ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 828-829
ตอนที่ 828 นิกายหยกทอง
“ที่แท้เป็นสหายจากนิกายหยกทอง ข้าแซ่หลิ่ว เป็นผู้ฝึกฝนอิสระคนหนึ่งเท่านั้น” หลิ่วหมิงคำนับกลับนิ่งๆ
นิกายหยกทอง หลิ่วหมิงก็ไม่ใช่ไม่เคยได้ยินมาก่อน! แม้นิกายแห่งนี้ไม่อาจเทียบเคียงกับนิกายยอดบริสุทธิ์ซึ่งเป็นนิกายใหญ่ระดับสุดยอดเช่นนี้ได้ แต่ก็เป็นสำนักใหญ่อายุหมื่นปีแห่งหนึ่ง ประมุขน้อยของนิกายแห่งนั้นมีพลังระดับแก่นแท้ได้ก็ไม่นับเป็นเรื่องแปลกนัก
นิกายแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านการบริหารทรัพยากรการฝึกฝนนานาชนิดในที่ต่างๆ บนแผ่นดินจงเทียน กระทั่งสมุนไพรจิตวิญญาณวัตถุจิตวิญญาณที่ยากจะหาพบจากต่างโลกจำนวนหนึ่ง ขอเพียงให้ราคามากพอ โดยทั่วไปนิกายแห่งนี้ก็หามาได้ ถึงขนาดที่ข้างนอกเล่าลือกันว่านิกายนี้กักตุนทรัพยากรพิเศษจำนวนหนึ่งไว้มากกว่าสี่ยอดนิกายใหญ่กับแปดตระกูลใหญ่เสียอีก
นอกเหนือจากนี้ยังเล่าลือกันว่าที่จริงนิกายแห่งนี้เป็นสาขาย่อยของกลุ่มอำนาจใหญ่ลึกลับบางแห่ง ดังนั้นถึงขยายกิจการไปทั่วทั้งแผ่นดินจงเทียนอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งทั้งยังอยู่ยั้งยืนยงไม่เสื่อมถอย
“ในเมื่อทุกคนรู้จักกันแล้ว สองวันให้หลังพวกเราพบหน้ากันที่นี่ใหม่แล้วค่อยออกเดินทางไปตามหาปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนั้นเป็นอย่างไร?” ผู้อาวุโสหวงยิ้มตาหยีเอ่ยขึ้น
“สองวันให้หลังหรือ? หากทั้งสองท่านไม่มีธุระเร่งด่วนอันใด พวกเราออกเดินทางตอนนี้เลยเป็นอย่างไร? หากรออีกสองวัน ข้ากังวลว่าจะมีเรื่องไม่คาดฝันอันใดเกิดขึ้นอีก” หลังหลิ่วหมิงสายตาเปล่งประกายวูบหนึ่งก็ส่ายศีรษะเอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“อะไร ตอนนี้จะเริ่มเลย….” ผู้ฝึกฝนชุดขาวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ออกเดินทางตอนนี้ย่อมได้” หลังผู้อาวุโสหวงอึ้งไปเล็กน้อยก็ตอบรับเต็มปากเต็มคำ
“ผู้อาวุโสหวง…” ผู้ฝึกฝนชุดขาวสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
ทว่าครู่ต่อมาผู้เฒ่าอ้วนก็ขยับริมฝีปากเล็กน้อยส่งกระแสจิตหาเขาหลายประโยค ผู้ฝึกฝนชุดขาวฟังจบ ในดวงตาพลันมีแววตาประหลาดใจเล็กน้อยแล่นผ่าน หลังมองหลิ่วหมิงอีกครั้งทันใดนั้นก็เปลี่ยนคำพูดพยักหน้าเอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่อสหายหลิ่วรีบร้อนเรื่องปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าเช่นนี้ แม้ผู้แซ่เฟิงจะยังมีบางเรื่องจัดการไม่เรียบร้อย แต่รอหลังจากนี้ค่อยจัดการแล้วกัน”
