก ยุ่งยากไม่น้อย อิทธิพลบนแม่น้ำก็มักจะจึงทุ่มเทไปในด้านการแอบขนสินค้าผิดกฎหมายมากกว่า เช่นค้าเกลือเถื่อน
แต่โจรก็ยังเป็นโจร หากมีเนื้อก้อนโตอยู่ตรงหน้า พวกเขาย่อมไม่อาจไม่กิน พวกเขาดูแลกุมอำนาจที่นี่ อย่างไรก็ต้องออกลาดตระเวนบนแม่น้ำเป็นระยะ
พอเห็นขบวนเรือใหญ่ ก็ย่อมมาดูว่ามีเบื้องหลังอิทธิพลหนุนหรือไม่ แล้วค่อยแอบลงมือ ร่ำรวยกันแบบเทพไม่ทันรู้ตัว ผีไม่ทันตื่นตัว จึงมีคนรับจ้างสังหารคนปิดปากคนสมคบคิด เรื่องเช่นนี้ก็มี
อู๋เอ้อร์ชะเง้อมองไป เรืออีกฝั่งที่มีสื่อชี สื่อชีขึ้นไปบนเสากระโดงเรือ ยกมือป้องมองไปไกลๆ ด้วยประสบการณ์เขาย่อมรู้ว่าพวกนี้มาทำไมกัน
หวังทงไม่ทันรู้ตัว แต่อิทธิพลเช่นนี้ในวงการนักเลงก็ย่อมไม่ใช่เรื่องต้องให้ความสนใจของทางากร แสงหิ้งห้อยต่างกับแสงตะวัน ไม่มีค่าควรสนใจ
แต่พวกผู้คุ้มกันของเขากลับไม่อยู่นิ่ง หวังทงสถานะสูงส่ง หากเกิดเหตุใดระหว่างทาง ทุกคนย่อมมีความผิด
“นายท่าน หากเป็นเรือทางการผู้แทนพระองค์ คนบนแม่น้ำพวกนี้ไม่กล้าทำอะไร หรือว่าพวกเรากลับเมืองจี่หนิง ไปเปลี่ยนเรือทางการก่อนดี”
คนที่เข้ามาเตือนก็คือหลิ่วซานหลัง เขากับสื่อชีเป็นพวกมากประสบการณ์ที่สุดในกลุ่ม วาจานี้พวกเขาสามารถกล่าวได้ แต่หวังทงกลับยังคงยืนยันว่า
“หรือว่าพวกเจ้าไม่มีความมั่นใจที่จะคุ้มกันข้า หรือว่าผ่านเมืองจี่หนิงลงใต้ไป แผ่นดินหมิงก็ไร้กฎหมาย ข้ามาที่นี่เพื่อสอบคดี ไม่ใช่มาเพื่ออวดบารมีผู้แทนพระองค์ ไม่เปลี่ยน!!”
นี่ไม่เหมือนกับความเป็นหวังทง แต่หวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็หารือกัน เรื่องยังคงไม่ใหญ่โต เรือสิบกว่าลำก็ร่วมร้อยคนของเรา คนเรือเราก็เป็นคนเรือมาประสบการณ์บนคลองส่งน้ำ ระวังน้อยก็พออย่าได้กังวลมากนัก
แต่พอผ่านเมืองจี่หนิงไปได้วันหนึ่ง เรือบนท้องน้ำอื่นๆ ก็เหมือนพักร้อนพากันหายตัวไปหมด ทุกคนเริ่มเคร่งเครียด ตามหลักการรบแล้ว ทุกวันต้องจัดผู้คุ้มกันเฝ้าระวัง หวังทงคิดไม่ถึงว่าทหารตนนั้นมีหลายคนว่ายน้ำเป็น ซาตงหนิงไม่ต้องพูดถึง เป็นลูกหลานชาวท้องทะเล ถานต้าหู่ถานเอ้อร์หู่แต่เล็กก็ถูกถานเจียงจับว่ายน้ำ เป้าเอ้อร์เสี่ยวก็เป็นพี่ใหญ่บนคลองส่งน้ำ ว่ายน้ำแข็งอยู่
อย่างไรทางนี้ก็ไม่ใช่ทางบก พวกว่ายน้ำไม่เป็นมักเป็นจุดอ่อน แม้ว่าเป็นทหารเก่งกล้าแต่อย่างไรก็ไม่อาจแสดงความสามารถตนเองได้ แน่นอนอู๋เอ้อร์กับสื่อชีก็ว่ายน้ำเป็น หลิ่วซานหลังกับชาวมองโกลสองคนนั้นไม่เป็น ม่อยื่อเกินบางทียังแอบเมาเรือ เรื่องนี้จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เมืองจี่หนิงรุ่งเรืองยิ่งกว่าเมืองหลินชิง ทำให้หวังทงรู้สึกตื่นตะลึงมาก แต่เล็กหวังทงไปมาเก๊าทางทะเล พอโตหน่อยก็ไปเขตปกครองเหนือมณฑลซานซีกับทุ่งหญ้า ลงใต้มานี่เป็นครั้งแรก คลองส่งน้ำเป็นพื้นที่รุ่งเรืองที่สุดของแผ่นดินหมิง หวังทงได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
เมืองหลินชิงและเมืองจี่หนิงอาจไม่รุ่งเรืองเท่าเทียนจิน แต่ยุคสมัยนี้นั้น ยังคงเป็นเมืองที่ยอดเยี่ยมอยู่ ตลอดทางลงใต้มา สองข่างทางล้วนมีแต่ความรุ่งเรือง ทว่าพอผ่านเมืองจี่หนิงกลับเปลี่ยนไป
ตามรายงานองครักษ์เสื้อแพร เมืองจี่หนิงถึงเมืองสวีโจว เมืองสวีโจวถึงเมืองซานหยาง คลองส่งน้ำสองข้างทางแถบนี้สงบสุข มีโจรทางน้ำมาก ชาวบ้านก็โหดเหี้ยม ตระกูลใหญ่มักจะเลี้ยงคนของตนเองไว้สบคบคิดกับพวกโจร ทว่าเรื่องพวกนี้ก็เข้าใจได้ แต่ทำอะไรไม่ได้
พอผ่านเมืองจี่หนิง เดินทางอีกวันก็เข้าสู่ทะเลสาบเวยซาน ยุคนี้ทะเสสาบเวยซานใหญ่กว่าสมัยต่อมาหลายสิบเท่า เรือล่องบนทะเลสาบ รอบทิศมองไม่เห็นฝั่ง
ลอยไปตามแรงลม วันครึ่งก็จะออกจากทะเลสาบเข้าสู่เขตเมืองสวีโจว ทว่าฟ้ามืดแล้วต้องทิ้งสมอลอยอยู่กลางทะเลสาบ กลางคืนแขวนโคมไฟเดินทางก็ยังได้ แต่การทิ้งสมอพักกลางน้ำเป็นวิธีที่ดีกว่า
ต่งช่วงสี่ส่งคนเรือมาให้หวังทงนั้นเป็นพวกมีประสบการณ์ดีมาก ก่อนฟ้ามืดก็หาท้องทรายกลางทะเลสาบที่มีต้นหญ้าหลูเหว่ยเข้าทิ้งสมอได้
ตอนอยู่ท่าเรือเมืองจี่หนิง พวกทหารบนเรือไปซื้อหาแพะและไก่เป็ดมา ยังหาปลามาได้อีกหลายตัว ก็มาจัดการทำกินกันบนท้องทรายนี่ ให้ความรู้สึกเหมือนท่องป่า สร้างความบันเทิงได้ดี คนสังเกตการณ์บนเรือตะโกนขึ้นว่า
“มีเรือมา!!”
ตอนที่ 834 วาสนาพานพบกัน สุราหนึ่งกา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ล้วนว่ากันว่าพวกมาจากทุ่งหญ้านอกด่านซื่อนัก แต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะม่อยื่อเกินสองพี่น้องรู้จักเอาใจทหารติดตามหวังทงไม่น้อย
ซื้อแพะจากเมืองจี่หนิงมา เป็นความคิดพวกเขา เรือมาทิ้งสมอบนท้องทรายกลางทะเลสาบ ม่อรื่อเกินพี่น้องกำลังแสดงความสามารถ ชายทุ่งหญ้านอกด่านมีความสามารถในการจัดการทำเนื้อแพะเนื้อวัว แพะอ้วนสองสามตัว สองคนใช้มีดสั้นจัดการชำและอย่างรวดเร็ว
บนเรือมีครัวและเครื่องปรุง ตักน้ำมาเริ่มต้มทันที แล้วก็จัดการหาที่ว่าง หาฟืนแห้งมาย่างอีกตัว
พวกลูกเรือทั้งหลายก็หาหม้อมาจับปลาที่ต้มลงต้มด้วย แพะและปลาเข้ากันดี พริบตาบนท้องทรายกลางทะเลสาบก็เริ่มส่งกลิ่นหอมอบอวล ผู้คุ้มกันหวังทงที่เคร่งเครียดมาทั้งวันก็เริ่มผ่อนคลาย ส่งเสียงหัวเราะเฮฮา
เมืองจี่หนิงเป็นเมืองรุ่งเรือง ตอนนั้นยังซื้อสุรามาอีกไหหนึ่ง เพราะบนเรือนี้นอกจากหวังทง คนที่เหลือมีหน้าที่คุ้มกัน ไม่อาจดื่มสุราได้ แม้แต่มองโกลสองคนนั้นก็ต้องเทสุราแรงติดกายในถุงหนังทิ้ง มาถึงแผ่นดินหมิง ที่ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับแดนสวรรค์ก็คือสุราดี ที่ต่างกับสุราบนทุ่งหญ้าราวฟ้ากับเหว ที่นี่มีสุราดีที่หมักจากธัญพืชบริสุทธิ์
“อากาศร้อน เจ้าเอาสุราไหหนึ่งไปแช่ในทะเลสาบ อีกสักพักค่อยเอามาดื่มให้ชื่นใจ”
ได้ยินหวังทงสั่ง ถานเอ้อร์หู่ก็นำไหสุราไปหย่อนลงในน้ำ เขาเองก็แปลกใจอยู่ เมื่อก่อนหวังทงนอกจากในงานเป็นทางที่ไม่อาจปฏิเสธจึงจะดื่ม แต่ท่าวันนี้กลับไม่ปฏิเสธสุราดังเดิม
ยามนี้หวังทงสวมเกราะ มือถือทวนยาว เดินกระดานพาดลงไปบนพื้น จัดการหาที่ว่าง เริ่มฝึกฝนกำลังทีละกระบวนท่า
ที่ทำให้ทหารหนุ่มหลายคนทึ่งก็คือ หวังทงยังคงขยันฝึกฝนอยู่เสมอ ไม่ว่าตอนไหน หวังทงก็ต้องฝึกให้ครบกระบวนตามที่ฝึกฝนในค่าย เขาเป็นเช่นนี้ ลูกน้องก็ย่อมไม่อาจละเลย
ในขณะฝึกก็มีคนตะโกนจากบนเรือ ฟ้ามืดแล้ว ทหารที่คุ้มกันอยู่รอบนอกสุดบนเรือที่จอดอยู่รอบท้องทราย แต่ก็ไม่ได้ไกลนัก พวกเขาส่งสัญญาณเตือน พวกหวังทงมองไปเห็นโคมไฟบนเรืออีกทาง
“ผู้ใดกัน!!?”
บรรดาทหารติดตามอารักขากลับมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที คนบนเรือเริ่มยกกระถางไฟมาส่อง จุดไฟใส่หัวธนูที่น้าวไว้พร้อมยิง การต่อสู้บนผืนน้ำ เรือกลัวไฟที่สุด ใช้ธนูติดไปก็ย่อมได้ผลดี
เสียงฝีเท้าบนระเบียงเรือ พวกทาหรหยิบอาวุธปืนไฟเตรียมพร้อม ทางนี้ตะโกน ทางนั้นกลัลเงียบไปนาน สื่อชีบนหัวเรือตะโกนดังไปอีกว่า
“ยังอึ้งอะไรกัน ยิงมารดามันสิ!!”
หัวธนูหุ้มผ้าชุบน้ำมันไว้ จะได้มีระยะเวลาลุกไหม้นาน ยิงไปที่โคมไฟเรือ ยิงไปปักที่เสากระโดงเรือ สองดอกยิงไป ก็เห็นเรือนั้นแล้วว่าไม่ใช่เรือที่โจรชอบใช้กัน แต่เป็นเรือสินค้าบนคลองส่งน้ำทั้งหมดสองลำ
“ไม่ได้มาร้ายๆ คิดจะมาขอค้างสักคืนเท่านั้น!!”
คนบนเรือสินค้ารีบตะโกนดังลั่น เห็นคนแต่งตัวแบบพ่อค้า กำลังกระโดดเหยงๆ ตะโกนดัง หวังทงเดินไปที่หัวเรือมองดูแล้วกล่าวว่า
“ส่งคนขึ้นเรือไปดู หากไม่มีปัญหาอะไรก็ปล่อยไป คืนนี้จับตาดูให้ดีด้วย!”
เรือขนสินค้าหากจะแอบซ่อนคนสักหลายสิบก็ย่อมทำได้ อย่างไรก็ต้องระวัง หลิ่วซานหลังฟังแล้วก็ส่งทหารติดตามสองสามคนกำชับสองสามคำไปจัดการตรวจสอบบนเรือ
หวังทงกลับปลดเกราะออก เกราะนี้ไม่ใช่ของที่ชาวบ้านทั่วไปจะมีครอบครองได้ ไม่เป็นที่สะดุดตาไว้เป็นดี
แม้ว่าหลายวันก่อนมีคนในวงการนักเลงมาดูลาดเลา ทว่าคืนนี้เรือสองลำนี้ไม่ใช่คนชั่ว เป็นพ่อค้ามาจากเมืองหลินชิง
แล่นเรือบนแม่น้ำ ย่อมแยกแยะความเร็วไม่ได้ เรือนี้ได้เห็นการแสดงยิงธนูของเรือหวังทง เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้มานาน ย่อมรู้ว่าพวกหวังทงบางทีอาจเป็นตระกูลใหญ่ออกท่องเที่ยวจึงได้ตามมา แม้ว่าไม่ได้ประโยชน์อันใด แต่อย่างน้อยก็ปกป้องคุ้มครองได้
พอเข้าสู่ทะเลสาบเวยซาน เดิมลงใต้ไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ต่อมารู้สึกไม่วางใจ จึงได้กลับมาขอตามไปด้วยดีกว่า
เห็นพวกหวังทงแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองวิเคราะห์ถูกแล้ว ไม่ใช่ตระกูลใหญ่จะมีอาวุธและธนูมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ยังมาย่างแพะกันบนฝั่ง นี่มันออกเดินทางท่องเที่ยวชัดๆ
เรือสองลำเข้าใกล้มาล้วนเป็นเรือสินค้า คนผู้นี้เริ่มมากระโดดเหยงๆ บนหัวเรือก่อน จากนั้นก็บอกว่าตนแซ่เนี่ย เป็นพ่อค้าชาวจี่หนาน
ตอนนั้นพวกหวังทงก็ง้างธนูสอบถามดัง ทางนั้นกลับไม่มีปฏิกิริยาใด พอยิงไป ทางนั้นก็ตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
บอกว่าตนเองแซ่เนี่ย เป็นพ่อค้าจากซานตง อู๋เอ้อร์กับสื่อชีเข้าไปสอบถาม หลิ่วซานหลังนำคนขึ้นไปเดินวนรอบเรือ เป็นพ่อค้าแซ่เนี่ยไม่ได้ปลอมตัวมาแน่นอน
ชื่อเนี่ยจิน แปลว่าทอง ก็เหมาะสมกับอาชีพ แม้ว่าแต่การแต่งกายก็ไม่ผิด แต่ตัวอ้วนไปนิด
ตามหลักการหวังทง คนที่ดื่มสุราได้มีแต่หวังทงคนเดียว ย่อมหมดสนุก ในเมื่อมีวาสนาได้พานพบกัน หวังทงจึงเชิญเนี่ยจินมาดื่มสุราด้วยกัน
เนี่ยจินย่อมไม่ปฏิเสธ หวังทงมีเนื้อมีปลาครบ เนี่ยจินคว้าไหผักดองออกมาร่วมด้วย นี่เป็นความเคยชินของพ่อค้าบนคลองส่งน้ำขึ้นเหนือล่องใต้ ไม่ได้มีความสำราญเหมือนพวกหวังทง กินประทังชีวิตก็พอ
นำผักดองติดตัวมา กินกับข้าวเค็มๆ เก็บรักษาง่าย เป็นชีวิตที่ไม่เลว ก็เหมือนชาวเรือหลายคนกินแป้งแผ่นหลายชิ้นกับปลาเค็ม
เทียบกับเนื้อแพะต้มและย่างเช่นนี้แล้ว ผักดองเนี่ยจินก็เป็นอีกรสชาติหนึ่งที่ไม่เลว เนี่ยจินย่อมไม่ปฏิเสธร่วมดื่มสุรา สองคนก็เริ่มร่ำสุรากัน
เนี่ยจินเป็นพ่อค้าย่อมรู้จักอ่านสีหน้า กิริยาวาจาท่าทางก็ย่อมมีมารยาท หวังทงดื่มสุราไปหลายชาม บรรยากาศก็เริ่มกรุ่นได้ที่
“เถ้าแก่เนี่ย เรือสองลำนี้ขนสินค้าอันใดกัน ตอนนี้ซานตงลงใต้ เดินเส้นทางทะเลไม่สะดวกกว่าหรือ?”
