องครักษ์เสื้อแพร 831-832

ตอนที่ 831 ตระกูลสวีวิจารณ์ผู้แทนพระองค์

โดย

Ink Stone_Fantasy

‘ท่านไต้’ กล่าวเช่นนี้ พ่อบ้านกลับไม่รับคำ ยิ้มกล่าวว่า


“วันนี้โรงบ้านมีแขกมาไม่น้อย นายท่านปลีกตัวมาไม่ได้ ไม่ได้มารับด้วยตัวเอง ขอท่านไต้โปรดอภัย”


ท่านไต้เดินลงจากรถม้า ดึงชุดให้เรียบร้อยแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า


“มีเจ้าคนเก่าคนแก่มาคอยรับถึงที่นี่ ก็เรียกได้ว่ามีเกียรติแล้ว จะกล่าวโทษอันใดกัน”


ได้ยินเสียงฝีเท้ามาดังมา มีคนตะโกนดัง มีคนมาอีกแล้ว พ่อบ้านใหญ่กลับไม่สนใจแขกที่มา หากเดินเข้าไปพร้อมกับท่านไต้


พอเข้าประตูไปได้สิบก้าวเดินไปตามระเบียงคด สร้างอยู่ข้างสระน้ำใหญ่ สระน้ำนี้หากบอกว่าเป็นทะเลสาบก็ไม่เกินไปนัก ขนาดใหญ่มาก จากระเบียงคดมองลงไป ก็จะได้เห็นปลาแหวกว่ายน้ำ อีกฝั่งยังมีนกเป็ดน้ำว่ายน้ำเล่นอยู่ ราวกับภาพวาด งดงามหาใดเทียม


ท่านไต้ไม่ได้มาเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังค่อยๆ เดินชม มองซ้ายมองขวาอย่างชื่นชม เห็นได้ชัดว่าหลงใหลในความงามนี้ เดินไปสักพัก ด้านหน้าก็มีสาวใช้เดินมาเป็นกลุ่ม คุยกันกระซิกๆ หัวเราะไม่หยุด สวมชุดธรรมดา แต่หน้าตารูปร่างเรียกได้ว่าอรชรอันดับหนึ่ง


“มีแขกอยู่ พวกเจ้าทำอะไรกันเนี่ย!”


พ่อบ้านหน้าตึงสั่งสอนไป สาวใช้ก็รีบก้มหน้าเดินผ่านไป  ท่านไต้หรี่ตามองหัวเราะเล็กน้อย พอสาวใช้เดินผ่านไป ก็กล่าวอย่างรื่นรมย์ว่า


“หญิงสาวเข้าฉากงาม ฉากงามยิ่งงดงาม ฉายโฉมสามัญ ภาพยิ่งงดงาม  โฉมฉายยิ่งงดงาม วันนั้นท่านอำมาตย์กล่าวเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่านายกองสวีทำได้”


“ท่านไต้ล้อเล่นแล้ว ในจวนมีผู้รอปรนนิบัติ รอท่านไต้ชื่นชม!”


สวีเจี้ยตอนนั้นเป็นมหาอำมาตย์ บุตรชายคนโตสวีพานเป็นนายกองกรมโยธา รับหน้าที่ก่อสร้างพระตำหนักในพระราชวังต้องห้าม พอออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด ระดับตำแหน่งก็ยังคงเดิม  คนคุ้นกันย่อมเรียกขานตำแหน่งเหมือนเดิม


ว่าไปแล้วก็น่าขัน สวีเจี้ยโค่นเหยียนซง เหยียนซงเองก็มีบุตรชายชื่อเหยียนซื่อฟาน ตำแหน่งก็เป็นนายกองโยธาเช่นกัน ตระกูลเหยียนกับตระกูลสวีก็เหมือนมีอันใดที่เหมือนกันอยู่


ตั้งแต่ประตูใหญ่มา ตลอดทางก็เสียเวลาไปไม่น้อย จวนตระกูลสวีใหญ่มาก ครองพื้นที่มากมาย  ท่านไต้บ่นว่า


“หากไม่ใช่จวนเจ้ามีทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ล่ะก็ เดินมานี่คงเมื่อยจนขาแทบหักไปแล้ว เจ้าลองว่ามาหน่อยว่าแขกแต่ละคนที่มา นอกจากข้าแล้ว ยังมีผู้ใดอีก?”


