หมอดูยอดอัจฉริยะ 830-835

 ตอนที่ 830 รับลูกศิษย์

 

วรยุทธของเหลยหู่นั้น ได้รับการถ่ายทอดวิชามวยทงปี้มาจากเหลยเจิ้นเทียน จางเช่อยอดหมัดมวยเป็นผู้พัฒนาส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรือง ตอนนั้นเขาก็เป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงพอๆ กับทวนเทพเจ้าหลี่ซูเหวินกับดาบใหญ่หวังอู่เช่นกัน


แต่สิบกว่าปีให้หลัง มวยทงปี้กลับเสื่อมโทรม จะมีก็เพียงเหลยเจิ้นเทียนที่อยู่ต่างประเทศที่ยังพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง นอกจากนี้เหลยเจิ้นเทียนก็ฝึกเข้าสู่ขั้นสุดยอดในวัยชรา จึงถือว่าเป็นปรมาจารย์ระดับสูงคนหนึ่ง


เพียงแต่เหลยหู่ที่ละทิ้งวิชาการฝึกพลังยุทธมานาน แถมอายุก็ปาเข้าไปสี่สิบกว่าปีแล้ว ยังไม่สามารถบรรลุขั้นพลังแฝงได้ เหลยเจิ้นเทียนจึงไม่ได้คาดหวังในตัวเขามากเท่าใด ดังนั้นแก่นแท้ของการฝึกมวยภายในส่วนมากจึงไม่ได้ถ่ายทอดให้แก่เขา


ถึงแม้ในยุคปัจจุบันนี้ จะมีสำนักต่างๆ ในยุทธภพก็จริง หัวใจสำคัญของการฝึกพลังสับเปลี่ยนนั้นจะมีมาก แต่นั่นก็เป็นเคล็ดวิชาลับของสำนักต่างๆ คนนอกจึงไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ แต่ก่อนเหลยหู่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องพวกนี้ ตอนนี้ถ้าอยากจะรีบเรียนก็คงไม่ทันแล้ว


ดังนั้นตอนที่เยี่ยเทียนสั่งให้เหลยหู่เดินเส้นลมปราณดูดซับพลังแห่งฟ้าดินนั้น เหลยหู่จึงงงทันที เขาบรรลุขั้นพลังสับเปลี่ยนก็จริง แต่พลังเหล่านั้นก็ยังมาจากการเดินพลังยุทธที่เคยฝึกอยู่ทุกวัน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าควรจะฝึกอย่างไรโดยสิ้นเชิง


“ไม่เข้าใจ?”


เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าเหลยหู่จะพูดแบบนี้ออกมา จึงอดส่ายหน้าไม่ได้ เหลยเจิ้นเทียนเป็นวีรบุรุษก็จริง แต่ความสามารถในการอบรมสั่งสอนบุตรนั้นมีจำกัดมาก เหลยหู่ไม่สามารถรับการถ่ายทอดวิชาจากเขาได้ เพราะความมีน้ำใจของเขานั้น ยังห่างจากเหลยเจิ้นเทียนมากนัก


เมื่อลองคิดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนจึงเอ่ยพูดว่า “วิชาฉันก็พอมีอยู่ แต่ไม่สามารถถ่ายทอดให้แกได้ ช่างเถอะ แกไปนั่งทำสมาธิก็แล้วกัน”


ใช่ว่าเยี่ยเทียนจะยึดถือประเพณีเก่าแก่ที่ว่า “มอบให้แต่ลูกชาย ไม่ให้ลูกสาว” เหมือนอย่างที่ในยุทธภพพูดกัน เพียงแต่เขาไม่ชอบเหลยหู่ เพราะเขามีจิตใจคับแคบ เยี่ยเทียนไม่อยากมอบวิชาให้กับคนแบบนี้


“ท่านเยี่ย อย่าสิครับ ท่านเป็นผู้อาวุโส ถือเสียว่าช่วยชี้แนะผู้น้อยสักหน่อยเถอะ!”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงหวั่นใจ ความจริงตอนที่เยี่ยเทียนสู้ชนะพ่อของเขาในตอนนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่า ความแข็งแกร่งของพลังที่อยู่นอกร่างกาย ยังสู้พลังที่ยิ่งใหญ่ของคนผู้เดียวไม่ได้ ก็เหมือนอย่างเยี่ยเทียน เพราะบนโลกใบนี้ยังมีใครที่กล้าหลอกลวงคนอย่างเขา?


ดังนั้นสองสามปีที่ผ่านมาเหลยหู่จึงเริ่มฝึกวิชาที่ทิ้งไปอีกครั้ง เพียงแต่กระดูกกระเดี้ยวของเขามีอายุเกินที่จะฝึกวรยุทธไปนานแล้ว ถ้าหากไม่ได้พบเจอความโชคดีโดยแท้ เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ของเขาอย่างมากก็อยู่แค่ขั้นพลังแฝง ส่วนพลังสับเปลี่ยนน่ะหรือ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง


เหลยหู่ก็ไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าถึงแม้ตัวเองจะแขนขาดไปหนึ่งข้าง แต่ในด้านของศิลปะการต่อสู้นั้น เขาก็อยู่ในระดับสูงสุดของชีวิตคนธรรมดาคนหนึ่งที่ยากจะเบิกความสว่างทางสติปัญญาได้ ไม่แน่หากเขาได้บรรลุอีกขั้น ก็อาจจะสามารถเหาะไปในอากาศ ท่องเที่ยวไปทั่วหล้าเหมือนอย่างเยี่ยเทียน แบบนั้นถึงจะเรียกว่ายิ่งใหญ่ของจริง


“แกพื้นฐานจิตใจไม่ดี ฉันไม่อยากถ่ายทอดวิชาให้แก!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า เขาดูโหงวเฮ้งของเหลยหู่นานมาแล้ว คนผู้นี้มีจมูกเหมือนเหยี่ยวตาเหมือนเสือ มีท่าทางของสิงห์ร้ายที่มีความเห่อเหิมทะเยอทะยาน นอกจากนี้ยังมีแผนการลุ่มลึก มีความแค้นก็ต้องชำระให้ได้ ทำให้เยี่ยเทียนไม่ชอบ


เหลยหู่ถูกเยี่ยเทียนพูดใส่จนหน้าแดง จากนั้นจึงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างจริงจังว่า


“ท่านเยี่ย เหลยหู่จิตใจโสมมมานาน แต่ตอนนี้ผมกลับใจแล้ว นอกจากนี้ด้วยร่างกายที่พิการของผม ก็คงไม่มีแรงไปแย่งชิงอำนาจได้อีก ถ้าหากท่านถ่ายทอดวิชาให้กับผม เหลยหู่ก็จะคารวะและกราบเป็นลูกศิษย์ของสำนักท่านเยี่ยครับ ยอมเป็นวัวเป็นควายเป็นทาสรับใช้ไปตลอดชีวิต!”


เมื่อสัมผัสถึงปราณชีวิตแท้ที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของตัวเองแล้ว เหลยหู่เพิ่งเข้าใจแก่นแท้ของสัจธรรม


การเลื่อนขั้นในครั้งนี้ เหมือนเป็นการเปิดหน้าต่างหัวใจอีกบานหนึ่งของเขา ทำให้เหลยหู่มองเห็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล ดังคำกล่าวที่ว่าการฝึกกายต้องฝึกจิตก่อน แต่เหลยหู่กลับตรงข้ามพอดี การพัฒนาของพลังยุทธ ทำให้เขาเป็นคนใจกว้างขึ้นมา


“หืม? กราบเป็นศิษย์สำนักฉัน?”


เยี่ยเทียนได้ยินจึงเริ่มครุ่นคิดขึ้นมา ยามที่สำนักและวิชาถึงช่วงเสื่อมถอย กับคนที่สามารถบรรลุขั้นพลังสับ เปลี่ยนได้นั้น ล้วนเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ทั้งสิ้น ถ้าหากเหลยหู่เข้าร่วมสำนักเสื้อป่าน ก็จะสามารถกู้สถานการณ์ได้ โดยเฉพาะเรื่องการจัดการติดต่อสัมพันธ์กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  ซึ่งเขาน่าจะทำได้ดีกว่าโจวเซี่ยวเทียนเป็นอย่างมาก


และทุกวันนี้สำนักเสื้อป่านก็มีลูกศิษย์อยู่น้อยนัก จึงมีความเป็นไปได้ที่จะให้เหลยหู่จัดทีมเพื่อรับลูกศิษย์นอกสำนัก ถือว่าทำให้ความปรารถนาของอาจารย์หลี่ซั่นหยวนได้เป็นความจริง ทำให้สำนักเสื้อป่านเจริญรุ่งเรือง


เยี่ยเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงโบกมือไปที่เหลยหู่ พลางพูดว่า


“แกมานี่ แล้วหันหน้าออกไป”


“ท่านเยี่ย ท่านจะทำอะไรครับ?”


เหลยหู่ได้ยินจึงตกใจ เพราะศีรษะด้านหลังนั้นเป็นส่วนที่ถูกคนทำร้ายได้ เพียงแค่สัมผัสไม่ใช่แค่บาดเจ็บแต่ตายสถานเดียว แต่ว่าเมื่อนึกถึงฝีมือของเยี่ยเทียนแล้ว ถ้าอยากจะจัดการกับตัวเองก็ง่ายยิ่งกว่าขยี้มดสักตัวเสียอีก จึงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเช่นนี้ ดังนั้นเหลยหู่จึงรีบหันหลังให้เยี่ยเทียนทันที


“พอได้ ถึงแม้แกจะมีนิสัยอันธพาลไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นคนกตัญญูรู้คุณ ฉันขอลองคิดดูก่อนนะ!”


มือขวาของเยี่ยเทียนจับไปที่ด้านหลังศีรษะของเหลยหู่เบาๆ พบว่าเขาไม่มีกระดูกที่คิดคดทรยศ แต่เขากลับคลำเจอกระดูกของความกตัญญู ดังคำโบราณกล่าวว่า ในความดีทั้งหลายความกตัญญูมาเป็นอันดับแรก ถึงแม้เหลยหู่จะมีหลายด้านที่ไม่ดี แต่ก็มีความกตัญญูรู้คุณ จึงพอที่จะสามารถลบล้างความผิดที่เขาทำทั้งหมด


การรับศิษย์ของชาวยุทธภพนั้น ดูเรื่องนิสัยเป็นอย่างแรก หากเป็นคนกตัญญูรู้คุณคน จะไม่มีทางทำร้ายอาจารย์ล้มสำนักเด็ดขาด หลังจากที่คลำเจอกระดูกกตัญญูของเหลยหู่แล้ว เยี่ยเทียนจึงเกิดความคิดอยากรับเขาเป็นลูกศิษย์จริงๆ


เมื่อเปรียบเทียบผลดีกับผลเสียแล้ว เยี่ยเทียนจึงเอ่ยพูดว่า


“เหลยหู่ เมื่อเข้าสู่สำนักเสื้อป่านแล้ว จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของสำนัก แกยินดีไหม?”


“ศิษย์ยินดีครับ!”


เหลยหู่ใช้ชีวิตในสังคมมานาน มีหรือจะไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน ดังนั้นเขาจึงใช้แขนซ้ายยันตัวเองขึ้น มา แล้วคุกเข่าจ้องมองเหม่ออยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน พลางพูดว่า


“ขอให้อาจารย์รับการคารวะจากลูกศิษย์ เหลยหู่ขอสาบานต่อสวรรค์ เป็นครูหนึ่งวัน เปรียบดั่งเป็นพ่อชั่วชีวิต ผมจะไม่ทำเลวใช้ชีวิตไปวันๆ อีกเด็ดขาด หากผิดคำสาบาน ขอให้โดนฟ้าผ่าตาย!”


เหลยหู่รู้ว่า เรื่องที่เคยทำเมื่อสองสามปีก่อนรวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันของตัวเองนั้น อาจจะพูดออกมาได้ไม่ทั้งหมด และที่เยี่ยเทียนไม่ชอบตัวเอง ก็น่าจะเป็นเพราะสาเหตุเหล่านี้ ดังนั้นจึงใช้คำสาบานที่รุนแรงในประโยคแรก เพื่อแสดงท่าทีของตัวเอง


“อืม ถือว่าแกเสาะแสวงหาครูได้กลางทาง จึงไม่สามารถเรียนรู้วิชาการทำนายโชคชะตาของสำนักเสื้อป่านได้ ดังนั้นฉันจะรับแกเป็นศิษย์เฉยๆ ก็แล้วกัน”


เยี่ยเทียนนั่งบนแพชูชีพ แล้วพูดว่า


“แกไหว้สามครั้งก็พอ วันหลังค่อยจัดพิธีไหว้ครูบวงสรวงบรรพบุรุษ ตอนนี้ทุกอย่างให้จัดการอย่างง่ายๆ ไปก่อน”


การคารวะอาจารย์อย่างเป็นทางการนั้น ไม่ใช่แค่คุกเข่าสามครั้งไหว้เก้าครั้ง แต่ยังมีการยกน้ำชาเพื่อเสดงความเคารพต่ออาจารย์อีก ทว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้ เหลยหู่แค่ก้มศีรษะก็แทบจะซบไปที่อ้อมอกของเขาแล้ว ดังนั้นพิธีการพวกนั้นจึงไม่สามารถดำเนินได้


“ครับ อาจารย์!”


เหลยหู่ได้ยินก็ไม่ลังเลอีก จากนั้นจึงใช้แขนข้างเดียวยันร่างกายเอาไว้ แล้วคำนับไปทางเยี่ยเทียนสามครั้ง ทำเอาทั่วทั้งแพชูชีพโอนเอนขึ้นมา


“ทำไมถึงนึกไม่ถึง ว่าฉันกับแกจะมีวาสนาเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์?”


หลังจากเหลยหู่คุกเข่าไหว้เสร็จแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ แม้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่ผู้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็มองไม่ออกอยู่ดีว่า เหลยหู่จะกลายเป็นศิษย์ในสำนักของพวกเขา!


“เหลยหู่ สำนักเสื้อป่านของเราตอนนี้มีห้าคน นอกจากฉันกับอาจารย์ลุงทั้งสองของแกแล้ว ยังมีศิษย์พี่ชายกับศิษย์พี่หญิงอีกอย่างละหนึ่งคน วรยุทธของศิษย์พี่ของแกเข้าสู่ขั้นพลังสับเปลี่ยนนานแล้ว ส่วนอาจารย์ลุงทั้งสองนั้นก็กำลังจะเข้าสู่ขั้นการหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า


สามารถพูดได้ว่า ถึงแม้คนของพวกเราจะน้อย แต่แค่ออกไปสักคนหนึ่ง ก็สามารถเลือกที่จะเข้าสำนักไหนในยุทธภพก็ได้ แกเข้าร่วมสำนักเสื้อป่านแล้ว จะลดความน่าเกรงขามของสำนักของพวกเราไม่ได้นะ…”


เยี่ยเทียนแนะนำบุคคลในสำนักให้เหลยหู่ฟังอย่างคร่าวๆ โจวเซี่ยวเทียนมีพรสวรรค์ที่ดีในการฝึกวรยุทธ บวกกับมีพลอยวิเศษของเยี่ยเทียนเป็นตัวช่วย ตอนนี้เขาจึงเข้าสู่ขั้นพลังสับเปลี่ยนขั้นกลางแล้ว แต่ถ้าเขาจะไล่ตามโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นนั้น จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอีกนานมาก


ส่วนหลิวติงติง หลังจากที่แต่งงานกับโจวเซี่ยวเทียนแล้ว กลับไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธอีก แต่กลับศึกษาเรียนรู้วิชาการทำนายโชคชะตากับจั่วเจียจวิ้น ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอยู่บ้าง และส่วนใหญ่เธอก็จะได้รับความนิยมในหมู่ของผู้หญิงมีฐานะทางสังคมชั้นสูงในเกาะฮ่องกงเป็นอย่างมาก


“นอกจากนี้รอให้แกมีเวลาก่อน ก็ลองรับลูกศิษย์ที่จิตใจดีเพิ่มมาบ้าง ถึงตอนนั้นก็จะให้แกเป็นคนอบรมชี้แนะ!”


