อยากกินไหมล่ะ 828-830
บทที่ 828 เกี๊ยวซอสน้ำมันพริก
“แม้แต่ในยามปกติก็ยังมีคนอยู่ในร้านหยวนโจวตั้งเยอะแน่ะ ที่สำคัญวันนี้ยังมีส่วนลด 10% อีกต่างหาก” ผู้กำกับอธิบายว่ามันหาใช่การจัดฉากของพวกเขาแต่อย่างใดไม่
ถึงแม้ว่าเขาจะตรวจสอบความนิยมของร้านหยวนโจวมาแล้วก็เถอะนะ แต่ผู้คนมากมายก็ยังสร้างความประหลาดใจให้แก่เขาอยู่ดี
ผู้กำกับแสดงท่าทีฝืนยิ้มออกมา ตามที่คนเขียนบทบอกเอาไว้และตามความคิดของเขานั้น ความยากของภารกิจมีอยู่เพียง 6 ใน 10 เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ความยากพุ่งขึ้นสูงถึง 30 เข้าไปแล้วขณะที่คะแนนเต็มมีอยู่แค่ 10 เท่านั้น ภารกิจจะดำเนินต่อไปได้อย่างไรกัน?
“พวกเขาตื่นเต้นกันมากขนาดนั้นกับส่วนลดแค่ 10% น่ะเหรอ?” เจียงเหม่ยซือบ่งบอกว่าเธอไม่เข้าใจเรื่องแบบนั้นเอาเสียเลย เธอพูดต่อไปอีกว่า “ตอนที่ฉันกินในร้านที่เสนอส่วนลดให้ถึง 30% หรือ 50% ก็ยังไม่เอาจริงเอาจังกันขนาดนั้นเลยนะ”
“ใช่ เธอพูดถูก” ไป๋กั้วเห็นด้วย
หลี่เหอกวาดตามองไปทั่วร้าน ถึงแม้ว่าลูกค้าบางคนกำลังขยับตัวถ่ายรูป แต่คนส่วนใหญ่ก็อยู่ในที่ของตนเองหาได้ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด
เมื่อก่อนตอนที่หลี่เหอถ่ายภาพยนตร์ เขาไม่ชอบถูกผู้ชมมามุงดูเนื่องจากจะถ่ายได้ยากขึ้น แต่ตอนนี้หลี่เหออยากให้บรรดาลูกค้าเข้ามามุงดูแล้วพวกเขาก็จะได้สบช่องเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ
เหล่าดาราที่อยู่นอกร้านมองไปทางบรรดาลูกค้าที่กำลังตื่นเต้นพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบว่าจะบรรลุภารกิจเพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าไปด้านในและกินอาหารได้อย่างไร
“ฉันคิดว่าฝ่ายรายการต้องขาดสติเอามากๆเลยล่ะถึงได้มองภารกิจง่ายๆให้เรา” ไป๋กั้วรู้สึกเสียใจ “ฉันไม่น่าคิดแบบนี้เลย”
“ถูกเผงเลย ฉันเองก็ไร้เดียงสาเกินไป” เจียงเหม่ยซือกล่าว
มีเสียงดังอึกทึกครึกโครมทั้งในร้านและนอกร้าน ถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันลดราคาย่อมมีคนเยอะกว่าปกติอยู่แล้ว
แม้ว่าบางคนจะไม่ได้กิน แต่พวกเขาก็ยังอยู่ตรงนั้นเพื่อชมดูเหตุการณ์สนุกๆ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงครั้งที่สองเท่านั้นที่หยวนโจวเสนอส่วนลดให้
“ไม่ต้องไปสนใจส่วนลดหรอก เถ้าแก่หยวนนายเตรียมอาหารจานใหม่ขึ้นมา นายจงใจใช่ไหม?” หลิงหงที่ยืนอยู่ข้างคุณเฉิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“เปล่าสักหน่อย” หยวนโจวกล่าวอย่างจริงจัง
เห็นได้ชัดเลยว่าหลิงหงไม่เชื่อเขาสักนิด เขามองไปทางบรรดาลูกค้าที่กินอาหารอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุขด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ฉันคิดว่านายจงใจนะ ไม่งั้นทำไมนายถึงได้มาที่นี่ตั้งแต่ยังไม่ได้กินอะไรเลยกันเล่า?” เฉินเว่ยกินอย่างเบิกบานใจทว่ากลับกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจเสียอย่างนั้น
สมญานามไม่เอาส่วนลดหลิงหาใช่แค่เพียงเรื่องตลก เขาไม่เคยกินอะไรโดยใช้ส่วนลดจึงได้แต่ยืนอยู่ข้างๆเท่านั้น
“พวกเราไม่มีทางเลือก วันนี้มีคนเยอะเกินไป พี่เจียงเลยขอให้คณะกรรมการจัดระเบียบแถวทุกคนมาปฏิบัติหน้าที่ในวันนี้” หลิงหงยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
“อืม อืม แถมวันนี้จะมีพวกดารามาถ่ายรายการโทรทัศน์แล้วก็มีพวกแฟนๆอีกมากมายอยู่ด้านนอกด้วย” อู๋โจวที่ไม่ได้มาที่นี่เสียนานพยักหน้าติดๆกัน
“พวกเขาช่างรบกวนการกินของฉันเสียจริง” เฉินเว่ยบ่นพึมพำแล้วกินข้อเท้าหมูตงพัวต่อไป
ในร้านหยวนโจว มีเพียงแค่ข้อเท้าหมูตงพัวเท่านั้นแหละที่สามารถทำให้เฉินเว่ยกินได้อย่างมีความสุข แถมยังมีเนื้อเยอะและรสชาติละมุนอีกต่างหาก นอกเหนือไปจากนั้นเขาก็ยังสามารถกินจนอิ่มได้ด้วย
“มีคนเยอะเกินไปแล้วจริงๆ โชคดีที่ฉันพาคนจากที่อื่นมาด้วย” หลิงหงกล่าว
“คนไม่พองั้นรึ?” จู่ๆเฉินเว่ยก็ตามขึ้นมา
“ไม่เป็นไร” หลิงหงยักไหล่
“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ให้ฉันเรียกพรรคพวกมาช่วยไหมล่ะ” เฉินเว่ยกล่าวด้วยความเต็มใจ
“นายใจกว้างขนาดนั้นเชียวรึ?” หลิงหงมองไปทางเฉินเว่ยด้วยความคลางแคลงใจ
