หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 832-837

 บทที่ 832 ชีวิตของผู้มั่งคั่ง!

 

ในเมื่อตอนนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นมาก สงสัยจริงว่าจะคลายผนึกแหวนคลังเวทได้หรือยัง หวังเป่าเล่อทดสอบพลังของตนเอง พลังที่เขาสัมผัสได้สร้างความพึงพอใจและเสริมให้รู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้น ชายหนุ่มโบกมือเรียกแหวนคลังเวทที่ได้มาจากผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นออกมา จากนั้นก็ถือไว้ในระดับสายตาและขยายสัมผัสวิญญาณไปโอบล้อมแหวนคลังเวทไว้โดยสมบูรณ์


“คลายออก!” หวังเป่าเล่อร้องคำรามพร้อมปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณทั้งหมดลงบนแหวนคลังเวท ทว่า…แหวนคลังเวทเป็นดังหินแกร่ง ไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามใช้สัมผัสวิญญาณบดขยี้อย่างไรมันก็ยังไม่ไหวติงต่อแรงปะทะ


“ทลาย!”


“ปลดผนึก!”


เขาตะโกนต่อไปไม่หยุดพร้อมเสริมพลังสัมผัสวิญญาณให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ถึงกับใช้พลังจากเกราะมหาจักรพรรดิเข้ามาช่วย แต่ช่างน่าขายหน้ายิ่งนักเพราะทำอะไรแหวนไม่ได้เลย โชคดีที่ไม่มีใครเห็นความน่าขายหน้าครั้งนี้ หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอแห้งๆ จากนั้นก็เก็บแหวนที่ทำอะไรกับมันไม่ได้ไปอย่างเงียบเชียบ


“วันนี้สภาพร่างกายไม่เข้าที ค่อยลองใหม่วันหลังแล้วกัน” หวังเป่าเล่อบ่นพึมพำ จากนั้นก็ขยับตัวเล็กน้อย เกราะมหาจักรพรรดิบนร่างกายพลันเลือนรางและจางหายไป พลังของหวังเป่าเล่อลดจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นไปเป็นขั้นแสร้งอมตะ จากนั้นเขาก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมอย่างรื่นเริง


ได้เวลาตามหาเซี่ยไห่หยางแล้ว พอได้ของที่ต้องการ ข้าจะกลับระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อลูบหน้าท้องแบนราบของตนเองอย่างสุขใจ เขาบุ้ยปากและถอนหายใจให้กับน้ำหนักที่ลดลง จากนั้นก็เสกน้ำเย็นหล่อวิญญาณขึ้นมาด้วยเคล็ดวิชาสารัตถะ…และยกขึ้นดื่มขณะเดินไปร้านของเซี่ยไห่หยาง…


ไม่นานชายหนุ่มก็เห็นร้านของเซี่ยไห่หยางอยู่ไม่ไกล มันเป็นร้านที่สร้างขึ้นมาเหมือนตำหนัก ดูร่ำรวยโดดเด่นกว่าร้านอื่นๆ ในตลาด ร้านไหนๆ ก็ไม่สามารถเทียบชั้นความมั่งคั่งนี้ได้ เป็นร้านที่เหนือชั้นกว่าร้านรวงทั้งหมด มีผู้ฝึกตนเดินเข้าออกกันขวักไขว่ แม้ไม่ได้แน่นขนัดจนไม่มีพื้นที่ให้หายใจ แต่ก็มีคนหนาตาอยู่เนืองๆ


นั่นคือภาพที่หวังเป่าเล่อเห็นเมื่อเดินเข้ามาในร้าน ผู้คนเต็มร้าน พนักงานวิ่งบริการมือเป็นระวิง แม้จะมีคนอยู่มากมาย แต่ก็มีคนสังเกตเห็นการมาของชายหนุ่ม


คนที่สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อคือพนักงานที่ดูแลเขารอบที่แล้ว ดวงตาของอีกฝ่ายเป็นประกายเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ รีบถอยออกจากลูกค้าที่ดูแลอยู่และพุ่งไปกุมหมัดทักทายชายหนุ่มทันที


“มาแล้วหรือ ท่านศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่ นายน้อยของเราบอกว่าให้ท่านขึ้นไปชั้นสองได้ตามสะดวก” พนักงานคนนั้นรีบมาต้อนรับหวังเป่าเล่อทันทีที่เขาเข้ามาในร้าน ชายหนุ่มรู้สึกพอใจกับท่าทีของพนักงานคนนี้ เขากระแอมกระไอ จากนั้นก็หยิบศิลาวิญญาณชั้นสูงสุดก้อนหนึ่งออกมาท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของฝูงชนและโยนให้พนักงานคนนั้นเป็นรางวัล


พนักงานดูปลาบปลื้มอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรับศิลาวิญญาณชั้นสูงสุดไป เขานำทางหวังเป่าเล่อไปยังบันไดด้วยแววตาเป็นประกาย หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าตนเองได้รับการดูแลแตกต่างจากคนอื่น ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงแววตาเคารพยำเกรงที่มองมาจากฝูงชน จึงได้แต่แอบถอนหายใจ


ชีวิตคนรวยนี่เป็นเช่นนี้นี่เอง ช่างเรียบง่ายและเถรตรง หวังเป่าเล่อส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไป เขาไม่พบเซี่ยไห่หยางตอนขึ้นไปถึงชั้นสอง ไม่มีใครสักคน ขณะที่กำลังหันมองรอบๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากทางด้านหลัง


“พี่เป่าเล่อ ไม่เจอกันนาน เป็นเช่นไรบ้าง”


หวังเป่าเล่อกะพริบตาเมื่อได้ยินเช่นนั้นและแสร้งทำเป็นชะงักไปชั่วครู่ หลังจากนั้นก็รีบหันกลับไป ใบหน้าผุดรอยยิ้มยินดีเมื่อพบเซี่ยไห่หยาง จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง


“น้องไห่หยาง เราเพิ่งพบกันไปเอง”


“พี่เป่าเล่อ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสร้างผลงานยอดเยี่ยมในการปฏิบัติภารกิจ ช่างมีฝีมือเสียจริง” เซี่ยไห่หยางเอ่ยชมหวังเป่าเล่อขณะที่ทั้งสองนั่งลง เซี่ยไห่หยางมองหวังเป่าเล่อสักพักและสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีตอบสนองกับสิ่งที่ตนเพิ่งพูด ไม่มีแม้แต่แววงุนงงบนใบหน้า เซี่ยไห่หยางพึมพำอะไรบางอย่างกับตนเอง จากนั้นก็กระแอมกระไออย่างกระอักกระอ่วน


“เจ้าคือชายหน้ากากหมูใช่ไหม”


“หน้ากากหมูหรือ” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ถึงท่าทีจะดูเกินพอดีก็ไม่เป็นไร เขาจะไม่ยอมรับสิ่งที่ไม่ควรต้องยอมรับ ถึงจะต้องมอบผลึกสีชาดจำนวนมากให้เซี่ยไห่หยางทีหลังและเผยไต๋ว่าที่ทำไปเมื่อครู่คือแสร้งทำ แต่นั่นก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


“เป่าเล่อ เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว แล้วแต่เจ้าเถอะ เจ้าไม่ใช่ชายหน้ากากหมูก็ไม่สำคัญอะไร ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ไว้ว่าตอนนี้เขาดังใหญ่แล้ว สร้างความแค้นเคืองให้ตระกูลไม่รู้สิ้น พวกนั้นจะทำทุกอย่างเพื่อสืบให้รู้ว่าชายคนนั้นคือใคร คนเดียวที่รู้คือปรมาจารย์แห่งไฟ แต่เขาลบหลักฐานทุกอย่างที่จะสาวไปถึงตัวชายหน้ากากหมูทิ้งไปหมด นอกจากปรมาจารย์แห่งไฟแล้วก็ไม่มีใครในจักรวาลนี้รู้ว่าชายหน้ากากหมูคือใครแน่นอน”


ตอนที่พูดเซี่ยไห่หยางตั้งใจเน้นคำว่า ‘แน่นอน’ จากนั้นก็เผยยิ้มให้หวังเป่าเล่อ ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบขึ้นเล็กน้อย เขารู้ว่าเซี่ยไห่หยางพยายามบอกใบ้อะไรบางอย่าง ชายหนุ่มยิ้มตอบ เซี่ยไห่หยางยังประสบการณ์น้อยเกินไป ไม่รู้หลักสำคัญของการนิ่งเงียบแม้จะมองการกระทำออกหมดจด


ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเหนือชั้นกว่า เขานึกถึงอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงและบทเรียนอันทรงคุณค่ามากมายที่ได้เรียนรู้มา


ดวงตาเซี่ยไห่หยางแฝงไปด้วยแววความลุ่มลึก แต่เขาไม่ได้เก็บอาการได้อย่างท่าทีที่แสดงออก จริงๆ แล้วยังตื่นตกใจอยู่ การกระทำของชายหน้ากากหมูนั้นเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงเกินบรรยาย ชายหน้ากากหมูไม่ได้แค่ฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเท่านั้น แต่ยังเกือบปลิดชีพผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ อีกทั้งยังทำให้ดาวเคราะห์ทั้งดวงล่มสลาย


ไม่มีใครกล้าสู้กับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์หรือผู้ฝึกตนในระดับที่เหนือกว่าตนเอง ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่ร่วมภารกิจอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนหนึ่งอยู่เบื้องหลังความโกลาหลมากมายในภารกิจ เขาน่าจะสร้างความวิบัติใหญ่โตขึ้นอีกเมื่อบรรลุขั้นการฝึกตนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ


ต้องเป็นหวังเป่าเล่อแน่ เขาเป็นคนเดียวที่จะทำเช่นนี้ได้โดยที่ข้าไม่แปลกใจ เขาเป็นหายนะที่เคลื่อนที่ได้ ไปดาวอังคาร ดาวอังคารก็วุ่นวายไปหมด ไปกระบี่สำริดเขียวโบราณ สำนักวังเต๋าไพศาลก็เกิดกบฏแทบจะทันที… เซี่ยไห่หยางถอนหายใจเงียบๆ ถึงกระนั้นก็ยังแอบตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย


เซี่ยไห่หยางเป็นนักธุรกิจที่ชอบเสี่ยงดวงกับผู้คน ยิ่งทำสิ่งใดแล้วผลงานดีเท่าไหร่ เซี่ยไห่หยางก็ยิ่งชอบคนผู้นั้นมากขึ้นเท่านั้น เขาชอบทุ่มเวลากับความพยายามไปกับลูกค้าเช่นนี้ ดวงตาของเซี่ยไห่หยางฉายแสงวาบขณะโน้มไปกระซิบกับหวังเป่าเล่อ


“เป่าเล่อ ข้าได้ข้อมูลยิ่งใหญ่มา เจ้าสนใจซื้อไหม ข้าสัญญาว่าข้อมูลนี้จะทำให้เจ้าบรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ในเวลาที่สั้นที่สุดถ้าเจ้าคว้าโอกาสนี้ไว้และใช้มันให้ดี!”