“คุณชายไม่รู้ สินค้าแดนใต้ไปเหนือสะดวกมาก สินค้าเหนือลงใต้กลับยุ่งยาก”
เห็นหวังทงมีสีหน้าสงสัย เนี่ยจินที่เริ่มเมาได้ที่ก็พูดไม่หยุด กล่าวว่า
“ตอนเหนือเปิดเส้นทางทะเล ไม่ว่าสินค้าใต้หรือต่างประเทศ มาถึงเทียนจินก็กระจายออกขายไปทั่ว แต่สินค้าทางเหนือลงใต้ มีแต่ขนเส้นทางคลองส่งน้ำนี่เท่านั้น หากไปทางทะเลก็เท่ากับขนไปขายประเทศวัว ถูกจับมีโทษหนัก ถึงกับตัดหัวเลยนะ”
หวังทงอึ้งไป ทว่าก็เข้าใจความหมายทันที แดนใต้หากเปิดเส้นทางทะเล ทุกคนย่อมขนสินค้าทางทะเลได้ หากไม่เปิดทะเล การค้าทางทะเลก็มีแต่ตระกูลใหญ่เท่านั้นที่ได้ส่วนแบ่งไป ตระกูลใหญ่พวกนี้มีอิทธิพลอย่างมาในวงการขุนนาง ย่อมไม่อยากให้เปิดเส้นทางทะเล
เนี่ยจินหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อแพะ ส่งเข้าปากไปเคี้ยวตามด้วยสุรา พึงใจถอนหายใจ ยิ้มกล่าวว่า
“บอกให้คุณชายทราบได้เลยว่า ของบนเรือก็แค่ผลผลิตจากเมืองเหลียวโจวกับมณฑลซานซี เป็นหนังและเขากวางเท่านั้น”
“เอาไปขายทางใต้หรือ?”
กำลังคุยกันนั้น หวังทงก็รู้ว่าเนี่ยจินเป็นคนจากเมืองเจียซิง เนี่ยจินส่ายหน้ากล่าวว่า
“ไม่ได้ขาย สินค้าบนเรือพวกนี้ก็แค่ของติดๆ มากันเรือล่ม พอถึงเจียซิง ก็ขายๆ ไป ข้าน้อยขายร้านไปแล้ว เก็บเงินกลับบ้านไปก็เท่านั้น”
“ขายร้านไปแล้วเถ้าแก่เนี่ยจะไปทำอะไร หรือว่ากลับจี่หนานไปนอนกินเงินทองที่หามาสบายๆ?”
หวังทงสัพยอก เนี่ยจินโบกมือติด ๆ กัน ยิ้มกล่าวว่า
“ร้านทางใต้ปิดแล้วค่อยไปเปิดร้านที่เทียนจิน เทียนจินเทียบแล้วดีกว่าทางใต้นี่มาก เหมือนว่าการค้ามีโอกาสกำไรมากกว่า”
“แดนใต้ร่ำรวยใต้หล้า เทียนจินเกิดใหม่ เถ้าแก่เนี่ยเหตุใดกล่าวเช่นนี้เล่า!?”
ฟังที่เนี่ยจินเล่ามา หวังทงก็เริ่มสนใจ ดื่มมากไป เนี่ยจินไม่ได้ระวังตัวเหมือนตอนแรก ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ข้าน้อยเป็นคนนอกพื้นที่มาทำการค้าที่แดนใต้นี้นับว่าไม่ง่าย การค้าทำไม่ดีก็ขาดทุน ก็เรียกว่าความสามารถด้อยเองโทษใครไม่ได้ แต่การค้าดี ก็ยุ่งยากอีก เจ้าทำกำไรได้ ก็จะถูกพวกตระกูลใหญ่จับจ้อง ต้องหาทางซื้อหน้าร้านเจ้าให้ได้ เจ้าไม่ขายไม่ได้ ไปฟ้องทางก็ก็ไม่มีทางชนะ เจ้าหน้าที่ทางการก็ล้วนเป็นลูกน้องของพวกนั้น เจ้าไม่ขายได้หรือ?”
กล่าวถึงตรงนี้ เนี่ยจินเองก็รู้สึกไม่ดีนัก ส่ายหน้ากล่าวว่า
“เตรียมการเปิดทางไว้หมดแล้ว ยังมีเรื่องบัดซบได้ เมืองฉางโจวมีวัดผู่หยวน ในวัดมีพระนามว่าไต้ซือผู่หยวน ชอบบอกว่าเด็กบ้านไหนมีวาสนาพุทธะ เห็นแล้วก็จับตัวขึ้นเขาไป หากเจ้าคิดเอาเด็กคืนมา ก็ต้องบริจาคเงินก้อนโต บอกว่าอะไรนะ ไถ่ตัวจากพุทธะ …….ข้าน้อยโชคดี ไม่ได้เจอเรื่องพรรค์นี้ ทว่ากลับมีคนรู้จัก น้องสาวสวย ไม่รู้ว่าถูกตาผู้ใดเข้า เมื่อวานนั่งเรือออกไป ทั้งบ้านก็หายไปทั้งบ้าน บอกว่าราชามังกรรับตัวไปแล้ว เรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ ผู้ใดจะไปเชื่อเล่า……”
“ช่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย หรือว่าทางการไม่สนใจ?”
เนี่ยจินเล่าได้เปะปะมาก แต่หวังทงกลับฟังรู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ราชามังกรรับตัวไป เกรงว่าสิบกว่าชีวิตคงไปหมดแล้ว เด็กมีวาสนาพุทธะ กับลักพาตัวเด็กนั้นต่างอันใดกัน ทางการถึงกับนั่งดูพฤติกรรมเหิมเกริมนี้เฉยเสียได้
“ทางการไม่จัดการ? ตั้งแต่ที่ปรึกษาไปยันมือปราบล้วนเป็นลูกน้องตระกูลใหญ่เสียดได้ พวกเขาพูดจาหากไม่ตรงตามที่ตระกูลใหญ่ต้องการ วาจาพวกเขาก็คงไม่ได้ออกมาจากประตูใหญ่พูดอีก หากยังไม่รู้สำนึก ถูกปล้นไปก็ไม่น้อย….ล้วนบอกว่าแดนใต้เป็นสวรรค์บนดิน นั่นมันของคนตระกูลใหญ่เท่านั้น คุณชายหวัง พวกท่านท่าทางเป็นขุนนางคงไม่รู้ว่า….”
กล่าวถึงตรงนี้ เนี่ยจินกลับดื่มมากไปแล้ว โงนเงนไปมาก่อนจะล้มฟุบไป หวังทงจิบสุรา ยิ้มกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“น่าสนุก….”
ตอนที่ 835 ส่งข่าว
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังทงไม่ค่อยดื่มสุรา ทว่าคอแข็งอยู่ พ่อค้าเนี่ยจินดื่มมากไปแล้ว หวังทงยังดี ได้ฟังเนี่ยจินเล่าเรื่องแดนใต้ ก็รู้สึกสนุกขึ้นมา
เรื่องแดนใต้ที่เนี่ยจินเล่ามา ย่อมไม่มีในรายงานข่าวเป็นทางการของสำนักองครักษ์เสื้อแพร เรื่องจริงก็คือ การข่าวใต้หล้าขององครักษ์เสื้อแพรเน้นเมืองหลวงเป็นหลัก พอมาถึงแดนใต้ การข่าวก็อ่อนลง
เขตปกครองใต้ รับผิดชอบโดยนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิง นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิงล้วนเป็นคนที่ปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางจัดไว้
นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรที่อื่นล้วนส่งมาจากเมืองหลวง แต่ที่หนานจิงไม่เหมือนกัน ที่หนานจิงนายกองพันเป็นตำแหน่งสืบทอดเดิมในพื้นที่ พอนายกองพันขาด ทางหนานจิงก็จะส่งรายชื่อแต่งตั้งไปเมืองหลวง ให้ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเลือก
ในนี้นั้นก็มี ขันทีใหญ่ประจำหนานจิงมีอำนาจออกความเห็น หลายปีมานี้ องครักษ์เสื้อแพรหนานจิงเป็นระบบ ทางเมืองหลวงไม่อาจแทรกตัวเข้าจัดการ
คิดถึงอิทธิพลตระกูลใหญ่ที่แทรกซึมไปทั่ว องครักษ์เสื้อแพรแดนใต้แท้จริงแล้วได้รับผลกระทบไปด้วยหรือมนั้นแค่คิดก็รู้ได้ ย่อมไม่มีข่าวอันใดที่ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาส่งไปยังเมืองหลวงแน่
ที่จริงแล้วราชสำนักเข้าใจแดนใต้มาก ไม่อาศัยองค์กรสายลับรายงานข่าว หากส่งขันทีออกมาสืบข่าวกลับไป ถึงกับเป็นที่มาของข่าวที่ขุนนางบัณฑิตกับขุนนางบุ๋นยื่นฎีกา
ทว่าข่าวพวกนี้ก็มีที่มาเหมือนกัน ตระกูลสูงไม่ได้ขัดประโยชน์อันใดกับพวกเขา เรื่องบางเรื่องก็หลับตาข้างหนึ่งเสียบ้าง เดี๋ยวก็ผ่านไป
ที่จริงแล้วสำหรับหวังทง เรื่องพวกนี้ก็แค่ข่าวลือได้ยินมา ไม่มีความจำเป็นต้องไปสนใจ
พ่อค้าแซ่เนี่ยดื่มมากไป กลับถึงเรือก็กรนคร่อกหลับไป คืนนี้มีทหารยาม เงียบสงบจนถึงฟ้าสว่าง
ฟ้าสว่างรำไร เรือบนลำน้ำก็เริ่มมากแล้ว เนี่ยจินก็ตื่นแล้ว อย่างไรก็กล่าววาจาเกรงใจตามมารยาท จากนั้นก็นำเรือออกไป หวังทงกลับไม่เร่ง ตามระเบียบเดินทัพ ไปทำอาหารเช้าที่เมืองซาโจว ตรวจเรืองแล้วค่อยออกเดินทาง
การเดินเรือวันนี้ทั้งวันน่าเบื่อมาก พระอาทิตย์ไปทางตะวันตกก็เข้าสู่พื้นที่เขตปกครองใต้ ฟ้าใกล้มืดก็ถึงแถวอำเภอเพ่ย
ที่จริงเรือยังมีต้องแล่นอีกระยะ แต่ทว่าทางจากนี้แคบมาก อำเภอเพ่ยมีตั้งด่านส่วนตัว เรือชาวบ้านผ่านไปมาก็ต้องจ่ายภาษี พอผ่านด่านอำเภอเพ่ย อีกครึ่งวันก็จะถึงเมืองสวีโจวแล้ว
ขบวนเรือหวังทงแม้เปลี่ยนเป็นเรือชาวบ้าน แต่พอพบด่านก็ยังต้องแสดงสถานะทางการ ไม่เช่นนั้น ทางการขึ้นมาตรวจค้นเรื่องมาก เห็นอาวุธและเกราะบนเรือ ก็ต้องเคลื่อนกำลังทหารมาจัดการ
หากในความเป็นจริงนั้น ยังไม่ทันได้แสดงสถานะผู้แทนพระองค์ ก็มีคนเห็นป้ายประจำตัวนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพร สำหรับนายอำเภอเพ่ย นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นตำแหน่งขุนนางใหญ่แล้ว ย่อมต้องรีบปล่อยไป ไม่กล้าล่วงเกิน
ขบวนหวังทงไม่เร่งเดินทาง ฟ้ามืดที่ไหนก็พักที่นั่น มีบางคนแอบขึ้นฝั่งไปหาซื้อเนื้อสุนัขมาเคี้ยวเล่นไม่ให้ทุกคนเหงาปากตอนกลางคืน
ข่าวจากเมืองหลวงมา ย่อมไม่ไล่ตามทาทางคลองส่งน้ำ อำเภอเพ่ยเป็นจุดหนึ่ง พอเรือเทียบท่า ก็มีคนนำกล่องเหล็กมาส่งให้หวังทง
เดือนแปด อำเภอเพ่ยร้อนอบอ้าวมาก พอตกดึกอากาศร้อนยังคงไม่ซาลง หวังทงขี้เกียจขึ้นฝั่ง จุดตะเกียงนั่งอ่านอยู่ในเรือ
เมืองหลวงไม่มีเรื่องใด ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวทั้งหลายโต้เถียงกันเรื่องตระกูลหลี่เมืองเหลียวโจวควรได้รับพระราชทานรางวัลใด ทุกคนในตระกูลหลี่ควรได้บรรดาศักดิ์หรือไม่ เรื่องเล็กพรรค์นี้ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
ส่วนเรื่องการเคลื่อนไหวในราชสำนัก ก็มีเรื่องหลี่จื๋อผู้ตรวจการเขตปกครองส่งจดหมายหลายฉบับไปยังเมืองผูโจวให้จางซื่อเหวยที่ไว้ทุกข์อยู่ หลี่จื๋อนั้นเป็นลูกศิษย์คนสนิทจางซื่อเหวย ตอนนั้นต่อสู้กับพวกที่เหลือของจางจวีเจิ้งกับเฝิงเป่า หลี่จื๋อนับเป็นแนวหน้า ยื่นฎีกาโจมตี ออกแรงมากสุด
พอจางซื่อเหวยได้เป็นมหาอำมาตย์ หลี่จื๋อก็พลอยได้ดีไปด้วย ได้กลายเป็นผู้ตรวจการเขตปกครองขุนนางในเขตปกครองเหนือเรียกได้ว่ามีอำนาจแท้จริง
ในวงการขุนนางมีธรรมเนียมว่าเมื่อจากไปก็ย่อมชาเย็นชืด จางซื่อเหวยกลับบ้านไปไว้ทุกข์บิดา หลี่จื๋อที่เดิมถูกผู้คนยกยอไว้สูง ก็ย่อมถูกละเลย เดิมยังทระนงในสถานะตน แต่ตอนนี้กลับได้แต่ไปร่วมวงกับพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิว ออกมาส่งเสียงหาเรื่องสร้างชื่อ สัมพันธ์กับจางซื่อเหวยเรียกได้ว่าเยียบเย็นกว่าเมื่อก่อนมาก แต่อย่างไรก็ยังเป็นศิษย์อาจารย์ จดหมายไปมาหาสู่กันก็ต้องมีบ้าง แต่ก็แค่เป็นตามธรรมเนียม ความกตัญญูแบบเมื่อก่อนนั้นไม่มากแล้ว
ดังนั้นเมื่ออยู่ ๆ หลี่จื๋อส่งจดหมายไปหลายฉบับก็ย่อมดูว่าผิดปกติ ควรค่าแก่การรายงานหวังทง
หวังทงก็แค่อ่านผ่านๆ ไม่ได้จดจำอันใด หวังทงจดจำขุนนางบุ๋นได้มีไม่กี่คน นอกจากเซินสือหัง จางเสวียเหยียน กับหยางเหว่ย หวังหลิน ส่วนคนที่ไม่ได้อยู่ในส่วนกลาง ก็จำหลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงได้
สองคนนี้ไม่มีผู้ใหญ่หนุนหลัง กลับสร้างสถานการณ์ในเมืองหลวงเช่นนั้นได้ และยังหาได้ยากอีกเรื่องก็คือ สองคนนี้รู้งานการควรไม่ควร แม้ก่อเรื่องใหญ่โต แต่ไม่เคยลงไปร่วมลึกนัก ทุกคนที่เกิดการโต้แย้ง พวกเขาก็จะได้ผลประโยชน์ ไม่เคยถูกภัยไปด้วย
กำลังอ่านอยูนั้น ก็ได้ยินบนฝั่งมีคนตะโกนมาว่า
“นายท่านอู๋เอ้อร์อยู่ไหม ตระกูลเหลียงแห่งอำเภอเพ่ยขอพบ!!”
