หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 828-831

 บทที่ 828 หวนคืน!

 

แม้ระดับดาวพระเคราะห์จะไม่ถือเป็นผู้มากอำนาจในจักรพิภพตระกูลไม่รู้สิ้น แต่ก็ไม่ได้มีพลังอ่อนด้อย เมื่ออยู่ภายในตระกูลไม่รู้สิ้นพวกเขาก็สามารถนำกองทัพได้ เพราะอย่างไรเสีย การจะบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์ได้ ผู้ฝึกตนจะต้องหลอมตนเองเข้ากับดาวเคราะห์ก่อน หากจะกล่าวว่าผู้ฝึกตนเหล่านั้นคือดาวเคราะห์ก็ไม่ผิด


การล่มสลายของดาวเคราะห์เป็นสิ่งที่น่าพรั่นพรึงอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงการระเบิดพลีชีพของดาวเคราะห์เลย พลังที่ปล่อยออกมาเพียงพอที่จะทลายฟ้าดิน นอกจากนี้ยังทำให้ดาวเคราะห์ที่หวังเป่าเล่อและผู้มาจุติคนอื่นๆ อยู่ทลายลงด้วย ส่วนเหล่าผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นนั้น…ล้วนตายกันหมด


ยกเว้นพวกที่อยู่ในค่ายทหารซึ่งถูกผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเคลื่อนย้ายไปจากการทำลายพรแห่งเต๋าสวรรค์ ส่วนที่เหลือ…ล้วนตายสิ้น!


ส่วนพวกผู้มาจุติเช่นหวังเป่าเล่อนั้นไม่ได้อยู่ในขอบเขตนี้ แม้พลังของปรมาจารย์แห่งไฟที่จับตาดูภาพที่เกิดขึ้นอยู่จะลึกล้ำสุดหยั่งถึง แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้เหล่าผู้มาจุติตายหลังจากได้เห็นเหตุการณ์นี้ เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของระเบิดพลีชีพ ปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังกินผลไม้เพลิงและเฝ้าดูศึกที่สถานการณ์พลิกไปมาด้วยความเพลิดเพลินก็เปิดใช้การเคลื่อนย้ายที่อยู่ในหน้ากาก


เพียงแต่การเคลื่อนย้ายนั้นไม่สามารถบังคับใช้ได้ ต้องให้เหล่าผู้มาจุติเปิดใช้งานด้วยตนเอง ดังนั้นในตอนนั้นเอง เหล่าผู้มาจุติทุกคนจึงได้ยินเสียงดังขึ้นจากหน้ากากซึ่งสะท้อนไปถึงดวงวิญญาณ


“พูดว่า ‘หวนคืน’ แล้วพวกเจ้าจะกลับมาที่นี่!”


ประโยคดังกล่าวดังก้องไปถึงวิญญาณของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มถูกพลังคุ้มกันของจักรพรรดิของดาวเคราะห์แห่งนี้ดึงออกไปจากหินหลอมละลาย เขาถอยหนีไปได้เร็วกว่าตอนที่มาถึงและไปปรากฏตัวเหนือพื้นดินอีกครั้งในทันที ในหูยังคงได้ยินเสียงของชายชราที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นก้องอยู่


“ระเบิดพลีชีพดาวเคราะห์หรือ” สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไป สิ่งที่คิดจะทำเป็นอย่างแรกคือเคลื่อนย้ายหนีไป แต่ก็นึกลังเลใจ จึงพยายามต้านสัญญาณอันตรายภายในที่ร้องเตือนให้รีบหนี จากนั้นก็หันไปมองดินแดนเบื้องหน้า


ตอนแรกชายหนุ่มเห็นฝุ่นผงหนาเหมือนหมอกปรากฏขึ้นก่อน หลังจากนั้นแรงสั่นสะเทือนอ่อนๆ ก็ปะทุขึ้นจากใต้ดินลึกลงไป ก่อนจะกระจายไปทั่วดาวเคราะห์อย่างรวดเร็ว


ราวกับว่าคลื่นพลังไร้เทียมทานได้ระเบิดขึ้นใต้พิภพและกระจายออกมาด้านนอก หวังเป่าเล่อยังไม่ทันจะได้เลื่อนสายตากลับ ผืนดินก็ทลายลงพร้อมเสียงสนั่นฟ้าดินที่ดังขึ้น มหาสมุทรบนดาวเคราะห์ยกตัวสูงขึ้นทันที


เปลือกของดาวเคราะห์สั่นไหวรุนแรง เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นจากทั่วทุกทิศ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงจุดจบของโลกนี้ แต่เขาก็กัดฟันแน่น เลือกที่จะไม่เคลื่อนย้ายหนี ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหายวับไปกลางอากาศ ขณะที่ผืนดินค่อยๆ ทลายลง


นอกจากตรงจุดที่ชายหนุ่มอยู่จะทลายลงแล้ว พื้นที่รอบๆ ก็พังลงเช่นกัน เสียงปริแตกดังขึ้นไปหยุด รอยร้าวปรากฏขึ้นบนพื้นที่ไร้ขอบเขต และขยายใหญ่เชื่อมกันทั่วพื้นที่บนดาวเคราะห์


เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดไม่จำยอมดังขึ้นพร้อมเสียงแหวกอากาศจากการหลบหนีที่ดังขึ้นทั่วทุกมุมของดาวเคราะห์ เหล่าผู้มาจุติที่ยังมีชีวิตอยู่ ยกเว้นหวังเป่าเล่อ รวมถึงเจ้ากระทิงโล้นจอมอวดดีล้วนหน้าซีดเผือด พวกเขารีบท่องคำว่า ‘หวนคืน’ ในใจ พวกผู้ฝึกตนจากกองทัพตระกูลไม่รู้สิ้นที่ออกตามล่าหมายสังหารหวังเป่าเล่อไม่สามารถหลบหนีได้ ทำได้เพียงรอคอยด้วยความสิ้นหวังขณะเห็นฟ้าดินล่มสลายลงต่อหน้า!


พริบตาต่อมา ผืนดินก็พังทลาย เปลือกโลกยกตัวสูง น้ำทะเลถาโถมจากทั่วทุกทิศ อุณหภูมิสูงจัดระเบิดขึ้นจากใต้ดินและกระจายออกไปไม่หยุดหย่อนจนกลายเป็นหมอกหนา ตรงใจกลางดาวเคราะห์มีส่วนนูนขนาดใหญ่ยักษ์ปูดขึ้นมา มันตรงกับบริเวณยอดแท่นสังเวยพอดี


ส่วนที่นูนออกมามีสีดำสนิท ภายในมีแสงสายฟ้ามากมาย หากดูให้ดีจะเห็นว่าท่ามกลางแสงอัสนีเหล่านั้น มีดาวเคราะห์สีรุ้งที่กำลังปริแตกอยู่ภายในส่วนนูนสีดำสนิท


แรงสั่นสะเทือนกระจายไปทั่วไม่หยุดยั้ง สั่นคลอนไปถึงสวรรค์ เมื่อมองจากที่ไกลๆ ส่วนที่นูนขึ้นเป็นเหมือนดวงแสงขนาดยักษ์ มันขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระจายออกไปทั่วบริเวณ แปรเปลี่ยนทุกสิ่งที่เคลื่อนผ่าน…ให้เป็นความว่างเปล่า!


ภาพทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสั่นกลัว โชคดีที่การคุ้มกันจากจักรพรรดิประจำดาวเคราะห์ช่วยปกป้องชายหนุ่มไว้ได้แม้จะต้องเผชิญคลื่นทำลายล้างเหล่านี้ ทำให้ดูเหมือนว่าชายหนุ่มลอยอยู่บนอากาศเฉยๆ โดยไม่ได้รับผลกระทบสักเท่าไหร่ แต่ร่างก็ปลิวไหวไปมาเช่นกันเมื่อต้องเผชิญกับแรงลมและพลังที่พัดผ่าน


ข้าจะกลับไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้ ข้าต้องได้เห็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนนั้นสิ้นลมกับตาตัวเอง! หวังเป่าเล่อหายใจถี่ด้วยความกังวล เขาไม่อยากทิ้งภัยคุกคามเอาไว้โดยไม่รู้ตัว แม้ชายหนุ่มจะเดินทางมาที่นี่โดยสวมหน้ากากเอาไว้ และไม่กลัวว่าจะถูกจำได้ แต่นิสัยระแวดระวังประจำตัวก็บอกให้เขาทำเช่นนั้น


หวังเป่าเล่อนึกภาพออกว่าถ้าผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนนั้นรอดมาได้ คนที่ชายผู้นั้นจะนึกเกลียดชังที่สุดย่อมไม่ใช่ชายชราที่เขาหลอมเอาดาวเคราะห์ แต่เป็นตนเอง


 เมื่อคิดได้เช่นนั้น แม้ดวงใจจะสั่นไหว ชายหนุ่มก็ยังบังคับให้ตนเองมองไปยังดาวเคราะห์ ส่วนที่นูนขึ้นขยายวงกว้างกินพื้นที่บนดาวเคราะห์ไปกว่าร้อยละสามสิบ แต่ก็ไม่ได้ขยายต่อไปจากนั้น ดาวเคราะห์ไม่สามารถทานทนได้ไหวอีกต่อไป มันจึงเริ่ม…ทำลายตัวเอง!


แรงสั่นสะเทือนดังสนั่นขึ้นจากทุกที่ขณะที่ดาวเคราะห์ล่มสลาย ราวกับว่าเป็นเครื่องถ้วยชามที่แตกร้าวไปทั่ว ดาวเคราะห์ไม่ได้แหลกละเอียดโดยสมบูรณ์ แต่แตกพังไปเพียงครึ่ง ระหว่างที่ดาวเคราะห์กำลังแหลกสลายและผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นตายไปเกือบหมด เสียงกรีดร้องก็ดังก้องขึ้นพร้อมชายสามหัวหกแขนที่พุ่งออกมาจากส่วนนูน!


เขายังไม่ตาย! หวังเป่าเล่อที่กำลังทานทนพลังพายุหรี่ตาลงเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ชายหนุ่มหมายจะฆ่าอีกฝ่าย แต่บริเวณรอบๆ ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง เขาจึงไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้


ขณะที่หวังเป่าเล่อถอนหายใจอย่างเสียดายและเตรียมตัวจากไปพร้อมความสิ้นหวัง สายตาของเขาก็พลันเลื่อนกลับไปที่เดิม


ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นเสื้อผ้าฉีกขาด ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน มีเส้นสายสีรุ้งพันอยู่เต็มร่างราวกับว่าจะตัดกายเขาให้ขาดสะบั้นกระนั้น สิ่งนี้ทำให้ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นต้องกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดหลังจากพุ่งออกมา แขนข้างหนึ่งถูกสะบั้น


หลังจากนั้น แขนข้างที่สอง สาม และสี่ แม้แต่ขาทั้งสองข้างก็โดนตัด ร่างของเขาถูกฟันขาดออกเป็นเจ็ดแปดส่วน


ยังไม่จบแค่นั้น ศีรษะของเขาก็มีสภาพไม่ต่างกัน ศีรษะแรกร่วงลงมา ตามด้วยศีรษะที่สองซึ่งแหลกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกตื่นเต้น แต่…เส้นสายสีรุ้งที่สร้างขึ้นจากพลังทำลายล้างที่เกิดจากการระเบิดพลีชีพตนเองของจักรพรรดิประจำดาวเคราะห์แห่งนี้ก็อ่อนกำลังลงหลังจากนั้น ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นที่เหลือเพียงศีรษะเดียวพุ่งขึ้นฟ้าอย่างทุลักทุเล


หวังเป่าเล่อจ้องไปยังศีรษะนั้น อีกฝ่ายอยู่ห่างออกไปไกลมากและพลังทำลายล้างของดาวเคราะห์เบื้องหน้าก็แข็งแกร่งเกินไป ขณะเดียวกัน พลังป้องกันรอบกายชายหนุ่มก็เริ่มอ่อนกำลังลง เขารู้สึกว่าการคุ้มกันน่าจะทนอยู่ได้อีกไม่นาน ถึงจะอยากไล่ตามไปแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้


แต่หวังเป่าเลิกก็ไม่ยอมกลับออกไปทั้งอย่างนั้น


“ข้าจะทำให้เขาตื่นกลัวจนตายแม้จะไล่ตามไปไม่ได้ก็เถอะ!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เขาขยับตัวขณะพูดพึมพำ ร้องคำรามออกมาเหมือนอยากไล่ตามไป ศีรษะที่พุ่งทะยานออกมาจากส่วนที่นูนขึ้นจ้องกลับมายังหวังเป่าเล่อด้วยความเกลียดชัง จากนั้นก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งและกัดฟันแน่น เสียงระเบิดดังขึ้นเมื่อชายตรงหน้าระเบิดหัวที่เหลืออยู่ไปครึ่งซีก!


จากนั้นก็ใช้พลังจากการระเบิดปลดปล่อยกลยุทธ์ปริศนาหายวับไปในทันใด


เขากลัวจริงๆ หรือ เห็นดังนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกสุขใจ คลายความกังวลใจลงไปบางส่วน แม้ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นจะยังมีชีวิตรอด แต่ก็ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลับมามีระดับพลังเท่าเดิม


ชายหนุ่มสูดหายใจลึก แตะหน้ากาก หันมองผืนดินที่กำลังล่มสลายและส่วนนูนที่ขยายออกไปเรื่อยๆ พร้อมถอนใจเบาๆ


“หวนคืน!”


ทันใดที่เอ่ย หน้ากากก็เปล่งแสง จังหวะนั้นเอง…แสงสีรุ้งจางๆ ก็ลอยออกมาจากส่วนที่นูนขึ้น นำของสองชิ้นมาให้หวังเป่าเล่อ


หนึ่งในนั้นคือแก่นศิลาที่เปล่งแสงสีรุ้งขนาดเท่าเล็บมือ อีกชิ้น…คือฝ่ามือครึ่งซีก เป็นฝ่ามือข้างขวาของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นที่หลบหนีออกไปได้ ฝ่ามือนี้เหลือนิ้วมืออยู่เพียงสามนิ้ว ที่นิ้วชี้…สวมแหวนคลังเวทอยู่!


แหวนคลังเวทวงนี้เป็นของพิเศษ แม้จะผ่านการระเบิดทำลายตัวเองมา…ก็ยังไม่เสียหายใดๆ!


ของทั้งสองชิ้นซึ่งห้อมล้อมไปด้วยแสงสีรุ้งมาปรากฏตรงหน้าหวังเป่าเล่อที่กำลังจะเคลื่อนย้ายกลับออกไป หลังจากที่ชายหนุ่มหยิบของทั้งสองชิ้นไว้ การเคลื่อนย้ายก็เริ่มต้นขึ้น!


ร่างของหวังเป่าเล่อหายวับไปในทันใด!