“แหงล่ะ ปัญหาของเถ้าแก่หยวนก็คือปัญหาของฉัน” เฉินเว่ยตบหน้าอกของเขาเองแล้วกล่าวอย่างจริงจัง
แต่หลิงหงกลับไม่ตอบเขาเมื่อตอนที่เฉินเว่ยพูดต่อไปว่า “แต่คืนนี้นายต้องเลี้ยงเบียร์ฉันสองแก้วเป็นการตอบแทน”
หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกมา เฉินเว่ยก็ยิ้มกว้างและแสดงสีหน้าจริงใจออกมา
“โฮ่โฮ่ ไปตายซะ” หลิงหงปฏิเสธทันที
“เอาล่ะ ฉันขอถอนคำพูดก็แล้วกัน หนุ่มสาวสมัยนี้มักจะไม่ค่อยออกกำลังกายกันสักเท่าไหร่ แล้วถ้าหากนายดื่มเบียร์มากเกินไป นายก็จะลงพุงเพราะเบียร์ได้นะ” เฉินเว่นบ่นพึมพำ
“ใครบอกนายว่าฉันลงพุงเพราะเบียร์กันเล่า” หลิงหงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ไม่มีใครบอกฉันหรอก ฉันสามารถเห็นได้ด้วยตาตัวเอง” เฉินเว่ยกล่าวอย่างแนบเนียน
“ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว ฉันจะออกไปดูซิว่าพอจะสามารถช่วยอะไรด้านนอกได้บ้าง” หลิงหงถึงกับพูดไม่ออกไปในทันที หลังจากนั้นสักพักค่อยกล่าวออกมาเช่นนั้น
ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้นก็มีลูกค้ามาอีกสองคน พวกเธอเป็นหญิงสาวสองคนที่ต่างสวมเสื้อถักกับกางขายาว คนหนึ่งดูสะโอดสะองส่วนอีกคนหนึ่งดูงดงามน่ารัก
หญิงสาวผู้งดงามน่ารักที่สวมใส่เสื้อสเว็ตเตอร์สีเทาก็คือหยวนหยวนนั่นเอง เธอโด่งดังมากในร้านหยวนโจว ถึงอย่างไรวิธีกินอาหารของเธอก็มักจะต่างออกไปอยู่เสมอ เพียงแค่แซนด์วิชเนื้อกับแยมบลูเบอร์รีก็ทิ้งความประทับใจต่อผู้คนมากมายได้เป็นอันมากแล้ว
และหญิงสาวผู้สะโอดสะองก็คือเสี่ยวซูที่มักจะมาที่นี่พร้อมกับหยวนหยวนอยู่บ่อยๆ เธอมักจะกินอาหารเดิมๆเนื่องจากไม่ใช่คนที่ชอบลองของใหม่แต่อย่างใด
“หยวนหยวน เธออยากกินอะไรดี?” เสี่ยวซูนั่งที่แล้วถามขึ้นมา
“เอาล่ะ ขอฉันดูหน่อยนะ เธอสั่งไปก่อนเลย” หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกมา หยวนหยวนก็เปิดเมนูอย่างเอาจริงเอาจัง
“ขอก๋วยเตี๋ยวน้ำใสสักที่ก็แล้วกันค่ะ” เสี่ยวซูกล่าว
“ได้ค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ” เป็นเซินหมินที่มารับออเดอร์นั่นเอง
“เสี่ยวซู เถ้าแก่หยวนมีของว่างแบบใหม่มาเสิร์ฟด้วยนะ” หยวนหยวนชี้ไปที่ของว่างท้องถิ่นเฉิงตูแล้วกล่าว
“อะไรงั้นรึ?” เสี่ยวซูชะเง้อคอไปดูเมนูกับหยวนหยวน
“เธออยากกินของว่างแบบใหม่งั้นเหรอ?” เสี่ยวซูอ่านดูสักครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นมา
“อืมมม” หยวนหยวนขมวดคิ้วแล้วพยักหน้า
“เป็นอะไรเหรอ?” เสี่ยวซูรู้สึกแปลกๆอยู่บ้างเมื่อเห็นลักษณะท่าทางของหยวนหยวนแล้ว
“ขอดูก่อนนะว่าฉันเอาเงินมาเท่าไหร่” หยวนหยวนเริ่มตรวจดูกระเป๋าสตางค์
“พวกเราจ่ายทางโทรศัพท์ก็ได้ไม่ใช่หรือไง?” เสี่ยวซูเตือน
“โอ้จริงด้วย ฉันลืมไปเลย” หยวนหยวนยิ้มอายๆ
“ตอนนี้ก็สั่งอาหารของเธอได้แล้ว เธอไม่อยากกินของว่างที่เพิ่งจะถูกนำมาเสิร์ฟดูบ้างเลยเหรอ?” เสี่ยวซูคุ้นเคยกับนิสัยของหยวนหยวนอยู่แล้วจึงแค่เตือนเธออีกครั้ง
“โอเค สั่งอาหารหน่อยค่ะ” หยวนหยวนพยักหน้าแล้วบอกเซินหมินที่อยู่ข้างๆ
“เอาเกี๊ยวซอสน้ำมันพริกกับแยมบลูเบอร์รีอย่างละที่นะคะ” หยวนหยวนกล่าว
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” เซินหมินก้มหน้าแล้วคำนวณยอดเงินที่ต้องชำระ
“หยวนหยวน ทำไมเธอสั่งแยมบลูเบอร์รีตั้งแต่ตอนที่สั่งเกี๊ยวเลยล่ะ?” จู่ๆเสี่ยวซูก็ชักสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
“แน่นอนว่าต้องเอามากินคู่กับเกี๊ยวน่ะสิ” หยวนหยวนกล่าวอย่างเห็นสมควรแล้ว
“เกี๊ยวซอสน้ำมันพริกมีรสเผ็ดส่วนแยมบลูเบอร์รีมีรสหวาน เธอจะกินคู่กันไปได้ยังไงกัน?” เสี่ยวซูถึงกับพูดไม่ออกไปบ้าง
“แต่ฉันอยากกินทั้งเกี๊ยวซอสน้ำมันพริกกับแยมบลูเบอร์รีนี่นาก็เลยสั่งมากินทั้งสองอย่างด้วยกันเสียเลย” หยวนหยวนกล่าว
“เรื่องนั้นมันก็มีเหตุผลอยู่หรอกนะ แต่รสชาติคงจะแปลกพิกลเชียวล่ะ” แม้ว่าเสี่ยวซูจะทราบถึงรสนิยมที่แตกต่างไปจากคนอื่นของหยวนหยวนก็ตามที แต่ก็ยังรู้สึกรับไม่ได้อยู่ดี
แยมบลูเบอร์รีเป็นเนื้อผลไม้จำพวกหนึ่งที่ไม่ต้องสนใจรสหวาน สิ่งเดียวที่เหมือนกันคงเป็นแค่เรื่องรสหวานแหละมั้ง? เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่!