พอขบวนเรือหวังทงเทียบท่า เรือสิบกว่าลำก็มากันครบ เรืออื่นๆ ย่อมหลบไป เห็นคนตะโกนจากท่าก็ย่อมมาทางนี้แล้ว
กำลังงงอยู่นั้น อู๋เอ้อร์ก็มารายงานด้านนอกว่า
“นายท่าน บนฝั่งเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของข้าน้อยเอง ทำการค้าทางน้ำมานานปี การข่าวไวมาก ข้าน้อยขอไปพบได้ไหม?”
หวังทงนิ่งไปก่อนกล่าวว่า
“ข้าไปกับเจ้า!”
ที่แท้คำว่า นายท่าน นั้นเรียก อู๋เอ้อร์ จริง หวังทงกำลังว่างไม่มีอะไรทำ จึงเปลี่ยนชุดสั้น ตามออกไปด้วย
“รายงานนายท่านก่อน พี่น้องตระกูลเหลียงทำมาหากินบนแม่น้ำ ขายของไปยังจี่หนาน เคยเสียเปรียบมา ข้าน้อยช่วยเอาไว้ กลับมาปลอดภัย ก็นับว่าคบหากันดี เทศกาลก็ไปมาหาสู่กัน”
“หากคุยส่วนตัว เดี๋ยวข้าค่อยกลับมาเอง”
หวังทงพยักหน้าตอบ เขาแต่งตัวง่ายๆ อายุก็น้อยกว่าอู๋เอ้อร์มาก ดูแล้วยังเป็นคนติดตามอู๋เอ้อร์มากว่า ไม่มีอะไรทำออกมาเที่ยวเล่นนี้ หากอีกฝ่ายคุยเรื่องส่วนตัวกัน หวังทงก็ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ
สองคนลงจากเรือไปทักทายกัน ชายขี่ม้ากำลังรออยู่รีบลงจากหลังม้า วิ่งเข้ามา ชายผู้นั้นดูผิวดำกำยำ แขนขายาว มองแล้วก็เหมือนคนหากินบนท้องน้ำ
“หากไม่ใช่คนของข้าเห็นพี่อู๋เอ้อร์ ก็คงพลาดโอกาสได้เจอกันแล้ว”
ชายผู้นั้นยิ้มทักก่อน จากนั้นก็เข้ามาคำนับ อู๋เอ้อรเกรงใจ ชายผู้นี้นามว่าเหลียงเจี๋ย เป็นน้องสามของตระกูลเหลียง เหลียงเจี๋ยมองหวังทง ไม่ได้สนใจอันใด กระซิบถามขึ้นว่า
“พี่รองครั้งนี้ออกมาปฏิบัติหน้าที่หรือ?”
แม้ว่าเรือทางการเปลี่ยนเป็นเรือชาวบ้าน แต่ตระกูลเหลียงรู้ว่าตอนนี้ตระกูลอู๋ทำงานให้องครักษ์เสื้อแพร และยังทำการค้าบนคลองส่งน้ำมานานหลายปี สายตาก็ย่อมเฉียบคม ดูจากพวกหวังทงแล้วก็พอเดาออกบ้าง
อีกฝ่ายถามเช่นนี้ อู๋เอ้อร์กลับไม่อาจตอบกระจ่าง ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ เป็นการยอมรับ เหลียงเจี๋ยยิ้ม ประสานมือกล่าวว่า
“พี่รอง มาอำเภอเพ่ย เราพี่น้องต้องต้อนรับสักหน่อย ทว่าในเมื่อมาปฏิบัติหน้าที่ ก็ไม่รั้งท่านแล้ว พี่ข้าสั่งว่าให้ไถ่ถามสุขทุกข์พี่รอง ให้เขาของฝากมามอบให้ รับรองท่านบกพร่องแล้ว”
“ไหนกัน ไหนกัน เจ้าพี่น้องอย่าได้เอาแต่อยู่ที่อำเภอเพ่ยนี่ ไปเที่ยวเทียนจินบ้าง ถึงตอนนั้นไปเที่ยวบ้านข้าให้ได้ต้อนรับพวกเจ้าบ้าง”
วาจามารยาทกล่าวกันจบ เหลียงเจี๋ยก็เดินเข้ามาใกล้กระซิบเบาๆ ว่า
“พี่รอง ข้าได้ข่าวมาว่า ลงใต้ไปอีก 30 ลี้ จะมีคนลงมือกับท่านบนแม่น้ำ”
อู๋เอ้อร์ตาโต ได้สติหันไปมองหวังทง ก่อนหันกลับมากล่าวอีกว่า
“ลงใต้ไปอีก 30 ลี้ ที่นั่นห่างจากเมืองพีโจวไม่ไกล เมืองพีโจวมีค่ายทหาร 2,000 นาย พวกเขากล้าลงมือ?”
“พี่รอง เงินทองบนเรือเปิดเผยไปแล้ว ตั้งแต่ที่เมืองจี่หนิงก็มีคนจับตาท่านแล้ว ตอนนี้รีบแล่นเรือเร็วไปนำหน้าท่านแล้ว รอลงมืออยู่”
หวังทงนำทองคำมาด้วยไม่น้อย กินกันอิ่มหมีพีมัน และยังมีสินค้ามาอีก สายตาคนนอกมองมาก็กระจ่าง แต่อู๋เอ้อร์ยังงง ทหาร 2,000 ที่เมืองพีโจวเป็นทหารไว้ดูแลการค้าเกลือ เป็นทหารเก่ง ถึงกับมีโจรแม่น้ำกล้าลงมือ ช่างเหิมเกริมยิ่ง อย่างไรก็ต้องถามสักหน่อย เหลียงเจี๋ยลังเลครู่หนึ่ง เขยิบเข้าไปใกล้ถามว่า
“เหมือนว่าสองปีก่อนจึงมีคนกลุ่มนี้ คนรายงานทางการไม่น้อย แต่ไม่มีทางออกมาปราบ พี่น้องหากินทางน้ำยังไม่รู้ว่าพวกเขามาจากไหนกัน บ้างก็ว่าเป็นทหารทางการ บ้างก็ว่าเป็นโจรค้าเกลือเถื่อนจากทางไห่โจว อย่างไรก็คงมีสายสัมพันธ์ทางการไม่น้อย พี่รอง พี่ตอนนี้เป็นคนทางการ บางวาจาน้องไม่สะดวกเอ่ย”
อู๋เอ้อร์มองหวังทง ถามขึ้นเบาๆ ว่า
“รอบๆ นี้มีคนจับตาดูไหม เจ้ามารายงานข่าว พวกเขาย่อมรู้ตัว ก็คงไม่กล้าลงมือแตะต้องแล้วมั้ง!”
“พวกเขาทำงานไม่ละเอียดรอบคอบเท่าไร ตอนบ่ายมีเรือสองลำจากซานตงไปเจียซิงล่ม ช่วยขึ้นมาได้สองสามคน บอกว่ามีคนขึ้นเรือมาเค้นถาม ว่าไปที่ใด หากไม่ใช่ว่าข้าเคยเจอพี่รอง ข้าก็คงไม่มา พวกที่เมืองพีโจวไม่ได้สนใจพี่น้องระหว่างทางเราเลย ครึ่งชั่วยามก่อน เรือพวกเขาเพิ่งผ่านไป เดาว่าเพราะเรือพี่รองกำลังมา ยังมาจากทางเมืองหลวง คงไม่ได้รับแจ้งเตือนอันใดกระมัง!”
“บอกน้องเหลียงเลย ปีนี้หลังเดือนสิบ ต้องไปเมืองหลวงสักครา ข้าจะเลี้ยงดูอย่างดี”
หวังทงข้างๆ ที่นิ่งเงียบ อยู่ ๆ ก็กล่าวขึ้น เหลียงเจี๋ยอึ้งไป เขาคิดไปเองจริงๆ ว่าหวังทงเป็นลูกน้องอู๋เอ้อร์ เห็นหวังทงเดินขึ้นเรือไป อู๋เอ้อร์ยกมือไปตบบ่าเหลียงเจี๋ย กล่าวสัพยอกว่า
“น้องเหลียง ดวงเจ้ามาแล้ว!”
ตอนที่ 836 สังหารโจรง่ายดายยิ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถูกอู๋เอ้อร์กล่าวว่า ดวงมาแล้ว เหลียงเจี๋ยก็ยังงงอยู่ แต่พอเห็นท่าทางหวังทง ก็พอเดาได้บางส่วน จึงได้หันกลับไปคำนับ
ของฝากก็เป็นพวกผลไม้ตามฤดูกาลกับพวกของแห้งต้มซอส พอขึ้นเรือมา หวังทงก็สั่งการไปก่อนจะเอาแต่นั่งอยู่ในห้องเรือคิดครู่หนึ่ง จากนั้นส่งคนไปตามคนสนิทมาสองสาม
“จะส่งคนมาปล้นฆ่าหรือไม่?”
เฉินต้าเหอกล่าวถึงความเป็นไปได้ก่อน เขาติดตามหวังทงเห็นอะไรมาไม่น้อย เรื่องพวกนี้ไวมาก อู๋เอ้อร์กลับส่ายหน้า กล่าวจริงจังว่า
“หากปล้นฆ่า ไม่ควรจะเลือกเมืองพีโจว บนแม่น้ำหรือทะเลสาบเป็นโอกาสดีกว่า เมืองพีโจวทางนั้นไม่ติดอะไรเลยสักอย่าง
หลิ่วซานหลังเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ใต้เท้า หากเตรียมการไว้ก่อน รู้ว่าใต้เท้าเป็นผู้ใด คงไม่ง่ายเช่นนั้น และก็คงไม่ง่ายที่จะให้ตระกูลเหลียงพบร่องรอย น่าจะไม่ได้มีคนส่งมา”
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“น่าจะไม่ใช่ เมืองพีโจวทางน้ำเป็นอย่างไร?”
หลิ่วซานหลังอึ้งไป ออกไปด้านนอกห้องก่อนกลับมากล่าวว่า
“เมื่อครู่ข้าน้อยถามคนเรือ ว่าเมืองพีโจวเป็นเส้นทางแม่น้ำธรรมดา ระดับน้ำไม่สูงมากในเวลานี้ เรือแล่นได้ไม่เร็ว เรื่องอื่นก็ไม่มีอันใดพิเศษ”
“พวกเจ้าคิดว่าคนที่ข้านำมา 120 เป็นอย่างไร?”
“ย่อมเป็นทหารกล้า กอปรกับอาวุธเรากับเกราะเราย่อมเป็นทหารเก่งกล้าอันดับหนึ่งใต้หล้า พี่น้องเราออกสู้กับพวกนอกด่านมาแล้ว ทหารเช่นนี้แม้ว่าทหารส่วนตัวขุนพลแผ่นดินหมิงก็สู้ไม่ได้”
หานกังตอบอย่างมั่นใจมาก หวังทงพยักหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ตอนนี้ยังมีคนกล้านำกำลังกลางวันแสกๆ มาโจมตีเรา หากไม่เคลื่อนกำลังมาทั้งกอง ตลอดเส้นทางนี้ ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่ากำลังใครจะคุกคามเราได้”
ทุกคนแสดงสีหน้าเห็นด้วย ทหารกองกำลังหู่เวยเป็นทหารเก่งกล้าระดับใด พวกเขาเองรู้ดี และก็มั่นใจมาก
“เมืองพีโจวไม่ใช่ที่อันตรายน้ำลึกอันใด และไม่ใช่พื้นที่ลอบซุ่มโจมตีอันใด และยังไม่ใช่เคลื่อนกำลังทหารมา ข้าอยากรู้จริงว่า หากซุ่มสังหาร แท้จริงแล้วใช้วิธีการใดสังหารพวกเรา เพื่อเงินหรือมากกว่านั้น พรุ่งนี้ต้องรอดูสักหน่อย จับเป็นมาสักสองสามคน”
หวังทงกล่าวจบ หานกังกับเฉินต้าเหอก็คำนับออกไป หลิ่วซานหลัง สื่อชี อู๋เอ้อร์ สามคนสบตากัน หลิ่วซานหลังกลับกล่าวว่า
“ร่างกายดังทองคำ ไม่อาจนั่งเสี่ยงภัยบนคานฉันใด ท่านโหวตอนนี้สถานะใด พรุ่งนี้อย่างไรก็เป็นที่อันตราย หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน….”
พอพูด แม้แต่เฉินต้าเหอกับหานกังก็เคร่งเครียด รีบกล่าวว่า
“ขอท่านโหวไตร่ตรอง!!”
หวังทงโบกมือ กล่าวว่า
“ที่ควรเตรียมก็ไปเตรียมให้ดี แต่อย่างไรก็ต้องไป นี่เป็นคำสั่ง!”
พอพูดออกไป ทุกคนได้แต่เคร่งเครียด หากก็คำนับตามระเบียบทหาร
***************
เลือกลงมือที่เมืองพีโจวก็พอมีเหตุผล น้ำไม่สูงมาก เรือแล่นได้นิ่งและช้า อีกอย่าง จากอำเภอเพ่ยมาเมืองพีโจวตลอดเส้นทางไม่มีท่าเรือให้เข้าเทียบได้ เรือคิดจะเติมเสบียงใดก็ต้องเข้าเทียบท่าที่เมืองพีโจวเท่านั้น จากนั้นจึงจะลงใต้ต่อหรือพักแรก
ขบวนเรือหวังทงเหมือนไม่ต่างจากเมื่อวาน ยังคงลงใต้ไป ทว่าข้างกายลูกเรือและคนงานทุกคนบนเรือทุกลำ ล้วนมีทหารข้างกายหนึ่งนาย
หากมีการปะทะอาวุธกันจริง บรรดาทหารติดตามย่อมไม่กลัว แต่คนเรือและลูกเรือก็ไม่แน่ บนแม่น้ำ หากเรือสูญเสียการควบคุม ก็ย่อมยุ่งยากยิ่ง
คำนวณว่าก่อนฟ้ามืดจะถึงท่าเรือเมืองพีโจว เดินทางแต่เช้า ตลอดทางระมัดระวังรอบคอบ แม้แต่อาหารกลางวันก็กินแผ่นแป้งกับผักดองบนเรือ แต่มาจนฟ้ามืดเทียบท่าแล้ว ก็ไม่เห็นมีอันใดผิดปกติ
มีความเป็นไปได้หลายอย่าง คนที่คิดลงมือได้เห็นเหลียงเจี๋ยมาแจ้งข่าวเมื่อวาน พวกเขารู้ว่าข่าวเล็ดรอดออกไปแล้ว ไม่กล้าลงมือแล้ว
หวังทงกับลูกน้องรู้สึกผ่อนคลายความระวังลงบ้างแล้ว เรือเทียบท่าสนิทแล้ว ย่อมหาที่ว่างจอดเรือ ถึงตอนนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะมาเก็บเศษเงิน ไม่เก็บก็ได้ แต่เจ้าต้องซื้อของพื้นเมืองไปด้วย
“ไปทางนั้นๆ เรือพวกเจ้ามากมายมาอุดอยู่ตรงนี้ อีกสักครู่จะมีเรือทางการมาเทียบท่า!!”