เพิ่งสิ้นเสียงพูด มือข้างหนึ่งของผู้ฝึกฝนชุดขาวก็ตบที่ถุงผ้าประณีตใบหนึ่งข้างเอว ไอหมอกสีม่วงสายหนึ่งทะลวงออกมาจากในนั้น หลังหมุนติ้วกลายร่างกลางอากาศ เพียงพอนน้อยสีม่วงยาวครึ่งฉื่อตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาทันใด
หลิ่วหมิงเลิกสองคิ้วขึ้น อสูรตัวนี้เหมือนกับคำบรรยายที่ได้ข้อมูลมาก่อนหน้านี้ทุกประการ เพียงพอนผลึกม่วงไม่ผิดแน่
เพียงพอนน้อยสีม่วงร่วงลงพื้นปุบ ดวงตาขนาดเท่าถั่วเหลืองสองข้างก็กะพริบอย่างฉลาดเฉลียว จมูกน้อยน่ารักขยับกระพือเล็กน้อย หลังส่งเสียงร้องดัง “อิ๋งๆ” ก็กระโดดขึ้นมาบนหัวไหล่ผู้ฝึกฝนชุดขาวถูไถตรงคอเสื้อเขาหลายครั้ง ท่าทางสนิทสนมอย่างยิ่ง
ดูท่าปีศาจอสูรระดับต่ำตัวนี้เพิ่งเกิดออกมาไม่นานก็ถูกเขากำราบแล้ว
“นายน้อย เรื่องเอาเลือดเลี้ยงเพียงพอนผลึกม่วง ให้ข้าจัดการเถอะ” เห็นผู้ฝึกฝนชุดขาวคนนี้หยิบมีดน้อยแวววาวเล่มหนึ่งออกมา ท่าทางคิดจะกรีดนิ้วเค้นเลือด ผู้เฒ่าอวบอ้วนก็รีบก้าวเข้ามาเอ่ยบอก
“ไม่เป็นไร” หลังผู้ฝึกฝนชุดขาวเอ่ยนิ่งๆ ประโยคหนึ่ง มีดเล่มน้อยก็กรีดดังฉั๊วะ บนปลายนิ้วเกิดแผลเล็กๆ เส้นหนึ่ง เลือดสองสามหยดไหลรินลงมา
เพียงพอนผลึกม่วงเห็นเลือดปุบก็รีบกระโดดจากตัวผู้ฝึกฝนชุดขาวไปบนมือเขา เลียอย่างไม่กลัวเกรงแม้แต่น้อย
“พอแล้ว เจ้าตัวนี้นี่”
หลังผ่านไปสองสามลมหายใจ ผู้ฝึกฝนชุดขาวก็คว้าหลังของเพียงพอนหลึกม่วงไว้ บังคับลากมันออกมาจากมือ ตอนนี้ถึงหยุดการดูดเลือดของมันได้
เพียงพอนผลึกม่วงตัวนั้นตัวใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อครู่เท่าหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสองข้างกลายเป็นสีแดงก่ำ แต่ยังทำท่าเหมือนไม่พอใจ ขาสี่ข้างข่วนกลางอากาศไม่หยุด พยายามดิ้นรนออกจากการยึดจับของผู้ฝึกฝนชุดขาว
ผู้ฝึกฝนชุดขาวพลิกมือเรียกยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาแปะลงบนมือ หลังแสงสีเหลืองสายหนึ่งส่องสว่าง แผลบนมือก็ประสานกันดังเดิม
เพียงพอนผลึกม่วงตอนนี้ถึงฟื้นคืนสติ ม้วนตัวจนกลมเหมือนทำความผิดมา
“กินดื่มอิ่มแล้ว รอถึงสถานที่ซึ่งปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าปรากฏตัวก็ลงแรงทำงานให้ข้าดีๆ แล้วกัน” ผู้ฝึกฝนชุดขาวเอ่ยอย่างเย็นชา มือข้างหนึ่งพลิกหมุนโยนเพียงพอนผลึกม่วงลงไปในถุงอสูรเลี้ยง
ต่อจากนั้นทั้งสามคนก็หารือกันพักหนึ่ง หลังยืนยันข้อมูลในมือทั้งสองฝ่ายกันแล้ว ท้ายที่สุดเมื่อยืนยันตำแหน่งคร่าวๆ ที่อสูรแห่งความว่างเปล่าปรากฏตัวได้ก็ออกเดินทางทันที
………
