ลำนำบุปผาพิษ 831-854

 บทที่ 831 หรือมาเพื่อเกี้ยวพานาง


กู้ซีจิ่วกวาดตามองคนชุดม่วงผู้นั้นแวบหนึ่ง “ที่แท้คนที่อยู่ข้างกายเจ้าวันนั้นก็คือตุ๊กตายางตัวนี้…”


อวิ๋นชิงหลัวเงียบไปเพราะไม่เข้าใจคำว่าตุ๊กตายาง


หลงซือเย่ถูกสี่คำสุดท้ายของเธอทำให้ตกตะลึง แทบจะสำลักน้ำลายตัวเองแล้ว “ซีจิ่ว!”


กู้ซีจิ่วคงจะถูกทอดทิ้งจนเกิดโทสะในใจ เธอกำลังหาที่ระบายอารมณ์ มองตรงไปที่คนชุดม่วงผู้นั้น “ที่แท้เจ้าคือใคร? อาศัยร่างหุ่นเชิดก่อเรื่องมาตลอด หรือว่าร่างจริงของเจ้าสู้หน้าผู้อื่นไม่ได้?”


สายตาของคนชุดม่วงหันเหมาทางเธอ มุมปากยกขึ้นนิดๆ “เสี่ยวซีจิ่ว เจ้าจะได้พบร่างจริงของข้าในอีกไม่ช้าก็เร็ว…” น้ำเสียงคล้ายจะอ่อนโยนอยู่บ้าง


“เจ้ารู้จักข้า?!” เห็นได้ชัดว่ากู้ซีจิ่วจับประเด็นสำคัญจากคำพูดของเขาได้


คนชุดม่วงมองเธอครู่หนึ่ง แย้มยิ้ม “แน่นอน ซีจิ่ว คนที่รู้จักเจ้ายามนี้มีอยู่มากมายนัก”


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว รู้จักที่เธอพูดถึงย่อมมิใช่การรู้จักเช่นนี้…


หรือว่าคนผู้นี้เคยคบค้าสมาคมกับตัวเธอในอดีต? เป็นใครกัน?


เธอก้าวไปข้างหน้า ขณะที่กำลังจะเอ่ยถามเขาอีกประโยค ในหูกลับมีกระแสเสียงของตี้ฝูอีดังขึ้น “อย่าเข้าใกล้เขา!”


ก็ได้!


กู้ซีจิ่วก็ไม่คิดจะทำให้แผนการพัง ความสนใของเธอคล้ายจะละจากร่างคนชุดม่วงแล้ว มองไปทางสาลาหลังน้อย นิ้วมือภายใต้แขนเสื้อกำแน่น ดูราวกับทั้งโกรธทั้งเกลียด


คนชุดม่วงสังเกตสีหน้าของนางอยู่ตลอด เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ มุมปากพลันหยักเป็นรอยยิ้ม “เสี่ยวซีจิ่ว คนผู้นี้ใจจืดใจดำถึงเพียงนี้ ต้องการให้ข้าล้างแค้นแทนเจ้าหรือไม่?”


กู้ซีจิ่วกัดปากแน่น สะบัดหน้าหนีไม่ตอบ


เห็นได้ชัดยิ่งว่านางผิดหวังในตัวตี้ฝูอีมาก แต่ก็ทนเห็นเขาตายไม่ได้


ปฏิกิริยาเช่นนี้ของนางปกติยิ่ง คนชุดม่วงถึงแม้จะขี้ระแวงมาก แต่พอถึงยามนี้เขาก็ไม่แคลงใจอีกแล้ว


เขามองกู้ซีจิ่วอีกคราหนึ่ง ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยว่า “เสี่ยวซีจิ่ว อันที่จริงคนผู้นี้ไม่คู่ควรได้รับความชอบพอจากเจ้าเลยสักนิด เจ้ามิสู้มาชอบข้า…”


บทนี้ของเขาเห็นได้ชัดว่าอยู่เหนือความคาดหมายของกู้ซีจิ่ว เธอเลิกคิ้ว กล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่นิยมชมชอบหุ่นเชิด!”


“ข้าบอกแล้วไง ร่างจริงของข้าไม่ใช่หุ่นเชิด…”


“เช่นนั้นก็ใช้ร่างจริงของเจ้ามาหาสิ! ร่างจริงของเจ้ารูปงามกว่าเขาหรือไม่?” กู้ซีจิ่วตัดบทเขา จู่ๆ เธอก็นึกอะไรขึ้นได้ “คงมิใช่ว่าร่างจริงของเจ้าอัปลักษณ์น่าเกลียด ดังนั้นเจ้าถึงคิดสังหารตี้ฝูอีแล้วเข้าที่ใช่ไหม?!”


คนชุดม่วงนิ่งงัน ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมา “เสี่ยวซีจิ่ว เจ้ากำลังหลอกล่อข้าด้วยวาจาหรือ? วางใจเถิด! ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นร่างจริงของข้าในไม่ช้าก็เร็ว! เจ้าจะพบว่ามูลเหตุที่เจ้าพูดมานี้ไม่เข้าท่ายิ่งนัก!”


หลงซือเย่ดึงกู้ซีจิ่วมาอยู่ข้างกายตน ทำให้เธออยู่ห่างจากคนชุดม่วงผู้นั้นอีกหน่อย จากนั้นก็กล่าวกับคนชุดม่วงอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง “เจ้ามาสังหารคนมิใช่รึ? หรือมาเพื่อเกี้ยวพานางกันแน่?!”


คนชุดม่วงผู้นั้นไม่ยี่หระ ยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง “หยอกล้อนางเท่านั้น เจ้าสำนักหลงไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”


หลงซือเย่ร้องเหอะคราหนึ่ง ไม่พูดเป็นอื่นอีก


คนชุดม่วงผู้นั้นคร้านจะพูดจาหยุมหยิมต่อไป พลันโบกมือ คนชุดเขียวเหล่านั้นพากันเหยียบย่างลงบนสะพานเหล็ก พุ่งทะยานเข้าหาศาลาหลังน้อย


ตี้ฝูอียกมือทันที รอบศาลาหลังน้อยพลันปรากฏกำแพงเหล็กสีทองขึ้นมา โอบล้อมศาลาทั้งหลังไว้ตรงกลาง


คนชุดเขียวที่พุ่งเข้าจู่โจมเหล่านั้นชนเข้ากับกำแพงเหล็กสีทอง พากันลื่นไถลลงมา


คนชุดม่วงร้องเหอะเสียงเย็น ขลุ่ยกระดูกสีโลหิตเลาหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ เริ่มบรรเลงขลุ่ย เสียงขลุ่ยหวีดหวิว เห็นได้ชัดว่าเป็นสัญญาณกระตุ้นอย่างหนึ่ง คนชุดเขียวเหล่านั้นคล้ายได้รับคำสังบางอย่าง ฝ่ามือกระตุ้นเปลวไฟออกมา เผาผลาญกำแพงเหล็ก


ชัดเจนว่าไฟนี้มิใช่ไฟธรรมดา เปลวไฟสีน้ำเงินอ่อนสามารถเผาเหล็กสุดแข็งแกร่งให้หลอมละลายได้


กำแพงเหล็กสีทองนั้นในที่สุดก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง…


————————————————————————————-


บทที่ 832 ให้เจ้าฉงนไปตลอดกาลจะดีกว่า


กำแพงเหล็กสีทองนั้นในที่สุดก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ในที่สุดก็ระเบิดเสียงดังปัง แม้แต่ศาลาน้อยหลังนั้นก็ลอยละลิ่วขึ้นมา ส่วนตี้ฝูอีกับมู่อวิ๋นก็ถือโอกาสเหินออกมาด้วย คล้ายว่าคิดจะหนีไปทางอากาศ…


นัยน์ตาคนชุดม่วงทอแววแข็งกร้าวแวบหนึ่ง ทำนองขลุ่ยแปรเปลี่ยนอีกครั้ง


‘ฟุ่บฟุ่บฟุ่บฟุ่บ…’ คนชุดเขียวสิบกว่าคนที่คอยเฝ้าอยู่บนฝั่งพลันยกมือขึ้น มีลำแสงสีดำพุ่งออกมา ตาข่ายเหล็กสีดำขนาดใหญ่อันหนึ่งคลี่กางบนท้องนภา ตี้ฝูอีกับมู่อวิ๋นเกือบชนถูกตาข่ายนั้นแล้ว!


โชคดีที่ทั้งสองตอบสนองว่องไวยิ่ง ทันกลับมาทันที เหินทะยานแล้วร่อนลงมาอีกครั้ง


“ตี้ฝูอี ยามนี้เจ้ามีพลังยุทธ์ไม่พอ เจ้าหนีไม่รอดหรอก!” คนชุดม่วงผู้นั้นหัวเราะเยาะ เขาโบกมือคราหนึ่ง ในบรรดาคนชุดเขียวมีสิบหกคนพากันเป่าขลุ่ยมือให้เกิดเสียง ด้วยเหตุนี้คนชุดเขียวที่เหลือต่างพากันจัดขบวนโจมตีพวกตี้ฝูอีทั้งสองตามเสียงขลุ่ย…


ศึกอันดุเดือด


ศึกใหญ่ที่สะท้านฟ้าสะเทือนปฐพี


ดูเหมือนครั้งนี้คนชุดเตรียมการมาโจมตีอย่างเต็มที่อย่างยิ่ง คนชุดเขียวเหล่านี้รุกถอยได้เหมาะสมภายใต้การควบคุมด้วยเสียงขลุ่ย และดุดันยิ่งนัก ทุกกระบวนท่าที่สำแดงออกมาโหดเหี้ยมพิสดารขึ้นเรื่อยๆ น่าเหลื่อเชื่อ


กู้ซีจิ่วมองอยู่ครู่หนึ่งก็ทราบว่าวรยุทธ์ของผีดิบชุดเขียวเหล่านี้ด้อยกว่าหรงเหยียนและกู้เทียนฉิงที่เธอพบในป่าทมิฬเพียงน้อยนิดเท่านั้น เห็นทีว่าตอนที่ตนเหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่วรยุทธ์ก็คงไม่ต่ำต้อยเช่นกัน


ความเร็วของผีดิบเหล่านี้สู้พวกหรงเหยียนในยามนั้นไม่ได้ แต่พละกำลังกลับสูสีกับสองคนนั้น


วันนั้นเธอกับหลงซือเย่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมหาศาลเพื่อรับมือกับสองตนนั้น ทว่าครั้งนี้กลับมีนับพันตน!


คนทั่วไปหลังจากถูกทำให้กลายเป็นผีดิบ ต่อให้เคลื่อนไหวตามคำสั่งของ ‘เจ้านาย’ แต่ยังคงแฝงเงาของยามที่มีชีวิตเอาไว้


กู้ซีจิ่วมองอย่างละเอียด สัมผัสได้ว่ากระบวนท่าส่วนมากที่คนชุดเขียวเหล่านี้คล้ายกับการเคลื่อนไหวของนายพราน…


หรือว่าก่อนตายผีดิบเหล่านี้เป็นนายพรานอะไรทำนองนั้น?


เนื่องจากหลงซือเย่เป็นพวกเดียวกับคนชุดม่วงผู้นี้ ดังนั้นกู้ซีจิ่วที่ได้รับการปกป้องจากหลงซือเย่ตลอดเวลาจึงปลอดภัยมากเช่นกัน คนชุดเขียวเหล่านั้นไม่ได้เข้ามาโจมตีเธอ


ถึงแม้เธอจะอยู่กลางกลุ่มคนขุดเขียว แต่ก็ปลอดภัยยิ่งนัก


ศึกอันดุเดือดครั้งนี้ไม่ได้ยืดเยื้อกินเวลาเนิ่นนานนัก มู่อวิ๋นถูกคนชุดเขียวผู้หนึ่งฟันเข้า ร่วงลงไปในน้ำทันที ไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย คาดว่าคงตายไปแล้ว


และต่อให้ตี้ฝูอีเป็นพยัคฆ์ที่ร้ายกาจเพียงใดก็ไม่อาจต้านทานหมาป่าทั้งฝูงได้ เมื่ออยู่ท่านกลางการล้อมโจมตีที่ดุเดือดของคนชุดเขียวในที่สุดก็พลาดท่าถูกจับกุม ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก


คนชุดม่วงพึงพอใจนัก เขาค่อยๆ ก้าวเข้าไป คนชุดเขียวที่ห้อมล้อมอยู่แหวกออกดั่งกระแสน้ำ ปล่อยให้เขาเข้าไปด้านใน


เขาหลุบตามองตี้ฝูอีที่ถูกกดร่างไว้จนอยู่ในสภาพจนตรอก “ตี้ฝูอี นึกไม่ถึงว่าเจ้าก็มีวันนี้เหมือนกัน!”


เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีบาดเจ็บ ทุกแห่งบนร่างมีโลหิตไหลซึมออกมา เขาเงยหน้าที่สวมหน้ากากอาบเลือดขึ้น มองคนชุดม่วงผู้นั้น “ที่แท้เจ้าคือผู้ใดกัน?!”


คนชุดม่วงผู้นั้นยิ้มนิดๆ “เจ้าเดาสิ?!”


ตี้ฝูอีเม้มปาก “เจ้าบอกไว้มิใช่หรือว่าจะให้ข้าได้รู้ตอนเป็นผี?”


คนชุดม่วงหัวเราะเสียงดัง “ข้ารู้สึกว่าให้เจ้าฉงนไปตลอดกาลจะดีกว่า!” ดาบเล่มหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือเขา


ดาบเล่มนี้เป็นสีแดงโลหิต ทันทีที่ปรากฏออกมาก็ดูเหมือนจะมีกลิ่นอายชั่วร้ายทะลักทลายออกมา ทำให้อุณหภูมิรอบๆ ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว


“ดาบประหารเซียน!” สายตาตี้ฝูอีร่อนลงบนดาบ


คนชุดม่วงผู้นั้นกวัดแกว่งดาบในมือ “เจ้าก็รู้จักนี่!” เขายิ้มอีกครั้ง “ตี้ฝูอี เมื่อดาบนี้แทงเข้าไปในร่างของเจ้าจะไม่สร้างความเสียหายให้แก่สังขารของเจ้า แต่จะสังหารดวงวิญญาณของเจ้า เป็นอย่างไร? อยากลองลิ้มรสมันหรือไม่?”


ตี้ฝูอีหลุบตาลง “ดาบนี้สามารถสังหารดวงวิญญาณได้งั้นหรือ? เจ้าใช้มันสังหารไปกี่คนแล้วล่ะ?”


บทที่ 833 ท่านลงมือได้แล้ว


คนชุดม่วงดีดใบดาบ “เจ้าสมควรเป็นรายแรก เป็นอย่างไร? รู้สึกเป็นเกียรติมากใช่หรือไม่?”


ตี้ฝูอีช้อนตาขึ้นเหลือนมองคนชุดเขียวที่อยู่รอบๆ จากนั้นสายตาก็วกกลับมาที่ร่างคนชุดม่วง “เจ้าจะสั่งคนพวกนี้หรือ?”


คนชุดม่วงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นพลันยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “คนเหล่านี้เพียงพอจะจัดการกับเจ้าแล้ว!”


เขากวัดแกว่งดาบในมือ “ตี้ฝูอี ข้าจะสังหารเจ้าช้าๆ ดีไหม? หรือว่าต้องการให้ปลิดชีพเจ้าในดาบเดียวดี?”


ตี้ฝูอีถอนหายใจ “หากเจ้าเกลียดชังข้า จะสังหารข้าช้าๆ ก็ได้ ถ้าหากเจ้าต้องการเพียงแย่งชิงตำแหน่งของข้า เช่นนั้นมิสู้แทงเข้ามาทีเดียวเลยดีกว่า”


คนชุดม่วงยิ้มเยาะ “เจ้าสงบเยือกเย็นเหลือเกินนะ! ไม่กลัวตายหรือ?”


ตี้ฝูอีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้ากลัวตายเจ้าจะไม่สังหารข้าหรือไง?”


“แน่นอนว่าไม่!” แววตาคนชุดม่วงคมกริบ จู่ๆ เขาก็ถอนหายใจออกมา “ตี้ฝูอี กว่าจะจับตัวเจ้าได้ไม่ง่ายเลย! ข้าจะไม่สังหารเจ้าทันทีหรอก…”


“หือ? แล้วไงต่อ?”


“ให้คนที่เป็นสานุศิษย์สวรรค์เหมือนกันสังหารเจ้าดีกว่า เจ้าเคยถ่ายทอดวรยุทธ์ให้เขาด้วยตัวเอง ให้เขาสังหารเจ้าก็นับว่าขับเน้นความสามารถของทั้งสองฝ่ายให้เด่นชัด” คนชุดม่วงยกมือขึ้น โยนดาบในมือให้หลงซือเย่ “เจ้าสำนักหลง ท่านเกลียดเขามิใช่หรือ? ท่านสามารถสังหารเขาชำระแค้นได้เลย!”


หลงซือเย่รับดาบไว้ เหลือบมองคนชุดม่วงผู้นั้นแวบหนึ่ง ทราบว่าคนผู้นี้คิดจะตัดหนทางถอยของเขา หากเขาสังหารตี้ฝูอีด้วยตัวเอง ก็มีแต่ต้องอยู่ข้างเดียวกับเขาไปตลอดชีวิต หันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว!


ตี้ฝูอีหรี่ตาลงจ้องมองคนชุดม่วงผู้นั้น “จวบจนยามนี้เจ้ายังไม่ยอมบอกฐานะของเจ้าอีกหรือ? กุมความได้เปรียบไว้เบ็ดเสร็จแล้วยังไม่กล้าเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของตน ความกล้าของเจ้ามีน้อยนิดมากสินะ?”


คนชุดม่วงตัวแข็งทื่อทันที ยามนี้เขากุมความได้เปรียบไว้เบ็ดเสร็จแล้วจริงๆ อีกทั้งรอบข้างก็เต็มไปด้วยคนของเขา และศัตรูตัวฉกาจที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็ใกล้ตายแล้ว เขาไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วจริงๆ!


แต่ว่า…


แววตาเขาวูบไหวนิดๆ ยิ้มจางๆ สายตาของเขาร่อนลงบนดวงหน้ากู้ซีจิ่ว “ข้าและนางสมควรมาจากสถานที่แห่งเดียวกัน”


กู้ซีจิ่วตกตะลึง


“ที่แท้เจ้าเป็นใครกัน?!” เธอถาม


“ร่ำลือกันว่าวิชากู่ฝึกฝนด้วยการแกะสลักกระดูก แล้วนำไปแช่ไว้ใน…” จู่ๆ คนชุดม่วงผู้นั้นก็เอ่ยวิธีหลอมกลั่นของวิชากู่ออกมาไม่หยุด สีหน้าของกู้ซีจิ่วแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “ปรมาจารย์กู่!”


คนผู้นี้คือปรมาจารย์เคราครึ้มผู้ลึกลับที่เคยถ่ายทอดวิชากู่ให้กู้ซีจิ่วในยุคปัจจุบันคนนั้น!


“เด็กดี หาได้ยากนักที่เจ้ายังจดจำผู้เป็นอาจารย์ได้” น้ำเสียงคนชุดม่วงผู้นั้นแหบเครือ ไม่ต่างจากเสียงปรมาจารย์กู่ผู้นั้นเลย


กู้ซีจิ่วหรี่ตาลง มิน่าล่ะเธอถึงรู้สึกค่อนข้างคุ้นเคยกับกลิ่นอายบนร่างคนผู้นี้รางๆ ที่แท้เป็นเขา! นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้ก็ทะลุมิติมาเหมือนกัน ซ้ำยังทะเยอทยานต้องการแทนที่ตี้ฝูอีด้วย…


คนชุดม่วงไม่คิดจะพูดไร้สาระให้มากความ เร่งรัดหลงซือเย่ “เอาล่ะ เจ้าสำนักหลง ท่านลงมือได้แล้ว!”


หลงซือเย่กวัดแกว่งดาบประหารเซียนในมือ “ได้!”


เรือนกายไหววูบ แทงดาบไปทางตี้ฝูอี!


นัยน์ตาคนชุดม่วงฉายแววตื่นเต้นยินดี มือลอบจรดนิ้วเตรียมร่ายคาถา ขอเพียงหลงซือเย่แทงดาบสังหารดวงวิญญาณของตี้ฝูอี เขาก็สามารถเข้าครองร่างของอีกฝ่ายได้ทันที สลักร่างกายนี้ทิ้ง กลายเป็นตี้ฝูอีอย่างแท้จริง…


ประกายดาบดั่งมังกรเหิน ว่องไวปานดาวตก ขณะที่กำลังจะแทงถูกตี้ฝูอีกลับหักเลี้ยวกะทันหัน!


‘สวบ!’ ดาบสีโลหิตแทงเข้าสู่ร่าง แทงเข้าที่หัวใจคนผู้หนึ่ง!