หลังจากพูดอ้อมมาเสียนาน สุดท้ายเยี่ยเทียนก็พูดจุดประสงค์ที่รับตัวเองเป็นลูกศิษย์ออกมา เพราะถึงแม้เขาจะมีพลังที่แข็งแกร่งมาก แต่ด้วยนิสัยแท้ๆ ของเขาแล้วรักความอิสระ ถ้าหากจะให้เขารับลูกศิษย์และคอยอบรมสั่งสอนนั้น เยี่ยเทียนไม่สามารถทนอยู่ได้แม้แต่วันเดียว


“ครับ อาจารย์วางใจได้ สมาคมหงเหมินของพวกเรายังมีประเพณีการฝึกวรยุทธอยู่ ถึงตอนนั้นผมจะเลือกหาต้นกล้าที่ดีออกมา ให้พวกเขาเข้ามาอยู่ในสำนักเสื้อป่านครับ!”


เหลยหู่ไม่ได้พูดโม้แต่อย่างใด สมาคมหงเหมินมีประเพณีอย่างหนึ่ง ก็คือรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเชื้อสายจีนจากทั่วโลก และตอนนี้ได้สร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่น้อยกว่าห้าสิบแห่งในประเทศต่างๆ แล้ว ในหมู่ของเด็กพวกนี้ก็มีเด็กที่จิตใจดีและมีกำลังดีอยู่พอสมควร และพวกที่มีกำลังดีที่อยู่ในหงเหมินส่วนใหญ่ ล้วนแต่หาเพิ่มมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพวกนี้ทั้งนั้น


“อย่างนั้นก็ดี รอให้พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อน แกกับอาจารย์ลุงจั่วของแกก็ค่อยปรึกษาหารือกัน ส่วนสถานที่นั้นให้เลือกที่ฮ่องกง!”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงสบายใจขึ้นมา เพราะความปรารถนาที่เคยรับปากอาจารย์ไว้นานหลายปี วันนี้เริ่มมีเค้าโครงในที่สุด และเชื่อว่าด้วยเครือข่ายกับเส้นสายในฮ่องกงของจั่วเจียจวิ้นกับความสามารถของเหลยหู่นั้น จะสามารถทำให้สำนักเสื้อป่านกลับมาปรากฏตัวอยู่ในยุทธภพได้อีกครั้ง


“บ้าเอ้ย ถึงความคิดจะดียังไง ก็ต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนอยู่ดี!”


ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็นึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ จึงรู้สึกกลัดกลุ้มใจขึ้นมา เขามั่นใจเป็นอย่างมาก ว่าสิ่งที่ห่อหุ้มเกาะที่ไร้พรมแดนขนาดใหญ่แห่งนี้ ก็คือค่ายกลอย่างหนึ่ง และด้วยความสามารถของเยี่ยเทียนในตอนนี้ อย่าว่าแต่จะออกไปจากค่ายกลเลย แม้แต่ฐานที่มั่นของเกาะแห่งนี้เขาก็ยังสัมผัสไม่ได้ด้วยซ้ำ


“ฉันจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้กับแก แกลองเอาไปฝึกดูก่อน หากมีปัญหาอะไรค่อยมาถามฉัน!”


หลังจากส่ายหัวแล้ว เยี่ยเทียนจึงกำจัดความกลุ้มใจที่อยู่ในใจออกไป แล้วใช้พลังจิตถ่ายทอดเคล็ดวิชาวรรคหนึ่งไปยังจิตสำนึกของเหลยหู่


“ขอบคุณอาจารย์ครับ!”


เมื่อได้อ่านเคล็ดวิชาที่ได้รับการถ่ายทอดจากเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างฉับพลัน หลังจากกราบขอบคุณเยี่ยเทียนแล้ว เขาจึงรีบนั่งขัดสมาธิบนแพชูชีพ โดยไม่สนใจว่าแพจะลอยอยู่บนทะเลอีกแล้ว จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนวรยุทธขึ้นมา


“ดังคำโบราณกล่าวไว้มีเรื่องอะไรลูกศิษย์ที่ดีก็จะช่วยรับหน้าไว้ แต่ทำไมถึงตาฉันถึงกลับตรงกันข้าม?”


มองดูเหลยหู่ที่เข้าฌานไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูดเย้ยหยันตัวเอง มือซ้ายหยิบไม้พายขึ้นมา จากนั้นจึงหงายข้อมือขวาขึ้นแล้วจับมีดสั้นอู๋เหินวางไว้ในมือ


เมื่อวานตอนที่ต่อสู้กับฉงฉี อู๋เหินได้ติดเลือดของมันมาด้วย ทำให้แสงสว่างหม่นลงไป หลังจากผ่านการบำรุงหล่อเลี้ยงนานกว่าสิบชั่วโมงของเยี่ยเทียนแล้วถึงได้ฟื้นฟูกลับมา



 

 

 


ตอนที่ 831 ดินแดนสวรรค์

 

“อาจารย์ ผมต้องฝึกวรยุทธนานแค่ไหนครับ?”


เหลยหู่ค่อยๆ ตื่นขึ้นมาจากการเข้าฌาน หลังจากที่ผ่านการฝึกวิชาที่เยี่ยเทียนถ่ายทอดให้แล้ว การดูดซับปราณวิเศษของเขาจึงเปลี่ยนเป็นรวดเร็วขึ้น เหมือนจะเร็วมากกว่าแต่ก่อนสิบเท่าตัว และจากการเข้าฌานในครั้งนี้ ทำให้เขารู้สึกมีพลังเต็มเปี่ยมทั่วร่างกาย แขนที่ขาดนั้นก็เปลี่ยนจากความเจ็บปวดเป็นความเหน็บชาและคันยุกยิก กลายเป็นชั้นแผลเป็นหนาๆ หนึ่งชั้น


“แกฝึกวรยุทธมาห้าวันเต็มแล้ว พอก่อน รีบกินเนื้อปลาพวกนี้ให้หมดเถอะ!”


การที่ถูกคนอายุสี่สิบกว่าปีเรียกว่าอาจารย์นั้น เยี่ยเทียนไม่รู้สึกเคอะเขินสักนิดเดียว เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวรยุทธหรือโลกของการบำเพ็ญตบะ ล้วนแต่ดูกันที่พลังความสามารถ ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนในตอนนี้ แม้ว่าจะอยู่ในโลกของการบำเพ็ญตบะ ก็ยังถือว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเช่นกัน


“ห้าวัน? ทะ…ทำไมถึงได้นานขนาดนี้?”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ดวงตาของเหลยหู่เกือบถลนออกมา เพราะในความรู้สึกของเขานั้น เหมือนตัวเองเพิ่งจะหลับไปตื่นเดียว ไม่ได้ใช้เวลานานมากมายขนาดนั้น


แต่พอเพิ่งจะพูดสิ้นเสียง ท้องของเหลยหู่ก็ร้องดัง “จ๊อกๆ” ขึ้นมา เขาถึงเพิ่งรู้ว่าเยี่ยเทียนพูดความจริง และความรู้สึกหิวจนท้องกิ่วนั้น ก็ทำให้เขาไม่พูดอะไรมากอีก จึงใช้มือซ้ายหยิบปลาทะเลที่เพิ่งจะตายไปขึ้นมาเคี้ยวกิน


“ลูกศิษย์ของสำนักฉัน ถ้าจะพูดถึงความโชคดีโดยบังเอิญ ถือว่าแกเป็นคนแรก!”


เมื่อเห็นท่าทางกินอาหารของเหลยหู่แล้ว เยี่ยเทียนจึงอดส่ายหน้าถอนหายใจไม่ได้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นโจวเซี่ยวเทียนมาอยู่ที่นี่ เพียงแค่อาศัยพลังฟ้าดินที่อัดแน่นกับพลอยวิเศษของตัวเอง ไม่แน่เขาอาจมีความหวังเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้ ด้วยคุณสมบัติของเหลยหู่แล้ว เกรงว่ามากสุดก็คงอยู่แค่ขั้นพลังสับเปลี่ยนขั้นปลายเท่านั้น


แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าหากเยี่ยเทียนออกไปจากที่นี่แล้วเขียนป้ายรับลูกศิษย์เข้าสำนัก โดยมีเหลยหู่ที่เป็นยอดฝีมือขั้นพลังสับเปลี่ยนนั่งอยู่ด้วย ก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาทำลายสำนักได้ นอกจากจะมีพวกยอดฝีมือที่แฝงตัวอยู่ทุกพื้นที่รวมทั้งผู้บำเพ็ญตบะที่อยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพแล้ว ถือว่ายอดฝีมือขั้นพลังสับเปลี่ยนเป็นบุคคลที่มีวรยุทธสูงสุดแล้วบนโลกนี้


“อาจารย์ ท่านชมเกินไปแล้ว ผมก็แค่อาศัยบารมีของท่านเท่านั้นครับ!”


เหลยหู่ที่เพิ่งตื่นขึ้นจากการเข้าฌาน ก็ไม่ได้ฟังความหมายของเยี่ยเทียนชัดเจนทั้งหมด เขาเคี้ยวเนื้อปลาพลางถามอย่างงงๆ ว่า


“อาจารย์ เมื่อครู่ท่านพูดว่าผ่านไปห้าวันแล้ว? แต่ทำ…ทำไมพวกเรายังอยู่บนทะเลล่ะครับ?”


“ฉันพายเรืออยู่ตลอดเวลา ดังนั้นก็ยังอยู่บนทะเลสิ…”


ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็มีความเหนื่อยล้าออกมา ช่วงห้าวันที่ผ่านมานี้ เขากินปลาทะเลเพียงสองสามตัว เวลาอื่นๆ ล้วนแต่ใช้ปราณแท้ในการขับเคลื่อนแพชูชีพให้ลอยไปข้างหน้า เพราะอยากจะรู้ว่าเกาะแห่งนี้มีขนาดใหญ่แค่ไหนกัน


แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนผิดหวังก็คือ ถึงแม้ทิวทัศน์ที่อยู่ชายเกาะจะเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ แต่เขาก็มองสถานที่ที่ตัวเองทำสัญลักษณ์ไว้ไม่เจอ ความใหญ่ของเกาะแห่งนี้ ไกลเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก การเดินทางที่น่าเบื่อตลอดห้าวันนี้ทำให้ร่างกายและจิตใจของเยี่ยเทียนเหนื่อยล้าจริงๆ


“ห้าวันก็ยังวนรอบเกาะนี้ไม่หมด?”


ใบหน้าของเหลยหู่มีสีหน้าของความตกใจออกมา รอบนอกของเกาะแห่งนี้ไร้ลมไร้คลื่น ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนแล้วเพียงแค่ห้าวันก็น่าจะพายเรือออกไปไกลได้นับหลายร้อยไมล์ หรือว่าเกาะแห่งนี้จะใหญ่เกินคำบรรยาย?


เยี่ยเทียนพยักหน้า มองดูไอหมอกที่รายล้อมอยู่รอบเกาะจากที่ไกลๆ แล้วเอ่ยพูดว่า


“ความจริงพวกเราน่าจะขึ้นไปบนเกาะนานแล้ว บ้าเอ๊ย พายเรือจะสบายกว่าเดินได้ยังไง?”


ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็เพิ่งนึกออก ว่าตัวเองกำลังทำเรื่องที่โง่มาก กับการที่พายเรือไปข้างหน้าอยู่ในทะเล สู้เดินอยู่บนชายหาดเพื่อวัดขนาดของเกาะแห่งนี้ยังจะดีเสียกว่า พละกำลังทั้งหลายที่ต้องเสียไป ก็ยังน้อยกว่าที่อยู่ในทะเล


นอกจากนี้เยี่ยเทียนก็เกิดความสนใจในเกาะแห่งนี้มากยิ่งขึ้น เขาไม่อาจจินตนาการได้จริงๆ ในยุคที่ดาวเทียมโคจรไปทั่วทุกมุมโลก จะมีเกาะใหญ่ที่เหมาะให้คนอาศัยอยู่ขนาดนี้ แต่ทำไมจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีมนุษย์คนไหนค้นพบ แถมยังสามารถรักษาระบบนิเวศได้ดีขนาดนี้อีกด้วย


“ขึ้นฝั่ง?”


เหลยหู่มองแขนขวาที่ขาดของตัวเองแล้วรู้ลึกลังเลสองจิตสองใจ จากนั้นจึงเอ่ยพูดว่า


“อาจารย์ บนเกาะไม่ได้สงบเหมือนในทะเลนะครับ”


ถึงแม้วรยุทธจะพัฒนาขึ้นมาก แต่เหลยหู่รู้ว่า ถ้าหากตอนนี้ให้เขาเจอสัตว์ประหลาดตัวนั้นอีก เขาก็ยังไม่มีแรงสู้ได้เหมือนเดิม และคงจะมีแต่คนอย่างอาจารย์เท่านั้น ถึงจะสามารถต้านทานกำลังกับสัตว์ในตำนานแบบนั้นได้?


“เจ้าโง่ บนหาดทรายนั้นปลอดภัย แค่อย่าเข้าไปในเกาะก็ไม่ต้องกลัวแล้ว!”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงเหลือกตาขาวใส่ สงสัยศิษย์กับอาจารย์อย่างพวกเขาสองคนจะเข้ามาผิดเขตแล้ว ความจริงตอนที่ไม่สามารถสำรวจทะเลลึกเข้าไปได้อีกนั้น เขาก็ควรกลับไปที่หาดทรายเป็นอย่างแรก เพราะด้วยกำลังเท้าของพวกเขา การเดินในระยะเกือบหนึ่งพันกิโลเมตรเพียงห้าวันนั้นธรรมดามาก


“อาจารย์พูดถูกครับ พวกเราขึ้นฝั่งกันเถอะ!”


เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่สัตว์ประหลาดถูกฟ้าผ่าแล้ว เหลยหู่พลันมั่นใจมากขึ้น สงสัยหาดทรายของเกาะจะเป็นเขตหวงห้าม และซากกระดูกของสัตว์ขนาดยักษ์ที่อยู่รอบๆ เกาะนั้น มีความเป็นไปได้ที่อาจจะถูกฟ้าผ่าตาย


เหลยหู่เดาถูกแล้ว ความใหญ่โตมโหฬารรอบนอกของเกาะแห่งนี้นอกจากจะแฝงไปด้วยความสามารถเช่นนี้แล้ว ก็ยังป้องกันไม่ให้ปราณวิเศษที่อยู่บนเกาะนั้นหายไปและยังป้องกันไม่ให้สัตว์ประหลาดพวกนี้หนีออกไปข้างนอกได้ จึงมีสัตว์ประหลาดที่มีวรยุทธสูงและไม่ยอมถูกขังอยู่ในนี้ คิดอยากจะฝ่าแนวป้องกันเพื่อหนีออกไปข้างนอก แต่สุดท้ายก็มีจุดจบโดยการถูกฟ้าผ่าตาย


เดิมทีฉงฉีมีความฉลาดหลักแหลมมาก หลังจากที่เห็นสัตว์ประหลาดตัวอื่นที่พลังน้อยกว่าตนเองต้องจบชีวิตอยู่บนหาดทรายแล้ว มันจึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้ชายหาดมาตลอด เพียงแต่ครั้งนี้มันถูกเยี่ยเทียนทำร้ายบาดเจ็บหนักจนเสียสติ แล้วจึงกระโดดเข้าไปทางชายหาด จึงทำให้ถูกฟ้าผ่าตาย


เมื่อไม่กล้าเข้าไปในทะเลจนลึกมาก ตอนนี้จึงได้แต่กลับไปบนชายหาดอีกครั้ง เยี่ยเทียนเพิ่มพลังไปที่มือ แล้วแพชูชีพก็พุ่งไปทางชายหาดอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนูที่แล่นออกจากคันศร


ขณะที่อยู่ห่างจากชายหาดในระยะหนึ่งร้อยเมตรกว่าๆ จู่ๆ เหลยหู่ก็ส่งเสียงร้องตกใจ ใช้แขนข้างเดียวชี้ไปที่ชาย หาด แล้วพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า


“อาจารย์ ท่ะ…ท่านดูสิ นั่นคืออะไร?”


“หืม? บนกำแพงหินมีตัวหนังสือ?”


ด้านหน้าของหาดทรายนี้ มีหน้าผาสูงชะโงกเงื้อมนับหมื่นฟุตอยู่แห่งหนึ่ง กำแพงหินเรียบราวกับถูกลับด้วยมีดอันแหลมคม แถมยังสลักตัวหนังสืออีกสองตัว เพียงแต่หน้าผาแห่งนี้ถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอกอยู่ก่อนแล้ว แม้ว่าจะใช้สายตาของเยี่ยเทียนก็ยากที่จะมองเห็น แต่ตอนนี้ดันอยู่ใกล้มาก และเหลยหู่กลับเป็นคนเห็นก่อน


“เผิง..เผิงไหล? นี่…นี่จะเป็นไปได้ยังไง?”


ถึงแม้จิตใจของเยี่ยเทียนจะอยู่ในขั้นที่ไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับวัตถุภายนอกแล้วก็ตาม แต่เมื่อเห็นตัวหนังสือสองตัวนี้ก็ยังต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง จนลืมพายเรือในชั่วขณะ ปล่อยให้แพชูชีพลอยไปบนทะเลด้วยตัวเอง


“เผิงไหล? นั่น..นั่นคือเกาะเซียนที่อยู่ในตำนานใช่ไหมครับ?”


เหลยหู่รู้จักอักษรจีนไม่มาก โดยเฉพาะคำว่าเผิงไหลที่ใช้ตัวหนังสือรูปแบบจ้วนซูในการเขียน เขาจึงยิ่งไม่รู้จัก แต่เหลยหู่ก็เคยได้ยินนิทานที่จิ๋นซีฮ่องเต้ให้ไปตามหาเกาะเซียน เผิงไหล ฟางจ้าง กับอิ๋งโจวซึ่งเป็นภูเขาเซียนทั้งสามแห่งที่อยู่แถบโพ้นทะเลนั้น เขาก็พอรู้อยู่บ้าง


“ถูกแล้ว เพียงแต่…จะเป็นไปได้ยังไง?”


เมื่อเห็นตัวหนังสือที่ดูแข็งแกร่งราวกับกิ่งไม้เหล็กที่พาดพันกันอยู่นั้น ความตื่นตะลึงบนใบหน้าของเยี่ยเทียนไม่ได้ลดลงไปเลยสักนิดเดียว แล้วตัวหนังสือสองคำที่มีความสูงถึงสามร้อยกว่าเมตร ต้องไม่ใช่กำลังของมนุษย์ที่จะสามารถสลักบนนั้นได้อย่างเด็ดขาด ปราณวิเศษที่โอบล้อมอยู่โดยรอบ ก็ยังขับให้ยิ่งดูเหมือนอยู่ในดินแดนสุขาวดี จนอยากจะลอยเข้าไปโดยตรง


เยี่ยเทียนไม่เหมือนเหลยหู่ที่ไม่รู้หนังสือ เขาจึงพอมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับเกาะเซียนแถบโพ้นทะเลพอสมควร เพราะว่าในหนังสือคัมภีร์โบราณส่วนใหญ่ จะบรรยายเกี่ยวกับสถานที่ทั้งสามแห่งนี้ โดยเฉพาะผู้ฝึกตนระดับจินตัน จะมองที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของของลัทธิเต๋า


ต้นกำเนิดของภูเขาซานเซียน น่าจะเริ่มมาจากในยุคจ้านกั๋ว


ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ “สื่อจี้ หนังสือเฟิงซาน ” และ “ฮั่นซู เจียวสีจื่อเล่มหนึ่ง” บันทึกไว้ว่า “ตามตำนานในทะเลปั๋ว ที่อยู่ไม่ไกล…ผู้ที่ไปถึง จะพบเซียนกับยาอายุวัฒนะมากมาย นกและสัตว์ล้วนเป็นสีขาว พระราชวังทำจากทองและเงิน หากยังไม่ถึง จะนึกว่าเป็นก้อนเมฆ พอถึงแล้ว ภูเขาซานเซียนกลับอยู่ใต้น้ำ กระนั้นแล้ว ต่อให้มีลมพัด ก็ยากนักที่จะจับต้องได้จนถึงก้อนเมฆ ”


ในบันทึกของ “ตำราสือโจว” กล่าวไว้ว่า “สมัยที่จิ๋นซีฮ่องเต้ครองราชย์ ประเทศต้าเยวียนแคว้นตะวันตกมีคนนอนล้มตายเป็นเบืออยู่ตามชายป่า มีนกคาบหญ้าชนิดหนึ่งมา คลุมไปที่ใบหน้าของคนตาย แล้วคนตายก็ฟื้นขึ้นมา ข้าหลวงได้ความจึงนำไปกราบทูลแก่จิ๋นซีฮ่องเต้ จากนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้จึงส่งคนให้นำหญ้าชนิดนี้ไปถามกุ๋ยกู่เซียนเซิง หญ้าชนิดนี้เป็นหญ้าอมตะในแคว้นจู่โจว เติบโตในทุ่งโฉงอวี้ เรียกว่าหย่างเสินจือ (เห็ดบำรุงเสิน) ใบของหญ้าชนิดนี้เหมือนกับหน่อไม้น้ำ โตขึ้นแบบเดี่ยว ไม่ได้เกิดเป็นพุ่มไม้ หญ้าอมตะหนึ่งต้น สามารถช่วยชีวิตคนนับพัน”


หลังจากรวบรวมหกแคว้นแล้วจิ๋นซีฮ่องเต้ก็แสวงหาความเป็นอมตะเมื่อได้ยินท่านนักพรตกล่าว จึงส่งสวีฝูกับเด็กชายหญิงที่ยังไม่ผ่านการแต่งงานอย่างละสามพันคน ขึ้นเรือข้ามทะเล ค้นหาแคว้นจู่โจวแล้วก็ไม่กลับมาอีก จนเหลือเพียงตำนานโบราณที่น่าขบขันตราบชั่วนิรันดร์ แล้วตำนานของภูเขาซานเซียน จึงถูกผู้คนเล่าขานเช่นนี้สืบมา


ภายหลังก็มีคนเคยวิจัยเกี่ยวกับบันทึกโบราณพวกนี้ เพียงแต่พวกเขาคิดว่านี่คือภาพลวงตาเท่านั้น และอวี๋ชินผู้แต่งหนังสือในสมัยราชวงศ์หยวนที่เขียนตำนานท้องถิ่นอย่าง “ฉีเฉิง” เล่มที่หนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ภาพแสงทิวทัศน์ลวงตามักจะมีแดดจัดเสมอในช่วงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน ตะวันขึ้นส่องแสงสว่าง ลมพัดโบกเอื่อยมาจากทิศตะวันออก ก้อนเมฆลอยติดขอบเกาะ ภาพลวงตาปรากฏ มองเห็นป่าเขาเป็นกำแพงเมือง ยอดเสาธงประดับด้วยขนนกสีสันต่างๆ ตามตึกอาคาร รถประดับด้วยขนนกสักหลาด สัตว์สวมหมวกและเสื้อผ้าเหมือนมนุษย์ ทุกสิ่งที่มีในโลก เกิดเรื่องราวที่เหมือนและคล้ายกัน..!”


ตอนที่เยี่ยเทียนอ่านบันทึกเหล่านี้ ก็เหมือนจะคล้อยตามความคิดของภาพลวงตา เพียงแต่ “เผิงไหล” สองคำที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ กลับทำให้ความรู้ความเข้าใจของเขากลับตาลปัตรไปหมด เพราะเกาะที่กว้างใหญ่และยังไม่ถูกมนุษย์ค้นพบแบบนี้ คงจะมีแต่ภูเขาเซียนที่อยู่ในตำนานเพียงอย่างเดียว ถึงสามารถนำมาอธิบายได้


“บ้าเอ้ย ไหนบอกว่าภูเขาเซียนอยู่ที่ทะเลปั๋วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาอยู่ที่มหาสมุทรอินเดียได้เล่า?”


เยี่ยเทียนหยิกขาตัวเองอย่างแรง ความเจ็บทำให้เขาได้สติขึ้นมาทันที ถึงแม้ปากจะแสดงออกถึงความสงสัย แต่เยี่ยเทียนก็รู้ดี ว่าที่นี่คือภูเขาเซียนไม่ผิดแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีพลังแห่งฟ้าดินที่เต็มเปี่ยมอย่างนี้ได้เด็ดขาด


“อาจารย์ ท่านดู ตรงนั้นมีกระท่อมไม้!”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังตกใจและงงสุดขีด เสียงของเหลยหู่ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง


“หืม? หรือว่าบนเกาะนี้จะมีคนอยู่?”


เยี่ยเทียนได้ยินจึงหันไปมอง ที่แท้ตรงตีนเขาด้านซ้ายของตัวหนังสือ “เผิงไหล”นั้น ก็มีกระท่อมที่สร้างจากไม้ทั้งหลังจริงๆ โดยมีพื้นที่ว่างประมาณหนึ่งเมตรกว่าๆ จากใต้ต้นเสา กระท่อมทั้งหลังปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์สีเขียว หากไม่มองให้ละเอียดก็ยากจะรู้ได้จริงๆ


“ลองเข้าไปดูสิ เหลยหู่ พอไปถึงแกอย่าพูดอะไรนะ!”


เยี่ยเทียนใช้ปราณแท้ใส่ไปที่ไม้พายอย่างเต็มที่ เพื่อให้แพชูชีพเพิ่มความเร็วยิ่งขึ้น จากนั้นจึงพุ่งไปที่ชายฝั่งราวกับเรือสปีดโบ้ท หลังจากหนึ่งนาทีผ่านไป เยี่ยเทียนจึงใช้มือซ้ายและขวาทั้งสองกดไปที่สองข้างของแพชูชีพอีกครั้ง แล้วตัวแพทั้งหมดก็ลอยขึ้นกลางอากาศ หยุดลงอยู่บนหาดทรายที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายละเอียด


“กระท่อมหลังนั้นไม่มีคนอาศัยอยู่ ไม่รู้ว่าถูกทิ้งร้างมานานแค่ไหน?”


หลังจากขึ้นมาบนฝั่ง ใบหน้าของเยี่ยเทียนจึงมีสีหน้าที่ผิดหวังออกมา กระท่อมไม้ตั้งอยู่ตรงชายฝั่งของหาดทราย ระยะห่างไม่เกินสี่ห้าสิบเมตร ซึ่งอยู่ในบริเวณการตรวจจับโดยพลังจิตของเยี่ยเทียน



 

 

 


ตอนที่ 832 ฐานะ (1)

 

“ไม่ว่าจะพูดยังไง ที่นี่น่าจะเคยมีคนมาหรือเคยอาศัยอยู่ก่อน!”


เนื่องจากกระท่อมไม้สร้างอยู่ติดริมชายหาด จึงไม่ต้องกลัวการลอบโจมตีของสัตว์ประหลาดบนเกาะที่มาอย่างกะทันหัน เยี่ยเทียนส่ายหน้าจากนั้นจึงขจัดความผิดหวังที่อยู่ในใจออกไปพาเหลยหู่เดินเข้าไปที่กระท่อมไม้


หรือบางทีเพื่อป้องกันน้ำขึ้นน้ำลง พื้นด้านล่างของกระท่อมหลังนี้จึงว่างโล่ง เสาไม้นับสิบหนาเท่าเอวปักลงไปบนดินอย่างลึกมาก เพื่อดันส่วนอื่นให้ทรงตัวขึ้นมา


ด้านขวาของกระท่อมไม้ มีเนินเขาเล็กๆ โผล่ขึ้นมา ทั้งสองข้างสูงประมาณเจ็ดแปดเมตร มีถนนเส้นเล็กคดเคี้ยวทอดตรงขึ้นไป ซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้เขียวชอุ่มที่อยู่บนภูเขา


บนเนินเขามีพืชต่างๆ ขึ้นเต็มไปหมด ต้นไม้ใบหญ้าเขียวสดมีชีวิตชีวา หมู่นกกาขับเสียงเพลงอยู่บนต้นไม้ เมื่อเทียบกับหาดทรายที่เต็มไปด้วยพลังอาฆาตยามที่เยี่ยเทียนขึ้นฝั่งมาตอนแรกแล้ว ที่นี่ราวกับเป็นดินแดนสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย


ถึงแม้กระท่อมไม้จะสร้างอย่างหยาบๆ กระทั่งไม่ได้ลอกเปลือกไม้ออก แต่กลับมีความเป็นศิลปะบางอย่างที่พูดออกมาไม่ถูก ให้คนรู้สึกเหมือนหลอมรวมเข้าไปอยู่กับธรรมชาติ เถาวัลย์เขียวห่อหุ้มไปทั่วกระท่อม ไอหมอกโอบล้อมไปทั่วบริเวณ ราวกับอยู่ในแดนสุขาวดีก็ไม่ปาน


“อาจารย์ พวกเราจะเข้าไปไหมครับ?”


หลังจากเสียแขนขวาไปแล้ว นิสัยของเหลยหู่จึงนิ่งมากขึ้น เขารู้ว่าเกาะสวรรค์ที่เรียกว่า “เผิงไหล” นั้น ความจริงแล้วเต็มไปด้วยอันตรายทุกย่างก้าว หากเดินพลาดเพียงนิดเดียว สิ่งที่ต้องแลกทั้งหมดก็คือชีวิตของตัวเอง


เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดว่า


“ลองเข้าไปก็ได้ เพราะข้างในไม่มีคน และที่นี่ก็อยู่ใกล้กับค่ายกลของชายหาด จึงไม่มีสัตว์ดุร้ายกล้าเข้ามาที่นี่!”


