อยากกินไหมล่ะ 831-832

 บทที่ 831 ผู้ช่วยชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว

หลังจากทำอีกออเดอร์เสร็จ หยวนโจวก็หลบไปพักสักครู่ ในขณะนั้นคุณเฉิงก็เข้ามาหาและมองหยวนโจวขึ้นๆลงๆก่อนที่จะพูดออกมา


“อาจารย์หยวนครับ ไข้หวัดเป็นยังไงบ้าง?” คุณเฉิงถามขึ้นมา


อันที่จริงแล้วคุณเฉิงคิดจะถามคำถามเดียวกับเมื่อเช้านี้ แต่เขาไม่อาจฝืนใจที่จะถามขึ้นมาอีกครั้งได้


“ไม่เป็นไรแล้วครับ” หยวนโจวตอบ


“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?” คุณเฉิงถามขึ้นมาอย่างจริงใจ


“ไม่มีครับ แค่ตั้งใจสังเกตให้ดีก็พอแล้วล่ะ” หยวนโจวส่ายหน้าแล้วกล่าว


“คุณไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอเหรอครับ อาจารย์หยวน?” คุณเฉิงถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อพบว่าหยวนโจวตาแดงก่ำ


เนื่องจากหยวนโจวสวมหน้ากากอนามัยเอาไว้จึงมีแค่ดวงตาคู่เดียวที่แสดงออกมาให้เห็นเท่านั้น ดังนั้นดวงตาแดงก่ำอันเด่นชัดยิ่งจึงเป็นผลทำให้เกิดคำถามนี้จากคุณเฉิงขึ้นมา


“ผมไม่เป็นไรครับ” หยวนโจวตอบเสียงแข็ง แต่เมื่อเขาพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” กลับฟังดูราวกับเขากำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไรอย่างนั้นเลย


เมื่อเห็นว่าหยวนโจวบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว คุณเฉิงก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ทว่าขณะที่กำลังมุ่งความสนใจไปที่การสังเกตฝีมือการทำอาหารของหยวนโจวอยู่นั้น เขาก็เริ่มสังเกตสภาพร่างกายของหยวนโจวไปด้วย


พอเป็นที่เข้าใจได้ที่หยวนโจวจะมีท่าทีตอบสนองเช่นนี้เมื่อถูกคุณเฉิงตั้งคำถามขึ้นมา ส่วนจะเข้าใจว่าทำไมก็ต้องทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนเสียก่อน


เมื่อคืนหยวนโจวเลี้ยงเกี๊ยวให้ทั้งสองคน หลังจากนั้นเขาก็จัดการเรื่องส่วนลดในวันนี้จนเสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะกลับขึ้นชั้นสองไป เขาวางแผนที่จะอ่านหนังสือระหว่างที่พักผ่อนไปด้วย


แต่ครึ่งชั่วโมงถัดมา โทรศัพท์ของหยวนโจวก็เริ่มดังขึ้นมา อู๋ไห่เป็นคนโทรมานั่นเอง


“เจ้าเข็มทิศ ได้เวลากินยาแล้ว ครบสี่ชั่วโมงแล้ว” เสียงแหลมๆของอู๋ไห่ดังขึ้น


“รู้แล้วน่า รีบเข้านอนได้แล้ว” หยวนโจวตอบด้วยท่าทีจนปัญญาก่อนจะวางสายไป


เขาคิดว่าคงจะเป็นสายสุดท้ายแล้ว แต่น่าแปลกพอถึงเวลาสี่ทุ่มตอนที่เขากำลังจะนอน โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้งเป็นอู๋ไห่อีกตามเคย


เนื้อหาของการสนทนามีอยู่เพียงแค่เรื่องเดียวก็คืออู๋ไห่กำลังเตือนให้เขากินยา


“ฉันไม่เป็นไรแล้ว นี่คงจะเป็นยาเทียบสุดท้ายแล้วล่ะ” หยวนโจวบอกอู๋ไห่ตามตรง


“เจ้าเข็มทิศที่ปฏิเสธการกินยาเป็นเชฟที่ไม่ดีนะ ในเมื่อไม่สบายนายก็ไม่ควรที่จะละเลยการกินยา รีบเข้านอนเสียเถอะ” อู๋ไห่พูดราวกับเขากำลังโอ๋เด็กน้อยคนหนึ่งโดยไม่สนใจสิ่งที่หยวนโจวกล่าวเลยสักนิด