 

 

 


บทที่ 829 ศิษย์ในนามหรือ

 

การเคลื่อนย้ายไม่ได้กินเวลานานมาก แต่ก็จะเป็นครั้งที่ทุกคนจำไม่ลืม ความรู้สึกที่เวลาและห้วงอากาศถูกยืดออกและร่างกายที่ถูกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากนั้นก็กลับมารวมกันใหม่อีกครั้งทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดมากพออยู่แล้ว อีกทั้งยังอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นระหว่างกระบวนการเคลื่อนย้าย ชิ้นส่วนร่างกายของพวกเขาอาจหายไปหรือเพิ่มขึ้นมาหลังรวมร่างขึ้นใหม่อีกครั้งก็เป็นได้…


โชคดีที่พลังเคลื่อนย้ายในหน้ากากของปรมาจารย์แห่งไฟแข็งแกร่งมาก ทำให้ไม่เกิดอะไรไม่ดีเช่นนั้นขึ้น หวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นกังวลอะไรนัก เพราะร่างของเขาเป็นร่างสารัตถะ ดังนั้นทุกส่วนจึงเหมือนกันหมด ถึงแขนขาจะกลับหัวกลับหาง เขาก็แค่สร้างมันขึ้นมาใหม่เท่านั้น


เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว หวังเป่าเล่อซึ่งเป็นคนท้ายๆ ที่เคลื่อนย้ายกลับไม่ได้รู้สึกกังวลใจใดๆ แม้แต่น้อย ตรงกันข้ามในใจของเขากลับตั้งตาคอย…ว่าจะได้ผลึกสีชาดมาเท่าใดกัน!


อย่างไรเสีย…จำนวนผู้คนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่ถูกเขาสังหารทั้งเล็งเป้าตรงๆ และถูกลูกหลงก็มีเป็นจำนวนมาก…นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังปลิดชีพผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายไปอีกด้วย สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นที่สุดคือผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นที่โผล่มาตอนสุดท้ายต่างหาก


ข้าควรได้รับความดีความชอบทั้งหมด ข้าพยายามหนักมาก หวังเป่าเล่อกะพริบตา หลังจากถูกส่งตัวกลับมา เขาก็มองไปรอบๆ และพบว่าที่นี่คือสถานที่ก่อนหน้าที่จะถูกเคลื่อนย้ายออกไป มีเศษซากปรักหักพังลอยไปมาภายในสถานที่ที่แปลกตาแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยนี้


โลกแห่งซากปรักหักพังกว้างไกลไร้ขอบเขตและเอ่อล้นไปด้วยคลื่นพลังโบราณ เศษซากแต่ละชิ้นเปี่ยมไปด้วยหลักฐานซึ่งบ่งบอกถึงเวลาที่ผ่านพ้น


ห้วงอวกาศคือสรวงสวรรค์ ความว่างเปล่าคือผืนดิน ขณะนี้ ท่ามกลางห้วงอวกาศและความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยเศษซากลอยเคว้งไปมา มีร่างเงาสวมหน้ากากมากมายเคลื่อนย้ายกลับมาก่อนแล้ว เมื่อหวังเป่าเล่อปรากฏตัวและคนอื่นๆ เห็นหน้ากากหมูที่เขาใส่ เสียงสูดหายใจมากมายก็ดังขึ้น


“เจ้าตัวซวย!”


“ข้าเห็นกับตา เขาฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายจากตระกูลไม่รู้สิ้น!”


“เจ้านี่นี่เอง…ที่ทำให้ภารกิจเปลี่ยนไป…”


“ที่ดาวเคราะห์แตกก็คงเพราะเจ้านี่ เขาเป็นตัวหายนะ พยายามอย่าไปอยู่ใกล้เขาจะดีกว่า” ท่ามกลางเสียงสูดหายใจ ฝูงชนโดยรอบต่างส่งข้อความเสียงหากันขวักไขว่ อาจจะเพราะพวกเขาล้วนมองหวังเป่าเล่อเป็นศัตรูจึงสนิทสนมกันยิ่งขึ้น


แต่เมื่อหวังเป่าเล่อกวาดสายตาผ่าน พวกเขาก็เลิกส่งข้อความเสียงหากันโดยไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวและยำเกรงปรากฏขึ้นในสายตาอย่างควบคุมไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมและการเข่นฆ่าของหวังเป่าเล่อบนดาวเคราะห์ทำให้ทุกคนตื่นกลัวอยู่ในใจ


แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นทั้งสามคนก็รู้สึกไม่ต่างจากฝูงชน พวกเขาไม่ได้ดูหมิ่นหวังเป่าเล่อเพียงเพราะตนมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ จริงๆ แล้ว ทั้งสามต่างคิดว่าผู้ที่สามารถสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ถือว่าน่ายำเกรงมากอยู่ดี พวกเขาเองยังไม่มั่นใจเลยว่าถ้าไปสู้เองจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่


“คนผู้นี้…ไม่ได้ฆ่าได้เพียงศัตรู แม้แต่พันธมิตรเองเขาก็สามารถทำร้ายได้เช่นกัน…” หลังจากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสามหันมองหน้ากัน พวกเขาก็กุมหมัดหันไปทางหวังเป่าเล่อ


หวังเป่าเล่อกวาดตามองรอบๆ และพบว่ามีผู้มาจุติเหลือประมาณสี่สิบกว่าคนจากที่มีหลายร้อย เขากะพริบตา รู้สึกว่าภารกิจนี้อันตรายเกินไป ดีที่โชคเข้าข้างตน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะตกอยู่ในอันตรายเหมือนกัน


หลังจากปลอบใจตนเองและกุมหมัดตอบผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสาม เขาก็หันไปเห็นชายฉกรรจ์หัวโล้นที่สวมหน้ากากกระทิงจากนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา


“เจ้ายังไม่ตาย”


ร่างของชายฉกรรจ์หัวโล้นสั่นเทิ้ม กำลังจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ เขารีบทักทายหวังเป่าเล่อด้วยท่าทีขึงขังทั้งที่ตัวสั่น จากนั้นก็ตะโกนขึ้น “ขอต้อนรับกลับมา สหายเต๋า ข้ารอดจากภารกิจนี้ก็เพราะได้เจ้าช่วย ข้าขอขอบคุณเจ้ามาก โปรดรับคำขอบคุณจากข้า!”


เมื่อได้ยินชายฉกรรจ์พูดสิ่งที่น่าเขินอาย เหล่าผู้ฝึกตนรอบๆ ต่างก็แอบวิจารณ์เขาในใจว่าทำตัวหน้าไม่อายขณะกุมมือและพูดอะไรออกไปคล้ายๆ กัน


พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเพราะทุกคนต่างยังไม่ได้กลับไปยังที่ที่จากมา หากไปทำอะไรให้เจ้าตัวซวยไม่พอใจเข้า พวกเขากลัวว่าตนจะไม่มีชีวิตรอดกลับไป ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีท่าทีเคารพต่อชายหน้ากากหมูผู้นี้


เมื่อเห็นทุกคนต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี หวังเป่าเล่อก็รู้สึกปลาบปลื้ม หลังจากหัวเราะเสียงดัง เขาก็พยักหน้าให้ฝูงชนและเริ่มสนทนากับพวกเขาเล็กน้อย พอชายหนุ่มพูดอะไรออกไป หลายๆ คนก็เห็นดีเห็นงามตามกันหมด บรรยากาศการสนทนาจึงดำเนินไปอย่างเป็นกันเอง


ขณะที่ฝูงชนถูกเคลื่อนย้ายกลับขณะสนทนาและยกยอหวังเป่าเล่อ ดาวเคราะห์ที่พวกเขาจากมายังคงทลายตัวอยู่ ครึ่งหนึ่งของดาวเคราะห์กลายเป็นฝุ่นผงกระจายไปในห้วงอวกาศ หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นดาวอีกครึ่งที่เหลือเป็นเหมือนดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว อีกทั้งยังปล่อยสัมผัสความไม่สมบูรณ์ออกมาในขณะที่พังตัวลงอย่างเชื่องช้าด้วย