ร่างคนชุดม่วงสั่นสะท้าน มองปลายดาบที่ที่แทงทะลุอกตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ เงยหน้ามองหลงซือเย่อย่างฉงนสนเท่ห์ “เจ้า…”


————————————————————————————-


บทที่ 834 ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว


หลงซือเย่บิดด้ามดาบคราหนึ่ง ดาบเล่มนนั้นก็บิดไปรอบทรวงอกของคนชุดม่วงผู้นั้นเช่นกัน


คนชุดม่วงผู้นั้นเอ่ยคำนี้ได้เพียงคำเดียว ร่างกายก็ทรุดฮวบลงไป


และในยามนี้เอง อวิ๋นชิงหลัวที่อยู่ข้างกายเขาถึงได้กรีดร้องออกมา ถูกโลหิตของคนชุดม่วงผู้นั้นพุ่งกระเซ็นอาบหน้า


ในกลุ่มคนชุดเขียวเหล่านั้นก็มีมนุษย์จริงๆ อยู่ด้วย คนเหล่านี้ก็คือผู้ที่เป่าขลุ่ยพวกนั้น ควบคุมให้หุ่นตายเหล่านั้นโจมตีโดยเฉพาะ


เนื่องจากคนชุดม่วงผู้นั้นถูกจู่โจมรวดเร็วเกินไป คนชุดเขียวเหล่านั้นจึงไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองเลย!


จวบจนคนชุดม่วงผู้นั้นล้มลงไปพวกเขาถึงรู้ตัว คนเหล่านี้คิดจะเป่าขลุ่ยโลหิตในมือทันที แต่เพิ่งจะยกมือขึ้น พลันมีแสงสารพัดส่องวาบขึ้นมา บ้างก็ซ้ายบ้างก็ขวา บ้างก็หน้าบ้างก็หลังของพวกเขา…


ด้วยเหตุนี้มือหรือท่อนแขนของที่จับขลุ่ยไว้ของคนเหล่านี้พลันกระเด็นออกไปทันที!


คนเหล่านี้ตกตะลึง มองดูสหายร่วมกลุ่มที่ลอบโจมตีตนอย่างไม่อยากเชื่อ ทันใดนั้นก็พบว่าคนที่ลอบโจมตีพวกเขาไม่ใช่หุ่นตายชุดเขียวจริงๆ!


เนื่องจากคนเหล่านี้ปลดหน้ากากบนหน้าลง เผยให้เห็นโฉมหน้าจริง


พวกเขาไม่ใช่หุ่นตาย แต่เป็นยอดฝีมือผู้เลิศล้ำของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จำนวนสิบกว่าคน! กู่ฉานโม่ผู้เดือดดาลก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย


คนเป่าขลุ่ยทั้งหมดล้วนถูกคุมตัวไว้ ไม่มีหลุดรอดไปสักคน


หัวหน้าถูกสังหาร คนเป่าขลุ่ยถูกควบคุม หุ่นตายเหล่านั้นสูญเสียผู้บงการ จึงยืนทึ่มทื่ออยู่ตรงนั้น


และในหมู่คนชุดเขียวก็มีคนอีกมากมายที่ปลดหน้ากากบนหน้าออก พวกเขาล้วนเป็นคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์…


ชัดเจนยิ่งนัก ที่กล่าวว่าจะไปล่าสัตว์ล้วนเป็นเรื่องลวงทั้งสิ้น เป็นเพียงการหลอกให้ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังระเบิดแผนการใหญ่ออกมา!


สีหน้าอวิ๋นชิงหลัวไร้สีเลือดทันที!


นางทราบว่านางติดกับเสียแล้ว!


นี่คือกับดักของตี้ฝูอี! ทั้งหมดเป็นกับดัก!


หัวใจนางหนาวเหน็บ ขาอ่อนยวบ คุกเข่าลงไป…


ดวงตานางมองตี้ฝูอีที่อยู่ตรงหน้า ริมฝีปากสั่นระริก “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ชิงหลัว…ชิงหลัวถูกบังคับ…”


คนชุดเขียวทั้งสองที่จับตัวตี้ฝูอีไว้ในตอนแรกก็ปลดหน้ากากออกเช่นกัน เป็นมู่เฟิงกับมู่เตี่ยน


พวกเขาค้อมตัวทำความเคารพตี้ฝูอีพร้อมกัน “นายท่าน! ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว”


ตี้ฝูอีสะบัดมือผ่านร่างแวบหนึ่ง โลหิตที่เดิมทีอาบย้อมอยู่ทั่วร่างหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที เขาถือโอกาสโยนถุงเลือดหลายใบทิ้งด้วย ทำให้ร่างกายสะอาดเอี่ยมอ่องอีกครั้งราวกับเพิ่งผลัดเสื้อผ้ามา


เขาเหลือบมองอวิ๋นชิงหลัวแวบหนึ่ง แววตาเยียบเย็นดั่งสายน้ำ สั่งเพียงประโยคเดียว “จับกุมนาง!”


ผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เข้ามาคุมตัวอวิ๋นชิงหลัวไว้ อวิ๋นชิงหลัวก็ไม่กล้าขัดขืนเช่นกัน…


วิกฤตใหญ่หลวงจึงสลายไปด้วยประการฉะนี้


เดิมทีควรเป็นศึกที่ดุเดือดฉากหนึ่ง แต่เป็นเพราะอุบายผนวกด้วยกับดัก จึงจับตายตัวหัวหน้า จับกุมตัวผู้สมรู้ร่วมคิดได้ แผนนี้ของตี้ฝูอีแทบไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อเลย ไม่มีไพร่พลได้รับบาดเจ็บเลยสักคน


แม้แต่มู่อวิ๋นที่ถูกคนชุดเขียวซัดตกน้ำก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางคนชุดเขียวมี่อยู่ด้านหลังของตี้ฝูอี ชัดเจนยิ่งนัก ว่าหลังจากเขาตกน้ำไป ก็หลบหนีไปทางน้ำตามที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า จากนั้นก็ปลอมตัวเป็นคนชุดเขียวไปอยู่กับสหาย…


หนนี้คนชุดม่วงผู้นั้นพากองกำลังชุดเขียวมาด้วยนับพัน ตัวเขาเองก็นับไม่ถ้วนเช่นกัน อีกทั้งคนชุดเขียวเหล่าก็แยกกันเข้ามาเป็นกลุ่ม จากนั้นหุ่นตายชุดเขียวสิบกว่าตนก็ถูกยอดฝีมืออย่างพวกกู่ฉานโม่ที่ดักซุ่มอยู่ตับกุมไว้ แล้วถูกลอกคราบ ด้วยเหตุนี้พวกกู่ฉานโม่จึงสวมรอยเป็นคนชุดเขียวแล้วบุกเข้ามาพร้อมกัน


วรยุทธ์ของพวกเขาทุกคนล้ำเลิศยิ่ง แทรกซึมอยู่ในกลุ่มคนชุดเขียว ค้นหาคนชุดเขียวผู้เป่าขลุ่ยที่ปะปนอยู่ในหมู่หุ่นตายได้ว่องไวยิ่ง จากนั้นก็เข้าประชิดอย่างเงียบๆ…


การลงมือของหลงซือเย่คือสัญญาณลับอย่างหนึ่ง


บทที่ 835 คลุกคลีชิดใกล้


การลงมือของหลงซือเย่คือสัญญาณลับอย่างหนึ่ง


พอเขาลงมือ พวกกู่ฉานโม่ก็ลงมือแทบจะทันทีเช่นกัน…


กู้ซีจิ่วที่ยืนอยู่ข้างกายหลงซือเย่ถอนหายใจอย่างโล่งอก สำเร็จแล้ว!


แผนตกปลาในที่สุดก็ปิดฉากลงอย่างงดงามแล้ว!


นึกไม่ถึงว่าจะล่อผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังออกมาได้ง่ายดายปานนี้! นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นชิงหลัวจะขวัญกล้าเทียมฟ้าสร้างหุ่นเชิดที่มีลักษณะคล้ายตี้ฝูอีออกมา ไม่จำเป็นต้องถามเลย ตี้ฝูอีที่อยู่กับอวิ๋นชิงหลัวในเทศกาลความรักก็คือหุ่นเชิดตัวนี้ กลับสามารถตบตาเธอได้…


ประหลาดนัก ว่ากันตามเหตุผลแล้วหุ่นเชิดต่อให้เหมือนแค่ไหน สามารถตบตาคนได้เพียงใด แต่ก็ไม่น่าจะรอดพ้นประสาทสัมผัสของเจ้าหอยยักษ์ได้ ตอนนั้นเจ้าหอยยักษ์ก็เคยดมแล้ว หรือว่ากลิ่นอายบนร่างหุ่นเชิดตัวนี้ก็เหมือนตี้ฝูอีด้วย?


เธออดไม่ได้ที่จะมองคนชุดม่วงที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเข้าไป ยื่นมือไปหมายจะปลดหน้ากากบนหน้าคนชุดม่วงผู้นั้นออก เธอจะดูว่าใบหน้านี้เหมือนหรือไม่…


นิ้วเธอยังไม่ทันสัมผัสถูกหน้ากากของคนชุดม่วง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกน “ระวัง! ถอย!”


บั้นเอวเธอพลันกระชับแน่น ถูกคนโอบไว้แล้วลากออกมา…


ในเวลาเดียวกันนี้ คนชุดม่วงผู้นั้นที่เดิมทีแน่นิ่งอยู่จู่ๆ ก็กระโดดพรวดขึ้นมาเสียงดังพรึ่บ! สองมือดั่งใบมีด หมุนกวาดไปทั่วดั่งพายุคลั่ง!


เสียงลมที่ดังหวีดหวิวราวกับแฝงเสียงขลุ่ยที่เสียดแหลมไว้…


หุ่นชุดเขียวทั้งหมดล้วนเคลื่อนไหวแล้ว! ดวงตาเบื้องหลังหน้ากากแดงฉาน พุ่งเข้าจู่โจมฝูงชน!


โชคดีที่พวกกู่ฉานโม่ล้วนผ่านประสบการณ์มาโชกโชนแล้ว แถมยังเตรียมการไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว พอตี้ฝูอีตะโกนคำว่า ‘ถอย’ ออกมา ร่างกายพวกเขาพลันดีดทะยานขึ้น พากันเหินขึ้นไปบนหลังคาที่อยู่รอบด้าน…


หุ่นชุดเขียวพวกนั้นหมายจะไล่ตาม แต่รอบข้างพลันเกิดเสียงดังแกรกกรากขึ้น ผืนดินที่เคยราบเรียบแตกแยกออกทันที แสงสีเขียวสว่างวาบ ลาวาไหลทะลัก และในขณะเดียวกันเหนือศีรษะของคนชุดเขียวเหล่านั้นก็ปรากฏตาข่ายยักษ์ผืนหนึ่ง…


คนชุดเขียวเหล่านั้นรวมถึงหุ่นชุดเขียวกระโจนขึ้นมาอย่างรวดเร็วยิ่ง ทว่ากลับถูกตาข่ายยักษ์ผืนนั้นกดทับลงไป ทำได้เพียงเบิกตามองตนเองกลิ้งเข้าสู่ลาวา…


กู้ซีจิ่วยืนอยู่บนหลังคา ผู้ที่โอบเอวเธออยู่ด้านข้างก็คือตี้ฝูอี เป็นอันชัดเจนว่าผู้ที่โอบเอวเธอแล้วดึงให้ถอยได้ทันกาลก็คือเขา


หลงซือเย่เคลื่อนไหวช้ากว่าเล็กน้อย แต่ก็ร่อนลงบนหลังคานี้ตามหลังตี้ฝูอีมาติดๆ


เขามองตี้ฝูอีที่โอบเอวกู้ซีจิ่วไว้แน่นแวบหนึ่ง ก้าวเข้าไปหา “ซีจิ่ว มานี่สิ”


ตอนนี้กู้ซีจิ่วกำลังมองคนชุดเขียวพวกนั้นที่กำลังร่วงลงสู่ลาวาด้านล่างอยู่ สายตายังพัวพันอยู่ที่ร่างคนชุดม่วงผู้นั้น พอได้ยินเสียงเรียกของหลงซือเย่เธอก็ไม่ได้ตอบสนองทันที เพียงแค่มองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยตอบประโยคหนึ่ง “ข้าดูอยู่ตรงนี้ก็ได้”


หลงซือเย่เงียบงัน


หลายวันมานี้กู้ซีจิ่วกู้ซีจิ่วคลุกคลีชิดใกล้กับตี้ฝูอีตลอด เพื่อหลอกล่อผู้บงการอยู่เบื้องหลังคนนั้นจึงจงใจเล่นละครกับตี้ฝูอี แนบชิดคลอเคลียกับเขาอยู่เสมอ ก่อเป็นความเคยชินที่น่าละอาย


ดังนั้นเมื่อเธอถูกตี้ฝูอีโอบเอวไว้ในยามนี้จึงไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ เธอรู้สึกว่าตำแหน่งที่เธอยืนอยู่นี้ดีที่สุดแล้ว สามารถมองเห็นเหตุการณ์เบื้องล่างได้โดยไม่มีจุดอับสายตา


“ซีจิ่ว!” หลงซือเย่เรียกเธออีกครั้ง เอ่ยเตือนอย่างอดไม่ได้ “ละครเรื่องนี้ปิดฉากแล้ว เธอไม่จำเป็นต้อง…”


ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็รู้สึกตัว!


ใช่แล้ว ละครเรื่องนี้จบแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องใกล้ชิดกับตี้ฝูอีอีกแล้ว…


น่าตายนัก เธอเคยชินจนเป็นไปตามธรรมชาติแล้ว!


เธอแกะแขนตี้ฝูอีออกเงียบๆ ยิ้มแวบหนึ่ง “ขอบคุณท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่งนักที่ช่วยข้าไว้เมื่อครู่” จากนั้นก็ถอยหลังไปอย่างลื่นไหล ถอยไปอยู่ข้างกายหลงซือเย่


ตี้ฝูอีมองเธอครู่หนึ่ง ไม่พูดอะไร


————————————————————————————-


บทที่ 836 นางรนหาที่เอง


ค่ายกลเบื้องล่างเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แล้ว หุ่นชุดเขียวเหล่านั้นอยากหนีก็หนีไม่พ้นแล้วทำได้เพียงร่วงลงสู่ลาวาแล้วระเหยเป็นไอไปในชั่วพริบตา


ค่ายกลนี้เป็นผลงานของกู้ซีจิ่วด้วยครึ่งหนึ่ง อย่างเช่นพื้นดินที่ปริแยกนั้นก็เป็นเธอวางกับระเบิดไว้ให้ระเบิดออก…


พื้นดินนั้นทรุดตัวลงเรื่อยๆ ยามที่ฝูงชนพากันจากมาก็ไม่ได้พาอวิ๋นชิงหลัวขึ้นมาด้วย ยามนี้นางกรีดร้องอยู่ด้านล่างอย่างหมดท่า หลบหนีอย่างจนตรอก


กู่ฉานโม่ยังพะวงถึงฐานะสานุศิษย์สวรรค์ของนาง อดไม่ได้ที่จะมองไปทางตี้ฝูอี “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ช่วยนางขึ้นมาดีหรือไม่? ดีร้ายอย่างไรนางก็เป็นสานุศิษย์สวรรค์ จะตายไม่ได้…”


ตี้ฝูอีตอบอย่างไร้อารมณ์ “ไม่ต้องช่วย นี่เป็นนางรนหาที่เอง”


“แต่ว่านางเป็นสานุศิษย์สวรรค์…”


“ฐานะสานุศิษย์สวรรค์มิใช่ป้ายทองเว้นโทษตายเมื่อทำชั่ว เมื่อก่อความผิดมหันต์ ต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามสมควร!” น้ำเสียงตี้ฝูอีเฉยชาขึ้นเรื่อยๆ


“รับทราบ!” กู่ฉานโม่โล่งอก


ดีจริงๆ ที่แท้สานุศิษย์สวรรค์ก็ต้องเคารพกฏเกณฑ์ของโลกนี้เช่นกัน ไม่อาจทำตามใจได้ทุกอย่าง…


กู้ซีจิ่วที่ฟังอยู่ด้านข้างพยายามข่มใจไว้สุดท้ายก็ข่มไว้ไม่ไหว “ข้าได้ยินท่านเทพศักดิ์สิทธิ์บอกว่าสานุศิษย์สวรรค์ไม่อาจตายได้ หากว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตำหนิลงมาจะทำอย่างไร?”


ตี้ฝูอีตอบเพียงประโยคเดียว “ข้าจะรับไว้เอง”


ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครพูดอะไรอีก ฝูงชนมองดูอวิ๋นชิงหลัวที่หนีไม่พ้น สุดท้ายก็ร่วงสู่ลาวานั้นท่ามกลางเสียงกรีดร้อง หายลับไป


ขณะที่กำลังร่วงลงสู่สาวาดวงตาทั้งคู่ของนางพลันมองมาที่ตี้ฝูอี “ตี้ฝูอี ข้าจะกลับมาหาท่านให้…” ถ้อยคำส่วนหลังนางยังไม่ได้พูดออกมาก็ร่วงสู่ลาวาแล้ว


ฝูงชนเงียบสงัด


ประโยคสุดท้ายของอวิ๋นชิงหลัวโหยหวนอย่างยิ่ง ราวกับคำสาปแช่งของวิญญาณร้าย ถึงแม้รอบข้างจะมีเสียงกรีดร้องสับสนวุ่นวายก็ยังคงกังวานชัดเจน


ฝูงชนมองดูตี้ฝูอีเงียบๆ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ไม่แสดงอารมณ์อื่นใด สีหน้าเฉยชาอยู่ตลอด


ใต้หล้านี้สตรีที่ชมชอบตี้ฝูอีมีมากมาย หลงละเมอถึงเขาสารพัดก็มีไม่น้อย แต่ที่ลุ่มหลงคลั่งไคล้เช่นอวิ๋นชิงหลัวนี้กลับไม่เคยมีมาก่อน


สายตาของฝูงชนวกมาที่ร่างกู้ซีจิ่ว ระยะนี้นางกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้านอกออกในพร้อมกัน แสดงความรักหวานแหววสารพัด ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่ริษยาแทบตายแล้ว


เนื่องจากละครฉากนี้มีเรื่องเกี่ยวพันมากเกินไป ดังนั้นจึงมีน้อยคนนักที่ทราบว่าเธอกับตี้ฝูอีแค่เล่นละครกัน มีแค่ตัวต้นเรื่องทั้งสามเท่านั้นที่ทราบ แม้แต่กู่ฉานโม่ก็ถูกปิดหูปิดตาด้วย


ดังนั้นประโยคสุดท้ายนั้นที่อวิ๋นชิงหลัวตะโกนออกมา เมื่อฝูงชนมองตี้ฝูอีเสร็จ ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่กู้ซีจิ่ว อยากเห็นว่านางจะมีปฏิกิริยาอย่างไร


ผลคือพบว่าอีกฝ่ายยืนอยู่ข้างกายหลงซือเย่ ทั้งสองใกล้ชิดกันยิ่ง กำลังหารืออะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น


“หุ่นเชิดชุดม่วงล่ะ?” กู้ซีจิ่วยังพะวงถึงมัน


“คงตกลงไปแล้วเหมือนกัน” สายตาของหลงซือเย่ก็เฉียบแหลมยิ่งนักเช่นกัน


กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก “นึกไม่ถึงว่าเมื่อกี้เขายังไม่ตาย แถมยังกระโดดขึ้นมาบงการผีดิบอีก…ดาบนั้นของเขาเป็นดาบประหารเซียนไม่ใช่เหรอ? ทำไมถูกแทงหัวใจแล้วยังไม่ตายอีกล่ะ?”


อันที่จริงหลงซือเย่ก็กังขาเช่นกัน แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเพราะอะไร จึงนิ่งไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “บางทีอาจเป็นเพราะเขาเป็นหุ่นเชิดล่ะมั้ง? หุ่นเชิดเดิมทีก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แค่ถูกคนควบคุมเท่านั้น หุ่นเชิดบางชนิดไม่เกรงกลัวการถูกฟัน ไม่รู้จักความเจ็บปวด…”


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “แต่นั่นคือดาบประหารเซียนนะ บอกไว้ว่าเป็นการทำลายดวงวิญญาณโดยเฉพาะไม่ใช่เหรอ? หรือว่าดาบนั่นเป็นของปลอม?”


หลงซือเย่สั่นศีรษะ “ดาบเป็นของจริง สามารถประหัตประหารดวงวิญญาณเซียนได้จริงๆ ดังนั้นหลังจากฉันแทงเข้าไป วิญญาณของเขาก็ถูกแทงตายแล้ว”


บทที่ 837 มองว่าตัวเขาเองคือตัวเอกชายที่ทะลุมิติ


“ส่วนที่เขายังสามารถลุกขึ้นมาบงการคนพวกนั้นได้ อาจเป็นเพราะอวิ๋นชิงหลัว ยังไงซะนั่นก็เป็นหุ่นเชิดของนาง นางควบคุมได้ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว”


กู้ซีจิ่วเอ่ยว่า “ไม่ง่ายดายขนาดนั้นน่ะสิ! อวิ๋นชิงหัวเป็นปรมาจารย์หุ่นเชิดคือเรื่องจริง แต่หุ่นชุดเขียวพวกนั้นเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่านางควบคุมไม่ได้ เมื่อกี้ตอนที่คนชุดม่วงคนนั้นลุกพรวดขึ้นมาคือการควบคุมหุ่นตายโดยตรง! ดวงวิญญาณของเขาน่าจะยังไม่ตาย!”