“ข้อมูลอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อมองประเมินเซี่ยไห่หยาง แม้เซี่ยไห่หยางจะไม่ได้ฉลาดเท่าเขา แต่ชายหนุ่มก็เชื่อมั่นในความสามารถของอีกฝ่ายจึงเอ่ยถามราคาไป


“ผลึกสีชาดสามพันก้อน!” เซี่ยไห่หยางตอบในทันที เขากำลังจะอธิบายต่อว่าข้อมูลนี้คุ้มราคาอย่างไร แต่หวังเป่าเล่อที่จ้องมากลับยักไหล่ให้


“มาคุยกันเรื่องวัตถุดิบที่ข้าเคยขอไปดีกว่า”


“เป่าเล่อ ถ้าเจ้าได้ข้อมูลนี้ไป เจ้า…” เซี่ยไห่หยางพยายามโน้มน้าวหวังเป่าเล่อ


“มากเกินไป ข้าไม่สนใจ!” หวังเป่าเล่อขัดเซี่ยไห่หยางขณะแอบแค่นเสียงไม่พอใจ นี่มันเหมือนกับขโมยกันโต้งๆ ชัดๆ วัตถุดิบที่เขาพยายามหาอย่างหนักราคาเพียงสามร้อยผลึก เซี่ยไห่หยางรู้ว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อรวยแล้วจึงกล้าเรียกสามพันผลึกเพื่อแลกกับข้อมูลโง่ๆ นี้


เซี่ยไห่หยางรู้ว่าหวังเป่าเล่อได้ตัดสินใจไปแล้ว จึงรู้สึกเสียดายที่ตนรีบร้อนเกินไป เขากระแอมกระไอและหยุดเสนอขายข้อมูล จากนั้นก็หยิบวัตถุดิบที่หวังเป่าเล่อขอให้จัดหาเอาไว้และตกลงกันเรื่องการจ่ายเงิน หลังจากเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็สนทนากันต่ออีกสักพักก่อนที่หวังเป่าเล่อจะบอกว่าเขาต้องการวัตถุดิบเพิ่ม


“บอกมาเลยว่าต้องการอะไร พี่เป่าเล่อ ร้านข้ามีเกือบทุกอย่าง ข้าสั่งให้วัตถุดิบมาส่งที่ร้านได้ถ้าเราไม่มีของ น่าจะใช้เวลามากสุดไม่เกินสองชั่วโมง เจ้าจะได้ของภายในสองชั่วโมง”


หวังเป่าเล่อหยิบรายการของที่ต้องการออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยไห่หยางรับรายการไปและจัดการตระเตรียมตามรายการ เขาหาทุกอย่างที่หวังเป่าเล่อต้องการได้ภายในหนึ่งชั่วโมง รวมทั้งหมดต้องจ่ายผลึกสีชาดสองพันผลึก หวังเป่าเล่อรู้สึกเจ็บปวดใจ เชื่อว่าเซี่ยไห่หยางต้องโก่งราคาขึ้นแน่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าต้องไปซื้อวัตถุดิบพวกนี้ที่อื่น จะต้องตกเป็นเป้าความสนใจจากการใช้ผลึกสีชาดจำนวนมากในครั้งเดียวแน่ หวังเป่าเล่อกล่าวอะไรกับอีกฝ่ายเล็กน้อย จากนั้นก็กลับออกไป


เซี่ยไห่หยางค่อยๆ ผุดยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ขณะมองหวังเป่าเล่อเดินออกจากร้านไป จากนั้นก็เริ่มหัวเราะ


ปฏิเสธเป็นศิษย์ปรมาจารย์แห่งไฟ หวังเป่าเล่อ…เหมือนว่าข้าจะต้องศึกษาภูมิหลังของเจ้าเพิ่มเสียแล้ว…


หวังเป่าเล่อไม่ได้หันหลังกลับมาขณะเดินไปตามทาง หากชายหนุ่มหันกลับมา เขากลัวว่าจะเห็นเซี่ยไห่หยางยืนอยู่ในร้านและจ้องมาที่ตน แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไรมากนัก ชายหนุ่มเดินอย่างไร้กังวลไปตามถนน เริ่มออกสำรวจตลาด อยากรู้ว่ามีอะไรน่าสนใจหรือเป็นประโยชน์ที่จะหาได้จากตลาดก่อนที่กลับออกไปหรือไม่


ชายหนุ่มเดินผ่านตลาด ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าไม่มีอะไรที่ต้องการ ขณะเดินกลับออกไป สายตาก็พลันเหลือบไปเห็น…หุ่นเชิดตัวหนึ่งวางอยู่ในร้าน!


รูปลักษณ์ของหุ่นเชิดทำให้หวังเป่าเล่อนึกถึงวานรเพชรที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาชะงักและเดินตรงไปยังร้าน


“นี่มัน…”


“นี่คือเรือบินรบเวทที่พังเสียหาย วัตถุดิบที่ต้องใช้ซ่อมแซมนั้นหายากเกินไปจึงถูกนำมาทิ้งเป็นขยะ สหายเต๋า เจ้าสนใจซื้อไปใช้ศึกษาค้นคว้าดูหรือไม่” ร้านที่ว่านี้เป็นร้านเล็กๆ มีเจ้าของร้านเฝ้าอยู่คนเดียว ไม่มีพนักงานอื่นใด ชายชราที่นั่งอยู่ในร้านสังเกตเห็นว่าหวังเป่าเล่อมองหุ่นเชิดอยู่เลยเสนอขายอย่างไม่กระตือรือร้นอะไร

 

 

 


บทที่ 833 ตระกูลเซี่ย!

 

“เรือบินรบเวทหรือ” แววตาหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความกังขา เขาก้าวเข้าไปมองใกล้ๆ ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัย เห็นได้ชัดว่าสัตว์ตรงหน้าคือหุ่นเชิด แต่กลับมีพลังชีวิตหลงเหลืออยู่ในร่าง


ระดับพลังปราณเหมือนจะไม่ได้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะอย่างเรือบินรบเวททั่วไป มันดูอ่อนแอกว่าพอสมควร


“เหมือนว่าสหายเต๋าจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวานรรากฐานนะ” ชายชราผู้ดูจะเบื่อหน่ายมองหวังเป่าเล่อก่อนจะหยิบถุงเล็กๆ ที่ทำจากหนังสัตว์ออกมาไว้ตรงปากและสูดหายใจเข้าปอด หลังจากนั้นเขาก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นกว่าเดิม


“ช่วยบอกข้าที สหายเต๋า” หวังเป่าเล่อพูดอย่างสุภาพขณะหันมากุมหมัดทักทาย เขาสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ ตอนที่เข้ามาในร้าน ชายชราดูไม่มีอะไรโดดเด่น สีหน้าก็ไม่กระตือรือร้นอะไร แต่หวังเป่าเล่อกลับสัมผัสระดับการฝึกตนของอีกฝ่ายไม่ได้ ถ้าไม่เพราะคนผู้นี้มีวัตถุเวทกล้าแกร่งกันไว้ ก็ต้องมีระดับการฝึกตนที่สูงกว่าตนเองมากเป็นแน่


ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด ชายชราย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่ แค่การมีร้านอยู่ในตลาดนี่ได้ก็พิสูจน์แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา


“วานรรากฐานไม่ใช่สิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ เป็นของที่สร้างขึ้นมาโดยตระกูลเซี่ย วานรพวกนี้เป็นผู้คุ้มกันตระกูลเซี่ยรวมถึงใช้เป็นเครื่องบอกตำแหน่ง พวกมันอาจดูเหมือนอยู่เพียงขั้นรากฐานตั้งมั่น แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของการผลิต วานรแต่ละตัวจะมีผนึกหลายระดับอยู่ในร่าง!


“ระดับการฝึกตนของวานรรากฐานจะเพิ่มไปถึงจุดสูงสุดของขั้นด้วยการปลดผนึกแต่ละอัน ส่วนเหตุผลที่ว่าเหตุใดถึงต้องเพิ่มระดับการฝึกตนเช่นนี้ และจะปลดผนึกได้อย่างไร มีแต่ตระกูลเซี่ยเท่านั้นที่รู้”


“ตัวตรงหน้าเจ้าเป็นของที่พังแล้ว ข้าจึงได้มาไว้ในครอบครอง ผนึกทั้งสี่ถูกปลดไปแล้ว แต่การจะซ่อมได้ ข้าต้องการวัตถุดิบ แล้วก็ต้องหาวิธีจัดการให้มันทำงานได้ มันถึงเป็นเหมือนขยะ ถ้าไม่ได้พัง ตระกูลเซี่ยคงเรียกเก็บกลับไปแล้ว” ชายชรากลับไปเซื่องซึมเหมือนเดิม เขายกถุงหนังสัตว์ขึ้นมาสูดอีกครั้ง


ชายชราเห็นหวังเป่าเล่อมองมาตอนที่เงยหน้าขึ้น จึงฉีกยิ้มกว้างให้ขณะถือถุงหนังสัตว์ในมือ


“อันนี้ก็ไม่รู้อีกหรือว่าคืออะไร เจ้ามาจากดาวเคราะห์บ้านนอกหรืออย่างไรกัน นี่คือถุงทอง สูดเข้าไปหนึ่งครั้งจะทำให้เจ้าครื้นเครงกว่าทวยเทพ เจ้าจะเห็นสิ่งแปลกตาในหัว ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคนบาปไหนเป็นคนสร้างขึ้น แต่ก็เป็นของดีทีเดียว ข้าคิดว่าน่าจะมาจากดินแดนนอก…”


ชายชราสูดถุงทองต่อขณะคุยกับหวังเป่าเล่อ คำพูดช่วงท้ายเริ่มฟังดูไร้สาระขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจที่เอีกฝ่ายพูด เขาจ้องไปยังหุ่นเชิดวานรเพชรตรงหน้า ภาพเจ้าเพชรน้อยปรากฏขึ้นในหัว ทุกอย่างชี้ไปที่จุดเดียว วานรเพชรในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์น่าจะเป็นวานรรากฐาน


เซี่ยไห่หยางเคยไปโผล่ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์…ทุกอย่างเข้าเค้าหมด ผ่านไปครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ถามขึ้นอย่างปุบปับ “ตระกูลเซี่ยทรงอำนาจขนาดนั้นเลยหรือ”


“ตระกูลเซี่ย…ทั้งตลาดนี้เป็นของตระกูลเซี่ย มีตลาดเช่นนี้อีกเป็นล้านในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ตระกูลไม่รู้สิ้นติดหนี้ตระกูลเซี่ยจำนวนมาก นี่ช่วยตอบคำถามเจ้าได้ไหม” ชายชราวางถุงทองลงเมื่อได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อ เขาหันไปจ้องชายหนุ่มด้วยแววตาว่างเปล่า


หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาคิดมาตลอดว่าเซี่ยไห่หยางไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนใหญ่โตถึงเพียงนี้


“เซี่ยไห่หยางเสแสร้งเก่งเสียจริง” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาอยากจะถามอะไรชายชราต่อ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีอารมณ์ตอบ หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มก็หันไปมองหุ่นเชิดวานรรากฐานอย่างพินิจพิเคราะห์และถามชายชราเรื่องราคา เขาไม่ได้พยายามต่อรองและได้หุ่นเชิดมาในราคาสิบผลึก


ชายชราอารมณ์ดีขึ้นทันใดเพราะได้ขายวานรรากฐานไปในราคางามทีเดียว เขาสูดถุงทองและเดินเข้าไปเสนอกระเป๋าคลังเก็บที่เอาไว้เก็บหุ่นเชิด


หวังเป่าเล่อปลาบปลื้มกับความรู้สึกที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพราะความรวย ก่อนจะกระแอมกระไอ รับกระเป๋าคลังเก็บที่ใส่หุ่นเชิดมา และถามขึ้นเสียงเรียบ “ข้าอยากรู้ว่าตระกูลเซี่ยทำธุรกิจอย่างไร เป็นธุรกิจแบบไหน ท่านรู้อะไรบ้าง”


ชายชรานับผลึกสีชาดและเก็บไป ใบหน้าของเขาเรื่อสีแดงขณะหัวเราะและบอกหวังเป่าเล่อทุกอย่างที่รู้


“ตลาดพวกนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของธุรกิจรูปแบบหนึ่งของตระกูลเซี่ย พวกเขามีธุรกิจสามแบบ อย่างแรกคือวางตลาดอารยธรรมและพัฒนาดาวเคราะห์เป็นแหล่งท่องเที่ยว ดาวเคราะห์เหล่านี้กลายเป็นสถานที่ให้ผู้คนได้ไปเสพความบันเทิง พวกเขาขาย…วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายด้วย วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับเดินทางข้ามอารยธรรมล้วนสร้างโดยตระกูลเซี่ย ธุรกิจแบบที่สาม…น่าสนใจเลยทีเดียว เป็นเสาค้ำจุนตระกูลเซี่ย!”