อาจต้องใช้เวลาเนิ่นนาน ดาวเคราะห์ถึงจะพังลงโดยสมบูรณ์และหายสาบสูญไปจากห้วงอวกาศ


แม้แต่กับตระกูลไม่รู้สิ้นผู้ยิ่งใหญ่ เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กๆ แม้จะไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะเรียกความสนใจจากเหล่าผู้มีอำนาจระดับสูงได้ อย่างไรเสีย พวกเขาก็ต้องสูญเสียกองทัพไป อีกทั้งผู้บัญชาการระดับดาวพระเคราะห์ยังได้รับบาดเจ็บหนักจนเหลือรอดเพียงแค่ศีรษะ ขณะเดียวกัน ดาวเคราะห์ที่พวกเขายึดครองอยู่ยังแตกสลายอีกด้วย


เพราะเหตุนี้จึงเกิดการตรวจสอบในทันที สร้างความตื่นตกใจไม่น้อย หลังจากเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ปรมาจารย์แห่งไฟก็ต้องยอมรับว่าแม้จะนำภารกิจทั้งหมดที่ผ่านมามารวมกันก็ไม่สามารถเทียบผลงานของหวังเป่าเล่อได้


เขาคือยอดฝีมือ! ปรมาจารย์แห่งไฟถุยแกนผลไม้ในปากและหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะจ้องหน้าจอตรงหน้า บนหน้าจอฉายภาพโลกซากปรักหักพังที่หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ อยู่


หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็ยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือและชี้ไปยังหน้าจอตรงหน้า ทันใดนั้น คลื่นพลังก็ปรากฏบนหน้าจอและพัดกระจายออกไป  เปลวสัมผัสสวรรค์ของปรมาจารย์แห่งไฟขยายออกไปผสานกับคลื่น


ครู่ต่อมา ฝูงชนที่กำลังสนทนากันอย่างครื้นเครงบนดินแดนที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังก็รู้สึกได้ว่าวิญญาณของตนสั่นไหว หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงจากคลื่นพลังที่ถาโถมมา


ทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อเห็นแสงลุกโชนจุติลงมาจากฟากฟ้า และหยุดอยู่กลางอากาศเหนือทุกคน ก่อนจะรวมกันเป็นร่างเงาเพลิง แม้จะเห็นรูปร่างได้ไม่ชัดเจน แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังกดดันมหาศาล มองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกปวดตา และสั่นสะเทือนไปถึงวิญญาณ


หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว เขารีบก้มหัวลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงเก่าแก่ดังขึ้นจากร่างเงาเพลิงกลางฟากฟ้า


“ทำได้ไม่แย่ ข้าจะมอบผลึกสีชาดให้ตามผลงานของเจ้า”


ทันทีที่ร่างเงาเพลิงพูดออกไปเช่นนั้น ตัวเลขก็ปรากฏขึ้นบนหน้ากากของฝูงชนกว่าสี่สิบคน กลไกการเฝ้าดูของหน้ากากสามารถคำนวณรางวัลตามผลงานพวกเขาได้ หวังเป่าเล่อรีบตรวจสอบเลขบนหน้ากากของตัวเองทันที


13,000 ก้อนหรือ หวังเป่าเล่อกะพริบตา รู้สึกว่าเป็นจำนวนที่น้อยเกินไป แม้ชายหนุ่มจะต้องการผลึกสีชาดเพียงสามร้อยก้อนเพื่อซื้อวัตถุดิบทั้งหมดจากเซี่ยไห่หยาง แต่เขาก็คิดว่าตนเองได้สังหารทั้งกองทัพด้วยตัวคนเดียว เรียกได้เก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยมก็ว่าได้


แต่พอหวังเป่าเล่อเห็นตัวเลขบนหน้ากากของคนอื่นๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย


ตัวเลขสูงสุดบนหน้ากากของผู้ฝึกตนคนอื่นๆ คือ…สองร้อยก้อน ซึ่งเป็นของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสามคน ส่วนคนที่เหลือนั้นได้มากสุดประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบก้อน ส่วนตัวเลขน้อยที่สุดเป็นเพียงหลักหน่วยเท่านั้น


ทั้งหมดรวมกันยังไม่อาจเทียบเท่าเขาได้เลย…


ช่างน่าเวทนาเสียจริง หวังเป่าเล่ออดกระแอมกระไอไม่ได้ เมื่อผู้ฝึกตนคนอื่นๆ เห็นจำนวนผลึกสีชาดที่หวังเป่าเล่อได้รับก็รู้สึกอยากร้องไห้ออกมา แต่ก็ทำไม่ได้ บางคนเคยปฏิบัติภารกิจเช่นนี้มาก่อนหน้าและได้ผลึกสีชาดหลายร้อยก้อน แต่ครั้งนี้กลับได้ไม่ถึงสิบ…


“ได้ผลึกสีชาดแล้วก็ไปได้” ร่างเงาบนท้องฟ้าโบกมือส่งผลึกสีชาดจำนวนมากไปให้ทุกคน หลังจากเก็บไปเรียบร้อย ทุกคนก็ได้แต่กุมหมัดอย่างอดสูไปทางร่างเงาบนท้องฟ้า ก่อนร่างกายจะเลือนหายไปทีละคน ทิ้งไว้เพียงหน้ากากซึ่งลอยกลับไปหลอมเข้ากับร่างเงาเพลิงบนท้องฟ้า


“หืม” หวังเป่าเล่อรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เพราะคนอื่นๆ รอบตัวได้กลับออกไปกันหมดแล้ว แต่เขา…ยังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ขณะที่กำลังพึมพำกับตัวเองในใจ เสียงราบเรียบของร่างเงาเพลิงบนฟ้าก็ดังขึ้นในหู


“เจ้าหนุ่ม เจ้าอยากเป็นศิษย์ในนามของข้าหรือไม่”

 

 

 


บทที่ 830 ตั๋วทอง!

 

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความกังวลและเกรงกลัวผสมกับความตื้นตันเมื่อได้ยินที่ร่างเงาเพลิงบนฟ้าพูด เป็นสีหน้าที่ผสมปนเปไปด้วยอารมณ์มากมาย คนธรรมดาทั่วไปอาจทำเช่นนี้ไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อนั้นศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาตั้งแต่เด็ก เขาฝึกฝนสีหน้าเช่นนี้มาตั้งแต่ตอนนั้นจนเชี่ยวชาญ


แต่จริงๆ แล้วในใจของชายหนุ่มกลับกำลังบ่นอุบกับตัวเองว่าชายชราช่างไม่น่าไว้วางใจเสียจริง ถ้าอยากได้ศิษย์ก็รับเอาเลยจะเป็นไรไป ทำไมต้องให้มาเป็นเพียงศิษย์ในนามด้วย


เขาแค่อยากได้ชื่อเสียงเพราะเป็นอาจารย์ของข้าโดยที่ไม่ต้องเสียผลประโยชน์อะไรไป คิดว่าข้าโง่อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อตัดสินใจแล้วว่าจะปฏิเสธปรมาจารย์แห่งไฟ ถึงอาจารย์ของเขาจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่ชื่อเสียงของท่านก็ยังคงอยู่ นอกจากนี้เขายังมีศิษย์พี่ที่ไม่ค่อยจะวางใจอะไรได้เพราะไม่ค่อยจะอยู่ช่วยอยู่อีกคน สมองชายหนุ่มแล่นไม่หยุดขณะคิดหาวิธีบอกปฏิเสธให้ดูไม่เป็นการเสียมารยาท


ชายหนุ่มยังคงตีสีหน้าเช่นเดิมไม่เปลี่ยนขณะคิดหาหนทาง ปรมาจารย์แห่งไฟเหมือนจะไม่ได้สังเกตว่ามีอะไรผิดแปลกไป จริงๆ แล้วเขากลับรู้สึกยอมรับเสียด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มตรงหน้าอาจจะเป็นตัวปัญหา แต่ก็ดูเป็นคนมีเหตุผล รู้จักที่ของตนเอง


“ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่…” หวังเป่าเล่อไม่ได้ใช้เวลาคิดนาน ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ ชายหนุ่มไม่สนใจความเจ็บปวดตรงดวงตาและพยายามบีบน้ำตาออกมา จากนั้นก็มองไปบนฟ้าก่อนจะก้มหัวให้


“นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าต้อง…”


“ปรึกษาเฉินชิงก่อนอย่างนั้นหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟพูดขัดหวังเป่าเล่อด้วยใบหน้าที่เหมือนจะแต้มด้วยรอยยิ้ม


ชายหนุ่มขนลุกซู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงขณะจ้องปรมาจารย์แห่งไฟ เหมือนจะทั้งรู้สึกแปลกใจและทำอะไรไม่ถูก


“เจ้าคิดจะขอเวลาตัดสินใจ จะบอกว่ามีเวลาเหลืออีกเยอะในการตัดสินใจ เจ้าน่าจะคิดไปด้วยว่าข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ในนามเพราะไม่อยากให้อภิสิทธิ์ศิษย์ที่แท้จริงกับเจ้า” ปรมาจารย์แห่งไฟพูดออกมาอย่างสบายๆ ในตาเจือไปด้วยแววหยอกเย้า


เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มอ้าปากจะพูดอะไรออกไปแต่ก็โดนขัดด้วยการโบกมือของผู้อาวุโส


“ตามใจเจ้า เจ้าต้องใช้เวลาคิดทบทวนให้ดี ถ้าเจอเฉินชิงก็ลองปรึกษาดูว่าถ้าปรมาจารย์แห่งไฟผู้นี้จะรับเจ้าเป็นศิษย์ เขาจะเห็นชอบ หรือเขาจะยินยอมหรือเปล่า”


หวังเป่าเล่อกะพริบตา เริ่มพึมพำกับตนเองอีกครั้งว่าทั้งสองประโยคก็มีหมายความอย่างเดียวกัน ชายหนุ่มรู้ว่าปรมาจารย์แห่งไฟมองตนออก เคล็ดวิชาสารัตถะที่ตนมีเป็นของศิษย์พี่ ผู้ฝึกตนกล้าแกร่งที่รู้จักเฉินชิงจะต้องมองหวังเป่าเล่อออกอยู่แล้ว


เขาอาจจะรู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร แต่หวังเป่าเล่อจะยอมรับความจริงนี้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง ชายหนุ่มยังตีหน้างุนงงและแกล้งทำเป็นไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ปรมาจารย์แห่งไฟพูด เขาอ้าปากแต่ก็อึกอักไม่ยอมพูด ทำเหมือนว่าเกรงกลัวไม่กล้าถามอะไรมากมาย ในที่สุดชายหนุ่มก็หลบสายตาลงและกล่าวอย่างนอบน้อม


“ขอบคุณศิษย์พี่ ข้าจะรีบให้คำตอบท่านโดยเร็วที่สุด ยังมีอีกเรื่อง…ศิษย์น้องผู้นอบน้อมไม่รู้ว่าจะติดต่อท่านได้อย่างไรหากตัดสินใจได้แล้ว ท่านคิดว่าอย่างไร…ถ้าจะทิ้งหน้ากากไว้กับข้าเพื่อที่ข้าจะได้ติดต่อท่านได้ง่ายๆ” หวังเป่าเล่อพูดด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกุมหมัดโค้งคำนับให้กับปรมาจารย์แห่งไฟอีกครั้ง


“ข้าไม่ติดขัดอะไร เจ้าใช้คำสาปในหน้ากากไปแล้ว สิ่งนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อื่นใดอีก” ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะ แววตาฉายแววดูลุ่มลึก เหมือนว่าเขาจะมองหวังเป่าเล่อได้ทะลุปรุโปร่ง  


หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไรที่ถูกมองออก เขายังแสร้งทำซื่อและพูดต่อ


“เช่นนั้น ทำไมท่านไม่ผนึกคำสาปเพิ่มเล่า ศิษย์น้องผู้นอบน้อมจะได้ประกาศชื่อเสียงของท่านให้ลือเลื่องไปทั่วด้วยหน้ากากของท่าน”


“เลิกคิดเรื่องหน้ากากได้แล้ว ข้าไม่ทำให้เจ้าหรอก” ปรมาจารย์แห่งไฟตอบเสียงเรียบเมื่อได้ยินคำขอของหวังเป่าเล่อ


ขี้เหนียวจริง หวังเป่าเล่อบ่นด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจลองใหม่อีกครั้ง ยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ


“ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่คงตั้งใจจะสอนวิธีผนึกคำสาปใส่หน้ากากให้ข้า เพื่อเป็นการฉลองการพบกันของเรา ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่คิดให้หน้ากากข้า เช่นนั้นโปรดรับคำขอบคุณจากข้าด้วย ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงดังพร้อมโค้งให้ปรมาจารย์แห่งไฟอีกครั้ง


“เจ้าช่างหน้าไม่อายเหมือนเฉินชิงไม่มีผิด” ปรมาจารย์แห่งไฟว่าอย่างเหนื่อยอ่อน แต่หลังจากคิดเรื่องนี้ดูก็รู้สึกว่าน่าจะใจกว้างได้สักหน่อย ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะให้อะไรไป แต่พอได้ยินหวังเป่าเล่อพูดเช่นนั้นก็เปลี่ยนใจ หลังจะครุ่นคิดสักพัก เขาก็ยกมือขวาโบกผ่านอากาศ เรียกวัตถุคล้ายลูกประคำออกมาจากเศษซากปรักหักพังรอบๆ วัตถุเหล่านั้นพุ่งผ่านอากาศมารวมกันบนฝ่ามือปรมาจารย์แห่งไฟ ก่อนจะแปรสภาพเป็นแผ่นหยกสีเทา


ปรมาจารย์แห่งไฟเป่าลมลงบนแผ่นหยกเบาๆ และเปลี่ยนมันเป็นสีดำในทันใด จากนั้นก็โยนแผ่นหยกขึ้นฟ้า ส่งลอยไปหาหวังเป่าเล่อให้อีกฝ่ายเก็บเอา


“ข้าลงคำสาปไว้ในแผ่นหยก เจ้าใช้มันได้แค่ครั้งเดียว เจ้าสามารถใช้แผ่นหยกติดต่อข้าได้ แต่ก็เพียงครั้งเดียวเช่นกัน ถ้าโชคชะตาลิขิตให้เราเป็นศิษย์อาจารย์กัน เราก็คงจะได้พบกันอีก แต่ตอนนี้ เจ้ากลับไปได้แล้ว” หลังจากพูดจบ ปรมาจารย์แห่งไฟก็มองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาลุ่มลึก เขาอยากรับชายหนุ่มเป็นศิษย์อย่างจริงแท้


อาจรับมาเป็นศิษย์ในนามก็จริง แต่…ปรมาจารย์แห่งไฟก็ไม่ได้รับศิษย์มานานมากแล้ว


ความคิดเช่นนั้นทำให้เขาผุดนึกถึงความทรงจำอันน่าเศร้า ปรมาจารย์แห่งไฟโบกมือก่อนจะหันหลังเดินหายลับไป แผ่นหลังของเขาเป็นเพียงแผ่นหลังของชายแก่ผู้โดดเดี่ยว ร่างของหวังเป่าเล่อเริ่มเลือนราง เบื้องหน้าของชายหนุ่มคือร่างอันโดดเดี่ยวของปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังไกลห่างออกไป เขาอ้าปากอยากจะพูดบางสิ่ง แต่ท้ายที่สุดก็เลือกที่จะเงียบ หวังเป่าเล่อหายวับไปจากดินแดนซากปรักหักพัง ทิ้งหน้ากากหมูไว้เบื้องหลัง หน้ากากกลายเป็นแสงพุ่งตรงไปยังปรมาจารย์แห่งไฟและไปหยุดอยู่บนฝ่ามือของเขา แทนที่จะเข้าไปรวมกับหน้ากากชิ้นอื่นๆ ในร่างชายชรา