ช่วงสี่ห้าวันที่ผ่านมานี้ เยี่ยเทียนพายเรือไปตามแนวชายเกาะในระยะห่างเกือบหนึ่งพันไมล์ จึงสามารถมองเห็นว่าบนแนวชายฝั่งเกือบทั้งหมด ล้วนแต่มีโครงกระดูกของบรรดาสัตว์ดุร้าย นี่จึงเป็นการพิสูจน์ว่าชายหาดคือเขตหวงห้ามของสัตว์ดุร้ายพวกนั้น


“เหลยหู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกพลังยุทธหรือนักพรตที่แสวงหาความสงบ ล้วนต้องมีจิตใจที่หาญกล้าไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ถ้าหากแกมองจุดนี้ไม่ขาด ทั้งชีวิตของแกก็คงอยู่ได้แค่นี้”


เมื่อมองเหลยหู่ที่แสดงสีหน้าหวาดกลัว เยี่ยเทียนจึงเหยียบเท้าข้างหนึ่งขึ้นบนบันไดไม้ที่อยู่หน้ากระท่อม และไม่รู้ว่าบันไดไม้นี้ทำจากวัสดุไม้อะไร ถึงมีความแข็งแรงทนทานผิดปกติ เยี่ยเทียนเหยียบขึ้นไปก็มีน้ำหนักเกือบแปดสิบกิโลกรัมแล้ว แต่ก็ไม่เกิดเสียงดังใดๆ ออกมา


“แกร๊ก!”


ใช้มือผลักประตูที่ทำจากไม้ทั้งบานฝุ่นก็ลอยมาปะทะหน้าทันที เยี่ยเทียนจึงใช้พลังจิต เกิดเป็นระลอกคลื่นทั้งร่างกาย ฝุ่นพวกนั้นที่เหมือนจะลอยอยู่บนตัวของเยี่ยเทียน ความจริงแล้วมันถูกเยี่ยเทียนใช้ปราณแท้ปกป้องร่างกายและกั้นไว้ให้อยู่ข้างนอก


“เหลยหู่ แกอย่าเพิ่งขึ้นมา!”


สาเหตุที่เยี่ยเทียนไม่ได้ใช้ปราณแท้ปัดให้ฝุ่นเหล่านั้นกระจายตัวออกไป ก็เพราะกลัวว่าจะทำลายสิ่งของชิ้นอื่นที่อยู่ในกระท่อม สถานที่ที่ถูกปิดร้างไม่มีอากาศถ่ายเทเป็นเวลานานหลายปี จู่ๆ เมื่อสัมผัสกับอากาศ จะทำให้วัตถุที่อยู่ภายในเกิดการเสื่อมสลายในชั่วพริบตา และนี่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงสำหรับการขุดค้นทางโบราณคดี


กระท่อมไม้มีทางเข้าหน้าหลังสองทาง ในห้องที่เยี่ยเทียนกำลังยืนอยู่ มีโต๊ะไม้หนึ่งตัวกับเก้าอี้ไม้หนึ่งตัววางอยู่ และตรงมุมหนึ่ง ก็มีมู่เจี่ยน (ตำราบันทึกทำจากไม้) ที่วางเรียงเป็นระเบียบสูงกว่าหนึ่งเมตร


นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่เยี่ยเทียนไม่กระทำการใดอย่างผลีผาม เพราะบนโลกใบนี้ สิ่งที่บุบสลายได้ง่ายที่สุดนอกจากกระดาษแล้ว ก็คือพวกวัสดุไม้ และช่วงนี้เฟอร์นิเจอร์สมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงก็ถูกสร้างกระแสทำให้ราคาแพงลิบลิ่ว นอกจากวัสดุไม้มีชื่อเสียงและราคาแพงแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยากที่จะรักษาสภาพเดิมไว้ได้


“หืม? หรือว่าฉันคิดมากไป!”


เมื่อประตูเงียบเสียงได้พักหนึ่ง หลังจากที่รอให้อากาศที่อยู่ในกระท่อมถ่ายเทสะดวกแล้ว ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงพบว่า ทุกอย่างในห้องยังคงเหมือนเดิม เขาจึงอดกลั้นหัวเราะขึ้นมาไม่ได้


การสร้างกระท่อมหลังนี้มีความหยาบเป็นอย่างมาก ช่องรอยต่อระหว่างไม้ไม่ติดกันสนิท ยากที่จะเทียบกับสุสานโบราณเหล่านั้นได้จริงๆ แม้ว่าเยี่ยเทียนจะไม่ได้เปิดประตูห้อง อากาศภายในก็ยังถ่ายเทสะดวกเหมือนเดิม การกระทำก่อนหน้าของเขานั้นถือว่าไม่มีความจำเป็นเลย


เนื่องจากเยี่ยเทียนยืนบังอยู่หน้าประตู เหลยหู่จึงไม่รู้สถานการณ์ที่อยู่ภายในกระท่อม หลังจากที่เห็นเยี่ยเทียนยืนอยู่นานแล้วแต่ก็ไม่เดินเข้าไปในกระท่อมเสียที เขาจึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้


“อาจารย์ ข้างในมีอะไรเหรอครับ? ทำไมถึงไม่เข้าไปล่ะ?”


“ไม่มีอะไร แกขึ้นมาสิ อย่าลืมนะ ห้ามแตะต้องวัตถุใดๆ ที่อยู่ในกระท่อม!”


เยี่ยเทียนหันไปมองครั้งหนึ่ง แล้วจึงยกเท้าเดินเข้าไปในกระท่อมไม้ ไม่รู้ว่าที่นี่เป็นเพราะได้รับการหล่อเลี้ยงจากปราณวิเศษนานแรมปีหรือเปล่า และวัสดุที่ใช้สร้างกระท่อมไม้หลังนี้ก็ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาจากปีไหน ถึงได้มั่นคงแข็งแรงขนาดนี้ ไม่มีการผุพังบุบสลายใดๆ เลย


“กองเศษไม้พวกนี้มากมายทำไมนักหนา?” หลังจากเดินตามเยี่ยเทียนเข้าไปแล้ว เหลยหู่จึงหมดความสนใจทันที เพราะโต๊ะท่อนยาวกับของที่วางทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นมู่เจี่ยน (ตำราบันทึกทำจากไม้) ซึ่งเหลยหู่ไม่รู้ว่านี่คือหนังสือโบราณของคนสมัยก่อน จึงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก


“พวกไม่เล่าเรียนหนังสือ แกอย่าแตะของในนี้นะ!”


เยี่ยเทียนขึงตาใส่เหลยหู่อย่างไม่สบอารมณ์ แล้วจึงเดินไปที่ด้านหน้าของโต๊ะไม้ ยื่นมือไปหยิบมู่เจี่ยนที่มีความยาวประมาณสามสิบเซนติเมตร กว้างประมาณแปดเซนติเมตร ซึ่งสลักตัวหนังสืออยู่บนนั้นเต็มไปหมดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง


“นักบวชลัทธิเต๋า ตั้งชื่อตามฟ้า ตามพื้นดิน เหมือนมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ เกิดกลไกการขับเคลื่อนของ หยิน หยาง ก่อกำเนิดความมหัศจรรย์ ตั้งชื่ออู๋จี๋ เกิดไท่จี๋ อู๋จี๋นั้นไร้ชื่อ ไร้นาม เป็นต้นกำเนิดของสวรรค์และโลก ไท่จี๋มีชื่อ มีนาม เป็นมารดาของสรรพสิ่ง”


พออ่านตัวหนังสือที่อยู่ในมู่เจี่ยนพวกนี้แล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนจึงเปลี่ยนเป็นความแปลกประหลาดทันที


“นี่…นี่มันคือ ‘ทฤษฎีเต๋า’ ที่เขียนไว้เป็นตำราของลัทธิเต๋าไม่ใช่หรือ? แต่…แต่ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”


“อาจารย์ อะไรคือ ‘ทฤษฎีเต๋า’ ครับ?”


เหลยหู่ชะโงกศีรษะเข้าไปมองมู่เจี่ยน แต่กลับพบว่าในนั้นไม่มีตัวหนังสือที่เขาอ่านออกสักตัว


“พูดไปแกก็ไม่เข้าใจ ดูเองก็แล้วกัน อย่ารบกวนฉัน”


เยี่ยเทียนโบกมือ ตอนนี้เขากำลังสงสัยว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าที่รับเหลยหู่เป็นลูกศิษย์? เพราะคนที่ไม่เล่าเรียนหนังสือคนนี้ ไม่รู้ว่านอกจากฐานะที่เขาเป็นลูกชายของเหลยเจิ้นเทียนแล้ว เขาขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าของสมาคมหงเหมินได้อย่างไร?


“เพราะไร้ชื่อจึงมีชื่อ เมื่อฟ้าเกิด ดินเกิด คนเกิด สิ่งมีชีวิตก็เกิดเช่นกัน จึงเป็นที่กล่าวขานของคนสืบมา…”


หลังจากไล่เหลยหู่ออกไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงหยิบมู่เจี่ยนที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาอีกครั้ง แล้วจึงมีสีหน้าของความตกตะลึงสุดขีด พลางพูดพึมพำว่า “ใช่แล้ว เหมือนกับตำรา ‘ทฤษฎีเต๋า’ ที่ฉันเคยอ่านไม่ผิดแน่ หรือว่าจะมีคนเคยมาที่นี่จริงๆ?”


ทันใดนั้นเยี่ยเทียนส่ายหน้าอีกครั้ง “แต่…เป็นไปไม่ได้ เพราะคนนั้นเมื่อเทียบกับตอนนี้ก็มีอายุสองสามร้อยปี และตามตำนานก็บอกว่าได้ดับขันธ์สลายเป็นเซียนไปแล้ว อย่างนั้นเขาจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเล่า?”


“เฮ้ย?!! อาจารย์ ที่…ที่นี่มีคน!”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังสับสนกับตัวหนังสือที่อยู่บนมู่เจี่ยนนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงร้องแหลมดังขึ้นมาข้างหู เดิมทีเหลยหู่จะมีเสียงที่ทุ้มแหบมาก แต่ตอนนี้กลับทำเสียงสูงเหมือนเสียงผู้หญิง


“มีคน? เป็นไปไม่ได้!”


เยี่ยเทียนไม่ได้ตำหนิเหลยหู่ เพราะการตอบสนองอย่างแรกของเขาคือเป็นไปไม่ได้


เนื่องจากก่อนที่จะเข้าไปในกระท่อมไม้ เยี่ยเทียนได้ใช้พลังปราณชีวิตสัมผัสสถานการณ์ที่อยู่ภายในหลายครั้งแล้ว หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นกลาง เยี่ยเทียนมีความมั่นใจมาก แม้แต่ติงหงที่ขาดอีกขั้นเดียวก็จะบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรคนั้น ก็ไม่สามารถซ่อนเร้นลมหายใจของตัวเองได้ทั้งหมด


ในหัวจึงเกิดการคิดทบทวนหลายครั้ง แล้วเยี่ยเทียนจึงขยับใต้เท้าอย่างรวดเร็ว ดึงเหลยหู่ที่ยืนบังหน้าประตูไปอยู่ด้านข้าง พลางมองเข้าไปข้างใน จากนั้นเขาเองก็ตกตะลึงงันทันที


ถึงแม้จะมีเถาวัลย์ปกคลุมอยู่เต็มหลังคา แต่แสงแดดที่ทอดยาวไม่ขาดสายก็ยังเล็ดรอดผ่านตามช่องว่างของต้นพืช ทำให้ภายในกระท่อมมีแสงสว่างเป็นอย่างมาก เยี่ยเทียนสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ว่าภายในกระท่อมไม้ที่มีขนาดเจ็ดแปดตารางเมตร มี “คน” หนึ่งคนนั่งอยู่ในนั้นจริงๆ!


และรูปร่างของคนนี้ก็สูงใหญ่มาก แม้ว่าจะนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ก็ยังสูงเท่าเอวของเยี่ยเทียน ผมยาวประไหล่ ปิดบังใบหน้าไปเกือบครึ่ง สวมชุดนักพรตเต๋า ที่มีรอยปะเต็มไปหมด เท้าที่สอดอยู่ระหว่างหัวเข่าทั้งสองนั้น ได้สวมรองเท้าฟางขาดๆ คู่หนึ่งที่โผล่ให้เห็นนิ้วหัวแม่เท้า


“เป็นคน แต่ดับขันธ์เป็นเซียนไปนานแล้ว!” หลังจากความตกตะลึงผ่านไป เยี่ยเทียนจึงทำใจให้สงบ ด้วยระยะที่ใกล้ขนาดนี้ ไม่ช้าเขาจึงรู้สึกถึงความผิดปกติ


นักพรตที่นั่งอยู่บนพื้นคนนี้ ถึงแม้ผิวหนังจะไม่ต่างจากคนภายนอก แต่เยี่ยเทียนก็สามารถสัมผัสได้ว่า บนตัวเขานั้นไม่มีลมหายใจแม้แต่นิดเดียว กระทั่งไม่ปรากฏการณ์การไหลเวียนของเลือดเลยสักนิด เหมือนกับสิ่งไม่มีชีวิตที่กลาย เป็นหินก็ไม่ปาน


“ดับขันธ์ แปลว่าอะไรครับ?”


เหลยหู่ไม่เข้าใจจึงถามขึ้นมา


“ก็คือตายแล้ว บัดซบเอ้ย ฉันว่าแกหุบปากให้ฉันหน่อยได้ไหม?” กว่าจะได้เจอนักพรตสักคนก็ไม่ง่าย แต่กลับเป็นคนที่ตายแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดปล่อยอารมณ์ใส่เหลยหู่ไม่ได้


“ครับ อาจารย์ ผมหุบปาก ผมหุบปาก!”


เหลยหู่ขดตัวด้วยใบหน้าเหยเก แต่ก็ยังอดชะโงกศีรษะเข้าไปมองในกระท่อมไม่ได้ แล้วปากก็บ่นพึมพำว่า


“คนตายไปแล้วยังจะนั่งได้อีก? ไม่แน่อาจจะเป็นหุ่นขี้ผึ้งก็ได้?”


ความจริงนิสัยของเหลยหู่นั้นเป็นคนนิ่ง และยังมีเล่ห์เหลี่ยมค่อนข้างมาก แม้จะมีสิ่งที่ไม่เข้าใจ เขาก็จะไม่เอ่ยปากถามก่อน


แต่ไม่รู้ทำไม หลังจากที่เข้าสู่ขั้นพลังสับเปลี่ยนแล้ว อารมณ์มืดหม่นเหล่านั้นที่อยู่ในใจของเหลยหู่กลับหายไปจนหมดเกลี้ยง ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เวลาที่พูดอะไรออกมามักจะทำให้คนรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ่อย ครั้ง


“นี่…นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?”


เยี่ยเทียนก็ขี้เกียจสนใจคนโง่เขลาเบาปัญญาคนนี้ จึงเดินเข้าไปหาคนนั้น ตอนที่เขาเดินอ้อมไปอยู่ด้านหลังคนผู้นี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที แล้วจึงร้องตะโกนออกมา ซี่งเป็นเสียงที่ไม่ต่างจากเหลยหู่ในตอนแรก?


“อาจารย์ เป็นอะไรครับ?”


หลังจากรู้จักเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่ก็ไม่เคยเห็นเยี่ยเทียนหวาดหวั่นแบบนี้มาก่อน แล้วจึงรีบเข้าไปหาทันที แต่หลังจากที่เขามองร่างที่อยู่ข้างหลังอย่างชัดเจนแล้ว ทั้งตัวของเขากลับเดินถอยหลัง “ตึกๆๆ” สามก้าวติดต่อกัน แล้วร่างกายก็กระแทกไปกับกำแพงไม้ที่ไม่ค่อยจะมั่นคงอย่างแรง


“อย่าขยับ!”