“พวกเขา…ลงทุนกับคนที่น่าจะกลายเป็นผู้ฝึกตนทรงพลังในอนาคต!” ชายชรามีสีหน้าซ่อนเงื่อนงำบางอย่างไว้เมื่อพูดเช่นนั้นออกไป


จากนั้นเขาก็กระซิบต่อ “ข้าได้ยินมาว่าตระกูลไม่รู้สิ้นสร้างอาณาจักรได้ก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ย…ข้าได้ยินมาอีกว่าตระกูลเซี่ยประเมินความสามารถของลูกหลานตนเองจากการดูว่าการลงทุนของพวกเขาทรงพลังขึ้นมาแค่ไหน”


ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงขึ้นรางๆ เขาถามคำถามต่ออีกเล็กน้อย จากนั้นก็กุมหมัดให้ชายชราและออกจากร้านไป คลื่นความรู้สึกถาโถมใส่ชายหนุ่มระหว่างทางกลับ


เขามั่นใจว่าเซี่ยไห่หยางเป็นคนในตระกูลเซี่ยและค่อนข้างมั่นใจว่าวานรเพชรในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เป็นวานรรากฐานที่ทำหน้าที่เป็นตัวบอกพิกัด


ท่าทีของเซี่ยไห่หยางที่มีต่อเขา…ไม่ต้องอธิบายอะไรอีก ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าตนเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่เซี่ยไห่หยางป้อนทรัพยากรให้เพื่อลงทุน


เซี่ยไห่หยางรสนิยมดีทีเดียว หวังเป่าเล่อลูบคางและหรี่ตาลง ข้อมูลที่แลกมาด้วยผลึกสีชาดสิบผลึกนั้นช่างคุ้มค่ายิ่งนัก ชายหนุ่มตระหนักแล้วว่าเหตุใดเซี่ยไห่หยางถึงจดจำตัวเขาได้ในทันที นั่นก็เพราะอีกฝ่ายลงทุนกับตน ซึ่งต้องมีวิธีลับบางอย่างในการตามหาตัวหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว


เขาเข้าใจว่าเหตุใดเซี่ยไห่หยางจึงพยายามทำเช่นนั้นให้ได้ เพราะไม่มีใครอยากให้การลงทุนของตัวเองล้มเหลว ชายหนุ่มเองก็คงทำไม่ต่างถ้าตนเป็นเซี่ยไห่หยาง ที่สำคัญคือ…หวังเป่าเล่อจะได้อะไรจากเรื่องนี้!


ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นจากการติดต่อกับอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงหลังจากครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ แม้แต่ละสายพันธุ์จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่กฎที่ใช้ปกครองจักรวาลยังคงเหมือนกันไม่ว่าจะมาจากที่ใด จะกรณีใด…เขาก็แค่ต้องทำให้มั่นใจว่าเซี่ยไห่หยางจะคอยป้อนทรัพยากรให้ ถ้าเซี่ยไห่หยางลงทุนกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ…แล้วมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เซี่ยไห่หยางก็ต้องเป็นกังวลไปด้วยเช่นกัน!


ข้าต้องบีบให้เขาทำตาม หวังเป่าเล่อยิ้ม รู้สึกเสียดายเล็กน้อย คงจะดีกว่านี้ถ้าเซี่ยไห่หยางเป็นผู้หญิง


หวังเป่าเล่อออกจากตลาดไปด้วยความคิดแง่บวก พอออกไปด้านนอกตลาด ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบก เกราะมหาจักรพรรดิปรากฏขึ้นกลางอากาศในทันทีก่อนจะแปลงโฉมเป็นเรือบินรบเวท


เรือบินรบเวทมีรูปลักษณ์แตกต่างออกไปจากเดิม มันดูน่าเกรงขาม และมีพลังอำนาจสุดแข็งแกร่งเอ่อล้นออกมาจากเรือบินรบตั๊กแตน


หวังเป่าเล่อสำรวจเรือบินรบเวทที่เปลี่ยนโฉมไป ก่อนจะขึ้นเรือบินรบไปอย่างสุขใจ เสียงกัมปนาทดังขึ้นเมื่อเขาบังคับตั๊กแตนออกสู่ห้วงอวกาศ!


คงเป็นเพราะเรือบินรบเวทเงียบผิดปกติ หวังเป่าเล่อจึงเริ่มมองรอบๆ จากนั้นเขาก็ต้องเบิกตากว้าง


ข้าลืมเจ้าลากับเจ้าอู๋น้อยไปเสียสนิท!


คิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มรีบปล่อยเจ้าอู๋น้อยและจ้าลาออกมา ที่ผ่านมาทั้งสองนั่งอยู่ในเรือบินรบทำลายตัวเองในกระเป๋าคลังเก็บ


เจ้าอู๋น้อยดูงุนงงเมื่อปรากฏตัว ขณะที่เจ้าลาวิ่งไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง มันร้องใส่หวังเป่าเล่อไม่หยุด ราวกับกำลังบ่นว่าการติดอยู่ในเรือบินรบนานขนาดนั้นทำให้มันเป็นบ้าไปเช่นไร


หวังเป่าเล่อรู้สึกผิดเล็กน้อยในตอนแรกที่ขังเจ้าลาไว้เนิ่นนานเป็นครั้งที่สอง แต่เมื่อเจ้าลาร้องใส่ชายหนุ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยท่าทีไม่พอใจ หวังเป่าเล่อก็เริ่มรู้สึกว่าเจ้าลาต้องโดนสั่งสอนเสียบ้างจึงจ้องกลับไป


“หยุด ที่ทำไปก็เพื่อตัวเจ้า ดูซิว่าข้างนอกอันตรายแค่ไหน อีกอย่างเจ้าก็ไม่ใช่โดนขังไว้นานตัวเดียว!”


“ดูซิว่าเจ้าอู๋น้อยทำตัวดีแค่ไหน!” หวังเป่าเล่อชี้ไปทางเจ้าอู๋น้อยและมองไปที่เด็กหนุ่ม เจ้าอู๋น้อยหันมามองหวังเป่าเล่อด้วยแววตางุนงง


เมื่อเห็นสภาพเจ้าอู๋น้อย หวังเป่าเล่อก็รู้สึกอายขึ้นไปอีก สงสัยจะขังไว้เสียนานจนเอ๋อไปแล้ว หวังเป่าเล่อจ้องเจ้าลาที่กำลังทำหน้าตาน่าสงสาร เขาไอเขินๆ แล้วโยนศิลาวิญญาณชั้นสูงสุดก้อนหนึ่งให้มันเป็นของว่าง


เจ้าลาแค่นเสียงทางจมูกแล้วหันหน้าหนี ไม่มองของว่างแม้แต่น้อย


“หืม ทำเป็นต่อต้านอย่างนั้นหรือ ย่อมได้” หวังเป่าเล่อมองเจ้าลา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเรียกศิลาวิญญาณออกมาอีกสิบก้อน เจ้าลาตัวสั่นเทิ้ม เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามห้ามใจตัวเอง ชายหนุ่มโบกแขนอีกครั้ง เรียกศิลาวิญญาณชั้นสูงสุดอีกร้อยก้อนมากองเป็นภูเขาย่อมๆ อยู่ตรงหน้าเจ้าลา


ตาของเจ้าลาแทบจะหลุดออกจากเบ้า น้ำลายไหลเยิ้ม แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้มันจะแข็งข้อ เจ้าลาหันหน้าหนีอีกครั้งทำให้หวังเป่าเล่อต้องถอนหายใจ ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นจะเก็บศิลาและเดินหนีไป เจ้าลาเริ่มตื่นตระหนกทันใด รีบวิ่งไปหากองศิลาตรงหน้าและกินอย่างมูมมาม เหมือนว่ามันจะไปได้นิสัยส่ายหางตอนกินมาจากที่ใดก็ไม่รู้


หวังเป่าเล่อหัวเราะกับภาพตรงหน้า เขาเลิกสนใจเจ้าลาและหันไปเคี้ยวขนมกินอย่างสุขใจ จากนั้นก็นั่งลงและเริ่มวางแผนเสริมกำลังกองทัพระหว่างเดินทางกลับระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์!


ข้าต้องเร่งมือตอนที่กลับไปถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…เพื่อหาทางเอาวิชาดวงเนตรปีศาจที่สมบูรณ์มาให้ได้เร็วที่สุด! ชายหนุ่มหรี่ตาลงเมื่อนึกถึงตัวตนตะกละที่อยู่ในวิชาดวงเนตรปีศาจของตน แววเย็นเยียบฉายวาบขึ้นในดวงตา

 

 

 


บทที่ 834 วิชาหลอมดาราพิภพทมิฬ!

 

“อย่างแรก เรือบินรบทำลายตัวเอง…” หวังเป่าเล่อพึมพำขณะนั่งลงในเรือบินรบเวท หลังจากระบุเส้นทางให้เรือบินรบเวทเสร็จ เขาก็นวดหน้าผาก ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัว


พวกเขาต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะกลับไปถึงระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ ดูจากระยะทางที่พวกเขาเดินทางออกมา น่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือนในการเดินทางกลับ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับชายหนุ่มในการสร้างคลังแสงกลับมาใหม่


สร้างเรือบินรบทำลายตัวเองนั้นง่าย ข้ามีหุ่นเชิดมากมายให้สั่งการ สิ่งสำคัญที่สุดคือทำให้การระเบิดทำลายตัวเองแต่ละครั้งสร้างความเสียหายได้สูงสุด แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกัน ถ้าใช้วัสดุคุณภาพดีขึ้นในการสร้าง พลังระเบิดก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว


อีกอย่าง ข้ายังมีโล่สวรรค์พิพากษาอยู่อีก… หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอะไร เขาก็เริ่มงาน ด้วยการเรียกหุ่นเชิดมากมายออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ และกลับเข้าสู่การถือสันโดษ


เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เรือบินรบใหม่เอี่ยมขนาดเล็กหลายร้อยลำปรากฏขึ้นด้านหลังเรือบินรบเวท กองเรือบินรบนี้มีสีดำ พวกมันแผ่พลังวิญญาณที่ค่อนข้างแข็งแกร่งออกมา แต่ละลำนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์


วันคืนผ่านไป จำนวนของเหล่าเรือบินรบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อัตราการผลิตก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากไม่กี่ร้อยลำขยับไปเป็นไม่กี่พันลำในทุกๆ วัน


สองสัปดาห์ผ่านไป กองทัพเรือบินรบกว่าหมื่นลำลอยตามหลังเรือบินรบเวท แต่ละลำมีโล่สวรรค์พิพากษาติดตั้งไว้ ดูแล้วช่างเป็นภาพอันน่ายำเกรงนัก เหล่านักเดินทางจากอารยธรรมอื่นต่างสั่นกลัวเมื่อเห็นกองเรือบินรบ พวกเขารีบไปซ่อนตัวและหวังว่ากองเรือบินรบนั้นจะไม่สังเกตเห็น


การกระทำของคนเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร…นอกจากเรือบินรบขั้นจุติวิญญาณสุดแข็งแกร่งกว่าหมื่นลำแล้ว หวังเป่าเล่อยังทุ่มผลึกสีชาดพันก้อน…เพื่อสร้างเรือบินรบสมรรถนะสูงอีกพันลำที่สามารถปล่อยพลังขั้นเชื่อมวิญญาณออกมาเมื่อระเบิดทำลายตัวเอง!


เรือบินรบเหล่านี้มีลักษณะไม่ต่างจากเรือบินรบลำอื่นๆ ในกองทัพของหวังเป่าเล่อ ถ้าไม่ดูให้ละเอียดก็ไม่ทางแยกออกได้ เมื่อเรือบินรบพวกนี้มารวมกันเป็นกองทัพใหญ่ก็ย่อมถือเป็นภัยคุกคามต่อทุกคนในพื้นที่


กองเรือบินรบของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันดูแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ แข็งแกร่งกว่ากองทัพในตอนเริ่มต้นของเขาเสียอีก นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังมีเกราะมหาจักรพรรดิที่ช่วยเสริมพลังให้เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นทั่วไปไม่มีทางเทียบชั้นเขาได้ ถึงคู่ต่อสู้จะมีเรือบินรบเวทก็ไม่ได้รับประกันว่าจะล้มชายหนุ่มลงได้หรือไม่


ถ้าคู่ต่อสู้ไม่มีเรือบินรบ หวังเป่าเล่อก็พร้อมสู้ด้วยมือเปล่า แม้ว่าคู่ต่อสู้จะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางก็ตาม อย่างไรเสีย เขาก็มีแผ่นหยกที่ปรมาจารย์แห่งไฟผนึกคำสาปไว้ก่อนจะมอบให้


ทุกสิ่งรวมกันทำให้ชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ คงจะเกินเลยไปถ้าจะบอกว่าเขาสามารถครองจักรวาลได้โดยง่าย จะพอดีกว่าถ้าเรียกว่าเป็นดาวรุ่งในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์


เขาหลอมโล่สวรรค์พิพากษาขึ้นมาใหม่ด้วยเช่นกัน เพื่อกันไม่ให้เกิดเรื่องเหมือนในอดีตขึ้น หวังเป่าเล่อจึงใช้วัตถุดิบจำนวนมากไปเพื่อหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสำหรับใช้งานส่วนตัว ชายหนุ่มหลอมขึ้นมาร้อยชิ้นในทีเดียว!


