ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 829-837
บทที่ 829 พบปลาฝูงใหญ่
Ink Stone_Fantasy
บิลลี่บอกกับฉินสือโอวว่า เครื่องเสาหัวเรืออันนี้สามารถขายได้อย่างน้อย 40 ล้าน และยังเป็นดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย!
เมื่อได้ยินราคา ฉินสือโอวตกใจกระโดดจนตัวลอย สี่สิบล้านและยังเป็นดอลลาร์สหรัฐอีก ท่อนไม้ท่อนนี้แพงขนาดนี้เลยเหรอ?
แต่ลองคิดดูก็รู้สึกสงบ ใช่ นี่เป็นของเมื่อ 500 ปีก่อน และยังเป็นเครื่องเสาหัวเรือที่เรือธงของกษัตริย์ประเทศหนึ่งใช้อีก ถ้าได้ยินชื่อ ‘อสูรของกษัตริย์’ ราคา 40 ล้านก็ยังถือว่าต่ำไปหน่อย!
เขาถอนหายใจได้ไม่นาน เบลคที่ได้รับข่าวก็โทรมาและพูดว่า “ถ้าไม่รู้จริงก็อย่าเพิ่งตั้งราคา! 40 ล้านอย่างนั้นเหรอ? อย่างน้อยต้อง 60 ล้าน! ถ้าน้อยกว่านี้สักหนึ่งดอลลาร์สหรัฐก็ไม่ขาย!”
ฉินสือโอวอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้ของโบราณมีค่าขนาดนี้เลยเหรอ?
คำอธิบายของเบลคต่อจากนั้นก็คือ “หลังจากบิลลี่เล่าสถานการณ์ให้ฉันฟัง ฉันก็ไปค้นหาข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงทันที นายรู้ไหมว่าวัสดุของเครื่องเสาหัวเรืออันนี้ทำมาจากอะไร? ไม้จันทน์แดง! ใช่แล้ว ไม้จันทน์แดง เครื่องเสาหัวเรือที่แกะสลักด้วยไม้จันทน์แดง ราคา 60 ล้านไม่ถือว่าแพงหรอก!”
ไม้จันทน์แดงเป็นสินค้าที่มีคุณภาพในบรรดาไม้จันทน์ ความหนาแน่นมากกับตาขนาดเล็กสีน้ำตาล เนื้อของไม้มีความเสถียรสูง ไม่ง่ายที่จะทำให้แตกหรือเสียรูป มันเป็นไม้ที่ล้ำค่ามากและราคาก็สูงมากด้วย
ไม้ประเภทนี้มีมากในป่าเขตร้อนกับป่ากึ่งเขตร้อน และพบว่ายกเลิกการพัฒนาไปแล้วในศตวรรษที่ 19 และศตวรรษที่ 20 ตอนนี้ทุกประเทศในทวีปเอเชียตะวันออกที่อุดมไปด้วยไม้ประเภทนี้ล้วนบัญญัติไว้ในกฎหมายแล้วว่า การตัดไม้จันทน์แดงจะต้องได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการตามกฎหมายก่อน
ไม้จันทน์แดงมีพื้นผิวที่แข็ง ความเร็วในการเจริญเติบโตก็ช้า ใช้เวลาถึง 5 ปีในการสร้างรอบปี 1 วง และต้องใช้เวลา 800 ปีถึงจะโตเต็มที่ ความแข็งถือเป็นไม้ชนิดแรกที่ถูกเรียกว่า ‘ไม้ของกษัตริย์’ ซึ่งไม่สามารถเปรียบเทียบกับไม้ทั่วไปได้
ความจริงลองคิดดูก็คือ กษัตริย์จอห์นเป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่มีทักษะกับกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของเดนมาร์ก เครื่องเสาหัวเรือที่มีเรือธงของเขาจะเป็นแค่สินค้าธรรมดางั้นเหรอ? ไม้ทั่วไปก็ไม่สามารถนำไปทำเรือธงของเขาได้ แล้วเรือธงของกษัตริย์จะไม่สามารถชนศัตรูให้จมลงไปได้อย่างนั้นเหรอ? แบบนี้ก็คงใช้ไม้จันทน์แดงมาทำแค่เครื่องเสาหัวเรือ
ในศตวรรษที่ 14 และศตวรรษที่ 15 ตอนนั้นการทำสงครามในทะเลยังเป็นรูปแบบดั้งเดิมของการต่อสู้ด้วยมือเปล่าระหว่างเรือสองลำที่ใช้เครื่องเสาหัวเรือต่อสู้กันในระยะประชิด ดังนั้นเครื่องเสาหัวเรือที่เรือธงของกษัตริย์ต้องจะไม่ธรรมดาแน่นอน
“ของสิ่งนี้คือไม้จันทน์แดง?” ฉินสือโอวเดินมาหาบิลลี่และถาม
บิลลี่ก็ไม่แน่ใจ เขากะพริบตาอย่างโง่เขลาและตอบว่า “ข้อมูลที่ฉันเจอไม่ค่อยละเอียดนัก จริงๆ แล้วข้อมูลที่ฉันหาคือภาพร่างของเครื่องเสาหัวเรือ เพื่อตรวจสอบว่าเครื่องเสาหัวเรืออันนี้เป็นของจริงหรือของปลอม แต่ก็ไม่มีข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับวัสดุ”
ฉินสือโอวถามว่า “งั้นทำไมนายยังไม่รีบเอาไปให้เบลคตรวจสอบอีก?”
บิลลี่ยิ้มและตอบว่า “เรื่องนี้นายวางใจเถอะ ฉันดูเหมือนคนโง่เหรอไง? ฉันกู้ขึ้นมาเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ฉันได้มันมาฉันก็รีบส่งคนขึ้นฝั่งเพื่อจัดส่งด่วนให้เบลคทันที ตอนนี้ก็คงจะอยู่ในมือของเขาแล้ว คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวันถึงจะได้ผลลัพธ์”
ความจริงแล้วใช้เวลาไม่ถึงสองวัน ตอนบ่ายของวันถัดมา เบลคโทรศัพท์มาหาและตะโกนด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้อมูลที่บันทึกไว้ถูกต้อง! เครื่องเสาหัวเรืออันนี้ทำมาจากไม้จันทน์แดง ยิ่งไปกว่านั้นฉันหาคนที่ใช้เทคโนโลยีลำดับเวลามาตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ต้นไม้จันทน์แดงต้นนี้เป็นต้นไม้ที่ถูกตัดเมื่อฤดูหนาวปี 1482!”
“งั้นมูลค่าของมันจะถึง 60 ล้านไหม?”
“ถึงแน่นอนไม่มีปัญหา! ฉันจะติดต่อพวกทรราชท้องถิ่นในตะวันออกกลางทันที รวมถึงพวกมหาเศรษฐีชาวยิวด้วย พวกเขาสนใจไม้จันทน์แดงที่สุด ขอเพียงแค่เชิญพวกเขามาที่งานประมูล เพื่อน พวกเราก็ทำกำไรได้มหาศาลแล้ว!”
เบลคตะโกนขึ้นมาจากอีกด้านของโทรศัพท์
ถ้าเครื่องเสาหัวเรืออันนี้สามารถขายได้ 60 ล้านจริง ส่วนแบ่งที่เขาจะได้รับก็เกือบจะสิบล้าน เขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?!
ชาวยิวมีความนับถือบูชาไม้จันทน์แดง สำหรับพวกเขาสิ่งนี้คือ ‘ไม้ศักดิ์สิทธิ์’ ตามที่ราชินีแห่งเชบาจดบันทึกไว้ว่าไม้จันทน์แดงเป็นของขวัญแทนความรักที่มอบให้แก่ราชาโซโลมอน ไม้ถูกนำมาสร้างเป็นหีบพันธสัญญาและยังมีเตียง รวมถึงบรรพบุรุษยุคมานิลิกของชาวอิสราเอลก็ถือกำเนิดขึ้นบนนั้นด้วย
ในประมวลกฎหมาย ‘มิชาน’ ของชาวยิว ไม้จันทน์แดงถูกเรียกว่าไม้สวรรค์ที่เต็มไปด้วยพลังบวก
ไม้จันทน์สีแดงที่สมบูรณ์แบบนี้ รวมกับประวัติศาสตร์ 500 ปี รวมกับที่เป็นเครื่องเสาหัวเรือที่เรือธงของกษัตริย์จอห์น ของสิ่งนี้ที่บิลลี่กู้ขึ้นมา ทั้งหมดนั้นก็คือวัตถุล้ำค่า ถ้าพูดถึงความล้ำค่าของมันก็ถือว่ายังประเมินมูลค่าของมันต่ำไป
ในที่สุดฉินสือโอวก็เข้าใจถึงประโยชน์ของการร่วมมือกับเพื่อนอย่างบิลลี่กับเบลค แต่เดิมเขาไม่ได้กู้เหรียญทองกับเหรียญเงินด้วยตัวเอง เพียงแต่เขาคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องเหนื่อยเกินไป สุดท้ายพวกเขาก็เป็นเพื่อนกัน และเขาไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะโชคดีที่เขาไม่ต้องไปปิดประตูสร้างเกวียนด้วยตัวเอง ตอนที่เขาค้นหาซากเรืออับปาง เขาสนใจแค่ของที่อยู่ด้านใน ไม่ได้สนใจตัวของซากเรืออับปาง แม้ว่าจะให้เขาดูเครื่องเสาหัวเรืออันนี้ เขาก็จะมองว่ามันเป็นขยะที่ไม่จำเป็นต้องสนใจ
นี่ก็คือพลังของมืออาชีพ เรื่องที่เฉพาะทางก็ควรจะให้คนที่เชี่ยวชาญไปทำ
การกู้ครั้งนี้นับว่าฉินสือโอวได้เปรียบมาก เครื่องเสาหัวเรือเป็นของที่บิลลี่ค้นพบ เบลคก็รับผิดชอบเป็นคนนำไปขาย และปัญหาเรื่องเงินทุนก็ยกให้แบรนดอน ฉินสือโอวแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ก็ยังเป็นหัวหน้าที่ใหญ่ที่สุด…
รวมกับไข่มุกสีดำและเหรียญทองกับเหรียญเงิน ครั้งนี้ฉินสือโอวต้องจะมีรายได้เข้ามาอย่างน้อย 50 ล้าน ในเมื่อเป็นแบบนี้เขายังจะล่องลอยจับปลาในทะเลอยู่ทำไม? กลับบ้าน กลับไปซื้อของ พูดคุยและเดินเล่นเป็นเพื่อนพ่อแม่กับภรรยาสิ!
การออกทะเลและไม่ได้จับปลา สำหรับพวกชาวประมงถือเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ เพราะทุกครั้งที่ออกทะเลพวกเขาก็จะได้เงินปันผลด้วย ฉินสือโอวเป็นเจ้านายที่ดี ถ้าเขามีเนื้อกิน อย่างน้อยที่สุดก็จะให้พวกชาวประมงได้ดื่มซุปด้วย
หลังจากบอกลาบิลลี่ ฉินสือโอวสั่งให้เรือฮาวิซทกลับท่าเรือ และจับปลาระหว่างทางกลับท่าเรือไปด้วย หลังจากเรือมาถึงฝั่งก็นำไปขาย เขารับแค่ 40% ส่วนอีก 60% ที่เหลือก็แบ่งให้พวกชาวประมง
พวกชาวประมงกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำสั่งนี้ แม้แต่แบล็คไนฟ์ที่ไม่รู้ว่าตกปลาอย่างไร ยังเปลือยด้านบนเพื่อเข้าสู่สนามรบด้วย ตกปลา!
ฉินสือโอวปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไป ทรัพยากรด้านการประมงที่มหาสมุทรแอตแลนติกยังค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ระหว่างทางที่กลับมาท่าเรือพวกเขาเจอปลาสีกุน ปลาโอแถบขนาดเล็ก ปลากระโทงดาบมหาสมุทรแอตแลนติกและปลาสายพันธุ์อื่นอย่างไม่หยุดหย่อน เพียงแค่จำนวนยังไม่เพียงพอ ฉินสือโอวรู้สึกว่าปลาที่ตกได้ยังไม่คุ้มค่า
แต่พวกชาวประมงไม่สนใจ นี่คือเงินทั้งนั้น พวกเขารอค้นหาปลามาตลอด 24 ชั่วโมง ขอเพียงแค่เจอฝูงปลา พวกเขาก็จะเหวี่ยงแหลงไปเพื่อจับปลา
ฉินสือโอวแอบคิดว่าพลังของเงินทองนั้นยิ่งใหญ่จริงๆ แต่ลองคิดดูแล้วก็ถูก เหตุผลที่เขาแล่นเรือมาไกลขนาดนี้ ไม่ใช่เพื่อค้นหาซากเรือหรอกเหรอ? นั่นก็ไม่ใช่เพื่อเงินหรอกเหรอ?
ด้วยความโชคดี เมื่อเรือแล่นมาถึงน่านน้ำของเมืองบอสตัน ฉินสือโอวก็เจอฝูงปลาหัวเมือกฝูงหนึ่ง
ฝูงปลาสายพันธุ์นี้เจอได้ง่ายมาก เพราะตัวของปลาหัวเมือกมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นสีส้มแดงสว่าง ครีบเป็นสีส้มแดงที่สว่างยิ่งกว่า ปกติจะมีความยาวครึ่งเมตรกว่า พวกมันมักจะว่ายกันเป็นกลุ่มอยู่ในมหาสมุทรอย่างยิ่งใหญ่
ปลาหัวเมือกมหาสมุทรแอตแลนติกมีอายุขัยที่ยืนยาวมาก ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกอย่างเป็นปกติ พวกมันสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 150 กว่าปี
ครั้งแรกที่พบพวกมันคือที่มหาสมุทรแอตแลนติก ดังนั้นมันจึงถูกเรียกด้วยชื่อนี้ ความจริงนี่เป็นปลาสายพันธุ์หนึ่งที่กระจายอยู่ในทุกพื้นที่ของมหาสมุทรทั่วโลก พวกมันอาศัยอยู่ในมหาสมุทรลึกลงไป 700 ถึง 1000 เมตร ช่วงที่วางไข่คือช่วงต้นและช่วงกลางเดือนสิงหาคม
ดังนั้น เดือนกันยายนของทุกปีจะเป็นนาทีทองในการจับปลาสายพันธุ์นี้ ดังนั้นในเวลานี้จะเจอฝูงปลาฝูงใหญ่สายพันธุ์นี้ก็เป็นเรื่องปกติ
หลังจากรับรู้ได้ถึงฝูงปลาหัวเมือก ฉินสือโอวเดินไปหาชาร์คและพูดเสียงเข้มว่า “ลดความเร็วเรือ บอกทุกคนให้ประจำหน้าที่ ค้นหาอย่างรอบคอบ บริเวณนี้มีฝูงปลาอย่างดีฝูงใหญ่อยู่”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ชาร์คก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที พวกเขาเชื่อมั่นในตัวกัปตันอย่างฉินสือโอวมาก ในเมื่อกัปตันพูดว่ามีฝูงปลาฝูงใหญ่ นั่นก็คือจะต้องมีแน่นอน!