หลังจากเสียง “กรึก” ดังมาจากด้านหลัง เยี่ยเทียนจึงได้สติขึ้นมาทันที เหลยหู่ที่รูปร่างสูงใหญ่ประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตร หากสูงกว่านี้อีกหนึ่งเซ็นติเมตร ก็สามารถทำให้กระท่อมไม้ทั้งหลังนี้พังทลายลงมาได้


“ผม…ผมไม่ขยับครับ”


เหลยหู่ยืนตัวตรงนิ่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับปากที่ยังพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า


“อาจารย์ นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? คนผู้นี้เป็นคนหรือผีกันแน่ครับ?”



 

 

 


ตอนที่ 833 ฐานะ (2)

 

“เป็นคน เป็นคนตาย!”


เยี่ยเทียนพูดสองสามคำออกมาจากปากด้วยความยากลำบาก แต่สิ่งที่พูดล้วนเป็นคำไร้สาระ ต่อให้เป็นเหลยหู่ก็ยังมองออกว่านักพรตที่นั่งอยู่บนพื้นนั้นเป็นคนตาย!


หากมองจากด้านหน้า ไม่ว่าจะเป็นด้านบุคคลิกหรือเนื้อหนังภายนอกที่โผล่ออกมาของนักพรต ก็ไม่ต่างจากคนที่มีชีวิตอยู่แต่อย่างใด หนำซ้ำยังนั่งตัวตรง ราวกับกำลังนั่งทำสมาธิอย่างไรอย่างนั้น


แต่ด้านหลังของนักพรตท่านนี้ เริ่มจากกระดูกสันหลังขยายยาวไปจนถึงด้านล่างของลำคอ เนื้อทั้งหมดแยกออกมาข้างนอก เกิดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ยาวเกือบหนึ่งเมตร แต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมาทั้งสิ้น


เนื้อหนังที่อยู่ภายใต้ผิวหนังสีเหลืองนั้นเป็นสีเหลืองทองอร่าม แม้แต่กระดูกสันหลังที่ยาวนั่น ก็ยังมีสีเหลืองทองปรากฏอยู่ทั้งหมด อวัยวะภายในทั้งหมดล้วนเป็นสีนี้ ดูแล้วแปลกประหลาดเป็นที่สุด


“อาจารย์ นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


ทั้งชีวิตนี้ของเหลยหู่ก็เห็นคนตายมาไม่น้อย แต่เวลานี้เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้น “ตึกๆ” ออกมาโดยตรง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นสภาพแวดล้อมอย่างอื่นแล้วมาเห็นภาพแบบนี้ เขาคงคิดว่านี่คงเป็นมนุษย์ปลอมที่ทำมาจากโลหะ


ใบหน้าของเยี่ยเทียนมีสีหน้าที่เคร่งขรึมออกมา แล้วพูดพึมพำว่า


“ร่างสลายกลายเป็นเซียนไปแล้ว นี่…นี่คือการสำเร็จเป็นเซียนอย่างแท้จริง!”


คำว่าร่างสลายกลายเป็นเซียนนั้น กำเนิดมาจากสิ่งธรรมชาติ อย่างขั้นตอนของแมลงที่เปลี่ยนจากดักแด้กลาย เป็นแมลงนั้น ตัวแมลงเกิดมาจากตัวดักแด้ เมื่อผ่านการลอกคราบแล้ว ก็จะกลายเป็นแมลง นี่ก็ถือว่าเป็นการสลายตัวอย่างหนึ่ง ดังหนังสือโซวเสินจี้ เล่มที่สิบสาม ก็มีความหมายดังนี้“มอดที่กินไม้กลายเป็นแมลง จากนั้นก็สลายกลายเป็นผีเสื้อ”


และในบันทึกหนังสือคัมภีร์โบราณลัทธิเต๋าของประเทศจีน ก็พูดว่าเวลาที่มนุษย์เราฝึกวรยุทธจนถึงขั้นสุดยอดแล้ว จะสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เกิดแก่เจ็บตาย และการสำเร็จเป็นเซียนของซูซื่อ ที่ได้กล่าวไว้ในกวีร้อยแก้ว “ก่อนกำแพงสีชาด” ว่า “โบยบินไปเดียวดายละโลกไว้เบื้องหลัง เป็นดุจดังเทพอมรรตัยเหาะเหิรหาว”


หลังจากชื่อนี้แพร่ออกไป คนรุ่นหลังจึงมักเรียกนักพรตที่ล่วงลับไปแล้ว ว่าร่างดับสลายกลายเป็นเซียน ซึ่งความจริงคนพวกนั้นก็แค่เกิดแก่เจ็บตายตามปกติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นเซียนเป็นพระพุทธเจ้าเลยสักนิดเดียว


สิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้นนี้ คนรุ่นหลังต่างก็รู้กันทั่วไป หากลองเสียเวลาตรวจสอบสักนิดก็จะรู้ แต่ในประวัติศาสตร์ของลัทธิเต๋านั้น ก็เคยมีหลายคนที่เกิดการลอกคราบเหมือนดั่งแมลงพวกนี้ เหลือไว้เพียงร่างกายของนักพรตที่ไม่เน่าเปื่อยผุพัง


ตอนทศวรรษที่ 1960 ทีมนักปีนภูเขาทีมหนึ่งเคยเดินทางไปถึงหน้าผาอันสูงชันที่มีไม่ค่อยมีใครไปในภูเขาหัวซาน แล้วพบถ้ำแห่งหนึ่ง หลังจากใช้เชือกเส้นหยาบใหญ่และวัตถุอย่างอื่นในการช่วยเหลือจนเข้าไปถึงในถ้ำแล้ว ทีมนักปีนเขาจึงตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น เพราะข้างในนั้นมีศพของนักพรตอยู่


ซึ่งไม่ต่างจากคนตาย และศพนี้ก็ไม่เน่าเปื่อยดูมีชีวิตชีวา ทว่าด้านหลังกลับมีรูโหว่เปิดออก ตอนนั้นทำเอาทีมนักปีนเขาต่างตกใจกันเป็นแถบ แต่ก็ไม่กล้าเคลื่อนย้ายศพของนักพรต จึงได้นำเรื่องนี้ไปรายงานแก่รัฐบาลท้องถิ่น


หลังจากได้ทราบเรื่องนี้แล้ว ทางรัฐบาลท้องถิ่นจึงจัดทีมนักโบราณคดีกับคนของสมาคมลัทธิเต๋าให้เดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุ


แต่ในยุคของความคลั่งไคล้ลุ่มหลง คนจำนวนมากมักจะนำเรื่องที่ตัวเองไม่สามารถเข้าใจได้จัดอยู่ในเรื่องของ ลัทธิไสยศาสตร์ของสังคมศักดินา นอกจากนี้รัฐบาลท้องถิ่นก็ไม่สนใจการคัดค้านของสมาคมลัทธิเต๋า สุดท้ายจึงได้นำศพของนักพรตท่านนั้นไปเผาเสีย


ต่อมาภายหลังหลี่ซั่นหยวนอาจารย์ของเยี่ยเทียนที่ได้ทราบเรื่องนี้จากเพื่อนนักพรตท่านหนึ่ง จึงกระทืบเท้าเอามือทุบอกอยู่นานด้วยความโกรธสุดขีด พร้อมกับด่าทอคนพวกนั้นว่าเป็นพวกไม่เอาไหน ดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษ แต่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว เขาจึงทำอะไรไม่ได้


จากการสันนิษฐานอย่างมีเหตุผลของหลี่ซั่นหยวนกับผองเพื่อนนั้น ถ้าหากคนที่อยู่ในถ้ำนั้นเป็นเหมือนที่คาดคิดไว้จริงๆ ก็น่าจะเป็นปรมาจารย์เฉินถวน และข้างหลังที่แตกเป็นทาง บางทีก็อาจจะเป็นคำอธิบายที่แท้จริงของการดับขันธ์กลายเป็นเซียนของลัทธิเต๋าก็เป็นได้ จิตแห่งหยางออกจากร่าง ก็เหมือนกับแมลงที่ลอกคราบ เหลือไว้เพียงเนื้อหนังที่เหม็นเน่า


เพียงแต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการอนุมานของหลี่ซั่นหยวนทั้งนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่จิตออกจากร่างไปแล้วจะไปที่ไหน และจะมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ได้อย่างไร เนื่องจากหลี่ซั่นหยวนเองก็มีพลังวรยุทธอยู่ในขั้นพลังสับเปลี่ยนเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเกิดจากการคิดจินตนาการขึ้นมา ไม่มีหลักฐานที่แท้จริงใดๆ ในการอ้างอิง


หลังจากที่มองเห็นคนที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงนึกถึงเรื่องนี้ที่เคยพูดกับอาจารย์ และสถานการณ์ของทั้งสองเหตุการณ์นั้นก็เกือบเหมือนกัน คนนี้จะต้องเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่แท้จริงอย่างแน่นอน และจากสภาพการณ์แบบนี้แล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นโลกที่เยี่ยเทียนยังไม่รู้ก็เป็นได้


“อาจารย์ คนนี้กลายเป็นเซียนแล้วเหรอ?”


พอผ่านไปสักพักหนึ่ง เหลยหู่จึงเริ่มได้สติ และคนที่โหดเหี้ยมอย่างเขานั้น ไม่เคยกลัวคนเป็น มีหรือจะกลัวคนตาย เพียงแต่คนที่อยู่ตรงหน้านี้แปลกประหลาดเกินไป ทำให้เขาถึงกับเสียสติไปชั่วขณะ


“ไม่รู้ ฉันเองก็ไม่แน่ใจ อาจจะกลายเป็นเซียนไปแล้วจริงๆ ก็ได้?”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า ถ้าหากเปลี่ยนเป็นติงหงอยู่ที่นี่ล่ะก็ บางทีเขาอาจจะตอบคำถามของเหลยหู่ได้ แต่เขาที่มีความรู้เกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญตบะอันน้อยนิดนั้น จึงไม่รูว่าสถานการณ์แบบนี้มันมีอยู่จริงหรือไม่?


“อย่าไปรบกวนกายเนื้อของท่านเลย พวกเราออกไปกันก่อนเถอะ”


มองดูนักพรตคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เยี่ยเทียนจึงพอจะเดาออกถึงฐานะของเขา ทว่าเรื่องนี้กับที่บันทึกในหนังสือคัมภีร์โบราณช่างแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เยี่ยเทียนจำเป็นต้องจัดการมู่เจี่ยนที่อยู่ข้างนอกให้เรียบร้อยก่อน เพื่อดูว่าจะหาคำตอบได้หรือไม่


หลังจากออกมานอกห้องแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูดกับเหลยหู่ว่า


“เหลยหู่ แกไปฝึกวรยุทธที่ด้านนอกเถอะ ถ้าหิวก็ไปจับปลาในทะเลด้วยตัวเอง ถ้ากระหายน้ำที่นี่ก็มีน้ำจากลำธารในภูเขา แต่ระวังอย่าออกไปจากหาดทรายไกลนักนะ เพราะสัตว์ที่อยู่บนเกาะนี้ไม่ใช่สิ่งที่แกจะต่อสู้ได้”


ถ้าจะพูดถึงตำแหน่งของกระท่อมหลังนี้ ถือว่าเป็นสถานที่อันล้ำค่าที่เหมาะแก่การฝึกบำเพ็ญเพียรเป็นอย่างมาก มันตั้งอยู่ที่เชิงเขาหินผาสูงพอดี และข้างๆ กระท่อมก็ยังมีลำธารสายหนึ่งที่ไหลตลอดทั้งปี บนเนินเขาก็มีพืชชนิดต่างๆ ขึ้นเต็มมากมาย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นนักพรตคนนี้ปลูกเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นหรือเปล่า?


“ครับ อาจารย์ ผมรู้แล้วครับ”


เหลยหู่ขานรับ แล้วจึงถอยออกจากกระท่อม หากต้องอยู่กับศพที่ไม่รู้ว่าตายตั้งแต่เมื่อไรแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว และอยากจะออกไปเร็วๆ เช่นกัน


“จาก ‘คัมภีร์เต๋า’ ของจางซันเฟิงนั้น หรือว่าคนที่อยู่ในนี้จะเป็นเขา?”


มองดูมู่เจี่ยนที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ สายตาของเยี่ยเทียนพลันนิ่งไป เพราะเขาพบว่า มู่เจี่ยนที่อยู่มุมโต๊ะบนข้างขวา เหมือนจะเขียนตัวหนังสือว่าจางซันเฟิง เขาจึงรีบยื่นมือไปหยิบมาทันที


“ข้าจางซันเฟิง เกิดในยุคปราชญ์ร้อยสำนัก มีประสบการณ์ชีวิตทั้งในราชวงศ์ฉินกับราชวงศ์ฮั่นมากที่สุด และตามหา มหามรรคแห่งเต๋ามาเกือบสองพันปี…”


มองดูตัวหนังสือที่เขียนบนมู่เจี่ยนแล้ว ความลึกลับส่วนหนึ่งของโลกแห่งการฝึกตนถูกเปิดเผยอย่างช้าๆ สีหน้า เยี่ยเทียนเปลี่ยนไม่หยุด เพราะเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า บันทึกลัทธิเต๋าของจางซันเฟิงที่เกิดในสมัยปลายราชวงศ์ซ่งนั้น จะมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้


และจากการบรรยายของจางซันเฟิง เขาก็เกิดในยุคเดียวกันกับขงจื๊อ เมิ่งจื๊อและบรรดานักปราชญ์ทั้งหลาย ช่วงวัยเยาว์ได้พบกับนักพรตเต๋าบนภูเขาโดยบังเอิญ หลังจากได้รับการถ่ายทอดวิชาแล้ว ก็ปลีกวิเวกซ่อนตัวอยู่ในภูเขาหวังอู ฝึกฝนวรยุทธอย่างลำบากมาเกือบสองพันปี


เพียงแต่จางซันเฟิงไม่เคยใช้ชีวิตในสังคมของมนุษย์มาก่อน จึงไม่สามารถเข้าถึงสัจธรรมแห่งเต๋าที่ยิ่งใหญ่ได้ ภายหลังเขาจึงตระหนักรู้ แล้วจึงหัวเราะเดินออกจากภูเขาเพื่อเรียนรู้ชีวิตในสังคม


ช่วงรัชสมัยราชวงศ์ซ่งตอนปลาย จางซันเฟิงได้เข้าสู่สังคมในโลกมนุษย์ ผ่านราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์หยวน ราชวงศ์ หมิงมาสองสามราชวงศ์ด้วยกัน เมื่อฝึกฝนจิตใจจากเรื่องทางโลกแล้ว ทำให้วรยุทธทะยานอย่างก้าวกระโดด ภายในระยะ เวลาสั้นๆ เพียงสองร้อยปีกว่า จากระดับจินตันขั้นต้นก็กระโดดเข้าสู่ระดับจินตันขั้นปลาย จนได้พบกับการลงทัณฑ์สวรรค์ของระดับหยวนอิง