“ถ้าใช่ก็คงมาเอง แต่ถ้าไม่…ก็ต้องปล่อยไป” เสียงพึมพำของปรมาจารย์แห่งไฟก้องไปในอากาศ


ครู่ต่อมา ก็มีแสงจ้าปรากฏขึ้นในห้องของหวังเป่าเล่อที่อยู่ในโรงเตี๊ยมในตลาด ชายหนุ่มขยายสัมผัสสวรรค์ตรวจสิ่งรอบตัวทันทีที่ปรากฏตัวในห้อง พอมั่นใจแล้วว่าตนกลับมายังตลาดได้อย่างปลอดภัยก็ถอนหายใจออกมา ภาพเหตุการณ์อันตรายมากมายที่เขาเอาชีวิตรอดกลับมาได้ระหว่างปฏิบัติภารกิจปรากฏขึ้นในหัว จบลงด้วย…ภาพแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวของปรมาจารย์แห่งไฟ


“เขาคงมีเรื่องราวบางอย่าง” หวังเป่าเล่อพูด สูดหายใจและสงบความคิดในหัว จากนั้นก็เริ่มสำรวจความเสียหาย อย่างแรกเลยคือเกราะจักรพรรดิ…เสียหายไปร้อยละเก้าสิบ ต่อมาคือเรือบินรบเวท…เสียหายไปเกือบร้อยละเก้าสิบเช่นกัน ส่วนประกอบหลักสำคัญแทบจะใช้การไม่ได้


วัตถุเวทอื่นๆ ก็เสียหาย และชายหนุ่มก็ใช้ข้าวของบางส่วนไปหมดเกลี้ยง เขาไม่มีทางลืมเรือบินรบนับไม่ถ้วนที่ใช้ระเบิดทำลายตัวเองไปในการต่อสู้ ภารกิจครั้งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องงัดข้าวของที่เก็บสะสมไว้มากมายออกมา


แต่ที่ได้รับคืนมาก็ถือว่ามากเช่นกัน ทั้งได้เลื่อนขั้นการฝึกตน กระเป๋าคลังเก็บก็เต็มไปด้วยวัตถุดิบใหม่ๆ จากคลังอาวุธของตระกูลไม่รู้สิ้น จำนวนโอสถ วัตถุเวท และวัตถุดิบต่างๆ ที่อัดอยู่ด้านในอาจทำให้ใครหลายคนต้องมองด้วยความอิจฉา


ข้าวของจากคลังอาวุธทำให้ชายหนุ่มได้ทุนคืนจากข้าวของที่สูญเสียไปและความเสียหายที่ได้รับจากการปฏิบัติภารกิจ อีกทั้งเขายังได้ผลึกสีชาดมาอีก 13,000 ก้อน ของที่เขาจะซื้อจากเซี่ยไห่หยางนั้นต้องใช้ผลึกสีชาดเพียงสามร้อยก้อน ตอนนี้ชายหนุ่มมีกำลังซื้อมหาศาลเพราะมีผลึกสีชาดอยู่ถึง 13,000 ก้อน


เขาได้แก่นในสีรุ้งมาด้วยเช่นกัน ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าใช้ทำอะไร แต่ก็มั่นใจว่าแก่นในสีรุ้งต้องมีความเกี่ยวข้องกับดาวเคราะห์สีรุ้งอย่างแน่นอน ต้องเป็นของที่มีคุณค่ามากเลยทีเดียว


นอกจากนี้….เขายังได้มือของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นมาครึ่งซีก ซึ่งน่าจะใช้เป็นวัตถุดิบในการหลอมได้ ส่วนแหวนคลังเวทที่สวมอยู่บนนิ้วก็น่าจะนำมาใช้งานได้ รวมถึงข้าวของข้างในด้วย


แหวนคลังเวทของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์… หวังเป่าเล่อตื่นเต้น หลังจากตรวจดูของอื่นๆ ที่ได้มาเสร็จ เขาก็ดึงแหวนออกมาจากมือครึ่งซีกและขยายสัมผัสสวรรค์ไปตรวจสอบ ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วในทันใด ผนึกของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ยังคงทำงานอยู่ ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถคลายผนึกออกได้


“ช่างเถอะ ข้าก็แค่รอบรรลุไปขั้นจิตวิญญาณอมตะ ตอนนั้นคงจะค่อยๆ คลายผนึกออกได้!” หวังเป่าเล่อว่าอย่างไม่พอใจ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น ให้ไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ไม่กล้า เพราะจะเป็นการเปิดเผยว่าตนเองเป็นผู้มาจุติ


หวังเป่าเล่อตรวจดูข้าวของต่างๆ ไปพร้อมกับศึกษาตัวแหวน ไกลออกไปในห้วงอวกาศ ท่ามกลางหมู่ดาวเคราะห์สีฟ้า…มีดินแดนแห่งหนึ่งที่ปกครองโดยกองทัพลำดับสิบเก้าของตระกูลไม่รู้สิ้น


มีดาวเคราะห์นับไม่ถ้วนอยู่บริเวณห้วงอวกาศนี้ ในหมู่ดาวเคราะห์เหล่านั้นมีดวงหนึ่งที่มีตำหนักโบราณตั้งอยู่ แสงจ้าจากการเคลื่อนย้ายฉายวาบออกมาจากตำหนัก ศีรษะครึ่งซีกลอยผ่านประตูเคลื่อนย้าย กระเด็นกระดอนไปตามพื้น กลิ้งไปหยุดอยู่มุมหนึ่งพร้อมส่งเสียงกรีดร้อง


ศีรษะนั้นเป็นของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่เฉียดตายจากการสู้กับหวังเป่าเล่อ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดและโกรธแค้น โกรธเพราะก่อนศึกครั้งนี้เขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บขนาดนี้มากก่อน โกรธเพราะ…สูญเสียแหวนคลังเวทของตนไป!


เขาซ่อนสมบัติบางอย่างไว้ไม่ให้ใครรู้ในแหวนคลังเวทวงนั้น มันไม่ใช่อาวุธทรงพลัง แต่คงไม่เกินจริงนัก…ถ้าจะเรียกมันว่าตั๋วทองคำสำหรับการฝึกตนในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น!


เขาไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตน สมบัติชิ้นนี้ช่วยให้คนธรรมดาอย่างเขาบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์ได้ และสมบัติชิ้นนี้ก็อาจช่วยให้เขาบรรลุไปยังระดับดารานิรันดร์หรืออาจจะเหนือขึ้นไปกว่านั้นได้อีก ถ้ามีใครรู้เรื่องนี้เข้า คงจะเกิดสงครามระหว่างตระกูลและกลุ่มต่างๆ เพื่อแย่งชิงสมบัติชิ้นนี้ไปแน่ และด้วยความสามารถระดับกลางๆ อย่างเขา ก็คงต้องสูญเสียตั๋วทองคำนี้ไปตลอดกาลอย่างแน่นอน!


เจ้าหัวหมูเฮงซวย ข้าสาบานว่าจะตามหาตัวเจ้าให้เจอไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน!

 

 

 


บทที่ 831 เกราะมหาจักรพรรดิ!