บทที่ 830 ปลาของใครวะ
Ink Stone_Fantasy
ปลาหัวเมือกมหาสมุทรแอตแลนติกนั้นไม่ได้จับกันได้ง่ายๆ ก่อนยุค 70 ในหนึ่งปีสามารถจับได้แค่หลักพันตัน ต่อมาการทำประมงเชิงพาณิชย์เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น และปริมาณการกู้ซากเรือที่จมอยู่ใต้น้ำก็เพิ่มขึ้น แต่ตอนนี้เหลือเพียงสี่ถึงห้าหมื่นตันต่อปี
อย่าคิดว่าสี่ถึงห้าหมื่นตันเป็นตัวเลขที่สูง จำนวนนี้ถือว่าต่ำมากสำหรับการจับปลาในมหาสมุทร หาอะไรมาเปรียบเทียบกันเถอะ เป็นที่รู้กันดีว่าปลาทูน่ามีราคาสูงเพราะจับได้ยาก แล้วจำนวนที่สามารถจับได้ต่อปีคือเท่าไหร่กันล่ะ? ในหนึ่งปีจำนวนที่สามารถจับได้ในมหาสมุทรทั้งสี่มีมากกว่า 4.2 ล้านตัน
สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะปลาหัวเมือกอาศัยอยู่ในทะเลน้ำลึกที่มีอุณหภูมิน้ำเย็นจัดของบริเวณไหล่ทวีป สันเขาใต้มหาสมุทรและภูเขาใต้ทะเลที่สูงชัน และพวกมันก็ชอบอาศัยอยู่ในก้นทะเลและที่สูงชัน พวกมันกินพวกกระดองเป็นอาหาร จึงหาตัวได้ยากและจับยาก
เนื่องจากปลาชนิดนี้อาศัยอยู่แต่ในน้ำลึก ดังนั้นเนื้อของมันจึงเป็นสีขาวมุก พวกมันมีลวดลายที่ชัดเจน รสชาติอร่อยจึงทำให้มีราคาสูงเหมือนจำพวกหอย
ปลาชนิดนี้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ใต้ทะเลน้ำลึก เครื่องหาปลาตรวจจับพวกมันได้ยากมาก เฉพาะเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายนเท่านั้นที่พวกมันจะปรากฏตัวในเขตระดับน้ำสูงและกลาง เดือนสิงหาคมเป็นฤดูผสมพันธุ์ ส่วนเดือนกันยายนเป็นช่วงผ่อนคลายหลังฤดูผสมพันธุ์
สหรัฐอเมริกาและแคนาดามีกฎไม่อนุญาตให้จับปลาหัวเมือกในช่วงต้นและกลางเดือนสิงหาคมที่เป็นช่วงฤดูวางไข่ของมัน ในช่วงเดือนกันยายนจึงจะสามารถเริ่มจับปลาหัวเมือกได้
แต่ในช่วงเวลานั้นปลาหัวเมือกส่วนใหญ่ก็จะกลับลงไปที่ใต้ทะเลลึกอีกครั้ง การจับพวกมันก็เป็นเรื่องยากอีกเช่นเคย ต้องอาศัยโชคช่วยว่าจะเจอฝูงของมันหรือไม่
ปลาหัวเมือกเป็นปลาที่อยู่ด้วยกันเป็นฝูง เนื่องจากพวกมันมีสีสันที่สว่างเกินไป จึงถูกศัตรูค้นพบได้ง่าย พวกมันจึงชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม เพื่อใช้จำนวนที่มากของข่มศัตรู
ฉินสือโอวหาฝูงของปลาชนิดนี้เจอ ดูผ่านๆ มีประมาณหลักหมื่นถึงหลักแสนตัว ซึ่งเป็นตัวเลขที่เยอะมาก น่าจะมีน้ำหนักประมาณสองร้อยถึงสามร้อยตัน เป็นปลาฝูงใหญ่ที่ใหญ่สมชื่อจริงๆ
สิ้นเสียงเตือนของเขา ชาวประมงก็ลดความเร็วของเรือลง และค้นหาฝูงปลาที่อยู่รอบๆ อย่างละเอียด บูลและคนอื่นๆ หว่านอวนครอบทะเลลึกลงไป ของสิ่งนี้มีไว้สำหรับเก็บกลุ่มตัวอย่าง เมื่อพบฝูงปลาแล้วก็หว่านแหลงไป จะทำให้สามารถจับปลาได้หลายตัวเลยทีเดียว หลังจากจับขึ้นมาแล้วก็จะสามารถนำมาประเมินชนิดของปลาได้
ฝูงปลาหัวเมือกแหวกว่ายไปมาในเขตระดับน้ำตื้นและระดับกลาง พวกมันน่าจะเพิ่งจบจากฤดูผสมพันธุ์ได้ไม่นาน และยังไม่ได้กลับไปยังบริเวณภูเขาใต้ทะเล สันเขาใต้มหาสมุทรและก้นทะเลที่พวกมันชอบ ดังนั้น การจะเจอพวกมันหรือไม่เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น
ไม่นาน เหล่าชาวประมงต่างก็รู้แล้วว่าใต้ท้องเรือของพวกเขามีปลาฝูงใหญ่ฝูงหนึ่งอยู่
หลังจากนั้น บูลดึงอวนครอบขึ้นมาจากน้ำ มีปลาหัวเมือกสี่ถึงห้าตัวกำลังกระโดดอยู่ในนั้น
ทันใดนั้น เหล่าชาวประมงต่างก็พากันตื่นเต้น “ให้ตายเถอะ พระเจ้าอวยพร นี่มันปลาหัวเมือกนี่!”
แบล็คไนฟ์ชูกำปั้นขึ้นเหวี่ยงไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้อง จากนั้นเขาดึงบูลแยกออกมาอย่างระมัดระวังและถามว่า “เพื่อน ปลาหัวเมือกราคาเป็นยังไงบ้าง?”
บูลพูดเสียงดังว่า “นายไม่รู้เหรอ? เคยเข้าเรียนหรือเปล่า?”
“เข้า เคยเข้าเรียน มหาวิทยาลัยชุมชน…” แบล็คไนฟ์รู้สึกละอาย แต่เขาไม่รู้ว่าการเข้าเรียนเกี่ยวข้องกับการรู้ราคาของปลาหัวเมือกยังไง?
“แล้วทำไมนายถึงไม่รู้ล่ะ? ปลาหัวเมือกแม้แต่ขายส่งก็ตกปอนด์ละ 10 ดอลลาร์แคนาดา ดูจากขนาดของปลาฝูงนี้แล้ว ต้องมีอย่างน้อยหลักแสนปอนด์ หรือแม้กระทั่งหลักล้านปอนด์”
แบล็คไนฟ์เองก็ตื่นเต้นไปตามๆ กัน เขาถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อใจว่า “พระเจ้า ถ้าอย่างนั้นการแบ่งกันในอัตราส่วนสี่ต่อหกก็จะได้หลักล้านดอลลาร์แคนาดาเลยใช่ไหม? พวกเรามีกันทั้งหมดสิบคน เฉลี่ยแล้วก็จะได้รับคนละหนึ่งแสน หรือแม้กระทั่งหลายแสนใช่ไหม?”
บูลพูดว่า “ไม่เพียงเท่านี้! ปลาหัวเมือกของเราไม่น่าจะขายส่งแน่นอน เพราะมันคือปลาน้ำลึก หลังจากจับขึ้นมาแล้วมันก็จะตาย จะต้องนำไปแช่แข็งก่อน และเมื่อนำไปวางขายในร้านค้าแบรนด์ของบอส ปอนด์หนึ่งอย่างน้อยก็ตกอยู่ที่ 20 ดอลลาร์แคนาดาเลยล่ะ!”
แบล็คไนฟ์พึมพำ “ฟัค! ฟัค! ฟัค! ถ้ารู้อย่างนี้จะไม่ไปเป็นทหารรับจ้างเลย ฟัค! ควรจะมาเป็นชาวประมงตั้งแต่แรก!”
เหล่าชาวประมงเตรียมอวนจับปลากันอย่างกระตือรือร้น ฉินสือโอวยืนดูพวกเขาทำงานด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงพวกเขาจะไม่ได้รับเงินมากมายอย่างนี้หรอก ไม่ใช่เพราะเขาตระหนี่ แต่เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะจับปลาหัวเมือกทั้งหมดได้ ปลาชนิดนี้เมื่อถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าพวกมันก็จะมุดลงไปใต้ทะเล ดังนั้นต้องใช้อวนล้อมจับจึงจะเป็นไปได้
บนเรือฮาวิซทมีแต่อวนครอบ ไม่มีอวนล้อมจับ
ฉินสือโอวคิดดีแล้ว ว่าจะให้เหล่าชาวประมงจับขึ้นมาส่วนหนึ่งก่อน ส่วนที่เหลือที่มุดลงใต้ทะเลไป เขาจะนำกลับไปที่ฟาร์มปลาเอง
ปลาหัวเมือกเป็นปลาเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมีค่า ในฟาร์มปลาของเขาก็มีอยู่ฝูงหนึ่ง แต่มีแค่หลักพันตัว ไม่สามารถเทียบขนาดกับปลาฝูงนี้ได้
เหล่าชาวประมงหว่านแหลงไปพร้อมเสียงร้องตะโกนโหวกเหวก ชาร์คขับเรือมาจับปลาด้วยตัวเอง ครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็ดึงอวนที่หว่านลงไปครั้งแรกขึ้นมา ในนั้นเต็มไปด้วยปลาหัวเมือกที่อวบอ้วน เกล็ดปลาสีส้มสะท้อนแสงแดด ทำเอาพวกชาวประมงตาลายไปหมด
ปลาอวนนี้มีน้ำหนักกว่าสี่ตัน เมื่อแปลงเป็นดอลลาร์แคนาดา ก็เท่ากับสองแสนกว่า
อวนจับปลาถูกเปิดออกตรงทางเข้าห้องแช่แข็ง ปลาหัวเมือกที่เต็มไปด้วยพลังดิ้นรนอย่างหนักขณะร่วงลงไป พวกมันบิดตัวไปมาและสะบัดหางอย่างต่อเนื่อง บูลเข้าไปจัดการปลาที่ร่วงลงมา แต่ปรากฏว่าถูกปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่มีความยาวครึ่งเมตรกระโดดขึ้นมาตบเข้าไปที่หน้าจนเขาล้มลงกับพื้น
พวกชาวประมงหัวเราะขึ้นมาทันที ฉินสือโอวเข้าไปจับปลาที่มีความยาวครึ่งเมตรตัวนี้ แล้วปล่อยมันกลับเข้าลงไปในน้ำ
แบล็คไนฟ์ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาทำ มีชาวประมงอธิบายให้เขาฟังว่า “ปลาหัวเมือกเติบโตช้า ขีดจำกัดของพวกมันคือครึ่งเมตร การที่จะเติบโตได้ขนาดนี้ มันต้องมีชีวิตมาแล้วอย่างน้อย 80 ปีหรือมากกว่านั้น การที่กัปตันโยนมันลงไปนั้น เพื่อเซ่นไหว้เทพโพไซดอน และเพื่อแสดงเจตนาว่า เราไม่ได้ต้องการฆ่าพวกมันทั้งหมด”
หลังจากจัดการกับอวนปากกลุ่มแรก พวกชาวประมงกำลังเตรียมจะหว่านอวนต่อไปอย่างมีความสุข จู่ๆ ก็มีเรือประมงลำหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าเรือฮาวิซทหนึ่งเท่าแล่นเข้ามา
มีชาวประมงหลายคนยืนอยู่บนดาดฟ้า คนเหล่านี้ชู้กำปั้นขึ้นเหวี่ยงไปมาและตะโกนมาทางเรือฮาวิซทด้วยท่าทีที่ดุดัน
ฉินสือโอวขมวดคิ้วและตรงไปที่ห้องบังคับเรือ แล้วเชื่อมต่อกับเครือข่ายไร้สายของเรือลำนั้น แต่เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร ฝั่งนั้นก็เริ่มด่าขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดุดันว่า “ฟัคยู พวกชาวแคนาดา ใครให้พวกนายเข้ามาในอาณาเขตของเรา? ไป! ออกไป! ฟัคยู ฟัค!”
บูลที่เป็นคนอารมณ์ร้อนกำลังจะเอ่ยปากด่า ฉินสือโอวโบกมือส่งสัญญาณให้เขาใจเย็น เขายกไมค์ไร้สายขึ้นแล้วพูดว่า “เพื่อน เป็นคนต้องมียางอาย นี่คืออาณาเขตของใครนะ? นี่คืออาณาเขตของเทพโพไซดอนต่างหาก! การที่เรามาจับปลาที่นี่มีปัญหาอะไรล่ะ?”
คนในเรือลำนั้นด่าขึ้นมาว่า “เทพโพไซดอนบ้าอะไร! นี่เป็นอาณาเขตของเรือปลาหัวเมือกแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ของเรา! ปลาหัวเมือกที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นของเราทั้งสิ้น ไป พวกนายรีบไสหัวไป!”
ฉินสือโอวเองก็ไม่ใช่คนอารมณ์ดีอะไร เมื่อครู่ที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดี เป็นเพราะว่าเขาให้เกียรติคนเหล่านี้ หลักการทำงานของเขาคือเจรจาพาทีตามมารยาทแล้วจึงใช้กำลัง ฉันยอมให้คุณทำเสแสร้งต่อหน้าฉัน แต่ไม่จะยอมให้คุณทำเสแสร้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในเมื่อเจ้าพวกนี้ยืนยันที่จะทำเสแสร้ง ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยพวกเขาทำไป ฉินสือโอววางสาย และให้ชาร์คหว่านแหเพื่อจับปลาต่อ
การที่การจับปลาหัวเมือกมาพร้อมกับการแข่งขันนั้น เนื่องจากปลาชนิดนี้มีจำนวนน้อยเกินไป และนับวันก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
ดูจากชื่อของเรือลำนี้แล้ว ‘เรือปลาหัวเมือกแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์’ แปลว่าพวกเขาน่าจะจับปลาหัวเมือกเป็นหลัก
อันที่จริงในทะเลใช้คำกล่าวมาก่อนมาหลังในการบุกยึดอาณาเขต ฝูงปลาจะปรากฏในอาณาเขตใดอาณาเขตหนึ่งในเวลาหนึ่ง ดังนั้น เมื่อมีเรือค้นพบอาณาเขตส่วนนั้นก่อน อย่างนั้นที่นั่นก็จะกลายเป็นอาณาเขตของเขา
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็มีเงื่อนไขเหมือนกัน ซึ่งเงื่อนไขก็คือ อาณาบริเวณนั้นจะเป็นของเรือลำนั้นแค่ชั่วคราว ถ้าเขาจากไปแล้ว อาณาบริเวณนั้นก็จะกลายเป็นที่ที่ไม่มีเจ้าของแล้วล่ะ
บทที่ 831 กำราบ ฆ่ามัน!
Ink Stone_Fantasy
ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวสังเกตเห็นแล้วว่า เรือลำนี้ไม่ได้หว่านแหหาปลาอยู่แถวๆ นี้ ตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ก็ยังไม่เห็นเรือลำนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาทีหลัง
บางทีก่อนหน้านี้อาณาบริเวณนี้อาจจะเป็นเขตของเรือปลาหัวเมือกแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ แต่พวกเขาได้ไปจากที่นี่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไรถ้าหากเรือฮาวิซทจะมาจับปลาบริเวณนี้ทีหลัง
ฉินสือโอววางสายวิทยุไร้สาย กัปตันเรือปลาหัวเมือกแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์โมโหมาก ด้วยเหตุนี้เหล่าชาวประมงที่อยู่ตรงหัวเรือจึงพร้อมใจกันชูนิ้วขึ้น
บูลโมโหมากจนอยากออกไปด่าว่าพวกเขา แต่แบล็คไนฟ์ขวางเขาไว้ เขาส่ายหน้าไปมาแล้วพูดด้วยเสียงที่เบาว่า “ฟังคำสั่งจากบอส!”
บูลไม่พอใจ เขาพูดว่า “นายเป็นนักสู้หรือเปล่า? นายเป็นทหารรับจ้างมาก่อนไม่ใช่เหรอ? ทำไมนายถึงไม่โกรธเลยล่ะ?”
ถึงจะถูกกล่าวหาอย่างนี้ แบล็คไนฟ์ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันเป็นนักสู้ ไม่ใช่อันธพาล ฉันไม่กลัวการต่อสู้ แต่ฉันก็พยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ไม่จำเป็น มีบอสอยู่ทั้งคน สิ่งที่ฉันควรทำก็คือรอคำสั่ง ไม่ใช่ตัดสินใจอะไรตามอำเภอใจ”
แม้บูลจะมีนิสัยบุ่มบ่าม แต่ข้อดีของเขาก็คือฟังคนอื่น ที่แบล็คไนฟ์พูดมาก็ไม่ผิด เขาเกาหัวและหัวเราะเสียงดังสองที แล้วชูนิ้วกลางขึ้นในห้องบังคับเรือ แต่ไม่ได้ออกไป
เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่บนเรือฮาวิซทไม่มีใครตอบโต้กับการยั่วยุของพวกเขา ชาวประมงที่อยู่บนเรือปลาหัวเมือกแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ก็เหิมเกริมหนักขึ้นกว่าเดิม ถึงขั้นมีคนถอดกางเกงออกแล้วฉี่มาทางเรือฮาวิซท นี่เป็นการกระทำที่บ้าคลั่งจริงๆ!