“ด้วยอำนาจของเงินตรา!” หวังเป่าเล่อหัวเราะหลังจากพบว่าตอนนี้ตนแข็งแกร่งเพียงใดจากคลังอาวุธและวัตถุเวทที่มี เจ้าลาร้องขึ้นมา เริ่มขอของกิน มันร้องดังขึ้นอีกหลังจากได้ศิลาวิญญาณขั้นสูงสุดจากหวังเป่าเล่อมาจำนวนหนึ่ง


ส่วนเจ้าอู๋น้อยนั้นยังคงมึนงงอยู่ ดวงตาของเขาดูเลื่อนลอย เหมือนกำลังพิจารณาชีวิตว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน ตอนนี้กำลังจะไปไหน


เจ้าเด็กนี่…ช่างน่าสงสาร หวังเป่าเล่อถอนหายใจและหันมองเจ้าอู๋น้อย เขาตระหนักว่าตนโหดร้ายกับเด็กหนุ่มเกินไป แต่ชีวิตคือการฝึกตน ต้องผ่านความยากลำบากเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง


เด็กน้อย ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้า เจ้ายังต้องฝึกฝนอีกมาก ไม่เป็นไร บิดาจะคอยช่วยเจ้าเอง หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอและหันมองไปทางอื่น หลังจากคำนวณว่าต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ในการเดินทางกลับเสร็จ เขาก็หยิบมือครึ่งซีกของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นออกมา


บนมือมีนิ้วอยู่เพียงสามนิ้วซึ่งกลายเป็นสีดำไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่ได้เน่าเปื่อยแต่อย่างใด ยังคงมีพลังระดับดาวพระเคราะห์เอ่อล้นอยู่ภายใน แค่มองมือที่ว่าก็ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกหายใจไม่ออก ถึงจะไม่ได้แย่เท่าตอนประจันหน้ากับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ แต่ก็ยังถือว่าแย่เลยทีเดียว


แต่ละส่วนของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์แข็งแกร่งเช่นนี้หรือไม่นะ… หวังเป่าเล่อศึกษามือครึ่งซีกอย่างจริงจัง เขาคิดจะหลอมมันเข้ากับเกราะมหาจักรพรรดิเพื่อที่อาจจะได้พลังระดับดาวพระเคราะห์มาเสริมสักเล็กน้อย


แต่วิธีที่ว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย ถือเป็นการใช้มือครึ่งซีกไปอย่างเปล่าประโยชน์ หวังเป่าเล่อไม่รู้จะทำเช่นไร หลังจากครุ่นคิดสักพักก็วางมือครึ่งซีกลงและหยิบแหวนคลังเวทออกมา


ข้าต้องบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์ก่อนหรือจึงจะสามารถปลดผนึกสิ่งนี้ได้ จะมีของล้ำค่าอยู่ข้างในจริงไหม…ถ้าไม่มีทางอื่นแล้ว ข้าน่าจะถามวิธีคลายผนึกได้จากเซี่ยไห่หยาง หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เขาปล่อยหัวให้โล่ง ขณะที่กำลังจะเริ่มศึกษาแหวนอย่างละเอียดก็ได้ยินเสียงหายใจถี่หนัก ชายหนุ่มเงยหน้ามองอย่างแปลกใจและเห็นเจ้าลายืนอยู่ใกล้ๆ มันกำลังจ้องแหวนคลังเวทในมือเขาอยู่ตาไม่กะพริบ


น้ำลายไหลเยิ้มลงพื้นจนเป็นแอ่ง…


ดวงตาของเจ้าลาแดงก่ำ มันพุ่งใส่หวังเป่าเล่อทันใด ก่อนจะอ้าปาก หมายกัดกินแหวนคลังเวท


เสียงสนั่นดังขึ้นเมื่อเจ้าลากัดอากาศเข้าไป!


ถ้าหวังเป่าเล่อตอบสนองไม่ทันกาลคงจะโดนเจ้าลากัดมือไปแล้ว คิดได้เช่นนั้นเขาก็ขุ่นเคืองขึ้นมา ขณะกำลังจะลุกยืนขึ้น เจ้าลาก็พุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มอีกครั้ง ตอนนี้มันสนใจแค่แหวนคลังเวท พร้อมจะสู้เพื่อแหวนอีกสักครา


“เจ้าจะแข็งข้อกับข้าอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มเตะอัดเข้าที่ท้องของเจ้าลา มันกรีดร้องลั่นขณะกระเด็นออกไปไกล


อาจจะดูเหมือนเป็นลูกเตะที่รุนแรง แต่หวังเป่าเล่อก็คุมพลังตัวเองไว้อยู่ ตั้งใจจะทำให้มันแค่ถอยห่างออกไป ไม่ได้หมายจะทำร้ายอะไร ลูกเตะของเขาเหมือนช่วยเรียกสติเจ้าลากลับมาได้ มันหมอบกับพื้นและมองชายหนุ่มด้วยแววตาน่าสงสาร เหมือนจะตระหนักแล้วว่าตนเองได้ทำอะไรไม่ดีไป ถึงกระนั้น…น้ำลายก็ยังไหลออกจากปากไม่หยุด


หวังเป่าเล่อเหลือบมองเจ้าลา จากนั้นก็ก้มมองแหวนคลังเวทในมือ แววผิดแปลกฉายวาบขึ้นในตา เขารู้นิสัยเจ้าลาดี มันเขมือบวัตถุดิบมามากมายตั้งแต่ยังเล็กและเริ่มเลือกกินมากขึ้น นอกจากนี้ยังดมกลิ่นวัตถุดิบชั้นสูงได้ดีมาก พฤติกรรมตะกละตะกลามเมื่อครู่บ่งบอกว่า…มีของล้ำค่ามากๆ อยู่ในแหวนคลังเวท


ข้าได้ของดีมาอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหายติดขัด จากนั้นก็เงยหน้าจ้องเจ้าลา เขาขยายสัมผัสวิญญาณไปสื่อสารกับมัน


เจ้าลาอธิบายรายละเอียดสิ่งของข้างในแหวนไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของมัน มีพลังบางอย่างด้านในแหวนที่ทำให้เจ้าลาคลุ้มคลั่ง เป็นพลังที่ทำให้มันขาดสติและดึงเอาสัญชาตญาณดิบออกมา ทำให้มันกล้าอวดดีกับบิดาผู้นำสหพันธรัฐผู้หล่อเหลาและเยี่ยมยอด


“พอแล้ว ยังจะมาประจบประแจงอีก ช่างตะกละเสียจริง!” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงใส่ เขาตัดสินใจว่าคงเอาแหวนให้เซี่ยไห่หยางไม่ได้ ทางที่ปลอดภัยที่สุดคือคลายผนึกแหวนด้วยตัวเองตอนที่แข็งแกร่งขึ้นแล้ว เขากำลังจะเก็บแหวนและมือระดับดาวพระเคราะห์เข้ากระเป๋าคลังเวท แต่เจ้าอู๋น้อยที่มึนงงอยู่เงียบๆ ก็พูดขึ้นก่อน


“บิดาข้า ข้ารู้วิธีหลอมมือนี้ให้กลายเป็นวัตถุเวททรงพลัง สามารถปลดปล่อยพลังเทียบเท่าการโจมตีของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ข้าบอกท่านได้ แต่ข้าอยากให้ท่านทำอะไรให้ข้าอย่างหนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยน…”


“หืม” หวังเป่าเล่อหันไปทางเจ้าอู๋น้อยและหรี่ตามองทันที เขาพยายามเดาภูมิหลังของเด็กหนุ่ม ลองค้นในวิญญาณก็ไม่เจอความทรงจำอะไร ที่รู้ก็คือเคล็ดวิชาหลอมที่เจ้าอู๋น้อยให้มานั้นเป็นเคล็ดวิชาที่แกร่งกล้ามาก


หรือว่าจะเป็นองค์ชายจากที่ไหนสักแห่งจริงๆ หวังเป่าเล่อกะพริบตา แต่ก็คงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก องค์ชายควรมีลักษณะเหมือนหวังเป่าเล่อต่างหาก


“เจ้าอู๋น้อย เป็นเด็กดีแล้วบอกบิดามา ข้าสัญญาณว่าต่อไปจะไม่ขังเจ้าไว้อีกแล้ว” หวังเป่าเล่อผุดยิ้มเมื่อคิดเช่นนั้น เขามองเจ้าอู๋น้องอย่างอ่อนโยนและพูดกับอีกฝ่าย


เจ้าอู๋น้อยมองใบหน้ายิ้มแย้มของหวังเป่าเล่อด้วยความลังเลใจ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กัดฟันตอบ “บิดาข้า เคล็ดวิชาหลอมอาวุธเวทนี้มีชื่อว่าวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬ!”


“ว่ากันตามทฤษฎีแล้วสามารถใช้หลอมดาวเคราะห์และดวงดาวได้…” อู๋น้อยยื่นมือขวาหยิบแผ่นหยกออกมา เด็กหนุ่มลงผนึกไว้และโยนให้หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรับแผ่นหยกมาและใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจดู ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันใด ความตื่นตะลึงถาโถมเข้าใส่ห้วงความคิด เขาเงยหน้ามองเจ้าอู๋น้อย


“เจ้าอยากให้ข้าทำสิ่งใด”


“สัญญาว่าจะส่งข้ากลับบ้านตอนที่ข้าร้องขอท่าน!”

 

 

 


บทที่ 835 เปลวเพลิงดารานิรันดร์!

 

ในความคิดของหวังเป่าเล่อ วิชาหลอมดาราพิภพทมิฬช่างเป็นวิชาหลอมที่เหลือเชื่อ แม้จะมีความชำนาญสูงส่งในการหลอม ชายหนุ่มก็แทบอ่านบทแรกของตำราอันยอดเยี่ยมนี้ไม่เข้าใจ


วิชาการหลอมดาราพิภพทมิฬมีด้วยกันเก้าบท อัดแน่นไปด้วยความรู้และปรีชาญาณ บทที่แปดนั้นกล่าวถึงความเป็นไปได้ในการหลอมจักรพิภพเต๋าขึ้นมา จักรพิภพเต๋าจะกลายเป็นอาณาเขตส่วนตัวของผู้หลอม ผู้ฝึกตนผู้ก็จะขึ้นไปอยู่บนจักรวาลและบรรลุมหาเต๋าขั้นสูงสุด


แม้ว่าการฝึกปราณจักรพิภพจะกลายมาเป็นเสมือนวิถีชีวิตของหวังเป่าเล่อ แม้ว่านิยายปรัมปราและตำนานต่างๆ ก็ไม่ได้ดูเหลือเชื่อเช่นก่อน และแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะฟังเรื่องราวเหล่านั้นด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ชายหนุ่มก็อดคิดไม่ได้ว่า…จักรพิภพเต๋าที่ถูกกล่าวถึงในบทที่แปดนั้นเป็นเพียงเรื่องราวเล่าขานเท่านั้น


เนื้อหาของบทที่เก้ายิ่งบ้าบอไปกันใหญ่ บทนั้นพูดถึงจักรพิภพแห่งหนึ่งที่ทุกสรรพชีวิตมีพลังในการทำลายชีวิตอื่นลงได้อย่างง่ายดาย


ผู้แต่งบทนี้อาจจะกังวลว่าอธิบายได้ไม่ชัดเจนเพียงพอ จึงใส่ตัวอย่างมาให้ด้วยง ตัวอย่างเช่น คนๆ หนึ่งสามารถวาดรูปคนอีกคนหนึ่งลงบนกระดาษ ก่อนจะตัดรูปวาดนั้นเสีย ผู้ที่ถูกวาดไม่อาจทัดทานอะไรได้ คนคนหนึ่งสามารถถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ราวกับเป็นกระดาษได้ ต่อให้วาดสิ่งอื่นนอกเหนือจากมนุษย์ลงไป ไม่ว่าจะเป็นอสูรที่น่าสะพรึงกลัวหรือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุด ผลของมันก็จะออกมาเหมือนกัน ผู้วาดสามารถทำลายชีวิตที่วาดลงไปได้อย่างง่ายดายดุจเดียวกัน


วิธีการทำสิ่งที่พูดถึงในบทที่เก้าฟังดูราวกับเป็นฝันที่ก่อร่างขึ้นมาจากอากาศธาตุ ที่คนสามารถแปลงกายสิ่งต่างๆ จากรูปวาดขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตได้ภายในจักรพิภพที่แยกออกไปนั้น


หวังเป่าเล่ออ่านจบก็ถึงกับผงะ เคล็ดวิชาฝึกตนที่ว่านี้ดูบ้าคลั่งสิ้นดี แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งก็ไม่สำคัญ ชายหนุ่มยังไม่อยู่ในระดับปราณที่จะฝึกวิชาเหล่านั้นได้ มันยังถือเป็นเรื่องเกินเอื้อมสำหรับเขาในตอนนี้ แต่กระนั้น หวังเป่าเล่อก็อดไม่ได้ที่จะคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้แต่งกล่าวไว้ในบทที่เก้า ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งคู่ของเขาสุกสว่างราวกับว่าสามารถมองทะลุกำแพงเรือบินรบเวทออกไปสู่จักรวาลอันไกลโพ้นในเบื้องนอกได้


ครู่ใหญ่ต่อมา หวังเป่าเล่อก็หันไปหาเจ้าอู๋น้อยอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากถาม “เจ้ามาจากที่ใดกัน”


เจ้าอู๋น้อยกะพริบตา ก่อนจะลุกขึ้นยืนและสะบัดชายเสื้อออกไปด้านข้างอย่างแผ่วเบา ดวงตาของเด็กหนุ่มไม่ได้ดูเลื่อนลอยอีกต่อไป กลับมีสีหน้าที่สุขุมและตั้งมั่นแทนที่ แววตาของเขาส่องสว่างไปด้วยแสงประหลาด ในวินาทีนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่ใช่เจ้าอู๋น้อย ผู้ที่เรียกหวังเป่าเล่อว่าท่านบิดาอีกต่อไป แต่เขาคือผู้ฝึกตนปริศนา


“ข้าบอกท่านไปแล้ว ข้าคือองค์ชายแห่งอาณาจักรพิภพทมิฬ ท่านไม่ควรถามว่าข้าเป็นใคร แต่ว่า…ควรจะถามว่าอาณาจักรพิภพทมิฬนั้นอยู่ที่ใดจะดีกว่า!”


หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “อาณาจักรพิภพทมิฬอยู่ที่ใดกัน”


“ท่านไม่ควรถามเช่นนั้น ท่านควรจะถามว่า อาณาจักรพิภพทมิฬนั้นอยู่ที่นี่ ในจักรพิภพเต๋าแห่งนี้หรือไม่!” รัศมีของเจ้าอู๋น้อยแปรเปลี่ยนไปขณะที่พูด เห็นได้ว่ามีความหยิ่งทนงซุกซ่อนอยู่ภายในกายของเด็กหนุ่มและต้นกำเนิดของเขาที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่


เจ้าลาเองก็ตาเบิกโพลง เหมือนจะอ้าปากอยู่เล็กน้อยด้วย มันหันกลับไปจ้องมองเจ้าอู๋น้อยด้วยสายตาลุ่มลึกเปี่ยมความหมาย ราวกับว่ากำลังจับจ้องเข้าไปในวิญญาณของอีกฝ่ายกระนั้น


หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาช้าๆ “อาณาจักรพิภพทมิฬที่แท้จริงอยู่ที่ไหน”


“ท่านไม่ควรถามคำถามนั้น…”


“ข้าไม่สนใจแล้ว!” หวังเป่าเล่อระเบิดโทสะขึ้นมาก่อนที่เจ้าอู๋น้อยจะทันพูดจบ ชายหนุ่มยอมอดทนกับสองครั้งที่ผ่านมา แต่เจ้าเด็กน้อยนี่ช่างวอนหาเรื่องเสียแล้ว หวังเป่าเล่อจ้องหน้าเด็กหนุ่ม ก่อนจะเตะเข้าให้ทีหนึ่ง


เจ้าอู๋น้อยร้องลั่นขณะที่ลอยละลิ่วไปไกล แต่ก็ยังคงหนังเหนียวจึงไม่ได้รับบาดเจ็บจากลูกเตะแต่อย่างใด แต่แรงเตะก็ยังทำเอาเจ็บพอสมควร ก่อนเรียกเอาความทรงจำที่ถูกหวังเป่าเล่อกระทืบในครั้งแรกให้หวนคืนมาในใจเมื่อคราวที่หวังเป่าเล่อบีบบังคับให้เรียกว่าท่านบิดา เด็กหนุ่มตัวสั่นงันงกก่อนจะกลับเป็นคนเดิมทันที เจ้าอู๋น้อยรีบทำสีหน้าประจบประแจงก่อนจะกุลีกุจอพูดอย่างแทบไม่มีทางเลือก


“ท่านบิดา อย่าโกรธสิขอรับ ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำผิดมหันต์ ข้าไม่ได้มาจากอาณาจักรพิภพทมิฬหรอก ข้าเป็นแค่หนึ่งในองค์ชายหลายคนจากอาณาจักรเล็กๆ เท่านั้น แผ่นหยกนั้นเป็นสมบัติของอาณาจักรของเรา ข้าขโมยมันมา…” ใบหน้าของอู๋น้อยเหี่ยวย่นลงจนน่าสงสารขณะที่เด็กหนุ่มอธิบายที่มาที่ไปของแผ่นหยกให้หวังเป่าเล่อฟัง


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกดีขึ้นมาก คำถามควรจะได้รับคำตอบเช่นนี้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่เชื่อสิ่งที่เจ้าอู๋น้อยพูด ชายหนุ่มยังคงสงสัยเรื่องต้นกำเนิดของอีกฝ่าย ยังมีข้อมูลซึ่งระบุไว้ในบทที่เก้าของวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬที่เขายังต้องครุ่นคิด…มันทำให้เขาตื่นตะลึงเป็นอันมาก แถมยังทำให้มองเจ้าอู๋น้อยไม่เหมือนเดิมอีกด้วย


เจ้าหนุ่มนี่มาจากจักรพิภพที่บทที่เก้าเอ่ยถึงหรือเปล่านะ ไม่น่าเป็นไปได้ เขาอ่อนแอเหลือเกิน


หวังเป่าเล่อคิดเช่นนั้นอยู่ในใจก่อนจะที่ครุ่นคิดเรื่องวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬต่อไป เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ชายหนุ่มก็เลิกสนใจเจ้าอู๋น้อยก่อนจะหันมานั่งลง จับจ้องไปที่แผ่นหยกในมือและเริ่มอ่านข้อมูลในบทที่หนึ่ง


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าหนึ่งเดือนก็ผ่านไป ในเดือนหนึ่งนั้น กองเรือขนาดมหึมาของหวังเป่าเล่อก็เดินทางข้ามจักรพิภพต่างๆ มากมาย และได้พานพบนักเดินทางข้ามจักรพิภพหลายกลุ่ม ทุกๆ กลุ่มนั้นเหมือนกันตรงที่ต่างพากันตื่นกลัวเมื่อสัมผัสได้ถึงตัวตนของกองทัพของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อกองกำลังนั้นจากไป


หวังเป่าเล่อไม่มีอารมณ์จะสนใจบรรดาคนแปลกหน้า ชายหนุ่มกำลังจมอยู่กับบทแรกของวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬ เขาหมดเวลาทั้งเดือนไปกับการอ่านบทนั้นแต่กลับเพิ่งเข้าใจส่วนเล็กๆ ได้เพียงส่วนเดียว


ส่วนเล็กๆ ที่ว่าพูดถึงการหลอมผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ให้เป็นวัตถุเวท


“ข้าอยากได้ดารานิรันดร์สักดวงหนึ่งเสียจริง!” หวังเป่าเล่อพึมพำ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองออกไปยังจักรวาลเบื้องนอกเรือบินรบเวทของตน สัมผัสเทพของเขาแผ่กระจายออกไปในอวกาศ แผ่ไพศาลไปจนถึงจักรวาลอันกว้างใหญ่เบื้องนอก หวังเป่าเล่อดึงแผนที่ดวงดาวออกมาศึกษาอย่างถี่ถ้วน จากนั้นจึงเปลี่ยนทิศทางเรือบินรบเวทก่อนจะมุ่งหน้าไปยังดารานิรันดร์ที่ใกล้ที่สุดอย่างเต็มกำลัง


กองกำลังของหวังเป่าเล่อเดินทางเจ็ดวันก่อนจะไปถึงจักรพิภพเป้าหมาย มีอารยธรรมอยู่ในจักรพิภพนั้นด้วย แต่ยังเป็นอารยธรรมที่ล้าหลัง จึงไม่อาจสัมผัสการมาถึงของหวังเป่าเล่อได้ ชายหนุ่มไม่ได้มุ่งจะรุกรานอารยธรรมนั้นอยู่แล้วตั้งแต่ต้น ขณะที่เคลื่อนที่เข้าไปใกล้ดารานิรันดร์ของจักรพิภพนั้น ก็พลันเห็นดวงอาทิตย์สีแดงกล้าปรากฏขึ้นบนคลองจักษุ


ทั้งขนาดและความร้อนนั้นคล้ายคลึงกับดารานิรันดร์ของระบบสุริยะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาเมื่อรู้สึกได้ถึงความร้อนแรงและพลังทำลายล้างอันสูงส่งที่แผ่ออกมาจากดารานิรันดร์ดวงนั้น เนื้อหาของบทแรกในวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬ วิธีการหลอมผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ปรากฏขึ้นในศีรษะของชายหนุ่ม


เราต้องปรับโครงสร้างภายในของเปลวไฟของดารานิรันดร์ ก่อนจะหลอมไฟนั้นในทะเลสวรรค์ ต้องแปรสภาพมันให้กลายเป็นหุ่นเชิดของเรา!


ขั้นตอนอาจจะดูเรียบง่าย แต่ส่วนที่ยากที่สุดก็คือผู้หลอมต้องกลืนกินเปลวเพลิงของดารานิรันดร์เข้าไป!


หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบครุ่นคิด การกลืนกินเปลวเพลิงดารานิรันดร์เป็นขั้นแรกของการฝึกวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬ ผู้ฝึกต้องสร้างกองฟางเอาไว้ภายในใจ ขณะที่เริ่มฝึกปราณไป ก็เพิ่มเติมเชื้อไฟอื่นๆ เข้าไปเพื่อให้เปลวไฟภายในเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง เปลวไฟนี้จะทำให้ผู้ฝึกทั้งแข็งแกร่งขึ้นและบ้าคลั่งขึ้นไปพร้อมๆ กัน


ขั้นแรกนี้มีความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่หลายประการ หากทำผิดพลาดก็จะถูกเผาทั้งเป็น มีคำเตือนเขียนอยู่บนแผ่นหยกว่าผู้ฝึกควรต้องฝึกวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬภายใต้เงื่อนไขบางประการ หาไม่แล้วก็ไม่ควรฝึกเลย


มีเงื่อนไขพิเศษที่แตกต่างกันสองประการเขียนอยู่ภายในบทแรกนั้น คือต้องฝึกวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬบนดารานิรันดร์ที่กำลังจะแตกดับหรือดารานิรันดร์ที่เพิ่งจะถือกำเนิด!


ผู้ฝึกต้องมีโชคช่วยเป็นอย่างมากหากจะบรรลุเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งได้ หวังเป่าเล่อยังไม่โชคดีขนาดนั้น ทว่าแม้วิชาหลอมดาราพิภพทมิฬไม่แนะนำให้ฝึกหากไม่สามารถบรรลุเงื่อนไขสักข้อได้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าการฝึกจะล้มเหลว


ด้วยเหตุนี้…หวังเป่าเล่อจึงคิดว่าอย่างไรก็คงต้องลองดูสักครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มมีข้อได้เปรียบที่คนอื่นไม่มี นั่นคือ กายของเขาในตอนนี้…เป็นร่างอวตารที่หลอมขึ้นมาด้วยกระบวนท่าสารัตถะ!


หากข้าล้มเหลวครั้งแรก ข้าก็จะลองอีกสิบครั้ง หากล้มเหลวอีกสิบครั้ง ข้าก็จะลองใหม่อีกร้อยครั้ง! ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายขณะที่ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ กายเนื้อของเขาเริ่มพร่าเลือนในทันที ละอองหมอกเริ่มกระจายออกมาจากกาย แล้วรวมตัวกันตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นร่างของชายหนุ่มที่เล็กกว่าเดิม หวังเป่าเล่อน้อยก้าวทะลุกำแพงของเรือบินรบเวทแล้ววิ่งตรงเข้าไปหาดวงอาทิตย์


ร่างนั้นเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์เท่าที่จะทำได้ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก เปลวเพลิงไหลบ่าเข้าหาร่างของหวังเป่าเล่อน้อยและไหลท่วมปาก ในวินาทีถัดมา ร่างของหวังเป่าเล่อน้อยก็สั่นเทา ก่อนจะลุกไหม้ แล้วโดนเผาจนกลายเป็นธุลีไปในพริบตา


หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มตรึกตรองความรู้สึกที่ได้รับจากการทดสอบเมื่อครู่อย่างถี่ถ้วน


ข้าพยายามกลืนพลังงานเข้ามามากเกินไป ควรกินให้น้อยกว่านี้ และควรเปลี่ยนสิ่งที่ร่างอวตารทำหลังจากที่กลืนพลังงานเข้าไปแล้วด้วย…หวังเป่าเล่อเริ่มคิดหาต้นเหตุของความล้มเหลว ก่อนจะหลอมร่างอวตารร่างที่สองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


ชายหนุ่มทดลองซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น จนกองทัพของเขามาตั้งหลักกันอยู่ข้างดารานิรันดร์เป็นเวลาทั้งเดือน!