“เรียนท่านไต้  เจ้าอาวาสแห่งวัดผู่หยวน เขาฮุ่ยซาน เมืองฉางโจว ตระกูลหงแห่งชิงผู่ นายกองร้อยเหยียนแห่งป้อมชวนซา  นายกองพันฉีแห่งกองกำลังชิงชุน  ยังมีตระกูลจั่วจากหนานเฉียว คนรู้จักจากเมืองซูโจวและฉางโจวก็มีมาไม่น้อย”


ท่านไต้ได้ยินชื่อคนเหล่านี้ก็ขมวดคิ้ว กล่าวว่า


“ระวังมากไปแล้ว ทำอย่างกับจะยกทัพ  หากมีคนคิดหาความ ใช่ว่าคงเอาไปกล่าวกันเป็นเรื่องแล้วหรือ”


“เรียนท่านไต้ตามตรง เมืองหลวงส่งผู้แทนพระองค์มาท่านนั้น นายท่านเรายิ่งสืบข่าวก็ยิ่งกลัว คนผู้นี้ไม่เหมือนไห่รุ่ยตอนนั้น อันนี้…”


ด้านหน้าเป็นโถงรับแขก มีคนรับใช้วิ่งเข้าไปเตรียมการ ตามธรรมเนียม เจ้านายอย่างไรก็ต้องออกมารอต้อนรับที่นี่ ท่านไต้ส่ายหน้ากล่าวว่า


“มีอันใดต้องกลัวกัน มิน่าท่านอำมาตย์สวีกลับมาบ้านเกิด จึงต้องนำครอบครัวกลับมาเมืองซงเจียงหมด หากคิดเช่นนี้ คงเสียเปรียบแล้ว”


พ่อบ้านกลับไม่กล่าวอันใดต่อ ชายวัยกลางคนในชุดขุนนางนอกราชการออกมาต้อนรับประสานมือคำนับยิ้มกล่าวว่า


“ไม่เจอท่านไต้หลายปี บารมีเพิ่มพูนกว่าเดิมอีก ดังคำกล่าวว่า เทพเซียนในหมู่มนุษย์เป็นเช่นนี้เอง เชิญด้านใน รีบเข้ามาๆ”


“หากไม่ได้ตระกูลท่าน ก็ไม่อาจมีวันเวลาราวเทพเซียนนี้ได้ นายกองสวีเกรงใจไปแล้ว”


“เราเรียกขานกันพี่น้อง ไยต้องเป็นทางการเช่นนี้ด้วย หากท่านเรียกข้าว่านายกองอีก ข้าก็จะเรียกท่านว่านายกองแล้วเช่นกัน”


สองฝ่ายหัวเราะดังลั่น จูงกันเดินเข้าไปในห้องโถง ในห้องมีคนไม่น้อยนั่งอยู่ คนเหล่านี้แต่งกายกันหลากหลาย มีแบบนักบวชด้วย อยู่ทางด้านซ้ายตำแหน่งแรก พระอาจารย์ใหญ่นั่งอยู่ สีหน้ากระจ่างบารมี คางมีเนื้อสองชั้น สวมจีวรที่ถึงกับทำจากด้ายทองคำ หรูหรามาก


มองไปเช่นนี้ พระรูปนี้ดูสะดุดตาที่สุด ด้านขวาคนสุดท้ายเป็นชายฉกรรจ์นั่งหลังตรงอยู่คนหนึ่ง ชายฉกรรจ์สวมชุดยาวพื้นแดงลายทอง เสื้อผ้านี้อยู่บนตัวเขาแล้วดูไม่เข้ากัน ด้านนอกลมพัดเข้าไป  พัดเอาชายเสื้อเปิดขึ้น ด้านในเขาถึงกับสวมกางเกงขาสั้นและรองเท้าฟาง ช่างดูแปลกมาก


ชายฉกรรจ์ผู้นี้รูปร่างผอมเกร็ง ทว่ากลับมีกล้ามเนื้อแน่น ดูแข็งแรงมาก ด้านขวานอกจากพระรูปนั้นกับชายฉกรรจ์ผู้นี้แล้ว ที่เหลือก็เป็นขุนนางบู๊  ดูชุดแล้วแม้ว่ามีลายสัตว์ป่า แต่ดูแล้วระดับไม่สูงนัก ก็คงแค่นายกองร้อยหรือนายกองพันของจวนขุนพลในพื้นที่เท่านั้น


เทียบกันแล้ว คนหัวแถวด้านซ้ายดูดีกว่า มีหลายคนแต่งตัวเหมือนสวีพานและท่านไต้ ดูก็รู้ว่าเป็นชนชั้นสูงคหบดีใหญ่


พอสวีพานกับท่านไต้เข้ามา เห็นทุกคนมองมา สวีพานยิ้มกล่าวว่า


“ขอแนะนำทุกท่าน ท่านนี้คือท่านไต้เฟิ่งเสียน เจ้าบ้านเซียงหยวนแห่งเมืองซูโจว ท่านไต้เป็นสหายเก่าแก่ตระกูลสวีเมืองหลวงส่งคนมาครานี้ อย่างไรก็ต้องเชิญท่านไต้มาหารือ”