แม้แต่เซินหมินที่กำลังคำนวณยอดเงินอยู่ข้างๆก็ยังอดไม่ได้ที่จะบอกว่า “เกี๊ยวก็มีน้ำซุปมาให้ด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันอยากกินเกี๊ยวซอสน้ำมันพริกอย่างเดียวมากกว่า” หยวนหยวนปฏิเสธอย่างสุภาพ
“งั้นก็ได้ค่ะ คุณต้องการชำระเป็นเงินสดหรือว่าโอนเงินผ่านธนาคารดีคะ? วันนี้มีส่วนลด 10% ให้ด้วยนะคะ” เซินหมินชะงักไปสักครู่หนึ่งแล้วเริ่มคิดเงิน
หยวนหยวนชำระเงินด้วยการโอนเงินผ่านธนาคารด้วยความรวดเร็วแล้วรอกินอาหารด้วยความตื่นเต้น
แต่เสี่ยวซูกลับขยับตัวห่างออกไปอีกนิดทั้งยังแสดงท่าทีว่า “ฉันไม่รู้จักตัวประหลาดคนนี้หรอกนะ”
นอกจากนี้ลูกค้าอีกคนที่อยู่ข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่า “ประสาทการรับรสของสาวน้อยผู้นี้ช่างแตกต่างไปจากคนอื่นจริงๆ เป็นไปได้ด้วยเหรอที่จะกินเกี๊ยวซอสน้ำมันพริกกับแยมบลูเบอร์รีได้น่ะ?”
“ก็อาจจะเป็นไปได้นะ ถึงยังไงสาวน้อยผู้นี้ก็มักจะกินอาหารที่ต่างออกไปนิดหน่อยอยู่เสมอนี่นา” อู๋โจวพยักหน้าแล้วกล่าวไปทางด้านข้าง
“เสี่ยวซู เธออยากลองดูบ้างไหมล่ะ?” หยวนหยวนแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำสนทนาของผู้อื่น แต่กลับเชิฐชวนเพื่อนสนิทของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ไม่ค่ะ ขอบคุณ” เสี่ยวซูปฏิเสธทันที
“ก็ได้” หยวนหยวนไม่ได้ยัดเยียดความคิดของตนเองให้เพื่อน เธอเพียงแค่พยักหน้าแล้วมองดูหยวนโจวทำอาหารไปเงียบๆ
เมื่อหยวนโจวเห็นออเดอร์แรก เขาก็รู้สึกแปลกๆ ถึงอย่างไรก็เป็นครังแรกเลยที่มีคนสั่งเกี๊ยวซอสน้ำมันพริกกับแยมบลูเบอร์รี่พร้อมกัน แต่เขาก็เข้าใจได้ในทันทีเมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นสายตาอยากรู้อยากเห็นของหยวนหยวน
ถึงอย่างไรหยวนโจวก็ทราบว่ารสนิยมของหยวนหยวนเป็นเรื่องเข้าใจได้ยากมาก เธอเองก็มาที่นี่หลายครั้งหลายคราแถมยะงเป็นลูกค้าขาประจำอีกต่างหาก
บทที่ 829 ลูกค้าร้านนี้ช่างแสนเย็นชาแถมยังอวดดีอีกต่างหาก
ไส้เกี๊ยวถูกเตรียมเอาไว้เมื่อก่อนเที่ยงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ยกไปเสิร์ฟได้แล้ว อาหารที่เสี่ยวซูกับหยวนหยวนสั่งแทบจะถูกยกไปให้พวกเธอพร้อมๆกันได้เลย
เมื่อไม่สนใจรสชาติแปลกๆของเกี๊ยวซอสน้ำมันพริกที่ถูกราดด้วยแยมบลูเบอร์รี สีสันก็ดูค่อนข้างสวยทีเดียว เกี๊ยวลูกขาวอวบที่อัดแน่นกันอย่างผิดปกติราวกับภูเขาลูกย่อมๆ ด้านข้างเป็นน้ำมันพริกสีแดงเป็นมันวาว นอกจากนี้ยังมีเมล็ดงาสีน้ำตาลอ่อนและพริกเผ็ดชิ้นเล็กชิ้นน้อยในน้ำมันพริกแดง
เนื่องจากไม่มีน้ำซุปในชามจึงทำให้สามารถมองเห็นน้ำซอสสีเข้มที่ผสมเข้ากับน้ำมันพริกได้ตรงก้นขวด เพียงแค่มองเท่านั้นก็ทำให้พวกเขานึกถึงกลิ่นหอมได้แล้ว
ส่วนแยมบลูเบอร์รีที่อยู่ด้านข้างนั้น บลูเบอร์รีชิ้นใหญ่จนเห็นได้อย่างชัดเจนและแยมสีน้ำเงินแก่ดูค่อนข้างสดราวกับว่ามีแสงเปล่งออกมาจากด้านใน เพียงแค่มองพวกเขาก็ต้องน้ำลายหกแล้ว
“เสี่ยวซู เธอไม่อยากกินบ้างเหรอ?” ขณะที่กล่าวเช่นนั้นออกมา หยวนหยวนก็จิ้มเกี๊ยวลงในแยมบลูเบอร์รีแล้วยัดเข้าปาก เธอรู้สึกพออกพอใจกับวิธีการกินเสียจนต้องหรี่ตาราวกับแมวที่กำลังกินของอร่อยอย่างไรอย่างนั้นเลย
หยวนหยวนคีบเกี๊ยวที่จิ้มลงในแยมบลูเบอร์รีแล้วยื่นออกไปที่ปากของเสี่ยวซู
“เธอต้องลองชิมดู รสหวานกับรสเปรี้ยวของแยมบลูเบอร์รีผสมผสานเข้ากับรสเผ็ดของน้ำมันพริกทำให้เพลินปากทีเดียว”
เสี่ยวซูรีบรีบส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “จริงๆแล้วฉันแพ้บลูเบอร์รีน่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยวนหยวนจึงไท่ยืนกรานความติดของตัวเองอีกต่อไป เธอแค่บ่นพึมพำอยู่ในใจว่า “ทำไมฉันไม่ยักรู้มาก่อนว่าเธอแพ้บลูเบอร์รีกันนะ?”