หยวนโจวรู้สึกจนปัญญาเป็นอันมาก แต่ก่อนที่หยวนโจวจะทันได้พูดอะไรออกไป อู๋ไห่ก็วางสายไปแล้วทิ้งให้หยวนโจวจ้องมองไปที่โทรศัพท์ของตนพลางสบถอยู่ในใจ


ในขณะเดียวกันอู๋ไห่ก็กำลังค้นหาข้อมูล เขารวบรวมข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตได้ว่าเมื่อจับไข้มักจะต้องใช้เวลาสองหรือสามวันถึงจะดีขึ้น ดังนั้นเขาจึงโทรไปเตือนทุกๆสี่ชั่วโมง เขาบอกให้เจิ้งเจียเว่ยปลุกเขาเพื่อให้เขาสามารถปลุกหยวนโจวได้ทุกๆสี่ชั่วโมง


“ไห่น้อย เอาเข้าจริงๆแล้วคนป่วยไม่จำเป็นต้องกินยาทุกๆสี่ชั่วโมงยามค่ำก็ได้นะ” เจิ้งเจียเว่ยอธิบายอย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อได้ยินคำร้องขอของอู๋ไห่


“ใครว่าล่ะ? หลังจากฉันใช้เวลาทั้งวันไปกับการบังคับให้เจ้าเข็มทิศกินยาทุกๆสี่ชั่วโมง เขาก็สามารถทำเกี๊ยวเช่นนั้นทุกคืนได้แล้ว ถ้าหากฉันยังทำเช่นนี้อีกคืน พรุ่งนี้เขาก็น่าจะสามารถเปิดร้านได้แล้วล่ะ” อู๋ไห่ให้เหตุผลด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม


“แต่ที่สำคัญต้องนอนหลับยามค่ำคืนให้เพียงพอ แค่พักผ่อนให้เพียงพอเขาก็จะหายเร็วขึ้น” เจิ้งเจียเว่ยกล่าวอย่างชาญฉลาด


“สี่ชั่วโมงก็นอนพอแล้วล่ะ จำไว้ด้วยว่าต้องปลุกฉันด้วย ฉันจะไปเข้านอนแล้วนะ” อู๋ไห่กล่าวหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย


“นั่นจะเป็นการรบกวนการนอนหลับของเถ้าแก่หยวนหรือเปล่า? ถ้าคุณไปรบกวนการนอนของเขาอยู่อีกล่ะก็พรุ่งนี้คุณอาจจะไม่ได้กินอะไรเลยก็ได้นะ ไห่น้อย” เจิ้งเจียเว่ยกล่าวพลางถอนใจ


“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ในเมื่อเขาดีขึ้นแล้วยังไงก็ต้องเปิดร้านแน่ๆล่ะ” อู๋ไห่กล่าวด้วยความมั่นใจ “นายไม่เข้าใจเจ้าเข็มทิศเลยสินะ ถ้าไม่มีเรื่องพิเศษอะไรที่ส่งผลต่อตัวเขา เขาก็ไม่เคยปิดร้านหรอกนะ”


“ก็ได้ๆ งั้นฉันจะมาปลุกนายนะ” เจิ้งเจียเว่ยตกลงเพราะไม่มีอะไรจะกล่าว


ดังนั้นตอนตีสอง หยวนโจวจึงถูกอู๋ไห่ปลุกขึ้นมา ตอนหกโมงเขาก็ได้รับสายจากอู๋ไห่อีก แน่นอนว่าทั้งสองสายล้วนโทรมาเตือนให้เขากินยาทั้งนั้น


นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หยวนโจวแทบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ โชคดีที่เขายังสามารถรักษาเหตุผลเอาไว้ได้ นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้อู๋ไห่ยังคงแข็งแรงปลอดภัยจนสามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารที่ร้านของเขาได้