รู้จักหรือไม่ไม่ว่ากัน แต่ทุกคนก็ย่อมลุกขึ้นยิ้มแย้มทักทาย ท่านไต้เองก็ยิ้มพยักหน้า หากนั่งลงบนหัวแถวด้านซ้าย


มีคนแอบกระซิบกันว่า “ท่านไต้คือ..” คนรู้จักก็มี รีบมีคนตอบว่า


“ก็คนที่รับเงินแล้วโค่นไห่รุ่ยนั่นไง”


เสียงเบามาก ทว่าพูดถึงเรื่องนี้ทุกคนก็นึกขึ้นมาได้ทันที ตอนนั้นไห่รุ่ยเป็นผู้ตรวจการมายังแดนใต้ตรวจสอบ ตระกูลสวีเจี้ยยึดครองที่นามาก ทำให้ไห่รุ่ยกัดไม่ปล่อย ว่ากันว่าตระกูลสวีใช้เงินสามหมื่นตำลึงทองซื้อตัวไต้เฟิ่งเสียนแห่งกรมปกครองไต้เฟิ่งเสียนยื่นฎีกาไห่รุ่ยบีบบังคับภรรยาน้อยจนตาย ทำให้ไห่รุ่ยถูกปลด ทำให้ตระกูลสวีรอดมาได้


ไต้เฟิ่งเสียนเห็นเงินก็รับ รับเงินก้อนโตแล้วก็ไม่ได้อยู่รับใช้ราชสำนักต่อ หากปีต่อมาก็ลาออกกลับบ้านเกิด มาสร้างเรือนมีสวนในเมืองซูโจว ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข


เห็นทุกคนนั่งลงแล้ว คนรับใช้ก็ยกชาและขนมเข้ามารับรอง สวีพานโบกมือ คนรับใช้ในห้องพากันออกไป พ่อบ้านไปปล่อยม่านที่หน้าประตูลง ตนเองออกไปเฝ้าด้านนอกไว้ สวีพานจึงได้กระแอมไอเริ่มกล่าวว่า


“ทุกท่าน ข่าวจากเมืองหลวงคิดว่าทุกท่านคงทราบแล้ว บิดาข้ากับท่านอาข้าสร้างกิจการมา ก็หวังให้ลูกหลานตระกูลสวีได้มีกินมีใช้ไปชั่วลูกหลาน  แต่อย่างไรก็มีมารมาผจญ อิจฉาความร่ำรวยตระกูลสวีเรา ไปใส่ร้ายที่เมืองหลวงต่อหน้าพระพักตร์ ตอนสมัยอดีตฮ่องเต้  ไห่รุ่ยต้องการสร้างชื่อจึงได้มาหาเรื่องเรา เดิมคิดว่าสิบกว่าปีแล้ว หมดเรื่องแล้ว ผู้ใดจะคิดว่ากลับมีหวังทงมาอีก  เฮ้อ  ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี  เชิญทุกท่านมาก็เพื่อขอให้ทุกท่านออกความเห็นหน่อย”


ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้  ทุกคนในห้องก็สบตากัน ตระกูลสวีสร้างกิจการเรื่องใดกัน พื้นที่แดนใต้ คนที่พอมีสถานะมีผู้ใดบ้างไม่รู้กัน ทว่าเรื่องเช่นนี้รู้แก่ใจก็พอ อย่าได้พูดออกไป


สวีพานกล่าวเช่นนี้ ชายวัยกลางคนท่าทางร่ำรวยทางซ้ายก็ลุกขึ้นกล่าวว่า


“นายท่านสวีพูดได้มีเหตุผล พวกเราพ่อค้าแดนใต้ ประหยัดอดออมมาแต่รุ่นปู่ก็เพื่อสร้างกิจการ อาศัยรายได้เลี้ยงครอบครัวให้กินอิ่มนอนอุ่น ให้ลูกหลานได้ร่ำเรียนสอบขุนนาง แต่ทางเหนือพวกนั้นไม่เคยเห็นเรายากลำบากมา กลับเอาแต่จับจ้องเรื่องเล็กน้อยไม่ยอมปล่อย นายท่านสวี ผู้ที่มาจากเมืองหลวงครานี้ไม่ประสงค์ดีแน่ หากตรวจสอบตระกูลท่าน ต่อไปก็เกรงว่าคงมาถึงพวกเราด้วย….”