ขบวนเรือเพิ่งเข้าเทียบ บนฝั่งก็มีคนตะโกนดัง พวกหวังทงต้องการที่จอดเรือ เห็นๆ ว่าพื้นที่กว้างพอ และในตอนนี้ประตูเมืองก็ใกล้ปิดแล้ว เรือทางการจะมาเวลานี้ได้อย่างไร
อู๋เอ้อร์กับสื่อชีสบตากัน หลิ่วซานหลังหันเดินเข้าไปในห้องหวังทง พอเข้าไปแล้วออกมาก็พยักหน้า คนเรือก็ไปตามที่ชายบนฝั่งชี้ทางอีกทางหนึ่ง
เมืองพีโจวอยู่ทางตะวันออกของคลองส่งน้ำ เรือที่จอดท่าตะวันออกย่อมมาก ท่าตะวันออกแน่นขนัด มีบางส่วนจอดท่าตะวันตก ทว่าไม่มาก ชายบนท่าตะวันออกแต่งกายเหมือนคนงาน ยังมีเรือเล็ก นำขบวนเรือหวังทงไปอีกทาง ยังตะโกนไปว่า
“เพราะข้าใจดีหรอก หากข้าไม่ใจดี พวกเจ้าคงหาที่จอดไม่ได้ แม้จอดได้ ก็คงต้องถูกเรือไปมาชนเอา”
หัวหน้าคนเรือตะโกนขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม ยังควักเงินพวกหนึ่งส่งให้ไป เงินทองแดงพวงหนึ่ง อย่างน้อยก็ซื้อหาเหล้าและเนื้อได้มื้อหนึ่ง สำหรับเจ้าหน้าที่พวกนี้แล้วเรียกได้ว่าเป็นรายไม่เลวแล้ว ทว่าเจ้าหน้าที่ผู้นี้ชั่งน้ำหนักในมือสักครู่ ก่อนจะโยนเข้าอกเสื้อ
หวังทงสวมเกราะพร้อมแล้ว มองไปด้านนอกกล่าวว่า
“เจ้าหน้าที่คนนี้ปลอมตัวมา หรือเป็นเจ้าหน้าที่จริง ?”
“น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จริง เฮ้อ แต่ในสมุดบัญชีรายชื่อทางการไม่มีคนทำหน้าที่นี้ แปดเก้าส่วนคงเป็นเจ้าหน้าที่เล็กๆ หรือไม่ก็ญาติเจ้าหน้าที่ทางการ แอบยืมชุดมาหากินที่นี่”
หลิ่วซานหลังรู้เรื่องแนวนี้ดีมาก อธิบายเบาๆ ขึ้น เขาเองก็อยู่ในชุดเกราะ ทว่าเขาเดินไม่สะดวกนัก ขาหนึ่งเดิมควรเป็นแผ่นเกราะจึงใช้เป็นแผ่นหนังแทน หลิ่วซานหลังมองไปทางฝั่งตะวันตกพลางอธิบายเบาๆ
หวังทงยิ้ม ยกดาบพัวเตาในมือขึ้นกล่าวว่า
“หากหวังทรัพย์สินเงินทอง หากได้ก้อนโตไป เขาย่อมมีส่วนแบ่ง เงินก้อนนี้แตกเป็นก้อนเล็กๆ ก็ยังเรียกว่ามากอยู่”
ทางนั้นก็ช่างบังเอิญ หัวท้ายมีเรือจอดอยู่ เหลือที่ตรงกลางไว้ และตำแหน่งก็พอดีกับให้ขบวนเรือหวังทงจอด
“ทำตามพวกเขาว่าก็พอ!”
พอเรือจอด ก็เห็นเพิงชั่วคราวบนฝั่ง ในเพิงนั้นมีคนแต่งกายแบบพ่อค้าและคนเรือกำลังนั่งพักร่ำสุรากันอยู่ พวกหวังทงจอดเรือเสร็จ ก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวผิดปกติใด ไม่นาน ก็มองเห็นฝั่งตะวันออกมีเรือมา เรือพวกนี้กลับไม่ได้เข้าจอดที่ท่า แต่หากมาล้อมอยู่รอบนอกเรือหวังทงและทิ้งสมอ
“อืม ยังมีกลยุทธ์ด้วย รู้ว่าจักใช้เรือบังรอบนอกไว้ ในเมื่อระวังตัวกันเช่นนี้ ก่อนฟ้ามืดน่าจะยังไม่ลงมือ!”
หวังทงกล่าว การคาดเดาเรื่องเป็นดังที่เขาคิด ฟ้าใกล้มืดแล้ว เดิมเรือที่จอดท่าตะวันตกก็ค่อยๆ ทยอยออกไป ไปจอดทางตะวันออก หรือไม่ก็ไปที่อื่น
มีเรือเดียวที่ไม่ขยับ ก็คือเรือที่จอดอยู่รอบขบวนเรือหวังทง พอดีห่อขบวนเรือหวังทงไว้ตรงกลาง เมืองพีโจวเล็กๆ ทุกคนกินอาหารค่ำเสร็จไม่ซื้อของก็ไปพักเร็วหน่อย ฟ้าเพิ่งเริ่มมืด ก็เงียบไปหมด
เพิงบนฝั่งพวกนั้นก็จุดโคมไฟและคบไฟสว่าง แขกด้านในก็เหลือไม่มากแล้ว มีคนขี่ม้ามาจากอีกทาง วิ่งมาทางเพิงแล้วก็ตะโกนสองสามคำ คนในเพิงก็พากันยืนขึ้น
“ท่านโหว ด้านนอกเรือมีคนออกมาแล้ว!”
มีคนรายงาน หวังทงพยักหน้า กล่าวว่า
“พอพวกเขาเดินมา ก็ให้ตะโกนตามที่บอกไว้ก่อนหน้า”
ตามคาด คนในเพิงนั้นเดินมาทางนี้ เรือรอบนอกพวกนั้นก็มีคนเดินออกมาจากท้องเรือ ล้วนเป็นชายมีอาวุธในมือ ดูแล้วไม่เหมือนโจรกระจอก เพราะถือดาบยาวและขวานสั้น ถึงกับมีหอกสั้นยาวห้าฉื่อ คนในเพิงพักหลายคนก็เหมือนมีธนูในมือ
“พวกเจ้าคิดทำอะไร นายท่านเราเป็นขุนนางใหญ่หังโจว นายน้อยเราเป็นขุนนางมีตำแหน่ง !”
ชายที่เดินมาพวกนั้นระเบิดเสียงหัวเราะฮาลั่น ฝีเท้ากลับไม่หยุด มีคนยิ้มกล่าวว่า
“หากไม่มีตำแหน่งจะมีเงินทองได้อย่างไร บนเรือมีคุณหนูอรชรอ้อนแอ้นไหมเล่า!”
หวังทงในห้องเรือพยักหน้า กล่าวว่า
“สังหารได้!”
กล่าวจบก็คว้าดาบพัวเตาวิ่งไปที่หัวเรือ เขาไปที่หัวเรือ เรือข้าง ๆ ก็มีคนสองคนโดดข้ามมา พอเห็นคนในชุดเกราะพร้อมดาบใหญ่ ก็อึ้งค้างทันที หวังทงถอยไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะรอให้สองคนถึงพื้นเรือ ดาบก็แทงเข้าไปที่คนหนึ่ง ก่อนจะชักออกมาฟันไปอีกคนหนึ่ง อีกคนยกดาบกันไว้ แต่ก็ถูกหวังทงฟันแขนทิ้ง ยังไม่ได้ส่งเสียงร้องเจ็บปวด ดาบก็ฟันเข้าอีกทีแยกหน้าอกออกเป็นสองท่อน
“ลงมือ!!”
คนบนเรือกับบนฝั่งได้ยินวาจานี้ก็ได้สติรีบเร่งฝีเท้า แต่มีคนรู้สึกผิดปกติ นี่ไม่ใช่เสียงตะโกนทางฝั่งตน
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น เรือที่จอดอยู่เทียบท่า มีคนสวมเกราะพร้อมดาบใหญ่ทาวนยาวราวกับนักรบทยอยกันขึ้นฝั่ง ยังมีคนว่องไวก้าวขึ้นไปบนเสากระโดงเรือ
นี่มันอะไรกัน ทุกคนตกใจจนก้าวขาค้าง ได้ยินเสียงเฟี้ยวๆ แหวกอากาศมา เสียงร้องโหยหวยเริ่มดังจากคนบนฝั่ง
“เป็นผู้ใดกัน ถึงกับมีธนูได้!”
“หยุดก่อน ๆ พี่น้องอย่าได้สังหารคน พวกเจ้าจับตาพวกพลธนูไว้ก็พอ!”
หานกังตะโกนดัง ยกทวนยาวในมือขึ้นแนวราบ ก้าวเท้าบุกขึ้นไป บรรดาทหารติดตามหวังทงก็ตามไป การต่อสู้บนเรือนั้นง่ายมาก หวังทงฟันไปสองที ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาอยู่หน้าเขาอีก ซาตงหนิงร่างผอมตัวเล็ก ก็มีหลายคนคิดเข้าไปเอาเปรียบ
ปรากฏซาตงหนิงใช้ดาบฟันไปสอง แทงไปอีกสอง คนที่ห้าไม่กล้าลงมือต่อ หันไปโดดลงน้ำไป โผล่หัวขึ้นมา ก็ถูกหลิ่วซานหลังเขวี้ยงขวานจามหัวแบะ หวังทงอยู่บนเรือได้แต่ส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า
“นี่มันพวกสวะหรือไง?”
ตอนที่ 837 พ่ายแพ้ราวไก่ราวสุกร
โดย
Ink Stone_Fantasy
การต่อสู้เช่นนี้หากเรียกว่าสังหารก้องฟ้าก็เหมือนจะเกินไปสักหน่อย เริ่มแรกสุดหวังทงสังหารไปแค่สอง ก็ไม่มีอันใดให้เขาทำต่อแล้ว
การปะทะกันบนเรืออื่นก็ง่ายดายมาก คนเรือกับลูกเรือไปหลบกันใต้ท้องเรือทันที องครักษ์ของหวังทงในชุดเกราะพร้อมอาวุธก็สังหารศัตรูที่กรูกันมาทิ้งราวกับตัดไม้
เรียกว่าสังหารหมู่ก็ไม่เหมาะ เพราะโจรที่มาถืออาวุธเหมือนกัน เรียกว่าปะทะกันดีกว่า องครักษ์ของหวังทงเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมสุด ทหารข้างกายหวังทงห้านายเบียดตัวเข้าหากันก็เพื่อล้อมหวังทงไว้ เกรงว่าหากเกิดเหตุผิดพลาดใดขึ้น แต่ดูท่าแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอันใดแล้ว
เรือแต่ละลำยกโคมไฟขึ้นสูงเพื่อให้สนามต่อสู้กันสว่างยิ่งขึ้น เริ่มแรกหวังทงกังวลว่า ถูกโจมตีบนเรือ ศัตรูจะลงมือจากใต้น้ำ หรืออาจคว่ำเรือได้ พวกหวังทงแม้ว่าว่ายน้ำเป็น แต่การต่อสู้กลุ่มใหญ่อย่างไรก็ไม่ถนัด ย่อมต้องยุ่งยากมากแน่
คิดไม่ถึงว่าศัตรูเพียงแค่ใช้เรือประชิด จากนั้นก็โดดข้ามมาปะทะ ใต้หล้าทหารราบรบกันอย่างไร การต่อสู้รูปแบบนี้ กองกำลังหู่เวยไหนเลยจะกลัว ทหารติดตามหวังทงออกไปเรียงแถวประจันหน้า
ทางซาตงหนิงกับหลี่เสี่ยวเปียวสู้ได้ดุเดือดที่สุด เริ่มแรกสองมือซาตงหนิงถือดาบยาว ระมัดระวังมาก หลี่เสียวเปียวก็ถือทวนสั้นคอยช่วยข้างๆ
แต่พอสังหารไปได้สองสามคน ซาตงหนิงกลับเปลี่ยนเป็นดาบยาวในมือหนึ่ง ดาบสั้นในมือหนึ่ง สองมือประสานกำลัง นี่เป็นวิธีการต่อสู้ของดาบประเทศวัว ดาบยาวล่อศัตรู ดาบสั้นใช้แทง ใช้การบนเรือได้เหมาะมาก แต่ก็ต้องมั่นใจมากจึงจะทำได้ ฝีมือดาบซาตงหนิงยังไม่ได้สูงเช่นนั้น ยามนี้กล้าทำเช่นนี้ ก็เพราะศัตรูอ่อนแอเกินไปนั่นเอง
พอเปลี่ยนเช่นนี้ ก็มีสองคนถูกดาบสั้นแทงเข้าที่ท้อง ร่วงลงจากเรือ เดิมซาตงหนิงกับหลี่เสี่ยวเปียวเป็นพวกที่อ่อนแอที่สุดในทหารติดตามหวังทง โจรพวกนี้ก็รู้จักจะเอาเปรียบ คนไม่น้อยบุกมาทางนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเจอตอ ถูกสังหารร่วงราวกับใบไม้ร่วงเช่นกัน
การปะทะมีผลแพ้ชนะอย่างรวดเร็ว พวกโจรที่เคลื่อนไหวเร็วก็รีบพากันหนีเอาตัวรอดโดดจากเรือกันจ้าละหวั่น แต่ก็กลับมีพลธนูเดินมาตะโกนให้เพื่อนทหารยกเสาโคมส่องให้สูง แล้วก็เริ่มยิง หวังทงเดินมาดู โจรพวกนี้เหมือนว่าไม่ได้เก่งทางน้ำเท่าไร
ไม่ได้มีความสามารถที่จะโดดลงน้ำแล้วดำไประยะหนึ่ง แต่กลับโผล่หัวขึ้นทันที จากนั้นก็ย่อมได้แต่ถูกธนูยิงแบบนับหัวเรียงตัว เห็นเพื่อนที่โดดลงน้ำแล้วไม่รอด โจรที่เหลือก็ตกใจขวัญหนีดีฝ่อ ได้แต่ตะโกนร้องขอชีวิต
หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“จับตัวมาสอบปากคำ ระวังด้วย”
สั่งการไป ก็ถือดายไปอีกทาง เดินไปก็บอกหลิ่วซานหลังข้างๆ ไปว่า
“หากคิดร้ายกับข้า หากคนฝีมือแค่นี้มาเกรงว่าดูแคลนข้าไปสักหน่อยแล้ว หรือว่าพวกเขาคิดว่าความเชี่ยวชาญชำนาญศึกข้านั้นใช้แค่คนฝีมือเท่านี้ก็ได้กัน?”