แต่สิ่งที่ทำให้จางซันเฟิงคาดไม่ถึงก็คือ ขณะที่รับการลงทัณฑ์สวรรค์จากระดับหยวนอิงนั้น ช่องว่างที่เป็นรอยต่อระหว่างฟ้าดินได้แยกออกอย่างกะทันหัน แล้วดูดเขาเข้าไปทั้งตัว เดิมทีจางซันเฟิงคิดว่าตัวเองจะได้ขึ้นสวรรค์แล้ว แต่กลับพบว่า ตัวเองกลับมาอยู่ในเกาะเซียนที่เรียกว่า “เผิงไหล” ในตำนาน


สำหรับภูเขาซานเซียนแห่งโพ้นทะเลนั้น สิ่งที่จางซันเฟิงรู้ทั้งหมดมีมากกว่าเยี่ยเทียนมากนัก ตอนที่เขาฝึกบำ เพ็ญเพียรนั้น ภูเขาซานเซียนถูกขนานนามว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเซียน เพียงแต่มันลอยอยู่บนทะเลตลอดเวลา คนที่มีวาสนาถึงจะสามารถเข้ามาอยู่ในนี้อย่างบังเอิญได้ และจากตำนานของโลกภายนอก คนพวกนี้ก็คือผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ในภูเขาเซียนจนสำเร็จไปนานแล้ว


แต่หลังจากที่เข้ามาในภูเขาเซียน “เผิงไหล” นั้น จางซันเฟิงเพิ่งพบว่า เรื่องจริงไม่ใช่อย่างนั้น “เผิงไหล” เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยปราณวิเศษนั้นคือเรื่องจริง แต่กลับมีสัตว์ดุร้ายในตำนานเกิดขึ้นมากมาย มีสัตว์ร้ายมากมายที่มีพละกำลังมาก กระทั่งไม่อาจอยู่ภายใต้อำนาจเขาได้


นอกจากสัตว์ร้ายเหล่านั้นแล้ว บนเกาะก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เลย คนของเกาะเซียนที่เข้ามาอยู่ในตำนานนั้น กลับไม่เห็นเลยสักคน จางซันเฟิงใช้เวลาสิบปีเต็มท่องเที่ยวไปรอบเกาะเซียน “เผิงไหล” ในที่สุดจึงมั่นใจว่า ถ้าหากเขาคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของเกาะ ก็คงไม่มีคนที่สองมาแย่งกับเขาอย่างเด็ดขาด


เดิมทีจางซันเฟิงก็เคยพยายามอยากจะออกไปจากเกาะแห่งนี้ แต่เขาพบว่า อากาศที่อยู่ในเกาะ “เผิงไหล” นั้นมีเขตต้องห้ามอยู่อีกหนึ่งชั้น และด้วยวรยุทธระดับจินตันขั้นปลายของเขาแล้วยังไม่สามารถฝ่าออกไปได้ ในทะเลที่มีระยะห่างจากเกาะมากกว่าสามพันเมตร ก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยเขตต้องห้ามอีกหนึ่งชั้นเช่นกัน ทำให้ทั่วทั้งเกาะแห่งนี้ถูกห่อหุ้มไว้ หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือเข้าได้แต่ออกไม่ได้


เดิมทีจางซันเฟิงอยากจะปลีกวิเวกมาอยู่ในภูเขาสักสองพันกว่าปี และด้วยนิสัยที่รักสงบ ถ้าออกไปไม่ได้ก็ถือเสียว่าเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการฝึกบำเพ็ญตบะก็แล้วกัน เพราะเขากลับไม่รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม ตอนนั้นจึงสร้างกระท่อมหลังนี้ขึ้นมา แล้วจึงเริ่มฝึกวรยุทธในสถานที่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิเศษเหล่านี้


แต่สิ่งที่ทำให้จางซันเฟิงสงสัยก็คือ ไม่ว่าปราณวิเศษบนเกาะจะมีล้นเหลือเพียงใด แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุจากตอนที่ถูกตัดขาดจากการลงทัณฑ์สวรรค์ของระดับหยวนอิงหรือไม่ ระดับการฝึกของเขาไม่สามารถบรรลุระดับจินตันขั้นปลายมาตลอด และการลงทัณฑ์สวรรค์ของระดับหยวนอิงนั้นก็ไม่เคยปรากฏอีกเลย


หลังจากสองร้อยกว่าปีของฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่บนเกาะ จางซันเฟิงพบว่า ก็ยังไม่อาจบรรลุระดับหยวนอิงได้ หลังจากมีชีวิตอยู่สองพันกว่าปีแล้ว ในที่สุดขีดจำกัดสูงสุดของตัวเองก็มาถึง


การค้นหาเส้นทางสำเร็จเป็นเซียนของจางซันเฟิง ขาดเพียงก้าวเดียวก็สามารถเป็นอมตะได้ เขาจึงรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจอยู่บ้าง คำทิ้งท้ายที่เขาเหลือไว้ในมู่เจี่ยนนั้น เตรียมที่จะละทิ้งกายเนื้อที่เหม็นเน่านี้ แล้วพยายามใช้จิตแห่งหยางแปรเปลี่ยนเป็นระดับหยวนอิงเพื่อเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เพื่อดูว่าสามารถทลายพันธนาการระหว่างโลกกับสวรรค์ได้หรือไม่


ก่อนที่จะทำการเลือกนั้น จางซันเฟิงได้ทิ้งความเข้าใจต่างๆ นานาที่ตัวเองฝึกบำเพ็ญเพียรมากว่าสองพันปี และมู่เจี่ยนที่กองอยู่ตามจุดต่างๆ ของกระท่อมไม้นั้น เป็นเขาที่เป็นคนสลักลงไปในวินาทีสุดท้าย เพื่อเก็บไว้ให้คนที่มีวาสนา


“จิตแห่งหยางออกจากร่างแล้วมันเป็นยังไงกันแน่นะ?” มีบันทึกไว้แค่นี้เอง ทำให้หัวใจของเยี่ยเทียนคันยุกยิกราวกับถูกกรงเล็บแมวข่วนก็ไม่ปาน จนอยากจะพุ่งเข้าไปถามเนื้อหนังของกายเนื้อร่างนั้นที่อยู่ภายในห้อง


“ไม่ใช่ ด้วยวรยุทธระดับจินตันขั้นปลายของจางซันเฟิงแล้วยังไม่สามารถหลุดพ้นออกไปจากเกาะนี้ได้ อย่างนั้น…อย่างนั้นฉันก็ต้องถูกขังอยู่ในนี้ไปตลอดชีวิตหรือ?”


เยี่ยเทียนพลันนึกเรื่องหนึ่ง แล้วจึงตัวสั่นงันงกขึ้นมาทันที เขามีจิตใจที่อยากฝึกเป็นเซียน แต่ก็ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในเกาะแห่งนี้ไปตลอดชีวิต!



 

 

 


ตอนที่ 834 กรงขัง

 

คำโบราณกล่าวไว้การฝึกจิตต้องฝึกจากทางโลก แต่เยี่ยเทียนเพิ่งจะมีชีวิตเพียงยี่สิบกว่าปี ลูกหลานก็ยังไม่มี นอกจากนี้ยังต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ถ้าหากชีวิตนี้ออกไปจากที่นี่ไม่ได้ เขายังต้องรู้สึกผิดกับแต่ภรรยาด้วย ตัวเขาเองไม่ได้ใจกว้างเหมือนกับจางซันเฟิง


ดังนั้นหลังจากที่อ่านบันทึกของจางซันเฟิงจบแล้ว เยี่ยเทียนจึงนิ่งทื่อเหมือนหุ่น ไม่สนใจแม้แต่เคล็ดวิชาในการฝึกวรยุทธทั้งชีวิตของจางซันเฟิงที่เหลือไว้ให้


ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนยืนนิ่งราวกับซากศพอยู่กลางห้องนานเท่าใด เขาพยายามนำขาที่หนักอึ้งเดินออกไปข้างนอก  งงงวยสับสนทำตัวไม่ถูก จนกระทั่งลมเย็นๆ พัดมาปะทะใบหน้า เยี่ยเทียนถึงได้สติขึ้นมา


“อาจารย์ เป็นอะไรครับ? ข้างใน…สรุปแล้วนักพรตที่อยู่ข้างในนั้นเป็นใครกันแน่?”


หลังจากเห็นสีหน้าที่นิ่งเหม่อของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงรีบวางเศษไม้ที่อยู่ในมือแล้วเดินไปหาเขา


ตอนที่เยี่ยเทียนดูมู่เจี่ยนเหล่านั้นอยู่ เหลยหู่ก็ลงไปจับปลาในทะเลมาได้สองสามตัว แล้วก่อกองไฟย่างปลาอยู่บนหาดทราย ถึงแม้ปราณวิเศษจะแฝงอยู่ในเนื้อปลาที่สดใหม่เหล่านี้อย่างเต็มเปี่ยม แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันก็ยังไม่ค่อยชินอยู่ดี


“นักพรตคนนั้นคือจางซันเฟิง ไม่รู้ว่าแกเคยได้ยินมาก่อนไหม?”


หลังจากได้ยินคำพูดของเหลยหู่แล้ว เยี่ยเทียนจึงตั้งสติขึ้นมาได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ตกอยู่บนเกาะแห่งนี้ ไม่อย่างนั้นแค่พูดถึงความเหงาก็มากพอให้คนปกติเป็นบ้าได้ และเยี่ยเทียนเองก็ไม่อยากเป็นโรบินสันในยุคปัจจุบัน


“จางซันเฟิง? ผมเคยได้ยินครับ!”


พอได้ยินชื่อนี้ เหลยหู่จึงพบว่าในที่สุดตัวเองก็สามารถพูดภาษาเดียวกันกับเยี่ยเทียนได้แล้ว จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า


“ชื่อเดิมของจางซันเฟิงคือจางจวินเป่าใช่ไหมครับ? เดิมทีเขาเป็นเณรน้อยคนหนึ่งอยู่ในวัดเส้าหลิน ต่อมาภายหลังเนื่องจากเขาแอบเรียนวิชาของอาจารย์จึงถูกไล่ออกจากวัด แล้วมาก่อตั้งสำนักบู๊ตึ้งด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของวัดเส้าหลิน…”


ในแวดวงของชาวจีนโพ้นทะเล มีอยู่สองสามคนที่มีอิทธิพลมากกว่าผู้นำประเทศเสียอีก อย่างหลี่เสี่ยวหลงหรือ บรูซ ลีที่ใช้กังฟูมาผสมผสานกับภาพยนตร์ จนได้ประกาศให้คนทั้งโลกได้รู้จักว่าอะไรคือกังฟู และเป็นที่รักของชาวจีนอย่างล้นหลาม


ในเรื่องของวัฒนธรรมนั้น นวนิยายของกิมย้งก็เป็นแบบนี้เช่นกัน เกือบทุกสถานที่ที่มีคนจีนอยู่ ก็จะสามารถเห็นนิยายของกิมย้งได้ แม้แต่เจ้าตำหนักอาญาอย่างท่านเหลยก็ไม่มีข้อยกเว้น เขาเคยศึกษาอย่างหนักกับนิยายศิลปะการต่อสู้ของกิมย้งและประวัติศาสตร์ของสมาคมหงเหมินในสมัยราชวงศ์ชิงอีกด้วย


หลังจากที่เยี่ยเทียนพูดชื่อของจางซันเฟิงขึ้นมา เหลยหู่จึงรีบเชื่อมโยงกับเขาในนิยายทันที เขาชอบตัวละครที่ต่อสู้มีชื่อเสียงและฐานะขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่ามากที่สุด จึงอ่านบทที่บรรยายถึงจางซันเฟิงอยู่หลายครั้ง


“การคาดเดาของนิยาย เป็นสิ่งที่ทำร้ายคนรุ่นหลังจริงๆ…”


เยี่ยเทียนใช้สายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน กวาดมองไปบนใบหน้าของเหลยหู่อยู่นาน แล้วจึงถอนหายใจพูดว่า


“จางซันเฟิงเกิดในยุคปราชญ์ร้อยสำนัก เป็นคนยุคเดียวกับขงจื้อ เมิ่งจื้อ เขาเป็นผู้ก่อตั้งสำนักบู๊ตึ้ง แต่กับเส้าหลินนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยสักนิด”


“ไม่ใช่ครับ อาจารย์ กิมย้งเอาไปเขียนในหนังสือแล้ว ว่าจางซันเฟิงถูกขับไล่ออกจากวัดเส้าหลินชัดๆ”


เหลยหู่เถียงคำพูดของเยี่ยเทียนจนคอเป็นเอ็น ตอนนั้นเขาก็อ่านบทนิยายนี้เหมือนกัน แถมยังด่าว่าวัดเส้าหลินมีตาแต่หามีแววไม่


“ไปย่างปลาของแกตรงโน้นเถอะ อย่างแกจะรู้อะไรเล่า?”


เยี่ยเทียนมีความคิดมากมาย แต่คำพูดของเหลยหู่ทำให้เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ประวัติศาสตร์ที่บันทึกเป็นตัวหนังสือนั้น ไม่มีอันไหนที่เชื่อถือได้จริงๆ เหลยหู่กับกิมย้งใช้ชีวิตอยู่ในยุคเดียวกัน จึงได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมาก หากรอให้ผ่านไปอีกสองสามยุค บางทีนิทานที่อยู่ในนิยายเหล่านั้น ก็จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่แท้จริงก็เป็นได้


“ในหนังสือก็พูดแล้ว ยังจะเป็นเรื่องโกหกได้อีกหรือ?”


เมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองสามวัน เหลยหู่ก็รู้จักนิสัยของอาจารย์หนุ่มของตัวเองแล้ว ถึงแม้จะเย็นชาไร้ความปราณีต่อศัตรู แต่ปกติกลับเป็นคนที่เข้าหาง่าย ดังนั้นเขาจึงเริ่มที่จะกล้าพูดคุยกับเยี่ยเทียนมากขึ้น


“อาจารย์ ท่านไม่ได้กินอะไรมาสองสามวันแล้ว ปลานี่ให้ท่าน เพิ่งย่างเสร็จพอดี จะว่าไป ปลาทะเลที่นี่หวานสดดีจริงๆ นะครับ ทั้งชีวิตนี้ของผมยังไม่เคยได้กินของที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน!”


ฝีมือในการย่างปลาของเหลยหู่นั้นไม่เลว บวกกับในถุงยังชีพก็มีเกลือปรุงอาหารและเครื่องปรุงประเภทต่างๆ หลังจากถูกเขาปรุงขึ้นมาแล้ว กลิ่นหอมกรุ่นนั้นก็ทำให้คนแทบน้ำลายไหล หลังจากยื่นปลาให้เยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงถามว่า


“อาจารย์ คนที่อยู่ในนั้น คือจางซันเฟิงจริงๆ หรือครับ?”


“ถูกแล้ว คือจางซันเฟิง”


เดิมทีเยี่ยเทียนที่มีความอยากอาหารอยู่นิดหน่อย พอถูกเหลยหู่ถามแบบนี้จึงไม่อยากทานขึ้นมาแล้ว หลังจากวางไม้ที่เสียบปลาทะเลลงบนง่ามไม้แล้วจึงพูดว่า


“จางซันเฟิงก็ตกมาอยู่ที่นี่โดยบังเอิญเหมือนกัน เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สองร้อยกว่าปีก็ยังออกไปไม่ได้ สุดท้ายจึงสลายร่างกลายเป็นเซียนไป!”