ในด้านความประทับใจของเสี่ยวซู หยวนหยวนเป็นหญิงสาวที่แตกต่างจากคนอื่นๆโดยสิ้นเชิง นอกเหนือไปจากประสาทรับรสแล้ว เธอก็ยังมีความคิดเห็นที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงและวิธีการกระทำสิ่งต่างๆในหลากหลายแง่มุม
ยกตัวอย่างเช่นมีคู่หูชาวจีนในละครโทรทัศน์เรื่องครึ่งแรกของชีวิต คนส่วนใหญ่คิดว่าคู่หูช่างสมบูรณ์แบบเกินไป เธอทำทุกอย่างเท่าที่จะสามารถช่วยเหลือนางเอกได้ แต่หยวนหยวนกลับบอกว่านางเอกก็ต้องปฏิบัติกับคู่หูของตนเองเช่นเดียวกันมาก่อนในเมื่อคู่หูก็ช่วยเหลือเธอมามากแล้ว มิฉะนั้นก็คงไม่สามารถทำดีกับใครเขาได้หรอก
หยวนหยวนบอกว่าเธออยากรู้ว่านางเอกปฏิบัติกับคู่หูของตนเองอย่างไรมาก่อน? ทำไมคู่หูของเธอถึงได้ใจดีกับเธอนักแถมยังพูดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเธออีกต่างหาก?
บางทีอาจจะเป็นเพราะชายหนุ่มต่างก็เชื่อว่าหญิงสาวอย่างหยวนหยวนเป็นคนที่หลอกง่าย จากลักษณะภายนอกแล้ว หยวนหยวนกับเสี่ยวซูก็ไม่นับว่าแตกต่างกันมากนัก แต่บรรดาชายหนุ่มต่างพากันไล่ตามจีบหยวนหยวนมากกว่าเธอเสียอีก
อีกอย่างหยวนหยวนก็ดูเหมือนจะหลอกง่าย แต่เอาเข้าจริงๆแล้วเธอกลับไม่เคยถูกใครหลอกมาก่อนเลย ในทางกลับกันเสี่ยวซูต่างหากที่เคยถูกผู้ชายหลอกมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะหยวนหยวนพบเห็นสิ่งผิดปกติของผู้ชายคนนั้นเข้าล่ะก็เสี่ยวซูอาจจะตกหลุมพลางไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เธอกินไอ้นั่นจริงๆงั้นรึ?” ลูกค้าข้างตัวเธอกล่าวด้วยความประหลาดใจ อันที่จริงแล้วเขาไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำไปว่าเกี๊ยวลูกที่สองอยู่ในปากของหยวนหยวนแล้ว
หยวนหยวนกัดทะลุตัวเกี๊ยวซึ่งมีน้ำมันพริกไหลออกมาจึงทำให้เกิดสีขาวและสีแดงอย่างละครึ่ง หลังจากนั้นเธอก็จิ้มส่วนที่เปิดอ้าของไส้ในแยมบลูเบอร์รีแล้วยัดเข้าปากเพื่อเคี้ยวทันที
เกี๊ยวซอสน้ำมันพริกมีไส้เนื้ออยู่ด้านใน แถมเนื้อที่นำมาใช้ยังมาจากขาหมูจริงๆอีกต่างหาก เนื้อในส่วนนี้มีเนื้อไม่ติดมันที่ประกอบไปด้วยน้ำมันทั้งยังเนียนนุ่มอีกต่างหากจึงเหมาะที่จะนำมาสับแล้วใช้ทำเป็นไส้ โดยมีเพียงขิงสดด้านในเท่านั้นที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้ดีขึ้นและขจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ออกไป ทำให้รสชาติสดใหม่และหอมอร่อยอย่างถึงที่สุด
ชั้นนอกของเกี๊ยวมีกลิ่นหอมของข้าวสาลีนิดหน่อย น้ำมันพริกมีรสชาติเผ็ดร้อน ส่วนซอสถั่วเหลืองมีกลิ่นรสเฉพาะตัวและมีรสชาติค่อนข้างเค็ม กลิ่นหอมกับรสชาติจะมีส่วนช่วยให้รสชาติสดใหม่และหอมอร่อยอย่างหาที่เปรียบมิได้เลยทีเดียว
แต่หลังจากหยวนหยวนราดแยมบลูเบอร์รีลงในเกี๊ยวแล้ว ลูกค้าโดยรอบต่างก็รู้สึกอึดอัดจนพูดไม่ออก
หลังจากหยวนหยวนกินเข้าไปอีกลูก เสี่ยววูก็ถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “มันอร่อย… จริงๆน่ะรึ?”