หวังเป่าเล่อแทบจะเสียสติไปในเวลาหนึ่งเดือนนั้น เขาล้มเหลวอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายหนุ่มกลืนโอสถเมื่อรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและยังกินวัตถุดิบระดับดีเยี่ยมเช่นศิลาวิญญาณเพื่อจะให้มีแรงฮึดสู้ต่อไป แต่ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าสารัตถะของตนเริ่มจะเลือนรางไปพร้อมๆ กับร่างกายที่เริ่มพร่าเลือนขึ้นทุกขณะ


แต่ความพยายามซ้ำไปซ้ำมานั้นก็ไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว ทุกๆ ครั้งที่หวังเป่าเล่อล้มเหลว เขาก็ได้รับประสบการณ์มามากโข ในการทดลองครั้งที่ 173 ร่างอวตารของเขาก็สามารถกลืนเปลวเพลิงดารานิรันดร์เข้าไปลูกใหญ่โดยไม่ระเบิดได้ ก่อนจะกลับมาบนเรือบินรบได้สำเร็จ!


หวังเป่าเล่อสุดจะลิงโลดใจเมื่อเห็นร่างอวตารกลับมา กายเนื้อของเขาจางหายกลายเป็นหมอก แล้วพุ่งเข้าไปหาร่างอวตารก่อนจะรวมร่างกันแล้วแปลงให้มันกลายเป็นร่างอวตารหลักโดยใช้กระบวนท่าสารัตถะ กายของชายหนุ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงทันที เขาสัมผัสได้ถึงความร้อนที่กำลังไหลบ่าไปทั่วกาย!


มีดวงอาทิตย์จำลองที่แผดแสงร้อนแรงปรากฏขึ้นในทะเลสวรรค์ของเขา เปลวไฟสีดำห้อมล้อมดวงอาทิตย์ที่กำลังเผาไหม้ดวงนั้น เกิดเป็นความสมดุลระหว่างเปลวไฟสองประเภท!


ข้าทำได้แล้ว! เมื่อสัมผัสได้ถึงเปลวเพลิงดารานิรันดร์ภายในกาย หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นประกายไฟที่เต้นเร่าอยู่ในดวงตาทั้งคู่ ภาพของเปลวไฟจางๆ นั้นทำเอาเจ้าอู๋น้อยและเจ้าลาตัวสั่นงันงก แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอยู่เพียงขั้นแสร้งอมตะ แต่รัศมีความอันตรายที่กายของชายหนุ่มแผ่ออกมาขณะนี้ รุนแรงยิ่งกว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เสียอีก!

 

 

 


บทที่ 836 ใครจะกล้ารังแกข้า

 

แต่รัศมีดังกล่าวเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น!


เป็นภาพลวงตาจากความร้อนแรงที่แผ่ออกมาจากเปลวเพลิงดารานิรันดร์ภายในกายของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มยังไม่อาจใช้พลังระดับดาวพระเคราะห์ได้ในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะระเบิดตัวเองด้วยระดับปราณในปัจจุบัน หวังเป่าเล่อก็ทำได้เพียงสร้างความเสียหายให้ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้น ไม่อาจจะสังหารอีกฝ่ายได้


แต่มันก็ไม่ได้ลดความน่ากลัวที่คนอื่นรู้สึกกับเขาแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อผู้ที่แผ่ความร้อนของเปลวเพลิงดารานิรันดร์ออกมานั้น อย่างน้อยๆ ก็ยังสามารถสร้างความกลัวเกรงให้ศัตรูของตนได้อยู่บ้าง


ผลลัพธ์อาจจะดียิ่งขึ้นอีกหากชายหนุ่มใช้บทสวดแห่งเต๋าและเปลวเพลิงดารานิรันดร์พร้อมๆ กัน


หวังเป่าเล่อประเมินเปลวเพลิงดารานิรันดร์ที่ลุกโชนอยู่ภายในกาย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างเปี่ยมสุข ชายหนุ่มดึงเอาฝ่ามือของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้นที่เขาตัดเก็บไว้ออกมา โดยวางแผนที่จะหลอมมันเสียเดี๋ยวนั้นเลย


ทันทีที่ข้าหลอมสำเร็จ ข้าก็จะมีพลังยุทธ์ระดับดาวพระเคราะห์ในครอบครอง! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังยิ่ง ชายหนุ่มจะใช้สิ่งนี้เป็นไพ่ตายของเขาในช่วงเวลาต่อจากนี้ ณ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ วิชานี้อาจช่วยรักษาชีวิตเขาเอาไว้เลยก็ว่าได้!


เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน การเดินทางของหวังเป่าเล่อใกล้ถึงจุดสิ้นสุด กองทัพของเขาค่อยๆ เดินทางมาถึงเส้นเขตแดนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะเข้าสู่อาณาเขตของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว


หลังจากใช้เวลาหนึ่งเดือนไปกับการฝึกหลอมอย่างหนัก หวังเป่าเล่อก็หลอมฝ่ามือได้สำเร็จ ชายหนุ่มเก็บฝ่ามือเอาไว้ในเปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายและเริ่มหล่อเลี้ยงฝ่ามือนั้นด้วยเปลวไฟ


สิ่งที่ข้าต้องทำต่อไปก็คือดูแลหล่อเลี้ยงมัน ยิ่งทะนุบำรุงฝ่ามือนี้นานเท่าใด พลังของมันก็จะยิ่งเพิ่มพูน จนกระทั่งกลับไปอยู่ในจุดสูงสุดของมันอีกครั้ง!


หวังเป่าเล่อจ้องมองฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ในเปลวเพลิงดารานิรันดร์ของตน หัวใจของเขาลิงโลดอย่างยิ่ง ชายหนุ่มกระจายสัมผัสเทพออกไปสำรวจ ก่อนจะหรี่ตาลงแล้วยกมือขวาขึ้นโบก กองเรือบินรบนับหมื่นลำของเขาไหลมารวมกัน เหลือไว้เพียงเรือบินรบไม่กี่สิบลำ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเก็บกองเรือทั้งหมดเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ เรือบินรบที่เหลือถูกปล่อยเอาไว้เพราะมีสภาพเก่าคร่าและผุพัง หวังเป่าเล่อจึงปล่อยให้เรือบินรบเหล่านั้นพร้อมทำการต่อไป กองทัพทั้งหมดของเขาจึงมองดูคล้ายว่าเพิ่งจะรอดกลับมาจากการสำรวจอันยากลำบาก


หวังเป่าเล่อยังคงไม่พอใจกับภาพลักษณ์ของกองทัพขณะที่ขบวนเรือบินรบของเขาเริ่มเคลื่อนเข้าสู่เขตอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ชายหนุ่มจึงขยับเรือบินรบไปต่อกันให้ดูโทรมยิ่งขึ้น เขายังสะกดกั้นพลังอันรุนแรงของเรือบินรบเวทเอาไว้ด้วย กดเอาไว้มากเสียจนรู้สึกเหมือนเป็นเรือบินรบธรรมดาเท่านั้น


เอาแบบนี้ดีกว่า หวังเป่าเล่อมองดูผลลัพธ์ด้วยความพึงพอใจเป็นอันมาก จากนั้นชายหนุ่มจึงคุมบังเหียนเรือบินรบเวทแล้วเบนทิศทางเข้าไปสู่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เขาไม่ได้กลับไปพบผู้คุมกฎแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทันที แต่กลับมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำแทน


“สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำออกหมายจับข้ามิใช่หรือ มาดูกันว่าไอ้โง่คนใดจะบ้าพอมาปรากฏตัวต่อหน้าข้า ข้าไม่สนจะได้เจอกองทหารกองไหนของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ข้าจะให้พวกมันได้ลิ้มรสพลังของข้าดูเสียหน่อย!” หวังเป่าเล่อเชิดคางขึ้นอย่างโอหังพลางขับเรือบินรบมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ เจ้าอู๋น้อยและเจ้าลาที่อยู่ข้างกายเขาต่างพากันเมียงมองด้วยความตื่นเต้น


ทว่าหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ดังใจหวัง ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปในอาณาเขตของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำลึกมากพอ หาไม่แล้ว เขาคงไม่เพียงไปท้าทายกองทัพของสำนักเท่านั้น แต่จะถือเป็นการท้าทายปรมาจารย์ของสำนักด้วยเช่นกัน


ชายหนุ่มเตร็ดเตร่อยู่ในอาณาเขตด้านนอกของผู้คุมกฎสำนักและไม่ได้พบกองทหารใดๆ เลย หวังเป่าเล่อรู้สึกผิดหวังเล็กๆ และตัดสินใจเดินทางจากมา เมื่อนั้นเองสวรรค์ก็เลือกที่จะให้พรหวังเป่าเล่อ ไม่นานหลังจากที่ชายหนุ่มตัดสินใจจะถอยและหันกองเรือกลับ ก็มีกองทัพขนาดมหึมาปรากฏขึ้นในอวกาศ ประจันหน้าอยู่กับกองทัพของเขา!


กองทัพแปลกหน้านั้นดูยิ่งใหญ่ เรือบินรบสีดำขลับแผ่รัศมีอันทรงพลังและอันตรายออกมาไม่หยุดหย่อน พวกมันเดินหน้ากันเข้ามาราวกับเป็นคมกระบี่ที่ตัดทะลุอากาศ เห็นได้ชัดว่ากองทัพนี้ไม่เคยหลบเลี่ยงใครหน้าไหน ผู้ที่ขวางทางต่างหากที่จะต้องหลีกทางให้


รัศมีของผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะสามคนไหลบ่าออกมาจากกองเรือ ผู้ที่สัมผัสได้ถึงรัศมีนั้นล้วนรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ต่อหน้าเทพยดาสามพระองค์ พลางรู้สึกทึ่งกับพลังอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา อีกรัศมีหนึ่งยืนอยู่ห่างออกมาจากรัศมีทั้งสามนั้น…แถมยังทรงพลังเสียยิ่งกว่า


รัศมีนั้นเป็นของ…ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ!


หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและพลันสังเกตเห็นเรือบินรบรูปร่างแปลกตาที่อยู่ตรงกลางกระบวนเรือ เรือบินรบลำนั้นมีหน้าตาเหมือนอสูรร้าย รูปร่างคล้ายเสือดำ เห็นได้ชัดว่าเป็นเรือบินรบเวทเช่นกัน!


กองทหารผ่าดำเช่นนั้นหรือ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อทอประกาย ชายหนุ่มไม่ใช่คนโง่งมที่เพิ่งจะเข้าร่วมสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และรู้เรื่องสำนักใหญ่อีกสองสำนักเพียงน้อยนิดอีกต่อไป เขารู้ว่ามีกองทัพที่อยู่ภายใต้สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำที่อยู่ในอันดับที่สามของกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุด นำโดยเรือบินรบเวทที่รูปร่างเหมือนเสือดำ นามของกองทหารนั้นก็คือ…กองทหารผ่าดำ


“ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนหนึ่งและขั้นแสร้งอมตะอีกสามคน…ลืมไปเสียเถอะ ข้าไม่ได้มีความแค้นใดๆ กับกองทหารผ่าดำ ยิ่งไปกว่านั้นกองทหารของพวกเราก็มีชื่อคล้ายคลึงกัน มีคำว่า ‘ผ่า’ อยู่ในชื่อทั้งคู่ นับว่าเป็นโชคชะตาที่ต้องกัน ข้าจะปล่อยพวกเขาไปก็แล้วกัน” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะเมินเฉยต่อสีหน้างุนงงของเจ้าอู๋น้อยกับเจ้าลา ชายหนุ่มกุมบังเหียนเรือบินรบเวทและบรรดาเรือบินรบข้างเคียงก่อนจะหลบทางให้กองทหารผ่าดำ


กองทหารผ่าดำเคลื่อนพลผ่านกองทัพของหวังเป่าเล่อทันทีที่อีกฝ่ายเปิดทางให้ พวกเขาพุ่งไปข้างหน้าแล้วกำลังจะผ่านชายหนุ่มไป แต่หนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะแผ่สัมผัสเทพของนางออกมา ก่อนสัมผัสถูกกายของหวังเป่าเล่อ น้ำเสียงอันเปี่ยมโทสะและเสียงคบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังลั่นจักรวาลทันทีหลังจากการกวาดสัมผัสคร่าวๆ นั้น


“หลงหนานจื่อ!”