หลิ่วซานหลังหัวเราะตาม กลับไม่กล้าลดความระวัง ยังคงบังตัวอยู่หน้าหวังทง เดินไปมองซ้ายขวาไป ระมัดระวังอย่างมาก
การปะทะอีกทางไม่ได้ต่างจากทางนี้นัก หากจะบอกว่าไม่มีอันใดเหมือนก็คงเป็นทางบกหนีง่ายกว่าทางน้ำเท่านั้น โยนอาวุธทิ้งใส่ตีนสุนัขมุดรูหนูหนีกันทันที หนีเข้าไปในโรงบ้านชาวบ้านก็ยากจะจับตัวได้
เพิงทางนี้ก็มีชายพร้อมอาวุธมาจากสี่ทิศราวร้อยกว่าคน ทางหวังทง หานกังกับอู๋เอ้อร์สองคนนำกำลัง 30 กว่านายออกรับมือ เฉินต้าเหอกับเป้าเอ้อร์เสี่ยวถือธนูอยู่ท่ามกลางกลุ่มนี้
ทหารราบชุดเกราะสามสิบกว่าออกมาสู้ พวกมือธนูโจรยังไม่ได้ลงมือ ก็โยนอาวุธวิ่งหนีกันไปแล้ว ที่เหลือบุกเข้ามา ก็ต้องอึ้งไป ก่อนจะได้สติแกว่งดาบเข้าสังหาร แต่อาวุธก็ไม่อาจแตะต้องอีกฝ่ายได้ ได้แต่ถูกอีกฝ่ายกำจัดทิ้ง ยิงทะลุเลือดเนื้อ ส่งเสียงร้องโหยหวนดัง
หานกังกับอู๋เอ้อร์ไม่ได้รู้สึกลำบากอันใด ได้แต่รู้สึกว่าตนเองวิ่งไปหั่นแตงหั่นผักไปตลอดทาง
ที่ทำให้โจรกลุ่มนี้ต้องหนาวใจก็คือ อีกฝ่ายในชุดเกราะแต่กลับวิ่งได้เร็วกว่าพวกเขาอีก วิ่งตามมาทัน นอกจากสองสามคนที่หนีไปได้ ที่เหลือก็หนีไม่พ้น
โจรพวกนี้หากสามารถฝึกฝนร่างกายทุกวันได้ มีอาหารที่เพียงพอได้ มีอาวุธชุดเกราะชั้นดีได้ ก็คงไม่ถูกจัดการอย่างกับกระสอบหญ้าเช่นนี้ กองกำลังหู่เวยฝึกหนักทุกวัน หากสวมเกราะแล้ววิ่งไม่ไหว ก็ย่อมไม่ต้องมั่นใจในอันใดแล้ว
“นายท่าน พวกข้าน้อยยากจน ไม่มีทางไปจึงได้ทำเช่นนี้!”
“นายท่าน ข้าน้อยมีมารดาอายุ 80 ลูก 3 ขวบ……”
พอเห็นว่าหนีไม่รอด ชุดเกราะอีกฝ่ายยังอาบไปด้วยเลือดสดๆ กลางคืนดึกดื่นก็ราวกับปีศาจ โจรพวกนี้ก็ปฏิกิริยาไวอยู่ พากันรีบคุกเข่าลง รีบเริ่มส่งเสียงร้องไห้ขอชีวิต
พวกหานกังและอู๋เอ้อร์ก็งง เดิมคิดว่าจะได้สังหารกันเต็มที่สักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะจัดการจบเร็วเช่นนี้ หานกังเปิดหมวกขึ้น ตะโกนไปว่า
“อย่าเอาแต่จับตาวงนี้ ไปดูรอบๆ ยังมีศัตรูเหลืออีกไหม!!”
“เศษสวะพวกนี้ไม่เหมือนว่าเป็นโจร!”
หานกังตะโกนออกไปด้านนอกและยังกล่าวกับอู๋เอ้อร์ข้างๆ อู๋เอ้อร์พยักหน้า ยกดาบในมือวางพาดตบข้างหน้าอย่างแรง ทำให้คนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นโดนเต็มแรง ด่าไปว่า
“อย่าคิดลูกไม้ หรือยังคิดว่าไม่กล้าสังหารพวกเจ้า?”
พอถูกด่าก็ตกใจ พวกโจรก็พากันโยนมีดสั้นที่พกไว้ในตัวออกไปกันหมด อู๋เอ้อร์หันไปกล่าวว่า
“หากเป็นโจรลงมือ ย่อมไม่มองตาค้างกันเช่นนี้ และดูคนพวกนี้แล้ว ไม่มีพวกดูเลวร้ายรับไม่ได้ ทุกคนก็เหมือนๆ กัน จับอาวุธก็เหมือนกัน บุกเข้ามาก็บุกพร้อมกัน ก็พอมียุทธวิธี”
“พวกเศษสวะนี้ อู๋เอ้อร์พูดเช่นนี้ ก็เหมือนจะใช่นะ แต่ตอนสู้กันทำไมเหมือนกระสอบหญ้าได้”
หานกังถามอึ้งๆ อู๋เอ้อร์ส่ายหน้า ยิ้มสัพยอกกล่าวว่า
“ไม่ใช่อวดตัวเองนะ พวกเราถูกท่านโหวฝึกมา ไปที่ไหนในใต้หล้าก็ไม่ด้อย เทียบเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่อาจสู้เราได้”
กล่าวอยู่นั้น ทางหวังทงก็ลงจากเรือ ทหารบนเรือก็จับตัวเชลยโยนขึ้นฝั่ง หวังทงขมวดคิ้ว ถามว่า
“ดูบนฝั่งพวกนี้ก็เละเทะไม่ได้เรื่อง ไร้สามารถ ทั้งหมดมีโจรมากันเท่าไร?”
“บ้างก็ตายในน้ำนับไม่ได้แน่นอน ก็น่าจะราว 150 -170”
ได้ยินหลิ่วซานหลังตอบ หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“เราทั้งหมด 120 อีกฝ่ายส่งมา 170 ยังเป็นดังเศษสวะ ทำอะไรเราได้ ช่างน่าสงสัยมาก เริ่มสอบปากคำได้ ผู้ใดส่งพวกเขามา มาทำอะไร ไม่พูดก็สังหารทิ้งไปเลย!”
ทหารรับคำสั่ง หวังทงยืนบนฝั่งมองไปรอบทิศ เงียบมาก ไม่มีความผิดปกติใด
การสอบปากคำก็ง่ายมาก พวกโจรที่คุกเข่าบนฝั่งตกใจขวัญหนีดีฝ่อ พอถามก็พรั่งพรูราวกับถั่วเทออกจากระบอกไผ่
คนพวกนี้เป็นพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือทางการทำหน้าที่ตรวจสอบการค้าเกลือ มีไว้ตรวจดูการลอบขนเกลือเถื่อน เมืองพีโจวเป็นพื้นที่แม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ การค้าเกลือแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ร่ำรวยสุดในใต้หล้า ทุกปีเป็นแหล่งนำส่งเงินเข้าท้องพระคลังหลวงที่สำคัญ แต่การค้าเกลือเถื่อนไม่อาจเก็บภาษีได้ พื้นที่ค้าเกลือก็ย่อมมีพวกค้าเกลือเถื่อนมาก ดังนั้นทางการรอบ ๆ แม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ก็ย่อมแอบส่งคนมาตรวจสอบไม่น้อย
ฉากหน้าเป็นเช่นนี้ แต่ใต้หล้านี้ผู้ใดก็รู้ว่าพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือก็คือพวกค้าเกลือเถื่อน พวกค้าเกลือเถื่อนที่รุนแรงที่สุดก็คือคนพวกนี้นั่นเอง ลูกน้องพวกเขามักจะเลี้ยงแต่พวกโหดเหี้ยมราวกับหมาป่าเอาไว้เพื่อใช้คุ้มครองการค้าเกลือเถื่อนของตน ยังมีการสมคบกับพวกค้าเกลือเถื่อนกลุ่มอื่นอีก อิทธิพลการค้าริมสองแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้นั้นมาก แม้ว่าเกิดเรื่องใด ก็มักจะปกปิดไว้ได้
การค้าเกลือเถื่อนทำกำไรไม่น้อย พวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือย่อมไม่ใช่คนดีอันใด ไม่รู้ใครออกอุบาย เริ่มสมคบกับโจรทางน้ำ เริ่มสมคบกันสังหารคนชิงสินค้า
บนคลองส่งน้ำมีคนดูต้นทางลาดเลาก่อน แต่กลุ่มการค้าบนคลองส่งน้ำใช่ว่าจะทำการค้านี้ คนที่ต้นทางมามักขายข่าวให้กับพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือ จากนั้นพวกนี้ก็จะสร้างสถานการณ์มาสังหารที่เมืองพีโจว ถึงตอนนั้นค่อยแบ่งสรรกำไรกัน
พวกโจรย่อมไม่แตะต้องเรือทางการ พวกหวังทง คนที่สายตาแหลมคมย่อมดูออกว่าเป็นทางการปลอมตัวมา แต่พวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือที่เมืองพีโจวกลับไม่กลัว พวกเขากลับรู้ว่ายิ่งเป็นเรือทางการก็ยิ่งมีสินค้าทรัพย์สินมาก และพวกเขาอย่างไรก็เป็นทางการเช่นกัน ย่อมเข้าใจกันดี ทางการพวกนี้ ปล้นแล้วก็ปล้นไป ถึงตอนนั้นก็ส่งคนไปสังหารให้หมด เรือก็จัดการให้ดี ย่อมไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดเรื่องที่เมืองพีโจว และก็ไม่มีผู้ใดคิดว่าพวกหน่วยตรวจค้าเกลือจะทำเรื่องโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้
“…….หวังทงเป็นใคร?”
ย่อมสอบปากคำว่าเกี่ยวกับหวังทงหรือไม่ ผู้ใดจะคิดว่าพอถามไป กลับถูกคนถามกลับ ไม่รู้จริงๆ ดูท่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับหวังทง
“ช่างเหิมเกริมเทียมฟ้า บ้าระห่ำเสียสติ น่าประหลาดใจสิ้นดี!”
หวังทงส่ายหน้าพูดสำนวนสัมผัสทีเดียวสามสำนวน ดูท่าแล้วเป็นแค่โจรที่หวังเงินทองอย่างเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับสถานะผู้แทนพระองค์ ขณะพูดอยู่นั้น บนเสากระโดงเรือก็ตะโกนลงมาว่า
“ท่านโหว ฝั่งตรงข้ามส่งสัญญาณมา!!”
หวังทงหันไปมอง เห็นเมืองพีโจวที่เงียบแล้วกลับมีคบไฟหลายอันจุดขึ้น และยังได้ยินทางนั้นตะโกนมากำลังจะมาตรวจสอบเรืออีกฝั่ง
เดิมเชลยที่ถูกควบคุมนั้นกำลังร้องไห้หวาดกลัว พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอีกฝั่ง ก็พากันตื่นเต้นยินดี มีคนที่เมื่อครู่ยังร่ำไห้ ตอนนี้กลับตะโดนได้ใจดังว่า
“รีบปล่อยพวกข้าไปนะ เดี๋ยวจะให้พวกเจ้าได้ไปสบายเร็ว….”
“ใครส่งเสียงฟันทิ้งเลย!”
หวังทงสั่งเสียงเย็น ทหารติดตามถือดาบเดินเข้าไปในกลุ่มเชลย ยกดาบฟัน ทางนั้นก็พากันเงียบทันที หวังทงกล่าวว่า
“ทุกลำทิ้งไว้หนึ่งคน เรือเตรียมขึ้นใบเรือไว้ ที่เหลือตามข้าไปปลายน้ำ นำปืนไฟไปด้วย!!”
หวังทงสั่งการเสียงเย็น ทหารรับคำสั่งดัง แต่ละคนวิ่งออกไปจัดการ ตะโกนบอกคนบนฝั่ง ทางนั้นมีแต่เสียงอาวุธกระทบกันและเสียงฝีเท้า แม้ว่าอีกฝ่ายมีคนมากกว่า หวังทงกลับไม่รู้สึกร้อนใจสักนิด
พื้นที่เขตปกครองใต้เล็กๆ ถึงกับมีคลื่นลมแรงเช่นนี้ได้
ตอนที่ 838 เละเทะไปหมด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ลำน้ำไม่ได้กว้างนัก ฝั่งตะวันออกเกิดเรื่อง ฝั่งตะวันตกก็รู้ได้อย่างรวดเร็ว บนเรือไฟสว่าง คนบนเรือทางนั้นกลับเป็นพวกแต่งกายแบบทางการ เรือทางนั้นห่างจากฝั่งไม่กี่ก้าว ทหารบนเรือก็ย่อมไล่ทหารลงน้ำไป จะได้ขึ้นฝั่งได้เร็ว
โดดลงไปห่างจากฝั่งอีกหลายก้าว ขุนพลทหารบนเรือก็เร่งให้พลทหารโดดลงน้ำ จะได้รีบขึ้นฝั่งได้เร็ว
โดดลงไปทว่าน้ำแค่เอว ลำบากก็แค่ตอนขึ้นฝั่ง ฝั่งตะวันตกเสียงสังหารดังไปทั่ว พอทหารฝั่งตะวันออกขึ้นฝั่งมา ทางนี้ก็เงียบไปแล้ว
บรรดาทหารถูกปลุกมากลางดึก ชุดเครื่องแบบที่ใส่ก็เปียกไปตอนลงน้ำ บนฝั่งมียุงไม่น้อย คนจะทนไหวได้อย่างไร ก็ย่อมยืนกันไม่เป็นกอง ได้แต่หาทางเดินไปริมฝั่ง
ริมฝั่งมีกองไฟจุดไว้หลายกอง เดิมที่เพิงก็ยังมีโคมไฟแขวนไว้อยู่บนราวไม้ เพิงพังไปหมด เก้าอี้โต๊ะม้านั่งก็ไม่เห็นแล้ว
ทหารบนฝั่งเละเทะไปหมด เอาแต่มองหาที่เย็นๆ ยืนหลบ ไม่มีใครสนใจทางนี้จะทำอะไร ยังมีคนท่าทางเหมือนนายกองร้อยมองไปยังศพทางนั้น แล้วก็อึ้งไป เห็นแต่รอยเลือดบนพื้นกับซากศพ อดไม่ได้หนาวสันหลังขึ้นมา ตะโกนขึ้นว่า
“ใต้เท้าอี้ คนทางนี้ดีไม่ดีถูกสังหารไปหมดแล้ว!”
เมื่อครู่อยู่บนแม่น้ำก็เห็นศพลอยแล้ว เดิมคิดว่าบนฝั่งอาจยังมีคนรอด แต่ก็ยังเป็นศพกองทั่วบริเวณ อดไม่ได้นับจำนวนดู ได้แต่ตะโกนโหวกเหวกนับดัง
เรือสองสามลำสุดท้ายเข้าเทียบท่า ทหารแต่งกายเรียบร้อยและร่างกายแข็งแรงก็ลงจากเรือ ชายร่างอ้วนพุงโตถูกประคองลงมาจากเรือ
ชายร่างอ้วนสวมชุดนายกองพัน สีหน้าโมโหมาก กล่าวว่า
“โจรเล่า!?”
บนฝั่งทหารนับพันได้ยินนายกองพันอี้ผู้นี้ตะโกนดัง ก็เริ่มมองซ้ายมองขวา คิดหา ‘โจร’ ที่ว่า แต่มองไปรอบๆ กลับเห็นแต่ด้านหน้าพื้นที่ที่พวกเขาขึ้นฝั่งมามีกำแพงเตี้ยๆ อยู่
กลางดึกเช่นนี้มองอันใดไม่เห็นกระจ่างนัก มองดูให้ดี ก็เหมือนว่าใช้เพิงกับโต๊ะเก้าอี้ก่อขึ้น หรือว่า ‘โจร’ อยู่ทางนั้น ทุกคนคิด แต่ไม่มีคนอยากไปดู
“ยืนเซ่อกันทำไมเล่า ส่งคนไปดูสิ!”
นายกองพันอ้วนตวาดด่าดัง กำลังตวาดนั้นก็ได้ยินเสียงด้านหลังกำแพงเตี้ยๆ มีคนตะโกนขอความช่วยเหลือดังมาว่า
“ขุนพลอี้ช่วยด้วย……”
กล่าวจบ ก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวน ทหารที่ขึ้นฝั่งก็ไวพอ กระชับอาวุธในมือ ทว่าทุกคนไม่อยากก้าวไปดู พากันถอยหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว พอได้ยินเสียง ‘ตูม’ ก็พบว่ามีคนถอยหลังไม่ดี ลื่นหล่นลงน้ำไป
พอได้ยินเสียงเรียกให้ช่วย นายกองพันอี้ก็ร้อนใจทันที ตะโกนดัง
“โจรอยู่ทางนั้น รีบไปทางนั้นเร็วๆ !!”