ห้าวันให้หลัง บนเทือกเขาเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำแถบหนึ่ง พวกหลิ่วหมิงสามคนบินบนท้องฟ้าไปตามธารน้ำสายหนึ่ง แต่ละคนขี่เมฆเร่งเดินทางไปด้านหน้า
ในหมู่พวกเขาผู้ฝึกฝนชุดขาวนำอยู่ด้านหน้าสุดเพียงคนเดียว หลิ่วหมิงกับผู้อาวุโสหวงบินเคียงกันรั้งอยู่ด้านหลังเล็กน้อยแล้วยังพูดคุยอะไรบางอย่างเป็นระยะ ดูท่าทางค่อนข้างกลมเกลียวกันอยู่
“ข้ากับประมุขน้อยทราบมาว่าที่แห่งนี้มีอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนี้ซ่อนตัวอยู่ แต่เสียเงินไปไม่น้อยกว่าจะซื้อข่าวนี้มาได้ ไม่ทราบพี่หลิ่วรู้มาจากที่ใด” ผู้เฒ่าอ้วนยิ้มถาม
“ผู้แซ่หลิ่วโชคดีบังเอิญทราบจากปากผู้อาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันอยู่บ้างคนหนึ่ง สหายทั้งสองไม่เสียทีมาจากนิกายหยกทอง กระทั่งข่าวล้ำค่าเช่นนี้ก็ยังซื้อมาได้” หลิ่วหมิงกลับจิ๊ปากตอบกลับ
“ฮ่าๆ นี่ไม่นับเป็นอะไร ที่สำคัญที่สุดในเมื่อพวกเราจับกลุ่มเดินทางด้วยกันแล้ว เรื่องไม่น่าพอใจเหล่านั้นก่อนหน้านี้ก็ขอให้สหายอย่าได้เก็บมาใส่ใจ จะว่าไปแล้วพี่หลิ่วมีกระบี่พลังจิตวิญญาณธาตุว่างเปล่าที่คมกริบเช่นนี้ การเดินทางครั้งนี้จะหลอมอาวุธจิตวิญญาณธาตุว่างเปล่าอีกชิ้นหรือ?” ผู้เฒ่าอ้วนคล้ายต้องการตีสนิทกับหลิ่วหมิง หลังหมุนร่างกายเล็กน้อยเข้าไปใกล้หลิ่วหมิงอีกหน่อยก็เอ่ยถามด้วยท่าทางสบายๆ
“วัตถุดิบธาตุว่างเปล่าที่ข้าใช้หลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล่มนี้ในวันวานหยิบยืมมาจากสหายผู้หนึ่ง หลังจากนั้นตามหาวัตถุดิบเช่นเดียวกันไปคืนไม่ได้มาตลอด ครั้งนี้บังเอิญได้ยินว่ามีกวางชะมดว่างเปล่าตัวหนึ่งปรากฏตัวที่แถบนี้จึงได้เดินทางไกลพันลี้มาไล่ล่า ต้องการได้วัตถุดิบธาตุว่างเปล่าจำนวนหนึ่งคืนให้แก่สหายผู้นั้น” หลิ่วหมิงแต่งเรื่องขึ้นมาตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ พี่หลิ่วเป็นคนจริงใจคนหนึ่งจริงๆ” ผู้อาวุโสหวงตัวอ้วนได้ยินก็เอ่ยชมอย่างไม่ต้องคิด
ก็เป็นเช่นนี้ ทั้งสองสนทนากันเรื่อยเปื่อยบินไปหลายร้อยลี้ เบื้องหน้าก็ปรากฏที่ราบระหว่างเขาผืนหนึ่งที่เต็มไปด้วยตะไคร่นานาชนิดทั่วไปหมด
ผู้ฝึกฝนชุดขาวที่บินอยู่ด้านหน้าสุดหยุดร่างทันที เขาพลิกมือทีหนึ่งเรียกคัมภีร์หยกเล่มหนึ่งออกมาวางแนบหน้าผาก หลังจำแนกภูมิประเทศเบื้องหน้าอย่างละเอียดก็หันศีรษะมาบอกว่า
“หากแผนที่ไม่ผิด ที่นี่น่าจะเป็นอาณาเขตที่กวางชะมดว่างเปล่าตัวนั้นปรากฏตัว”
หลิ่วหมิงกับผู้เฒ่าอ้วนได้ยินก็บินเข้ามาทันที ต่างคนชะเง้อมองไปด้านหน้า