ใครบางคนกระโจนออกมาจากกองเรือบินรบของกองทหารผ่าดำ เรือบินรบนั้นเป็นหนึ่งในลำที่แข็งแกร่งที่สุดในกระบวน เป็นรองเพียงเรือบินรบเวทเท่านั้น ใครคนนั้นเป็นสตรี นางก็คือ…อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกนั่นเอง!


กองทหารมังกรหยดหมึกถูกหวังเป่าเล่อทำลายจนราบคาบ ต่อให้พวกเขากลับมารวมตัวกันใหม่ ก็คงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะยิ่งใหญ่เช่นก่อน กองทหารผ่าดำสบโอกาส จึงรวบเอาเศษซากกระจัดกระจายของกองทหารมังกรหยดหมึกเข้ากับกองทัพหลักของตน อดีตผู้บัญชาการของกองทหารมังกรหยดหมึกเข้าร่วมกองทหารผ่าดำด้วยเช่นกัน นางกลายมาเป็นรองผู้บัญชาการลำดับสามของกองทหารนี้


สตรีนางนั้นจำกระบวนเรือของหวังเป่าเล่อได้ นางจึงได้ใช้สัมผัสเทพสำรวจออกไป ความรู้สึกเกลียดชังที่นางมีต่อหวังเป่าเล่อปะทุขึ้นมาทันทีที่สัมผัสตัวตนของเขาได้


ประกายเหี้ยมโหดสะท้อนผ่านนัยน์ตาของหวังเป่าเล่อ เป้าหมายของชายหนุ่มคือการได้ระบายความหงุดหงิดจากการถูกไล่ล่าในวันนั้นออกมา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่เขายังยอมเปิดทางให้กองทหารผ่าดำ เป็นสตรีบ้านางนี้ที่คนกระโจนออกมาจากเรือบินรบแล้วหาเรื่องเอง แม้จะมีประกายดุร้ายสะท้อนในดวงตา หวังเป่าเล่อก็พยายามควบคุมตนเองก่อนจะขับเรือบินรบจากไป


“กองทหารผ่าดำ ข้าหลงหนานจื่อ ผู้บัญชาการกองทหารผ่าวิญญาณแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ข้าเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากการสำรวจแดนไกล ข้าได้เปิดทางให้ท่านแล้ว ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน โปรดอย่าหาเรื่องกันนักเลย!” เสียงของหวังเป่าเล่อฟังดูโมโห แต่ก็คล้ายกับว่าชายหนุ่มกำลังจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ เหมือนกำลังตื่นตระหนก


ไม่ว่าใครที่ได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อก็ย่อมต้องคิดว่าชายหนุ่มกำลังตื่นตระหนก เป็นเหตุให้ต้องใช้นามของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ในการจะหลุดรอดออกจากปัญหาที่ต้องเผชิญ


การแสดงของเขาได้ผล ความเกรี้ยวกราดปะทุขึ้นในดวงตาของอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกดั่งเปลวไฟ นางแทบจะคุมตนเองไม่อยู่ ขณะที่กวาดสายตาลงไปยังเรือบินรบเวทตรงที่ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำนั่งอยู่


“ผู้บัญชาการเจ้าคะ!” น้ำเสียงอันสั่นเครือของนางก้องออกไป ไม่กี่อึดใจต่อมา น้ำเสียงเรียบเฉยก็ดังออกมาจากเรือบินรบเวทของกองทหารผ่าดำ


“หลงหนานจื่อพยายามจะขโมยความลับของกองทหารผ่าดำ จับตัวมันเอาไว้!”


อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกลิงโลดใจยิ่งเมื่อได้ยินคำสั่งของผู้บัญชาการคนปัจจุบัน นางพุ่งตัวออกไปหาหวังเป่าเล่อทันที ผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะอีกสองคนของกองทหารผ่าดำก็พุ่งออกจากเรือบินรบและรีบรุดเข้าหาหวังเป่าเล่อราวกับเป็นดาวหางสองดวง


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการจบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว การจับกุมหวังเป่าเล่อย่อมต้องง่ายดาย เพราะมีผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะรุมโจมตีชายหนุ่มถึงสามคน การต่อสู้นี้คงจะรู้ผลในชั่วพริบตาเดียว


หวังเป่าเล่อหัวเราะขณะที่จ้องมองทั้งสามพุ่งเข้ามาใส่ ที่ชายหนุ่มควบคุมตัวเองเอาไว้เมื่อครู่เพราะอยากดูเป็นคนมีเหตุมีผลและต้องการดูท่าทีของกองทหารผ่าดำที่มีต่อตัวเขา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ดังนั้นจึงอาจดูไม่ควรนักหากหวังเป่าเล่อจะลงมือก่อน แต่มาบัดนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว


หวังเป่าเล่อแสยะยิ้มก่อนจะกระจายตัวเป็นหมอก มาปรากฏตัวอีกครั้งอยู่นอกเรือบินรบเวทและส่งกำปั้นพุ่งเข้าใส่อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก!


“ไสหัวไปเสีย!” พลังขั้นแสร้งอมตะปะทุขึ้นจากร่างของหวังเป่าเล่อเมื่อเขาส่งกำปั้นออกไป กำปั้นนั้นทรงพลังราวกับเป็นพายุหมุน อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกนัยน์ตาเบิกโพลง ก่อนจะรู้สึกสั่นสะท้านเมื่อกำปั้นของหวังเป่าเล่อกระแทกเข้าใส่นาง จักรวาลทั้งหมดสั่นสะเทือนก่อนจะเกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น พลังวิญญาณกระเพื่อมไปทั่วเอกภพ อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกตัวสั่นเทิ้มรุนแรง นางรู้สึกถึงแรงกระแทกมหาศาลที่ไหลบ่าผ่านกายนางไป ก่อนจะกระอักเอาเลือดออกมาเต็มปากและปลิวถอยหลังไปไกลราวกับเป็นว่าวที่ถูกตัดเชือก


ภาพนั้นทำเอาผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะอีกสองคนผงะด้วยความตกตะลึง ก่อนจะหรี่ตาลง ทันใดนั้นเอง เสียงของผู้บัญชาการก็ดังกระหึ่มออกมาจากเรือบินรบเวทของกองทหารผ่าดำ


“กองทหารผ่าดำทั้งหมดเข้าประจำที่ ไม่ต้องไว้ชีวิตมัน ให้สังหารมันทันทีที่จับกุมตัวได้!” เมื่อคำสั่งนั้นขาดคำ เรือบินรบนับพันของกองทหารผ่าดำก็ส่งเสียงร้องคำรนขณะที่ขยับเข้าประจำที่ ตั้งใจจะล้อมหวังเป่าเล่อเอาไว้ให้มิด


“คนที่จะต้องตายคือเจ้าต่างหาก!” หวังเป่าเล่อเหยียดยิ้มขณะที่ยืนอยู่บนเรือบินรบเวท พลางกวาดสายตามองสนามรบ


“กองทัพของพวกเจ้าก็ใหญ่ใช่เล่น แต่กองทัพของข้าก็ไม่ใช่ย่อยเช่นกัน!” หวังเป่าเล่อก็ส่งกระบวนเรือบินรบทำลายตนเองพุ่งออกไปด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว เรือบินรบทำลายตัวเองกว่าหมื่นลำเข้าไปล้อมกองกำลังของศัตรูเอาไว้!


ความเงียบสงัดราวป่าช้าปกคลุมสนามรบในบัดดล ผู้ฝึกตนจากกองทหารผ่าดำที่หยิ่งผยองและดูถูกหวังเป่าเล่ออยู่เมื่อครู่ มาบัดนี้ต่างก็พากันนิ่งงัน


หากมองดูสนมรบจากที่ไกลๆ…ก็จะเห็นว่า กองทหารผ่าดำไม่ได้ล้อมหวังเป่าเล่อไว้อีกต่อไป แต่เป็นกองทหารผ่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อต่างหากที่ล้อมอีกฝ่ายเอาไว้จนหมด!


“เจ้าคิดจะรังแกข้าอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเพ่งมองออกไปไกลตรงบริเวณที่กองทหารผ่าดำตั้งอยู่ ก่อนจะถามขึ้นอย่างเยือกเย็น

 

 

 


บทที่ 837 ข้าสังหารเจ้าไม่ได้!

 

วินาทีนั้นเองสนามรบก็เงียบสงัดลง ไม่มีใครพูดและไม่มีใครกล้าขยับตัว ทุกอย่างดูคล้ายกับว่าจะถูกแช่แข็งเอาไว้ก็ไม่ปาน


แน่ละว่า…บรรดาเรือบินรบของหวังเป่าเล่อปรากฏตัวรวดเร็วเกินไป และขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็จงใจปล่อยรัศมีของเรือบินรบทุกลำออกมาจนหมด คลื่นรบกวนขั้นจุติวิญญาณนับหมื่นและขั้นเชื่อมวิญญาณอีกนับพันทำเอากองทหารผ่าดำอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน


โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก สายตาของนางจับจ้องมาด้วยความไม่อยากเชื่อระคนตื่นตะลึง ก่อนที่ร่างกายของนางจะสั่นสะท้าน อันที่จริงแล้ว รัศมีที่หวังเป่าเล่อแผ่ออกมาก็ทำเอานางเห็นภาพหลอนไปว่ากำลังอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนผู้ทรงพลัง!


พลังจุติวิญญาณนับหมื่น… เชื่อมวิญญาณนับพัน…พลังนี้… หัวใจของอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกปั่นป่วน นางเริ่มเปรียบเทียบพลังของหวังเป่าเล่อกับพลังของกองทหารผ่าดำ และพบว่าหากทั้งผู้บัญชาการและผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะสามคน พร้อมทั้งกองทหารผ่าดำทั้งหมดโจมตีพร้อมกัน พวกเขาก็คงจะทำได้แค่เสมอกับหวังเป่าเล่อเท่านั้น!


ผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะอีกสองคนก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แม้แต่ผู้บัญชาการทหารผ่าดำ ชายวัยกลางคนภายในเรือบินรบเวทผู้ที่ก่อนหน้านี้พูดจาอย่างนิ่งขรึมมาโดยตลอด ตอนนี้กลับถลึงตามองชายหนุ่ม นัยน์ตาของเขาเผยให้เห็นความเคร่งเครียดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนขณะสูดลมหายใจเข้าอยู่ชั่วครู่ แม้ว่าความเกรียงไกรที่หวังเป่าเล่อแสดงออกมาจะทำให้เขาสนใจอยู่ไม่น้อย แต่ชายวัยกลางคนก็อดไม่ได้ที่จะใคร่ครวญถึงผลที่จะตามมา


หากว่า…ข้าสามารถสังหารเขาได้โดยตรง หากเป็นเช่นนั้น…ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำหรี่ตาลง ก่อนจะครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วพูดออกมาช้าๆ


เสียงของเขากระจายไปทั่วสนามรบอันเงียบสงัด ราวกับว่าจะมุ่งสลายบรรยากาศอันตึงเครียดให้หมดไป


“ทิ้งเรือบินรบของเจ้าไว้ครึ่งหนึ่ง ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปอย่างสันติ แล้วก็จะถือว่าความบาดหมางระหว่างเจ้าและกองทหารมังกรหยดหมึกไม่เคยเกิดขึ้นด้วย”


เมื่อเสียงพูดของเขากังวานออกไป ผู้ฝึกตนในกองทหารผ่าดำที่รายล้อมอยู่ก็ทอดถอนใจอย่างโล่งอก แม้ว่าอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกจะรู้สึกเสียหน้า แต่นางก็เข้าใจดีว่าความแข็งแกร่งของหลงหนานจื่อเพิ่มมากขึ้นกว่าครั้งที่ถูกไล่ล่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก เพราะเหตุนี้ แม้ว่านางจะยังคงเกลียดชังหลงหนานจื่ออยู่ลึกๆ แต่ก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น


ทว่า…หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งยืนยกมือไขว้หลังจังก้าอยู่บนเรือบินรบเวท กลับเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะหลังจากที่ได้ยิน


“หยิ่งยโสเหมือนเคยนะ แต่ข้าอยากจะถามท่านสักคำ ท่านพี่ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ท่านมีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนั้นเล่า”


“มีสิทธิ์อะไรอย่างนั้นหรือ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ประกายเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ก่อนที่เขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ขณะที่หัวเราะอยู่นั้น ชายวัยกลางคนก็สะบัดร่างและมาปรากฏกายอยู่ด้านนอกเรือบินรบเวทเสือดำ!