“มีชีวิตอยู่สองร้อยกว่าปี? ที่แท้ก็เป็นเซียนจริงๆ !”


เหลยหู่มีสีหน้าที่อิจฉาออกมา แต่จากนั้นก็เกิดการตอบสนองกลับ แล้วพูดอย่างตกใจว่า


“อาจารย์ ท่าน…ท่านพูดว่าไม่สามารถออกไปจากเกาะนี้ได้? อย่างนั้น…อย่างนั้นพวกเราก็ออกไปไม่ได้เหมือนกัน?”


ปีนี้เหลยหู่เพิ่งจะอายุสี่สิบต้นๆ กำลังวังชาและจิตใจกำลังอยู่ในช่วงสูงสุดของชีวิต และไม่มีความคิดที่จะสืบทอดอำนาจจากสมาคมหงเหมินอีก แต่ก็ไม่อยากอาศัยอยู่ในเกาะที่มีอันตรายทุกย่างก้าวแบบนี้ไปตลอดชีวิตเด็ดขาด หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ผลกระทบที่เขาได้รับนั้นยังรุนแรงมากกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก


เยี่ยเทียนก็พูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ


“บางทีหากบรรลุระดับหยวนอิง ก็อาจจะหนีออกไปจากกรงขังแห่งนี้ได้?”


วิธีการพูดของเยี่ยเทียนนั้นมาจากแนวคิดของจางซันเฟิง หากทำตามที่จางซันเฟิงได้กล่าวไว้ บนเกาะแห่งนี้มีปีศาจมากมายที่บำเพ็ญตบะเท่ากับระดับจินตันขั้นปลาย แต่กลับไม่มีตนไหนสามารถบรรลุระดับหยวนอิงได้เลย


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร บนเกาะแห่งนี้ไม่เคยมีการลงทัณฑ์สวรรค์ของระดับหยวนอิงเลย ช่วงสองร้อยกว่าปีนี้   จางซันเฟิงเคยเห็นปีศาจที่มีอายุขัยมากพยายามบุกฝ่าค่ายกลที่อยู่ขอบทะเล แต่กลับถูกค่ายกลโจมตีจนจิตสลาย ซึ่งไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น


จากการคาดเดาของจางซันเฟิง ถ้าหากสามารถเข้าสู่ระดับหยวนอิง บางทีด้วยพลังแบบนั้นอาจจะสามารถบุกฝ่าเขตต้องห้ามของที่นี่ได้ แล้วหนีออกจากสถานที่ที่ถูกคนใช้วิชากักไว้ก็เป็นได้ เพียงแต่จางซันเฟิงกลับไม่มีโอกาสแล้ว


“ระดับหยวนอิง? นั่นคือระดับอะไร? อาจารย์ ท่านน่าจะบรรลุแล้วใช่ไหมครับ?”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงโล่งอก


เพราะว่าหากยึดตามการบรรยายของจางซันเฟิงที่พูดถึงในนิยายกำลังภายในแล้ว วรยุทธของนักพรตท่านนั้นน่าจะอยู่ห่างจากเยี่ยเทียนมาก ถึงอย่างไรเหลยหู่ก็เคยเห็นเยี่ยเทียนเหยียบเมฆเหาะเหินกลางอากาศมาแล้ว ซึ่งเหมือนกับเป็นวิธีแห่งเซียนอย่างแท้จริง ส่วนเรื่องที่จางซันเฟิงมีอายุสองร้อยกว่าปีนั้น เหลยหู่กลับข้ามการพิจารณาไปโดยอัตโนมัติ


“ระดับหยวนอิง? แกก็ชมฉันเกินไปแล้ว!”


เยี่ยเทียนฝืนยิ้มออกมา


“ตอนนี้ฉันอยู่แค่ระดับเซียนเทียนขั้นกลางเท่านั้น ข้างบนยังมีระดับเซียนเทียนขั้นปลายและระดับจินตันสำเร็จมหามรรค ดังนั้นทั้งชีวิตนี้ของฉัน ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสบรรลุระดับหยวนอิงหรือเปล่า?”


หลังจากอ่านบันทึกของจางซันเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนสิ้นหวังจริงๆ ถึงแม้เขาจะโชคดีโดยบังเอิญหลายครั้ง แต่ก็เป็นนักพรตน้อยที่มีวรยุทธระดับเซียนเทียนขั้นกลางเท่านั้น แม้ว่าจะสามารถเข้าสู่ระดับหยวนอิงได้ เกรงว่าคงเป็นเรื่องอีกร้อยปีพันปีกระมัง จึงทำให้เยี่ยเทียนยากที่จะรับได้จริงๆ


“อย่างนั้นพวกเราก็…ก็ออกไปไม่ได้ตลอดชีวิต?”


ในที่สุดเหลยหู่จึงตระหนักถึงความรุนแรง จึงหย่อนก้นลงไปกับพื้น ปลาย่างร้อนๆ ที่อยู่ในมือก็ตกลงไปบนหน้าอกของตัวเอง ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย


“ตื่นขึ้นมา!”


เยี่ยเทียนคำรามเสียงดังด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยปราณแท้ ราวกับสิงโตคำราม สะเทือนจนเหลยหู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ


“จางซันเฟิงออกไปไม่ได้ ใช่ว่าพวกเราจะออกไปไม่ได้เสียหน่อย!”


ดวงตาของเยี่ยเทียนแสดงถึงความแน่วแน่ออกมา พูดว่า


“เหลยหู่ นับจากวันนี้ไป แกกับฉันต้องรีบฝึกวรยุทธเราต้องมีพลังในการปกป้องตัวเองจากที่นี่เสียก่อน ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่หาทางออกเลย เกรงว่าคงจะกลายเป็นอาหารอยู่ในท้องของสัตว์ดุร้ายที่อยู่บนเกาะแห่งนี้ก่อนแล้ว!”


จากบันทึกของจางซันเฟิง มีสัตว์ร้ายมากมายที่มีตบะเท่ากับระดับจินตัน พวกมันมีความแข็งแกร่งที่จะพุ่งชนค่ายกล และขอเพียงพวกมันหลบหนีได้ ต่อให้มีกำแพงฟ้าผ่าก็ไม่อาจทำให้พวกมันบาดเจ็บ นอกจากการใช้ชีวิตอยู่กลางทะเลแล้ว ถึงจะเป็นที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด


“ครับ อาจารย์ ศิษย์จะตั้งใจฝึกอย่างจริงจัง!”


คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้เหลยหู่มีเหงื่อเย็นไหลไปทั้งตัว การที่จะออกไปได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องหลังจากนี้ แต่คำขู่ที่มีสัตว์ดุร้ายอยู่บนเกาะนี้คือเรื่องจริง แขนขวาของตัวเองที่เสียไปก็คือตัวพิสูจน์ที่ดีที่สุด


เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า


“จางซันเฟิงเคยท่องเที่ยวรอบเกาะแห่งนี้ เขาจะต้องเคยต่อสู้กับสัตว์ยักษ์พวกนั้นอย่างแน่นอน ระยะห่างหลายพันเมตรที่อยู่รอบกระท่อมไม้หลังนี้ก็ไม่มีซากกระดูกของสัตว์ร้ายอยู่ ถือว่าน่าจะเป็นสถานที่ปลอดภัยชั่วคราว เหลยหู่ แกก็ไปฝึกวรยุทธอยู่ในกระท่อมไม้เถอะ!”


“ไม่ครับ อาจารย์ ผมนั่งฝึกอยู่ริมชายหาดดีกว่า ที่นั่นมันอึดอัดเกินไป…”


เหลยหู่โบกมือเป็นพัลวัน เขาอยู่ในสมาคมหงเหมินก็ถือว่าเป็นคนโหดคนหนึ่ง เพียงแต่คนตายที่อยู่ในกระท่อมไม้นั้นแปลกประหลาดเกินไป ยังมีรอยแยกออกมาข้างหลัง ใครจะไปรู้ว่าวิญญาณของจางซันเฟิงนั้นยังวนเวียนอยู่แถวนี้หรือเปล่า กลัวว่าจะมาเคาะประตูคอยหลอกหลอนยามดึกดื่น?


“เสียแรงที่แต่ก่อนแกเคยเป็นถึงเจ้าตำหนักอาญา มีความกล้าเพียงแค่นี้?”


เยี่ยเทียนรู้สึกพูดไม่ออกกับคำพูดของเหลยหู่ จึงเดินไปที่กระท่อมไม้ ปากพูดไปว่า


“แกมานี่ คนโบราณว่าไว้คนตายแล้วจะต้องฝังถึงจะไปสู่สุคติภพ พวกเราช่วยขนเนื้อหนังของนักพรตท่านนี้ไปฝังกันเถอะ”


“ได้ครับ!”


คำพูดของอาจารย์จะไม่ฟังก็ไม่ได้ เหลยหู่จึงเดินตามไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจ


เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ทำให้เหลยหู่ลำบากใจ เขาสั่งให้เหลยหู่ขุดหลุมบนเนินเขาเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังกระท่อม แล้วตัวเองก็อุ้มร่างที่สูงประมาณเกือบสองเมตรของจางซันเฟิงขึ้นมา


“เอ๋? นั่นคืออะไร?”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังอุ้มเนื้อหนังที่เหม็นเน่า ในเวลาเดียวกัน ก็รู้สึกว่าร่างกายท่อนล่างศพของจางซันเฟิงนั้น ราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมา เพียงแต่มืออุ้มจางซันเฟิงอยู่ ทำให้เยี่ยเทียนไม่มีเวลาที่ตรวจดู


“อาจารย์ นี่…คนผู้นี้ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ครับ?”


ตอนที่เยี่ยเทียนอุ้มศพของจางซันเฟิงมาถึงเนินเขา เหลยหู่ที่เพิ่งขุดหลุมลึกเสร็จ ก็ถอยกรูดไปข้างหลังติดต่อกัน พร้อมกับมีใบหน้าที่แสดงถึงความตกใจกลัว


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงวางศพลงบนพื้น กลับพบว่า เดิมทีศพที่ไม่ต่างจากคนทั่วไปนั้น ได้กลายเป็นสีดำไปทั้งตัวแล้ว เนื้อหนังที่โผล่ออกมาถึงเสื้อผ้าด้านนอกนั้น ได้เน่าเปื่อยย่อยสลายอย่างรวดเร็วมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


“หรือว่าจะเกี่ยวกับความรู้สึกมีชีวิตชีวาที่รู้สึกเมื่อครู่?”


ในใจของเยี่ยเทียนผุดความคิดนี้ขึ้นมา



 

 

 


ตอนที่ 835 ระดับเซียนเทียนขั้นกลาง

 

ศพของจางซันเฟิงถึงแม้จะเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีกลิ่นเหม็นคลุ้งใดๆ ออกมา เนื่องจากระยะเวลาการฝึกวรยุทธมากว่าสองพันปี ทำให้เลือดเนื้อและกระดูกของเขา ถูกปราณวิเศษหล่อเลี้ยงจนไม่บุบสลาย หลังจากที่เลือดเนื้อภายในร่างกายสูญสิ้นแล้ว ทำให้ทั่วทั้งร่างกลายเป็นศพแห้งเหมือนมัมมี่


แต่ศพที่แห้งนี้ก็ไม่เหมือนกับมัมมี่ที่เยี่ยเทียนเคยเห็นรวมทั้งศพของหญิงสาวที่อยู่ในสุสานหม่าหวังตุยของประเทศจีน หลังจากที่เสียความชื้นในร่างกายหมดแล้ว ร่างกายของจางซันเฟิงกลายเป็นสีดำขลับทั้งหมด จนถึงตอนนี้ก็ไม่เน่าเปื่อย


“คนเราถ้าไม่ได้เป็นเซียน สุดท้ายก็หนีความตายไม่ได้!”


นี่จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนถอนหายใจไม่หยุด เนื่องจากจางซันเฟิงเป็นผู้คงแก่เรียน และมีวรยุทธเกือบถึงระดับจินตัน แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานวัฏจักรกฎแห่งสวรรค์ได้ สุดท้ายจิตแห่งหยางก็ดับสลาย เป็นนักพรตที่มีจุดจบด้วยความตาย


“อาจารย์ รีบเอาเขาลงไปฝังในหลุมเถอะครับ!”


ขณะที่มองดูขั้นตอนที่ศพเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเหลยหู่ทนไม่ไหวจริงๆ จึงเอ่ยพูดว่า


“ได้ยินว่ามัมมี่สาปแช่งคนได้ แล้วคนนี้…จะทำได้เหมือนกันไหมครับ?”


“ดูแกสิ แกกลับไปก่อนเถอะ!”


มองดูจางซันเฟิงที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เยี่ยเทียนนึกถึงสภาพที่ตัวเองต้องถูกขังอยู่บนเกาะแห่งนี้ จึงรู้สึกบอกไม่ถูกขึ้นมาชั่วขณะ หลังจากเหลยหู่เดินไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงนำศพของจางซันเฟิงลงไปฝังในหลุมลึกอย่างระมัดระวัง


“กินเจเดือนแรก ท่องคัมภีร์เต๋า ส่งวิญญาณที่ล่วงลับ ละสังขาร สู่ตำหนักใต้ กินเจเดือนเจ็ด ท่องคัมภีร์เต๋า ร่างกายเป็นเซียน รายนามของสวรรค์ สมุดบันทึกเทพเซียน สิ้นใจขึ้นสู่ชั้นสวรรค์…”


หลังจากใช้ดินฝังกลบหลุมศพแล้ว เยี่ยเทียนจึงท่องบทสวดของ “คัมภีร์ศาสนาเต๋า” ขึ้นมา เสียงสวดของเขา ทำให้เกิดระลอกคลื่นของพลังวิญญาณเป็นชั้นๆ ล้นออกไปไกลราวกับคลื่นน้ำ เหล่านกและแมลงบริเวณโดยรอบต่างเงียบสงบ แม้แต่เสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่อยู่ในภูเขาลึกก็ยังหยุดร้อง ราวกับกำลังมาส่งปรมาจารย์ของยุคนี้


หลังจากผ่านไปอยู่นานครึ่งค่อนวัน เสียงสวดมนต์ของเยี่ยเทียนจึงหยุดลง เสร็จแล้วจึงพ่นลมหายใจออกมาลำแสงสีเงินก็ลอยแวบผ่านไปราวสายฟ้า ตัดผ่านตรงกลางของหินผา เยี่ยเทียนใช้พลังจิต มีดสั้นอู๋เหินก็ทะลุเข้าไปในกำแพงหินกลายเป็นลำแสงสีเงินจากนั้นก็ถูกเขากลืนเข้าไปในท้องอีกครั้ง


“จงมา!” เยี่ยเทียนยื่นมือออกไป แล้วดูดแผ่นหินหนึ่งชิ้นที่มีความยาวประมาณสองเมตร กว้างประมาณหกสิบเซ็นติเมตรลงมาจากกำแพงหิน จากนั้นก็ปักลงไปหน้าหลุมฝังศพของจางซันเฟิง โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดินประมาณหนึ่งเมตรเห็นจะได้


“หลุมฝังศพของนักพรตผู้รอบรู้ ผู้น้อยเยี่ยเทียนขอแสดงความเคารพ!”