กล่าวไปกล่าวมา ชายผู้นั้นก็เริ่มน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าแดงก่ำเสียงดังขึ้นว่า


“เจ้าคนเหลวไหลที่ข้าจ่ายเงินไปให้อย่างกับน้ำ พอเจอเรื่องนี้ก็กลับไม่เห็นพูดอะไร ก่อนมาข้าได้ส่งข่าวไปแจ้งเขา แม้ต้องหลุดจากตำแหน่งขุนนาง ก็ต้องยื่นฎีกาขอให้ฝ่าบาทได้ทรงเข้าใจความยากลำบากของชาวใต้เรา”


“ท่านสือเองก็ลำบากไม่น้อย ใจเย็นๆ ทุกคนมาที่นี่ ก็เพื่อหารือเรื่องนี้กัน”


สวีพานปลอบใจ ท่านสือจึงได้หอบหายใจนั่งลง คนข้างๆ กลับกล่าวขึ้นน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า


“เมืองซงเจียงกับเมืองเจียซิงที่หังโจวมีเรือไปเทียนจินไม่น้อย  ทางนั้นนำข่าวเกี่ยวกับหวังทงกลับมาไม่น้อย หวังทงอายุยังน้อยก็มาถึงตำแหน่งนี้ได้ ไม่ใช่อาศัยว่าเป็นคนโปรด แต่เพราะคนผู้นี้มีความสามารถจริง ไม่เหมือนพวกบัณฑิตที่เอาแต่กล่าววาจาประจบสอพลอพวกนั้น!”


“จริง เดิมคิดว่าหวังทงเป็นเพียงเด็กน้อย  หรือไม่ก็เบื้องหลังมีผู้ใดหนุนหลัง แต่ตอนนี้ดูแล้ว เทียนจินเปิดทะเล คลองส่งน้ำตั้งด่าน ยังค้าผงฟู ไม่ต้องพูดถึงชัยชนะใหญ่หลายครั้งพวกนั้น ล้วนเป็นเขาใช้สองมือสองเท้าต่อสู้มา คนเช่นนี้มาที่นี่….”


“กังวลเรื่องนี้ทำไมกัน หรือว่าไม่เคยได้ยินเรื่องสมรสพระราชทานกัน?”


“ราชโองการสมรสพระราชทานเก็บคืนอีก ตอนนี้เรื่องนั้นเป็นที่โจษจันกันสนุกในเมืองหลวง  ตอนนี้ไห่รุ่ยยื่นฎีกา ก็รีบส่งหวังทงออกจากเมืองหลวง …….”


เห็นทุกคนออกความเห็น สวีพานขมวดคิ้ว ไต้เฟิ่งเสียนกลับยกชาขึ้นจิบช้าๆ  พอจิบไปกำทำท่าเหมือนพึงใจว่าชาดี ชื่นชมรสชาอยู่คนเดียว


ขณะที่กำลังโต้เถียงกันอยู่  พระอ้วนกลับอยู่ๆ เสียงดังขึ้น เสียงเขาดังมาก เสียงคนในห้องถูกกลบมิด


“ประสกทุกท่าน ตอนนี้คลื่นลมแรง บนแม่น้ำก็ไม่สงบสุข ท่วมคนตายไปก็มี เหล่าเมี่ยวพอรู้จักผู้กล้าบนท้องทะเล…….”


“ไต้ซือผู่หยวน ๆ ระวังวาจาด้วย”


นายกองร้อยหนึ่งข้างๆ รีบแทรกวาจาขึ้น ทุกคนมองไป นายกองร้อยผู้นั้นหยุดไปก่อนจะกล่าวว่า


“หากเกิดเรื่องจริง คงมีเรื่องตามมาไม่หยุด องครักษ์เสื้อแพรหนานจิงก็ไม่ค่อยถูกกัน จะว่าไป หลายวันนี้คลื่นลมสงบดี แล่นเรือบนแม่น้ำไหนเลยจะมีคลื่นลมกระหน่ำได้”


ชายฉกรรจ์ที่นิ่งเงียบมาตลอดกลับกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า


“ตอนข้ามแม่น้ำ หรือทะเลสาบ ทางนั้นคลื่นใหญ่มาก”


กล่าวถึงตรงนี้ ขุนนางบู๊หลายคนกลับเงียบกริบ พระอ้วนกลับสนใจถามขึ้น


“เหล่าเมี่ยว เจ้าพูดมาให้กระจ่างหน่อย อย่าเอาแต่อมพะนำ”


“เหลวไหล  เหลวไหลจริง!”