ที่ราบระหว่างเขาผืนนี้ไม่ค่อยเหมือนกับสถานที่อื่นนักจริงๆ นอกจากตะไคร่เต็มพื้น ทอดสายตามองไปยังมีต้นไม้กิ่งโล้นอยู่อีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้มองไปยังไม่อาจเห็นสุดปลาย
“อืม ภูมิประเทศของที่นี่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ น่าจะไม่ผิดแล้ว” หลิ่วหมิงมองเสร็จก็พยักหน้าเอ่ยขึ้นบ้าง
ผู้เฒ่าอ้วนย่อมไม่มีความคิดเห็นอื่น
ผู้ฝึกฝนชุดขาวเห็นเช่นนี้ก็ไม่ลังเลอีกต่อไปตบถุงหนังข้างเอวทีหนึ่ง ไอหมอกสีม่วงก้อนหนึ่งม้วนออกมากลายเป็นเพียงพอนผลึกม่วงยาวครึ่งฉื่อตัวนั้น
“ไป”
ผู้ฝึกฝนชุดขาวสะบัดแขนเสื้อ ปากเอ่ยสั่งทันที
เพียงพอนผลึกม่วงแหงนหน้าร้องเสียงเบาๆ ไม่กี่หน จมูกน้อยน่ารักก็ขยับยุกยิก จากนั้นส่งเสียงดัง “ฟึบ” กลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วลึกเข้าไปในที่ราบระหว่างภูเขา
ผู้ฝึกฝนชุดขาวร้องอย่างยินดีประโยคหนึ่งว่า “ตามไป” แล้วลอยขึ้นฟ้าตามไปทันที
หลิ่วหมิงกับผู้อาวุโสหวงไม่กล้าชักช้าตามไปด้านหลังเช่นกัน
สองชั่วยามให้หลัง ตะไคร่น้ำก็ค่อยๆ บางตาลง พื้นดินกลายเป็นดินเลนสีน้ำตาลอ่อนพร้อมกันนั้นก็ค่อยๆ เห็นต้นไม้น้อยลงด้วย
แสงสีม่วงหยุดลงกะทันหันเบื้องหน้าไม่ไกล รัศมีสีม่วงกะพริบวูบหนึ่งก็เผยเงาร่างของเพียงพอนผลึกม่วงออกมา
ดวงตาเล็กๆ ฉลาดเฉลียวทั้งคู่ของอสูรตัวนี้กะพริบไม่ปริบๆ รีรออยู่ที่เดิมไม่เดินหน้าต่อ จมูกขยับขึ้นลงสูดดมเล็กน้อย ในดวงตาคล้ายเผยแววตาหวาดกลัวออกมา ทันใดนั้นมันก็หมุนตัวบินเร็วรี่ไปหาผู้ฝึกฝนชุดขาวแล้วกระโจนขึ้นไปบนหัวไหล่เขา ส่งเสียงร้อง “อิ๋งๆ” ข้างหู
ผู้ฝึกฝนชุดขาวกับผู้เฒ่าอวบอ้วนพากันหยุดลำแสง ร่อนลงบนศิลายักษ์โล้นก้อนหนึ่ง
เห็นเพียงหลายร้อยจั้งเบื้องหน้ามีทะเลหมอกสีเทาขมุกขมัวผืนหนึ่งอยู่ สิ่งที่อยู่ใกล้ๆ ถูกบดบังเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ห่างอยู่ไกลก็ยังได้กลิ่นเหม็นคาวจางๆ สายหนึ่งได้เลือนราง
ตรงขอบทะเลหมอกมีหญ้าจิตวิญญาณที่สีสันค่อนข้างสดใสส่องแสงจิตวิญญาณจางๆ อยู่หลายต้น
หลิ่วหมิงหยุดบนที่ว่างใกล้ๆ เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นหญ้าจิตวิญญาณเหล่านี้ในใจก็คิดบางสิ่งขึ้นได้
ก่อนหน้านี้เขาเคยอ่านเจอว่ากวางชะมดว่างเปล่าตัวนี้มีนิสัยชอบแทะเล็มหญ้าพิษผลไม้พิษจำพวกหนึ่ง ดูท่าหญ้าจิตวิญญาณไม่กี่ต้นนั้นจะต้องมีพิษประมาณหนึ่งแน่นอน
“ด้านหน้าคือหมอกพิษกับไอพิษ กวางชะมดตัวนี้ดูท่าจะซ่อนอยู่ในนั้นไม่ผิดแล้ว” ผู้ฝึกฝนชุดขาวมองไอหมอกสีเทาขมุกขมัวตรงหน้าแล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้น จากนั้นตบถุงผ้าข้างเอวทีหนึ่ง เพียงพอนผลึกม่วงพลันกลายเป็นไอหมอกสีม่วงสายหนึ่งมุดเข้าไปด้านใน