สีหน้าของฉินสือโอวไม่ดีเท่าไร แต่เขาไม่ได้โกรธ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “หว่านแห จับปลา เราทำเงินของเรา ปล่อยให้พวกเขาอิจฉาไปเถอะ”
พวกชาวประมงเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด พวกเขามีส่วนแบ่งร้อยละ 60 เชียวนะ รีบหว่านแหกันเถอะ
หลังจากหว่านแหลงไป คนที่อยู่บนเรือปลาหัวเมือกแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ก็เริ่มร้อนใจ เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว นี่ควรจะเป็นผลเก็บเกี่ยวของพวกเขาสิ!
ชาวประมงอเมริกันเป็นคนใจกล้า เรือลำนี้พุ่งเข้ามาชนจากทางด้านหลังอย่างเหนือความคาดหมาย เหมือนกับรถที่ชนท้ายกัน จากนั้นก็ตามด้วยเสียงดัง ‘โครม’ เรือฮาวิซทแกว่งไปมาอย่างรุนแรง และไถลไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น
ไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งนั้น เรือถูกชนเข้าแล้ว!
ในที่สุดฉินสือโอวก็โมโห
“ลงมือเลย ฆ่ามัน!” ฉินสือโอวตะโกนเสียงดัง
ความขัดแย้งกันบนท้องทะเลเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยมาก พวกชาวประมงมักจะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงน่านน้ำที่อุดมไปด้วยทรัพยากรประมง ไม่ว่าจะเป็นสงครามระเบิดน้ำ สงครามการด่าทอ สงครามดวลปืน หรือแม้กระทั่งสงครามด้านข้างเรือ
เมื่อได้ยินคำสั่งของฉินสือโอว แบล็คไนฟ์และแอร์แบ็คกลับไปที่ห้องโดยสารทันทีและหยิบธนูพร้อมด้วยคันธนู
ชาร์คพูดอย่างตะลึงว่า “จะใช้เจ้านี่ทำสงครามทางทะเลเหรอ? ไม่เคยได้ยินเลยแฮะ”
แบล็คไนฟ์ไม่ได้พูดอะไร เขาเปิดกระเป๋าใส่ธนู ข้างในเป็นลูกธนูโลหะเบาที่ส่องแสงเย็นเยือก ลูกศรแหลมคมซึ่งเต็มไปด้วยแรงอาฆาตแค้น
แอร์แบ็คถอดหัวธนูออก แล้วเปลี่ยนเป็นหัวลูกยางแทน แบล็คไนฟ์ถือธนูประกอบเอาไว้คันหนึ่ง เขายิงลูกธนูออกไปโดยไม่ได้เล็งเป้า
ในเวลานั้น เรือทั้งสองลำห่างกันเพียงแค่ระยะ 40-50 เมตร ธนูประกอบคันนี้แข็งแรงมากพอ แบล็คไนฟ์ต้องใช้แรงอย่างมากจึงจะสามารถดึงคันธนูให้สุดได้ เหล่าชาวประมงต่างก็รู้สึกตะลึงกันเป็นอย่างมาก
หลังจากยิงลูกธนูออกไปหนึ่งดอก แบล็คไนฟ์รับมาอีกหนึ่งดอกแล้วยิงออกไปอย่างรวดเร็ว แอร์แบ็คเป็นคนดัดแปลง ส่วนเขาเป็นคนยิง ทั้งสองคนเข้าขากันดีมาก ใช้เวลาไม่ถึง 4 วินาที ลูกธนู 5 ดอกถูกยิงออกไปด้วยความเร็วสูง พวกชาวประมงตาพร่าไปหมด
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังขึ้นมาจากเรือหาปลาของอีกฝ่าย คนเหล่านั้นที่นอนชูนิ้วกลางบนหัวเรือโชคไม่ดีแล้วล่ะ ในระยะ 100 เมตร ลูกธนูไปตามทิศที่แบล็คไนฟ์ต้องการ ทุกดอกปักลงตรงหน้าอกของพวกเขา เจ็บปวดจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
“พระเจ้า ถ้าเปลี่ยนเป็นหัวธนูเหล็ก คนพวกนั้นไม่ตายเลยเหรอ?” บูลมองตาตั้ง “นายมันมือสังหารชัดๆ เพื่อน!”
แบล็คไนฟ์ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “พวกเขาต้องรู้สึกโชคดี ที่ไม่ได้เจอผมในสนามรบ”
ทหารรับจ้างเก่าพูดประโยคนี้ด้วยความเยือกเย็น ให้ความรู้สึกถึงความกระหายเลือด
ชาวประมงบนเรือเริ่มส่งเสียงด่าทอ แบล็คไนฟ์ส่งสัญญาณให้พวกชาวประมงรีบหาที่ซ่อนตัว เพื่อป้องกันอีกฝ่ายนำปืนออกมายิงมั่วซั่ว ทุกๆ ปี มักจะมีการชิงกันเพื่อแย่งปลาในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ
ตามที่คิดไว้ไม่มีผิด ผู้คนที่อยู่บนเรือลำนั้นป่าเถื่อนมาก มีคนถือปืนไรเฟิลเดินออกมาจริงๆ
แบล็คไนฟ์มีตาที่เฉียบคมดั่งนกอินทรี เขาคอยสอดส่องตรงดาดฟ้าของฝ่ายตรงข้ามด้วยความระมัดระวังอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่ามีคนถือปืนไรเฟิลเดินออกมา เขาดึงคันธนูออกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนเมื่อครู่ เขาดึงคันธนูจนสุด หลังจากปล่อยมือ ลูกธนูก็หายไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับดาวตก
“โอ้!” ชาวประมงที่ถือปืนร้องเสียงดังหนึ่งครั้งและจับที่หน้าอกแล้วลงไปนอนชักบนดาดฟ้า หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรอีก
ฉินสือโอวรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่แบล็คไนฟ์ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ โดนแค่หน้าอก ยังมีกล้ามเนื้อและกระดูกคอยรับแรงกระแทก หัวใจของเขาอาจมีอาการขาดเลือดชั่วคราว แต่ไม่อันตรายถึงชีวิต!”
คนคนนั้นปวดจนไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาได้ จากนั้นแบล็คไนฟ์และแอร์แบ็คก็ได้นำปืนของตัวเองออกมา เป็นปืนไรเฟิลเอ็นฟิลด์ เอ็มเคสามขนาดย่อม ซึ่งเป็นอาวุธที่กองทัพแคนาดามอบให้แก่กองทหาร
ปืนชนิดนี้เก่ามาก ถูกผลิตขึ้นในปี 1916 ถ้าใครคิดว่าปืนชนิดนี้ไม่มีพลังสังหารล่ะก็ คิดผิดแล้วล่ะ
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสี่ของปืนไรเฟิลที่มีชื่อเสียงในสงครามโลกครั้งที่สอง เอ็นฟิลด์ถือเป็นมัจจุราชแห่งความตายของกองกำลังยุโรป เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความแม่นยำและระยะยิงของมัน ในตลอดสงครามโลกครั้งที่สองมีการผลิตปืนชนิดนี้จำนวนมากและแจกจ่ายไปยังกองกำลัง ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อพวกนาซี
การที่ปืนชนิดนี้ถูกคัดออกจากสงครามในยุคปัจจุบัน เพราะอัตราการยิงของมันช้าเกินไป และเป็นระบบการทำงานด้วยมือ ไม่เหมาะสำหรับการต่อสู้ระยะใกล้และการต่อสู้กันตามท้องถนน แต่นี่สำหรับกรณีที่เกิดสงครามเท่านั้น สำหรับความขัดแย้งทั่วไปแล้ว พลังของปืนชนิดนี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ
จากการดูละครอเมริกันก็รู้แล้วว่า ครอบครัวชาวอเมริกันหลายครอบครัวยังคงใช้ปืนไรเฟิลเก่าแก่ที่สืบทอดมาจากรุ่นปู่ ตราบใดที่ดูแลรักษาเป็นอย่างดี พลังของปืนดังกล่าวก็ยังคงน่ากลัวไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปืนไรเฟิลเอ็นฟิลด์สามารถใช้เป็นปืนซุ่มยิงได้ อย่างน้อยเมื่อมันอยู่ในมือของทหารรับจ้างเก่าแล้ว เขาก็สามารถที่จะแสดงพลังของมันออกมาได้
การใช้ปืนไรเฟิลเอ็นฟิลด์ยังมีข้อดีอีกข้อหนึ่งคือ ถ้าถึงขึ้นเสียชีวิตขึ้นมาจริงๆ ฉินสือโอวก็จะไม่ถูกตรวจสอบในสหรัฐอเมริกา และทหารอาสาจะได้รับการลงโทษจากศาลทหารแคนาดาแทน
หลังจากที่นำปืนออกมาแล้ว แบล็คไนฟ์คุกเข่าลงและใช้กล้ามเนื้อหน้าอกที่แข็งแรงของเขาแบกพานท้ายปืนไว้แล้วตะโกนว่า “ฟัคยู! ไอ้ลูกหมา! โผล่หน้ามาสิ! โผล่หน้ามารับถั่วลิสงโลหะไปกินสักเม็ด!”
แอร์แบ็คยิงปืนขึ้นไปบนฟ้าหลายนัด เสียงปืนที่กึกก้องทำให้นกนางนวลที่อยู่รอบๆ หวาดกลัวและบินหนีไป และทำให้คนที่อยู่บนเรือลำนั้นไม่มีใครกล้าโผล่หน้าออกมาอีก
อย่างไรก็ตามกัปตันเรือปลาหัวเมือกแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์เป็นคนที่โหดเหี้ยม เขากลับเร่งความเร็วและต้องการชนเรือฮาวิซท เขาต้องการใช้ขนาดเรือที่ใหญ่กว่าชนเรือฮาวิซทให้คว่ำ
แบล็คไนฟ์วางปืนลงอย่างเย็นชาและพูดด้วยเสียงทุ้มว่า “จ่า เปลี่ยนหัวธนู ให้เป็นตะกั่ว 1 ใน 4 ปอนด์”
แอร์แบ็คถอดหัวธนูออกอย่างรวดเร็ว และใส่หัวธนูทรงกลมสีดำเข้าไปแทน
หลังจากที่แบล็คไนฟ์รับลูกธนูมาก็เล็งไปที่กระจกบังลมห้องบังคับเรือของเรือปลาหัวเมือกแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ เขายกแขนขึ้น ตั้งท่าเตรียมยิง และดึงคันธนูออกให้เป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวง จากนั้นลูกธนูก็ถูกยิงออกไปพร้อมเสียง ‘ซู่ว’
บทที่ 832 ฉงต้าเศร้าใจมาก
Ink Stone_Fantasy
ครั้งนี้ความเร็วของลูกธนูไม่เร็วเท่าไร มันพุ่งขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดแล้วตกลงมา จากการจับจ้องอย่างหวาดระแวงของพวกชาวประมงบนเรือปลาหัวเมือกแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ ลูกธนูตะกั่วตกลงบนกระจกด้านหน้าห้องบังคับเรือ…
หลังจากเสียง ‘เพล้ง…’ ดังขึ้น กระจกแตกออกเป็นชิ้นๆ จากแรงกระแทกของลูกธนู
คนขับเรือรีบคลานออกมา บนตัวเต็มไปด้วยเศษกระจก เขาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
แบล็คไนฟ์ทำตาหยีและยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นทิ้งคันธนูแล้วหยิบปืนขึ้นมา เขายิงขึ้นไปบนฟ้า ‘ปัง ปัง ปัง’ หลายนัด ทำให้เรือฝั่งตรงข้ามตกใจ
ฉินสือโอวยืนมองความบันเทิงอยู่ทางด้านหลัง ชาร์คยื่นหน้ามาแล้วตะโกนว่า “กัปตัน ไอ้โง่คนนั้นต้องการพบคุณ”
เมื่อกลับไปยังห้องบังคับเรือ ก็มีเสียงตื่นเต้นหวั่นวิตกและดูจนปัญญาดังมาจากวิทยุสื่อสาร “เพื่อน โอเค นายเก่ง พวกนายเก่งมาก ไม่เพียงแย่งที่ของฉันไป ยัง…”
“นี่นาย ถ้านายต้องการเจรจากันดีๆ ก็ควรจะพูดกันดีๆ ฉันไม่อยากคุยกับคนที่เพิ่งกินขี้มา เข้าใจไหม? อีกอย่าง ประโยคที่ว่าแย่งที่ของนายไปนั่นมันหมายความว่าอย่างไร? ตอนที่พวกฉันมาถึงที่นี่ ก็ไม่มีแม้แต่ผีสางเทวดาสักตัว เข้าใจไหม?” ฉินสือโอวขัดจังหวะของชายคนนั้นอย่างเยือกเย็น
คนคนนั้นข่มอารมณ์เอาไว้ แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “โอเค ถือว่าทั้งหมดนี้คือความเข้าใจผิด ให้ตายเถอะ นี่คือความเข้าใจผิด! ตอนนี้เรามาคุยกันเรื่องค่าชดเชยกันเถอะ นายดูสิ…”
“ฟัคยู! นายรนหาที่เอง เข้าใจไหม? ค่าชดเชยเหรอ? ฉันจะชดเชยด้วยขี้หมานายจะเอาไหม?!” ฉินสือโอวด่าและวางสายไป และแน่นอนว่า ก่อนจะวางสายเขาได้ตะโกนว่า “บอกทุกๆ คน ให้ทำการสู้ต่อไป ฆ่าไอ้พวกลูกกะหรี่พวกนี้ซะ!”