ทางนี้กำลังคุยกันออกรส อยู่ๆ ก็ได้ยินไต้เฟิ่งเสียนปาจอกชาลงบนโต๊ะ



ตอนที่ 832 ออกตรวจการในสถานะชาวบ้าน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไต้เฟิ่งเสียนอยู่ ๆ โมโห ในห้องเงียบกริบ ตั้งแต่ไต้เฟิ่งเสียนลาออกจากตำแหน่ง ก็มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับตระกูลสวี คอยออกความเห็นให้ตระกูลสวี


ตอนนี้สวีเจี้ยจากไป  สวีพานดูแลตระกูลสวี สถานะไต้เฟิ่งเสียนก็ยิ่งไม่ธรรมดา เห็นเขานั่งในตำแหน่งทางซ้ายตำแหน่งแรก ก็แสดงให้เห็นถึงสถานะเขาในตระกูลสวีแล้ว


“พวกเจ้ากำลังหาทางสังหารขุนนางหรือ?”


ไต้เฟิ่งเสียนนั่งถามเสียงเย็นเยียบ ทุกคนในห้อง ไม่รู้จะตอบอย่างไร  ไต้เฟิ่งเสียนกลิ้งถ้วยชาไปมา กล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นอีกว่า


“ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ตอนนี้เป็นขุนนางคนโปรดฮ่องเต้ พวกเจ้าถึงกับกล้าหารือว่าจะให้เขาประสบคลื่นลมอย่างไร เป็นข้าหูไม่ดีหรือพวกเจ้าสมองเลอะเลือนกัน?”


กล่าวจบ ไต้เฟิ่งเสียนก็สะบัดแขนเสื้อ ลุกยืนขึ้น หันไปทางสวีพานกล่าวว่า


“ข้าความรู้น้อย ที่บ้านยังมีภรรยาและลูกเล็ก ไม่กล้าหารือเรื่องนี้กับทุกท่าน ขอตัวก่อน”


บอกกล่าวคำอำลาเสร็จก็ทำท่าจะเดินออกไป ถึงกับจะออกไปจริง คนในห้องสบตากัน สวีพานอึ้งไป รีบยืนขึ้นกล่าวว่า


“ท่านไต้หยุดก่อนๆ  ไยต้องเช่นนี้ด้วย  ที่นั่งอยู่ก็คนกันเองทั้งนั้น  พูดกันมาก็เพราะทุกคนร้อนใจ สองเพราะไม่เห็นเป็นอื่นเป็นไกล เชิญท่านมาจากเมืองซูโจว ไม่ใช่ว่าให้ท่านมาช่วยตัดสินใจหรือ ท่านจากไปเช่นนี้ ทำให้ทุกคนสับสน?”


ผู้ใดก็ดูออกว่าไต้เฟิ่งเสียนไม่คิดจะไป แค่ทำท่าทางไปอย่างนั้น สวีพานลุกขึ้นรั้งเพื่อให้เกียรติ ไต้เฟิ่งเสียนจึงได้นั่งลงต่อสีหน้าเย็นเยียบถามขึ้น


“นายกองสวี ตระกูลสวีหากครอบครองที่นามากจริง หลักฐานอยู่ในมือผู้ใด ทางการจะไปสืบหลักฐานจากที่ใด?”


“สัญญาที่นาย่อมอยู่ที่ตระกูลสวี ต้องการตรวจสอบก็ย่อมต้องไปที่ทำการตรวจดูบัญชี”


“สัญญาที่นากับบัญชีเคยถูกผู้ใดจับผิดอันใดได้หรือไม่ เห็นหรือว่าตระกูลสวีครอบครองที่นามากไป?”


“ย่อมไม่มี ตระกูลสวีจงรักภักดีมาทุกรุ่น รับราชการจงรักภักดี จะมีเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”


สองคนถามตอบ ไต้เฟิ่งเสียนพยักหน้ากล่าวอีกว่า


“ตรวจสอบการครอบครองที่นา แม้ผู้แทนพระองค์มาเอง ก็ยังต้องดูบัญชีและสัญญาที่นา ในเมื่อไม่มีอันใดผิดปกติ เช่นนี้กังวลสิ่งใด?”


“แต่ส่งเจ้าหวังทง…….”


สวีพานอดไม่ได้ถาม ไต้เฟิ่งเสียนถอนหายใจส่ายหน้า กล่าวอย่างเสียไม่ได้ว่า


“ใต้เท้า หากท่านอำมาตย์ยังอยู่  ท่านย่อมไม่ส่งคนไปตามคนมาหารือเช่นนี้ หวังทงเป็นถึงติ้งเป่ยโหวและผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร สถานะสูงส่ง  แต่สำนักองครักษ์เสื้อแพรเขาเพิ่งได้ตำแหน่งมาไม่ถึงสามเดือน  เหตุใดจึงส่งเขาออกมาทำคดีไม่เกี่ยวข้องกัน  เรื่องที่นานี้เกี่ยวอันใดกับองครักษ์เสื้อแพร?”