เดิมทีเธอตั้งใจที่จะถามว่ามันกินได้ด้วยหรือ เมื่อคิดว่าการถามเช่นนี้ออกจะเสียมารยาทไปอยู่บ้าง เธอจึงแก้ตัวใหม่ทันที
“อร่อยเหาะเลยแหละ แยมบลูเบอร์รีรสชาติหวานๆเปรี้ยวๆกับเกี๊ยวรสชาติเผ็ดร้อน ฉันสามารถลิ้มลองเนื้อบลูเบอร์รีได้เลยล่ะ” หยวนหยวนกล่าวด้วยความตื่นเต้น
“ขอแค่เธอชอบก็พอแล้วล่ะ” เสี่ยวซูสามารถบอกได้เลยว่าหยวนหยวนชอบกินแบบนั้นเสียจริงๆ ทันใดนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี หลังจากนั้นสักครู่เธอก็เริ่มพูดขึ้นมาอีก
“อืมมม จริงสิ เสี่ยวซู เธอแพ้บลูเบอร์รีก็กินไม่ได้น่ะสิ งั้นฉันจะกินให้เองก็แล้วกันนะ” หยวนหยวนกล่าวพลางอมยิ้ม
“ฉันไม่เคยกินอะไรที่มีรสชาติแปลกๆแบบนั้นมาก่อนเลย” แม้ว่าภายนอกเสี่ยวซูจะยิ้มละไม ทว่าในใจกลับอดไม่ได้ที่จะบ่นกระปอดกระแปดเรื่องการผสมแยมบลูเบอร์รีกับเกี๊ยว แค่คิดก็ทำให้เธอรู้สึกมีอาการแพ้ขึ้นมาแล้ว
หยวนหยวนกับเสี่ยวซูต่างรู้สึกสนุกสนานและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับในร้านขณะที่เหล่าดาราที่อยู่นอกร้านกลับคุมเชิงกันอยู่
หลี่เหอและอีกสองคนได้รับข่าวเศร้าหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ตอนเที่ยงร้านจะเปิดแค่สองชั่วโมงเท่านั้น พูดง่ายๆก็คือร้านหยวนโจวใกล้จะปิดแล้วนั่นเอง
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ พวกเขาก็ยังไม่ทราบว่าจะเข้าไปได้อย่างไร
“คุณเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พวกเราจะสามารถพึ่งพาได้แล้วล่ะ” หลี่เหอได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือ
เจียงเหม่ยซือกับไป๋กั้วได้รับการยอมรับให้เป็นสุดยอดคู่หู ภารกิจยากๆทั้งหลายล้วนสำเร็จได้ด้วยความพยายามของคนทั้งสองจากหลากหลายวิธีการ
จากนั้นไป๋กั้วก็ร้องเพลงขึ้นมาทันที ด้วยวิธีการเช่นนี้เอฟเฟกต์ของเครื่องเสียงก็จะไม่แสดงออกมา ตรงนั้นมีคนเยอะ แต่ที่สำคัญคือไม่มีใครตอบเขามาเลย แน่นอนว่าย่อมเป็นสถานการณ์อันย่ำแย่ในเมื่อไป๋กั้วร้องจากระยะไกล
“ดูสิ ไป๋กั้วกำลังร้องเพลงอยู่ด้วยล่ะ” ญินยามองซ้ายมองขวาด้วยความดีใจ เธอชอบไป๋กั้วเอามากๆเลย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนหน้าตาดีแถมยังถนัดในการแสดงท่าทางต่อหน้าสาวๆอีกด้วย
“ยังไงฉันก็ชอบเถ้าแก่หยวน หน้าตาดีแล้วมีประโยชน์อะไรกันเล่า? ที่สำคัญเขาไม่สามารถทำอาหารได้เก่งเท่ากับเถ้าแก่หยวนเสียด้วยซ้ำไป” เมิ่งเมิ่งผู้เป็นหนึ่งในแฟนตัวยงของเถ้าแก่หยวนกล่าว เธอหาใช่สมาชิกของคณะกรรมการจัดระเบียบแถวแต่อย่างใด ทว่าวันนี้เธอกลับมาที่นี่เพื่อถ่ายเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ของร้านหยวนโจว
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น แม้แต่เสียงร้องของหลิวเต๋อหัวก็ไร้ประโยชน์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไป๋กั้วเลย” หลิงหงห่อปาก
เจียงฉางซี่กินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เธอนั่งลงบนม้านั่งนอกร้านแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไป๋กั้วพูดว่า “ฉันไม่สนใจที่จะดูหนุ่มหล่อหรอกนะ ถ้าตรงนั้นมีสาวงามร้องเพลงอยู่ก็ว่าไปอย่าง”
สาวสวยที่เธอเอ่ยถึงก็คือเจียงเหม่ยซือนั่นเอง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไป๋กั้วก็เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น บรรดาลูกค้ามากมายในแถวต่างตั้งตารอคอยเขาแล้วร้องเพลงตามเขาไปด้วย แต่กลับไม่มีใครหลีกออกจากแถวเลยสักคน