พูดจบ ก็วางสายในทันที
ไม่นาน เรือลำนั้นเริ่มเปลี่ยนทิศ พวกเขาหนีไปโดยไม่กล้าพูดอะไรอีก
ฉินสือโอวคิดว่าพวกเขาอาจจะโทรเรียกตำรวจให้มาจัดการ แต่คนพวกนั้นไม่แน่จริง พวกเขามักจะรังแกคนที่อ่อนแอกว่าแต่เกรงกลัวคนที่แข็งแรงกว่า เมื่อรู้ว่าคนบนเรือฮาวิซทไม่ธรรมดา พวกเขาก็เลยกลายเป็นฝ่ายที่ยอมแพ้ไปเสียเอง
อย่างไรก็ตาม เรือฮาวิซทก็ไม่ได้ได้เปรียบมากเท่าไร เนื่องจากการขัดจังหวะของเรือปลาหัวเมือกแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ พวกเขาจึงพลาดโอกาสดีๆ ที่จะจับปลาหัวเมือก ฝูงปลาตกใจและว่ายดิ่งลงไปใต้น้ำลึกกว่าสองร้อยเมตร พวกมันได้หนีรอดจากขอบเขตของอวนจับปลาไปแล้ว
พวกชาวประมงดูไม่มีความสุข แต่ฉินสือโอวยังมีท่าทีปกติ เขาหาฝูงปลาจนเจอ หลังจากควบคุมจ่าฝูงปลาหัวเมือกที่แข็งแกร่งกลุ่มนั้นแล้ว ก็ออกคำสั่งให้พวกมันตรงไปยังเขตทะเลน้ำลึกของฟาร์มปลาต้าฉิน
หลังจากนั้น ปลาหัวเมือกหลายหมื่นตัวรวมตัวกันราวกับเป็นมังกรแดงใต้ทะเล และมุ่งตรงไปทางทิศเหนืออย่างน่าเกรงขาม
พวกชาวประมงต้องการอยู่ที่นี่อีกสักพักเพื่อลองเสี่ยงโชคดูอีกสักครั้ง แต่ฉินสือโอวปฏิเสธ จะมีน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำจืดมากมายเหลืออยู่ในทะเลได้อย่างไร? พวกเขาจึงแล่นเรือกลับ เจออะไรระหว่างทางก็จับมา
เมื่อกลับไปถึงเกาะแฟร์เวล ผลเก็บเกี่ยวของเรือฮาวิซทเป็นที่น่าพึงพอใจ บนเรือมีผลเก็บเกี่ยวกว่าห้าสิบตัน มีทั้งปลาค็อดแอตแลนติก ปลาหัวเมือก หมึกกระดองและปลากระโทงดาบ ปะปนกันอย่างละนิดละหน่อย
ฉินสือโอวให้ชาร์คนำปลาเหล่านี้ไปจัดการที่นครเซนต์จอห์น เก็บปลาล้ำค่าบางส่วนให้บัตเลอร์เอาไปขาย ส่วนที่เหลือให้นำไปขายได้เลยและแบ่งโบนัสให้กับทุกคน
เขาลงที่ท่าเรือในตัวเมือง เซลียานั่งมองเขาด้วยรอยยิ้มบนเกาะพลาสติก ส่วนการ์เซียกำลังยุ่งอยู่กับขั้นตอนสุดท้ายในการทำให้เกาะพลาสติกมั่งคงอีกรอบ จากนั้นก็ถึงตาของฉินสือโอวแล้วที่ต้องทำการตรวจสอบก่อน
ฉงต้าก็นั่งอยู่บนเกาะเหมือนกัน มันมองดูทะเลด้วยสายตาโศกเศร้า ฉินสือโอวลงเรือไปแล้ว แต่มันก็ยังไม่ปีนขึ้นไป ยังคงนั่งเศร้าอยู่ที่นั่นอย่างไม่สนใจใคร
ทันทีที่ฉินสือโอวก้าวขึ้นไปบนท่าเรือ หู่จือ เป้าจือและปอหลัวต่างก็วิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว หัวไชเท้าน้อยสับขาทั้งสี่ขาของมันอย่างรวดเร็ว ทันทีที่วิ่งมาถึงก็กระโดดโผเข้าใส่เขา ขณะที่ฉินสือโอวกำลังยิ้มอย่างมีความสุข ก็หันไปเห็นปอหลัวที่กำลังกระโดดขึ้นและหันเขากวางเข้าหาเขา…
ฉินสือโอวรีบกระโดดลงไปในน้ำโดยไม่พูดอะไร หัวไชเท้าน้อยที่กำลังกระโดดอยู่ก็ทำหน้าตกใจไปตามๆ กัน จากนั้นไม่มีใครรับตัวมันเอาไว้ ‘ตู้ม’ มันก็ตกลงไปในน้ำตามหลังฉินสือโอว
ฉินสือโอวตกลงไปในน้ำก่อน ตามด้วยหัวไชเท้าน้อย หู่จือและเป้าจือคิดว่าทุกคนกำลังกระโดดน้ำเล่น ก็กระโดดลงน้ำไปด้วยโดยไม่คิดอะไร หัวไชเท้าน้อยเอียงหัวมองดูทุกคนกระโดดลงไปในน้ำอย่างสงสัย คิดว่าตัวเองก็ไม่ควรน้อยหน้า จึงกระโดดตามลงไปด้วย
ฉินสือโอวตามหาหัวไชเท้าน้อยที่ตัวแข็งทื่อกำลังจมลงไปในน้ำเหมือนลูกตุ้มเหล็กจนเจอ เขารีบดึงมันขึ้นมาจากน้ำ สาวน้อยผู้น่าสงสารกลืนน้ำทะเลเข้าไปเต็มปาก
หลังจากขึ้นไปบนฝั่ง มาสเตอร์เดินมาอย่างช้าๆ บนไหล่ของเขาพาดผ้าเช็ดตัวไว้ผืนหนึ่ง วินนี่เม้มปากยิ้มอยู่ด้านหลัง
ฉินสือโอวถอนหายใจแล้วพูดว่า “เด็กๆ กระตือรือร้นกันเหลือเกิน ดูเหมือนว่าหลายวันมานี้ที่ผมไม่อยู่บ้าน พวกมันจะคิดถึงผมไม่น้อยเลย”
วินนี่หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ใช่ค่ะ โดยเฉพาะฉงต้า มันคิดถึงคุณมากที่สุด”
เวลานี้เอง ฉินสือโอวเพิ่งจะสังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติไป เขาถามขึ้นมาว่า “เกิดอะไรขึ้น? ดูเหมือนว่าฉงต้าจะไม่ค่อยมีความสุขเลย”
วินนี่แสดงสีหน้าโศกเศร้าและพูดว่า “หลายวันที่แล้วมีคณะละครสัตว์มาเล่นในเมือง ในนั้นมีหมีสีน้ำตาลที่น่ารักมากตัวหนึ่ง ฉันพาฉงต้าไปดูพวกมัน ฉงต้าอยากเล่นกับมัน แต่มันไม่ยอมเล่นด้วย”
“ก็ซื้อหมีน้อยตัวนั้นเลยสิ” ฉินสือโอวกล่าว
วินนี่พูดอย่างจนปัญญาว่า “เถ้าแก่ไม่ยอมขายค่ะ พวกเขาไม่ได้เลี้ยงหมีน้อยเพื่อทำเงิน แต่เลี้ยงดูในฐานะสมาชิกตัวหนึ่งในครอบครัว ฉันเสนอให้ราคาหนึ่งแสน พวกเขาก็ไม่ยอมขาย”
ฉินสือโอวหันกลับไปมองฉงต้า ในเวลานี้เป็นเวลาพรบค่ำพอดี ฉงต้านั่งเงียบๆ บนเกาะพลาสติก แลดูโดดเดี่ยวมาก มันมองไปทางพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า บนใบหน้าอ้วนๆ ของมันเต็มไปด้วยความเหงาหงอย
ฉินสือโอวขึ้นไปบนเกาะ เขาให้การ์เซียและเซลียากลับไปก่อน เขาโอบกอดฉงต้า ฉงต้าเงยหน้าขึ้นมามองเขา และมุดหน้าเข้าไปในอ้อมแขนของเขา มันสองเสียงร้องสองครั้ง ราวกับว่ากำลังร้องไห้
ฉินสือโอวกอดเจ้าตัวเล็กไว้อย่างสงสารและปลอบใจมันว่า “แกรู้สึกโดดเดี่ยวใช่ไหม โอเค พ่อกลับมาแล้ว ต่อจากนี้ไปพ่อจะเล่นกับแกเองดีไหม? ในไม่ช้าแกก็จะมีน้องชายและน้องสาวแล้ว พวกเขาก็สามารถเล่นกับแกได้เหมือนกันนะ”
“อู้ว!” ฉงต้ายังคงสะอึกสะอื้น
ฉินสือโอวตบหลังของมันเบาๆ และพูดว่า “พ่อพาแกขึ้นไปบนภูเขาดีไหม? หลังทำธุระเสร็จ จะพาแกไปเล่นในป่า บางทีอาจเจอเพื่อนของแกก็ได้ ถึงเวลานั้นแกค่อยไปเล่นกับพวกมันดีไหม?”
ฉงต้ายังคงสะอื้น “อู้ว!”
ฉินสือโอวถอนหายใจแล้วพูดว่า “ให้คุณแม่วินนี่ทำของอร่อยๆ ให้แกกินดีไหม? ต่อไปนี้แกไม่ต้องไปว่ายน้ำเพื่อลดน้ำหนักอีกแล้ว แกจะได้กินสลัดผลไม้น้ำเชื่อม กินทุกวันเลยดีไหม?”
ฉงต้ารีบเงยหน้าขึ้นเบิกตามองเขา ราวกับกำลังถามเขาว่าพูดจริงใช่ไหม
ฉินสือโอวยิ้มและจับไปที่หูอันนุ่มและอ้วนของมัน แล้วอุ้มมันขึ้น เดิมทีอยากอุ้มมันขึ้นไปบนท่าเรือ แต่เจ้านี่อ้วนเกินไป เขาทรงตัวไม่อยู่จึงสะดุดล้มบนเกาะพลาสติก และหลุดมือโยนมันออกไป
‘บูม’ เกี๊ยวตัวที่หกตกลงไปในหม้อแล้ว
ฉงต้าใช้อุ้งเท้าของมันตะกายอย่างหนัก ในที่สุดมันก็ขึ้นฝั่งได้ หลังจากขึ้นไปบนฝั่งก็ส่งเสียงร้องอู้วๆ กับฉินสือโอว ‘อะไรกัน ความเชื่อใจล่ะ? ที่เคยบอกว่าจะไม่บังคับให้ว่ายน้ำเพื่อลดน้ำหนักอีกล่ะ?’
บทที่ 833 มาสเตอร์ vs ฉงต้า ยกที่สอง
Ink Stone_Fantasy
หลังจากคลานขึ้นไปบนชายหาดแล้ว ฉงต้าหันกลับไปมองที่ฉินสือโอวในขณะที่มันวิ่งไปที่วิลล่า แต่มันวิ่งเร็วเกินไป จึงชนเข้ากับมาสเตอร์อย่างจัง
มาสเตอร์จ้องฉงต้าอย่างไม่พอใจ ในขณะนี้ฉงต้าเองก็กำลังอารมณ์ไม่ดี จึงเบิกตากว้างและจ้องมาสเตอร์กลับ
“แกมองอะไร”
“มองแก”
“มองฉันทำไม”
“ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน มีอะไรไหม?”
หลังจากการโหมโรงตามมาตรฐานของความขัดแย้ง ทั้งสองเริ่มการต่อสู้กันในทันที มาสเตอร์อ้าปากเตรียมจะกัดฉงต้า แต่ฉงต้าไม่ได้โง่ มันคิดมาโดยตลอดว่าจะจัดการกับมาสเตอร์ยังไงดี และมาวันนี้มันค้นพบวิธีแล้วล่ะ มันวิ่งไปทางด้านข้างแล้วหงายท้องมาสเตอร์!
ก่อนหน้านี้ฉงต้าไม่สามารถใช้วิธีนี้จัดการกับมาสเตอร์ได้ เนื่องจากเต่าอัลลิเกเตอร์ไม่กลัวการถูกหงายท้อง แขนขาของพวกมันแข็งแรงมาก และกระดองหลังก็มีแผ่นกระดูกที่ยกขึ้นเหมือนกับเนินเขา ดังนั้นจะไม่สามารถหงายท้องพวกมันได้สำเร็จ อย่างมากก็แค่พลิกไปด้านข้าง แต่ก็สามารถลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยความสามารถนี้ เต่าอัลลิเกเตอร์จึงสามารถประลองฝีมือกับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนบกได้
แต่ครั้งนี้ฉงต้าไม่เพียงแต่หงายท้องของมัน แต่ยังใช้อุ้งเท้าพลิกตัวมันไปมาเรื่อยๆ ราวกับก้อนหิน และในที่สุดก็ผลักมันลงไปในทะเล!
เมื่อครู่ทั้งสองยังอยู่ที่ชายหาด
มาสเตอร์เป็นเต่าน้ำจืด มันไม่มีความรู้สึกอะไรต่อมหาสมุทร ดังนั้นมันจึงชอบนอนในอ่างน้ำขนาดเล็กที่วินนี่เตรียมไว้ให้แทนที่จะวิ่งลงไปในมหาสมุทรเพื่อเพลิดเพลินกับความสุขในการว่ายน้ำ
ฉงต้าคิดเรื่องนี้มาโดยตลอด ในที่สุดวันนี้มันก็ได้ข้อสรุป มันเห็นว่ามาสเตอร์ไม่ยอมลงทะเล จึงคิดว่ามาสเตอร์เหมือนหัวไชเท้าน้อยที่กลัวน้ำทะเล
มาสเตอร์ไม่รู้สึกสนใจในมหาสมุทรจริงๆ แต่มันไม่กลัวเมื่อถูกโยนลงทะเล มันตื่นตระหนกชั่วครู่ แต่เมื่อมันลองขยับแขนขา ก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าในความเป็นจริงมหาสมุทรก็เหมือนกับทะเลสาบและแม่น้ำ ที่มันสามารถอาศัยอยู่ในนั้นได้
เมื่อเข้าใจหลักการนี้แล้ว ก็เป็นเคราะห์ร้ายของฉงต้าแล้วล่ะ
หลังจากที่ฉงต้าผลักมันลงทะเลไปแล้วมันควรจะรีบขึ้นฝั่งไป แต่มันอยากอวดดีสักหน่อย มันว่ายไปว่ายมาอยู่ตรงหน้ามาสเตอร์ มันมองไปที่มาสเตอร์อย่างภาคภูมิใจ และรอให้มาสเตอร์จมลงทะเลไปอย่างตื่นกลัว
แต่ผลปรากฏว่า หลังจากที่ฉงต้าว่ายไปว่ายมา มันเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทำไมมาสเตอร์ยังลอยอยู่บนผิวน้ำล่ะ และสายตาที่จ้องมานั้นไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย มีก็แต่ความอาฆาตแค้นอันเยือกเย็น
ให้ตายเถอะ กลิ่นชักไม่ดีแล้ว! ฉงต้ารีบลุกขึ้นวิ่ง แต่สายไปแล้วล่ะ มาสเตอร์ยื่นหน้ามาอย่างรวดเร็ว มันอ้าปากแล้วกัดไปที่อุ้งเท้าของฉงต้า
“อู้ว!” ฉงต้าร้องคร่ำครวญ มันเตะเท้าสุดแรง พยายามสลัดมาสเตอร์ออกไปอย่างยากเย็น มันคลานขึ้นฝั่งด้วยขาทั้งสี่ข้าง จากนั้นก็ยกขาขวาหลังขึ้น ใช้สามขาที่เหลือพยุงตัว แล้วคลานไปที่วิลล่า
มาสเตอร์ว่ายอยู่ในน้ำสักพัก ในตอนท้ายมันคลานขึ้นฝั่งพร้อมกับคาบเม่นทะเลตัวหนึ่งขึ้นมาด้วย แลดูกระปรี้กระเปร่า
“ไอ้เต่าหน้าวัว ฝีมือไม่เลวเลยนะ” เจี้ยนผานโฮ่วที่ดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ พูดด้วยความตกตะลึง
ฉินสือโอวขมวดคิ้วมองไปทางเขาแล้วพูดว่า “หมายความว่าไง? ทำไมฉันรู้สึกว่าคำพูดของนายมันฟังดูแปลกๆ ล่ะ?”
เจี้ยนผานโฮ่วยิ้มแล้วรีบโบกมือ “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ว่าแต่พี่ฉิน ออกทะเลไปจับปลาครั้งนี้ราบรื่นดีไหม? ครั้งหน้าถ้าเป็นไปได้พาผมไปเปิดโลกสักหน่อยเป็นไง? ผมโตขนาดนี้แล้วยังไม่เคยออกทะเลเลยสักครั้ง”
เปลี่ยนประเด็นได้สำเร็จ ฉินสือโอวเล่าแต่สิ่งดีๆ ให้เขาฟัง เจี้ยนผานโฮ่วกลืนน้ำลายไม่หยุด จากนั้นฉินสือโอวก็ถามขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “ทำไมนายยังอยู่ที่ฟาร์มปลาอีกล่ะ?”
เจี้ยนผานโฮ่วพูดตามเหตุตามผลว่า “พี่จ้างผมให้อยู่เป็นเพื่อนเถ้าแก่ไม่ใช่เหรอ? ผมก็กำลังตั้งใจทำงานนี่ไงครับ”
ฉินสือโอวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แต่เท่าที่ฉันรู้มา เถ้าแก่เหมากลับประเทศไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เจี้ยนผานโฮ่วเอามือจับจมูกแล้วพูดว่า “ยังเหลือพ่อพี่อีกคนไม่ใช่เหรอ?”