หลงซือเย่พยักหน้า มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน “ซีจิ่ว เธอวิเคราะห์ถูกแล้ว…” เขามองลงไปข้างล่างแวบหนึ่ง “เพียงแต่เขาหล่นลงไปในลาวาแล้ว ลาวานั้นผสมอาคมไว้ ดวงวิญญาณของเขาน่าจะแตกสลายไปแล้ว”


กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไรอีก เธอรู้สึกอยู่ตลอดว่าไม่ได้ง่ายดายปานนั้น…


เพียงแต่โชคดีที่ตี้ฝูอีสาวตัวผู้ที่บงการทุกอย่างออกมาได้แล้ว งานใหญ่ของพวกเขาก็นับว่าลุล่วงแล้ว


เธอมองลงไปข้างล่างอีกครั้ง บามนี้หุ่นชุดเขียวทั้งหมดหล่นลงไปในลาวาจนสิ้นแล้ว หายลับไปไม่เห็นเงา


สรุปแล้วหุ่นตายพวกนี้มาจากไหนกันนะ?


คนที่บงการอยู่เบื้องหลังคือปรมาจารย์กู่จริงๆ น่ะหรือ? ดวงวิญญาณเขาแตกดับไปแล้วจริงๆ น่ะหรือ? นึกไม่ถึงว่าเขาจะทะลุมิติมาด้วยเหมือนกัน แถมยังทะเยอทะยานมากขนาดนี้!


ชาติก่อนกู้ซีจิ่วก็อ่านนิยายแนวพระเอกทะลุมิติมาไม่น้อย บุรุษทรงพลัง ตัวเอกชายที่ทะลุมิติเหล่านั้นล้วนชอบไปโผล่ในโลกประหลาดต่อสู้แย่งชิงใต้หล้า สุดท้ายก็จะกลายเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองโลกใบนั้น


ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือตัวเอกชายที่ทะลุมาพวกนั้นสามารถข้ามไปยังดาวอื่นได้ สุดท้ายก็จะรวบรวมทั้งจักรวาลให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน สร้างฮาเร็มมีสาวงามล้นเหลือ มีศิษย์พี่ศิษย์น้องมากมายปานดวงดาว


ดูเหมือนปรมาจารย์กู่ผู้นั้นจะมองว่าตัวเขาเองคือตัวเอกชายที่ทะลุมิติไปแล้ว ดังนั้นจึงคิดจะแทนที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอี ไม่แน่อาจคิดจะแทนที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วย…


แต่น่าเสียดายที่เขาประเมินภูมิปัญญาของคนโบราณผิดไป โดยเฉพาะการประเมินสติปัญญาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายโรคจิตคนนี้ผิดไป ผลสุดท้ายคือถูกเขาเล่นงานอย่างสิ้นเชิง!


ในเมื่อคนผู้นี้สามารถสิงสู่ร่างหุ่นได้ตามใจ ก็ต้องสามารถสิงสู่ร่างผู้อื่นได้เหมือนกัน เขาตายอย่างง่ายดายปานนั้นจริงๆ หรือ?


“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย หุ่นตายเหล่านี้คือผู้ใด? ท่านมองออกหรือไม่?” กู่ฉานโม่ซักถามตี้ฝูอีอย่างอดไม่ได้


ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ ว่า “น่าจะเป็นนายพรานของอาณาจักรเฟยซิงที่ถูกสังหารล้างตำบลเหล่านั้น”


กู่ฉานโม่ตะลึงงัน ขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้นว่า “หุ่นตายเหล่านี้คือชาวบ้านทั่วไปหรือ? ชาวบ้านทั่วไปก็สามารถนำมาหลอมสร้างเป็นหุ่นตายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้ ดูเหมือนวิชาอัปมงคลนี้จะร้ายกาจมากจริงๆ! โชคดีที่ผู้เป็นหัวหน้าตายไปแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าเขาคงใช้ประโยชน์จากหุ่นตายเหล่านี้ทำให้แผ่นดินนี้นองเลือด เช่นนั้นคงย่ำแย่เหลือคณา!”


ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร


กู่ฉานโม่กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย หุ่นเหล่านี้ล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดา เช่นนั้นก็บริสุทธิ์ไร้ความผิดอย่างยิ่ง ช่วยส่งวิญญาณได้หรือไม่?”


ในที่สุดตี้ฝูอีก็มองไปทางหลงซือเย่ “เจ้าสำนักหลงว่าอย่างไร?”


หลงซือเย่ยิ้มขื่นแล้วเอ่ยตอบ “หุ่นตายไม่มีดวงวิญญาณ ไม่อาจส่งวิญญาณได้”


ทันใดนั้นตี้ฝูอีก็ยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มนี้ของเขาค่อนข้างน่าพิศวง หลงซือเย่ถูกรอยยิ้มของเขาทำให้ขนลุก “ท่านยิ้มทำไม?”


ตี้ฝูอีเอ่ยถาม “เจ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่าพวกเขาคือหุ่นตาย?”


หลงซือเย่ผงะ “มิใช่หุ่นตายแล้วคืออะไร?”


ตี้ฝูอีมองลงไปด้านล่างแวบหนึ่ง อันที่จริงด้านล่างคือค่ายกลขนาดใหญ่ ยามนี้คนชุดเขียวเหล่านั้นร่วงหลนลงไปในลาวาจนสิ้นสลายเป็นควันไปหมดแล้ว ค่ายกลเหล่านั้นจึงเริ่มกลับสู่สภาพเดิมด้วยตัวเอง ลาวาจมลึกลงไป ผืนดินพลิกกลับมา จากนั้นสนามหญ้าก็แผ่คลุมใหม่อีกครั้ง…


ด้านล่างกลับสู่สภาพปกติแล้ว ศาลาหลังน้อยกลางสายน้ำ ทุ่งหญ้าเหยียดยาววิหคโบยบิน


ผู้ใดเล่าจะคาดถึงว่าที่นี่เคยเกิดศึกใหญ่ขึ้น?


ผู้ใดเล่าจะคาดถึงว่าด้านล่างนี้เพิ่งกลบฝังผู้คนไว้นับพัน?


————————————————————————————-


บทที่ 838 โอกาสที่ดีที่สุด


“ไปคุยกันข้างล่างเถอะ บนนี้ลมเย็น ข้าค่อนข้างหนาว” ตี้ฝูอีบิดขี้เกียจ


“ได้! เช่นนั้นก็ไปคุยกันข้างล่าง” หลงซือเย่กุมมือกู้ซีจิ่วกระโดดล่วงหน้าลงไปก่อน


วันนี้กู้ซีจิ่วสวมชุดกระโปรงสีเหลืองขนห่าน ยามลอยพลิ้วอยู่ในอากาศประหนึ่งผีเสื้อตัวหนึ่งที่กำลังโบยบิน


ส่วนเสื้อคลุมของหลงซือเย่หลวมกว้าง เสื้อคุมสีขาวโบกสะบัดดั่งเมฆาเคลื่อนคล้อยบนนภาสูง ยามที่ทั้งสองเหินทะยานเคียงข้างกันลงไปให้ความรู้สึกงดงามนัก


ชาวสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ต่างเงียบงัน


แม้กระทั่งคนอืดอาดอย่างกู่ฉานโม่ก็รู้สึกว่าฉากนี้ไม่ค่อยถูกต้องนัก เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองตี้ฝูอี


ตี้ฝูอียังคงแย้มยิ้มอยู่เหมือนเดิม เขานอนตะแคงอยู่ตั่งนุ่มตัวหนึ่งที่มู่เฟิงจัดเตรียมให้เขา สั่งการเพียงประโยคเดียว “แบกข้าลงไป”


ด้วยเหตุนี้ พวกมู่เฟิงทั้งสี่จึงยกเขาขึ้นแล้วเหินลงไป


ฝูงชนย่อมพากันกระโจนลงไปด้วยเช่นกัน


ความจริงแล้วกู้ซีจิ่วก็นึกไม่ถึงว่าหลงซือเย่จะจับมือเธอแล้วเหินทะยานเคียงข้างกันลงไป เขาเคลื่อนไหวว่องไวเกินไป กว่าปฏิกิริยาตอบสนองของเธอจะกลับมาตัวคนก็อยู่กลางอากาศแล้ว ปกติแล้วเธอไม่ชอบแตะเนื้อต้องตัวคนอื่นเท่าไหร่ แม้กระทั่งตอนที่เดินเล่นกับหลงซีในตอนนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการเดินข้างกันเท่านั้น พูดคุยสัพเพเหระ ไม่ได้ติดนิสัยชอบจับมือถือแขนกันบ่อยๆ


ดังนั้นหนนี้เธอก็คิดจะชักกลับตามสัญชาตญาณ แต่หลงซือเย่จับมือเธอไว้แน่น เธอดึงไม่ออกชั่วคราว ดึงรั้งกันอยู่ครู่หนึ่ง ตัวคนก็ร่อนลงสู่พื้นแล้ว


หลังจากร่อนสู่พื้น หลงซือเย่ก็ไม่ได้ปล่อยมือออก กู้ซีจิ่วถูกเขาจับไว้จนรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว หากว่ากระชากออกต่อหน้าผู้คน คงจะดึงดูดสายตามากมายให้มองเข้ามา


ดังนั้นเธอเลยยกมือขึ้น คิดจะทำเป็นเสยผมแล้วชักมือกลับมา


แต่หลงซือเย่กลับดึงเธอไว้ ลากให้เข้าไปใกล้อีกสองก้าว จากนั้นก็ยกมือทัดเส้นผมยุ่งๆ ปอยหนึ่งไว้หลังหูเธอ


การกระทำนี้อ่อนโยนทว่าทรงพลัง เว้นแต่ว่ากู้ซีจิ่วคิดจะหักหน้าเขาและเป็นปฏิปักษ์ต่อเขา มิเช่นนั้นก็อย่าได้ฝันว่าจะชักมือตนออกมาจากอุ้งมืออีกฝ่ายได้


นิ้วมือเขาคล้ายประพรมด้วยกลิ่นหอมสดชื่น ดวงตามองมาที่เธอ ส่งกระแสเสียงมาว่า ‘ซีจิ่ว ตอนนี้ผู้บงการเบื้องหลังถูกำจัดแล้ว ละครเรื่องนี้ของพวกเราก็สมควรปิดฉากลงได้แล้ว ก่อนหน้านี้ทุกคนเข้าใจเรื่องของพวกเราสามคนผิดไปหน่อย ไม่สู้พูดออกมาตอนนี้ดีกว่า? นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด’


หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นแรงนิดๆ เธอยังไม่ทันพูดอะไร หลงซือเย่ก็เปิดปากเอ่ยกับทุกคนที่กระโจนลงมาถึงแล้วว่า “ทุกท่าน ก่อนหน้านี้เพื่อล่อผู้บงการออกมา ข้ากับซีจิ่วและท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจึงไว้วางแผนนี้ร่วมกัน ที่วีจิ่วและท่านทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายอยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้เป็นเพียงการเล่นละครให้ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังชมเท่านั้น และอาการผิดหวังของข้าก็เป็นการเล่นละครเช่นกัน เรื่องจริงคือข้ากับซีจิ่วมีใจให้กันมานานแล้ว ตกลงปลงใจคบหากัน เนื่องจากเรื่องราวเกี่ยวพันใหญ่โต เกรงว่าจะทำให้ข้อมูลจะรั่วไหล ดังนั้นจึงปิดบังทุกท่านเอาไว้ ขออภัยด้วย ทำให้ทุกท่านเข้าใจความสัมพันธ์ของซีจิ่วกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผิดไปเสียแล้ว ผู้แซ่หลงขออภัยต่อทุกท่านในที่นี้ด้วย เพื่อเป็นแสดงความขออภัย ผู้แซ่หลงยินดีหลอมโอสถให้เป็นของขวัญ…”


น้ำเสียงเขาใสกระจ่าง หมดจดชัดเจน ปานสายลมแผ่วโชย แว่วเข้าหูทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้


ฝูงชนทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง รู้สึกเหมือนตื่นจากฝัน!


สายตาพากันหันเหไปทางกู้ซีจิ่ว แน่นอนว่ามีบางคนหันไปมองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่เพิ่งร่อนลงมานอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน


ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเงียบงัน เขาสวมหน้ากากอยู่ ผู้อื่นจึงไม่มีทางมองเห็นเลยว่าเขามีสีหน้าอย่างไร


สีหน้ากู้ซีจิ่วซีดเซียวเล็กน้อย วันนั้นที่หลงซือเย่จับได้เรื่องที่เธอกับตี้ฝูอีสลับร่างกัน ในคืนนั้นทั้งสามหารือกันมากมาย  และย่อมหารือกันเรื่องผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังด้วย หลงซือเย่เสนอตัวเล่นเป็นสายลับที่ผิดหวังในความรักครั้งนี้ ล่อให้ผู้บงการโผล่ออกมา เนื่องจากสถานการณ์ในยามนั้นเหมาะจะจัดฉากเช่นนี้เหลือเกิน เขาจึงฉวยโอกาสเล่นไปตามสถานการณ์นี้ ดังนั้นจึงเป็นเบื้องหลังของทุกอย่างนี้


บทที่ 839 เธอไม่สบายใจยิ่งนัก!


เนื่องจากเป็นการเล่นไปตามสถานการณ์ กู้ซีจิ่วที่ยามนั้นยังอยู่ในร่างของตี้ฝูอี เธอย่อมไม่คัดค้านอะไร


ทว่าตี้ฝูอีกลับเอ่ยเพียงประโยคเดียวว่า “ข้าไม่เห็นด้วยเรื่องการเล่นละครกับนาง เจ้าสำนักหลงไม่จำเป็นต้องรับบทน่ารันทดนี้”


ยามนั้นหลงซือเย่ก็ยิ้มแวบหนึ่งแล้วตอบว่า “ผู้แซ่หลงรับบทนี้มิใช่เพื่อท่าน แต่เพื่อซีจิ่ว เพื่อทั้งใต้หล้า คนผู้นี้จิตใจทะเยอทยาน จะต้องมีขุมอำนาจหนุนหลังอยู่เป็นแน่ ครั้งนี้เป้าหมายที่เขาจะลงมือคือท่าน หากปล่อยให้เขาทำสำเร็จ เป้าหมายต่อไปน่าจะเป็นพวกเราแล้ว สานุศิษย์สวรรค์ตามหลักแล้วย่อมเป็นพวกเดียวกัน สมควรช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เรื่องนี้ข้าไม่ทราบก็แล้วไปเถิด ทว่าในเมื่อทราบแล้วย่อมต้องช่วยอย่างมิอาจปัดความรับผิดชอบได้”


วาจานี้กล่าวอย่างเร่าร้อนฮึกเหิม ทำให้กู้ซีจิ่วประทับใจในตัวเขาเช่นกัน


กู้ซีจิ่วที่เดิมทีไม่ได้บอกเรื่องการสลับร่างให้เขาทราบแต่เนิ่นๆ ในใจจึงค่อนข้างรู้สึกผิดต่อเขา ในเมื่อเขาเสนอแผนการนี้ออกมา เธอย่อมเห็นด้วยอยู่แล้ว


ด้วยเหตุนี้แผนการนี้จึงถูกวางขึ้น


ตอนนี้ผู้ที่บงการเบื้องหลังก็ฮุบเหยื่อโผล่หัวออกมาแล้ว แม้แต่ลูกน้องของเขาหุ่นเชิดของเขาก็นับว่าถูกกวาดล้างจนสิ้นซากแล้ว ดังนั้นแผนการนี้ถือว่าประสบความสำเร็จยิ่งนัก ยามนี้หลงซือเย่เปิดเผยออกมาที่นี่ก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม และนับว่าเป็นการอธิบายความสนิทชิดเชื้อระหว่างเธอกับตี้ฝูอีให้กระจ่างชัดเจน แน่นอน วาจาประโยคนี้ของเขาเท่ากับเป็นการบังคับให้ความสัมพันธ์นี้สิ้นสุดลงด้วย


กู้ซีจิ่วก็ทราบว่าให้หลงซือเย่เอ่ยออกมาในยามนี้คือโอกาสที่เหมาะสมที่สุด เธอก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องคัดค้าน และแน่นอนว่าเธอย่อมไม่ปฏิเสธเช่นกัน


อย่างไรเสียก่อนที่จะสลับร่างเธอก็ตัดสินใจสานสัมพันธ์กับหลงซือเย่แล้วจริงๆ ตนมีความคิดว่าจะลองอยู่ร่วมกับเขาดู ถึงแม้จะไม่ได้ทำอะไร แต่ก็นับว่ามีความสัมพันธ์กึ่งๆ คนรักแล้ว


เป็นเพราะต่อมาเกิดเรื่องสลับร่างขึ้นถึงทำให้เธอต้องมีความสัมพันธ์ที่ดูคลุมเครือกับตี้ฝูอีอีกครั้ง…


คำอธิบายของหลงซือเย่ในยามนี้ช่วยคลายปมที่ฝูงชนคิดว่าเธอโลเลไปมาเมื่อหลายวันก่อนได้พอดี ตอนนี้เธอกับตี้ฝูอีก็นับว่าอยู่ใครอยู่มันแล้ว ละครก็ปิดฉากลงแล้ว ตามหลักก็ควรกลับไปใช้ชีวิตตามวิถีของแต่ละคน…


สิ่งที่หลงซือเย่ทำนั่นไม่ผิดเลย แต่ว่า…


เธอไม่สบายใจยิ่งนัก!


ในบรรดาฝูงชนที่อยู่ที่นี่หลานไว่หูกระโจนออกมาเป็นคนแรก สาวน้อยยิ้มตาหยีพลางกล่าวว่า “ซีจิ่ว ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง หลายวันก่อนข้าเข้าใจเจ้าผิดไปแล้ว”


เชียนหลิงอวี่ก็วิ่งเข้ามาเหมือนกัน “ซีจิ่ว ที่แท้พวกเจ้าก็เล่นละครนี่เอง ฮ่าๆ เจ้าแสดงได้สมบทบาทจริงๆ!”


กู้ซีจิ่วพูดอะไรไม่ออก


เธอฝืนข่มความว้าวุ่นในจิตใจลงทันที ยิ้มแวบหนึ่ง “โชคดีที่ละครฉากนี้จบลงแล้ว ซีจิ่วมีวาสนา ได้รับการสนับสนุนจากท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายและเจ้าสำนักหลงจึงเล่นละครฉากนี้ได้ เอาล่ะ ข้าเหนื่อยแล้ว ขอตัวลากลับก่อนแล้วกัน”


พลันหมุนกาย ใช้วิชาเคลื่อนย้ายจากไป


หลงซือเย่เงียบงัน หัวใจของเขาจมดิ่งนิดๆ ซีจิ่วกล่าวโทษที่หนนี้เขาเจ้ากี้เจ้าการทำโดยพลการใช่ไหม?


แต่ถ้าไม่ทำเช่นนี้ก็ไม่สามารถสยบเรื่องยุ่งเหยิงนี้ได้ เขาไม่อยากเสียเธอไป ดังนั้นจึงทำได้เพียงอาศัยจังหวะที่อยู่ที่นี่ตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างระหว่างเธอกับตี้ฝูอีเสีย…


เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางตี้ฝูอีแวบหนึ่ง ตี้ฝูอีกลับกล่าวอย่างเฉยชาเพียงประโยคเดียว “ข้าไม่เคยเล่นละครเลย” จากนั้นสั่งการลูกน้อง “ไปเถอะ ข้าก็ล้าแล้วเหมือนกัน”


ผู้คุ้มกันทั้งสี่ของเขาย่อมตอบรับอย่างผ่อนคลาย ยกตั่งนุ่มของตี้ฝูอีจากไปปานสายลมหอบหนึ่ง


หลงซือเย่หลุบตาลงนิดๆ ความรู้สึกวิกฤตของเขาเริ่มปะทุขึ้นแล้ว!


….


ชีวิตของกู้ซีจิ่วกลับเป็นปกติอีกครั้ง


เธอย้ายออกจากเรือนหลังนั้นของตี้ฝูอี เธอมีข้าวของไม่มาก ส่วนใหญ่ล้วนเก็บไว้ในถุงเก็บของ ดังนั้นพอต้องย้ายออกก็ไม่ต้องไปที่เรือนของเขาอีก ตกค่ำก็กลับไปพักผ่อนที่เรือนของตนได้เลย


————————————————————————————-


บทที่ 840 บุตรชายผู้โง่เขลาของตระกูลที่ร่ำรวย


เนื่องจากตอนนี้เธอเป็นศิษย์ชั้นเมฆาม่วงแล้ว ดังนั้นเธอจึงได้รับจัดสรรเรือนเดี่ยวหลังหนึ่ง


เรือนเดียวหลังนี้ย่อมเทียบกับคฤหาสน์อันหรูหราหลังนั้นของตี้ฝูอีไม่ติด แต่ดีร้ายอย่างไรเธอก็มีเรือนส่วนตัวแล้ว เธอสามารถจัดแต่งด้วยตัวเองได้แล้ว


และเพื่อฝึกฝนความสามารถแขนงต่างๆ ของศิษย์ เรือนที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จัดสรรให้ศิษย์จึงมีเพียงข้าวของที่เป็นพื้นฐานสุดๆ เท่านั้น คล้ายกับห้องเปล่าในยุคปัจจุบันมาก สามารถอยู่อาศัยได้ เพียงแต่ถ้าใครมีความคิดหน่อยก็ล้วนออกแบบและตกแต่งใหม่ทั้งนั้น


ตามกฎของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ขอเพียงลักษณะภายนอกของเรือนเดี่ยวที่มอบให้ศิษย์เหล่านี้ยังอยู่ในสภาพเดิม ภายในจะตกแต่งอย่างไรก็แล้วแต่พวกเขาเถิด


อย่างไรเสียหากไม่มีเหตุเหนือความคาดหมายอันใด ก็จะเป็นเรือนที่ต้องอาศัยไปอีกแปดเก้าปี ดังนั้นเหล่าศิษย์จึงยังคงพิถีพิถันทุ่มเทในด้านนี้ยิ่งนัก


ส่วนใหญ่ล้วนยึดตามหลักเกณฑ์ความชอบของตน


ยกตัวอย่างเช่นเรือนของเยี่ยนเฉินที่เรียบง่ายบรรยากาศดี


เชียนหลิงอวี่เดิมทีก็เป็นคุณชายน้อยจากตระกูลมั่งคั่งอยู่แล้ว นิสัยเขาชมชอบความหรูหรา ดังนั้นภายในเรือนเขาจึงตกแต่งอย่างงดงามโอ่อ่ายิ่งนัก


กู้ซีจิ่วที่ตกอยู่ภายใต้การเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้นของเขาก็เคยไปเยี่ยมชมภายในเรือนที่เขาตกแต่งไว้อย่างดีมาแล้วรอบหนึ่ง เชียนหลิงอวี่รอให้เธอกล่าววิจารณ์สักประโยคด้วยสีหน้าที่เปี่ยมด้วยความคาดหวัง


กู้ซีจิ่วไม่ได้วิจารณ์เรือนของเขา แต่กลับวิจารณ์ตัวเขา “หลิงอวี่ ทำไมเจ้าดูเหมือนบุตรชายผู้โง่เขลาของตระกูลที่ร่ำรวยเลยล่ะ?”