พอเขาตะโกนดัง ทหารข้างกายก็จะส่งทหารไปดู พวกนายกองร้อยที่ถูกเรียกชื่อก็ไม่อยากนำทหารไปกัน เดินไปได้สิบกว่าก้าว ก็ช้าลงเรื่อยๆ ให้ทหารข้างกายโยนคบไฟเข้าไปดู ยังให้พลธนูยิงธนูติดไฟเข้าไป
มีไฟจากโคม ทางนั้นสว่างขึ้นมาหน่อย เห็นว่ามีร้อยกว่าคนอยู่หลังกำแพงเตี้ยนั่น ด้านหนึ่งของกำแพงเตี้ย มีคนของหน่วยงานค้าเกลือหลายสิบคนถูกมัดอยู่
เห็นคนทางนี้น้อย ความกล้ากองพันทหารก็เริ่มมากขึ้น ไม่รอให้นายสั่งก็บุกเข้าไปแล้ว
บุกไปได้หลายสิบก้าว ก็มีเสียงปืนไฟดังหนาแน่นขึ้น พวกที่อยู่ด้านหน้าล้มลงทันที ถึงกับมีปืนไฟ คนด้านหลังพากันรีบหยุด แต่ด้านหลังก็ยังเบียดมา ทำให้อย่างไรก็ยังเดินหน้า เละเทะไปหมดกว่าจะหยุดได้ ปืนไฟดังอีกแล้ว
มีคน 20 กว่าล้มลง ที่เหลือก็ไม่กล้าขึ้นหน้าอีกแล้ว เสียงเอะอะโหวกเหวกดังขึ้นก่อนหันหลังวิ่งหนีทันที
************
“ดูท่าพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือกับทหารสมคบกันเพื่อสังหารชิงทรัพย์แล้ว!”
หวังทงกล่าว มือถือดาบใหญ่ลุกขึ้นยืนหลังกำแพงเตี้ย พลทหารส่วนตัวสามสิบพร้อมปืนไฟบรรจุพร้อม หวังทงมองไปยังตรงหน้าที่มีแต่คนทางการไร้ระเบียบ ออกคำสั่งว่า
“ทุกคนบุกเข้าไป จัดการทหารเหลวไหลพวกนี้ลงน้ำให้หมด!”
ทุกคนรับคำสั่งพร้อมกัน หวังทงไม่กล่าวมากความ หากเดินออกจากกำแพงไม้ ทหารติดตามแม้ว่าร้อยกว่าคน แต่รับมือบนฝั่ง การเคลื่อนไหวก็ยังระมัดระวังอย่างมาก
พวกอู๋เอ้อร์กับหานกังถือทวนยาวเดินอยู่หน้าสุด พลปืนไฟแยกเป็นสองปีก ทหารที่เหลือล้อมรอบหวังทงไว้เป็นรูปกรวยแหลม
ทหารนายกองพันอี้กำลังคุมสถานการณ์กลุ่มทหารที่ไร้ระเบียบวุ่นวาย ไม่คิดเลยว่าทหารร้อยกว่าเมื่อครู่จะมุ่งมาทางกองพันทหาร
“บุก!!”
หวังทงออกคำสั่ง ทหารทุกคนยกอาวุธราบ ก้าวเท้าเดินหน้า แสงไฟกระทบตา ทหารบนฝั่งจึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในชุดเกราะนักรบ เสื้อเกราะกระทบกันส่งเสียงดัง ฝีเท้าก็หนักแน่นพร้อมเพรียง บารมีข่มนี้ช่างน่าตกใจยิ่งนัก
ปืนไฟยิงพร้อมกัน เสียงร้องดังโหยหวน ล้มระเนระนาด บรรดาทหารติดโยนปืนไฟไปคว้าดาบขึ้นมาเข้าปะทะกับกองทหารใหญ่
ทหารพันกว่านายเริ่มเละเทะไม่เป็นรูป ทหารติดตามนายกองพันอี้ยามนี้ไม่อาจทำอันได้ ได้แต่ป้องกันนายกองพันอี้ขึ้นเรือ ตะโกนให้เรือออก
ทหารแข็งแกร่งร้อยนายปะทะทหารอ่อนแอพันนาย ที่จริงแล้วทหารร้อยนายนี้ปะทะทหารทีละร้อยนาย ตีพ่ายไปร้อยนาย ก็ตีพ่ายอีกร้อยนาย เป็นเช่นนี้ไปจนหมด
ทว่าทหารทางการพวกนี้สู้ไม่ไหว ทวนยาวหานกังกับอู๋เอ้อร์แทงใส่ไปสองคน ทั้งขบวนก็แตกพ่าย ทิ้งอาวุธหนีตายกันจ้าละหวั่น กระจัดกระจายกันไปรอบทิศ คนส่วนใหญ่เบียดหน้าเบียดหลังไปทางแม่น้ำ ถึงกับมีคนลงมือสังหารกันเอง
เดิมพวกหวังทงเตรียมสังหารใหญ่อยู่ก็ถึงกับงง เดิมคิดว่าพวกโจรนี่มาเพราะหวังทง แต่เห็นทหารพวกนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าโจรเป็นเพียงเหยื่อล่อ แต่ทหารพวกนี้ก็เป็นพวกขยะ หรือว่าทั้งเรื่องนี้ก็แค่ทหารและโจรสมคบกัน เพื่อหวังสังหารชิงทรัพย์เท่านั้น?
“เสียงฝีเท้าม้า!”
มองโกลสองคนที่ลงจากเรือมาก็ตะโกนขึ้น ก้มตัวลงฟังเสียงที่พื้นครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นกล่าวว่า
“แถวนี้พื้นดินชื้น ข้าน้อยเดาจำนวนได้ไม่แน่นอน แต่ไม่น้อยกว่า 400!”
พอได้ยินจำนวนเช่นนี้ ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยน ไม่สนใจทหารทางการที่ร้องเรียกหาบิดามารดากันแล้ว หวังทงขมวดคิ้ว หรือว่านี่เริ่มสังหารของจริง แต่ไม่น่าใช่ ปากกลับกล่าวว่า
“ขึ้นเรือ บนบกพวกเรารับมือ 400 คนลำบาก ขึ้นเรือ พวกเขาทำอะไรเราไม่ได้!”
ลูกน้องรับคำสั่ง จับหัวหน้าโจรสองสามคนนำขึ้นเรือไปด้วย ทางการอยู่อีกด้าน ถึงกับไม่มีคนกล้าขวางทาง
ดีที่เรือแต่ละลำทิ้งทหารไว้หนึ่งนาย ไม่เช่นนั้นการสังหารบนฝั่งคงตกใจจนแล่นเรือหนีกันไปแล้ว พอพวกหวังทงขึ้นเรือมา ทางนั้นก็มีเสียงม้ามา เห็นหลายร้อยมุ่งมาทางท่าริมฝั่ง ทหารม้ามาจากทางตะวันตก
หากซุ่มโจมตี ย่อมไม่อยู่ดีๆ ก็ชักธงแล่นเรือมาจากฝั่งตะวันออกข้ามแม่น้ำมา ดังนั้นหวังทงจึงงุนงงอย่างมากกว่าทหารพวกนี้มาทำไมกัน ทหารม้าอยู่ฝั่งตะวันตก เป็นพื้นที่ราบ ก็อาจกำลังรอซุ่มโจมตีได้
คนก็ขึ้นเรือหมดแล้ว เรือเรียงแถวหน้ากระดาน อยู่กลางลำน้ำ จากนั้นก็เริ่มยกใบเรือ ไปได้ไม่ไกล ก็มีทหารม้ามาถึงริมฝั่ง มีคนชูคบไฟแกว่งไปมาบนฝั่งตะโกนว่า
“ติ้งเป่ยโหวอยู่บนเรือไหม ขุนพลเมืองสวีโจวเปาหรูซานรับคำสั่งมาขอพบ!!”
หวังทงบนเรือ ทหารทุกคนถือปืนไฟกับธนูไว้เตรียมพร้อมบนเรือ พอได้ยินริมฝั่งตะโกน ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใด
“ท่านโหว ข้าน้อยซุนอี้ นี่คือใต้เท้าเปากับลูกน้องรับคำสั่งมาจริง!”
*****************
อำเภอเพ่ยได้ข่าวมาว่า หวังทงเตรียมการสองอย่าง หนึ่ง เดินทางอย่างระมัดระวังไปทางเมืองพีโจวดูว่าเป็นผู้ใดใจกล้าเหิมเกริม สอง ส่งคนไปเมืองสวีโจวขอกำลังเสริมมาช่วย
อย่างไรก็มีสถานะเป็นผู้แทนพระองค์ มีคนคิดจะสังหารผู้แทนพระองค์ยามเดินทางลงใต้ ไม่ว่าเพื่ออันใด หรือมีแผนร้ายใด ไม่รู้ก็แล้วไป หากรู้แล้ว และหากเกิดเรื่องอันใดจริง ก็ย่อมมีโทษหนัก
เมืองสวีโจวเป็นพื้นที่สำคัญ แต่ไรมาก็มีทัพใหญ่ตั้งอยู่ จดหมายหวังทงไปถึง ผู้ว่าเมืองสวีโจวย่อมไม่อาจคิดอันใดมาก ได้แต่ต้องเร่งส่งขุนพลคุมกำลังมา เปาหรูซานได้รับข่าว ทั้งด่าว่าผู้ใดไม่มีตาคิดปล้นติ้งเป่ยโหว ไม่อาจสนใจระเบียบ ได้แต่ รวบรวมกำลังคนตน เร่งเดินทางมาพีโจวทันที
หากไม่ใช่ว่าทหารติดตามซุนอี้ก็อยู่บนฝั่งตะโกนมา หวังทงคงไม่จอดเรือ แต่แม้เช่นนี้ เรือก็ยังไม่เข้าเทียบท่า สองฝ่ายตะโกนสื่อสารกัน
จับตัวพวกนายกองพันอี้เมืองพีโจวไว้ จากนั้นก็จับพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือ คำสั่งนี้สั่งด้วยการตะโกนจากบนเรือ
ขุนพลเปาหรูซานบนฝั่งย่อมรู้ว่าหวังทงไม่เชื่อใจเขา มองเลือดชโลมพื้นตรงนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมต้องระวังตัวไว้ก่อน เปาหรูซานตอนนี้ทำตามทุกอย่าง วันหน้าจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก
พอจับนายกองพันอี้สอบปากคำได้ ทุกเรื่องกระจ่าง เรื่องราวไม่ได้ซับซ้อนอันใด ก็แค่ทหารเมืองพีโจวกับพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือสมคบกัน คิดปล้นสังหาร หากเกิดเรื่องกับทางการก็ให้นายกองพันอี้ออกหน้า บางครั้งจัดการไม่ได้ ยังต้องให้ทหารทางการลงมือ
คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ต้องมาเจอกับหวังทง และยังเป็นถึงผู้แทนพระองค์ โชคร้ายที่หวังทงเปลี่ยนเป็นเรือชาวบ้าน ผู้แทนพระองค์เดินทาง ปลอมตัวเป็นชาวบ้านก็เห็นกันแต่ในงิ้ว ผู้ใดจะคิดว่าจะมีคนทำเช่นนี้จริงๆ และขบวนผู้แทนพระองค์ยังมีอาวุธชุดเกราะปืนไฟครบมือ สู้กันก็ย่อมแข็งแกร่งกว่า
******************
ต้นเดือนแปด เมืองผูโจวมณฑลซานซีไม่ได้ร้อนเหมือนเขตปกครองใต้ จวนตระกูลจางใหญ่สุดในเมืองผูโจวก็เงียบเชียบผิดปกติ
นายท่านใหญ่จางจากไป ฮูหยินนายท่านใหญ่จาง ก็คือมารดาเลี้ยงของจางซื่อเหวยก็ป่วยจากไปด้วยเพราะเสียใจหนัก ในจวนมีงานศพสองงาน ก็ย่อมไม่อาจครึกครื้น
ผมและเคราจางซื่อเหวยขาวลงไปมาก สีหน้าก็ซีดเซียว คืนนี้หวังทงปะทะโจรที่คลองส่งน้ำในเขตปกครองใต้ จางซื่อเหวยอยู่ในห้องหนังสืออ่านจดหมาย อ่านไปส่ายหน้าไปหัวเราะกล่าวว่า
“เจ้าเด็กนี่ก็ช่างกล้า…….”
ตอนที่ 839 เข้าใจผิด คนหัวไว
โดย
Ink Stone_Fantasy
จางซื่อเหวยเป็นคนอ่านไว จดหมายนี้อ่านจบอย่างรวดเร็ว แสงกลางคืนอ่านหนังสือ อายุเช่นนี้ย่อมรู้สึกเหนื่อยล้า ขยี้ตาไปมา ก่อนจะส่งให้พ่อบ้านข้างกาย
พ่อบ้านรับจดหมายไปอ่าน พออ่านจบ จางซื่อเหวยถามขึ้น
“เจ้าว่าเป็นอย่างไร?”
“นายท่าน ตั้งแต่นายท่านกลับมา หลี่จื๋อก็มีแค่จดหมายมาถามไถ่ทักทายตามเทศกาลเท่านั้น เทียบกับเมื่อก่อนแล้วก็จืดจางไปมาก ข้าน้อยได้ยินว่าปีหนึ่งมานี้ได้รับการกดขี่ในเมืองหลวงมาก มีจดหมายมาในตอนนี้ เห็นเจตนาชัดเจน นายท่านอย่าได้สนใจดีกว่า”
จางซื่อเหวยยกฝาชาขึ้นกระทบกับถ้วยชา กล่าวเบาๆ ว่า
“เมื่อก่อนฮ่องเต้นอกจากบัณฑิตกับขันที ก็ไม่มีที่พึ่งใดอีก ตอนนี้กลับมีหวังทงให้การสนับสนุน จึงได้มีอำนาจมากขึ้นมา กับเซินสือหังยังมีข้อขัดแย้งลึก…….”
กล่าวถึงตรงนี้ก็นิ่งไป จางซื่อเหวยวางฝาชาลง กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ความดีความชอบเหนือนาย ฮ่องเต้ทรงระแวง สองฝ่ายกำลังเกิดช่องว่าง นี่เป็นโอกาส”
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ พ่อบ้านที่ยืนนิ่งข้างๆ กลับไปแสดงความเห็น จางซื่อเหวยมองไปนอกหน้าต่าง มีม่านบางกางกั้นแต่ก็เห็นแสงดาวข้างนอกได้ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงได้กล่าวว่า
“หากสถานการณ์เช่นนี้ยังคงต่อไป สามปีจากนี้ ข้าก็คงไม่มีโอกาสได้ฟื้นคืน อย่างไรก็ต้องทำอะไรบ้างจึงจะดี…น้องชายเจ้าไว้ใจได้ไหม?”
พูดเรื่องนี้ พ่อบ้านคุกเข่ากล่าวจริงจังว่า
“น้องชายข้าน้อยตอนนั้นถูกจำคุกประหารชีวิต ได้นายท่านช่วยเหลือ ให้ที่นาทำกิน จึงมีเขาวันนี้ได้ เมตตาของนายท่านแม้แหลกสลายก็ย่อมต้องตอบแทน ขอนายท่านวางใจ เขาไว้ใจได้!”