ฉินสือโอวชี้ไปทางร้านขายปืนแล้วพูดว่า “ไสหัวไป ไสหัวไปทำงานได้แล้ว นายนี่มันอัจฉริยะชัดๆ ลูกไม้เยอะดีจริงๆ”
หลังจากกลับไปถึงบ้าน ฉินสือโอวคุยกับพ่อแม่ พี่สาว และคนอื่นๆ เกือบทั้งคืน หลายวันหลังจากนั้นก็พาพวกเขาไปเที่ยวในเมือง ในเมืองมีนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมาก ในบางครั้งพ่อแม่ของฉินสือโอวก็มีโอกาสได้คุยกับคนบ้านเดียวกัน
สิ่งที่คุณพ่อฉินภาคภูมิใจมากที่สุดก็คือลูกชายของเขา จุดประสงค์ที่ไปคุยกับคนอื่นคือเพื่อรอให้คนอื่นถามว่ามาท่องเที่ยวใช่ไหม ทันทีที่มีคนถาม เขาก็จะรีบแนะนำตัวว่า “ไม่ใช่ ลูกฉันเปิดฟาร์มปลาที่นี่ ภรรยากำลังท้อง เรามาเพื่อเยี่ยมลูกๆ สักหน่อย”
เมื่อพูดอย่างนี้ซ้ำๆ ฉินสือโอวเริ่มรู้สึกเก้อเขิน แต่คุณพ่อฉินกลับรู้สึกมีความสุขอย่างไม่รู้สึกเหนื่อย
คุณแม่ฉินชอบทำงานบ้านและดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านมากกว่า อย่างไรก็ตาม หวังเหล่ยเคยมาปรับช่องโทรทัศน์ให้แล้ว ตอนนี้ก็มีช่องภาษาจีนให้ดูมากมาย
ฝนตกปรอยๆ ในฤดูใบไม้ร่วง เซนต์จอห์นในช่วงกลางเดือนกันยายนถูกปกคลุมไปด้วยสายฝน ฉินสือโอวไม่สามารถออกไปที่ไหนได้ จึงต้องอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน
เชอร์ลี่ย์และเด็กคนอื่นๆ กำลังหยอกล้อกัน วินนี่กังวลว่าเสี่ยวฮุยจะไม่มีเพื่อน จึงขอลาโรงเรียนให้พวกเด็กๆ
การขอลาของเด็กประถมและเด็กมัธยมในแคนาดาทำได้ง่ายมาก เพียงแค่ผู้ปกครองออกหน้าก็สามารถลาได้แล้ว ดังนั้น หลายห้องในบ้านได้กลายเป็นที่ตั้งแคมป์ของเด็กๆ หลังเลิกเรียน เด็กคนอื่นๆ ในเมืองก็จะได้มาเล่นที่นี่ด้วย
หลายวันผ่านไปภาษาอังกฤษของเสี่ยวฮุยพัฒนาอย่างรวดเร็ว เด็กมักจะเรียนรู้ภาษาได้ง่าย หลังจากผ่านไปหลายวันก็ไม่มีปัญหาสำหรับบทสนทนาภาษาอังกฤษง่ายๆ แล้วล่ะ
ในปลายเดือนกันยายน ฉินสือโอวรีบไปที่แฮมิลตัน เพราะเขาต้องไปร่วมงานแต่งงานของเหมาเหว่ยหลง
งานแต่งงานของเหมาเหว่ยหลงจัดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สัปดาห์รองสุดท้ายของเดือนกันยายน ใกล้ถึงวันงานแล้ว ฉินสือโอวจะไปดูว่ามีอะไรให้ช่วยอีกไหม
เดิมทีฉินสือโอววางแผนจะไปแฮมิลตันทันทีที่กลับมา แต่เหมาเหว่ยหลงโทรมาบอกว่า ไม่มีอะไรให้ทำ ในตอนแรกเขาวางแผนที่จะจัดงานแต่งงานอย่างเรียบง่าย สิ่งที่ต้องเตรียมจึงมีไม่อะไรมากนัก แต่ในตอนหลังเบลคได้ให้ทีมงานจัดงานแต่งงานมืออาชีพมาช่วยดำเนินงาน ก็ยิ่งไม่มีอะไรให้ช่วย แม้แต่เขาเองก็แทบจะไม่ต้องทำอะไร
ฉินสือโอวนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปที่ฟาร์มมาเธอร์เอิร์ธ ขณะที่เฮลิคอปเตอร์ลอยอยู่บนฟ้า เขามองลงไปก็เกือบจะจำฟาร์มการเกษตรนี้ไม่ได้แล้ว
ฟาร์มการเกษตรได้กลายเป็นทะเลดอกไม้สดทั้งฟาร์ม จัดแต่งด้วยดอกกุหลาบเป็นหลัก หน้าประตูฟาร์มเป็นสวนกุหลาบขนาดย่อม รั้ว ต้นไม้ขนาดเล็ก ห้องทุกห้อง และกระทั่งที่ที่อาจจะไม่มีคนไปก็ได้รับการตกแต่งด้วยดอกไม้ทั้งหมด
ดอกกล้วยไม้ ดอกลิลลี่ ดอกรักเร่ที่เบ่งบานอย่างสวยงาม และดอกไม้อื่นๆ อีกมากมายที่ฉินสือโอวไม่รู้จักชื่อ ได้เปลี่ยนฟาร์มการเกษตรแห่งนี้เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่
นอกจากนี้ สนามหญ้าในฟาร์มถูกตัดแต่งไปในทางเดียวกัน เมื่อมองลงมาจากบนฟ้า จะมีลวดลายรูปหัวใจทำนองลูกศรปักหัวใจจำนวนมาก
เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอด ฉินสือโอวเดินเข้าไปทางประตูใหญ่ พิทบูลน้อยตัวหนึ่งวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว มันเงยหน้าขึ้นมาทำท่าจะเห่า แต่เมื่อเห็นรูปร่างลักษณะของฉินสือโอว และหลังจากวิ่งเข้าไปดมแล้ว มันส่ายหัวด้วยความสงสัย แล้ววิ่งเข้าไปหาพร้อมส่งเสียง ‘โฮ่งๆ’ ดูเหมือนว่ามันจะจำฉินสือโอวได้แล้ว
เพื่อนบ้านของเหมาเหว่ยหลงก็เข้ามาหาเขาพอดี พวกเขาเคยเจอกันที่งานบาร์บีคิวมาก่อน ชายชราชื่อจอห์นพู เป็นคนผิวขาวที่มีเมตตาและอ่อนโยน ฉินสือโอวส่งยิ้มให้เขา
จอห์นพูเองก็ส่งยิ้มให้เขา จากนั้นเข้าไปกล่าวทักทายก่อนว่า ‘เฮ้ เพื่อน ญาติฝั่งแม่ของเหมาเก่งไม่เบาเลย ใช่ไหม?’
เหตุผลที่เขาผอมอย่างนี้คือ ตามประเพณีของแคนาดาพ่อแม่ของเจ้าสาวต้องเป็นคนออกเงินสำหรับจัดงานแต่งงาน ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับสินสอดทองหมั้นจากบ้านพ่อแม่ของฝ่ายหญิงในประเทศจีน
ถ้างานแต่งงานดูมีชีวิตชีวาและยิ่งใหญ่ พ่อแม่ของเจ้าสาวจึงจะดูมีหน้ามีตา ดังนั้น ถ้าเห็นชายที่เป็นพ่อชาวแคนาดาผู้ซึ่งมีอายุราวๆ ห้าสิบและกำลังจะเกษียณเริ่มทำงานล่วงเวลาและทำงานหนักขึ้นอย่างกะทันหัน ส่วนใหญ่แล้วจะทำเพื่องานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ของลูกสาวสุดที่รัก
บทที่ 834 เพื่อนร่วมชั้นเก่ากลับมารวมตัวกันอีก
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวพูดกับจอห์นพูพร้อมรอยยิ้มว่า “ใครสนกันล่ะ? แค่มีงานแต่งงานที่ดี ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ?”
จอห์นพูยักไหล่แล้วพูดว่า “นายพูดถูก เพื่อน เราขออวยพรให้เหมาและหลิวมีความสุข”
หลังจากที่พิทบูลน้อยวิ่งกลับไปไม่นาน ตั๋วตั่วก็วิ่งออกมาอย่างดีอกดีใจ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอแดงก่ำ ขาสั้นๆ ของเธอก้าวอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเธอมีความสุขมากที่ได้เจอฉินสือโอว
ข้างหลังของตั๋วตั่ว มีพิทบูลน้อยตัวอ้วนหลายตัวไล่ตามกัน เหมือนก้อนเนื้อหลายก้อนที่กำลังกลิ้งไปมา
ฉินสือโอวย่อตัวลงไปอุ้มตั๋วตั่ว จากนั้นชี้ไปที่แก้ม ตั๋วตั่วเอาหน้าไปซ่อนตรงคอของเขาอย่างเขินอาย จากนั้นทำปากจู๋อย่างเงียบๆ แล้วหอมฉินสือโอวสองที
หลังจากที่เหล่าพิทบูลน้อยจำกลิ่นของฉินสือโอวได้ก็วิ่งมาอยู่ข้างๆ เขา พวกมันวิ่งลอดขาของเขาไปมา ทำเอาฉินสือโอวไม่มีที่จะวางเท้า เพราะกลัวจะเหยียบเจ้าตัวเล็กอ้วนๆ เหล่านั้นเข้า
เหมาเหว่ยหลงกำลังยุ่งอยู่กับการคุยโทรศัพท์ “มาถึงแฮมิลตันกันแล้วเหรอ? อยู่ที่สนามบินใช่ไหม? โอเค พี่เหล่ยให้พวกเพื่อนๆ รออยู่ที่นั่นกันสักพักนะ เดี๋ยวผมจะรีบให้คนไปรับ”
ทันทีที่ฉินสือโอวก้าวขาเข้าไป เหมาเหว่ยหลงชี้ไปทางเขาและหัวเราะ จากนั้นวางสายแล้วพูดว่า “มาเช้าก็สู้มาทันท่วงทีไม่ได้ พวกพี่เหล่ยมาถึงแล้ว แกไปรับเขาหน่อย ฉันไม่ว่างไปพอดี”
“ซูซูล่ะ?” ฉินสือโอวถามขึ้นขณะที่อุ้มตั๋วตั่วอยู่
เหมาเหว่ยหลงตอบว่า “ไปลองชุดแต่งงานแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธออยู่ที่ไหน แกหาทีมจัดงานแต่งงานมาจากไหนเหรอ? พวกเขามืออาชีพมากจริงๆ แต่ยืดหยุ่นกันหน่อยได้ไหม? งานแต่งงานธรรมดาก็เพียงพอแล้ว ยุ่งยากอย่างนี้ รู้สึกทรมานจริงๆ”
ตามประเพณีการแต่งงานของแคนาดา ชุดแต่งงานของเจ้าสาวเป็นสิ่งที่เป็นความลับที่สุดก่อนที่จะเข้าพิธีแต่งงาน เพราะชาวแคนาดามีความเชื่อว่า การได้เห็นชุดแต่งงานของเจ้าสาวก่อนเริ่มพิธีแต่งงานจะนำความโชคร้ายมาให้
อย่างนี้ เจ้าบ่าวชาวแคนาดากว่าร้อยละ 90 จะได้เห็นเจ้าสาวสวมชุดแต่งงานในพิธีแต่งงานเท่านั้น
ดังนั้น สำหรับเจ้าสาวแล้วกระบวนการในการซื้อชุดแต่งงานนั้นไม่เพียงแต่ยุ่งยากเท่านั้น แต่ยังต้องดำเนินไปอย่างลับๆ ด้วยจึงจะถือว่าดี
ชัดเจนว่า เหมาเหว่ยหลงในตอนนี้ก็ยังไม่ได้เห็นหลิวซูเหยียนในชุดแต่งงาน
ฉินสือโอวยิ้มแล้วบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องของเขา เขาเห็นมีคู่มือแต่งงานเล่มหนึ่งที่มีขนาดหนาเท่าหนังสือเรียนมัธยมวางอยู่บนโซฟา จึงเอามาเปิดอ่านสักหน่อย
ไม่แปลกใจที่เหมาเหว่ยหลงจะทนไม่ได้ รายละเอียดค่อนข้างยุ่งยาก ในคู่มือมีแม้กระทั่งข้อแนะนำเกี่ยวกับการทาโรลออนดับกลิ่นรักแร้ให้เจ้าบ่าวในคืนวันงานด้วย
เหมาเหว่ยหลงต้องการบ่นกับฉินสือโอว ดูจากสีหน้าของเขาแล้วเต็มไปด้วยเจตนาไม่ดี ราวกับว่าต้องการลากฉินสือโอวไปทำอะไรบางอย่าง
ฉินสือโอววางตั๋วตั่วลงอย่างระมัดระวังแล้วพูดว่า “ฉันจะไปรับพวกพี่เหล่ย แกดูแลตัวเองให้ดีล่ะ”
ทีมจัดงานแต่งงานนำรถยนต์มาสองคัน คนที่มาในรอบนี้เป็นกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นตอนเรียนมหาวิทยาลัย มีทั้งหมด 4 คน ได้แก่ เฉินเหลย หม่าจิน เฉินเจี้ยนหนาน และหม่าจินอีกคนที่เป็นหัวหน้าชั้น
ฉินสือโอวขับพอร์ช คาเยนน์ไปรับพวกเขา รถคันนี้มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง เบาะหลังนั่งได้สามคน ซึ่งพอดีกับการไปรับเพื่อนร่วมชั้นสี่คน
เมื่อไปถึงสนามบินแฮมิลตัน เขาก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มสี่คนกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่างกับเจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อม
ฉินสือโอวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ใช้ก้นคิดก็รู้ได้ว่า หนึ่งในสี่คนนี้ต้องมีคนสูบบุหรี่อย่างแน่นอน
แฮมิลตันเข้มงวดในเรื่องการห้ามสูบบุหรี่เป็นอย่างมาก ห้ามสูบบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะ นอกสนามบินก็ถือว่าเป็นพื้นที่สาธารณะ เพื่อนชาวจีนหลายคนไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขามักจะอดใจไม่ไหวกับการนั่งเครื่องบินมานานกว่าสิบชั่วโมง จึงคิดว่าเมื่อออกจากสนามบินก็น่าจะเป็นอิสระแล้ว แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
คาเยนน์ขับเข้าไปจอดใกล้ๆ ฉินสือโอวลงจากรถแล้วพูดกับเจ้าหน้าที่สุขาภิบาลว่า “สวัสดีครับ ผมเป็นทนายของบุรุษทั้งสี่คนนี้ ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรกันเหรอครับ?”
พูดจบ เขาก็หยิบบัตรทหารอาสาของตัวเองให้เจ้าหน้าที่สุขาภิบาลดู ด้านนอกบัตรทหารอาสาของเขาเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติแคนาดา และบัตรทนายความของแต่ละรัฐในแคนาดานั้นแตกต่างกัน ดังนั้นจึงโกหกได้ค่อนข้างง่าย
แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้มีข้อกำหนดเบื้องต้นคือ คนที่ต้องการไปโกหกจะต้องไม่คุ้นเคยกับบัตรทนายความจะทำให้ไม่ถูกสอบถามมากเท่าไร ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ผล แต่ถ้าไปชนคนเข้า แม้จะแสดงบัตรทนายความ ก็น่าจะถูกรวบอยู่ดี
การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตักเตือนสักหน่อยก็เพียงพอแล้ว หลังจากที่เจ้าหน้าที่สุขาภิบาลได้ดูสัญลักษณ์ประจำชาติและรูปถ่ายของฉินสือโอวแล้ว ก็พึมพำว่า ‘ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะนะครับ’ แล้วเดินจากไป
ในแคนาดา ผู้คนไม่ต้องการคลุกคลีกับทนายความมากที่สุด
ทันทีที่เจ้าหน้าที่สุขาภิบาลเดินจากไป เฉินเหลยถอนหายใจอย่างโอ้อวด เขาเอื้อมมือไปจับหัวที่เกือบจะโล้นแล้วและพูดว่า “ให้ตายเถอะ นายมาได้ทันเวลาพอดีเลยฉินโซ่ว เจ้านั่นขู่พวกเราว่าจะโทรแจ้งตำรวจให้มาจับเรา ไม่เป็นมิตรเลยสักนิด”
“ใช่แล้วล่ะ ฉินโซ่ว ทำไมนายมาถึงมาเร็วอย่างนี้ล่ะ? โคโกโร่บอกว่าต้องใช้เวลาสองชั่วโมงเลยไม่ใช่เหรอ?”