พอถามเช่นนี้ สวีพานเองที่เคยเป็นนายกองในหกกรมกอง อยู่เมืองหลวงเป็นขุนนางใหญ่มาก่อน ก็ได้สติทันที ถามขึ้น


“ความหมายของท่านไต้ก็คือ ครั้งนี้จุดประสงค์ไม่ได้มาที่เรา?”


“ย่อมไม่ใช่ ไห่รุ่ยเป็นเช่นเหรียญที่เทพรังเกียจผีเดียดฉันท์ ผู้ใดอยากจะสนใจ ตอนนี้ฝ่าบาทจะไปสนใจได้อย่างไร จะไปสนใจเรื่องบุญคุณความแค้นตอนนั้นได้อย่างไรกัน ทว่าก็แค่หาเรื่องไล่หวังทงออกจากเมืองหลวง ให้เขาไม่อาจครองอำนาจได้ พวกเจ้ายังทำเหมือนเจอศัตรูใหญ่ หากคนที่เจ้อเจียงทางนั้นรู้เข้า ย่อมต้องหัวเราะขำพวกเจ้า”


ไต้เฟิ่งเสียนวิเคราะห์เช่นนี้ ทุกคนก็พยักหน้า ไต้เฟิ่งเสียนยิ้มเยียบเย็น กล่าวว่า


“เริ่มจากสมรสพระราชทาน เหลวไหลแท้ จากนั้นก่อนงานสมรส ยังสับเปลี่ยนราชโองการ ราชโองการไหนเลยเป็นเรื่องเด็กเล่น และยังตำแหน่งสูงขนาดนั้นอีก ก็เพราะว่าต้องการกำราบๆ หน่อยเท่านั้น”


สีหน้าทุกคนเผยแววเข้าใจในทันที สีหน้าสวีพานเองก็รู้สึกละอายใจ กล่าวว่า


“บิดาเคยบอกว่าข้าทนเก็บอะไรไม่ได้ ไม่อาจเผชิญคลื่นลม จริง……”


กล่าวถึงตรงนี้ อย่างไรก็ต้องยกมืดปาดน้ำตามุมตา ทำเป็นเศร้า  คนรอบๆ ก็ได้แต่เข้ามาปลอบใจ นับว่ากระจ่างหมดแล้ว สวีพานกล่าวอีกว่า


“ทุกคนได้มาเจอกันที่นี่ ไม่ใช่เรื่องไม่ดี ในเมื่อเรื่องตรวจสอบนั่นเป็นเรื่องเล็กน้อย  เราก็มาฉลองกัน อย่าได้เสียเวลาแห่งการเฉลิมฉลองของเรา สวีฝู เจ้าไปจัดการคืนนี้ต้องให้ทุกท่านไม่เมาไม่กลับ”


ทุกคนลุกขึ้น  ไต้ซือผู่หยวนยิ้มกว้างกล่าวว่า


“สุราอาหารจวนสวีนี้ยากปฏิเสธ  หมูดำที่เลี้ยงด้วยต้นข้าวจนโตก็เป็นของชั้นเลิศ คืนนี้ต้องกินให้อิ่มหมีสักหน่อย”


ปีรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ที่ 10 สวีเจี้ยล้มป่วยจากไป  สวีพานไว้ทุกข์สามปี งานเลี้ยงอันใดก็ไม่ให้จัด แต่ยามนี้คิดถึงความมีเกียรติและหน้าตาแล้ว ผู้ใดจะสนใจกัน


โถงรับแขกเดิมบรรยากาศเคร่งเครียด แต่ตอนนี้กลับผ่อนคลายยิ่ง ตระกูลสวีเป็นตระกูลใหญ่ใต้หล้า การเลี้ยงสุราอาหารก็ย่อมมีหญิงสาวอันดับหนึ่งในใต้หล้า งานเลี้ยงนี้มีแต่ความรื่นเริง ทุกคนล้วนยินดี


“ทุกท่านเชิญไปรอที่หอกวนหลันก่อน แม่นานอวี้ฉินแห่งแม่น้ำฉินไหวเหอจะบรรเลงบทเพลงพิณบทใหม่”


แม่นางอวี้ฉินผู้นี้เป็นผู้มีชื่อเสียงบนแม่น้ำฉินไหวเหอ พอได้ยินชื่อนี้ ทุกคนก็เปล่งเสียงว่าดีมาก พากันลุกขึ้นเดินออกไป สวีพานจะตามไป ก็ถูกไต้เฟิ่งเสียนจับไว้ ไต้เฟิ่งเสียนกล่าวอีกว่า


“ผู่หยวน เมี่ยวลั่ง เจ้าสองคนอยู่ก่อน”