คณะกรรมการจัดระเบียบแถวมีกฎอันเคร่งครัด เพื่อไม่ทำให้แถวยาวขึ้นไปเรื่อยๆเนื่องจากมีคนเข้ามาต่อคิวเยอะขึ้นและก่อให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น ลูกค้าในแถวต้องไม่เที่ยวขยับไปทั่ว
“คนงามน้อย เธอมีงานอดิเรกเหมือนฉันเลยสินะ?” หลิงหงรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง
เจียงฉางซี่ส่งสายตาดูถูกดูแคลนให้หลิงหงแล้วกล่าวว่า “ใครบอกว่าสาวๆต้องมองแต่หนุ่มๆอย่างเดียวเล่า? สาวๆเองจะมองสาวงามบ้างไม่ได้เหรอไง? ฉันเองก็ชอบดูสาวงามนะ ส่วนเจ้าพวกดาราที่อาศัยแค่หน้าตาพวกนั้นก็ไม่เห็นจะดีไปกว่าหมาป่าตัวน้อยๆสักเท่าไหร่เลย”
หลิงหงไม่มีอะไรจะพูดกับเจียงฉางซี่ที่ไม่มีแม้แต่ความต่ำช้าจากส่วนลึกเลยสักนิด
เจียงเหม่ยซือร้องเพลงไม่เก่งนัก เธอจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยเชียร์ไป๋กั้ว เดิมทีเธอก็เป็นแค่แจกันประดับเท่านั้นเอง
ไป๋กั้วร้องเพลงอยู่แถมยังร้องเป็นเพลงที่สองแล้ว เขาร้องเพลงที่บ่งบอกตัวตนของเขาได้มากที่สุด แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกท้อใจ เขามองไปทางหลี่เหอและเกือบจะหลั่งน้ำตาอยู่รอมร่อแล้ว “บอสหลี่ ผมทำไม่สำเร็จ”
“มีคนอยู่ที่นี่ตั้งเยอะแถมหลายๆคนกำลังฟังเพลงของนายอยู่นะ พวกเขาแค่ไม่ได้มามุงดูเราก็แค่นั้นเอง” เจียงเหม่ยซือไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย ปกติแล้วอย่างน้อยก็ต้องมีคนเข้ามาขอลายเซ็นต์เมื่อตอนที่เห็นพวกเขาคนใดคนหนึ่งไปสถานที่ต่างๆ
หลี่เหอที่อยู่ทางด้านข้างก็สังเกตเห็นเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไปว่า “ลูกค้าร้านนี้ช่างแสนเย็นชาแถมยังอวดดีอีกต่างหาก”
เจียงเหม่ยซือกับไป๋กั้วพยักหน้าเห็นด้วย ลูกค้าไม่ได้ช่างแสนเย็นชาแถมยังอวดดีธรรมดาๆนะ พวกเขาช่างแสนเย็นชาแถมยังอวดดีมากเหลือเกินอีกต่างหากเลยด้วย คนพวกนี้จะไม่แสดงความสนใจพวกเขาสักหน่อยเลยหรือไงกัน? แจกัน(花瓶) เป็นคำอุปมาในภาษาจีนเมื่อกล่าวถึงใครสักคน มักใช้อธิบายถึงหญิงสาวที่มีไว้มองได้อย่างเดียวแต่กลับทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง
บทที่ 830 มาเปลี่ยนให้เป็นเรื่องง่ายๆกันเถอะ
ไป๋กั้วแสดงท่าทางว่าเขาอยากพักแล้ว
“อุ๊ อุ๊ ผมรักคุณ!”
หลังจากเจียงเหม่ยซือ ไป๋กั้วและหลี่เหอยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นสักครู่ก็มีคนเข้ามาขอลายเซ็นต์ในที่สุด พวกเขาต่างก็เป็นลูกค้าที่มากินอาหารกลางวันที่ร้านหยวนโจวเสร็จแล้วนั่นเอง
พวกเขามีกันอยู่สองคนทั้งยังเป็นผู้ชายทั้งคู่อีกต่างหาก เป็นเรื่องค่อนข้างแปลกที่แฮปปี้กับเบรนจะเป็นคนที่คลั่งดาราอย่างแท้จริง
“ผมขอลายเซ็นต์ด้วยได้ไหมครับ?” ฉินเสี่ยวอี้ถาม ส่วนเกาฟ่านที่อยู่ข้างหลังก็พยักหน้า
“คุณอยากให้เซ็นต์ลงตรงไหนดีคะ?”
เนื่องจากทั้งสองคนไม่มีปากกาอยู่กับตัวเลย เจียงเหม่ยซือจึงใช้ปากกาสีน้ำของทีมงานถ่ายทำเซ็นต์ลงบนเสื้อยืดของพวกเขาตามที่พวกเขาร้องขอมา
หลังจากพวกเขาถ่ายภาพแล้ว ฉินเสี่ยวอี้กำลังจะจากไปแต่จู่ๆเกาฟ่านก็กล่าวขึ้นมาว่า “อุ๊ อุ๊ ถ้าหากพวกคุณพยายามที่จะดึงความสนใจของผู้คนที่นี่เพื่อให้บรรลุภารกิจอย่างที่เคยทำล่ะก็ไม่ได้ผลหรอกครับ ที่นี่มีคณะกรรมการจัดระเบียบแถวคอยควบคุมดูแลอยู่”
คำพูดของเกาฟ่านดึงดูดความสนใจของไป๋กั้วกับหลี่เหอ คณะกรรมการจัดระเบียบแถวมาทำอะไรที่นี่?