“ตามเขามา คนที่เราเลี้ยงไว้ทั้งหมดให้ตามไปครั้งนี้ด้วย”
***************
ตอนจางซื่อเหวยกำลังวางแผนอยู่ที่เมืองผูโจว หวังทงกำลังนอนหลับสนิทในเรือของตน เขากำลังพักผ่อน คนอื่นกลับไม่กล้าเอนตัวนอน ทหารหลายร้อยมาจากเมืองสวีโจวกำลังล้อมกองกำลังนายกองพันอี้เอาไว้ คนพวกนี้เป็นคนร้าย
เดิมมีเรื่องเล็กน้อยอยู่ทางฝั่งตะวันตก ไม่สะเทือนถึงฝั่งตะวันออกของเมืองพีโจว แต่หลังต่อสู้กับกลุ่มโจร และกล่าวกันว่าเป็นทหารทางการนำกำลังมาโดยเรือชาวบ้าน จากนั้นก็มีเสียงร่ำร้องไห้เรียกหาบิดามารดากันดังไปทั่ว เสียงปืนไฟแม้ไม่ทำให้สั่นสะเทือนไปทั่ว แต่ทางกำแพงเมืองก็ย่อมได้ยิน
ทหารกำแพงเมืองเมืองพีโจวได้ยินก็พากันหวาดกลัว อย่างไรต้องรายงานผู้ว่าให้รู้ ผู้ว่าตกใจอย่างมาก ยังได้ยินว่านายกองพันอี้นำกำลังทหารไป พวกเขาก็ย่อมไม่กล้านอนต่อ
ทหารป้องกันกำแพงเมืองรวมกำลังกัน ผู้ว่ากับเจ้าหน้าที่อำเภอกำลังอยู่ในเมืองลาดตระเวน ผู้ชายในแต่ละครัวเรือนก็ต้องเตรียมพร้อมหากมีคนร้ายมา
ว่ากันว่าการต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว บนกำแพงเมืองเห็นแต่แสงไฟสว่างบนฝั่งแม่น้ำ อยากจะมองให้ละเอียดก็ไม่ได้ หวาดกลัวกันอยู่ราวหนึ่งชั่วยาม รู้สึกว่าทำเช่นนี้ดูไม่ได้การ จึงส่งคนลงจากกำแพงเมืองผ่านทางตะกร้าหย่อนลงไป ให้ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
พอไปดูที่ริมแม่น้ำ ก็เห็นทหารในชุดเครื่องแบบกำลังสาละวนกัน ตอนเหนือของแม่น้ำในเขตปกครองใต้แม้ไม่สงบสุข ชาวบ้านมีฝีมือต่อสู้กันบ่อย แต่ก็ไม่ได้มีโจรอันใดที่จะมาทำร้ายเจ้าหน้าที่ทางการในเครื่องแบบ พอเห็นเช่นนี้ คนที่ออกมาสังเกตการณ์ใจกล้าไม่น้อย อากาศไม่หนาวมาก ผืนน้ำก็ไม่กว้างนัก จึงถอดเสื้อผ้าว่ายข้ามไปดู
พอว่ายไปอีกฝั่งก็ถูกทหารเมืองสวีโจวจับตัวไว้ พอแสดงสถานะตนก็ถูกขุนพลเมืองสวีโจวทางนั้นเรียกมาฟังเล่าเหตุการณ์ จากนั้นค่อยว่ายกลับไปรายงาน
ขุนนางท้องที่ที่กำลังรออย่างหวาดกลัวกันอยู่ในเมืองได้ยินว่านอกเมืองไม่ใช่โจรก็เบาใจ แต่พอฟังอีกที กลับตกใจยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก
ผู้แทนพระองค์ถึงกับถูกซุ่มโจมตีในพื้นที่ตนเอง ดีที่ผู้แทนพระองค์เก่งกล้า สังหารโจรแทน ไม่เช่นนั้นคงต้องถูกสังหารเก้าชั่วโคตรจริงแล้ว ปัญหาตอนนี้คืออธิบายอย่างไรว่ามีสายสัมพันธ์ใดกับโจรกลุ่มนี้ พอได้ยินว่าเป็นกองตรวจการในพื้นที่ และยังเป็นกองทหารในพื้นที่ระดับนายกองพัน ก็ยิ่งแทบกระอักเลือดออกมา เป็นเรื่องในพื้นที่ตนเองจริงๆ
อยู่ๆ ภัยหายนะก็ตกจากฟ้า สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือรอดูว่าใต้เท้าแทนพระองค์จะจัดการอย่างไร เมืองพีโจวติดคลองส่งน้ำ ข่าวก็ไม่อาจปิดบังได้ แต่ที่ได้ยินเกี่ยวกับใต้เท้าผู้แทนพระองค์มานั้น ก็ช่างไม่อาจทำให้รู้สึกดีใจได้เลย
กลางคืนประตูเมืองปิด นี่เป็นธรรมเนียม เปิดไม่ได้ แต่ทว่ากำแพงเมืองกลับมีคนห้อยตัวลงไปไม่หยุด ไปติดต่อเรื่อยๆ ดูว่าเรื่องราวสามารถแก้ไขอันใดได้อีกหรือไม่
**************
หวังทงตื่นมาบนเรือ ฟ้าก็สว่างแล้ว ในเมื่อเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเป็นทหารเมืองสวีโจวตัวจริง และยังมาเพราะจดหมายหวังทง ขบวนเรือจึงเข้าเทียบท่า
ขุนพลเมืองสวีโจวเปาหรูซานนำทหารติดตามมาที่นี่ เรียกได้ว่าเป็นทหารที่เลือกมาดีที่สุดแล้วของกองกำลังในเมืองสวีโจว แต่ละคนล้วนมีฝีมือฉกาจ แต่พอเห็นทหารติดตามหวังทงลงจากเรือมา พวกเขาก็ตะลึงอึ้งไปไม่น้อย ทุกคนสวมเกราะพร้อมอาวุธยาว ความพร้อมเช่นนี้ทำให้พวกเปาหรูซานอิจฉาก็ส่วนอิจฉา แต่ก็ไม่ได้คิดอันใด หากรัศมีที่เปล่งประกายออกมาต่างหากที่ทำให้พวกเขาต้องรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ
มีแต่พวกที่เคยออกสนามรบเท่านั้น ผ่านการสังหารมาโชกโชนเท่านั้นจึงจะมีรัศมีเช่นนี้ได้ คนพวกนี้เป็นทหารกล้าแท้จริง พวกเขาตั้งฐานทัพในแผ่นดินหมิง ได้ยินหวังทงออกไปรบสร้างชัยชนะนอกด่านมากมาย อย่างไรก็มักจะรู้สึกสงสัยยิ่ง แต่พอได้เห็นรัศมีทหารติดตามกองนี้แล้ว ในใจก็รู้สึกเชื่อแล้ว
“รายงานท่านโหว กองตรวจการค้าเกลือที่นี่คิดประสงค์ชิงทรัพย์ไม่ใช่แค่ครั้งแรก จับตัวส่งไปฝังไว้ที่ค่ายทหารแล้ว เรือก็จะทำลายไปทำฟืน ทรัพย์สินเงินทองก็จะแบ่งกันระหว่างสองหน่วยงาน การเดินทางบนลำน้ำนี้ปกติก็มักมีคนหายตัวไป ไม่มีคนคิดว่าเกิดเหตุที่เมืองพีโจว ยิ่งไม่มีคนคิดว่าจะมีทหารทางการก่อคดีเองเช่นนี้”
หวังทงนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ เปาหรูซานยืนรายงานข้างๆ พอได้ยินเช่นนี้ หวังทงก็อึ้งไป หลุดหัวเราะออกมา ตามคาด คิดมากไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเป็นแค่เรื่องหวังชิงทรัพย์ง่ายๆ แค่นี้ กำลังจะกล่าวอันใดก็มองไปเห็นผู้ว่าเมืองพีโจวกำลังคุกเข่าหมอบนิ่งที่พื้นไม่กล้ากล่าวอันใด
“พื้นที่เจ้ามีคดีใหญ่เช่นนี้ เจ้าเป็นขุนนางตาบอดหรือไง เมืองไหวอันต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ข้าไม่เป็นไร พวกโจรต้องจัดการเช่นก็จัดการไป เจ้าควรรับโทษอย่างไรก็รับโทษไป ข้าจะไม่ยุ่งด้วย”
“ขอบคุณท่านโหวที่ให้ความเป็นธรรมๆ !”
หวังทงกล่าวเช่นนี้ ผู้ว่าก็รีบโขกศีรษะขอบคุณไม่หยุด เกิดเรื่องเช่นนี้ ผู้ว่านี้ต้องออกจากตำแหน่งเป็นเรื่องแน่นอน หากหวังทงกัดไม่ปล่อย ใช้หัวเขามาระบายความโมโหให้ติ้งเป่ยโหวก็ย่อมได้ การจัดการเช่นนี้ไม่ยากเกิดคาดเดา แต่หวังทงกลับไม่เอาเรื่อง ชีวิตเขาก็รักษาไว้ได้แล้ว
“ท่านโหว เช่นนั้นพวกทหารโจรกับพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือ?”
เปาหรูซานเมื่อคืนมาช่วย ก็นับว่ามีผลงาน เขาย่อมไม่หวาดกลัว ถามขึ้นน้ำเสียงนิ่งเรียบ หวังทงมองไปทางพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือกับทหารที่ถูกมัดไว้ กล่าวว่า
“ทหารไม่น้อยน่าจะแค่ฟังคำสั่ง พวกเขาไม่ต้องเอาเรื่องต่อ ไปสอบเจ้าคนแซ่อี้นั่นกับพรรคพวก หากเป็นพวกรู้กัน ก็ให้จัดการลงโทษหนักไปตามระเบียบ ส่วนพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือ พวกเขาเป็นโจรก็สังหารทิ้งไปเลยละกัน!”
เปาหรูซานรีบรับคำสั่ง หันกลับไปบอกกล่าวกับคนของตนสองสามคำ ทหารติดตามเขาก็รีบวิ่งออกไป จัดการตามคำสั่ง นายกองพันอี้ผู้นั้นกับพวกย่อมถูกกวาดล้างริบทรัพย์ทั้งตระกูล ทว่าทหารส่วนใหญ่กลับไม่เกี่ยวข้องด้วย ส่วนพวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือก็ย่อมเป็นพวกโจรในคราบเจ้าหน้าที่ สังหารทิ้งให้หมดก็จบเรื่อง
สองคนจับโจรหนึ่งคนลากออกไป กดลงบนพื้น จากนั้นพวกที่พอมีความรู้อยู่บ้างก็ย่อมรู้ว่าลำดับถัดไปก็จะสังหารทิ้งแล้ว
คืนวานยังกระหายอยากลงมือ วันนี้แต่ละคนกลับกลัวหัวหด มีคนหนึ่งส่งเสียงร้องขอชีวิต มีคนหนึ่งตะโกนด่าอย่างบ้าคลั่ง เสียงตะโกนร้องเรียกพวกนี้ไม่ได้ทำให้หวังทงรู้สึกอันใด ได้แต่มองอย่างไร้อารมณ์ คนพวกนี้ ไม่รู้มือเปื้อนเลือดมามากมายเท่าไร
“นายท่าน นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ นายท่านบรรพชนข้า ข้าน้อยรู้เรื่องทางใต้นี้ดี สามารถนำทางได้ สามารถเป็นคนนำทางให้ท่านได้ ไว้ชีวิตสุนัขเช่นข้าน้อยเถิด ข้าน้อยยอมเป็นวัวเป็นม้า ร่างแหลกสลายก็ขอรับใช้ท่าน!!”
มีชายร่างผอมเกร็งคนหนึ่งตะโกนไม่เหมือนคนอื่น ทหารที่กำลังลงมือก็หยุดมือ หวังทงก็หันไปสนใจ ยิ้มชี้ไปว่า กล่าวว่า
“นำตัวมานี่!!”
คนทางนั้นก็จับตัวหิ้วราวกับหิ้วไก่มาถึง พอมาถึงก็โขกศีรษะจนเต็มไปด้วยเลือด ร่างผอมราวกับลิงกัง เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ หวังทงเดิมคิดว่าหน้าตาโหววั่นไฉเหมือนลิงมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับคนนี้แล้ว กลับสู้ไม่ได้
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะลงใต้ ไม่แน่ว่าข้าถึงซู่โจวก็ลงเรือแล้ว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องการคนนำทาง?”
“เรือนายท่านมีแต่เงินทองไม่มีสินค้า เห็นได้ชัดว่าไปปฏิบัติหน้าที่ทางการ บนเรือก็มีใบเรือแขวน เห็นชัดว่าจะลงใต้”
แม่น้ำทางใต้กว้างมาก เรือใหญ่ไม่ต้องใช้การพาย ใช้ใบเรือก็พอ มีใบเรือแขวนก็หมายถึงการเพิ่มใบเรืออีกใบ มีแต่พวกลงใต้เท่านั้นที่จะใช้ และเดินทางบนคลองส่งน้ำ สินค้าขึ้นเหนือล่องใต้ล้วนทำกำไรมาก คนเรือย่อมนำสินค้ามาด้วย ไม่นำสินค้ามาก็ย่อมเป็นเพราะมาปฏิบัติหน้าที่ จากการลงมือของพวกหวังทงบนแม่น้ำ ก็เห็นว่าไม่เคยมาที่นี่
“เจ้าเชี่ยวชาญเรื่องทางใต้หรือ?”
“ข้าน้อยเมื่อก่อนเคยลอบค้าเกลือเถื่อน เขตปกครองใต้ไปมาครบทุกที่ เพราะไม่ได้มีความสามารถใด ไม่อาจอยู่กับนายได้นาน มักต้องเปลี่ยนนาย ไปมาหลายแห่ง ก็เลยเชี่ยว…….”
หวังทงยิ้มพยักหน้า คนผู้นั้นรีบกล่าวต่อว่า
“ข้าน้อยไม่เคยก่อคดี เพราะร่างกายผอมแห้ง ทุกครั้งก็ได้แต่กร่างไปพร้อมกับกลุ่มใหญ่ๆ”
“เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้าน้อยชื่อหลูต้า”
หวังทงมองไปทางเปาหรูซานข้างๆ ยิ้มกล่าวว่า
“เจ้านี่คล่องดี รู้จักสังเกต มีสมอง ข้ารับไว้ ที่เหลือสังหารให้หมด!”
เปาหรูซานคำนับรับคำสั่ง โบกมือไปทางนั้น ทหารทั้งหมดก็ยกดาบเลือดสาดกระเซ็น
ตอนที่ 840 นี่คือแดนใต้แผ่นดินหมิงหรือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไม่รู้ว่าเบื้องหลังนายกองพันอี้คือผู้ใด ทว่าตอนข้าถึงหนานจิงต้องได้เห็นหัวคนผู้นี้!”
หวังทงก่อนไปกล่าวไว้เพียงแค่นี้ หากทุกย่อมไม่กล้ารอช้า เกิดเรื่องเช่นนี้ ตอนก่อนหวังทงไป ขุนพลเมืองสวีโจวเปาหรูซานแนะนำว่าไม่ควรนั่งเรือนี้ต่อ ควรไปเปลี่ยนเรือทางการที่เมืองพีโจว
แต่หวังทงยังคงยืนยันว่าจะนั่งเรือนี้ต่อ ได้แต่ยิ้มกล่าวว่า
“หากระหว่างทางยังมีโจรเช่นนี้อีก ก็ไม่ได้น่ากลัวอันใด!”
วาจานี้ฟังแล้วไม่น่าฟัง แต่กลับเป็นวาจาจริง กองกำลังนับพันถูกคนหวังทงเพียงร้อยกว่าจัดการสังหารราวกับใบไม้ร่วง ช่างไม่น่ากลัวอันใดเอาเสียเลย
************
“ท่านโหว พวกหน่วยตรวจค้าเกลือนั่นโดนไล่ไปแล้ว ป้ายนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรพวกเขาไม่รู้จัก ดึงป้ายนายกองพันออกมา ยังจะขึ้นมาตรวจเรือ ดีที่พี่น้องเราป้องกันแน่นหนา พวกเขาเห็นว่าไม่อาจล่วงเกินจึงได้จากไปแล้ว”
หานกังมารายงาน เห็นสีหน้านิ่งเรียบหวังทงก็อดไม่ได้โมโหกล่าวว่า
“ท่านโหว ตั้งแต่ผ่านเมืองพีโจวมา ด่านก็มาก แม้แต่ป้ายประจำตัวขุนนางทางการก็ไม่ได้ทำให้พวกวางอำนาจอย่างเช่นพวกตรวจค้าเกลือพวกนี้เกรงใจ นายกองร้อยกองพันองครักษ์เสื้อแพรเอาไม่อยู่ ถึงกับกล้าวางอำนาจบาตรใหญ่ใส่เราเช่นนี้ได้”
“หานกัง เจ้ารู้ไหมว่าการค้าเกลือแม่น้ำนี้มีคนใต้หล้ากินเท่าไร?”