มิฉะนั้นหยวนโจวก็คงตบหน้าอู๋ไห่ด้วยรองเท้าเบอร์ 24 ไปนานแล้ว เขาน่าจะลองเอารองเท้าลูบหน้าของอู๋ไห่ดูสักที ถึงอย่างไรการที่อู๋ไห่โทรหาเขาทุกๆสี่ชั่วโมงก็ไม่ต่างอะไรกับการโทรศัพท์เล่นพิเรนทร์ยามกลางค่ำกลางคืนเพียงเพื่อจะบอกใครสักคนให้ลุกขึ้นมาฉี่อย่างไรอย่างนั้น


แน่นอนว่าอู๋ไห่ย่อมทำเรื่องเช่นนี้อย่างจริงใจโดยแท้ด้วยเจตนาดี หยวนโจวตระหนักถึงเรื่องนั้นดี นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องทนกับการแสดงความเป็นห่วงที่ราวกับการเล่นพิเรนทร์ของอู๋ไห่


แล้วหยวนโจวเปิดโทรศัพท์เอาไว้ทำไมกันเล่า? ง่ายมาก ในฐานที่เป็นเชฟแถมยังเป็นเชฟชื่อดังเสียขนาดนั้นจึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องจัดการ


ดังนั้นในช่วงนอกเวลาเปิดร้าน โทรศัพท์ของเขาก็จะเปิดเอาไว้อยู่ตลอดเพื่อมิให้พลาดสายสำคัญใดๆไป


ทางด้านนอกร้าน เกาฟ่านกับฉินเสี่ยวอี้กลับไปหลังจากได้ลายเซ็นแล้ว ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังต้องกลับไปทำงานต่ออยู่ดี อันที่จริงแล้ววันนี้หาใช่วันที่พวกเขาจะออกมาฉลองแต่อย่างใด แต่พวกเขามาเพียงเพราะส่วนลด 10% มันช่างแสนเย้ายวนเกินไปทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมาที่นี่ในช่วงพักเที่ยง


และเนื่องจากวันนี้เป็นโอกาสพิเศษ พวกเขาก็เลยขอสงบศึกกับอู๋ไห่เป็นการชั่วคราว


“แขกรับเชิญมาถึงแล้ว”


ในขณะที่ไป๋กั้ว หลี่เหอและเจียงเหม่ยซือรู้สึกกลุ้มใจกับการบรรลุภารกิจของพวกเขาอยู่นั้น ผู้กำกับก็บอกพวกเขาว่าแขกรับเชิญมาถึงแล้ว


พวกเขามองเห็นหนุ่มหล่อผมบลอนด์นัยน์ตาสีฟ้าคนหนึ่ง คนผู้นี้ดูไปแล้วไม่เหมือนเชฟเลยสักนิด แต่กลับดูเหมือนดารามากกว่า


ผู้กำกับเริ่มแนะนำแขกรับเชิญให้รู้จักตามปกติ


“ดีน แบรดบูรีเป็นเชฟมิชลินสามดาวที่มีอายุน้อยที่สุดในประเทศฝรั่งเศส ผู้คนมากมายต้องจองโต๊ะล่วงหน้าถึงครึ่งปีเพียงเพื่อจะได้กินอาหารของเขา ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย”


ในการแสดงว่าแขกรับเชิญยอดเยี่ยมเพียงใด รายการวาไรตี้มักจะร่ายยาวถึงความสำเร็จที่ผ่านมาในอดีตของแขกรับเชิญคนนั้นออกมาด้วย


“ที่สำคัญ ดีนยังเป็นเชฟมิชลินสามดาวที่มีอายุน้อยที่สุดที่มีอยู่ในโลกเชียวล่ะ”


ไม่ว่าจะวงการไหนๆ ผู้ที่ถูกยกย่องให้เป็นสมบัติของชาติย่อมต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นแค่พนักงานทำความสะอาดก็ตามที หากพนักงานทำความสะอาดเป็นสมบัติของชาติแล้วล่ะก็น่าจะเป็นพนักงานทำความสะอาดที่สามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดได้กว่า 80 ชนิดเพื่อทำความสะอาดสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกันทั้งหลายขณะที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดกว่า 50 ชนิดเลยทีเดียว