“เนื่องจากที่นี่มีคนเยอะย่อมเกิดความวุ่นวายเป็นธรรมดา ทั้งยังอาจจะเกิดความโกลาหลขึ้นได้ เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า คณะกรรมการจัดระเบียบแถวจึงตั้งกฎเอาไว้ที่นี่ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำอะไร คุณก็ไม่สามารถดึงดูดผู้คนให้ออกจากแถวได้หรอกครับ” เกาฟ่านอธิบาย
เจียงเหม่ยซือ หลี่เหอและไป๋กั้วต่างก็รู้สึกว่าเข้าใจมากขึ้นแล้ว
“มีทางไหนที่พวกเราจะสามารถเข้าไปกินอาหารกลางวันที่นี่ได้ไหมครับ? อย่างเช่นการสลับตำแหน่งกับใครสักคนด้วยการเสนอค่าตอบแทนหรืออะไรทำนองนั้นล่ะครับ?” หลี่เหอถามขึ้นมา เขารู้สึกกังวลใจกับสถานะของภารกิจตนเองมากเหลือเกิน
“ไม่ได้หรอกครับ” เกาฟ่านพูดตามตรง “ในการกินอาหารที่ร้านหยวนโจวนั้น ไม่ใช่แค่คุณต้องเข้าคิวเท่านั้น แต่คุณยังต้องได้รับหมายเลขด้วย ยิ่งไปกว่านั้นที่นั่งที่คุณได้จากการเข้าคิวก็ต้องนำมาใช้เองเท่านั้น นี่ก็เพื่อป้องกันมิให้มีลูกค้าจากการจ้างคนให้มาเข้าคิวแทนน่ะครับ”
เมื่อได้หมายเลขก่อนที่จะเข้าแถวแล้ว จะต้องไปจ้างคนให้มาเข้าคิวแทนอีกทำไมกันเล่า? นี่ยังเป็นร้านอาหารอยู่งั้นรึ? แม้แต่ธนาคารยังไม่ยุ่งยากขนาดนี้เลย หลี่เหอย้ำเตือนตนเองว่าเขามาถ่ายทำจึงต้องรักษาความสงบเยือกเย็นและรอยยิ้มเอาไว้ให้ได้
“พอจะเป็นไปได้ไหมครับที่เราจะรอจนกว่าเวลาอาหารกลางวันจะหมดลงแล้วค่อยขอให้เถ้าแก่หยวนเตรียมอาหารให้เราอีกที?” จู่ๆไป๋กั้วก็มีความคิดดีๆขึ้นมา
“ฮะ? ความคิดไม่เลวนี่ คำอธิบายภารกิจแค่อยากให้เรากินอาหารกลางวันที่ร้านหยวนโจว แต่ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าพวกเราต้องกินอาหารกลางวันในเวลาพักกลางวันนี่นา” หลี่เหอปรบมือเพื่อแสดงความเห็นด้วยว่านี่เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เจียงเหม่ยซือเองก็เอ่ยปากชมเขาเช่นกันว่า “เจ๋งมากเลย ไป๋กั้ว ในเมื่อเราหาที่นั่งในช่วงเวลาพักกลางวันไม่ได้ พวกเราก็ควรจะรอจนกว่าเวลาพักกลางวันจะหมดลงสิ”
ไป๋กั้วไม่ปฏิเสธคำชมแต่อย่างใด เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีลำพองใจ
เมื่อเกาฟ่านเห็นท่าทางที่ดูมีความสุขของทั้งสามคนแล้ว เขาก็รู้สึกลำบากใจที่จะบอกความจริงกับพวกเขา ปกติแล้วฉินเสี่ยวอี้จะเป็นฝ่ายบอกความจริงอันแสนโหดร้าย
เขาบอกว่า “เท่าที่ผมรู้มา เถ้าแก่หยวนไม่เคยทำอาหารให้ลูกค้าคนไหนนอกเวลาเปิดร้านหรอกนะครับ”
ฉินเสี่ยวอี้รู้ว่าหลี่เหอกำลังจะพูดอะไรจึงกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “ไม่ว่าจะยื่นข้อเสนออะไรให้เถ้าแก่หยวนก็ไม่เคยมีใครได้รับการยกเว้นเลยสักคนเดียว”
เกาฟ่านกล่าวเสริมด้วยสีหน้าของผู้ที่มีความรู้สึกเชื่อมั่นในเรื่องนี้ “ถูกต้อง สมญานามของเถ้าแก่หยวนก็คือเจ้าเข็มทิศ เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเข้มงวดกวดขันราวกับเข็มทิศที่มักจะชี้ไปในทิศทางเดียวโดยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดไป
คำพูดของฉินเสี่ยวอี้กับเกาฟ่านราวกับหนามน้ำแข็งที่แทงลึกเข้าหัวใจของพวกเขา เมื่อสักครู่พวกเขายังร่าเริงและมองโลกในแง่ดีกันอยู่เลยแท้ๆแต่ตอนนี้ พวกเขาทั้งสามคนกลับเงียบไปแล้ว
ตอนนี้ไป๋กั้วเข้าใจแล้วว่าคนที่เย็นชาและอวดดีหาใช่บรรดาลูกค้าไม่ แต่กลับเป็นเถ้าแก่เสียมากกว่า
“ไม่คิดว่ามันมากเกินไปหน่อยหรือไง? แค่อาหารมื้อเดียวถึงกับต้องรับหมายเลขแล้วมาเข้าคิว ไหนจะแถวที่ต้องเป็นระเบียบอีก” ไป๋กั้วอดไม่ได้ที่จะพูดโพล่งเช่นนี้ออกมา
“แต่อาหารที่นี่สุดยอดไปเลยล่ะครับ” ฉินเสี่ยวอี้กล่าว
เจียงเหม่ยซือกล่าวว่า “ถึงอาหารจะอร่อย แต่เขาก็ไม่สามารถทำแบบนี้ได้ว่าไหมคะ? เขาไม่รู้หรือไงว่ายังไงลูกค้าก็เป็นฝ่ายถูกอยู่เสมอน่ะ?”
“แต่ยังไงอาหารที่นี่ก็เด็ดจริงๆนะครับ” ฉินเสี่ยวอี้กล่าว
หลี่เหออดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเช่นกัน “จะว่าไปแล้วกฎก็สำคัญอยู่หรอกนะ แต่บางครั้งก็ต้องยืดหยุ่นกันบ้างสิ”
“แต่อาหารที่นี่พิเศษและไม่มีเหมือนใครหรอกครับ” ฉินเสี่ยวอี้กล่าว
ไป๋กั้ว เจียงเหม่ยซือและหลี่เหอถึงกับพูดไม่ออกไปเลย พวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแล้ว เถ้าแก่ของร้านหยวนโจวผู้นี้น่าจะมีอีโก้สูงเทียมดวงอาทิตย์ได้เลยทีเดียว พวกเขาจะทำภารกิจล้มเหลวเพราะเรื่องแบบนี้งั้นหรือนี่?