“สหายหลิ่ว เชิญพักด้านข้างสักครู่ ข้ากับนายน้อยตระกูลข้าจะวางเครื่องหอมล่อกับค่ายกลตรงนี้ให้เรียบร้อยก่อน รอปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนั้นถูกล่อออกมา ยามนั้นข้าจะควบคุมค่ายกลชั้นจำกัดหลายชั้นนี่ขังมันไว้เอง ส่วนนายน้อยตระกูลข้าจะใช้ระฆังจิตวิญญาณมายาในมือเขาที่ส่งผลต่อจิตใจของมันชักนำการเคลื่อนไหวของมัน สหายหลิ่วเพียงปล่อยกระบี่บินพลังจิตวิญญาณธาตุว่างเปล่าออกมาในเวลาสำคัญโจมตีมันให้บาดเจ็บหนักในทีเดียวก็พอ” ผู้เฒ่าอวบอ้วนมาถึงข้างกายหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยบอกเขาช้าๆ
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าแสดงว่าเห็นด้วย หลังโฉบร่างไปด้านข้างก็ไพล่มือยืนรออยู่อย่างนิ่งสงบ
ต่อจากนั้นเฟิงชิงโม่ผู้ฝึกฝนชุดขาวผู้นั้นที่อยู่ไม่ไกลก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงเรืองรองสีฟ้าอ่อนสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกมาจากในแขนเสื้อของเขา โต้ลมขยายใหญ่กลายเป็นธงค่ายกลที่ส่องแสงสีฟ้าขมุกขมัวขนาดหนึ่งฉื่อกว่าหกผืน บนธงค่ายกลสลักยันต์ประหลาดคล้ายหยดน้ำตัวหนึ่งไว้
หลังจากนั้นเขาก็ยกมือยิงเคล็ดวิชาหลายสายออกมาต่อเนื่อง พวกมันส่องสว่างวูบหนึ่งก็จมหายไปในธงผืนน้อยไม่เห็นร่องรอย ยันต์สีฟ้าบนผิวหน้าธงน้อยหกผืนฉับพลันส่องสว่างแล้วหมุนติ้ว เสียง “ฟึบๆ” ดังขึ้นไม่กี่หนก็โปรยร่วงลงบนพื้นที่ว่างรอบด้าน
“วิ๊ง”
ม่านแสงสีฟ้าอ่อนผืนหนึ่งก่อตัวขึ้นทันที หลังส่องสว่างกลางอากาศเชื่อมธงน้อยสีฟ้าหกผืนเข้าด้วยกันก็หายไปไร้ร่องรอยพร้อมกัน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ หางตาก็กระตุกเล็กน้อย
ธงค่ายกลนี้เขารู้จัก ในร้านค่ายกลที่ตลาดก่อนหน้านี้ก็เคยเห็น นี่คือค่ายกลปิดกั้นมิติระดับสูงธาตุน้ำชุดหนึ่งชื่อค่ายกลห้วงนที ทำให้คนหรือปีศาจอสูรที่เข้าไปด้านในประหนึ่งร่างกายจมอยู่ในน้ำลึกหมื่นเมตร รู้สึกถึงแรงต้านที่โถมเข้ามาสี่ด้านแปดทิศ ทำให้ร่างกายฉับพลันหยุดนิ่ง มีจุดที่คล้ายกับเกราะวารีสีดำที่เสกออกมาจากมุกพลังวารีในมือเขาอยู่บ้าง เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการจับปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนี้
เพียงแต่ธงค่ายกลชุดนี้ทำงานด้วยพลังจิตวิญญาณธาตุน้ำปริมาณมหาศาลที่เก็บอยู่ในยันต์หยดน้ำประหลาดเหล่านั้น กระตุ้นให้ทำงานได้เพียงหนึ่งครั้ง นับเป็นค่ายกลประเภทใช้แล้วทิ้ง นอกจากนี้โอกาสสร้างล้มเหลวก็สูง ราคาไม่ธรรมดา ชุดหนึ่งต้องการหินจิตวิญญาณมหาศาลเกือบสี่ห้าล้านก้อน