ชายผู้นั้นอยู่ในเสื้อคลุมสีดำและมีผมสีดำขลับเต็มศีรษะ เงาที่ผอมสูงและท่าทางยโสเย็นชาทำให้ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำดูยิ่งใหญ่เป็นอันมาก โดยเฉพาะเมื่อจักรพิภพถึงกับสั่นคลอน ส่งเอาคลื่นแทรกแซงออกไปจนทั่วเมื่อเขาปรากฏกาย รัศมีขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นระเบิดออกมา ก่อตัวกันเป็นพายุหมุนอยู่ภายนอกกาย


หากมองจากที่ไกลๆ ก็จะดูเหมือนว่า บุรุษผู้นี้สามารถดึงเอาจักรวาลทั้งหมดมาไว้รอบกายได้ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นเรือบินรบของกองทหารผ่าดำที่รายล้อมอยู่เริ่มแหวกออกเพื่อเปิดทางให้พายุหมุนนอกกายเขาได้เคลื่อนไหว อันที่จริงแล้ว กระทั่งเรือบินรบระเบิดตัวเองของหวังเป่าเล่อก็มีท่าทีว่าถูกกดเอาไว้เช่นกัน!


นี่เองคือพลังของขั้นจิตวิญญาณอมตะ!


ยังไม่จบเพียงเท่านี้ วินาทีที่ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำปรากฏตัว เขาก็ยกเท้าขึ้นก่อนจะก้าวไปทางหวังเป่าเล่อ


ทันทีที่เขาวางเท้าลง พายุหมุนนอกกายก็เคลื่อนเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ มันเคลื่อนที่รวดเร็วเสียจนดูคล้ายกับว่าระยะทางนั้นไม่มีผลแม้แต่น้อย หลังจากนั้น ชายวัยกลางคนก็ยกมือขวาขึ้นก่อนจับไปทางคอของหวังเป่าเล่อ!


“ตอนนี้เจ้ารู้หรือยังว่าข้ามีสิทธิ์อะไร” ขณะที่เสียงของเขากังวานไปทั่ว มือขวาของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อและกำลังจะจับคอหอยเขาเอาไว้ แต่วินาทีเดียวกันนั้นเอง นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็สะท้อนประกายเย็นยะเยือกออกมา ก่อนที่เกราะจักรพรรดิจะห่อหุ้มกายเขาเอาไว้ทั้งหมด วินาทีต่อมา ขณะที่ปราณขั้นแสร้งอมตะของชายหนุ่มกระจายออกไป เขาก็ยังได้รับพลังเสริมจากเกราะจักรพรรดิอีกด้วย ทำให้หวังเป่าเล่อมีพลังยุทธ์เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นแม้จะยังไม่บรรลุขั้นก็ตาม


การจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอาจต้องใช้เวลาเนิ่นนาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา อึดใจต่อมา หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น ก่อนจะกำเข้าไว้แน่น แล้วส่งกำปั้นออกไปหามือขวาของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ!


กำปั้นนั้นรวมเอาพลังปราณทั้งหมดของเขาและพลังของเกราะจักรพรรดิเข้าไว้ด้วยกัน ขณะที่พลังนั้นถูกปลดปล่อยออกมา จักรวาลก็บิดเบี้ยวไปทันที คลื่นแทรกแซงกระจายไปเป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่ อีกทั้งรัศมีในกายของชายหนุ่มยังระเบิดออกมาอีกด้วย ก่อนจะก่อร่างขึ้นเป็นพายุหมุนที่กดดันบรรยากาศโดนรอบเอาไว้ หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นได้ว่ามันเทียบเท่ากับรัศมีของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำเลยก็ว่าได้!


สิ่งนี้ทำเอาสีหน้าของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำเปลี่ยนไป แต่พวกเขาทั้งคู่ก็อยู่ใกล้กันเกินไปเสียแล้ว สายเกินไปแล้วสำหรับผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำที่จะถอยกลับ วินาทีถัดมา…กำปั้นของพวกเขาก็ปะทะกัน


เมื่อกำปั้นทั้งสองชนกัน คลื่นพลังแทรกที่มองเห็นด้วยตาเปล่าก็ระเบิดออกมาจากทั้งสองฝ่าย ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้มก่อนจะถอยไปหลายก้าว จนกระทั่งไปเหยียบบนเรือบินรบเวทภายใต้เท้าเขา เรือบินรบเวทเองก็สั่นสะท้านก่อนจะดูดเอาแรงกระแทกส่วนมากเอาไว้ ส่วนของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ร่างกายของเขาก็สั่นคลอนเช่นกัน และเพราะไม่มีสิ่งใดเบื้องหลังที่จะช่วยซับแรงกระแทกได้ ชายวัยกลางคนจึงปลิวไปไกลหลายร้อยเมตรก่อนจะหยุดลง ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำเงยศีรษะขึ้นจ้องมองหวังเป่าเล่อราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ นัยน์ตาทั้งสองของเขาแดงก่ำ


ในเวลาเดียวกันนั้น คลื่นพลังแทรกที่ก่อขึ้นจากการปะทะก็กระจายไปยังสิ่งรอบข้างทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เรือบินรบทุกลำกระเด็นถอยหลังไปสิ้น บางลำรับแรงกระแทกไม่ไหว ถึงกับระเบิดไปเลยก็มี


บรรดาผู้ฝึกตนของกองทหารผ่าดำต่างก็พากันหนีลนลานด้วยความตื่นตระหนก ดูน่าเวทนาเป็นยิ่งนัก พวกเขาส่วนมากกระอักเลือดออกมาพร้อมทั้งมีสีหน้าตื่นตะลึง แต่ผู้ที่ไม่อยากเชื่อที่สุดก็คือขั้นแสร้งอมตะทั้งสามคน รวมไปถึงอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก ร่างกายของพวกเขาล่าถอยไปเองอย่างไม่อาจควบคุม ทั้งสามต่างก็มีสีหน้าราวกับเพิ่งเจอผีมาหมาดๆ โดยเฉพาะอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก ผู้ที่ถึงกับตะโกนออกมาด้วยความตื่นตกใจ


“จิตวิญญาณอมตะอย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้!”


หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอออกมาโดยไม่ได้สนใจบรรยากาศโกลาหลรอบข้าง หรือกระทั่งชายตามองอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกด้วยซ้ำ หลังจากจัดการรวบรวมปราณที่หลั่งไหลไปทั่วร่างได้แล้ว สายตาของชายหนุ่มก็มาหยุดลงที่ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ผู้ซึ่งตอนนี้มีสีหน้าบิดเบี้ยวน่ากลัว


“ขออภัยด้วย แต่ข้าก็ยังไม่รู้อยู่นั่นเองว่าท่านมีสิทธิ์อะไร”


ตอนนั้นเองจิตสังหารในแววตาของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็ฉายแสงแรงกล้าเป็นอย่างยิ่ง ชายวัยกลางคนยกมือขวาขึ้นคว้าไปในทิศทางของเรือบินรบเวทก่อนจะคำราม


“เรือบินรบเวท กลับมา!”


ขณะที่คำพูดของเขาสะท้อนออกไป เสือดำก็เงยศีรษะขึ้นก่อนจะคำรามแล้วก็พุ่งออกมาทั้งตัว ดูคล้ายกับเป็นแสงสีดำไร้จุดจบ ทันใดนั้น เรือบินรบเวทก็เข้ามาใกล้ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ หลังจากที่ครอบงำกายของเขาเอาไว้เรียบร้อย เรือบินรบเวทก็กลายมาเป็นชุดเกราะแข็งแกร่ง ทำให้ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำดูน่าเกรงขามไม่แพ้กัน อีกทั้งรัศมีของเขายังเพิ่มพูนขึ้นจนแตะถึงขีดสุดของขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นเป็นที่เรียบร้อย กายของเขาเองก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของแสงสีดำนั้นด้วยการพลิกกายเพียงครั้งเดียว แสงนั้นพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็วราวกับว่าสามารถตัดผ่านจักรวาลไปได้ก็ไม่ปาน!


“ข้าก็มีเรือบินรบเวทเช่นกัน!” หวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่นขณะที่กระโจนออกไปข้างหน้า ในทันใดนั้น เรือบินรบเวทตั๊กแตนใต้เท้าของเขาก็กลายเป็นลำแสงนับไม่ถ้วนที่สาดส่องกายชายหนุ่ม เขาใช้เกราะจักรพรรดิเป็นภาชนะ มันหลอมรวมเข้ากับแสงนั้นก่อนจะกลายเป็น…เกราะมหาจักรพรรดิ!


ขณะที่พลังของผลึกสีชาดภายในเกราะมหาจักรพรรดิไหลเวียนวนอยู่นั้น คลื่นพลังรบกวนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็ระเบิดออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อ ทำให้ชายหนุ่มเคลื่อนที่เร็วขึ้นอีก วินาทีถัดมา เขาก็ปะทะเข้ากับผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำในห้วงอวกาศ ก่อนจะปล่อยหมัดออกไปอีกครั้ง!


เสียงครั่นครืนดังสนั่นขึ้นพร้อมพลังที่แข็งแกร่งกว่าคราวก่อน ครั้งนี้พลังนั้นกระจายออกไปไกลกว่าเก่า แถมคลื่นพลังแทรกนั้นยังสัมผัสได้จากที่ไกลขึ้นอีกมากโข


ขณะที่คลื่นรบกวนกระเพื่อมออกไป พลังยุทธ์ที่เหนือชั้นของหวังเป่าเล่อก็แสดงให้เห็นชัดเจนออกมา แม้จะมีเรือบินรบเวทอยู่ แต่ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็ต้องถอยกรูดอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากการจู่โจมอันรุนแรงของชายหนุ่ม!


ภาพนั้นทำเอาผู้ฝึกตนกองทหารผ่าดำพากันตัวสั่นขวัญผวา พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำถูกซัดจนลอยละลิ่วไปไกลหลายร้อยเมตรขณะที่หวังเป่าเล่อส่งเสียงคำราม ก่อนที่อาวุธเวทในมือขวาของชายหนุ่มจะพุ่งเข้าเป้า!


“หลงหนานจื่อ เจ้าหลอกลวงข้า เจ้าแสร้งทำเป็นว่าอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่อันที่จริงเจ้าบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว ไอ้คน…” ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำคำรามด้วยความโกรธเคือง แต่ไม่ทันจะได้พูดจบประโยค ก็ถูกหวังเป่าเล่อขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน


“กองเรือของเจ้าอ่อนแอกว่าของข้า เจ้าเองก็หน้าตาหล่อเหลาไม่เท่าข้า พลังยุทธ์ก็ไม่เทียบเท่า แถมยังร่ำรวยไม่เท่าข้าอีกด้วย ผ่าดำ เจ้ามีสิทธิ์อะไรจะมาต่อรองกับข้า


“ข้านะหรือจะขโมยความลับของกองทหารเจ้า เจ้ากล้ารังแกข้าเพราะเห็นว่ามีจำนวนคนมากกว่าใช่หรือไม่ เจ้าคิดว่าจะรับมือกับข้าได้เพราะมีระดับปราณสูงกว่าเท่านั้นไม่ใช่หรือ”


“ข้าสังหารเจ้าไม่ได้!” หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังออกมาเต็มที่ขณะยืนตระหง่านราวกับเป็นหนึ่งในบรรดาทวยเทพ ขณะที่ชายหนุ่มคำรามออกมา เขาก็พลิกหมุนกาย ฝูงชนต่างก็เฝ้ามองตาค้างด้วยความตื่นตะลึง ขณะที่หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าไปหาผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำผู้ซึ่งกำลังตื่นตะลึงอยู่เช่นกัน ซ้ำร้าย ชายวัยกลางคนขณะนี้กลับได้แต่เพียงรู้สึกขมขื่นและเกรี้ยวกราดอยู่ในใจเท่านั้น!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)