“หยวนหยวน เธอกินเกลี้ยงเลยจริงๆเหรอเนี่ย?” เสี่ยวซูถามขึ้นพลางจ้องมองไปทางชามเปล่าและจานที่สะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนใหม่
“แหงอยู่แล้ว ก็มันอร่อยสุดยอดไปเลยนี่นา น่าเสียดายที่เธอแพ้แยมบลูเบอร์รีเลยอดชิมไปเลย” หยวนหยวนพยักหน้า
“น่าเสียดายแยมบลูเบอร์รีกับเกี๊ยวชะมัดเลย สวรรค์น่าจะยกโทษให้เรานะ” เสี่ยวซูส่วยหน้าอย่างช่วยไม่ได้แล้วบ่นพึมพำออกมา
เรื่องนั้นก็พอเป็นที่เข้าใจได้อยู่ เกี๊ยวซอสน้ำมันพริกที่หยวนโจวทำเป็นสูตรต้นตำหรับที่รสชาติเผ็ดชา แต่หลังจากผสมผสานเข้ากับแยมบลูเบอร์รีแล้วกลับให้รสชาติที่เปลี่ยนไป
ยิ่งไปกว่านั้นอาหารที่หยวนโจวเสิร์ฟก็มักจะดูน่ากินอยู่เสมอ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเสี่ยวซูถึงได้รู้สึกว่าการผสมเข้ากับแยมบลูเบอร์รีนับว่าเสียของโดยแท้
อีกด้านหนึ่งเมื่อลูกค้าคนอื่นๆเห็นหยวนหยวนกินอย่างมีความสุข พวกเขาก็อยากจะลองดูบ้างเช่นกัน
ส่วนเรื่องรสชาตินั้น มีแค่ผู้ที่กินเท่านั้นแหละที่จะรู้ได้
เนื่องจากมีคณะกรรมการจัดระเบียบแถวคอยกำกับดูแลอยู่จึงไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นแม้วันนี้จะมีคนเยอะก็ตามที บรรดาลูกค้าดูเหมือนจะเข้าใจว่าวันนี้ต้องกินให้เร็วขึ้นไปโดยปริยาย แม้แต่อู๋ไห่ก็ยังกินเร็วกว่าที่เคย
ด้วยเหตุนั้นหยวนโจวจึงต้องทำงานหนักขึ้น ในที่สุดเมื่อมีโอกาสได้พัก เขาก็ตรวจสอบยอดเงินในบัญชีของตนเอง เมื่อเห็นตัวเลขแล้วก็พาให้หัวใจของเขาเย็นเฉียบไปในทันที
“เจ้าระบบ ฉันแค่เสนอส่วนลด 10% เองนะ แกคงไม่ได้หักเงินจากส่วนแบ่งผลกำไรใช่ไหม? แกทำแบบนี้ได้ยังไงกัน?” หยวนโจวพูดด้วยสีหน้าท่าทางสลดหดหู่
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เนื่องจากส่วนลดในครั้งนี้หาใช่กิจกรรมที่ระบบเสนอ เงินก็จะไม่ถูกหักออกจากส่วนแบ่งหรอกน่า”
นั่นฟังดูเหมือนมีเหตุผลมากทีเดียวจนหยวนโจวเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้วหากมิใช่เพราะคำพูดต่อไปที่เจ้าระบบแสดงออกมาว่า “เพราะระบบเกรงว่าเจ้านายจะคำนวณผิดเนื่องจากความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ของเจ้านาย ระบบจึงตัดสินใจหักเงินจากบัญชีมาโดยตรงเสียเลย”
“งั้นแกก็เลยหักมันทุกเซนต์เลยสินะ?” หยวนโจวมองเห็นเงิน 18.10 หยวนถูกหักออกจากบัญชีไปด้วยตาตนเอง
อันที่จริงแล้วหยวนโจวคิดว่าในเมื่อยอดเงินของเขาลดลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่งย่อมดีกว่ากลายเป็นเงินก้อนเดียวหลังจากเลิกกิจการ แบบนั้นเขาคงแย่แน่ๆ แต่ตอนนี้อาหารแต่ละจานที่เขาจำหน่ายไปกลับทำให้เนถูกหักออกจากบัญชีของตนเองทันที เรื่องนั้นช่างพาให้รู้สึกแย่มากจริงๆ
สิ่งนี้ก็เฉกเช่นเดียวกับแผลเล็กๆที่ยังเจ็บมากอยู่เลย และในเมื่อหยวนโจวเปิดข้อความแจ้งเตือนทางโทรศัพท์สำหรับการทำธุรกรรมทางธนาคาร เขาก็พบว่าเงินของตนเองลดลงไปทุกทีๆแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นเซ็ตข้าวผัดไข่ราคา 208 หยวน หลังจากหักส่วนลดแล้วมีราคาอยู่ที่ 187.20 หยวน จากนั้นเจ้าระบบก็จะหักเงิน 20.80 หยวนจากบัญชีของเขา หยวนโจวทำท่าดันแว่นตาที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นแล้วสาบานในนามคุณปู่ของตนว่าเรื่องนี้มีอยู่แต่สาเหตุเดียวเท่านั้นแหละ
แน่นอนว่าเจ้าระบบย่อมทำเช่นนี้เพื่อทวีความเจ็บปวดจากการสูญเสียเงินของหยวนโจว
“ที่จริงในฐานที่พวกเราเป็นคนก็ต้องใจกว้างเข้าไว้สิ พวกเราไม่อาจคำนวณทุกสิ่งทุกอย่างได้หรอกนะ ถ้าเป็น 10 หรือ 20 เซนต์ก็คงไม่นับว่ามากมายอะไรนัก ทำไมแกต้องหักมันจากบัญชีของฉันด้วยเล่า?” หยวนโจวเริ่มสั่งสอนเจ้าระบบตามตรง
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เจ้านายอาจจะต้องปัดเศษขึ้นเองดูนะ”
เจ้าระบบกำลังบอกเขาว่าการหักเงินทั้งหมดขึ้นอยู่กับส่วนลดแค่ 10% เช่นกัน ดังนั้นทุกๆเซนต์จึงต้องถูกนำมาคิดด้วย
“ไม่ล่ะ ฉันต้องปฏิบัติตามกฎ ในเมื่อฉันบอกแล้วว่าจะให้ส่วนลด 10% ฉันก็ต้องทำให้ได้” หยวนโจวพูดออกมาตามตรง เขาไม่อาจสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจไปได้
ในแง่ของการปฏิบัติตามกฎ หยวนโจวมักจะเอาจริงเอาจังมาโดยตลอด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น