ตอนที่ 829 กวางชะมดว่างเปล่า
ในตอนที่หลิ่วหมิงตกใจกับความใจป้ำของนายน้อยนิกายหยกทองผู้นี้ ภาพที่ทำให้เขายิ่งตาโตลิ้นพันกันก็บังเกิดขึ้น
เฟิงชิงโม่กวาดสายตามองรอบด้าน ดวงตาเผยแววตาไม่พอใจค่ายกลนี้นัก เขาพลิกมืออีกครั้ง เรียกธงน้อยที่ส่องแสงสีฟ้าขมุกขมัวออกมาอีกหลายสิบผืน จากนั้นโยนไปกลางอากาศ นิ้วทั้งสิบของทั้งสองมือเปลี่ยนแปรดั่งวงล้อ ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าไปยังธงน้อยสีฟ้าอ่อน
หลังธงน้อยเหล่านี้วนกลางอากาศรอบหนึ่งก็พากันกระจายออกไปรอบด้าน ร่วงลงในค่ายกลที่วางเมื่อครู่อย่างเป็นระเบียบ พร้อมกันนั้นม่านแสงสีฟ้าอ่อนชั้นแล้วชั้นเล่าก็ส่องสว่างต่อกัน จากนั้นหายวับไปกลางอากาศดุจเดียวกัน
พลังสายตาของหลิ่วหมิงเฉียบแหลมปานใด ในชั่วเวลาสั้นๆ เมื่อครู่ เขาเห็นชัดว่าคนผู้นี้ถึงกับวางค่ายกลที่เหมือนกันทุกประการออกมาซ้ำอีกหกชุด!
แม้ตัวเขานับว่าเป็นคนที่มีทรัพย์สินไม่ธรรมดา แต่เห็นภาพเช่นนี้ ในใจก็ยังอดไม่ได้ลอบหัวเราะเฝื่อนๆ กับตนเองหลายที
ถึงในมือจะมีหินจิตวิญญาณมากหลายสิบล้าน แต่จะต้องเสียหินจิตวิญญาณมากเช่นนี้เพื่อวางกับดักเพียงอันเดียว เกรงว่าเขาก็คงรู้สึกลังเลอยู่มากเช่นกัน
ผู้เฒ่าอวบอ้วนจากนิกายหยกทองผู้นั้นกลับสีหน้าสงบนิ่งกับภาพเช่นนี้ ท่าทางประหนึ่งเห็นจนชิน
“ผู้อาวุโสหวง ค่ายกลห้วงนทีเจ็ดชุดนี่เพียงพอสกัดการเคลื่อนไหวของปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนั้นแล้วหรือยัง หากยังไม่พอ ในมือข้ายังมีอุปกรณ์ค่ายกลที่ทรงพลังมากกว่าอีกสองชุด เพียงแต่ต้องรบกวนท่านเสียพลังเวทมากหน่อยตอนควบคุม” เฟิงชิงโม่สะบัดแขนเสื้อ มองไปหาผู้เฒ่าร่างอ้วนพลางเอ่ยปากถามเช่นนี้อย่างไม่ใส่ใจสักนิด
“ฮ่ะๆ เจ็ดชุดเพียงพอแล้ว หากนายน้อยเพิ่มไปอีกสองชุด ข้าเกรงว่าคงไม่มีพลังเวทเหลือไปควบคุม ใช่แล้ว นายน้อยอย่าลืมวางยันต์วายุสะบั้นที่นิกายทำขึ้นมาเป็นพิเศษไว้ในค่ายกลนะขอรับ” ผู้เฒ่าอวบอ้วนหัวเราะฮ่ะๆ เอ่ยขึ้น
“นั่นแน่นอน”
หลังเฟิงชิงโม่หัวเราะฮ่าๆ ก็เหลือบมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งเหมือนตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นเอายันต์ที่ส่องแสงสีขาวขมุกขมัวตั้งหนาตั้งหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ มีมากถึงยี่สิบกว่าแผ่น
ร่างกายเขาขยับวูบหนึ่งก็มาถึงใจกลางค่ายกลอีกครั้ง ร่างกายหมุนอยู่กับที่รอบหนึ่ง แสงสีขาวในมือสว่างขึ้นต่อเนื่อง ส่งยันต์เหล่านี้ในมือจมลงไปรอบด้านค่ายกล