เชียนหลิงอวี่พูดไม่ออก


กู้ซีจิ่วตบไหล่เขา “ไอ้หนู ร่างกายของเจ้าในยามนี้ยังไม่โตพอ ห้องนี้ของเจ้าเจิดจ้าวาววับถึงเพียงนี้ ก่อให้เกิดแสงที่เป็นมลภาวะได้ง่าย ส่งผลเสียต่อการพักผ่อน ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเจ้า”


เชียนหลิงอวี่ฟังเธอพูดอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เพียงแต่หลังจากมองสีหน้าของเธออยู่พักหนึ่ง เขาก็รู้สึกซึ้งใจมาก “ซีจิ่ว ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเป็นซีจิ่วคนเดิมแล้ว! เจ้าไม่รู้หรอกว่าท่าทางในหลายวันมานี้ของเจ้าทำร้ายผู้อื่นมากแค่ไหน…ข้านึกว่าเจ้าไม่นับข้าเป็นเพื่อนซะแล้ว!”


หลานไว่หูชอบโทนสีอบอุ่นแต่นางตกแต่งด้วยตัวเองไม่ได้ ดังนั้นเยี่ยนเฉินจึงช่วยนางออกแบบทั้งหมด สุดท้ายก็ออกแบบได้เป็นห้องนอนที่มีลักษณะอบอุ่นและมีความเป็นสาวน้อยยิ่งนัก ทำให้หลานไว่หูพอใจอย่างยิ่ง


แน่นอนว่าการตกแต่งยังคงเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยเงินทองมาก หินวิญญาณถูกใช้จนเกลี้ยง หลานไว่หูไม่มีเงิน และเนื่องจากเยี่ยนเฉินถูกเจ้าหอยยักษ์ปอกลอกไปแล้ว แทบจะไม่เหลือเงินเลย แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้ที่อยู่ของจิ้งจอกน้อยซอมซ่อเกินไป ดังนั้นเขาจึงไปยืมเงินกู้ซีจิ่ว


เขานึกว่าจะถูกจอมหน้าเลือดตัวน้อยอย่างกู้ซีจิ่วปอกลอกอีกครั้งเสียแล้ว นึกว่าต้องลงนามในหนังสือสัญญาที่น่าอัปยศอดสูอันใดอีก นึกไม่ถึงว่าหนนี้กู้ซีจิ่วกลับใจกว้างยิ่งนัก นางไม่เอ่ยถึงเงื่อนไขอะไรเลย มอบหินวิญญาณสองพันก้อนให้เขาทันที แม้แต่ดอกเบี้ยก็ไม่เอา ซ้ำยังให้เขาไม่ต้องคืนเร็วนัก นางไม่รีบร้อนอะไร


ยากนักที่จะได้เห็นนางใจกว้างเช่นนี้ เยี่ยนเฉินค่อนข้างฉงนอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมื่อเห็นชัดเจนว่ากู้ซีจิ่วก็ไม่ได้ตกแต่งอะไรเลยเหมือนกัน ที่พักซอมซ่อจนไม่อาจซอมซ่อไปมากกว่านี้ได้แล้วก็ยิ่งฉงน เขานึกว่ากู้ซีจิ่วก็ไม่เข้าใจเรื่องการตกแต่งเรือนเหมือนกัน ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามนาง “ต้องการให้ผู้แซ่เยี่ยนช่วยเจ้าออกแบบหรือไม่? ตอนที่ยังไม่เข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ผู้แซ่เยี่ยนเคยร่ำเรียนการตกแต่งกับปรมาจารย์ท่านหนึ่งมา เจ้าต้องการลักษณะไหนก็สามารถออกแบบตามลักษณะนั้นได้…”


ยากนักที่จะได้เห็นเยี่ยนเฉินกระตือรือร้นถึงเพียงนี้ ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงกล่าวความต้องการของตนออกมา “ข้าชอบลักษณะแบบตำหนักสระหยก[1] มีปะการังเป็นต้นไม้ หยกมรกตเป็นกระเบื้อง กระดองเต่ากระเป็นเตียง มีไข่มุกราตรีเป็นโคมไฟ ได้ยินเรื่องตำหนักเจ้าสมุทรตงไห่[2] หรือไม่? ถ้าเจ้าสามารถออกแบบตามลักษณะนั้นให้ข้าได้ ข้าจะยกหินวิญญาณสองพันก้อนให้เจ้าไปใช้ได้ตามใจชอบเลย…”


ใบหน้าคมคายของเยี่ยนเฉินเขียวคล้ำทันที รูปแบบที่นางบอกมานั้นอย่าว่าแต่หินวิญญาณสองพันก้อนเลย ต่อให้มีหินวิญญาณสองหมื่นก้อนก็ไม่พอ!


เขาบอกกับนางอย่างจริงใจ “เจ้าอาศัยอยู่ในรังสุนัขแห่งนี้ต่อไปเถิด!” จากนั้นเขาก็หันหลังจากไปอย่างว่องไวปานเหินบิน


————————————————————————————-


[1]  ตำหนักสระหยก เป็นที่พำนักของเทพมารดรซีหวางหมู่


[2] ตำหนักเจ้าสมุทรตงไห่ เป็นที่พำนักของพญามังกรผู้ดูแลทะเลจีนตะวันออก


บทที่ 841 ความจริงที่ไม่แปรเปลี่ยน


กู้ซีจิ่วมองเรือนของตน อยู่ในสภาพดั้งเดิมเหมือนตอนแรกเริ่ม เครื่องเรือนยังนับว่าสมบูรณ์ สามารถอยู่อาศัยได้


หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เธอจะต้องอยู่ในเรือนหลังนี้ไปอีกแปดเก้าปี ว่ากันตามเหตุผลแล้วก็สมควรจะเก็บกวาดซ่อมแซมให้ดี แต่เธอรู้สึกขี้เกียจขึ้นมาชั่วขณะ หมดความสนใจในด้านนี้ไปแล้ว


แล้วไปเถอะ บ้านเรือนมีไว้อาศัย มิใช่มีไว้ประดับประดาตกแต่ง เธอจะไม่จัดการมันหรอก


วันหน้าถ้ามีกะจิตกะใจค่อยจัดการแล้วกัน ตัวเธอในยามนี้นอกจากความสนใจด้านการเล่าเรียนแล้ว อย่างอื่นล้วนไม่สนใจมากนัก


ตอนที่เธอเพิ่งย้ายเข้ามาที่นี่ หลงซือเย่เคยมาหาแล้วครั้งหนึ่ง เขากระตือรือร้นและอยากช่วยเธอวางแผน แต่ถึงแม้เขาจะเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง แต่ประสาทในด้านนี้กลับไม่พัฒนาเลยจริงๆ เรือนของตัวเขาเองยังเหมือนถ้ำหิมะอยู่เลย จะคาดหวังให้เขาออกแบบอะไรที่มีรสนิยมได้อย่างไร?


การตกแต่งบ้านในชาติก่อนของเขายังคงเป็นกู้ซีจิ่วที่ช่วยเขาออกแบบ เขาไม่มีหัวทางด้านนี้เลยจริงๆ


เนื่องจากตอนนี้กู้ซีจิ่วไม่สนใจ เขาก็ไม่อาจออกแบบให้เธอสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงยอมแพ้


อีกอย่างถึงแม้เครื่องเรือนต่างๆ ของกู้ซีจิ่วจะอยู่ในสภาพดั้งเดิมที่ดาษดื่นทั่วไปยิ่งนัก แต่ยังคงใช้ได้สะดวกสบายนัก จึงไม่ต้องรีบร้อนเปลี่ยน


ส่วนตี้ฝูอี คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะในด้านนี้ แต่เขาไม่เคยมาสักครั้งเลย


นับตั้งแต่ ‘ละคร’ ครั้งนั้นปิดฉากลง เขากับกู้ซีจิ่วก็แทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กันอีกเลย


เขายังคงอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ทุกสามวันจะเข้าสอนหนึ่งคาบ คนผู้นี้เป็นอาจารย์ที่ดี เนื้อหาที่บรรยายก็เพลิดเพลินจรรโลง อธิบายเนื้อหาที่ลึกซึ้งด้วยถ้อยคำเรียบง่าย เหล่าศิษย์เต็มใจเข้าชั้นเรียนของเขายิ่งนัก ทุกห้องเรียนที่เขาเข้าสอนล้วนมีคนเนืองแน่น ทุกครั้งยามที่เขาเข้าสอนจะมีศิษย์ของห้องอื่นมากมายมาเข้าฟังด้วย อย่าว่าแต่ในห้องเรียนเลย แม้แต่ใต้หน้าต่างนอกห้องเรียนล้วนมีคนฟังอยู่ข้างๆ ด้วย…


การสอนของเขาก็มีการเรียกถามศิษย์ด้วย ศิษย์ที่ถูกเขาถามล้วนตื่นเต้นคึกคักยิ่ง ขอเพียงตอบคำถามได้เสียงก็จะดังเป็นพิเศษ หากว่าตอบไม่ได้ก็จะหน้าแดงก่ำลำคอโป่งพอง โชคดีที่คนผู้นี้ถึงแม้ปกติจะปากคอเราะร้าย ทว่ายามเข้าสอนยังคงอ่อนโยนยิ่งนัก ต่อให้ศิษย์ตอบไม่ได้เขาก็ไม่ตำหนิ ถ้าสบช่วงที่เขาอารมณ์ดีก็จะกล่าวให้กำลังใจหลายประโยค ทำให้ศิษย์เหล่านั้นหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง!


บางทีอาจทำเพื่อเลี่ยงข้อพิพาท หรือไม่ก็เป็นเขาวางมือจากเธอแล้วจริงๆ บทเรียนที่เขาสอนมากมายจนแทบจะถามศิษย์ในชั้นเรียนคนละหนึ่งรอบ ทว่ากลับไม่เคยเรียกถามกู้ซีจิ่วเลย ทั้งสองไม่เคยสนทนากันเลยสักประโยค


เพียงแต่เหล่าอาจารย์ล้วนชมชอบลูกศิษย์ที่เรียนเก่ง นี่คือความจริงที่ไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ไม่แปรเปลี่ยน ดังนั้นยามที่ตี้ฝูอีเรียกถาม ส่วนมากก็จะเรียกถามศิษย์เก่งๆ เช่นกัน


ถึงแม้พลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วจะค่อนข้างต่ำ แต่สติปัญญาเธอยอดเยี่ยม มีความเข้าใจสูง อาจารย์ที่เข้าสอนก่อนหน้านี้แทบจะไม่มีใครไม่ชอบเธอเลย ทุกคนก็ชอบเรียกให้เธอตอบเหมือนกัน ทุกครั้งที่เธอตอบไม่เพียงถูกต้องชัดเจนเท่านั้น ยังสรุปประเด็นแล้วอนุมานต่อยอดได้อีกด้วย บางครั้งเธอก็สามารถไขปัญหาที่แม้แต่อาจารย์ก็ยังคาดไม่ถึงออกมาได้


หลงซือเย่ทุกสองวันจะสอนหนึ่งคาบ เขาก็เป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งเหมือนกัน เนื้อทั้งหมดที่บรรยายก็ได้รับคำยกย่องจากเหล่าศิษย์ยิ่งนัก เขาไม่ค่อยเรียกให้ลูกศิษย์ตอบ แต่ทุกครั้งที่เรียกจะต้องเรียกกู้ซีจิ่วให้ตอบเสมอ กู้ซีจิ่วนิสัยชอบเอาชนะ ถ้าจะทำก็ต้องทำให้ดีที่สุด ดังนั้นยามที่เธอตระเตรียมบทเรียนเนื้อหาก็จะเอนเอียงไปทางวิชาหลอมกลั่นโอสถของหลงซือเย่ เลี่ยงไม่ให้ตอบไม่ได้แล้วต้องขายหน้าผู้อื่น


ส่วนวิชาเหินหาวของตี้ฝูอี สองสามคาบแรกกู้ซีจิ่วยังคงตระเตรียมบทเรียนมาอย่างดีอยู่ หลังจากเห็นว่าเขาไม่ถามตน เธอก็ไม่เตรียมบทเรียนมาอย่างดีอีกต่อไป แค่ทำสรุปเนื้อหาการเรียนเท่านั้น


แน่นอน ตอนที่เข้าเรียนเธอก็ยังคงตั้งใจฟังยิ่งนัก ความรู้ที่ควรเก็บเกี่ยวเธอก็เก็บเกี่ยวไว้อย่างมั่นคงยิ่ง


————————————————————————————-


บทที่ 842 ไม่เคยมีใครเกี้ยวเขาได้


ศิษย์ของชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งล้วนเป็นเด็กหัวกะทิ สุ่มเลือกมาสักคนก็ล้วนเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น ตามธรรมดาแล้วเหล่าอัจฉริยะล้วนใจกล้ายิ่ง กล้าคิดกล้าทำ ต่อให้เป็นเด็กผู้หญิงก็ซื่อตรงเปิดเผยมากเช่นกัน


ในบรรดาคนเหล่านี้ดูเหมือนเล่อจื่อซิ่งแฝดสาวผู้น้อยจะโดดเด่นที่สุด สาวน้อยนางนี้ปราดเปรื่องอย่างยิ่ง เมื่อก่อนเป็นรองเพียงอวิ๋นชิงหลัวเท่านั้น


สายตานางยกสูงเหนือศีรษะ[1] มีเด็กหนุ่มเลอเลิศเป็นสหายร่วมชั้นสหายร่วมสำนักอยู่มากมายก่ายกองนางล้วนไม่เหลือบแลทั้งสิ้น ชมชอบเพียงตี้ฝูอีเท่านั้น แต่เมื่อก่อนถูกกั้นขวางไว้ด้วยความรักหวานซึ้งของกู้ซีจิ่วและตี้ฝูอีรวมถึงเห็นแก่หน้าอวิ๋นชิงหลัวด้วย นางจึงเก็บรู้สึกนี้ไว้ในใจ ไม่แสดงออกมา


ต่อมาเมื่อทราบว่าตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วแค่ร่วมกันเล่นละครฉากหนึ่งเท่านั้น หัวใจนางก็หวั่นไหวขึ้นมา วันต่อมาหลังจากละครปิดฉากลงนางก็มาหากู้ซีจิ่ว ถามอย่างตรงไปตรงมา “ก่อนหน้านี้เจ้ากับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแค่เล่นละครกันจริงๆ หรือ?”


กู้ซีจิ่วยังไม่ทันอ้าปากตอบ หลานไว่หูที่อยู่ข้างๆ ก็ตอบแทนเธอแล้ว “ใช่แล้ว ซีจิ่วชมชอบเจ้าสำนักหลงด้วยใจจริง กับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแค่เล่นละครเท่านั้น วันนั้นก็พูดชัดแล้วนี่”


เล่อจื่อซิ่งโล่งใจ เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซีจิ่ว ข้าต้องการไล่ตามท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”


หลานไว่หูตาโต “เจ้าจะไล่ตามท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหรือ? ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเกี้ยวยากเป็นที่สุด ยังไม่เคยมีใครเกี้ยวเขาได้เลย…”


เล่อจื่อซิ่งเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ว่าจะไล่ตามได้หรือไม่ข้าก็จะลองดู ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร?”


ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่นั้นมาเล่อจื่อซิ่งก็เริ่มดำเนินการไล่ตามทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย


ไม่เคยขาดเรียนคาบของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ตอบคำถามอย่างกระตือรือร้น และยามที่ตอบคำถามทุกครั้งก็สามารถอนุมานต่อยอดได้อีกด้วย


เป็นเช่นนี้อยู่สักพัก ตี้ฝูอีก็เรียกให้นางตอบบ่อยๆ นางกลายสตรีที่ถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถามมากที่สุดในชั้นเรียน


นางสร้างเหตุบังเอิญพบสารพัด ยกตัวอย่างเช่นเดินผ่านหน้าประตูเรือนตี้ฝูอี ตี้ฝูอีชอบเดินหมากอยู่ในป่าเฟิงแห่งหนึ่ง ฝีมือเดินหมากของนางก็ยอดเยี่ยมมาก จึงขอไปเสนอตัวประลองหมากกับตี้ฝูอี


ตี้ฝูอีคงจะเดินหมากคนเดียวจนเบื่อแล้วเช่นกัน ดังนั้นพอนางขอประลองหมากกับเขาเขาจึงไม่ปฏิเสธ


เล่อจื่อซิ่งคงจะเคยศึกษาพิธีชงชามา ทักษะการชงชายอดเยี่ยม ยามที่ประลองหมากนางก็ได้มอบชาถ้อยหนึ่งที่ตนชงแก่เขา ถึงแม้ตี้ฝูอีผู้นี้จะรักสะอาด ไม่เคยดื่มกินสิ่งของจากผู้อื่นเลย แต่นางก็ยังกระทำอย่างไม่รู้จักหน่าย


ฝีมือเดินหมากของตี้ฝูอีล้ำเลิศนัก อยู่ข้างนอกยามที่เล่อจื่อซิ่งเดินหมากกับผู้อื่นก็นับว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาถูกสังหารล้างกระดานเป็นประจำ ก็มีสีหน้าหดหู่อับอาย


แต่จิตใจของนางนั้นยิ่งแพ้ยิ่งกล้าหาญมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้พ่ายแพ้ก็ต้องการประลองหมากกับเขาต่อไป


บางครั้งกู้ซีจิ่วกับหลานไว่หูก็เดินผ่านที่นั่นบ้างเป็นครั้งคราว เห็นตี้ฝูอีกำลังประลองหมากกับเล่อจื่อซิ่ง เล่อจื่อซิ่งเพิ่งจะแพ้ไปตาหนึ่ง ดวงหน้าน้อยๆ แดงก่ำด้วยความร้อนใจ เหงื่อไหลลงมา หยาดเหงื่อหยดลงบนกระดานหมาก ตี้ฝูอีโยนผ้าเช็ดหน้าไหมสีขาวผืนหนึ่งให้นาง วาจาที่เอ่ยสั้นห้วนยิ่ง “เช็ดซะ!”