ระบบการให้คะแนนของมิชลินน่าจะมาจากหนึ่งในนักวิจารณ์อาหารที่น่าเชื่อถือที่สุดในแถบยุโรปและอเมริกา ในฐานที่เป็นเชฟที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นอันดับสองเท่าที่เคยมีมาย่อมเห็นได้ชัดว่าดีนสุดยอดเพียงใดกัน


หลี่เหอและคณะพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้ พวกเขาจึงทักทายดีนด้วยภาษาอังกฤษแต่จู่ๆดีนก็พูดภาษาจีนขึ้นมา


ดังที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ ดีนวางแผนที่จะมาเยือนร้านหยวนโจวก่อน แต่เขาดันหลงทางเป็นผลทำให้มาถึงช้า


ถึงแม้ว่าเขาจะมาช้า แต่ก่อนที่เขาจะมาถึงนั้น เขาก็รู้แล้วล่ะว่าภารกิจแรกคืออะไร นอกจากนี้เขาก็ตระหนักถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของพวกเขาแล้วด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องรีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์


เขามุ่งเข้าประเด็นทันที “ผมมีทางแก้ครับ สำหรับการกินอาหารกลางวันที่ร้านนั้น คุณไม่จำเป็นต้องให้หยวนโจวมาทำอาหารให้ด้วยตัวเองหรอกครับ ผมสามารถขอยืมครัวของเขาแล้วทำอาหารกลางวันให้พวกคุณได้”


นั่นเป็นความคิดที่ดีเชียวล่ะ ทั้งสามคนต่างมองดีนราวกับพวกเขากำลังมองผู้ช่วยชีวิตของตนอย่างไรอย่างนั้น ในตอนนี้พวกเขารู้สึกราวกับว่าดีนมีรัศมีอยู่เหนือศีรษะด้วยซ้ำไป


ดีนเข้ามาในร้าน ยังมีเวลาเหลืออีก 30 นาทีก่อนที่เวลาอาหารกลางวันจะหมดลง ดังนั้นตอนนี้ร้านจึงยุ่งเป็นพิเศษ นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของดีนกับหยวนโจว ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นหน้าหยวนโจวได้ไม่ชัดเนื่องจากใส่หน้ากากอนามัยอยู่ แต่เขาก็ยังพอสรุปได้ว่าหยวนโจวก็ดูงั้นๆแหละ


“อะไรที่ทำให้เขาคู่ควรแก่การเป็นคู่ปรับตลอดกาลของฉูเสี่ยวกันนะ?” นี่คือความคิดแรกของดีน


บทที่ 832 แผนสำรองอันยอดเยี่ยม

ถึงแม้ว่าดีนจะไม่ทราบว่าหยวนโจวมีกฎไม่พูดคุยตอนทำอาหารหรือไม่ แต่ในฐานที่เป็นเชฟแถมยังเป็นเชฟมิชลินสามดาวด้วยแล้ว เขาก็รู้ดีว่าควรปฏิบัติตัวเช่นไร


เขายืนอยู่ด้านข้างและหลังจากรอมานานหลายนาที ในที่สุดหยวนโจวก็ออกมาจากครัวพร้อมอาหารที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาพูดขึ้นมาว่า “เชฟหยวน ผมขอยืมครัวทำอาหารหน่อยได้ไหมครับ?”


ดีนถามอย่างสุภาพ แต่น่าเสียดายที่คำตอบของหยวนโจวคือ:


“เสียใจด้วยครับแต่คงจะไม่ได้”


เมื่อเห็นว่าหยวนโจวกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นนั้น ดีนก็เลยไม่ถามอะไรอีก จากสิ่งนี้ไม่ว่าใครก็คงพอจะทราบแล้วล่ะว่าดีนมีส่วนคล้ายหยวนโจวมากเลยทีเดียว พวกเขาเชื่อว่าสำหรับเชฟแล้ว อุปกรณ์ทำอาหารกับครัวของเขาเป็นของส่วนตัวที่ไม่อาจให้ผู้ใดมาหยิบยืมกันได้


ดีนเดินออกมาพบกับสายตาเปี่ยมความหวังทั้งสามคู่


“เชฟหยวนไม่ให้ยืมครัวครับ” ดีนกล่าวพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วกล่าวว่า “แต่ผมก็ยังมีแผนสำรองอยู่นะ”