ไต้ซือผู่หยวนกำลังใช้มือลูบศีรษะโล้น เตรียมออกไปฟังเพลงให้สำราญใจ พอได้ยินเสียงเรียกก็งง อยู่ต่อ ส่วนเมี่ยวลั่งกำลังยืนนิ่งอยู่ ก็ยืนต่อไป


สวีพานเองก็งง ยามนี้พ่อบ้านด้านนอกกำลังเตรียมให้คนเข้ามาเก็บกวาด ไต้เฟิ่งเสียนกลับโบกมือ ให้ทุกคนออกไปก่อน


เมื่อครู่บรรยากาศในโถงเคร่งเครียด ไต้เฟิ่งเสียนกลับพูดอย่างสบายๆ แต่พอตอนนี้สีหน้าไต้เฟิ่งเสียนกลับจริงจัง ทำให้ทุกคนรู้สึกงง คนในห้องที่เหลือไม่กี่คนกำลังรอฟัง ไต้เฟิ่งเสียนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า


“อย่างไรก็ส่งผู้แทนพระองค์มา อย่างไรก็เป็นถึงติ้งเป่ยโหวกับผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ไม่อาจวางใจได้ แม้ว่าสองปีมานี้สงบดี แต่ยังมีหลายคนรอฟ้องร้องอยู่ ผู่หยวน เมี่ยวลั่ง เจ้าสองคนต้องจับตาดูเรื่องนี้ให้ดี  อย่าให้คนพวกนี้ได้พบผู้แทนพระองค์เด็ดขาด หากได้เข้ายื่นคำร้องจริง ย่อมทำให้เรื่องทุกอย่างยุ่งยาก!!”


พูดจนทุกคนในห้องอึ้งไป ไต้เฟิ่งเสียนขมวดคิ้วกำชับว่า


“ไม่สังหารขุนนางใช่ว่าไม่สังหารคน!!”


ผู่หยวนกับเมี่ยวลั่งรีบรับคำ ไต้เฟิ่งเสียนหันไปทางสวีพาน กล่าวว่า


“เรื่องไม่ใหญ่ แต่ก็ต้องเตรียมตัวรับมือให้ดีที่สุด ผู่หยวนกับเมี่ยวลั่งใช้คนและเงินไม่น้อย  น้องสวีก็ต้องดูแลให้ดี”


สวีพานสะบัดหัวก่อนจะได้สติ รีบกล่าวว่า


“ไม่มีปัญหา ๆ เงินและคนแค่เอ่ยมาก็พอ”


“ส่งคนไปจับตาที่หนานจิงมากหน่อย แม้ไห่รุ่ยจะชราภาพแล้ว ไม่อาจว่องไวเหมือนก่อน แต่ผู้แทนพระองค์ลงใต้มา อย่างไรก็ต้องระวังว่าเขาจะก่อเรื่องอันใด”


“ท่านไต้กล่าวได้ถูกต้อง ข้าไปจัดการเดี๋ยวนี้”


****************


เมืองซงเจียงรอรับมือเช่นนี้ ทางหวังทงเพิ่งมาถึงเมืองหลินชิงที่มณฑลซานตง เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่หนึ่งบนเส้นทางคลองส่งน้ำ ผู้แทนพระองค์มาถึง อย่างไรผู้ว่าหลินชิงก็ต้องจัดเลี้ยงต้อนรับ


ผู้ตรวจการซานตงกับเจ้ากรมปกครองล้วนอยู่จี่หนาน สามารถหลบได้พอดี ทว่าเมืองตงชางกับเมืองหลินชิงนี้ สองผู้ว่าย่อมหนีไม่พ้น นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรต่งช่วงสี่แห่งซานตงก็ย่อมต้องมา  จัดงานเลี้ยงต้อนรับเป็นกระบวนการของทางการ  จริงใจก็ช่าง ไม่จริงใจก็ช่าง ฉลองต้อนรับแล้วแยกย้ายแสดงการต้อนรับในหน้าที่ของตนก็พอ


หวังทงอยู่หลินชิงสองวันก็จะเดินทางต่อ ทว่าวันที่ห้า มีคนมารายงานข่าวที่จวนผู้ว่าหลินชิง ว่าเรือใต้เท้าผู้แทนพระองค์ยังจอดอยู่ที่ท่าเรือ


ข่าวนี้ทำให้ผู้ว่าหลินชิงถึงกับลื่นไหลลงจากเก้าอี้ ผู้แทนพระองค์ยังไม่ไป หรือว่าจะปลอมตัวออกเดินตรวจพื้นที่ หลินชิงก็เหมือนที่อื่น มีการขนส่งมาก ย่อมมีค่าน้ำร้อนน้ำชามาก เพราะมีเทียนจิน หลินชิงจึงรุ่งเรืองกว่าเมื่อก่อนหลายส่วน มาอยู่ที่นี่ครบสามปี ที่บ้านก็มีกินมีใช้ไม่หมด  เรื่องซุกซ่อนไว้มากมาย หากเกิดถูกผู้แทนพระองค์จับผิดได้ ก็ย่อมพังกันไปหมด