ดังนั้นเล่อจื่อซิ่งจึงรับผ้าเช็ดหน้าไหมสีขาวผืนนั้นมาซับเหงื่อด้วยดวงตาเปล่งประกาย…


น่าจะเป็นเพราะยามที่เดินผ่านหลานไว่หูลงเท้าหนักไปหน่อย สองคนนั้นจึงหันมามองพวกเธอที่อยู่ด้านนี้แวบหนึ่ง ตี้ฝูอีสีหน้าไร้อารมณ์ เล่อจื่อซิ่งก็แค่พยักหน้าให้พวกเธอเท่านั้น


ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ฐานะสูงส่ง ดังนั้นต่อให้เดินผ่าน ในเมื่อพบหน้าเขาแล้วก็ควรจะทำความเคารพหรือเอ่ยทักทาย


หลานไว่หูจึงวิ่งเข้าไปคารวะ ส่วนกู้ซีจิ่วก็ประสานมือทำความเคารพตี้ฝูอี


ตี้ฝูอีเพียงพยักหน้าอย่างเฉยชา ไม่ได้มองกู้ซีจิ่วเป็นพิเศษ เอ่ยเพียงว่า “ไปเถิด”


ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วกับหลานไว่หูเลยจากไป


ด้านหลังมีเสียงสนทนาของตี้ฝูอีกับเล่อจื่อซิ่งแว่วมาเบาๆ สองคนนั้นก็ไม่ได้สนทนาอื่นใด เล่อจื่อซิ่งขอคำชี้แนะเกี่ยวกับปัญหาในหลักสูตรจากเขา ตี้ฝูอีก็ตอบอย่างฉาดฉาน


————————————————————————————-


[1]  สายตายกสูงเหนือศีรษะ อุปมาถึง ใฝ่สูงหรือเย่อหยิ่งจองหอง


บทที่ 843 การตอบสนองเหมือนจะช้าลงครึ่งจังหวะ


ยามที่เดินจากมากว่าหนึ่งลี้ในที่สุดหลานไว่หูก็อดไม่อยู่ “ซีจิ่ว เจ้าว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายชอบเล่อจื่อซิ่งจริงหรือเปล่า? ดูสิพวกเขาเข้ากันได้ดีมากเลย”


กู้ซีจิ่วคล้ายว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จึงไม่ได้ตอบหลานไว่หู


กู้ซีจิ่วบำรุงรักษามาหนึ่งเดือน ในที่สุดอาการบาดเจ็บบนร่างก็หายดีแล้ว ร่างกายอันยอดเยี่ยมของเธอไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลืออยู่แล้ว บาดแผลแทงทะลุที่ใหญ่ถึงเพียงนั้นก็ไม่มีแผลเป็นหลงเหลืออยู่เช่นกัน ผิวพรรณใสกระจ่างดังเดิม ทำให้จิ้งจอกน้อยอิจฉายิ่งนัก


อาการบาดเจ็บของกู้ซีจิ่วหายดีแล้ว ย่อมถึงเวลาที่ต้องฝึกฝนการจับกลุ่มสู้แล้ว เธอยังคงจับกลุ่มกับจิ้งจอกน้อยและเชียนหลิงอวี่เหมือนเดิม วันนี้คือการซ้อมครั้งแรกของกลุ่ม


บางทีอาจเป็นเพราะไม่ได้จับกลุ่มซ้อมมานานมาแล้ว กู้ซีจิ่วจึงจับจังหวะไม่ทันอยู่บ้าง ระหว่างต่อสู้มักจะลืมสั่งการจิ้งจอกน้อยอยู่บ่อยๆ บางทีก็ร้องบอกลำดับท่าผิด ทำให้จิ้งจอกน้อยชนเชียนหลิงอวี่อยู่หลายหน ถูกทุบจนหน้ามอมไปหมด


เชียนหลิงอวี่มองกู้ซีจิ่วด้วยสีหน้าแปลกใจ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเธอ “ซีจิ่ว ช่วงที่ผ่านมาเจ้าไม่ได้ฝึกซ้อมจนมือตกไปหรือเปล่า? การตอบสนองของเจ้าเหมือนจะช้าลงครึ่งจังหวะ…”


หลานไว่หูขึงตามองเชียนหลิงอวี่แวบหนึ่ง “ย่อมต้องมือตกอยู่แล้ว ซีจิ่วไม่ได้ประสานกับพวกเรามาหนึ่งเดือนแล้วนะ ย่อมต้องมีช่วงปรับตัวกันบ้าง”


เชียนหลิงอวี่นิ่งงัน อันที่จริงเขาอยากเถียงกลับยิ่งนัก ต่อให้เป็นที่ซีจิ่วประสานกับพวกเขาเป็นครั้งแรกการตอบสนองก็ยังไม่เชื่องช้าเท่านี้เลย!


ไม่ได้ฝึกแค่เดือนเดียว ฝีมือจะตกไปสักแค่ไหนกันเชียว?


หรือจะเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บบนร่าง?


เขากำลังจะถามเกี่ยวกับบาดแผลของนางสักสองสามประโยคแสดงความเป็นห่วงเป็นใยของตน หลงซือเย่ก็มาหาแล้ว “ซีจิ่ว…” เขามาชวนกู้ซีจิ่วออกไปกินข้าวด้วยกัน เนื่องจากอีกแปดวันก็จะเป็นวันที่สิบเดือนแปดเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว เขาอยากหารือกับเธอว่าวันที่สิบห้านี้จะทำอะไรดี


เชียนหลิงอวี่เห็นเจ้าสำนักหลงผู้นี้ขวางหูขวางตาอยู่บ้าง อันที่จริงเขาเห็นบุรุษทุกคนที่ตามเกี้ยวพากู้ซีจิ่วขวางหูขวางตาทั้งสิ้น


ดังนั้นพอเห็นหลงซือเย่มาเขาก็ค่อนข้างไม่สบอารมณ์แล้ว หลานไว่หูกลับเป็นคนรู้ความ เมื่อเห็นหลงซือเย่มา นางก็คิดจะลากเชียนหลิงอวี่ออกไปทันที


คาดไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วที่อยู่ด้านหลังจะกล่าวออกมาประโยคหนึ่งว่า “เจ้าสำนักหลงต้องการเชิญไปเป็นแขก พวกเจ้าจะไปไหม?”


ขณะที่หลานไว่หูคิดจะตอบว่าไม่ไป เชียนหลิงอวี่ก็ตอบอย่างว่องไวนักแล้ว “ดีเลยๆ! คุณชายเช่นข้ากำลังหิวอยู่พอดี! ไปด้วยกันเถอะ!”


ด้วยเหตุนี้หลงซือเย่ที่เดิมทีวางแผนจะไปกันสองคนก็กลายเป็นสี่คน


เนื่องจากใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็มีมนุษยธรรมมากเช่นกันอนุญาตให้เหล่าศิษย์ออกไปกินมื้อค่ำด้านนอกได้…


แน่นอนว่าจำกัดบริเวณไว้ที่เมืองเล็กตรงตีนเขาเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ไปที่อื่น


หลงซือเย่รู้สึกว่า หลายวันมานี้กู้ซีจิ่วค่อนข้างเย็นชากับเขา เขามาหาเธอหลายครั้งคิดจะพาเธอออกไปเดินเล่น แต่เธอล้วนอ้างว่ายุ่งวุ่นวายอยู่กับการเรียนแล้วบอกปัด เขาจึงไม่ได้พาเธอออกไปตามลำพังเลยสักครั้ง!


ถึงแม้การเรียนของเธอจะยุ่งจริงๆ แต่หลงซือเย่ก็รู้สึกว่าคนๆ หนึ่งต่อให้การเรียนยุ่งวุ่นวายแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเวลาว่างสักนิดเลย


ตอนนี้ที่เธอเป็นแบบนี้น่าจะเป็นการตำหนิที่วันนั้นเขาพูดเรื่องนั้นออกไปโดยพลการ หรือไม่เธอก็น่าจะใคร่ครวญเรื่องอื่นอยู่…


นี่ทำให้เขารู้สึกวิกฤตหนักกว่าเดิม!


ดังนั้นเย็นนี้เขาจึงคิดจะพาเธอออกไปสังสรรค์สักหน่อย พูดคุยเรื่องอนาคตของพวกเขาให้ดีๆ


นึกไม่ถึงว่าเธอจะเรียกเชียนหลิงอวี่กับหลานไว่หูมาด้วย…


หนนี้ร้านอาหารที่ทั้งสี่ไปยังคงเป็นภัตตาคารที่เลื่องชื่อที่สุดในเมืองนี้ ‘หอชุมนุมเซียน’ ที่โชคไม่ดีคือ ที่นั่งบนชั้นสองมีคนจองไว้แล้ว จึงถูกไล่ที่


เถ้าแก่ของหอชุมนุมเซียนรู้จักหลงซือเย่ อย่างไรเสียในเทศกาลความรักวันนั้นเขาก็เคยเหมาชั้นสองทั้งชั้นเพื่อฉลองวันเกิดให้กู้ซีจิ่ว แถมเขายังเป็นบุคคลมีชื่อเสียงของทวีปนี้ด้วย


————————————————————————————-


 บทที่ 844 ขัดขวางการกินของผู้อื่น


แน่นอนว่าเขาจำกู้ซีจิ่วไม่ได้ เนื่องจากหนนี้กู้ซีจิ่วสวมชุดสตรี แต่ตอนที่มาหนก่อนเธอแปลงโฉมเป็นคุณชายน้อยผู้หนึ่ง


ปกติแล้วเมื่อคนใหญ่คนโตอย่างหลงซือเย่มา เขาจุดธูปต้อนรับก็ไม่นับว่าเกินเลยไป ต่อให้ชั้นสองมีแขกจองไว้แล้วเขาก็สามารถหาทางเชื้อเชิญอีกฝ่ายออกไปได้


แต่หนนี้เถ้าแก่แสดงความเสียใจต่อหลงซือเย่เป็นล้นพ้น เนื่องผู้ที่จองชั้นบนไว้คือคนใหญ่คนโตอีกท่าน…


กู้ซีจิ่วก็มิใช่ว่าถ้าไม่ใช่อาหารจากร้านนี้จะไม่กินเสียหน่อย ดังนั้นเธอจึงเสนอให้ออกไปดูร้านอื่น


กลับเป็นเชียนหลิงอวี่ที่ติดนิสัยคุณชาย ถ้าเขาเจาะจงสถานที่หนึ่งไว้แล้วต่อให้เอาเก้าตัวมาลากเขาก็ไม่ไป เขาชอบอาหารของที่นี่ ดังนั้นจึงต้องการกินที่นี่ให้ได้ แถมคุณชายน้อยผู้นี้ยังต้องการจะกินในห้องส่วนตัวอีก ดังนั้นเขาจึงเรียกร้องให้เถ้าแก่ใช้ฉากกั้นลมหรืออะไรก็ได้มากั้นเป็นห้องส่วนตัวให้เขา…


เนื่องจากชั้นล่างเนืองแน่ด้วยแขกหรื่อ อย่าว่าแต่กั้นห้องส่วนตัวเลย ขนาดหาโต๊ะว่างสักสักตัวยังไม่ได้เลย…


เถ้าแก่ผู้นั้นย่อมปฏิเสธ เชียนหลิงอวี่มีน้ำโหแล้ว ถามอย่างเหลืออด “คุณชายเช่นข้าจำได้ว่าชั้นบนมีห้องส่วนตัวเจ็ดถึงแปดห้อง แขกที่จองชั้นบนผู้นั้นจองไว้กี่ที่?”


เถ้าแก่นิ่งไปครู่หนึ่ง “ที่เดียว…”


ด้วยเหตุนี้เชียนหลิงอวี่จึงไม่พอใจ “ที่เดียวก็จองไว้เสียทั้งชั้น นี่จะเสียของเกินไปแล้ว! เจ้าคนที่จองไว้ผู้นี้ใจแคบนัก! ขัดขวางการกินของผู้อื่น คุณชายเช่นข้าจะขึ้นไปดูเสียหน่อย!”


เขาเคลื่อนไหวตามอารมณ์ บอกจะทำก็ทำเลย พูดยังไม่ทันขาดคำ ตัวเขาก็ขึ้นบันไดไปแล้ว


เขายังไม่ทันเหยียบลงบนบันไดส่วนบน ด้านบนก็มีแสงจางๆ สว่างวาบขึ้น บุรุษในชุดแดงแสนงามสง่าผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น เชียนหลิงอวี่เกือบชนร่างคนผู้นี้เข้าแล้ว รีบถอยหลังไปทันที หลังจากเห็นคนผู้นั้นชัดเจนเขาก็หงอยลง พูดโพล่งออกมาว่า “ท่านปู่!”


ใบหน้าหล่อเหลาของคนผู้นั้นพลันมืดทะมึน “เจ้าเด็กตัวเหม็น เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”


จากนั้นก็เอ่ยทักทายหลงซือเย่ที่อยู่ด้านล่าง “พี่หลงสบายดีหรือ? ยากนักที่จะได้พบพาน ขึ้นมาดื่มกันสักจอกเถิด!”


หลงซือเย่ย่อมจำเขาได้เช่นกัน คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น เป็นเชียนเยวี่ยหร่านเจ้าสำนักเก้าดารานั่นเอง นับตามลำดับอาวุโสแล้วเชียนหลิงอวี่ย่อมต้องเรียกขานเขาว่าท่านปู่


ความสัมพันธ์ระหว่างสานุศิษย์สวรรค์ค่อนข้างดี หลงซือเย่ก็เคยดื่มสุราเชียนเยวี่ยหร่านหลายหนแล้วเหมือนกัน นับว่าเป็นสหายที่คุ้นเคยกันดี


เขานึกไม่ถึงว่าจะได้พบเขาที่นี่ จึงประหลาดใจอยู่บ้าง เลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม “เหตุใดพี่เชียนถึงอยู่ที่นี่?”


กล่าวยังไม่ทันขาดคำ บนบันไดก็มีคนผู้หนึ่งเดินนวยนาดออกมาอีกครั้ง สวมอาภรณ์สีนวลจันทร์ ผ้าคลุมหน้าสีเดียวกัน แหวนดอกไม้ประดับอัญมณีเม็ดใหญ่วงหนึ่งเปล่งประกายวิบวับอยู่บนหว่างนิ้ว นางคลี่ยิ้มหวาน “เจ้าสำนักหลง ผู้น้องก็อยู่ที่นี่ด้วย”


หลงซือเย่ตะลึง


เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มขื่นๆ “วันนี้ลมอะไรหอบมากัน? เจ้าสำนักฮวาก็อยู่ที่นี่ด้วย” คนผู้ก็คือฮวาอู๋เหยียนเจ้าสำนักหยินหยาง


โดยทั่วไปแล้วสานุศิษย์สวรรค์ทั้งห้าก็มีการไปมาหาสู่เหมือนกัน สามปีจะนัดพบกันครั้งหนึ่ง แต่ยามนี้ยังไม่ถึงช่วงนัดพบ กลับพบเจอสองคนนี้…


หลงซือเย่ก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เขามองขึ้นไปชั้นบน ถามหยั่งเชิงดู “ด้านบนยังมีผู้ใดอีกหรือไม่? คงมิใช่ว่าทูตสวรรค์ฝ่ายขวาก็อยู่ที่นี่ด้วยกระมัง?”


เชียนเยวี่ยหร่านลูบจมูก กระแอมไอแล้วเอ่ย “ไม่หรอกน่า แค่ก ท่านขึ้นมาก่อนสิ พวกเราขึ้นมาแล้วค่อยพูดกันให้ละเอียดเถิด!”


สายของเขากวาดผ่านร่างเล็กๆ ทั้งสามของกู้ซีจิ่ว หลานไว่หูและเชียนหลิงอวี่แวบหนึ่ง “ท่านพาลูกศิษย์มาด้วยหรือ? สามคนนี้คือศิษย์ที่น่าภูมิใจของท่านหรือ?”


คนผู้นี้จำคนอื่นไม่ค่อยได้ อีกทั้งกู้ซีจิ่งเปลี่ยนไปมาก ดังนั้นจึงจำเธอไม่ได้ชั่วขณะ


หลงซือเย่นิ่งไปครู่หนึ่ง เห็นทีว่าชั้นบนจะเป็นการรวมตัวของสานุศิษย์สวรรค์ พาเด็กสามคนนี้ขึ้นไปด้วยดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสม


บทที่ 845 ชินกับการมีอยู่ของเขา


พาเด็กสามคนนี้ขึ้นไปด้วยดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก ถ้าหากหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องที่เหมาะให้สานุศิษย์สวรรค์ฟังเท่านั้นเล่า…


เขาเอ่ยแนะนำพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามก่อน “พวกเขาคือศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่ง…”


เขาพูดยังไม่จบ เชียนเยวี่ยหร่านก็หัวเราะฮ่าๆ แล้ว “พี่หลง ท่านสนิทสนมกับลูกศิษย์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” เขาเพ่งพิศกู้ซีจิ่วกับหลานไว่หูแวบหนึ่ง “เด็กสาวสองนางนี้พักตร์พิสุทธิ์จิตผุดผ่อง เป็นเมล็ดพันธ์ชั้นดี! ควรค่าให้พี่หลงใส่ใจเป็นพิเศษ” แล้วเตะเชียนหลิงอวี่ที่ยืนห่อเหี่ยวอยู่ด้านข้างทีหนึ่ง “นึกไม่ถึงว่าเจ้าหลานกะล่อนคนนี้ของข้าก็ได้รับความใส่ใจจากพี่หลงเช่นนี้ด้วย…”


เชียนหลิงอวี่ทรมานนัก เขาไม่กลัวฟ้าไม่ดิน สิ่งเดียวที่กลัวก็คือท่านปู่น้อยของบ้านตนผู้นี้


ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก เขาคงไม่โวยวายจะขึ้นมาชั้นบนหรอก!


เชียนเยวี่ยหร่านเป็นคนตรงไปตรงมา มองสีหน้าของหลงซือเย่ปราดเดียวก็รู้ว่าเขากังวลอะไร จึงกล่าวว่า “ยากนักที่ทุกคนจะได้มารวมตัวกัน ขึ้นมาด้วยกันเถอะ! ผีน้อยทั้งสามก็ขึ้นมาด้วยเถิด”


เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว หลงซือเย่จะปฏิเสธอีกก็คงไม่ดี เลยหันไปถามความเห็นของกู้ซีจิ่ว “พวกเราจะขึ้นไปไหม?”


กู้ซีจิ่วไม่มีความเห็นอะไร สำหรับเธอแล้ว ตอนนี้คนยิ่งมากก็ยิ่งดี ตัวเธอกับเชยนเยวี่ยหร่านและฮวาอู๋เหยียนก็นับว่ามีวาสนาพบพานเช่นกัน…


ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าตอบอย่างสบายๆ “ไปสิ”


หลานไว่หูเมื่ออยู่ข้างนอกทุกอย่างล้วนเป็นไปตามความเห็นของกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วไปที่ไหนนางก็ไปที่นั่น


ดังนั้นนางจึงไม่มีความเห็นเช่นกัน


มีเพียงเชียนหลิงอวี่ที่เป็นทุกข์ยิ่งนัก สังหรณ์ว่าอาหารมื้อนี้ตนคงกินไม่อร่อยแล้ว…


แต่ก็ไม่กล้าคัดค้าน ด้วยเหตุนี้เลยตกลงเช่นกัน


….


เพียงแต่หลังจากขึ้นไปชั้นบนแล้ว กู้ซีจิ่วรู้สึกเสียใจภายหลังอยู่บ้าง


ตี้ฝูอีทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็อยู่ด้วย!


หลายวันมานี้การสนทนาระหว่างเธอกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้แทบจะนับว่าเป็นศูนย์ นอกเหนือจากคาบเรียนของเขาแล้ว เมื่อพบกันที่อื่นก็แค่เอ่ยทักทายเท่านั้น กลายเป็นการพยักหน้าให้กัน


คสสองคนที่เคยสนิทชิดเชื้อกันถึงเพียงนั้นยามนี้กลับเทียบได้กับมิตรภาพสัตบุรุษจืดจางดั่งน้ำเปล่า[1]


โดยเฉพาะหลายคาบที่ผ่านมา เขาล้วนเรียกศิษย์ในชั้นเรียนให้ตอบคำถามกันคนละรอบ ยกเว้นเธอคนเดียว ไม่เคยขานชื่อเธอเลย นี่ทำให้สถานะในชั้นเรียนของเธอกลายเป็นแปลกแยกยิ่งนัก


เหล่าศิษย์ล้วนชมชอบเรื่องซุบซิบนินทา หลายวันก่อนเธอเคยสนิทชิดเชื้อกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเช่นนั้น เข้านอกออกในพร้อมกันประหนึ่งคู่รักที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ผลคือเป็นละครฉากหนึ่ง เรื่องนี้เดิมทีก็ทำให้เหล่าศิษย์สนใจท่าทีที่กู้ซีจิ่วและตี้ฝูอีปฏิบัติต่อกันอยู่แล้ว ดังนั้นพฤติกรรมเช่นนี้ของตี้ฝูอี เมื่อตกอยู่ในสายตาของเหล่าศิษย์ก็ค่อนข้างลึกซึ้ง แน่นอนว่าสายตาที่มองกู้ซีจิ่วก็ค่อนข้างลึกซึ้งเช่นกัน


ในชั้นเรียนเมฆาม่วงเดิมทีกู้ซีจิ่วก็เป็นตัวตนที่เจิดจรัสอยู่แล้ว เป็นประเภทที่ดึงดูดสายตาผู้อื่นได้ง่ายๆ ดังนั้นทุกครั้งยามที่ตี้ฝูอีเข้าสอน กู้ซีจิ่วจะได้รับสายตาลอบสังเกตจากเหล่าศิษย์มากที่สุด ทุกคนประหนึ่งเชอร์ล็อกโฮมส์ก็มิปาน กู้วีจิ่วเข้าเรียนพร้อมสายตามากมายที่จับจ้องมา แรงกดดันจึงค่อนข้างสูง


การที่ตี้ฝูอีปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้ กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าเรื่องนี้ปกติยิ่งนัก และเป็นสิ่งที่เธอเคยหวังไว้ในใจ


ในใจเธอมีแผนการอยู่แล้ว ถ้ามีผู้ชายอีกคนมาตามตอแยต่อไปจะสร้างปัญหาให้ผู้อื่นได้ง่ายๆ


ยามนี้ในที่สุดคนผู้นี้ก็เลือกจะปล่อยมือแล้ว ไม่ทำให้เธอลำบากใจอันใดอีกต่อไป ตามหลักแล้วเธอน่าจะโล่งใจถึงจะถูก


แต่ว่าสตินึกคิดนั่นเป็นเรื่องหนึ่ง อารมณ์ที่แท้จริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


เมื่อเข้าคาบเรียนของเขาไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกอึดอัดใจมากขึ้นเรื่อยๆ…


บางทีความเคยชินก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวโดยแท้ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อก่อนเธออยู่ร่วมห้องกับเขาครึ่งเดือน ทุกเช้าที่ตื่นนอนสิ่งแรกที่เห็นก็คือเขา ต่อให้ยามนั้นเขาอยู่ในร่างของเธอเธอก็ทราบดีว่าเป็นเขา…


ตอนนั้นเธอชินกับการมีอยู่ของเขา


————————————————————————————-


บทที่ 846 รู้สึกหลอนราวกับเหยียบย่างบนความว่างเปล่า


ยามที่ย้ายไปยังเรือนส่วนตัวของตน ทุกเช้าที่เธอตื่นความเคยชินแรกคือมองไปที่เตียงตรงข้าม