 

เทียบกับความโกรธแค้นและเกลียดชังที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นรู้สึกอยู่ หวังเป่าเล่อนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความยินดีปรีดา ดวงตาของชายหนุ่มจับจ้องไปที่กระเป๋าคลังเก็บและข้าวของที่ซ่อนอยู่ภายใน พลางนึกยินดีว่าชีวิตตนช่างเปี่ยมสุข โชคดีมั่งคั่งเหลือล้น


แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ แม้จะสูญเสียอะไรไปมากมาย แต่ก็ได้คืนกลับมามากเช่นกัน ตอนนี้เขามีตั๋วทองคำอยู่ในมือ ชายหนุ่มไม่ได้แค่ถอนทุนคืนจากสิ่งที่เสียไป แต่ได้กำไรกลับมาถล่มทลายเลยต่างหาก


ข้าต้องจัดระเบียบข้าวของที่ได้มา อะไรเอาไปใช้ได้ อะไรควรเอาออกไปขายหรือแลกเปลี่ยน หวังเป่าเล่อแสนสุขใจ เขานั่งขัดสมาธิเริ่มเตรียมการซ่อมแซมสิ่งต่างๆ


อย่างแรกที่ต้องจัดการคือเกราะจักรพรรดิและเรือบินรบเวท ทั้งสองอย่างได้รับความเสียหายไปเกือบร้อยละเก้าสิบจนแทบใช้งานไม่ได้ เขาคงจัดการซ่อมแซมไม่ได้ถ้าขาดวัตถุดิบจำเป็น แต่โชคดีที่ไม่เป็นเช่นนั้นเพราะเขายังมีต้นไผ่ศิลาอยู่ในมืออีกมาก ดังนั้นจึงสามารถซ่อมเรือบินรบเวทให้กลับมาสมบูรณ์ได้


วัตถุดิบบางชนิดในกระเป๋าคลังเก็บช่วยให้กระบวนการซ่อมแซมเป็นไปได้รวดเร็วขึ้น ผนวกกับทักษะการหลอมอาวุธเวทก็ยิ่งทำให้เขาซ่อมแซมเรือบินรบเวทได้รวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งสำคัญที่สุดชิ้นต่อไปที่ต้องจัดการซ่อมแซมคือเกราะจักรพรรดิ


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกราะจักรพรรดิได้รับความเสียหายหนักเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจึงรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง วิธีที่ดีที่สุดในการซ่อมแซมเกราะจักรพรรดิคือใช้ปราณวิญญาณ เขาจัดการเก็บกวาดคลังอาวุธของตระกูลไม่รู้สิ้นยัดใส่กระเป๋าจนเกลี้ยงจึงมีศิลาวิญญาณขั้นสูงสุดในครอบครองไม่จำกัด


หวังเป่าเล่อใช้วัตถุดิบที่มีไปอย่างราชาผู้มั่งมี ศิลาวิญญาณขั้นสูงสุดมากมายกลายเป็นฝุ่นผงตลอดการซ่อมแซม หลายๆ ส่วนของเกราะจักรพรรดิเริ่มคืนสู่สภาพเดิมตามตัวของชายหนุ่ม ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เกราะจักรพรรดิก็ห่อหุ้มร่างหวังเป่าเล่ออย่างสมบูรณ์อีกครั้ง และก็เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่การซ่อมแซมเรือบินรบเวทเสร็จสิ้นพอดีเช่นกัน


เมื่อซ่อมเรือบินรบเวทและเกราะจักรพรรดิเสร็จ หวังเป่าเล่อก็กลับมาอยู่ในสภาพแข็งแกร่งสูงสุดอีกครั้ง วัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้ไปนั้นหมดไปไม่ถึงหนึ่งส่วนสามของที่ได้มาด้วยซ้ำ


สมองหวังเป่าเล่อแล่นไม่หยุดอีกครั้ง ดวงตาจับจ้องไปยังเกราะจักรพรรดิและเรือบินรบเวท พลันแสงแปลกแปร่งก็ฉายขึ้นในแววตา ความคิดที่เคยไตร่ตรองมาเป็นเวลานานหวนกลับมาอีกครา


มีทางไหนที่จะหลอมเกราะจักรพรรดิเข้ากับเรือบินรบเวทได้หรือไม่นะ… หวังเป่าเล่อหายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย เขาเคยคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว เพราะรู้ว่าเรือบินรบเวทนั้นมีไว้ใช้ทำอะไร มันเป็นสิ่งที่ใช้หลอมเข้ากับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการสู้รบ


เขาไม่สามารถหลอมรวมได้ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ตอนนั้นระดับการฝึกตนของชายหนุ่มยังอยู่เพียงขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย ซึ่งถือว่าอ่อนแอเมื่อเทียบกับขั้นแสร้งอมตะในปัจจุบัน


มีสองวิธีที่จะหลอมเกราะเข้ากับเรือบินรบเวท วิธีแรกคือหาทางหลอกว่าข้ามีคุณสมบัติครบในการหลอมแล้ว ส่วนวิธีที่สอง…คือดัดแปลงโครงสร้างภายในและลดทอนคุณสมบัติลง หวังเป่าเล่อคิดในใจ มองว่าวิธีที่สองนั้นท้าทายกว่าวิธีแรกอยู่มาก แม้ตนจะมีความรู้เกี่ยวกับเรือบินรบเวท แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ ถ้าสร้างเรือบินรบเวทไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะดัดแปลงได้


เช่นนั้นต้องใช้วิธีแรก หวังเป่าเล่อหรี่ตา


ไม่มีทางลัดในการบรรลุไปขั้นจิตวิญญาณอมตะด้วยเวลาสั้นๆ ดังนั้นข้าจึงต้องแปลงเกราะจักรพรรดิให้เป็นสื่อกลาง นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้ข้าหลอมกับเรือบินรบเวทได้ในตอนนี้


มีทางหรืออะไรสักอย่างที่จะใช้เสริมพลังเกราะจักรพรรดิได้หรือไม่นะ… หวังเป่าเล่อเปิดกระเป๋าคลังเก็บคุ้ยดูข้าวของด้านใน พยายามหาแรงบันดาลใจ


ชายหนุ่มพอจะนึกออกว่าขโมยอะไรมาจากคลังอาวุธของตระกูลไม่รู้สิ้นบ้าง หลังจากตัดทอนสิ่งต่างๆ ออกไป เขาก็เหลือเพียงศิลาวิญญาณขั้นสูงสุดจำนวนหนึ่ง ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงวาบขณะหยิบศิลาวิญญาณออกจากกระเป๋าคลังเวทและพยายามใช้มันเสริมพลังให้เกราะจักรพรรดิ แต่จำนวนศิลาวิญญาณที่สามารถหลอมเข้ากับเกราะจักรพรรดิก็มีขีดจำกัด ถึงศิลาวิญญาณขั้นสูงสุดเหล่านี้จะมีคุณค่ามากเพียงใดก็ยังไม่เพียงพอที่จะใช้ยกระดับเกราะจักรพรรดิได้


หวังเป่าเล่อเริ่มหงุดหงิดจึงเลือกออกไปชมร้านรวงในตลาด เขาน่าจะลองไปปรึกษาเซี่ยไห่หยางเรื่องนี้ ขณะที่กำลังจะก้าวออกจากห้อง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว ชายหนุ่มจ้องผลึกสีชาดในกระเป๋าคลังเก็บของตัวเอง เห็นผลึกขนาดเท่านิ้วมือจำนวนมากกว่าหนึ่งหมื่นก้อนในในนั้น!