ใต้เท้าผู้ว่าลนลานนำคนออกไป ไปถึงท่าเรือก็พบว่า คนสองสามคนที่ยืนอยู่บนท่าเรือเหมือนว่าเป็นทหารองครักษ์เสื้อแพรในพื้นที่ ไม่ใช่ทหารที่ผู้แทนพระองค์นำมาด้วย ทหารพวกนี้ไม่คิดปิดบังอันใด บอกไปตามตรงว่าผู้แทนพระองค์เปลี่ยนเรือออกจากท่าไปได้หลายวันแล้ว


พอได้ยินผู้ว่าก็โล่งใจ มีนายกองพันต่งช่วงสี่ดูแล เรือทางการเปลี่ยนเป็นเรือชาวบ้านก็ง่ายดายยิ่ง ทว่าในใจผู้ว่ากลับรู้สึกแปลกๆ ผู้แทนพระองค์อายุยังน้อยอยู่เลย ปลอมตัวออกตรวจเยี่ยมชาวบ้านเหมือนทำสนุกๆ แต่ที่จริงแล้วกลับดูมีบารมีทรงอำนาจยิ่ง รับมือยากยิ่ง แต่อย่างไรก็ออกจากพื้นที่ตนไปแล้ว วาจาในใจก็กลืนลงท้องไปก่อน


ยามนี้อากาศเมืองหลวงแม้ยังคงร้อนเหมือนเดิม แต่พอตกดึก ก็เริ่มเย็นๆ ลง แต่เส้นทางลงใต้  รู้สึกเหมือนยิ่งร้อนขึ้นแต่เรือลอยบนน้ำนิ่งมาก พวกหวังทงก็รู้สึกสบายยิ่ง


ตอนนี้เป็นเวลาที่ยุ่งที่สุดขอคลองส่งน้ำ ขบวนเรือขึ้นเหนือล่องใต้ พวกหวังทงสิบกว่าลำมีคนไม่น้อย ตามหวังทงลงใต้ครานี้ เฉินต้าเหอนับว่าเป็นคนเก่าสักหน่อย เขาถามว่ารับราชโองการมาปฏิบัติหนาที่ แต่งกายเป็นสามัญชน จะไม่สะดวกหรือไม่


คำตอบหวังทงง่ายมาก อย่างไรก็ตรวจสอบ สวมชุดขุนนางไปสอบถามไม่สะดวกหลายอย่าง และในฐานะผู้แทนพระองค์ ยามข้ามเขตก็ย่อมมีขุนนางท้องที่มาต้อนรับ ยุ่งยากยิ่ง


นายท่านตนกล่าวเช่นนี้ ลูกน้องก็ย่อมไม่อาจกล่าวเป็นอื่นๆ เงินทองไม่ขาดมือ เส้นทางนี้อย่างไรก็มีความสุขดี


ที่จริงแล้วหวังทงก็คิดจะเที่ยวเล่นอยู่บ้าง ออกนอกเมืองหลวงมาทำงาน ให้ตนเองได้ออกจากเมืองหลวงระยะหนึ่ง ไม่มีงานทำ ตนเองสบายๆ สักหน่อยก็ไม่เลว ผู้แทนพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ตลอดทางต้องเป็นไปตามขั้นตอน ที่จริงแล้วยุ่งยากมาก หากแต่งกายเป็นชาวบ้าน ก็จะสะดวกมากขึ้น และไม่เสียการงาน ไยจะไม่ทำเล่า


*************


“ฝีมือขั้นเทพ!!ๆ”


ไม่เพียงแต่คนในขบวนเรือหวังทงที่ร้องเชียร์ หากคนสองฝั่งน้ำก็ร้องเชียร์เช่นกัน มีคนยืนอยู่บนหัวเรือ ยิงไปยังก้อนฟางเท่ากำปั้นบนเรือลำที่สี่  ปักเข้าทุกดอก และยังยิงติดๆ กัน ไม่หยุด ช่างฝีมือดีจริง


ทิ้งอู๋ต้าไว้เทียนจิน พาอู๋เอ้อร์ขึ้นเรือมาคุ้มกัน มีสองคนเป็นพวกกลับจากทุ่งหญ้านอกด่าน ล้วนยิงธนูแม่น ทุกคนกำลังสนุกสนานกับการแสดงฝีมือธนูบนลำน้ำ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)