แต่ไม่มีเตียงตรงข้ามอีกต่อไปแล้ว ภายในห้องมีเพียงเตียงของตนหลังนี้หลังเดียว…


หลายวันนั้นไม่ว่าจะเข้าเรียนก็ดี ฝึกฝนอยู่ในห้องก็ดี ทุกวันตี้ฝูตี้อีจะต้องกินข้าวกับเธอสามมื้อต่อวัน ถึงแม้บางครั้งจะตี้ฝีปากกับเธอบ้าง ถึงขั้นที่เอาเปรียบเธอนิดๆ หน่อยๆ ด้วย แต่เหตุการณ์เหล่านั้นสำหรับกู้ซีจิ่วแล้วนับว่าเป็นความอบอุ่นที่พานพบได้ยาก ทำให้เธอเกือบจะคุ้นเคยไปแล้ว…


แต่หลังจากย้ายออกมา เธอก็กินข้าวที่โรงอาหารตลอด


ถึงแม้อาหารของชั้นเมฆาม่วงจะอร่อยมาก แต่เธอรู้สึกว่าขาดรสชาติไปบ้างอยู่เสมอ


แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่สนใจสายตาของผู้ใด แต่ยามที่อยู่ในคาบเรียนของเขาจะรู้สึกอยู่เสมอว่าสายตาที่บรรดาเพื่อนร่วมชั้นมองเธอราวกับมีรูปลักษณ์จับต้องได้ ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด เธอถึงขั้นรู้สึกว่าตนเกิดอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมา เมื่ออยู่ในคาบเรียนของเขาจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด รู้สึกหลอนราวกับเหยียบย่างบนความว่างเปล่า กู้ซีจิ่วไม่อยากทำให้ตัวเองไม่สบายใจ ดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยอยากเขาเรียนคาบของเขา…


คาบที่แล้วเธอจึงหาข้ออ้างโดดเรียนไปครั้งหนึ่ง


แน่นอนว่าเธอให้จิ้งจอกน้อยจดบันทึกเนื้อหาการเรียนให้เธอด้วย การเรียนจะได้ไม่ตกลงไป


โดดเรียนคนเดียวทุกคาบคงไม่ดีแน่ สองวันมานี้กู้ซีจิ่วจึงเริ่มใคร่ครวญเรื่องย้ายห้องแล้ว


ชั้นเมฆาม่วงห้องสองมีอาจารย์ที่ปรึกษาคนหนึ่งที่บรรยายความรู้ทั่วไปในการเก็บเกี่ยวสมุนไพรได้ยอดเยี่ยมมาก กู้ซีจิ่วเคยไปสังเกตการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง พบว่าความรู้ในแขนงนี้ของอาจารย์ท่านนี้ครบถ้วนกว่าเจ้าหยกนภามากนัก สอดคล้องกับความต้องการของเธอ ความรู้ในแขนงนี้ของเธอเดิมทีก็พรั่งพร้อมยิ่งนักอยู่แล้ว จึงชื่นชมอาจารย์ท่านนี้มาก อาจารย์ท่านนี้เคยพยายามโน้มน้าวให้เธอย้ายไปห้องสองด้วย


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าเมื่อพิจารณาถึงอนาคตของตน บางทีอาจจะย้ายไปห้องสองจริงๆ เลี่ยงไม่ให้จิตใจต้องปั่นป่วนอยู่เช่นนี้


สามวันตี้ฝูอีจะเข้าสอนครั้งหนึ่ง กู้ซีจิ่วโดดเรียนวิชาเขาอีกหนึ่งคาบ นับว่าไม่ได้พบปะกับเขามาหกวันแล้ว


ไม่ถูกสิ เย็นวันนี้ยังเจอเขาเดินหมากกับผู้อื่นอยู่เลย แถมยังทักทายกันเล็กน้อยด้วย


ยามนี้ได้พบเขากะทันหัน เธอจึงชะงักไปตามสัญชาตญาณ


ตี้ฝูอีท่าทางค่อนข้างเฉื่อยชา เมื่อพวกกู้ซีจิ่วทั้งสี่ขึ้นมาเขาก้กวาดตามองแวบหนึ่ง แล้วละสายตาไป ไม่ต่างอะไรกับศิษย์ชั้นเมฆาม่วงทั่วไปที่เขาพบเห็นในยามปกติ


เด็กทั้งสามล้วนเข้าไปทำความเคารพเขา เขาก็พยักหน้าให้นิดๆ ไม่ได้พูดอะไรมากมาย


เชี่ยนหลิงอวี่ที่ติดตามออกมาหนนี้เดิมคิดว่าจะได้กินเลิศรสอย่างมีความสุข คาดไม่ถึงว่าจะดพบผู้ยิ่งใหญ่กลุ่มนี้เข้า แถมท่านหนึ่งในบรรดานี้ยังเป็นท่านปู่น้อยของเขาด้วย นี่ทำให้เขาอึดอัดมาก ดังนั้นหลังจากเขาทำความเคารพเสร็จก็เสนอความเห็นต่อเชียนเยวี่ยหร่าน “ท่านปู่น้อย พวกท่าผู้ชรา…ไม่สิ ผู้ยิ่งใหญ่ไม่แน่อาจมีเรื่องต้องหารือกัน พวกเราสามคนไม่ควรเข้าร่วม ให้พวกเราไปหาห้องส่วนตัวอื่นเล่นรอดีไหมขอรับ? จะได้ไม่รบกวนพวกท่านไง”


เชียนเยวี่ยหร่านก็สัมผัสได้ว่าเจ้าเด็กที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้อึดอัด ถ้าไม่พอเจ้าเด็กคนนี้ เขายังคงวางท่านเป็นสุภาพบุรุษหนุ่มผู้สง่างามได้ แต่พอเจ้าเด็กนี่เอ่ยคำว่าท่านปู่น้อยออกมา เขาพลันรู้สึกว่าตนเป็นไม้ใกล้ฝั่งขึ้นมาทันที เจียนจะลงโลงแล้ว!


ดังนั้นเขาจึงโบกมือไล่ “ไปเถอะๆ อย่ารังแกสหายหญิงเล่า”


เชียนหลิงอวี่ได้รับประโยคนี้จากเขา ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ลากกู้ซีจิ่วกับหลานไว่หูเข้าห้องส่วนตัวห้องอื่น


ก่อนจะขึ้นมาชั้นบนเดิมทีหลงซือเย่คิดจะให้กู้ซีจิ่วร่วมโต๊ะกับตนที่นี่ แต่พอเห็นว่าตี้ฝูอีอยู่ด้วย เขาก็ยอมแพ้


จะบอกว่าเขาใจแคบก็ได้ บอกว่าเขาขี้ระแวงก็ได้ เขาไม่อยากให้ตี้ฝูอีมีโอกาสได้เข้าใกล้กู้ซีจิ่วอีก!


เขากวาดตามองรอบๆ แวบหนึ่ง เอ่ยยิ้มๆ “เห็นใดวันนี้ถึงพร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้เล่า? เป็นวันสำคัญอันใดหรือ?”


————————————————————————————-


[1]  มิตรภาพสัตบุรุษจืดจางดั่งน้ำเปล่า สำนวนเต็มๆ คือ มิตรภาพสัตบุรุษจืดจางดั่งน้ำเปล่า มิตรภาพของคนถ่อยหวานฉ่ำปานน้ำผึ้ง ความหมายคือ การคบหากันระหว่างสัตบุรุษมีแต่ความจริงใจ ไม่หวังผลประโยชน์จากอีกฝ่าย แต่การคบหากันของคนถ่อย ล้วนมีผลประโยชน์แอบแฝงทั้งนั้น วันใดที่หมดประโยชน์ก็ตัดขาดความสัมพันธ์


บทที่ 847 บำเพ็ญถึงขั้นทารกก่อกำเนิดแล้ว


เชียนเยวี่ยหร่านกล่าวว่า “ได้ยินมาว่ามีคนโจมตีสำนักสึกษาชุมนุมสวรรค์มิใช่หรือ? แถมยังได้ยินว่าพี่ตี้ถูกผู้อื่นซ้อมจนเลือดอาบ ดังนั้นจึงรีบรุดมาเยี่ยมเยือน มาปลอบขวัญพี่ตี้”


หลงซือเย่ไร้ซึ่งวาจา “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไหนเลยจะถูกซ้อมได้ง่ายดายปานนั้น? ยามนั้นเขาแสร้งเล่นละคร บนร่างติดถุงโลหิตไว้ตบตาผู้อื่นเท่านั้น”


ฮวาอู๋เหยียนคล้ายจะโล่งอก เอ่ยอย่างอ่อนหวาน “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าว่าแล้ว วรยุทธ์เยี่ยงนี้ของพี่ตี้จะถูกผู้อื่นเล่นซ้อมได้อย่างไร ถ้าเป็นเขาซ้อมคนอื่นจนเลือดอาบยังพอว่า…” เมื่อกล่าวประโยคนี้จบนางยังคงไม่วางใจอยู่บ้าง เอ่ยถามหลงซือเย่ “ใช่แล้ว พี่หลง ท่านเป็นวิชาแพทย์ ช่วยจับชีพจรให้พี่ตี้ได้หรือไม่?”


หลงซือเย่นิ่งไปครู่หนึ่ง “นี่…พี่ตี้ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด น่าจะไม่จำเป็นต้องรับการรักษาจากข้า…”


ฮวาอู๋เหยียนขมวดคิ้วนิดๆ “ท่านไม่ได้จับชีพจรให้เขาแล้วทราบได้อย่างไรว่าจะไม่บาดเจ็บ…”


พูดยังไม่ทันจบก้ถูกตี้ฝูอีตัดบทด้วยเสียงเนิบๆ “ข้าไม่ได้บาดเจ็บ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า คนผู้นั้นจิตใจทะเยอทยานยิ่งนัก ตอนนี้พวกเจ้าควรเป็นห่วงตัวเองถึงจะถูก”


หลงซือเย่ตะลึงงัน “ตัวการผู้นั้นตายไปแล้วมิใช่หรือ?”


ตี้ฝูอียิ้มบางๆ “เขาไหนเลยจะสิ้นชีพง่ายดายปานนั้น?สิ่งที่ตายมีเพียงหุ่นเชิดตัวนั้นเท่านั้น! หากข้าเดาไม่ผิดละก็ วิญญาณของคนผู้นั้นเพียงบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น ยังสามารถหยิบยืมร่างผู้อื่นเพื่อฟื้นคืนชีพได้อีก เป้าหมายของเขาน่าจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ ช่วงนี้พวกเจ้าระวังตัวหน่อย อย่าให้ผู้อื่นช่วงชิงสังขารไปได้! ยังมีอีก คนที่ลอบโจมตีสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์น่าจะมิใช่ตัวหัวหน้า เขาน่าจะเป็นหนึ่งในมันสมองของพรรคลึกลับนี้ แต่คงไม่ใช่ตัวการที่ใหญ่ที่สุด ยามนี้ผู้ที่เรียกว่าปรมาจารย์กู่เสียเปรียบสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ครั้งใหญ่ และนับว่าเป็นการมอบคำเตือนให้พรรคลึกลับนั้นด้วย พวกเขาน่าจะไม่พุ่งเป้าไปที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ชั่วคราว แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนเป้าหมาย เป็นหนึ่งในพวกเจ้า”


ฝูงชนเงียบงัน…


หลงซือเย่ขมวดคิ้ว “เพลิงโลกันต์ใต้กับดักวันนั้นมิใช่หลอมมาจากเตโชกสิณหรอกหรือ? เตโชกสิณสามารถเผาผลาญภูตผีปีศาจทั้งปวงได้มิใช่หรือ?”


ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ ว่า “เพลิงนั้นผลายได้เพียงภูตผีปีศาจธรรมดาเท่านั้น ถ้าชั่วร้ายเกินไปก็ไม่ได้ผล พื้นฐานวิญญาณของปรมาจารย์กู่ผู้นั้นบำเพ็ญถึงขั้นทารกก่อกำเนิดแล้ว เตโชกสิณทำลายเขาไม่ได้”


ฮวาอู๋เหยียนเอ่ยสอดขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าสิ่งที่โจมตีสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์คราวนี้คือหุ่นตายกลุ่มหนึ่ง…จำนวนนับพันตน…”


“พวกมันมิใช่หุ่นตายเท่านั้น น่าจะถูกวางกู่ด้วย เมื่อเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติสองประการนี้ในคราวเดียวกัน ดังนั้นกระบวนท่าที่พวกมันสำแดงจึงพิสดารนัก ทำให้คนยากจะป้องกันได้ หากมิใช่ซีจิ่วบอกให้ใช้ไฟโจมตี จัดวางกับดักเพลิงชำระล้างนั้นไว้ล่วงหน้า เกรงว่าคงไม่มีทางรับมือพวกมันได้ง่ายดายปานนี้


ฮวาอู๋เหยียนเงียบไปพักหนึ่ง “ซีจิ่ว? ใช่กู้ซีจิ่วศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นหรือไม่? ที่แท้นางก็เข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ด้วย ซ้ำยังสามารถคิดแผนการเช่นนี้ออกมาได้…”


เชียนเยวี่ยหร่านก็ประหลาดใจมากเช่นกัน “สาวน้อยจอมแก่นผู้นั้น ปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวนัก นึกไม่ถึงว่านางจะรู้มากถึงเพียงนี้ บางทีพวกเราสองคนก็ควรไปเยี่ยมนางที่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ด้วย เป็นเด็กสาวร่างเล็ก ทว่าความสามารถยิ่งใหญ่นัก…ไม่รู้ว่ายามนี้จะเติบโตมาเป็นอย่างไรแล้ว”


หลงซือเย่พูดไม่ออก


มุมปากตี้ฝูอีพลันโค้งขึ้นนิดๆ “เมื่อครู่ก็ได้พบแล้วมิใช่หรือ?”


ฮวาอู๋เหยียนใจเต้นแวบหนึ่ง นางเป็นสตรี ประสาทสัมผัสของสตรีเฉียบไวตามธรรมชาติ


เมื่อครู่ยามที่นางเห็นกู้ซีจิ่วกับหลานไว่หูถึงแม้ประลาดใจในความงามของพวกนาง แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ กลับนึกไม่ถึงว่าเด็กสาวหนึ่งในนั้นจะเป็นกู้ซีจิ่วที่ลือกันว่าเคยมีสัญญาหมั้นหมายกับตี้ฝูอี!


————————————————————————————-


 บทที่ 848 ดูคล้ายตำหนักเจ้าสมุทรเก๊อยู่บ้าง


ฮวาอู๋เหยียนฉลาดพอ นำกูซีจิ่วที่อยู่ในความทรงจำมาเทียบกับเด็กสาวสองนางที่พบก่อนหน้านี้ ตัดสินอยู่ในใจว่าคนไหนใช่


ในใจค่อนข้างรู้สึกวิกฤตแล้ว!


เมื่อก่อนตอนที่นางพบกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วยังเป็นเด็กน้อยที่สูงไม่ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตรด้วยซ้ำ อีกทั้งมีปานบนหน้าผาก ในสายตาโฉมงามอย่างฮวาอู๋เหยียน กู้ซีจิ่วนับว่าอัปลักษณ์อย่างไร้ข้อกังขา


แต่กู้ซีจิ่วที่นางได้พบเมื่อครู่กลับเป็นยอดพธูที่งามพิสุทธิ์ยิ่งนัก! หากมิใช่ตี้ฝูอีพูดออกมาชัดเจนในยามนี้ เกรงว่าต่อให้กู้ซีจิ่วอยู่ตรงหน้าฮวาอู๋เหยียนก็จำไม่ได้ว่าเป็นเธอ…


นางมองตี้ฝูอีอย่างอดไม่ได้ “แม่นางซีจิ่วผู้นั้นก็อยู่ชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งหรือ?”


เท่าที่นางทราบ ตี้ฝูอียอมสอนอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรคืครึ่งปีชั้นเรียนที่สอนก็คือชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่ง


ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ ว่า “สามคนเมื่อครู่ล้วนเป็นศิษย์ชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่ง”


เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ก็ได้ยินเสียงเชียนหลงอวี่ที่อยู่ห้องตรงข้ามเอะอะขึ้นมาว่า “เอ๊ะ นั้นใช่เยี่ยนเฉินหรือไม่? เยี่ยนเฉิน เยี่ยนเฉิน! มองทางนี้สิ! มองมาทางนี้!”


จากนั้นก็ได้ยินเสียงหลานไว่หูร้องเรียกอย่างลิงโลด “พี่เยี่ยนเฉิน!”


ผ่านไปสักครู่ก็ได้ยินเสียงเยี่ยนเฉินดังขึ้นจากห้องตรงข้ามแล้ว “ที่แท้พวกเจ้าสามคนอยู่ที่นี่! ปล่อยให้ข้าหาอยู่ตั้งนาน!”


ชัดเจนยิ่งนักว่าเยี่ยนเฉินได้ยินเสียงตะโกนของเชียนหลิงอวี่ จากนั้นก็กระโจนจากถนนเข้าสู่ห้องรับรองห้องนั้นผ่านบานหน้าต่างทันที


“โอ้ เจ้าตามหาพวกเรามีอะไรหรือ? มาสิ นั่งลงก่อน ดื่มกันสักหน่อย!” เชียนหลิงอวี่ต้อนรับขับสู้อย่างดี ดึงเยี่ยนเฉินให้นั่งลงทันที


เยี่ยนเฉินก็ไม่เกรงใจ นั่งลงจริงๆ มือเขาถือแบบแปลนแผ่นหนึ่งไว้ ยามนี้ได้หยิบออกมาให้ทั้งสามชม “ซีจิ่ว เจ้าบอกว่าอยากอาศัยในเรือนที่คล้ายตำหนักเจ้าสมุทรอันใดนั่นใช่ไหม? ข้าออกแบบให้แล้ว เป็นแบบนี้ เจ้าดูสิว่าเข้าท่าไหม?”


กู้ซีจิ่วตะลึง ตอนนั้นเธอแค่พูดแบบนั้นเพื่อหยอกเขา นึกไม่ถึงว่าเขาจะถือเป็นจริงเป็นจัง!


เยี่ยนเฉินยังอธิบายแก่เธออีกว่า “ต้นปะการังแดงหายากมาก แต่วางไว้ในห้องต้นเดียวก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องวางไว้ทั่วเรือนแบบนั้น ต้นสนแดงหน้าตาไม่ต่างจากต้นปะการังนัก ดังนั้นเจ้าสามารถปลูกต้นนี้ไว้ในเรือนได้ ส่วนกระเบื้องหยก เตียงกระดองเต่ากระ มุกราตรีเป็นโคมไฟอะไรพวกนั้นฟุ่มเฟือยเกินไป แถมยังใช้ประโยชน์จริงไม่ได้ด้วย ในเมืองนี้มีโรงกระเบื้องเขียวที่ยอดเยี่ยมมากอยู่แห่งหนึ่ง มองเผินๆ พื้นผิวก็ดูคล้ายคลึงกับหยกมรกต ใช่แล้วยังมีเตียงหยกขาวประเภทหนึ่งด้วย ลักษณะไม่ต่างจากกระดองเต่ากระเท่าไหร่ แต่ถูกกว่ากระดองเต่ากระหลายร้อยเท่าเลย ไข่มุกราตรีข้ามีอยู่เม็ดหนึ่ง มอบให้เจ้าได้ แต่ว่าสว่างไม่พอ สามารถวางไว้ในห้องใช้ต่างเทียนเล่มหนึ่งได้…”


กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามเขา “เจ้าตามหาข้าเพื่อบอกเรื่องแปลนนี้โดยเฉพาะหรือ?”


เยี่ยนเฉินตอบว่า “ต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าก่อนถึงจะลงมือทำได้ ข้าคำนวณมาแล้ว สิ่งเหล่านี้น่าจะมีค่าใช้จ่ายหนึ่งพันแปดร้อยหินวิญญาณประกอบกับเงินอีกห้าพันตำลึง น่าจะไม่เกินจากราคาที่เจ้าบอกไว้ หินวิญญาณสองพันก้อนก็นับว่าเพียงพอแล้ว”


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย เยี่ยนเฉินผู้นี้ดูเหมือนเย็นชา อันที่จริงกลับเป็นบุรุษอ่อนโยนผู้หนึ่ง จิ้งจอกน้อยช่างมีวาสนา!


ถึงแม้ตอนนั้นเธอจะแค่พูดหยอกเยี่ยนเฉินเล่น แต่เมื่อเขาออกแบบมาอย่างเอาจริงเอาจังเช่นนี้ เธอก็ปฏิเสธเขาไม่ลง


เดิมทีเธอไม่คิดจะจัดแจงที่พำนักของตนเลย แต่ในเมื่อผู้อื่นใส่ใจถึงเพียงนี้ เธอจะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่จัดแจง ดังนั้นเธอจึงรับแบบแปลนแผ่นนั้นมา มองอย่างจริงจัง จากนั้นก็ขีดวาดลงไปบนแปลน ทำการเพิ่มและตัดบางอย่างทิ้ง


เธอมีพรสวรรค์ด้านการออกแบบยิ่งนัก ที่พักแบบเดิมที่เยี่ยนเฉินออกแบบให้เธอดูคล้ายตำหนักเจ้าสมุทรเก๊อยู่บ้าง แต่เมื่อผ่านการปรับปรุงจากเธอ กลับดูวิจิตรงดงาม!