ผลึกสีชาด… หวังเป่าเล่อหรี่ตา จากนั้นก็โบกมือเรียกผลึกสีชาดก้อนหนึ่งจากกระเป๋าคลังเก็บมาถือไว้ในมือ เขาขยายสัมผัสสวรรค์เข้าไปในผลึก ทว่าก่อนที่จะได้ลงลึกเข้าไปไกล พลังแกร่งกล้าก็แผ่พุ่งออกมาจากผลึก และต้านทานสัมผัสสวรรค์ของชายหนุ่มไม่ให้ลุกล้ำเข้าไป


ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงเป็นประกาย หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็วางผลึกสีชาดลงบนเกราะจักรพรรดิและปล่อยให้เกราะใช้ความสามารถดูดซับพลังเต็มพิกัด แต่ก็ได้ผลเพียงเล็กน้อย ดูเหมือนจะใช้วิธีนี้ไม่ได้ ผลึกสีชาดเหมือนจะมีชีวิต มีสตินึกคิดบางอย่างซุกซ่อนอยู่ภายใน คอยต่อสู้ป้องกันไม่ให้ผลึกโดนดูดซับและหลอมรวมเข้ากับเกราะ


ผลึกสีชาดคืออะไรกันแน่ หวังเป่าเล่อสงสัย เขาหรี่ตาลง ภาวนาให้พ่อตาผู้เป็นที่รักของตนไม่ตื่นขึ้นจากการหลับใหลขณะที่ท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจ อึดใจต่อมา ตัวตนกล้าแกร่งจากสุดขอบจักรวาลก็จุติลงมายังตลาด


ทุกคนในตลาดตัวสั่นเทิ้มในทันใด เซี่ยไห่หยางที่กำลังจิบชาอยู่ในร้านสำลักน้ำชาและมองขึ้นไปด้านบนด้วยความตกใจ ผลึกสีชาดที่หวังเป่าเล่อวางไว้บนเกราะจักรพรรดิเลิกต่อต้านในทันที พลังของผลึกแปรเปลี่ยนเป็นหมอกสีแดงถูกสูบหายเข้าไปในเกราะจักรพรรดิ


ปราณวิญญาณภายในเกราะจักรพรรดิเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เมื่อหมอกสีแดงไหลเข้าสู่เกราะ พลังของปราณวิญญาณทั้งสองชนิดนั้นแตกต่างกันมากเกินไป ถ้าปราณวิญญาณด้านในเปรียบเป็นงู หมอกสีแดงก็คงเป็นมังกร!


ปราณวิญญาณภายในเกราะที่สัมผัสหมอกสีแดงถูกขับออกจากเกราะจักรพรรดิ ระหว่างที่ปราณวิญญาณเหล่านั้นกำลังกระจายไปในอากาศ หมอกสีแดงก็เริ่มไหลเวียนทั่วเกราะจักรพรรดิ พลังเหนือชั้นกว่าเก่าปะทุตื่น ความแข็งแกร่งของพลังนั้นทำให้หวังเป่าเล่อใจเต้นระส่ำ


สัมผัสที่รู้สึกนั้นเปรียบเสมือน…การมองไปยังดวงดาวที่อยู่ไกลห่างและสัมผัสพลังที่เปล่งออกมา!


หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก เขารีบหยิบผลึกสีชาดออกมาอีกจำนวนหนึ่งและวางไว้บนเกราะจักรพรรดิ เพื่อดูว่าเกราะจะสามารถดูดซับผลึกเข้าไปได้หรือไม่ พริบตาเดียว ผลึกก็หลอมรวมกับเกราะ เขาเพิ่มผลึกสีชาดไปอีกยี่สิบก้อนก่อนที่พลังจากบทสวดแห่งเต๋าจะหายไป เกราะจักรพรรดิเหมือนจะถึงขีดจำกัดและเริ่มปริแตกตามขอบ เส้นเลือดมากมายปรากฏขึ้นบนเกราะ!


แววตาของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความคาดหวัง เขาไม่นึกลังเลใจ ปลดปล่อยพลังของเกราะจักรพรรดิเต็มขั้น พลังมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากเกราะจักรพรรดิในทันใด หากจะให้อธิบายพลังที่พวยพุ่งออกมาจากเกราะจักรพรรดิอย่างละเอียด…พลังนี้มีความคล้ายคลึงกับพลังของดาวเคราะห์ แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ถึงกระนั้น พลังขนาดนี้ก็เพียงพอที่จะผ่านคุณสมบัติในการหลอมรวมเข้ากับเรือบินรบเวท


หวังเป่าเล่อยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือทันทีหลังจากปลดปล่อยพลังของเกราะจักรพรรดิ ชายหนุ่มตะโกนลั่น “หลอมเรือบินรบเวท!”


เรือบินรบเวทถูกเก็บไว้ในกระเป๋าคลังเก็บหลังจากใช้ต้นไผ่ศิลาซ่อมเสร็จ เรือบินรบสั่นไหวทันใดที่หวังเป่าเล่อร้องออกคำสั่ง ก่อนหน้านี้เรือบินรบเวทมีรูปร่างเป็นแมลงปอ แต่ก็กลายเป็นตั๊กแตนหลังจากชายหนุ่มใช้เคล็ดวิชาหลอมอาวุธเวท ตั๊กแตนอ้าปากร้องคำรามเสียงเบา ตัวสั่นเทิ้ม ร่างกายกลายเป็นด้ายสีดำนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ ตรงไปทางหวังเป่าเล่อ


เหมือนว่ามันจะรอคอยเวลานี้มาเนิ่นนาน ด้ายสีดำพันล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อและถักทอเข้ากับเกราะจักรพรรดิ ครู่ต่อมา…พลังวิญญาณระดับจิตวิญญาณอมตะก็ระเบิดออกสั่นสะเทือนไปทั่วโรงเตี๊ยม ผู้ฝึกตนทุกคนในโรงเตี๊ยมตัวสั่นเทิ้มเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่พวยพุ่งไปทั่วโรงเตี๊ยมแม้จะมีวงแหวนปราณป้องกันอยู่


ขณะที่ทุกคนในโรงเตี๊ยมกำลังสั่นกลัว ด้านในห้องของหวังเป่าเล่อก็กำลังมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับชายหนุ่ม!


ผมยาวดำของหวังเป่าเล่อปลิวว่อนไปรอบกายขณะเกราะสีดำห่อหุ้มร่างตั้งแต่หัวจรดนิ้วเท้า เกราะบริเวณหน้าอกสลักเป็นรูปหัวตั๊กแตน ส่วนเกราะตรงด้านหลังสลักเป็นรูปมังกรสีดำ ใบหน้าถูกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากสีดำไร้ลวดลาย ด้ายสีดำมากมายลักษณะคล้ายเส้นผมปลิวไสวไปรอบกายเหมือนดังผ้าคลุม


ราวกับว่าเทพแห่งสงครามได้มาจุติลงบนดาวเคราะห์ดวงนี้ ราวกับเทพแห่งความตายได้หวนคืนสู่แดนดินแห่งนี้!


พลังวิญญาณขั้นจิตวิญญาณอมตะพวยพุ่งจากร่างของหวังเป่าเล่อ แม้จะเป็นพลังวิญญาณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น แต่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะใดได้มาพบหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็คงต้องตื่นตะลึง พลังและความแข็งแกร่งที่เอ่อล้นออกมาบ่งบอกได้ว่าชายหนุ่มสามารถขยี้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นได้ในทันที!


ตั้งแต่นี้ไป ข้าจะไม่เรียกมันว่าเกราะจักรพรรดิ ต่อไปนี้มันคือ…เกราะมหาจักรพรรดิ! หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ภายในเกราะและความตื่นเต้นที่เร้าอยู่ภายใน แม้จะยังไม่บรรลุถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ชายหนุ่ม…ก็ได้พลังขั้นจิตวิญญาณอมตะมาแล้วเรียบร้อย!


แต่เขาก็ไม่ได้ครอบครองพลังทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ หลังจากตรวจสอบเกราะและพลังที่อัดแน่นอยู่ภายใน หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่าตนจะอยู่ในสภาพนี้ไปได้หนึ่งชั่วโมง พลังจากผลึกสีชาดจะหายไปหลังจากนั้นและชายหนุ่มต้องอัดพลังผลึกสีชาดเข้าเกราะอีกรอบ


แต่แค่นี้ก็พอแล้ว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)