หัวใจของพวกเขาเย็นเฉียบเมื่อได้ยินประโยคครึ่งแรกของดีน แต่เมื่อพวกเขาได้ยินอีกครึ่งหลัง เปลวเพลิงแห่งความหวังก็ลุกโชนขึ้นในใจของพวกเขาอีกครั้ง


“แผนสำรองอะไรงั้นหรือ?” ไป๋กั้วถามขึ้นมา


“พวกเราสามารถซื้อหาวัตถุดิบบางอย่างมาได้นี่ครับ ในเมื่อมีร้านอยู่ข้างๆ พวกเราก็ให้ทีมงานถ่ายทำไปยืมอุปกรณ์ทำอาหารที่นั่นมาเสียก็สิ้นเรื่อง ผมจะทำอาหารมันตรงนี้แหละ” ดีนกล่าวเสริม “ปกติแล้วร้านจะไม่อนุญาตให้นำอาหารจากภายนอกเข้ามาในร้านกันน่ะครับ”


นี่เป็นแผนที่วิเศษจริงๆ ร้านส่วนใหญ่จะไม่อนุญาตให้นำเหล้าจากภายนอกเข้ามาในร้าน ทั้งยังแทบไม่ค่อยอนุญาตให้นำอาหารจากภายนอกเข้ามาในร้านสักเท่าไหร่ด้วย แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าร้านหยวนโจวจะมีกฏมากมายถึงเพียงนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะลองหาข้อมูลดูก่อน


เจียงเหม่ยซือถือโอกาสสุ่มถามคนที่ยืนมองพวกเขาอยู่ตรงนั้นระหว่างที่กำลังถ่ายทำ


“ห้ามนำอาหารจากภายนอกเข้ามาในร้านแห่งนี้ด้วยเหรอคะ?”


คนผู้นั้นเหม่อลอยไปนิดหนึ่งเมื่อสังเกตได้ว่ามีดาราดังกำลังถามคำถามเขาอยู่ หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว เขาพบว่าตนเองก็ไม่รู้เช่นกัน


“ผมว่าคงไม่ใช่หรอกมั้ง? แต่ผมเองก็ไม่เคยเห็นใครนำอาหารจากภายนอกเข้ามาในร้านหยวนโจวสักทีเลย”


“ฉันคิดว่าได้นะ ฉันเคยเห็นหยวนหยวนนำเสี่ยวหลงเป่าทอดมาระหว่างมื้อเช้าเพื่อกินคู่กับแยมบลูเบอร์รีของร้านด้วยล่ะ


“จริงสิ อืม ฉันจำได้แล้ว ฉันก็เคยเห็นคนนำอาหารจากภายนอกเข้ามาในร้านด้วยนะ”


“ใช่แล้วล่ะ สาเหตุที่ผู้คนแทบไม่เคยนำอาหารของพวกเขาเองเข้ามาเลยก็เป็นเพราะอาหารของเถ้าแก่หยวนอร่อยเกินไปน่ะสิ”


จากการสนทนากันครั้งนี้ เจียงเหม่ยซือก็ได้คำตอบที่แน่ชัดแล้ว ร้านหยวนโจวไม่ได้ห้ามมิให้นำอาหารจากภายนอกเข้ามา เนื่องจากอาหารของหยวนโจวอร่อยเกินไป ผู้คนก็เลยแทบจะไม่เคยนำอาหารจากภายนอกเข้ามาเลย เจียงเหม่ยซือวิ่งกลับไปบอกสิ่งที่เธอค้นพบให้ผู้อื่นได้ทราบด้วยความเบิกบานใจ


ด้วยเหตุนี้เอง แผนสำรองของดีนจึงเป็นไปได้โดยราบรื่น เมื่อทั้งสามคนมองไปทางดีน พวกเขารู้สึกราวกับว่านอกเหนือไปจากรัศมีบนตัวเขาแล้ว ทั่วทั้งร่างของเขายังเปล่งแสงของรัศมีแห่งนักบุญอีกด้วย