————————————————————————————-



บทที่ 849 เจ้าเป็นชายชาญทำตัวกระเง้ากระงอดไปเพื่อการใด


เยี่ยนเฉินมองอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยชม “ยอดเยี่ยม! ซีจิ่ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วย! ช่างน่าเลื่อมใส!”


เชียนหลิงอวี่ที่อยู่ด้านข้างก็ตาลุกวาว “ข้าจะเอาด้วย! ซีจิ่ว เจ้าออกแบบให้ข้าด้วยสิ!”


เยี่ยนเฉินเตะเขาออกไปทันที “รังสุนัขของเจ้าจัดแจงดีแล้วมิใช่หรือ? แสงทองวาววับเสียดตาคน…”


“ซีจิ่วดูแล้วบอกว่าไม่เหมาะนี่ บอกว่าแบบนี้จะก่อเป็นแสงอะไรสักอย่างเป็นภัย ทำให้ข้าไม่เติบโต ดังนั้นข้าจะออกแบบใหม่! ซีจิ่ว เจ้าออกแบบให้ข้าใหม่ได้ไหม?” เชียนหลิงอวี่เข้าไปกระตุกแขนเสื้อกู้ซีจิ่วทันที


ใกล้หมึกย่อมเปื้อนหมึก เขาเห็นจิ้งจอกน้อยกระตุกแขนเสื้อกู้ซีจิ่วเช่นนี้ประจำ จากนั้นไม่นานก็ทำให้นางใจอ่อนได้…


ดังนั้นเขาจึงทำหน้าหนาเลียนแบบดู


เยี่ยนเฉินทนมองสิ่งนี้ไม่ได้จริงๆ เอ่ยหยามเขา “เจ้าเป็นชายชาญทำตัวกระเง้ากระงอดไปเพื่อการใด?!”


ทั้งสี่คนเอะอะมะเทิ่งกันอยู่ภายในห้อง แต่เห็นได้ชัดเจนยิ่งนัก ว่าสี่คนนี้เข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ


หลงซือเย่ค่อนข้างนั่งไม่ติดอยู่บ้าง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าศัตรูความรักของตนดูเหมือนจะมิใช่ตี้ฝูอีเพียงคนเดียว เยี่ยนเฉินกับเชียนหลิงอวี่ที่อยู่ในห้องก็อันตรายมากเช่นกัน


โดยเฉพาะเชียนหลิงอวี่ หลายวันมานี้เจ้าเด็กนี่แทบจะวอแวกู้ซีจิ่วอยู่ตลอด


แต่ผู้อื่นเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอ แถมยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันด้วย อยู่ด้วยกันทุกวันก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจตำหนิได้


วินาทีนั้นหลงซือเย่รู้สึกว่า ถ้าตนเป็นอาจารย์ของกู้ซีจิ่วย่อมมิอาจเข้าใกล้ได้ดั่งศาลาใกล้สายชลมักได้ชมจันทร์ก่อน สู้เป็นสหายร่วมชั้นของเธอไม่ได้…


เขาอดไม่ได้ที่จะมองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง คนผู้นี้ปกติแล้วกระทำการใดล้วนไร้ขีดจำกัดล่าง ทำตามอำเภอใจ แต่ก็เก็บซ่อนความคิดได้มิดชิด เขานั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้น สีหน้าเฉื่อยชาอยู่ตลอด มองอะไรไม่ออกเลย


หลงซือเย่ไม่เชื่อว่าคนผู้นี้จะยอมปล่อยมือจากกู้ซีจิ่วจริงๆ น่าจะวางแผนอะไรอยู่…


เมื่อลงมือย่อมออกกระบวนท่าใหญ่เป็นแน่!


เด็กทั้งสี่ในห้องนั้นครึกครื้นนัก ยามนี้เหมือนจะเริ่มเล่นทายนิ้ว[1]กันแล้ว


ในเมื่อกู้ซีจิ่วเคยเป็นนักฆ่ามาก่อนเธอย่อมคุ้นเคยกับเกมกรอกสุราเช่นนี้ยิ่งนัก แถมยังคอแข็งมากด้วย ยามเล่นทายนิ้วมักจะเล่นจนคนอื่นลงไปกองอยู่ใต้โต๊ะประจำ


ดังนั้นเมื่อเธอเล่นเล่นทายนิ้วกับเด็กน้อยสามคนนี้จึงชนะมากกว่าแพ้


ล้วนเป็นเป็นเด็กน้อยเยาว์วัยด้วยกันทั้งสิ้น พอเล่นขึ้นมาก็บ้าดีเดือดยิ่งนัก แม้แต่หลานไว่หูเผยออกมาเช่นกัน


ในบรรดาคนที่อยู่ที่นี่หลานไว่หูแพ้บ่อยที่สุด และคนแพ้ก็ต้องดื่มสุราบ้างทำการแสดงบ้าง จิ้งจอกน้อยค่อนข้างไม่ได้เรื่อง ดื่มสุราไม่กี่จอกก็เมาได้ง่ายๆ แถมนางยังแสดงไม่เป็นอีก


ด้วยเหตุนี้เยี่ยนเฉินจึงทำได้เพียงดื่มแทนนาง ความสามารถในการดื่มของเยี่ยนเฉินก็ธรรมดาทั่วไป ผนวกกับบทลงโทษของตัวเขาเองด้วย หลังจากดื่มไปสิบกว่าจอก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็แดงก่ำแล้ว


จิ้งจอกน้อยปวดใจอยู่บ้าง หักใจให้เขาดื่มแทนตนไม่ได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงขอร้องกู้ซีจิ่ว เดิมทีกู้ซีจิ่วก็คิดจะดื่มแทนนางอยู่หลายจอก ทว่าจู่ๆ เชียนหลิงอวี่กลับเสนอความเห็นขึ้นมา “ซีจิ่ว เจ้าร้องเพลงได้ไม่เลวยิ่งนัก มิสู้เจ้าร้องออกมาสักเพลง?”


กู้ซีจิ่วก็เมานิดๆ แล้วเหมือนกัน อีกทั้งการร้องเพลงก็เป็นจุดแข็งของเธอ ดังนั้นจึงไม่ปฏิเสธ อ้าปากขับขานบทเพลง


เธอพยายามเลือกบทเพลงแนวโบราณ ด้วยเกรงว่าถ้าเลือกเพลงสมัยใหม่เกินไปพวกเขาจะเกิดความสงสัย


น้ำเสียงเธอใสกระจ่างกังวาน ขับขานอย่างชำนิชำนาญ อบอุ่นปานสายลมฤดูใบไม้ผลิ ทว่าแฝงความเยือกเย็นดั่งหิมะแรกฤดูใบไม้ผลิไว้รางๆ ด้วย


ฮวาอู๋เหยียนมองสามคนที่เหลือบนโต๊ะของตน พวกเขาล้วนเงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไร ตี้ฝูอีมิใช่คนพูดมากอยู่แล้ว แต่นิ้วมือข้างหนึ่งหลับเคาะหน้าโต๊ะเข้าจังหวะเบาๆ


หลงซือเย่แววตาวูบไหว หยิบขลุ่ยเลาหนึ่งขึ้นมาบรรเลงตามจังหวะนางอย่างสบายๆ


เสียงเพลงในห้องหยุดครู่หนึ่ง แล้วขับขานต่อ


————————————————————————————-


บทที่ 850 คอแห้งเสียแล้ว ไว้ค่อยร้องใหม่


เมื่อท่วงทำนองสิ้นสุดลง ฮวาอู๋เหยียนเอ่ยถามหลงซือเย่อย่างอดใจไว้ไม่ได้ “ที่แท้เจ้าสำนักหลงก็จับจังหวะดนตรีได้ยอดเยี่ยมนัก บทเพลงนี้ของแม่นางกู้ฟังดูประหลาดมาก ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แต่เจ้าสำนักหลงกลับสามารถบรรเลงตามนางอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้”


หลงซือเย่หัวเราะเบาๆ “ชมเกินไปแล้ว” เป็นเพราะเขากับเธอมาจากยุคเดียวกันเท่านั้น จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเพลงที่เธอร้องพวกนั้น


จากนั้นเขาก็เหลือบมองตี้ฝูอีอีกครั้ง เขารู้ว่าตี้ฝูอีก็บรรเลงเพลงขลุ่ยได้ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน สัมผัสด้านดนตรีก็ล้ำเลิศยิ่ง หากวัดกันตามระดับจริงๆ ทักษะดนตรีของตี้ฝูอีเหนือล้ำกว่าเขามาก


แต่ว่า ตี้ฝูอีเป็นคนที่ถือกำเนิดและเติบโตในยุคนี้ ต่อให้ความสามารถเขาล้นหลามปานใด ก็ไม่เคยได้ยินบทเพลงที่ใกล้กับเพลงในยุคปัจจุบันพวกนั้น ดังนั้นเวลานี้เขาจึงทำได้เพียงฟังอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้หลงซือเย่ที่อยู่ตรงนี้แสดงความสามารถด้านนี้ออกมา


เมื่อกู้ซีจิ่วร้องจบ เด็กน้อยอีกสามคนก็พากันร้องชมเชยพร้อมกัน หลานไว่หูเรียกร้องให้กู้ซีจิ่วร้องต่อสุดชีวิต


กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ “ถ้าเจ้าชนะข้าจะร้อง”


ด้วยเหตุนี้จิ้งจอกน้อยทุ่มเทสุดกำลัง เอาจริงขึ้นมาแล้ว!และอีกสองคนที่เหลือก็แค่อยากฟังกู้ซีจิ่วร้องเพลงอีก จึงพากันอ่อนข้อให้จิ้งจอกน้อย ดู้วยเหตุนี้ในที่สุดจิ้งจอกน้อยก็ชนะ


กู้ซีจิ่วพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น ร้องอีกเพลงจริงๆ หนนี้เพลงที่เธอร้องคือวัยเยาว์ที่ผันผ่าน บังเอิญว่าหลงซือเย่ไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน…


ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงร้องด้วยเสียงเปล่าๆ เธอเพิ่งจะร้องได้สองประโยค ก็มีเสียงพิณแว่วกังวานขึ้น เพียงพริบตาเดียวก็ไล่ตามจังหวะของเธอได้


เสียงเพลงของกู้ซีจิ่วหยุดลง หลานไว่หูที่กำลังฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม เมื่อเห็นเธอหยุดลงก็มองเธออย่างประหลาดใจ กู้ซีจิ่วยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง เอ่ยยิ้มๆ “คอแห้งเสียแล้ว ไว้ค่อยร้องใหม่”


ด้านนอกนิ้วมือตี้ฝูอีก็ละจากตัวพิณแล้ว เขาก็ดื่มน้ำชาอึกหนึ่งเช่นกัน รู้สึกว่าชานั้นเยียบเย็นและขมขื่นเล็กน้อย


ผ่านไปครู่หนึ่ง เชียนหลิงอวี่ที่อยู่ในห้องถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “โอ๊ะ ซีจิ่ว เครื่องดนตรีชิ้นนี้ของเจ้าคืออะไร?”


“กีต้าร์” กู้ซีจิ่วเอ่ยออกมาสองคำ เครื่องดนตรีชิ้นนี้เธอใช้ทักษะช่างไม้สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ถึงแม้จะเทียบชั้นกับกีต้าร์ในยุคปัจจุบันไม่ได้ แต่ตอนที่ดีดก็เกิดท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์


ดังนั้นเมื่อเธอดีดให้เกิดเสียง เด็กน้อยสามคนในห้องล้วนตกตะลึง


กู้ซีจิ่วโอบกีต้าร์ไว้ทำการร้องและบรรเลงด้วยตัวเอง เสียงกีต้าร์คลอด้วยเสียงร้องของเธอ เข้าจังหวะกับเสียงเพลงของเธออย่างน่าประหลาด


เครื่องดนตรีชิ้นนี้สำหรับโลกนี้ย่อมเป็นสิ่งพิเศษ เด็กสามคนที่อยู่ในห้องล้วนอยากรู้อยากเห็น


ผู้ใหญ่อีกสี่คนที่อยู่นอกห้องก็มีสีหน้าลุ่มลึกเช่นกัน


ฮวาอู๋เหยียนกับเชียนเยวี่ยหร่านสบตากันแวบหนึ่ง หลงซือเย่แววตาซับซ้อน เขาก็ไม่เคยคิดจะสร้างเครื่องดนตรีสักชิ้นให้ซีจิ่วเลย เพลงนั้นที่เธอร้องใกล้เคียงกับเพลงในยุคปัจจุบันอันที่จริงเมื่อผสมผสานกับเครื่องดนตรีของยุคปัจจุบันแล้วค่อนข้างได้อารมณ์


แน่นอนว่าเขาก็รู้สึกภูมิใจนิดๆ เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาใช้ขลุ่ยบรรเลงคลอไปกับกู้ซีจิ่ว ถึงแม้เสียงเพลงของกู้ซีจิ่วจะชะงักไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังร้องต่อ


แต่พอตี้ฝูอีใช้พิณบรรเลงคลอ ซีจิ่วกลับหยุดลงทันที ชัดเจนนักว่าเธอไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว


ดูเหมือนสิ่งที่ตนทำลงไปในยามนั้นจะถูกต้องแล้ว…


ขอเพียงให้เวลาสักหน่อย ซีจิ่วก็จะค่อยๆ ลืมตี้ฝูอีไป แล้วรับรักตัวเขาหลงซือเย่อย่างแท้จริง…


ความรักไม่มีก่อนหลัง ไม่มีถูกผิด ดังนั้นเพื่อให้ได้เธอมาครองเขาไม่ลังเลที่จะใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ อีก การใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ ในความรักล้วนเป็นความสำราญอย่างหนึ่ง


เดิมทีชาติก่อนซีจิ่วก็ชอบตนไม่ใช่หรือ?


ยามนั้นหากว่าตนใจกล้าสักหน่อย ไม่มีเรื่องที่ต้องพะวงมากมายปานนั้น บางทีตอนนั้นทั้งสองอาจกลสยเป็นสามีภรรยากันแล้ว ไหนเลยจะมีช่องให้ตี้ฝูอีมาแทรกได้อีก?


อันที่จริงยามนี้สานุศิษย์สวรรค์ทั้งสี่หารือกันเสร็จนานแล้ว หากเป็นยามปกติ ตี้ฝูอีคงจากไปนานแล้ว


แต่หนนี้ราวกับเขาจะลงหลักปักฐานที่นี่ นั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับ


————————————————————————————-


[1]  การเล่นทายนิ้ว คล้ายการเล่นเป่ายิ้งฉุบ แต่เป็นการทายว่าอีกฝ่ายจะออกกี่นิ้ว มักเล่นในวงสุรา ใครทายผิดจะถูกลงโทษให้ดื่มสุรา




บทที่ 851 สามารถเป็นคนกลางจับคู่ให้ได้หรือไม่


ตี้ฝูอีไม่ออกปากให้แยกย้ายกันไป อีกสามคนก็ไม่กล้าเสียมารยาทเอ่ยขึ้น


ด้วยเหตุนี้จึงล่วงเลยไปจนดึกดื่นโดยไม่ทันรู้ตัว


คนหนุ่มคนสาวง่วงงุนแล้ว อีกอย่างยังมีการบ้านของวันพรุ่งนี้อีกด้วย ดังนั้นพวกกู้ซีจิ่วทั้งสี่หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้วสนทนาสนุกสนานเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายก็ทนอยู่ไม่ไหวออกมาขอตัวอำลากับสานุศิษย์สวรรค์ทั้งสี่


หลงซือเย่อาศัยจังหวะนี้ลุกขึ้นมา “ข้าจะไปส่งพวกเจ้า”


กู้ซีจิ่วยังไม่ทันพูดอะไร เชียนหลิงอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เจ้าสำนักหลง ไม่ต้องหรอกขอรับ เส้นทางไม่ยาวไกล พวกเราหลับตาเดินก็สามารถคลำกลับไปได้ ไม่จำเป็นต้องให้ท่านไปส่งจริงๆ พวกท่านยังมีเรื่องที่ต้องหารืออยู่…”


เชียนเยวี่ยหร่านมองเชียนหลิงอวี่แล้วปวดศีรษะขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงโน้มน้าวหลงซือเย่เช่นกัน “วางใจเถิด เด็กๆ เหล่านี้ล้วนเป็นอัจฉริยะผู้มีความสามารถ ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก อีกอย่างเด็กๆ ก็ชอบเล่นสนุกกับคนวัยเดียวกัน ตาเฒ่าอย่างพวกเราอย่าตามไปแทรกแซงพวกเขาเลย ปล่อยให้คนหนุ่มสาวอยู่ด้วยกันให้มากหน่อยเถิด”


สีหน้าหลงซือเย่ทะมึนแล้ว!


ตาเฒ่าหรือ? เขายังไม่รู้สึกว่าตนแก่เลย!


เขากำลังจะเปิดปากเอ่ย เชียนหลิงอวี่ก็ถือโอกาสตีงูที่พันกิ่งแล้ว “ใช่แล้วๆ ท่านปู่น้อยของข้าพูดถูก ให้เวลาชนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้อยู่กันเองบ้างเถิด พวกท่านผู้อาวุโสก็เล่นด้วยกันไป ไม่ต้องสนใจพวกเราหรอก พวกเราต่างคนต่างเล่นเถอะ”


ดังนั้นเด็กทั้งสี่จึงพากันขอตัวจากไป


เชียนเยวี่ยหร่านส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “เฮ้อ วัยหนุ่มสาวช่างดีจริงๆ! พวกเราเมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว…เฮ้อ เป็นตาแก่! ข้าจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่ข้ากลับบ้านตระกูลเชียน เจ้าเด็กนี่เพิ่งตัวนิดเดียวเอง เหมือนอิฐศิลาเขียวก้อนเล็กๆ ไม่นึกเลยว่าผ่านไปชั่วพริบตาเดียวจะเติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว!”


ทุกคนเงียบงัน ทั้งสามคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเขาเลยสักคน ประหนึ่งมีสายลมหนาวยะเยือกพัดผ่านที่แห่งนี้


เชียนเยวี่ยหร่านยังคงปลดปลงอยู่เช่นเดิม “ใช่แล้ว พวกท่านดูออกหรือไม่ เจ้าหลานกะล่อนของข้าคนนี้ดูเหมือนจะสนใจแม่นางกู้อยู่บ้าง เจ้าเด็กนี้สายตาชี้สูงเหนือศีรษะมาโดยตลอด มีเด็กสาวไล่ตามเขามากมายถึงเพียงนี้เขาล้วนไม่มีทีท่าว่าจะหวั่นไหวเลย ข้ายังนึกว่าเจ้าเด็กนี่ปิดประตูความรักเสียแล้ว บัดนี้ดูเหมือนในที่สุดเขาก็เปิดประตูแล้ว! เจ้าเด็กนี่สายตาไม่เลว แม่นางกู้สง่างามเพียบพร้อม ได้มาเป็นสะใภ้ตระกูลเชียนของพวกเราก็คงยอดเยี่ยมนัก หรือข้าควรจะส่งจดหมายให้พ่อของหลิงอวี่สักฉบับ ให้เขาไปทาบทามกับจวนแม่ทัพไว้ก่อน…”


เขาพูดๆ อยู่ ทันได้นั้นก็บังเอิญความคิดอันชาญฉลาด มองไปทางตี้ฝูอีและหลงซือเย่อย่างกระตือรือร้น “ข้าว่าทั้งสองท่าน ตอนนี้พวกท่านเป็นอาจารย์ของเด็กทั้งสองคน สามารถเป็นคนกลางจับคู่ให้ได้หรือไม่?”


ฮวาอู๋เหยียนหมดคำพูดกับประสาทรับรู้ของเชียนเยวี่ยหร่านจริงๆ!


อดไม่ได้ที่จะส่งกระแสเสียงไปหาเขา ‘เหล่าเชียน เจ้าโง่หรือเปล่า? เจ้าดูไม่ออกหรือว่าเจ้าสำนักหลงมีความรู้สึกพิเศษต่อแม่นางกู้ผู้นั้น?’


‘หา?’ เชียนเยวี่ยหร่านเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ มองหลงซือเย่ เอ่ยถ้อยคำที่ยังไม่ผ่านการกลั่นกรองจากสมองออกมา “พี่หลง ท่านคงมิใช่กระมัง? ท่านสนใจแม่นางกู้หรือ? ท่านอายุเท่าใด? นางอายุเท่าใด? ท่านคิดจะเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อนหรือ?”


ใบหน้าหลงซือเย่เขียวคล้ำแล้ว!


ตี้ฝูอีเริ่มเก็บชุดกาสุราของตนแล้ว เขาไม่คิดจะเปลืองสมองพูดคุยอีกต่อไป เลี่ยงไม่ให้ปัญญาตนถูกฉุดต่ำลง


เชียนเยวี่ยหร่านยังคิดจะหาพันธมิตรอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงอ้าปากกล่าวรั้งเขาไว้ “พี่ตี้ ท่านว่า อย่างพี่หลงใช่โคแก่กินหญ้าอ่อนหรือไม่? ข้าคิดว่าท่านต้องโน้มน้าวเขาสักหน่อย…”


ตี้ฝูอีกล่าวอย่างเย็นชายิ่งนักว่า “ต่อไปตาเฒ่าจวนเข้าโลงอย่างเจ้าก็สนทนากับข้าให้น้อยลงเถอะ!” จากนั้นพลันหมุนกายหายลับไป


เขียนเยวี่ยหร่านนิ่งงัน


เขาพูดอะไรผิดไปหรือ?