ฉินสือโอวหยอกคนทั้งสี่เล่นว่า “พวกนายจับตูดผู้หญิงมาใช่ไหม?”
หม่าจินถอนหายใจแล้วพูดว่า “ให้ตายสิ คิดมาตลอดทาง แต่ไม่กล้าจับ ฮ่าๆ”
พูดจบ คนทั้งห้าก็กอดกัน จากนั้นอีกสี่คนก็เตะฉินสือโอวอย่างแรง
ฉินสือโอวเรียกรถกระบะบริการที่สนามบินมาคันหนึ่ง แต่หม่าจินบอกว่าสัมภาระของพวกเขามีไม่มาก ฉินสือโอวเลยหันกลับไปมองก็เห็นแค่คนสี่คนกับเป้สะพายหลังอีกสี่ใบ เขาพูดอย่างประหลาดใจว่า “ไม่มีกระเป๋าเดินทางเลยเหรอ?”
“ชายทั้งแท่งเอากระเป๋าเดินทางมาทำไมล่ะ?”
“งั้นก็ดี งั้นไปขึ้นรถกันเถอะ คืนนี้ดื่มเบียร์แล้วก็กินบาร์บีคิวกัน!”
เฉินเจี้ยนหนานมองไปที่โลโก้ของรถพอร์ชและพูดว่า “ให้ตายเถอะ ฉินโซ่ว เขาพูดกันว่านายประสบความสำเร็จมาก ฉันเองก็ไม่รู้ว่านายประสบความสำเร็จในระดับไหน นี่นายขับรถยี่ห้ออะไร? โลโก้เป็นม้าตัวหนึ่งใช่ไหม? หรือนี่ก็คือลัมโบร์กีนีในตำนาน?”
“พอร์ช คาเยนน์ สองล้านหยวน!” เฉินเหลยตบโลโก้เบาๆ
ฉินสือโอวหัวเราะและพูดว่า “พอแล้ว นี่ไม่ใช่รถของฉัน นี่เป็นรถของโคโกโร่ ตอนนี้เขาต่างหากที่เจ๋งสุดๆ เขามีฟาร์มการเกษตรขนาดใหญ่อยู่ในมือ กว้างขวางมาก ไปกันเถอะ ไปกินเขากันเถอะ!”
“กินเขา ต้องไปกินเขาให้ได้!”
“มีอะไรที่แพงที่สุดล่ะ? ฉันได้ยินมาว่าเนื้อวากิวก็ไม่เลว? ในฟาร์มการเกษตรของเขามีไหม? ถ้าไม่มีฉันจะจูงมาจากญี่ปุ่นให้เขาสักตัว”
“กินบ้าอะไร พวกตะกละ ไปดูเจ้าสาวกันก่อนสิ เจ้านั่นปกป้องดีอย่างนั้น ฮ่าๆ เราจะปล่อยเจ้าสาวไปไม่ได้”
ฉินสือโอวให้คนทั้งสี่คาดเข็มขัดให้ดี เมื่ออยู่กับเพื่อนร่วมชั้นเก่า เขามีความคิดเล่นพิเรนทร์ผุดขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากสตาร์ทรถ เขาเหยียบคันเร่งจนมิด รถพุ่งออกไปราวกับวัวที่กำลังบ้าคลั่ง!
“ให้ตาย!”
“ช่วยด้วย!”
“บ้าเอ๊ย! ฉันจะอ้วกแล้ว!”
“หัวหน้าห้อง นายจับเป้ากางเกงฉันทำไม?!”
“ขอโทษ จับผิด ความจริงฉันอยากจับของตัวเอง เวลาที่รู้สึกตื่นเต้นฉันก็จะจับเป้ากางเกงตัวเอง”
ฉินสือโอวเร่งความเร็วอย่างต่อเนื่อง สมรรถนะของรถพอร์ชก็ยอดเยี่ยมอย่างนี้แหละ ความเร็วเกิน 200 ไมล์อย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่คือความเร็วของระยะทางที่มากกว่า 300 กิโลเมตร
รถวิ่งไปบนทางด่วน ในแฮมิลตันมีรถไม่มาก ดังนั้นเมื่อเร่งความเร็วฉินสือโอวก็ไม่รู้สึกกลัว ร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่มีปัญญาสำหรับการควบคุมรถที่มีความเร็วขนาดนี้
ระยะทางที่คาดว่าต้องใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมง ฉินสือโอวใช้เวลาแค่ 40 นาที
บทที่ 835 คนครบแล้ว
Ink Stone_Fantasy
รถจอดตรงหน้าประตูทางเข้าฟาร์ม ฉินสือโอวเปิดประตูรถออก เฉินเจี้ยนหนานที่นั่งเบาะข้างคนขับพุ่งตัวออกไปกอดประตูรถไว้และเริ่มร้องไห้ “โคโกโร่ นายออกมาเลยนะ ให้ตายเถอะ เรามาที่นี่เพื่อร่วมงานแต่งงานของนายหรือมาเสี่ยงชีวิตเพื่อเข้าร่วม ‘เร็วแรงทะลุนรก’ กันแน่”
ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดัง แต่หม่าจินกลับพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “อีกสักรอบไหมล่ะ? 200 ไมล์ช้าไป เอาสัก 300 ไมล์เลยดีไหม?”
เสียงหัวเราะหยุดในทันที ฉินสือโอวมองดูหม่าจินที่ทำท่าตั้งหน้าตั้งตารอ จากนั้นก็โค้งคำนับแล้วพูดว่า “ท่านหัวหน้าชั้นเสแสร้งได้มีชั้นเชิงมาก ข้าน้อยแพ้แล้วล่ะ!”
พวกเขากำลังยืนวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ที่หน้าประตูฟาร์ม พิทบูลกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาหลังจากที่ได้ยินเสียงรถ เมื่อเห็นว่าเป็นคนแปลกหน้า จึงรวมตัวกันส่งเสียงเห่า ‘โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง’
แต่ตอนนี้พวกมันยังหนุ่มไปหน่อย เสียงร้องของพวกมันไม่เพียงแต่ไม่น่ากลัว แต่กลับรู้สึกว่าน่ารักมากกว่า
เมื่อชายร่างใหญ่ทั้งสี่เห็นพิทบูลน้อยที่น่ารัก พวกเขาพุ่งเข้าไปจับมาคนละตัวและเริ่มลูบคลำ “ให้ตายเถอะ สุนัขตัวนี้น่ารักจริงๆ ดูหน้าของมันสิ ตลกชะมัด”
“ฮิฮิ ของฉันเป็นตัวผู้ มานี่ ลุงจะตรวจร่างกายให้!”
“โอ้โห สุนัขตัวนี้อ้วนจริงๆ เอาไว้ทำหม้อไฟตอนเย็นเป็นไง? ฤดูใบไม้ร่วงที่แสนสดชื่น เนื้อสุนัขถือเป็นยาชูกำลังที่ดีที่สุดเลยล่ะ”
เหล่าพิทบูลน้อยตกใจกันมาก พยายามดิ้นรนเพื่อจะวิ่งหนี เหลือตัวเดียวที่โชคดีเพราะไม่มีใครจับไป มันวิ่งไปอยู่ข้างหลังของตั๋วตั่วที่เดินออกมาทีหลัง มันมุดหัวเข้าไประหว่างขาของเธอ แต่ก้นอ้วนๆ ของมันยังโผล่ออกมาข้างนอก แต่มันกลับคิดว่าตัวเองปลอดภัยแล้วหลังจากที่มองไม่เห็นอาประหลาดทั้งสี่คนนั้นแล้ว
โลลิต้าเองก็ตกใจมาก เธอกัดนิ้วชี้และมองไปที่พวกลุงประหลาดทั้งสี่อย่างหวาดกลัว
เหมาเหว่ยหลงวิ่งออกมาทีหลัง เมื่อเห็นคนทั้งสี่กำลังเตะสุนัขของตัวเอง จึงตะโกนออกไปว่า “พวกเดรัจฉาน ปล่อยพวกมันแล้วมาให้ฉันซะ!”
โลลิต้ามองดูหม่าจินด้วยความกลัว เธอยื่นมือออกไปทำท่าจะอุ้มสุนัขของตัวเองกลับ แถมลุงประหลาดคนนี้ยังได้บอกวิธีกินไปแล้วด้วย
หม่าจินมองโลลิต้าแล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย จากนั้นย่อตัวลงแล้วพูดว่า “หอมแก้มลุงสักที แล้วลุงจะคืนสุนัขให้ ฮ่าๆ”
โลลิต้ามองไปที่พ่อของเธออย่างทำอะไรไม่ถูก แต่พ่อกลับเป็นคนจำพวกชอบแกล้งลูกสาว เขากำลังตบตีกับเฉินเหลยอยู่ สนใจลูกสาวที่ไหนกันล่ะ
ไม่มีทางเลือกอื่น โลลิต้าเดินไปข้างๆ หม่าจินอย่างน้อยอกน้อยใจ แล้วยื่นมือออกไปปิดตาของเขา
หม่าจินไม่ติดอะไร เขาหลับตาลงและรอให้โลลิต้าหอมแก้มอย่างมีความสุข แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกว่ามีลิ้นขนาดใหญ่ที่เหนียวเหนอะกำลังเลียหน้าของเขา
หม่าจินเริ่มรู้สึกแปลก จึงลืมตาขึ้น เขาเห็นโลลิต้ากำลังหัวเราะชอบใจ และพิทบูลน้อยในอ้อมแขนของเธอก็กำลังแลบลิ้นออกมาพร้อมกับหายใจอย่างแรง
ฉินสือโอวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เดินหน้าไปเตะหม่าจินจนล้มลงบนสนามหญ้า จากนั้นชี้หน้าเขาแล้วหัวเราะเสียงดังว่า “หัวหน้าห้องนายนี่มันห่วยแตกจริงๆ ฮ่าๆ ตลกชะมัด ฮ่าๆ ฉันจะถ่ายรูปเก็บไว้ หัวหน้าเสียตัวให้กับหมาแล้ว!”
“บ้าเอ๊ย ฉินโซ่ว ลบวิดีโอในโทรศัพท์ซะ!” หม่าจินกระโดดขึ้นมาไล่ตามฉินสือโอว
ฉินสือโอวไปหลบอยู่ข้างหลังเฉินเหลย หม่าจินตะโกนไปว่า “มีพระบัญชา ท่านหัวหน้าห้องมีรับสั่งว่า ให้จับฉินโซ่วเสีย…”
“รับสั่งบ้าบออะไร สั่งแค่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็พอแล้ว ตอนนี้ยังจะสั่งอยู่อีกเหรอ? ยังไงฉันก็เป็นถึงครูของประชาชน จำเป็นจะต้องกลัวหัวหน้าห้องอย่างนายอีกเหรอไง? ฉินโซ่ว ส่งวิดีโอมาให้ฉันด้วย” เฉินเหลยพูดอย่างไม่สนใจ
“หนานจื่อ นายช่วยฉันแย่งวิดีโอมา คืนนี้ฉันจะดื่มแทนนายทั้งหมด!”
เฉินเจี้ยนหนานเป็นคนคออ่อน ทุกครั้งที่ไปดื่มกันเขาจะเป็นคนแรกที่ร่วงก่อนเสมอ
เมื่อได้ยินคำสัญญาของหม่าจิน เขาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที และพูดว่า “ไม่เพียงแค่คืนนี้ รวมถึงบนโต๊ะจีนด้วย นายต้องดื่มแทนฉันทั้งหมด!”
“ได้!” หม่าจินกัดฟันพูด
เฉินเจี้ยนหนานหันหลังไปจับฉินสือโอว แต่คนที่ถูกจับกลับเป็นเหมาเหว่ยหลง พวกเขาวุ่นวายกันไปหมด ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ลงไปกลิ้งบนสนามหญ้าด้วย
สมัยเรียนมหาวิทยาลัยพวกเขาหกคนสนิทกันมาก ครั้งนี้เหมาเหว่ยหลงบอกว่าจะแต่งงาน คนทั้งสี่ขอลามางานแต่งในทันที นี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ธรรมดาๆ เพราะอีกไม่นานก็จะถึงวันชาติแล้ว การขอลาในวันหยุดชาติเป็นเรื่องที่ยากที่สุด
เมื่อหลิวซูเหยียนกลับมา เหตุการณ์วุ่นวายจึงได้สิ้นสุดลง
เฉินเหลยเดินหน้าไปจับมือกับหลิวซูเหยียน เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ลำบากคุณแล้วล่ะ ฝากโคโกโร่ผู้ที่ชอบนำมาซึ่งหายนะด้วยล่ะ คุณต้องให้อภัยเขามากๆ ถ้าคุณรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว ก็ให้นึกถึงวัฒนธรรมในชั้นเรียนของเรา”
“วัฒนธรรมในชั้นเรียนของเราคืออะไร หัวหน้า?”
หม่าจินชูกำปั้นโบกไปมาแล้วตะโกนออกมาว่า “เฉินโซ่ว (อดทน) ! เฉินโซ่ว (กลายเป็นสัตว์ร้าย) !”
หลิวซูเหยียนหัวเราะ เธอต้มกาแฟไปแล้วพูดไปว่า “ฉันจะอดทนให้มาก ถ้าฉันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ฉันจะไปหาพี่ชายทั้งหลาย เมื่อถึงตอนนั้นพี่ชายทุกคนต้องช่วยคืนความเป็นธรรมให้ฉันด้วยนะคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” ทุกคนในนั้นแย่งกันตอบ “อย่าลืมมาหาผมก่อนล่ะ”
ฉินสือโอวนำอาหารทะเลมาจากฟาร์มปลาเป็นจำนวนมาก ทั้งหมดถูกเก็บไว้ในกล่องเก็บของสด มีทั้งกุ้งมังกร เพรียงตีนเต่า ปลาลิ้นหมาและปูราชินี มีหมดทุกอย่างที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมีปลาทูน่าครีบเหลืองที่มีความยาวกว่าหนึ่งเมตรครึ่งถูกห่อเอาไว้อีกต่างหาก
มีปลาทูน่าครีบน้ำเงินด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ถูกส่งมาที่นี่
หลังจากนั้นสองวัน เพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ ที่สามารถมาได้ก็มาถึงกันแล้ว ก่อนเข้าพิธีแต่งงาน ซ่งจวินเหมยและเยียนเฟยก็มาถึง พวกเขาสองคนจะแต่งงานกันในวันชาติ ดังนั้นพวกเขาจึงมีเรื่องให้จัดการมากที่สุด ที่พวกเขาสามารถมาร่วมงานแต่งงานได้ ก็ถือว่าดีมากแล้วล่ะ
แน่นอนว่า พวกเขาเองก็เข้าใจในวัตถุประสงค์อื่นในการจัดงานแต่งงานของเหมาเหว่ยหลงในครั้งนี้ นั่นก็คือต้องการผ่อนคลายความตึงเครียดของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมห้อง พวกเขาเองก็ไม่อยากสูญเสียมิตรภาพระหว่างฉินสือโอวไปเหมือนกัน จึงรีบตามมาด้วยความร่วมมือ
ฉินสือโอวเป็นมีหน้าที่จัดแจงเรื่องทั้งหมดนี้ เขาไม่เพียงต้องจัดแจงเพื่อนร่วมห้องเหล่านี้ แต่ยังรวมถึงเพื่อนเที่ยวและเพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างสนิทที่เหมาเหว่ยหลงเชิญมาจากประเทศจีนด้วย
แน่นอนว่า ฉินสือโอวทุ่มเทกับการจัดแจงเพื่อนร่วมห้องเก่าเหล่านั้นมากกว่า ตั้งแต่ที่เขามาอยู่แคนาดา ความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนร่วมห้องก็เริ่มห่างเหิน เงินทองและสถานะกลายเป็นช่องว่างที่ทุกคนก้าวข้ามยากที่สุด
เพื่อนร่วมห้องเก่าทุกคนล้วนแต่เป็นบุคคลธรรมดา มีชะตาชีวิตของคนธรรมดา ไม่มีความมั่งคั่ง ไม่มีความตื่นเต้น ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายติดต่อฉินสือโอวก่อน เพราะกลัวว่าคนอื่นจะเอาไปนินทา
ในห้องมีทั้งหมด 50 คน ครั้งนี้มากัน 12 คน รวมฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลง รวมกันก็เป็น 14 คน นี่ถือเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยแล้ว หลังจากเรียนจบต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป การที่จะได้มารวมตัวกันอีกครั้งนั้น เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ
บางคนบอกว่า หลังจากเรียนจบไปแล้ว การรวมตัวกันของเพื่อนร่วมห้องก็คืองานชิงดีชิงเด่นกัน
ความจริงแล้วฉินสือโอวไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ การรวมตัวกันของเพื่อนร่วมห้องอาจจะเกิดการเปรียบเทียบกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ถึงกับเป็นงานชิงดีชิงเด่นกัน มิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมห้องเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก ฉินสือโอวก้าวเข้าสู่สังคมมาเป็นเวลา 5 ปี มีเพื่อนที่รู้จักมากกว่าเพื่อนในสมัยเรียนกว่าสิบเท่า แต่ที่นับเป็นเพื่อนได้จริงๆ รวมกันแล้วยังไม่ถึง 1 ใน 10 ของเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
การคบเพื่อนในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนแต่คบด้วยใจ!