หวังทงกลับถามเช่นนี้ หานกังงงส่ายหน้า หวังทงกล่าวว่า
“แผ่นดินหมิง ประชากรราวสองในสามกินเกลือจากแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ที่นี่ เพื่อให้แม่น้ำไหวเหอเหนือใต้มีฟืนพอที่จะต้มเกลือ จึงไม่ให้ประชาชนบุกเบิกที่รกร้าง ปล่อยให้หญ้ารก เจ้ารู้ไหมแผ่นดินหมิงท้องพระคลังหลวงมีรายได้เท่าไรมาจากภาษีเกลือ? มีเท่าไรที่ได้จากแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้นี่?”
หานกังย่อมไม่รู้ หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ช่วงเวลาที่มากที่สุด ภาษีเกลือมีถึงหกส่วน ในนี้สี่ส่วนล้วนเป็นภาษีเกลือจากแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้นี่”
เห็นหานกังยังงง หวังทงกล่าวว่า
“อัตราเช่นนี้ แม่น้ำไหวเหอเหนือใต้จึงเป็นฐานแห่งราชสำนัก การปราบการค้าเกลือเถื่อนแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ย่อมได้รับการปกป้องจากราชสำนัก จะวางอำนาจบาตรใหญ่ก็ควรอยู่”
หลิ่วซานหลังข่างๆ เงียบไป กล่าวแทรกขึ้นว่า
“ข้าน้อยได้ยินคนเล่าว่า ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง ภาษีเกลือลดลงเรื่อยๆ มาจนสมัยจางจวีเจิ้งกุมอำนาจบริหาร ภาษีเกลือจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น สองปีมานี้ก็น้อยลงอีกแล้ว คิดให้ละเอียด เทียนจินเรากว้างใหญ่เพียงนั้น เทียบกับแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ที่กว้างใหญ่ ไม่ได้ต่างกันเท่าไร!”
“ที่มาต่างกัน เขตปกครองใต้มีบัณฑิตมากมายอาศัยเงินจากการค้าเกลือจุนเจือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามนี้ที่ขุนนางเมืองหลวงกับขุนนางท้องที่ล้วนมีพ่อค้าเกลือพวกนี้เลี้ยงดู สายสัมพันธ์ลึกซึ้งมากมาย มีอำนาจเช่นนี้ ก็ย่อมสามารถวางอำนาจบาตรใหญ่”
หวังทงกล่าวต่อ คนในห้องเรือทุกคนล้วนเงียบกริบ ก่อนจะออกไปทำงานตน หวังทงมองไปยังจดหมายบนโต๊ะ ก่อนนำจดหมายใส่ลงในกล่องเหล็ก
เรื่องที่หลูต้าคนนำทางรู้มานั้นไม่น้อย เช่นว่า ผู้ตรวจค้าเกลือเมืองเมืองพีโจวแซ่ลู่ อายุ 20 กว่า เมื่อก่อนเป็นนักเลงชั่วอันดับหนึ่งในเมืองพีโจว พอได้เป็นผู้ตรวจค้าเกลือ เห็นๆ ว่ามีเงินค้าเกลือเถื่อนเข้ากระเป๋าได้ก้อนโต แต่ยังกลับอยากปล้นเรือ เห็นชัดว่าเห็นการสังหารคนอื่นเป็นเรื่องสนุก คนแซ่ลู่ผู้ตรวจค้าเกลือนี้ค่ำวันนั้นถูกทหารติดตามหวังทงสังหารแล้ว ก็ทำให้เรื่องยุ่งยากลดลงไม่น้อย
แต่เจ้าคนแซ่ลู่นี้ฟังจากหลูต้าเล่ามา เป็นบุตรชายลับของลู่กุ้ยพ่อค้าเกลือใหญ่แห่งเมืองหยางโจว ลู่กุ้ยเป็นหนึ่งในพ่อค้าเกลือใหญ่ในเมืองหยางโจว กิจการยิ่งใหญ่แต่ไร้ผู้สืบทอด แต่ภรรยาน้อยสิบกว่าคน กลับมีเพียงลูกสาวสี่ คนแซ่ลู่นี้เป็นลูกที่ตอนนั้นไม่รู้ไปเจ้าชู้แล้วเกิดขึ้นที่ไหน
ลู่กุ้ยกับกิจการใหญ่ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าใดจับจ้องอยู่ มีลูกชายไม่เปิดเผยสักคน ลูกเขยหลายคนก็เกรงว่าคนต้องลงมือสังหารทิ้ง ลู่กุ้ยอายุเกือบ 70 ย่อมรู้ดี จึงได้ให้ลูกชายคนนี้มาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการค้าเกลือที่เมืองพีโจว บ้านเกิดตนเองเช่นนี้
ให้เข้าเป็นขุนนางได้เรียนรู้การทำงาน ก็จะได้เป็นเครื่องป้องกันตนเองได้ ลู่กุ้ยมีอิทธิพลมากบนแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้แถบนี้ บุตรชายลับของเขาเหิมเกริมก่อเรื่องก็ย่อมปกป้องไว้ได้ ผลจึงได้ลืมตัวจนเหิมเกริมก่อเรื่องไปแตะต้องเอาเข้ากับหวังทงได้
“แม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ทางนี้ ทหารเทียบกับพวกเมืองพีโจวเป็นอย่างไร?”
“เมืองพีโจวไม่นับว่าดี แต่ก็ไม่ได้เลวร้าย หากสามารถนำออกมาต่อสู้กันได้จริง ก็คงเป็นพวกพ่อค้าเกลือเถื่อนพวกนั้น พวกคุ้มกันร้านค้าเกลือก็เก่งกล้าไม่เบา”
หลูต้าเป็นคนละเอียด รู้จักพูดไปดูสีหน้าไป หวังทงถามเรื่องนี้ เขาย่อมรู้ว่าจะตอบอย่างไร
“พื้นที่แดนใต้ ใครเก่งการต่อสู้ที่สุด?”
คำถามกำกวม หลูต้าอย่างไรก็เป็นเพียงชาวบ้าน ไปมาหลายที่ก็จริง แต่ก็ยังไม่รู้ หากก็ยังตอบไปว่า
“ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ทว่าทุกคนล้วนว่า คนของเว่ยกั๋วกงตระกูลสวี เป็นทหารเก่งกล้าอันดับหนึ่ง คนที่ข้าน้อยได้เคยพบมาล้วนกล่าวเช่นนี้”
เว่ยกั๋วกงตระกูลสวีมีทหารราว 500 กว่า มีคนในจวนอีกเกือบพัน คนพวกนี้เก่งกล้าสามารถ สามารถเรียกกำลังนับหมื่นมาได้ นี่ไม่ว่าในเอกสารองครักษ์เสื้อแพร หรือว่าบรรดาขุนพลทหารวิพากษ์วิจารณ์ ล้วนเป็นเช่นนี้
ตลอดทางลงใต้มา เรื่องใจกล้าเทียมฟ้ามีเพียงเรื่องเดียวที่เกิดในเมืองพีโจว ที่เหลือตลอดทาง แม้ว่าทหารเทียบท่า ให้หน่วยตรวจค้าเกลือขึ้นมาตรวจหลายครั้ง ก็ไม่ได้มีเหตุอันใด
ทว่าจะว่าไป บนใจกลางแผ่นดินหมิงมีเจ้าหน้าที่ตรวจการค้าเกลือสมคบกับทหารสังหารเรือพ่อค้าที่ผ่านมา ถึงกับลงมือกับขุนนางอีก เรื่องเช่นนี้มีครั้งเดียวก็เกินพอให้ตกใจแล้ว หากมากกว่านี้ ก็ย่อมไม่ทำให้ประเทศไม่เหมือนว่าเป็นประเทศแล้ว
เมืองไหวอันส่งคนไปตรวจ คดีนี้ ผู้ตรวจการเขตปกครองใต้สองคน หรือแม้แต่กรมอาญาเมืองหลวงก็ตกใจมากแล้ว ยังต้องคิดว่าต้องสืบไปถึงขั้นไหนกัน หวังทงก็ขี้เกียจจะสนใจ
ที่เขาเห็นก็คือ เมืองไหวอันและหยางโจวสองเมืองนี้ อิทธิพลพวกค้าเกลือเทียมฟ้า หลายครั้งเห็นพวกตรวจการค้าเกลือบนฝั่งสั่งสอนเจ้าหน้าที่ที่ท่าเรือ พวกหน่วยตรวจสอบค้าเกลือไม่เท่าไรในสายตากองกำลังหู่เวย แต่เทียบกับทหารในพื้นที่แล้ว เรียกได้ว่าเก่งกล้ากว่ามาก
พ่อค้าเกลือในพื้นที่ต้องดูแลทุกอย่าง คนในมือก็ต้องมีกำลังพอเพียง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแหล่งที่มาเงินทองเช่นนี้ พื้นที่แม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ก็ย่อมเป็นเอกเทศที่แข็งแกร่ง
หากกล่าวว่าการรักษากิจการค้าเกลือแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ ก็เพื่อเงินทองของแผ่นดินหมิง แต่ตอนนี้บรรดาพ่อค้าเกลือกลับค้าเกลือเถื่อน กำไรจากการขายเกลือเพื่อบริโภคนั้นไหลเข้ากระเป๋าอย่างกับสายน้ำไหล ที่แผ่นดินหมิงได้กลับน้อยลงเรื่อยๆ การค้าเช่นนี้คงอยู่ ก็คงได้แต่เป็นดังหนอนชอนไชแผ่นดินหมิง ไม่ได้ประโยชน์แม้แต่น้อย
หลูต้ากล่าวกับเขาเช่นนี้ รู้เรื่องอิทธิพลแต่ละแห่งไม่น้อย เช่นว่า นายอำเภออันตงมารับตำแหน่ง นอกจากรับสินบนแล้ว ยังคิดตักตวงเงินทองก้อนโต ให้คนสนิทตนไปตั้งด่านตรวจเกลือเถื่อนในเมือง แค่สามวัน ทั้งครอบครัวก็ถูกตัดหัวทิ้ง ที่น่าแปลกก็คือ หัวที่ถูกตัดคืนนั้นถูกโยนไว้ในห้องนอนนายอำเภอ นายอำเภอตกใจจนหมดสติไปทันที
นี่ยังไม่จบ ไม่กี่วัน ก็มีคนไปที่ที่ทำการร้องเรียนนายอำเภอกินสินบน ตำแหน่งนี้อยู่ต่อไม่ได้ ได้แต่ถูกจับเข้าคุกไป
มีเรื่องน่าแปลกเรื่องหนึ่ง เมืองหยางโจวมีทหารค่ายหนึ่งล่องเรือบนแม่น้ำ ปรากฏอยู่ๆ ล่มตกน้ำตายหมด แต่ที่จริงแล้วค่ายทหารนี้ใช้ทหารขนเกลือเถื่อน ปะทะกับพวกตรวจการค้าเกลือเถื่อน เป็นทหารทางการแท้ๆ กลับสู้เจ้าหน้าที่ตรวจการค้าเกลือไม่ได้ โดนตีตกน้ำกันไปตายอนาถบาดเจ็บหนัก จากนั้นทหารค่ายนั้นยังถูกนายด่า สุดท้ายถูกลดตำแหน่งจบเรื่อง คนที่ตายไปก็ตายไปเปล่าๆ ได้แต่บอกว่าจมน้ำตายตอนปฏิบัติหน้าที่
“ทางตะวันออกของแม่น้ำค้าเกลือ ทางใต้แม่น้ำเป็นตระกูลใหญ่ ทางเหนือแม่น้ำพวกพ่อค้าเกลือแม้วางอำนาจเหิมเกริม แต่ก็ยอมก้มหัวให้คนตระกูลใหญ่ทางใต้แม่น้ำ เกรงใจยิ่ง ทุกปีการค้าเกลือตอนเหนือแม่น้ำก็ต้องส่งของขวัญไปให้ตระกูลใหญ่ทางตอนใต้ของแม่น้ำ ก็เพราะว่าต้องการให้การค้าของตนเองราบรื่น ส่วนทางการนั้น ทางใต้ของแม่น้ำไม่มีขุนนางในสายตา ราษฎรมีเรื่องขึ้นศาลน้อยมาก ไปหาตระกูลใหญ่ออกหน้าให้ความเป็นธรรมเสียมากกว่า!”
หลูต้าเล่าเป็นเรื่องเล่าทั่วไป แต่หวังทงกลับฟังแล้วสนใจมาก ไม่รู้ว่าเขตปกครองใต้ยังเป็นแผ่นดินหมิงหรือไม่……
*************
หากไม่ได้เจอเรื่องที่เมืองพีโจว หวังทงเดินทางลงใต้ครานี้คงไม่มีผู้ใดพบเจอร่องรอย แต่พอเกิดเหตุที่พีโจว ข่าวก็กระจายไปทั่ว หวังทงมาถึงเขตปกครองใต้แล้ว คนที่ควรรู้ข่าวต่างก็รู้ข่าวนี้
ในเมื่อตรวจสอบคดีตระกูลสวีครองที่ดิน ยังมีไห่รุ่ยยื่นฎีกา หวังทงควรจะไปพบไห่รุ่ยที่หนานจิงก่อน จากนั้นค่อยไปเมืองซงเจียง
ขุนนางหนานจิงกำลังรอการมาของหวังทง แต่ตั้งแต่เมืองหลินชิงมา ข่าวผู้แทนพระองค์ก็เหมือนหายไป ขณะทุกคนกำลังงงกันอยู่ ก็กลับได้ยินข่าวรายงานจากเมืองพีโจว ทุกคนบ่นไปก็จัดการต้อนรับระหว่างทางไป หากยังเกิดเรื่องอีก ตนเองคงรับผิดชอบไม่ไหวแล้ว
ข่าวที่หนานจิงได้มาเมื่อหลายวันก่อน คนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลสวีเมืองซงเจียงก็ล้วนรู้กันทั่ว สำหรับตอนเหนือแม่น้ำแล้ว ตระกูลสวีเมืองซงเจียงจึงจะเป็นบุคคลที่พวกเขาควรให้ความเคารพแท้จริง
*************
ชนชั้นสูงในเมืองหนานจิงที่ชื่อเสียงบารมีดังที่สุดก็คือเว่ยกั๋วกงแห่งตระกูลสวี ต่างจากบรรดาศักดิ์คนอื่นๆ ในเมืองหลวงที่ไร้อำนาจมาก ขุนพลหนานจิงก็เหมือนสืบทอดจากตระกูลสวี ขุนพลที่อื่นก็เป็นขุนนางบู๊ที่ไร้เกียรติ แต่ที่หนานจิงนี้สถานะไม่ต่างจากผู้บัญชาการกองกำลังเมืองหลวง อำนาจทหารมีมาก
ใต้หล้ากล่าวกันว่า ตระกูลสวีคุมตะวันออกเฉียงใต้แทนฮ่องเต้ แม้ว่าเกินความจริงไปมาก แต่ก็แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลตระกูลสวีไม่ธรรมดา
ผู้แทนพระองค์หวังทงลงใต้มา เว่ยกั๋วกงตอนนี้คือสวีจื้อเทา หากเกรงใจ ก็ไปพบได้ แต่หากไม่อยากพบก็ไม่มีผู้ใดตำหนิได้
เรือหวังทงพอแล่นเข้าเมืองหยางโจวได้ราวหนึ่งชั่วยาม จวนเว่ยกั๋วกงก็มีจดหมายมา
ในห้องหนังสือเว่ยกั๋วกง ทหารติดตามกำลังรายงานเบาๆ ว่า
“น่าจะเป็นจดหมายที่โยนเข้ามาเมื่อคืน วันนี้คนงานเราเก็บได้ จึงได้รายงานพ่อบ้าน จากนั้น……”
เว่ยกั๋วกงขมวดคิ้วแน่น โบกมือกล่าวว่า
“คนที่พบเห็นจดหมายนี่ให้ไล่ออกไปโรงบ้านนอกเมืองให้หมด ขังไว้!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น