นิ้วชี้ข้างขวาของเยี่ยเทียนเปรียบดั่งสายลม สลักตัวหนังสือสิบกว่าคำบนแผ่นหินราวกับมีดแกะสลัก ซึ่งชื่อ “นักพรตผู้รอบรู้” นี้ ได้รับพระราชทานนามมาจากจักรพรรดิอิงจงแห่งราชวงศ์หมิง คำว่าผู้รอบรู้นั้น เหมาะสมกับฐานะของจางซันเฟิงพอดี


เมื่อยืนสงบอยู่หน้าป้ายหลุมฝังศพอยู่พักหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงหมุนตัวเดินออกมา ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นดั่งแดนสวรรค์ เขาเองก็จะไม่ยอมถูกขังอยู่ในเกาะ “เผิงไหล” แบบนี้ไปตลอดชีวิตแน่นอน


“เหลยหู่ แกกำลังทำอะไร?”


ตอนที่เยี่ยเทียนกลับมาถึงกระท่อมไม้ เพื่อเตรียมจัดระเบียบคัมภีร์โบราณกับเคล็ดวิชาที่จางซันเฟิงทิ้งไว้นั้น ก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่หนักหน่วงแล่นเข้ามาในหู จึงรีบเข้าไปดูในห้อง กลับพบเหลยหู่นั่งขัดสมาธิอยู่บนตำแหน่งที่จางซันเฟิงดับขันธ์ร่างสลายกลายเป็นเซียนอยู่


แต่ว่าสถานการณ์ของเหลยหู่ในตอนนี้ ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด เขาที่นั่งอยู่ตรงนั้นมีส่งเสียงดัง หน้าผากมีเหงื่อผุดออกมาราวสายฝน ร่างสั่นไปทั่วทั้งตัว หลับตาทั้งสองข้างสนิท ใบหน้าบิดเบี้ยวไปมา แสดงให้เห็นว่าตอนนี้เขากำลังได้รับความทรมานเป็นอย่างมาก


“ไม่ได้แล้ว พลังชีวิตในร่างกายของเขามีอย่างท่วมท้น เกินกว่าวรยุทธของเขาจะรับได้!”


ขณะที่เยี่ยเทียนจะผลักเหลยหู่ มือที่ยื่นออกไปนั้นกลับหยุดชะงัก เพราะเขาพบว่า ภายในร่างกายของเหลยหู่ มีพลังชีวิตขนาดใหญ่น่าตกใจเป็นอย่างมากกำลังพลุ่งพล่านอยู่ และกำลังช่วยชะล้างหลอดเลือดและเส้นลมปราณของ  เหลยหู่อย่างไม่หยุดยั้ง


แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนแปลกประหลาดใจมากขึ้นก็คือ แขนขวาที่ขาดของเหลยหู่นั้น กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง รอยแผลเป็นที่เป็นชั้นหนาๆ กำลังหลุดออกมา แขนที่ขาดนั้นกลับมีเนื้องออกออกมายาวประมาณสามสี่เซนติเมตร ช่วยรักษาเส้นลมปราณที่เสียหายทั้งหมด ให้ยืดขยายออกไป


วิธีการช่วยคนตายให้ฟื้นถึงอย่างไรก็เป็นเพียงในตำนาน กลุ่มพลังชีวิตนั่นช่วยซ่อมแซมเส้นลมปราณแขนข้างขวาของเหลยหู่ ทำให้เหลยหู่ได้ประโยชน์ไปไม่น้อย ต่อไปเขาไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องที่เส้นลมปราณถูกปิดจะมีผลทำให้วรยุทธยากที่จะพัฒนาได้อีกแล้ว


“ไม่ดีแล้ว สิ่งต่างๆ ที่พัฒนาไปจนถึงขีดสุดจะกลับกลายไปในทางตรงกันข้าม ร่างกายของเขาใกล้จะทนรับไม่ไหว”


หลังจากที่ซ่อมแซมเส้นลมปราณแขนข้างขวาของเหลยหู่แล้ว เยี่ยเทียนพบว่า เหลยหู่ไม่อาจทนรับพลังชีวิตที่พลุ่งพล่านขนาดนั้นได้อีก ร่างกายทั้งตัวของเขาเกือบจะบวมขึ้นมา เขาจึงรีบเอื้อมมือออกไปอย่างรวดเร็ว ใช้ปราณแท้ส่งผ่านไปยังร่างกายของเหลยหู่ให้ถอยหลังไปไกลหนึ่งเมตรกว่า


“อาจารย์ ผม…ผมเป็นอะไรไปครับ?”


ถึงแม้ตอนที่กำลังฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ เหลยหู่จะได้รับความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันที่ร่างกายออกจากเบาะรองนั่งสมาธิแล้ว เหลยหู่กลับรู้สึกโล่งสบายไปทั้งตัว กระดูกแขนขาและปราณแท้ไหลเวียนคล่องตัว ไม่มีติดขัดแม้แต่นิดเดียว


เมื่อจ้องมองเหลยหู่อยู่นานครึ่งค่อนวัน เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้าและถอนหายใจพูดว่า


“แกนี่โชคดีกว่าฉันจริงๆ นะ ออกไปนั่งสมาธิข้างนอก เพื่อปรับวรยุทธของตัวเองให้เสถียรเถอะ!”


กลุ่มพลังชีวิตเมื่อครู่ ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเหลยหู่ ขณะเดียวกันยังช่วยขยายเส้นลมปราณของเขา เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ครึ่งชั่วโมง เหลยหู่ก็เข้าสู่ระดับพลังสับเปลี่ยนขั้นปลายแล้ว การที่ระดับการเลื่อนขั้นที่รวดเร็วเช่นนี้ เกรงว่ายังจะน่ากลัวกว่าเยี่ยเทียนในอดีตเสียอีก


เมื่อเทียบกับศิษย์พี่สองสามคนของเยี่ยเทียนแล้ว พื้นฐานของเหลยหู่นั้นยังห่างอีกมาก ถ้าหากต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ อย่าว่าแต่โก่วซินเจีย จั่วเจียจวิ้นและคนอื่นๆ เลย เกรงว่าเขาคงจะสู้ไม่ได้แม้แต่โจวเซี่ยวเทียนที่มีระดับพลังสับ เปลี่ยนขั้นต้น


“เอ๋? ดูเหมือนวรยุทธของผมจะพัฒนาขึ้นแล้ว อาจารย์ ผมออกไปก่อนนะครับ”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ใบหน้าของเหลยหู่จึงมีสีหน้าดีใจออกมา หลังจากที่มองไปที่วัตถุชิ้นนั้นที่อยู่บนพื้นก็รีบเดินออกไปจากห้อง เวลานี้เส้นลมปราณของเขาเหมือนกับสายน้ำที่เหือดแห้ง จึงจำเป็นต้องเพิ่มพลังปราณวิเศษเข้าไปอย่างเร่งด่วน


“ของสิ่งนี้แปลกประหลาดมากจริงๆ สามารถรักษาบาดแผลของเหลยหู่ได้?”


หลังจากรอให้เหลยหู่ออกไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงเดินใกล้เข้ามาข้างหน้า พยายามมองเบาะรองนั่งสมาธิที่อยู่บนพื้น


“หรือว่านี่คือพลอยวิเศษธาตุไม้?”


เมื่อมองดูวัตถุทรงกลมสีน้ำเงินที่ปกคลุมไปด้วยลายไม้อยู่บนนั้น เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้า เพราะว่าเจ้าของสิ่งนี้ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนพลอย ตรงกันข้ามกลับเหมือนไม้ที่ถูกตัดมาจากตอไม้ใหญ่มากกว่า


“ลองดูเดี๋ยวก็รู้เอง!”


หลังจากที่สำรวจอยู่นาน เยี่ยเทียนจึงลองทำตามเหลยหู่ หย่อนก้นนั่งลงไป ทันใดนั้นก็มีปราณวิเศษทอดยาวเป็นสายล้นขึ้นมาจากด้านล่างแล้วทะลักเข้าไปในร่างกายของเยี่ยเทียน


“ถูกแล้ว เป็นปราณวิเศษธาตุไม้จริงๆ!”


ตอนที่เครื่องบินตกนั้น เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่ามีอาการบาดเจ็บภายในอยู่บ้าง ตอนที่ปราณวิเศษธาตุไม้ไหลเข้าสู่ร่าง กาย โรคที่ยากจะบอกใครได้ก็ถูกขจัดออกไปในทันที ความรู้สึกที่คุ้นเคยแบบนั้น ทำให้เยี่ยเทียนสบายจนเกือบจะร้องครวญครางออกมา


วรยุทธของเยี่ยเทียนแตกต่างจากเหลยหู่ไม่อาจเอามาเปรียบเทียบได้อยู่แล้ว วรยุทธของเหลยหู่นั้นต่ำเกินไป ต่อให้เป็นยาบำรุงกำลัง พอเข้าไปในร่างกายของเขาแล้วก็จะทำให้เขาเจ็บปวดมากมาย แต่เยี่ยเทียนไม่มีปัญหานี้อีกแล้ว พลังปราณวิเศษธาตุไม้ที่ทยอยมาไม่ขาดสาย ทำให้เขารู้สึกถึงพลังชีวิตที่เต็มเปี่ยม ทั้งตัวของเขาเปล่งประกายไปด้วยพลังชีวิตที่มีชีวิตชีวา


“ไม่แปลกใจเลยที่จางซันเฟิงดับขันธ์ไปแล้ว แต่ยังคงรักษาสภาพความชื้นของร่างกายได้ ที่แท้ก็มีผลประโยชน์มาจากเจ้าสิ่งนี้นั่นเอง!”


ขณะที่ปล่อยให้พลังปราณวิเศษกลุ่มนั้นไหลเข้าสู่ร่างกาย เยี่ยเทียนก็เข้าใจเรื่องอะไรมากขึ้น


โดยปกติทั่วไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นพระภิกษุผู้ทรงศีลหรือนักพรตที่มีวรยุทธสูงก็ตามแต่ หลังจากที่นิพพานหรือดับขันธ์กลายเป็นเซียนแล้ว ส่วนมากจะรักษาให้กล้ามเนื้อไม่เน่าเปื่อยได้ ความชื้นหรือเลือดที่อยู่ภายในร่างกายนั้น จะค่อยๆ ระเหยไปอย่างช้าๆ


แต่ปราณวิเศษธาตุไม้นี้ กลับสามารถคงลักษณะความชื้นภายในร่างกายของจางซันเฟิงได้ โดยไม่ให้สูญหายมาตลอดระยะเวลาหลายร้อยปี ทำให้เห็นถึงความแปลกของวัตถุชิ้นนี้ ถ้าหากคนธรรมดาทั่วไปนั่งอยู่บนนี้ครึ่งชั่วโมงทุกวัน จะต้องรักษาอายุขัยให้ยืนยาว ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยได้อย่างแน่นอน


สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ประสิทธิผลของวัตถุชิ้นนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เหมือนอย่างเยี่ยเทียน จุดตันเถียน หยินหยางของเขาเกิดการผสมผสานระหว่างปราณวิเศษของธาตุน้ำและธาตุไฟสองชนิด หลังจากนั้นก็ได้ดูดซับปราณวิเศษของธาตุทองเข้าไป ความสมดุลระหว่างทั้งสามสิ่งนี้ก็เหมือนกับการเดินบนเส้นลวด หากอีกฝ่ายเกิดความแข็งแรงขึ้นมาเพียงนิด ก็จะทำให้ความสมดุลพวกนี้ถูกทำลายไป


แต่พอมีปราณวิเศษธาตุไม้เพิ่มเข้าไป ก็เหมือนกับตัวเพิ่มปฏิกิริยาอย่างหนึ่ง ทำให้ปราณวิเศษทั้งสามผสมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ จนกระทั่งตอนนี้ ปราณวิเศษธาตุทองที่อยู่ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนก็เริ่มผสมผสานเข้ากับปราณแท้สองชนิดก่อนหน้าของเยี่ยเทียนได้แล้วจริงๆ คุณสมบัติปราณวิเศษของเยี่ยเทียน จึงค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ


ตอนนี้จิตใจของเยี่ยเทียน กำลังจมลงสู่จุดตันเถียน เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการหลอมรวมเหล่านี้ เรื่องที่ตัวเองถูกขังอยู่บนเกาะอันโดดเดี่ยวแห่งนี้นั้น เขาได้ลืมไปหมดแล้ว จากนั้นจึงค่อยๆ เก็บพลังปราณชีวิต หายใจจากภายนอกเข้าสู่ภายใน ทำให้เขาดูเหมือนคนที่ไม่มีลมหายใจ



“อาจารย์ อาจารย์ ท่านตื่นสิครับ!”


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด มีเสียงที่ดังอยู่ไกลสุดขอบฟ้า ทำให้เยี่ยเทียนตื่นขึ้นมาจากการเข้าฌาน ปล่อยลมหายใจเสียงต่ำออกมาจากในปาก จากนั้นเยี่ยเทียนจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา


สายตากวาดมองไปที่ตัวของเหลยหู่ ทำให้เหลยหู่ตกใจในทันที ถอยออกไปยืนนอกประตูห้อง และไม่กล้าเอ่ยปากรบกวนเยี่ยเทียนอีก


“ในที่สุดก็เข้าสู่เซียนเทียนขั้นกลางแล้ว!”


เยี่ยเทียนไม่สนใจเหลยหู่ แต่กลับตรวจสอบสภาพภายในร่างกาย พอผ่านไปสักพักหนึ่ง ใบหน้าของเขาจึงแสดงความดีใจออกมา


เดิมทีวรยุทธของเขาสูงสุดอยู่แค่ระดับเซียนเทียนขั้นต้น จากที่เยี่ยเทียนคำนวณแล้ว แม้ว่าจะมีพลอยวิเศษในการช่วยฝึกวรยุทธ ถ้าอยากเลื่อนเข้าสู่ขั้นกลางนั้น ก็ต้องใช้เวลาสิบปีเป็นอย่างน้อย จึงไม่คิดว่าหลังจากที่ปราณวิเศษทั้งสามหลอมรวมกันทั้งหมด กลับทำให้เขาเลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นกลางโดยตรง จากนี้ก็ขาดอีกเพียงก้าวเดียว ก็จะสามารถบรรลุระดับเซียนเทียนขั้นปลายได้แล้ว


ตอนนี้จุดตันเถียนล่างของเยี่ยเทียนนั้น ยังคงเป็นตันเถียนหยินหยางเช่นเคย เพียงแต่ปราณวิเศษที่ออกมาจากการแปรเปลี่ยนของจุดตันเถียนนั้น ไม่ใช่ทั้งน้ำ ทั้งไฟและทองคำ แต่เป็นปราณแท้อย่างหนึ่งที่เยี่ยเทียนก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสได้ว่า ปราณแท้แบบนี้เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว กลับมีการเปลี่ยนแปลงไปในเชิงคุณภาพ


อู๋เหินที่อยู่ในตันเถียนบนของเยี่ยเทียนนั้น ก็เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง แสงสีเงินที่อยู่บนตัวมีดนั้นอ่อนลง มองดูแล้วรู้สึกเหมือนการลดคุณค่าเครื่องประดับลงกลับคืนสู่สภาพเดิม ทำให้เห็นถึงความเรียบง่ายไม่หรูหรา


ตอนนี้เยี่ยเทียนมีความรู้สึกว่า ถ้าจะต้องเจอติงหงอีกครั้ง เขาก็มีความสามารถในการต่อสู้ ไม่มีเหตุการณ์ที่ไร้พลังในการโต้กลับเหมือนคราวก่อนอีกแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)