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะปัญหาด้านความมั่งคั่งและสถานะ ทุกคนจึงดูห่างเหินกันเล็กน้อย แต่หลังจากได้เจอกันแล้ว ความห่างเหินเหล่านี้ก็หายไปในกลีบเมฆ ทุกคนยังคงเป็นคนที่คุ้นเคยกัน ยังคงพูดถึงเรื่องราวที่คุ้นเคยเหล่านั้น
เมื่อคนครบแล้ว คืนก่อนวันแต่งงาน ตามประเพณีของแคนาดา เจ้าสาวและเจ้าบ่าวจะต้องจัดงานปาร์ตี้สละโสด
หลิวซูเหยียนบอกว่าเธอไม่ไปร่วมงานแล้วล่ะ เธอต้องอยู่ดูแลตั๋วตั่ว ดังนั้นฉินสือโอวและคนอื่นๆ จึงลากตัวเหมาเหว่ยหลงไป ปาร์ตี้สละโสดงั้นเหรอ? ไม่จัดแล้วล่ะ แต่ก็ยังมีกิจกรรมนั่งดื่มกัน เบียร์ถูกเปิดออกทีละขวด เหมาเหว่ยหลงเริ่มหลับตาดื่ม เดินไปล้มลงตรงไหน คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ต้องลุกขึ้นมาดื่มต่อ!
เฉินเจี้ยนหนานพูดขึ้นว่า “คนหลอกลวง หัวหน้านายเคยบอกว่าจะดื่มแทนฉัน”
หม่าจินพูดว่า “ตายซะ ฉันนั่งอยู่ด้านหน้านาย ต้องรอให้ฉันล้มลงก่อนค่อยถึงตานาย วางใจเถอะ วันนี้ไม่มีใครหนีรอดไปได้หรอก!”
เฉินเจี้ยนหนานพูดว่า “ให้ตายเถอะ มาแคนาดาครั้งนี้ยังไม่ได้ซื้อประกันเลย!”
บทที่ 836 ท้ายที่สุดก็ได้ครองเรือนกัน
Ink Stone_Fantasy
ทีมวางแผนจัดงานแต่งงานได้เสนอแผนการจัดงานมาสองแบบ แผนที่หนึ่งคืองานแต่งงานสไตล์จีน ซึ่งก็คือรูปแบบที่ให้เจ้าสาวใส่ผ้าคลุมหน้าและให้เจ้าบ่าวขี่ม้า ที่คาดว่าน่าจะค่อนข้างแปลกใหม่ในแฮมิลตัน
แผนที่สองคืองานแต่งแบบสไตล์ตะวันตก นั่นก็คืองานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นในคริสตจักร โดยจะเชิญมุขนายกมาเป็นประธานในงาน ซึ่งก็จะดูยิ่งใหญ่เหมือนกัน
เหมาเหว่ยหลงปฏิเสธไปทั้งหมด เขาแค่จะแต่งงานเท่านั้น ไม่ได้จะมาแสดงวัฒนธรรมการแต่งงานแบบจีน ซึ่งการแต่งงานแบบวัฒนธรรมจีนนั้นซับซ้อนเกินไป เขาไม่ต้องการทำอะไรที่มันซับซ้อนอย่างนี้
แต่ฉินสือโอวกลับคิดว่า ชีวิตหนึ่งอาจจะได้จัดงานแต่งงานแค่ครั้งเดียว ควรจัดให้ครื้นเครงเฮฮาเข้าไว้ จึงจำเป็นจะต้องจัดให้ดูยิ่งใหญ่
แต่เหมาเหว่ยหลงปฏิเสธข้อเสนอของเขาและพูดว่า “สำหรับฉันและซูซูแล้ว งานแต่งงานเป็นแค่พิธีการหนึ่ง ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่าต้องการให้เพื่อนร่วมห้องมารวมตัวกันอีกครั้ง เราก็คงแค่ไปรับทะเบียนสมรสที่สำนักงานกิจการพลเรือนก็เพียงพอแล้วล่ะ”
ฉินสือโอวพูดอย่างไม่พอใจว่า “ถึงแกจะมีความคิดอย่างนี้ แต่แกก็ต้องนึกถึงซูซูของแกด้วย”
“นี่เป็นความคิดของเธอ ฉันเคารพความคิดและการตัดสินใจของเธอ เธอต้องการแค่ชีวิตที่สงบสุข แกเองก็รู้นี่เพื่อน ซูซูได้ผ่านช่วงอายุที่โหยหาความโรแมนติกและความเพ้อฝันไปแล้ว แค่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามที่ต่างฝ่ายต่างก็ลำบากก็เพียงพอแล้ว แกเข้าใจไหม?” เหมาเหว่ยหลงชำเลืองมองฉินสือโอว สีหน้าของเขาทำให้ฉินสือโอวรู้สึกไม่ดีเท่าไร ฉินสือโอวรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกดูหมิ่น
ในวันหยุดสุดสัปดาห์รองสุดท้ายของเดือนกันยายน งานแต่งงานดำเนินไปตามแผนที่วางไว้
นี่เป็นช่วงเวลาที่ชาวแคนาดาแต่งงานกันมากที่สุด เนื่องจากสภาพอากาศ และช่วงเวลาที่เจ้าสาวชาวแคนาดาโปรดปรานในการจัดงานแต่งงานมากที่สุดก็คือเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน ซึ่งเดือนกรกฎาคมคิดเป็นร้อยละ 50
ปลายเดือนกันยายนก็เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาหนึ่งที่ชาวแคนาดาแต่งงานกันมากที่สุด ทั้งผู้คนที่พลาดเวลาช่วงเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมไป หรือผู้คนที่ลังเลว่าจะแต่งกันดีหรือไม่ในช่วงเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคม ก็ล้วนแต่จะจัดงานแต่งงานในปลายเดือนกันยายน
หลังจากการเจรจา งานแต่งงานครั้งนี้จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย โดยผสานรูปแบบการแต่งงานสไตล์จีนและตะวันตกเข้าด้วยกัน เจ้าบ่าวและเจ้าสาวสวมชุดสูทและชุดเจ้าสาว แต่ไม่ไปจัดที่โบสถ์ เพียงแค่ทำพิธีไหว้ฟ้าดินในฟาร์มการเกษตร
หม่าจินและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกว่ารูปแบบงานแต่งงานนี้ไม่เลว ซ่งจวินเหมยและเยียนเฟยชอบรูปแบบนี้มากกว่า เพราะพวกเขาก็วางแผนจะจัดงานแต่งงานในรูปแบบนี้ เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่ทำพิธีไหว้ฟ้าดินเป็นห้องประชุมในโรงแรม
หลังจากที่เห็นปฏิกิริยาของเหล่าเพื่อนร่วมห้อง ฉินสือโอวก็คิดได้ว่า การที่เหมาเหว่ยหลงเลือกงานแต่งงานที่เรียบง่ายอย่างนี้ อาจเป็นเพราะคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมห้องด้วย
ในงานแต่งงานนี้ ฉินสือโอวพบว่าตัวเองยังไม่รู้จักเหมาเหว่ยหลงดีพอ เขาคิดว่าเพื่อนคนนี้ยังคงเป็นคนตลกเฮฮาเหมือนตัวเอง แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ก็พบว่าเขามีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าตัวเอง ตัวเองนั้นเป็นคนตลกเฮฮา แต่เขานั้นเป็นคนที่สุดยอด
ในวันแต่งงาน อากาศดีมาก ท้องฟ้าแจ่มใส
วินนี่ เออร์บักและคนอื่นๆ ได้มาถึงก่อนหน้าวันงานหนึ่งวัน และพักที่โรงแรมเดียวกับเจ้าสาว ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ไปรับเจ้าสาวกับเหมาเหว่ยหลง
เบลคได้เตรียมขบวนรถสุดหรูให้กับเหมาเหว่ยหลงขบวนหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดเป็นลัมโบร์กีนีสีแดงสด แต่ตอนสุดท้ายก็ได้เปลี่ยนรถคันนำหน้าเป็นรถบีเอ็มดับเบิลยูสีขาว และเปลี่ยนคันที่เหลือเป็นรถบีเอ็มดับเบิลยูสีแดง
ซึ่งมีความหมายว่า ขอให้อยู่ด้วยกันไปจนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร มีชีวิตที่รุ่งโรจน์เหมือนแสงไฟหรือแสงเทียน!
ฉินสือโอวเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว แน่นอนว่าต้องนั่งรถคันหน้า แต่ตอนที่รถขับออกไปจากฟาร์ม จู่ๆ ก็มีรถแท็กซี่คันหนึ่งหยุดจอดขวางทาง ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบตำรวจโบกมือ จากนั้นหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งตัวดูดีก็เดินออกมาจากรถ
เมื่อเห็นทั้งสอง ใบหน้าของเหมาเหว่ยหลงเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ เขาผลักประตูออกแล้วกระโดดลงมาจากรถ จากนั้นตะโกนออกไปว่า “พ่อ แม่ พวกท่าน…”
“เมื่อวันก่อนที่ปักกิ่งมีหมอกหนามาก เที่ยวบินไปอเมริกาเหนือเลยหยุดบินทั้งหมด ไม่อย่างนั้น เราคงมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ” แม่ของเหมาเหว่ยหลงจับมือของเขาแล้วพูดว่า “พ่อของลูกเป็นคนวานให้คนอื่นจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ให้ พวกเราบินไปที่นิวยอร์กก่อนแล้วเปลี่ยนเครื่องมาที่นี่นะจ๊ะ”
เหมาเหว่ยหลงมองผู้เป็นพ่อที่มีสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนเคย และพูดด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนว่า “พ่อ”
พ่อเหมาจัดระเบียบเครื่องแบบตำรวจของเขา จากนั้นตบไหล่ลูกชายแล้วพูดว่า “ไปรับลูกสะใภ้ของเรากันเถอะ แกพูดถูก แกเป็นคนแต่งงาน ไม่ใช่ครอบครัวเหมาเราเป็นคนแต่ง แกชอบก็ดีแล้วล่ะ แค่พวกแกมีความสุขในการใช้ชีวิตในอนาคตข้างหน้าก็เพียงพอแล้ว”
ฉินสือโอวให้พ่อของเขามารับพ่อเหมาเข้าไปในบ้าน เนื่องจากการมาถึงของพ่อเหมาและแม่เหมา บรรยากาศของทีมขบวนรถก็เต็มไปด้วยความเบิกบานใจขึ้นมาในทันที
หม่าจินมองดูชุดตำรวจของพ่อเหมาตรงประตูรถ จากนั้นขยิบตากับฉินสือโอวและพูดว่า “พระเจ้า นี่เป็นสารวัตรใหญ่ใช่ไหม? เครื่องยศตรงไหล่เยอะจริงๆ”
ฉินสือโอวยิ้มและพูดว่า “ถ้านายชอบ บ้านฉันก็มีเหมือนกัน ต้องการสักสิบอันไหม?”
หม่าจินหัวเราะเสียงดังสองสามครั้งแล้วกลับเข้าไปในรถ จากนั้นขบวนก็ออกเดินทาง
โรงแรมที่ฉินสือโอวจองไว้เพื่อรองรับแขกเป็นโรงแรมระดับสี่ดาวของแฮมิลตัน ซึ่งมีชื่อว่า สตาร์ฟอลส์ (ดาวตก) ชั้นแปดของโรงแรมถูกเขาเหมาไปหมดแล้ว ทั้งชั้นมีแต่คนเขาพวกเขา ทุกคนคึกคักกันมากทีเดียว
ขณะที่ขบวนรถกำลังขับอยู่บนถนน พวกเขาเจอขบวนรถที่ไปรับเจ้าสาวสองขบวน ตอนที่ขบวนรถเจอกันนั้น คนขับก็บีบแตรทักทายกัน คันท้ายสุดของรถขบวนที่สองเป็นรถเปิดประทุน ที่มีคนนั่งด้านหลังโรยริบบิ้นมาทางพวกเขา
เมื่อไปถึงโรงแรม พนักงานเปิดประตูเดินมาเปิดประตูรถให้ ฉินสือโอวยื่นซองแดงให้เขาซองหนึ่ง หลังจากพนักงานตรวจสอบความหนาของซองแดงแล้ว ก็เปลี่ยนรอยยิ้มที่แสดงออกมาตามหน้าที่เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริง “พระเจ้าอวยพร เจ้าบ่าวสุดหล่อ ขอให้พวกคุณมีความสุขกันตลอดไป!”