ดังนั้นเขาจึงมองไปที่หลงซือเย่ “พี่หลง?”


มอบวาจาโหดเหี้ยมประโยคหนึ่งให้เขา “ข้าก็ไม่อยากสนทนากับตาเฒ่าจวนเข้าโลงเช่นกัน!” จากนั้นเคลื่อนกายจากไป


….


————————————————————————————-


 บทที่ 852 เจ้าหลอกลวงข้าหรือ


“มู่อวิ๋น ไสหัวออกมาหาข้าซะ!” เมื่อตี้ฝูอกลับถึงเรือนตนก็ตวาดออกมาประโยคหนึ่ง


มู่อวิ๋นปรากฏตัวออกมาทันที ค้อมกายเอ่ย “นายท่าน มีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ?”


ตี้ฝูอีมองพิศเขาหัวจรดเท้าแวบหนึ่ง “เจ้าหลอกลวงข้าหรือ?”


มู่อวิ๋นสะดุ้งโหยง รีบกล่าว “ข้าน้อยไหนเลยจะกล้า?! นายท่านผิดปกติที่ใดขอรับ?”


ตี้ฝูอีขมวดคิ้ว “เจ้ามอบความคิดเน่าๆ ให้ข้า บอกว่ากับสตรีต้องใช้กลยุทธ์ปล่อยเพื่อจับอันใดนั่น เหตุใดข้ารู้สึกว่านางยิ่งออกห่างจากข้าไปเรื่อยๆ กัน?!”


ในบรรดาสี่ทูตมู่อวิ๋นคือผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “นายท่าน ข้าน้อยคิดว่าต่อให้ใช้กลยุทธ์ปล่อยเพื่อจับก็ต้องใช้ยาแรงด้วยนะขอรับ นายท่านอาจยังปล่อยไม่พอ…”


ตี้ฝูอีเลิกคิ้วขึ้น “ยังไม่พอหรือ? จะต้องปล่อยสักแค่ไหน?” สาวน้อยผู้นั้นเริ่มโดดเรียนคาบของเขาแล้ว! ถึงแม้จะโดดแค่คาบเดียว แต่ก็ทำให้จิตใจเขาค่อนข้างระส่ำระส่าย คาบนั้นเขาไม่มีอารมณ์จะสอนเลย


อย่างไรก็ตามมู่อวิ๋นมีอุบายในการตามตื้อหญิงสาวเสมอมา กล่าวกันว่ากระทั่งสตรีเย็นชาปานภูเขาน้ำแข็งที่ยากจะเกี้ยวพาก็ยังหวั่นไหวต่อเขา ดังนั้นตี้ฝูอีจึงเชื่อถือกลยุทธ์ของมู่อวิ๋นยิ่งนัก


มู่อวิ๋นย่อมทุ่มเทกายใจให้ปัญหานี้ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “นายท่านขอรับ ท่านสามารถ…”


เขาเอ่ยความคิดของตนออกมา ตี้ฝูอีขมวดคิ้ว “แบบนี้จะใช้ได้หรือ?”


มู่อวิ๋นรับประกัน “ใช้ได้แน่นอนขอรับ!”


….


ความจริงแล้วในแง่ของความรักกู้ซีจิ่วค่อนข้างหวั่นไหวอยู่บ้างเสมอ แถมเธอยังเป็นคนที่ค่อนข้างรักมั่นยืนยาวด้วย ชาติก่อนเธอวางแผนไล่ตามหลงซีอยู่หกปี ชาตินี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะสะสางความเข้าใจผิดได้ ดังนั้นทั้งสองจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่แยกจากกัน


เธอไม่คิดจะสิ้นเปลืองความคิดกับความรักมากนัก และเธอก็ไม่คิดว่าเธอต้องการความรักเร่าร้อนเป็นตายไม่แปรผันเหมือนนิยายของคุณยายฉยงเหยาด้วย เธอรู้สึกว่าความรักเช่นนี้ของเธอกับหลงซือเย่ดีมากแล้ว ความรู้สึกที่ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นทีละน้อยถึงจะยืนยาวไปตลอดชีวิต ดังนั้นเธอจึงเตรียมที่จะรับรักหลงซือเย่ จากนั้นทั้งสองก็จะท่องโลกนี้ไปด้วยกัน ตัวคนเดียวบนโลกนั้นเหน็บหนาวเกินไป เธอจึงคิดจะหาคู่ชีวิตสักคน…


แต่ตอนนี้พออยู่กับหลงซือเย่เข้าจริงๆ บางครั้งทั้งสองคนจะพบหน้าเพื่อทานข้าวด้วยกันบ้างเป็นครั้งคราว แต่เธอรู้สึกราวกับว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป


เธอถึงขั้นหาความรู้สึกตอนที่อยู่กับหลงซือเย่เมื่อก่อนไม่เจอแล้ว…


ถึงแม้หลงซีกับหลงซือเย่จะยืนยันได้ว่าเป็นคนเดียวกันแต่ต่างกันที่บุคลิก แต่เธอก็รุ้สึกอยุ่ตลอดว่าไม่ค่อยถูกต้อง


หรือเป็นเพราะรูปลักษณ์ของหลงซีกับหลงซือเย่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง?


ถึงแม้เหตุผลนึกคิดจะทราบว่าพวกเขาคือคนเดียวกัน แต่ด้านความรู้สึกเธอกลับรู้สึกเหมือนคบหาอยู่กับพี่น้องฝาแฝดของหลงซี…


ดังนั้นระยะนี้เธอจึงถึงขั้นหลบเลี่ยงหลงซือเย่ตามสัญชาตญาณ ทุกครั้งที่เขามาหาเธอจะรู้สึกเหนื่อยใจอยู่บ้าง ต้องรวบรวมกะจิตกะใจเพื่อรับมืออยู่เสมอ


เธอเข้าใจความรู้สึกของตัวเองผิดไปหรือเปล่านะ?


เรื่องความรู้สึกมิใช่สิ่งที่คิดว่าเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นเช่นนั้น และไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำอย่างไรก็สามารถทำอย่างนั้นได้


‘ซีจิ่ว เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้ารักหลงซือเย่จริงๆ? ความรู้สึกที่เจ้ามีให้เขาคล้ายความชอบที่มีต่อพี่ชายที่โตมาด้วยกันมกกว่า…’ ถ้อยคำที่ตี้ฝูอีเคยกล่าวแว่วอยู่ข้างหูเธออีกครั้ง


เธอยกผ้าห่มขึ้นคลุมหัวอย่างว้าวุ่นใจ


มิน่าเล่าคนโบราณถึงมีสุภาษิตยอดนิยมที่กล่าวไว้ว่า ‘ตัดไม่ขาด จิตใจย่อมว้าวุ่น’ ความรู้สึกเช่นนี้คล้ายจะสับสนว้าวุ่นจริงๆ ความรู้สึกกับความมีเหตุผลไปกันคนละทิศละทางอยู่เสมอ…


เธอรู้สึกว่าช่วงนี้ตนคล้ายจะเป็นโรคประสาทแล้ว


เธอรู้ว่าไม่ควรกล่าวโทษที่หลงซือเย่กระทำด้วยพลการ แต่ว่า…


ขณะที่เธอกำลังนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงข่มตาหลับไม่ลง นอกหน้าต่างก็มีเสียงเคาะดังขึ้นสามครั้ง เบาสองครั้งหนักหนึ่งครั้ง เป็นวิธีเคาะที่หลงซือเย่ใช้เวลามาหาเธอ


เธอนวดคลึงหว่างคิ้ว เปิดประตูออกมา ผู้ที่ยืนอยู่นอกประตูคือหลงซือเย่จริงๆ ด้วย


————————————————————————————-




บทที่ 853 เธอนอนงีบที่นี่พักหนึ่งได้


เขาสวมชุดขาวโบกพลิ้วอยู่ท่ามกลางราตรีดั่งชุดเซียนเหิน


“ซีจิ่ว อยากออกไปเดินเล่นกับฉันหน่อยไหม?” หลงซือเย่มองเธอด้วยรอยยิ้ม


กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองท้องฟ้าตามสัญชาตญาณ “ดึกมากแล้ว…” ตอนนี้เป็นยามกะสามแล้ว


“ดอกเหมยบุหลัน เธออยากเห็นดอกเหมยบุหลันมาตลอดไม่ใช่เหรอ? คืนนี้เป็นวันบานของมัน ถ้าผ่านคืนนี้ไปก็ต้องรออีกสามเดือนเลย”


ใช่แล้ว ดอกไม้ชนิดนี้มีระยะเผลิบานสั้นมาก สามเดือนจะบานครั้งหนึ่ง ทุกๆ ครั้งจะบานหนึ่งวัน แถมยังบานแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น หายากกว่าดอกราตรี ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ดอกไม้นี้ไม่เพียงแต่เป็นไม้ประดับชนิดหนึ่งเท่านั้น ยังเป็นตัวยาหายากด้วย ในโอกสถมากมายที่กู้ซีจิ่วอยากหลอมก็ต้องการสิ่งนี้


….


เหมยบุหลันบานอยู่ในซอกเขาแห่งหนึ่งของหุบเขาลึก สถานที่แห่งนี้เปลี่ยวร้างไร้คนย่างกราย กว่าหลงซือเย่สามารถเสาะหาสถานที่แห่งนี้ได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ แถมยังคำนวณช่วงผลิบานของมันได้ด้วย


ภานใต้นภาที่จันทราโก้งโค้งดั่งวงคิ้ว ทุ่งดอกไม้ไหวระริกประหนึ่งดวงดาว


ดอกเหมยบุหลันหน้าตาค่อนข้างประหลาด ดอกของมันรูปร่างคล้ายดอกเหมย สีสันคือสีม่วงอ่อน แต่กลีบเลี้ยงกลับดูเหมือนจันทร์เสี้ยวสีทอง ดูเผินๆ ราวกับมีดอกเหมยดอกหนึ่งฝั่งอยู่บนจันทราเสี้ยว


ที่แห่งนี้ที่หลงซือเย่พาเธอมามีดอกไม้ชนิดนี้อยู่ไม่น้อย แผ่ออกไปกว้างไกลพลิ้วไหวหอมรวยริน ท้องนภาแต่งแต้มด้วยหมู่ดาว บุปผาบนผืนดินเปรียบเสมือนสายธารเปี่ยมสีสันที่ไหลริน มองผ่านๆ ราวกับมีพรมบุปผาปูไว้ทั่วพื้นดิน งดงามจนน่าตื่นตะลึง


“ซีจิ่ว ชอบที่นี่ไหม?” หลงซือเย่ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยถาม


“ชอบสิ! ที่นี่มีดอกไม้เยอะมาก!” กู้ซีจิ่วเริ่มหยิบตะกร้าสมุนไพรออกมา เตรียมเก็บเกี่ยวดอกไม้


“ใจเย็นๆ เดี๋ยวค่อยเก็บก็ยังไม่สาย” หลงซือเย่หยุดยั้งการเก็บเกี่ยวดอกไม้ของเธอ “ดอกไม้ชนิดนี้ยังบานอยู่อีกสามชั่วยาม ปล่อยให้พวกมันเบ่งบานไปสักพักเถอะ ตอนนี้พวกเราชมดอกไม้ไปก่อน”


กู้ซีจิ่วยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ครูฝึกหลงรักหยกถนอมบุปผาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


เธอจำได้ว่าเมื่อก่อนหลงซีก็เคยพาไปเก็บสมุนไพร ไม่ว่าดอกไม้จะงดงามชวนมองมากขนาดไหนเขาล้วนเด็ดมาอย่างส่งๆ เป็นมือดีด้านการทำลายดอกไม้ ตอนนั้นเธอห้ามเขาไว้ครั้งหนึ่งเขายังตำหนิว่าเธอใจไม่แข็งพอเลย อบรมเธออยู่พักหนึ่ง สอนหลักสูตรนักฆ่าที่ดีให้เธอ…


เธอค่อนข้างง่วง ความจริงอยากเก็บเกี่ยวดอกไม้มากจะได้ไปนอนสักที แถมเช้าวันพรุ่งนี้ยังมีคาบเรียนของตี้ฝูอีด้วย…


เธอโดดเรียนไปแล้วคาบหนึ่ง หากว่ายังโดดคาบที่สองอีก คาดว่าจะมีสหายร่วมชั้นเอาไปนินทาได้


เธอหาวออกมาอย่างควบคุมไว้ไม่ได้


“ง่วงเหรอ?” หลงซือเย่ถามเธอ


“ใช่แล้วๆ” กู้ซีจิ่วพยักหน้า กำลังจะฉวยโอกาสพูดว่า ‘พวกเรารีบเก็บดอกไม้แล้วกลับกันเถอะ’ กลับพบว่าหลงซือเย่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกระโจมโปร่งหลังหนึ่งปรากฏขึ้นมา ในกระโจมปูด้วยพรมขนสัตว์ผืนหนา เขาดึกเธอเข้าไปข้างใน “มาเถอะ เธอนอนงีบที่นี่พักหนึ่งได้”


ยามที่พูดเขายังชงชาดอกไม้ให้เธอกาหนึ่งด้วย มีขนมอบที่พิถีพิถันบรรจงหลายจานเป็นมื้อดึก


หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหวแวบหนึ่ง ของพวกนี้เป็นสิ่งที่เธอมักจะจัดเตรียมไว้ในยามที่ต้องอยู่จนดึกดื่นในชาติก่อน เพียงแต่ชาติที่เธอเตรียมไว้ประจำคือชาดอกเบญจมาศ


แต่ยามนี้ชาที่หลงซือเย่เตรียมไว้ให้เธอคือชาบงกชเหมันต์ รสชาติหอมกลมกล่อมกว่าชาดอกเบญจมาศ


ชาติก่อนเพื่อก้าวตามฝีเท้าของหลงซี เธอจึงละทิ้งความชอบที่แท้จริงของตัวเองเสมอ แสร้งว่าตัวเองชอบชาเขียว เธอนึกว่าตัวเองเก็บงำได้อย่างดีมาตลอด นึกไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วหลงซีกลับทราบ ดูจากการที่เขาจัดเตรียมชาดอกไม้นี้ให้เธอในยามนี้ก็มองออกแล้ว


บงกชเหมันต์นี้มิใช่สิ่งที่จะเก็บเกี่ยวได้ง่ายๆ หนึ่งดอกมูลค่าสูงถึงพันตำลึงทอง และในกานี้ที่หลงซือเย่ชงให้เธอมีอยู่ยี่สิบดอกเต็มๆ แถมทุกดอกล้วนเป็นของชั้นเลิศในหมู่ของชั้นเลิศอีกทีด้วย


————————————————————————————-


 บทที่ 854 เธอไม่โทษฉันจริงๆ เหรอ?


กานี้จึงล้ำค่ายิ่ง กู้ซีจิ่วค่อนข้างอบอุ่นหัวใจ


หลงซือเย่ช่างดีต่อเธอจริงๆ ดีจนทำให้เธอรู้สึกหนักใจ


เธอถอนหายใจ “ครูฝึกหลง ฉันรู้สึกว่าคุณช่างดีต่อฉันเหลือเกิน…อันที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องดีกับฉันถึงขนาดนี้…”


หลงซือเย่รินชาให้เธอถ้วยหนึ่ง จากนั้นก็ส่งขนมอบชิ้นหนึ่งให้ “ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าฉันจะทำดีกับเธอมากแค่ไหนก็ไม่มากพอ เธอคู่ควรได้รับสิ่งเหล่านี้จากฉัน”


ยิ่งเขาพูดแบบนี้กู้ซีจิ่วก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ตัดสินใจเจาะเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าสำนักหลง วันนั้นข้าบอกเพียงว่าจะลองกับท่านดู แต่ไม่ได้บอกว่าจะตอบรับท่านแน่นอน ท่านปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้…”


“เธอไม่จำเป็นต้องหนักใจ เธอจะยอมรับหรือไม่เป็นเรื่องของเธอ ฉันจะดีหรือไม่ดีต่อเธอก็เป็นเรื่องของฉัน…” หลงซือเย่แววตาจริงใจ


กู้ซีจิ่วเงียบงัน เธอนอนคว่ำลงบนพรมขนสัตว์ผืนนั้นเสียดื้อๆ ไม่พูดไม่จา


หลงซือเย่ก็นอนคว่ำลงบนพรมตามเธอ  มองทุ่งดอกไม้ด้านนอกอยู่ข้างๆ เธอ จู่ๆ ก็เอ่ยกระซิบออกมา “ซีจิ่ว ขอโทษนะ”


กู้ซีจิ่วงงงัน “หือ?”


หลงซือเย่ถอนใจพลางเอ่ยว่า “วันนั้นฉันไม่ควรป่าวประกาศเรื่องเล่นละครของพวกเธอโดยไม่ปรึกษากับเธอก่อน เป็นความผิดของฉันเอง ขอโทษนะ”


กู้ซีจิ่วนิ่งงัน


เธอส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร”


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหัวใจเธอถึงจมดิ่งลงไป ระยะนี้ที่เธอห่างเหินเย็นชากับเขาเป็นเพราะกล่าวโทษที่หลงซือเย่กระทำการโดยพลการจริงๆ น่ะหรือ? ดูเหมือนจะไม่ใช่


ต่อให้ใช่เธอก็รู้ดีเช่นกัน อันที่จริงเรื่องที่หลงซือเย่กระทำลงไปในวันนั้นไม่ผิดเลย ยามนั้นเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการสะสางความเข้าใจผิดเหล่านี้จริงๆ…


เช่นนั้นสรุปแล้วที่ช่วงนี้ตนห่างเหินเย็นชากับเขาเป็นเพราะอะไรกันล่ะ?


แถมความห่างเหินเย็นชานี้ยังเป็นการหมางเมินเขาตามสัญชาตญาณด้วย ราวกับบังคับหาเหตุผลมาเย็นชาต่อเขา


จู่ๆ ความละอายใจก้ผุดวาบขึ้นมาในหัวใจเธอ ดั่งนั้นเธอจึงส่ายศีรษะอีกครั้ง “ไม่เป็นไร ฉันไม่โทษคุณ คุณอย่าคิดมากเลย”


ดวงตาหลงซือเย่ทอประกายทันที “ซีจิ่ว เธอไม่โทษฉันจริงๆ เหรอ?”


กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่โทษเลย”


หลงซือเย่พรูลมหายใจด้วยความโล่งอก ค่อยๆ เขยิบไปใกล้เธออีกหน่อย “ซีจิ่ว ฉันดีใจมากเลย ดีใจมากจริงๆ”


บนร่างเขามีกลิ่นหอมโอสถจางๆ น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่เขาคลุกคลีกับสมุนไพรเป็นประจำ กลิ่นอายบนร่างบางครั้งก็แปรเปลี่ยนไปบ้างเหมือนกัน ต่อให้เป็นกลิ่นโอสถก็เป็นกลิ่นโอสถมากมายหลายชนิด แต่ก็กลิ่นไม่เลวร้ายอะไร


ยามนี้กลิ่นโอสถบนร่างเขาเป็นกลิ่นโอสถหอมเย็นชนิดหนึ่ง อบอวลอยู่ที่ปลายจมูกกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วดมกลิ่นบนร่างเขาจู่ๆ ก็ถามออกมาประโยคหนึ่ง “ใช่แล้ว ครูฝึกหลง คุณอยู่ที่โลกนี้นานกว่าฉัน ความรู้ก็มากกว่า เคยเรียกวิชาเรียกวิญญาณมาก่อนด้วย คุณว่าดวงวิญญาณจะมีกลิ่นไหม?”


หลงซือเย่ตะลึงงัน “เรื่องนี้…โดยส่วนใหญ่แล้วดวงวิญญาณจะโปร่งใสมีลักษณะเป็นอากาศธาตุ ไม่มีกลิ่นใดๆ มีเพียงผู้มีพรสวรรค์มาเกิดเท่านั้นถึงจะมีกลิ่นเฉพาะตัว เพียงแต่กลิ่นนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเจริญเติบโต…” สิ่งเขาบอกเธอเป็นความรู้ทั่วไปด้านกลิ่นในเชิงมานุษยวิทยา


กู้ซีจิ่วหลุบตาลง ความรู้เหล่านี้อันที่จริงเธอก็เคยศึกษามาก่อน แต่ว่า…


“ครูฝึกหลงถ้างั้นคุณเคยเจอคนแบบนี้บ้างไหม? กลิ่นบนร่างเขาเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย บางครั้งก็เข้มข้นบางครั้งก็เจือจาง แต่คงที่อยู่เสมอ ถึงขั้นที่ว่าต่อให้เขาสิงสู่ร่างคนอื่นก็จะแผ่กลิ่นหอมชนิดเดิมของตัวเขาออกมา”


หลงซือเย่เลิกคิ้วขึ้น “เป็นไปไม่ได้มั้ง?! ถ้าบอกว่าบนร่างเขากลิ่นหอมบนร่างเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยยังพอเข้าใจได้ เป็นไปได้ว่าเขาอาจชมชอบกำยานหอมเพียงชนิดเดียว แต่ถ้าหากเขาเข้าสิงสู่ร่างกายคนอื่น กลิ่นก็น่าจะเป็นกิล่นดั้งเดิมของร่างคนๆ นั้น นอกเสียจากว่าเขายังคงใช้กำยานหอมชนิดเดิมอยู่ คนนั้นที่เธอพูดถึงคือใครเหรอ?”


————————————————————————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)