พวกเขาเริ่มทำตามแผนการ หลี่เหอบอกแผนของพวกเขาให้ทีมงานถ่ายทำได้ทราบและทีมงานก็เริ่มให้ความช่วยเหลือพวกเขาด้วยการยืมอุปกรณ์ทำอาหารและอื่นๆ


อนิจจา วัตถุดิบที่รวบรวมได้และอุปกรณ์ทำอาหารต่างไม่ได้มาตรฐานตามที่ดีนต้องการ ในระหว่างที่ทำอาหารนั้นเขาเองก็มีเงื่อนไขเยอะมากเช่นเดียวกัน


ดีนจึงตัดสินใจโทรหาฉูเสี่ยว ถึงอย่างไรประเทศจีนก็เป็นถิ่นของฉูเสี่ยวนี่นา เขาน่าจะรู้ว่าแหละว่าจะสามารถหาซื้อวัตถุดิบดีๆได้จากที่ไหนในเมืองเฉิงตู


ดังนั้นเขาจึงทำการโทรออกทันที


“ตู๊ด… ตู๊ด… ตู๊ด… หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ”


สายถูกตัดไปก่อนจะทันได้รับสาย หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ ดีนจึงสรุปเอาว่าฉูเสี่ยวอาจจะอยู่ระหว่างการหาข้อมูลอาหารจานใหม่และคงจะโทรกลับในภายหลังเป็นแน่


ดังนั้นดีนจึงได้แต่ยืนมองโทรศัพท์ของตนเองอยู่ตรงนั้น หลังจากนั้นสามนาทีก็ยังไม่มีสายใดโทรเข้ามาเลย เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องโทรกลับไปที่เบอร์ฉูเสี่ยวอีกครั้ง


จากนิสัยของดีนแล้ว เขาจะไม่โทรกลับไปอีกหากโทรไปแล้วไม่มีคนรับสาย แต่ฉูเสี่ยวเป็นถึงคู่ปรับตลอดกาลของเขาเชียวนะ เขาจึงไม่คิดอะไรมากก็โทรกลับไปที่เบอร์ของฉูเสี่ยวทันที


“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้”


ดีน: “??”


ปิดเครื่องงั้นรึ?


เมื่อจ้องมองไปที่โทรศัพท์ ดีนก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาแล้ว สิ่งต่างๆรอบกายเขาต่างตกอยู่ในความเงียบงัน


“ดีน ฉันพบว่าแถวนี้มีร้านอาหารสไตล์ตะวันตกชั้นสูงด้วยล่ะ พวกเราน่าจะลองไปที่นั่นดูนะ” ผู้ช่วยของดีนแนะนำ


ผู้ช่วยคนนี้มีผมสีน้ำตาลกับรูม่านตาสีฟ้าตุ่น รูปลักษณ์ภายนอกของเธอค่อนข้างสวยทั้งยังมีความละม้ายคล้ายคลึงกับโซฟี มาโซอยู่หน่อยๆอีกต่างหาก


ขณะที่ผู้ช่วยพูดขึ้นมานั้น เธอก็เงยหน้าขึ้นมาเผยให้เห็นแววตาจริงจังคู่หนึ่ง ในขณะนี้ประโยชน์ของใบหน้าสวยๆได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่แล้ว เมื่อดีนเหลือบมองใบหน้าสวยๆนั้นแล้ว อารมณ์ของเขาก็เย็นลง แต่เขาก็ยังค่อนข้างไม่สบายใจอยู่ดี


“เธอคิดว่าที่นั่นจะมีวัตถุดิบที่ตรงกับความต้องการของฉันอยู่งั้นเหรอ?” ดีนถามเสียงแข็ง


“ฉันก็คิดว่างั้นแหละค่ะ คุณก็รู้นี่คะว่ามีเชฟอยู่ที่นั่นเหมือนกัน นั่นก็คือมิสเตอร์ลี่ไงล่ะคะ” ผู้ช่วยกล่าวพลางยิ้มหวานหยด