เหมาเหว่ยหลงพยักหน้าเพื่อขอบคุณ เขาในชุดสูทสีเงินดูหล่อเป็นพิเศษ รูปร่างกำยำ ทำให้ชุดสูทที่ตัดด้วยมือดูสมบูรณ์แบบมากขึ้น
ฉินสือโอวคิดว่าจะต้องผ่านกิจกรรมแย่งเจ้าสาว หารองเท้า และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะงานแต่งงานของฉินเผิงก็เป็นลักษณะนี้
แต่ผลปรากฏว่าพิธีเรียบง่ายมาก หลังจากเข้าไปในห้องชุดเพรสซิเดนเชียลสวีท เพื่อนเจ้าสาวก็เปิดประตูให้พวกเขา จากนั้นเธอก็จับมือของเหมาเหว่ยหลงอย่างเคร่งขรึมและพูดว่า “สุดหล่อ ขอฝากเพื่อนเพียงคนเดียวของฉันด้วยล่ะ นายต้องดูแลเธอให้ดี ต้องดีกว่านี้”
หลิวซูเหยียนแต่งงาน แต่ญาติฝั่งเธอไม่มีใครมาเลย เพื่อนเจ้าสาวก็เป็นเพื่อนสนิทของเธอในประเทศจีน หน้าตาธรรมดาไม่ได้โดดเด่น มองแวบแรกก็รู้ได้เลยว่าเธอเป็นกุลสตรี ไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงสนิทสนมกับหลิวซูเหยียนได้
เหมาเหว่ยหลงยิ้มและพูดว่า “ฉันจะดูแลซูซูอย่างสุดกำลังทั้งหมดที่มี และรักเธออย่างสุดหัวใจ”
เพื่อนเจ้าสาวสังเกตสีหน้าของเขาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข และไปลากหลิวซูเหยียนออกมาจากห้องนอนแล้วส่งให้เหมาเหว่ยหลง
แวบแรกที่ฉินสือโอว หม่าจินและคนอื่นๆ ได้เห็นหลิวซูเหยียนในชุดเจ้าสาว ต่างพากันส่งเสียงร้องด้วยความตะลึง
ก่อนหน้านี้มักจะเห็นหลิวซูเหยียนหน้าสด แต่ถึงอย่างนั้น ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าเธอเปล่งปลั่งมากแล้ว แต่ครั้งนี้เธอแต่งหน้าอ่อนๆ ดวงตาสวยหยาดเยิ้ม ริมฝีปากแดงก่ำ ความสวยสง่านั้น ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นลุ่มหลง
เฉินเหลยดึงเสื้อของฉินสือโอวเบาๆ และกระซิบว่า “แม้ว่าโคโกโร่จะพูดมาโดยตลอดว่าเขารักที่จิตใจของหญิงสาวคนนี้ แต่ฉันกล้าพนันได้เลยว่า สิ่งที่เขาตกหลงรักเป็นอันดับแรกคือความสวยของเธอ”
ฉินสือโอวพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนหน้านี้วินนี่กังวลว่าตัวเองจะเด่นกว่าเจ้าสาว นี่ถือเป็นสิ่งที่ไม่ดีในแคนาดา เพราะผู้ชายที่โดดเด่นที่สุดในงานแต่งงานต้องเป็นเจ้าบ่าว และผู้หญิงที่โดดเด่นที่สุดก็ต้องเป็นเจ้าสาว
ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดสถานการณ์อย่างนี้ วินนี่จึงไม่ได้แต่งหน้า แต่เธอสวมกระโปรงยาวที่มีเสื้อกั๊กขนเฟอร์สีเหลืองเพื่อเป็นการให้เกียรติ
ความจริงแล้วทั้งเธอและฉินสือโอวต่างก็คิดมากไป วินนี่อาจสวยกว่าหลิวซูเหยียนก็จริง แต่วันนี้ ไม่มีใครสวยสู้หลิวซูเหยียนได้เลย
หลังจากรับเจ้าสาวแล้ว รถขบวนก็ขับกลับมาที่ฟาร์มอย่างสนุกสนานร่าเริง เพื่อบันทึกภาพในงานแต่งงาน ฉินสือโอวคิดมาไม่น้อย เขาติดตั้งกล้องไว้ทั้งด้านหน้ารถและท้ายรถและได้หาช่างกล้องมืออาชีพมาด้วย นอกจากนี้ ยังมีเฮลิคอปเตอร์คอยบันทึกภาพจากบนท้องฟ้าด้วย
บทที่ 837 ฟาร์มข้างๆ
Ink Stone_Fantasy
ขบวนรถแล่นเข้าไปในฟาร์ม ปืนสลุตถูกลากออกมาเป็นสองแถวอย่างเป็นระเบียบ ตอนที่เจ้าบ่าวจับมือเจ้าสาวเดินลงจากรถ ปืนสลุตดังขึ้นมาพร้อมกันอย่างต่อเนื่อง
แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถจุดประทัดได้ แฮมิลตันเข้มงวดมากในการควบคุมคุณภาพอากาศ โดยปกติแล้วจะไม่สามารถจุดประทัดหรือยิงสลุตได้ แต่ถ้ามีงานแต่งงาน จะสามารถยื่นเรื่องขอยิงสลุตได้ อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงจุดประทัดไม่ได้เหมือนเดิม
แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เมืองแฮมิลตันทำเกษตรกรรมเป็นหลัก ในเดือนกันยายนมีการเก็บเกี่ยวพืชผลผลิตมากมาย ซึ่งอากาศค่อนข้างแห้ง ถ้าไม่ระวังประกายไฟแค่จุดเดียวก็อาจจะทำให้เกิดไฟไหม้ฟาร์มได้
มีคนมาเข้าร่วมงานแต่งงานไม่มากเท่าไร ฝั่งหลิวซูเหยียนมีแค่เพื่อนสนิทคนเดียวเท่านั้น ส่วนฝั่งของเหมาเหว่ยหลงก็เป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกันและเพื่อนร่วมห้อง รวมกันแล้วมีประมาณ 20 คน และมีเพื่อนบ้านข้างเคียงที่ค่อนข้างสนิทอีก 20 กว่าคน งานแต่งงานครั้งนี้มีผู้มาร่วมงานแค่ 40 – 50 คน
เหมาเหว่ยหลงและหลิวซูเหยียนเดินจับมือเข้าไปในฟาร์ม โดยมีตั๋วตั่วอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา และมีพิทบูลน้อยอีกกลุ่มหนึ่งตามหลังไปอย่างรีบเร่ง
โอวหยางไห่นำผู้คนโห่ร้องและตะโกนว่า “อุ้มหน่อย! อุ้มหน่อย! ปล่อยให้เจ้าสาวเดินคนเดียวได้ยังไง?”
เหมาเหว่ยหลงปฏิเสธด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ฉันกำลังจับมือลูกสาว จะให้อุ้มยังไงล่ะ? ฉันอุ้มทั้งสองคนพร้อมกันไม่ไหวหรอก”
ในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าว ฉินสือโอวก็ต้องช่วยเจ้าบ่าวคลายความลำบาก เขาอุ้มตั๋วตั่วขึ้นมา เหมาเหว่ยหลงไม่มีทางเลือก จึงอุ้มหลิวซูเหยียนที่สวมชุดเจ้าสาวขึ้นด้วยท่าทางที่เหมือนกับกำลังอุ้มเจ้าหญิง
แขกที่มาร่วมงานแต่งงานต่างผิวปากกันสนั่น เหล่าพิทบูลส่งเสียงร้องอย่างกระวนกระวาย พวกมันไล่ตามอยู่ข้างหลัง และต้องการให้กอดพวกมันด้วย แต่ไม่มีใครสนใจพวกมัน ทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของพวกมันรู้สึกเจ็บปวด
บนสนามหญ้าที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีตมีประตูพระจันทร์ที่ทำจากดอกไม้และกิ่งมะกอก เหมาเหว่ยหลงเดินไปที่หน้าประตูพระจันทร์ แล้ววางหลิวซูเหยียนลง ทั้งสองจับมือของตั๋วตั่วอีกครั้ง และเดินผ่านประตูแห่งความสุขบานนี้ไปด้วยกัน จากนั้นพิธีกรก็เดินขึ้นไปบนเวที พิธีแต่งงานจึงได้เริ่มขึ้น
ที่เหลือคือประเพณีไหว้ฟ้าดิน วินนี่เตรียมน้ำชาพร้อมแล้ว ตอนไหว้พ่อแม่หลิวซูเหยียนใช้สองมือยื่นถ้วยชาให้พ่อเหมาและแม่เหมาอย่างนอบน้อม และพูดว่า “พ่อ แม่ เชิญดื่มน้ำชาค่ะ”
ใบหน้าของแม่เหมาเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เธอหยิบซองแดงออกมาซองหนึ่งแล้วยื่นให้หลิวซูเหยียน พ่อเหมาไอหนึ่งครั้ง แล้วหยิบซองแดงยื่นให้เธอ จากนั้นถอนหายใจแล้วพูดว่า “เสี่ยวซู พ่อและแม่ จะคอยสนับสนุนพวกลูกในอนาคต และหวังว่า พวกลูกจะมีชีวิตที่ดี เคารพผู้อาวุโส และอยู่ด้วยกันอย่างสมานฉันท์”
หลิวซูเหยียนใช้ฟันกัดริมฝีปากสีแดงเบาๆ จากนั้นพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่ายและพูดว่า “ขอให้พ่อและแม่วางใจ หนูจะพยายามเป็นภรรยาที่ดีที่สุดค่ะ”
หลังจากแลกเปลี่ยนแหวนแต่งงานกัน งานแต่งงานนี้ก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ความสุขบนใบหน้าของคู่สามีภรรยาใหม่ทำให้งานแต่งงานดูสมบูรณ์แบบมากขึ้น
หลังจากที่พิธีกรประกาศว่าทั้งสองคนได้กลายเป็นสามีภรรยากันแล้ว โอวหยางไห่ยืนขึ้นแล้วพูดเสียงดังว่า “มาเถอะ พี่น้องทั้งหลาย เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะมาดื่มอวยพรกันแล้ว พวกนายคิดจะทำอะไรบ้าง?”
“มอมสิ!” คนทั้งกลุ่มตะโกนขึ้น
ฉินสือโอวถอดเสื้อคลุมและส่งให้วินนี่ จากนั้นตบหน้าอกแล้วพูดว่า “ฉันไม่มีปัญหากับการมอมเหล้า แต่พวกนายต้องล้มฉันให้ได้ก่อน!”
พูดจบ เขาก็หันไปพูดกับเหมาเหว่ยหลงว่า “แกพาภรรยาของแกไปดื่มอวยพรกับผู้อาวุโสได้อย่างสบายใจเถอะ ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน ฉันจะจัดการให้แน่นิ่งไปเลย!”
เหมาเหว่ยหลงพูดอย่างตื้นตันใจว่า “เพื่อนกันตลอดไป!”
เขายังคงรู้สึกตื้นตันใจ แต่หลังจากที่ฉินสือโอวและโอวหยางไห่ดื่มไปหนึ่งขวด ฉินสือโอวก็ฟุบลงบนโต๊ะ ตามด้วยประโยคที่ว่า “ไม่สามารถเอาชนะแอลกอฮอล์ได้” จากนั้นก็นอนแน่นิ่งและไม่ขยับอีกเลย
เหมาเหว่ยหลงตกใจ โอวหยางไห่ หม่าจิน และคนอื่นๆ มองเหมาเหว่ยหลงด้วยเจตนาที่ไม่ดีเท่าไร และพูดว่า “จัดการเพื่อนเจ้าบ่าวได้แล้ว ยังไงล่ะ เจ้าบ่าว นายจะมาด้วยตัวเองหรือให้เริ่มจากเมียนายก่อนล่ะ?”
สิ่งที่งานเลี้ยงต้องการก็คือความสนุกสนาน หลิวซูเหยียนที่ไม่เคยดื่มต่อหน้าฉินสือโอวหยิบแก้วไวน์มาจากสามีของเธอด้วยรอยยิ้มที่อ่อนหวาน จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มต้นจากฉันผู้เป็นเจ้าสาวเถอะ จะดื่มยังไง พวกนายตั้งกติกาได้เลย ฉันอยู่รอ!”
ฉินสือโอวนอนมองด้วยรอยยิ้ม ตั๋วตั่ววิ่งไปพร้อมกับทำปากบูดเบี้ยว แล้วยื่นมือออกมาปัดตรงแก้ม ทำท่าดูหมิ่น
เหล่าพิทบูลน้อยเดินตามหลังมาด้วย และส่งเสียงร้อง ‘อู้ว อู้ว’ ไปทางฉินสือโอว แต่กลับถูกซื้อด้วยซี่โครงจานหนึ่งอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอววางซี่โครงลง พวกมันกระดิกหางและล้อมวงกินซี่โครงหมูอย่างมีความสุข
เดิมทีหนุ่มๆ แค่ต้องการจัดการเหมาเหว่ยหลง แต่ไม่นานสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป หลิวซูเหยียนคอแข็งจนน่าตกใจ เธอดื่มไวน์และเหล้าขาวสลับกันไป เธอรับมาทั้งหมดโดยไม่เกี่ยง!
เริ่มจากเฉินเจี้ยนหนาน ตามด้วยเยียนเฟยและเฉินเหลย หลิวซูเยียนกวาดคนเดียวหมด เธอล้มผู้ชายห้าคนในคราวเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ
หม่าจินกลืนน้ำลายอย่างลำบากและพูดว่า “ให้ตายเถอะ ฉันมีลางสังหรณ์ การรวมตัวเพื่อนร่วมห้องในครั้งหน้า ท่าทางจะไม่ค่อยสะดวกแล้วล่ะ…”
เนื่องจากการมาของตั๋วตั่ว ฉินสือโอวจึงไม่สามารถแกล้งหลับได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นมาดูแลอีกด้านหนึ่ง นั่นก็คือช่วยเหมาเหว่ยหลงจัดการกับพวกโอวหยางไห่
โชคดีที่หลังจากที่มาถึงแคนาดาฉินสือโอวก็คลุกคลีกับเหล้าเบียร์มาโดยตลอด ความสามารถในการดื่มสุราของเขาน่าทึ่งไม่น้อย เมื่อร่วมมือกับเหมาเหว่ยหลง พวกเขาถือว่ายังสามารถรับมือกับพวกโอวหยางไห่ได้ ไม่ได้ถูกมอมจนน่าเกลียด…
อย่างไรก็ตาม ในตอนท้ายก็ถือว่าเมากันทุกคน!
เมื่อฉินสือโอวตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็มืดค่ำแล้ว ปาร์ตี้ยามค่ำคืนได้เริ่มขึ้นแล้วล่ะ ที่เบลคเชิญมาคือทีมพ่อครัวอาหารตะวันตกชั้นนำ ในปาร์ตี้ยามค่ำคืนนี้เป็นอาหารตะวันตกที่มีชื่อเสียงทั้งหมด แต่ฉินสือโอวกินไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่ดื่มน้ำชาและน้ำเปล่าเท่านั้น
นี่ถือว่าดีมากแล้วล่ะ เหมาเหว่ยหลงสะลึมสะลือไม่รู้ว่าเขาตื่นหรือยัง ส่วนหม่าจินและคนอื่นๆ ยังคงหลับสนิท
หลังจากอยู่กับเพื่อนร่วมห้องที่แฮมิลตันเป็นเวลาสองวัน ฉินสือโอวก็ส่งพวกเขากลับทีละคน เขารู้สึกอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย แต่ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา การรวมตัวกันของเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยในครั้งนี้ไม่ง่ายเลย แม้ในไม่ช้าก็จะถึงงานแต่งงานของซ่งจวินเหมยและเยียนเฟยแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะไปร่วมงาน
ในระหว่างปาร์ตี้ยามค่ำคืน ฉินสือโอวกังวลมาโดยตลอดว่าทนายความ เพื่อนบ้านของเหมาเหว่ยหลงจะมาวุ่นวาย เขาจึงพาเออร์บักมาด้วยเพื่อรับมือกับเจ้านั่น
แต่แล้ว เมื่องานแต่งงานเริ่มขึ้นก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย โชคดีที่ทนายความผิวขาวที่ชื่อลากร็องฌ์คนนั้นเองก็ไม่ได้มาหาเรื่อง และฉินสือโอวเองก็เพิ่งจะนึกถึงเจ้านั่นได้ในตอนที่จะกลับแล้ว แต่เหมาเหว่ยหลงพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “เขาออกจากแฮมิลตันไปแล้วล่ะ ได้ยินมาว่าเหมือนจะไปเริ่มต้นธุรกิจที่สหรัฐอเมริกาหรือเปล่า? อย่างไรก็ตาม หน้าฟาร์มเขาก็ติดป้ายว่า ‘ขาย’”
ฉินสือโอวใจสั่นเล็กน้อย เขาถามว่า “เขากำลังจะขายฟาร์มเหรอ?”
เหมาเหว่ยหลงตอบว่า “อืม แต่แกอย่าซื้อเลย ฟาร์มของเขามีปัญหา เจ้านั่นไม่รู้จักวิธีดูแลฟาร์ม ดินเสียไม่เป็นท่า บริษัทนายหน้าคนกลางเองก็ไม่อยากรับงานจากเขา เพราะคิดว่าน่าจะขายได้ยาก”
ฉินสือโอวพยักหน้าและพูดว่า “ขอไปดูหน่อยได้ไหม?”
เหมาเหว่ยหลงยิ้มและพูดว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ตอนนี้ฟาร์มของเขาไม่มีอะไรเลย ปีนข้ามไปทางรั้วก็ยังได้ ในเมื่อแกสนใจ ฉันจะพาไปดูสักหน่อย ไปกันเถอะ”
แฮมินตันตั้งอยู่บนที่ราบเกรตเลกส์ จุดนี้ชัดเจนมากเมื่อมองลงมาจากบนฟ้า บริเวณโดยรอบเป็นที่ราบที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งทำให้ฉินสือโอวคิดถึงบ้านเกิดของเขา ‘ยุ้งฉางของชาติ ที่ราบลุ่มตอนเหนือ’
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น