ก่อนที่ดีนจะทันได้พูดอะไร เหล่าดาราที่อยู่ข้างหลังก็เริ่มคุยกัน


“ว้าว งั้นดีนก็รู้จักคนที่นี่น่ะสิ?” เจียงเหม่ยซือกล่าวด้วยความประหลาดใจ


“งั้นมั้ง พวกเราจะได้รู้กันก็ตอนที่ไปถึงร้านแล้วนั่นแหละนะ” หลี่เหอกล่าว


“ถึงพวกเขาจะไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถเชียร์เราได้นี่นา” ไป๋กั้วกล่าวพร้อมเอ่ยถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าเมื่อตอนที่เขาร้องเพลงอยู่


“ไปกันเถอะ รีบตามเขาไปกันเลย” เจียงเหม่ยซือกล่าวขณะที่เริ่มเดิน


ตากล้องถ่ายทำทุกสิ่งทุกอย่างไปตามความเป็นจริงแล้วตามพวกเขาไปร้านลี่ลี่เช่นกัน


พวกเขาหยุดอยู่นอกร้าน พวกเขามีกันหลายคนเกินไป แถมร้านยังต้องดำเนินกิจการอยู่ด้วย ถ้าหากพวกเขาเข้าไปกันหมดย่อมทำให้กิจการได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลี่เหอผู้มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนหยุดอยู่นอกร้าน


“ร้านนี้เป็นยังไงครับ? มิสเตอร์ดีน คุณเข้าไปตรวจสอบวัตถุดิบส่วนพวกเราจะไปขอยืมอุปกรณ์นะครับ?” หลี่เหอถามดีน


“ได้ครับ” ดีนพยักหน้า


หลี่เหอ เจียงเหม่ยซือและไป๋กั้วต่างก็เป็นดาราดังในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าบรรดาลูกค้าที่ร้านหยวนโจวจะไม่สนใจเขาเพราะอาหารก็ตามที แต่พวกเขาก็มีแฟนๆอยู่มากมายทีเดียว


ดังนั้นนอกเหนือไปจากสมาชิกในทีมงานถ่ายทำแล้ว ผู้คนเป็นจำนวนมากก็ยังประกอบไปด้วยแฟนๆของพวกเขาที่กำลังติดตามอีกด้วย เนื่องจากมีผู้คนเป็นจำนวนมากอยู่ด้านนอก ถึงแม้ว่าลี่ลี่จะไม่ได้ออกมาด้วยตัวเอง แต่หลิวรั่วอวี๋ผู้เป็นผู้จัดการก็ยังออกมาต้อนรับอยู่ที่นั่นอยู่ดี


“สวัสดีค่ะ พวกคุณจะมากินหรือมาถ่ายทำคะ?” หลิวรั่วอวี๋ถามด้วยรอยยิ้มสุภาพเป็นกันเอง


หลี่เหอที่เป็นผู้ใหญ่และมีประสบการณ์มักจะเป็นคนรับมือกับเรื่องนี้อยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงก้าวขึ้นหน้าพร้อมมองไปที่ป้ายชื่อของหลิวรั่วอวี๋แล้วยิ้มออกมา


“สวัสดีครับ พวกเรากำลังถ่ายทำรายการโรล เดียร์ บีฟอยู่น่ะครับ พวกเรามีเรื่องอยากให้คุณช่วยหน่อยครับ คุณพอจะช่วยได้ไหมครับ?” หลี่เหอถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองอันเป็นความภาคภูมิใจของดาราดังที่ใช่ว่าจะพบเห็นได้ทุกที่เสียเมื่อไหร่กัน


“ได้สิคะ ว่าแต่ฉันจะช่วยได้ยังไงกันคะ?” หลิวรั่วอี้ตอบพลางยิ้มออกมา


“ขอบคุณครับผู้จัดการหลิว เราไปหาที่คุยกันเถอะครับ ผมไม่อยากรบกวนกิจการของร้านน่ะครับ” หลี่เหอเสนอให้ไปคุยกันที่อื่นด้วยความเกรงใจ


“ก็ได้ค่ะ” หลิวรั่วอวี๋พยักหน้าแล้วพาพวกเขาไปหาที่คุยกันโดยจัดการทางเข้าให้โล่งเข้าไว้


หลี่เหอ ไป๋กั้วและเจียงเหม่ยซือเริ่มขอยืมอุปกรณ์ทำอาหารในขณะที่ดีนพาผู้ช่วยของเขามุ่งหน้าไปที่ครัว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)