ต่อจากนั้นเฟิงชิงโม่ก็พลิกมือเรียกแก่นจันทน์สีแดงก่ำยาวครึ่งฉื่อกำหนึ่งออกมาแล้วเสียบไว้ใจกลางค่ายกล
หลังจากนั้นเขาก็ลูบคางคล้ายคิดสิ่งใดอีก มือข้างหนึ่งคลำข้างเอว ในมือมีแก่นจันทน์สีแดงก่ำเหมือนก่อนหน้านี้กำหนึ่งออกมาเพิ่มอีก เสียบลงไปใต้เท้าทั้งหมดอย่างไม่ลังเลสักนิด
“เช่นนี้ถึงแน่ใจว่าจะไม่พลาด!” หลังทำทุกสิ่งนี้เสร็จ ในดวงตาผู้ฝึกฝนชุดขาวถึงปรากฏแววตาพึงพอใจจางๆ พร้อมกับเอ่ยพึมพำ
เวลานี้หลิ่วหมิงกลับกวาดสายตามองแก่นจันทน์สีแดงก่ำสองแท่งนั้นอีกหน…
แก่นจันทน์นี่ดูแล้วไม่สะดุดตา ภายนอกเหมือนธูปเทียนธรรมดาที่คนปกติทั่วไปใช้เซ่นไหว้ ไม่มีจุดที่ผิดปกติเรียกสายตา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ในดวงตาก็อดไม่ได้ฉายแววประหลาดใจจางๆ
“สหายหลิ่วอาจไม่ทราบหอมทากหยกเหล่านี้ใช้แก่นปีศาจของทากหยกเพศผู้หลอมขึ้นมา กลิ่นหอมของมันเป็นสิ่งที่อสูรกวางชะมดว่างเปล่าชอบที่สุด” ผู้อาวุโสหวงคล้ายมองความสงสัยในดวงตาของหลิ่วหมิงออกจึงอธิบายประโยคหนึ่งทันที
“ทากหยก”
หลิ่วหมิงได้ยิน ในใจก็สะท้านเล็กน้อย
ทากหยกนี่คือปีศาจอสูรที่มีพิษรุนแรงซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนทะเลทรายทางตะวันตกสุดของแผ่นดินจงเทียน นิสัยดุร้ายอย่างที่สุด พลังโดยทั่วไปอาจไปถึงระดับผลึกขั้นปลาย ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไปก็ไม่ยินดีไปหาเรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอันตรายถึงชีวิตอสูรตัวนี้จะระเบิดแก่นปีศาจของตนเองอย่างไม่ลังเลสักนิด หมอกพิษที่ปล่อยออกมาหากแตะถูกจะตายในทันทีจึงจัดการยากอย่างยิ่ง
แก่นปีศาจของมันเป็นวัตถุดิบหลักในการหลอมหอมทากหยกจริง! แต่สิ่งที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดคือหอมทากหยกนี่ไม่ได้มีแต่กวางชะมดว่างเปล่าที่ชื่นชอบ ปีศาจอสูรอื่นก็ถูกกลิ่นของมันดึงดูดได้เช่นกัน ดังนั้นหอมทากหยกจึงเป็นสิ่งล้ำค่าของนิกายรวมถึงตระกูลมากมาย อยู่ข้างนอกพบเห็นยากนัก
“ที่แท้ก็เป็นเครื่องหอมชนิดนี้ มิน่าทั้งสองท่านจึงมั่นใจเช่นนี้ ดูท่านิกายของท่านจะทุ่มเทไม่น้อยเพื่อปีศาจอสูรตัวนี้จริงๆ! ทว่ากำใหญ่เช่นนี้เกรงว่าคงมีไม่น้อยกว่าสิบกว่าชิ้นกระมัง จะมากเกินไปหน่อยจนกลับกลายเป็นเตือนอสูรตัวนี้หรือไม่?” หลังหลิ่วหมิงพยักหน้าก็เอ่ยถามช้าๆ อีกประโยคหนึ่ง
“ฮ่ะๆ สหายคิดมากเกินไปแล้ว! เครื่องหอมนี่ยิ่งมาก ยิ่งดึงดูดปีศาจอสูรมาก อสูรแห่งความว่างเปล่าโดยทั่วไปเจ้าเล่ห์จัดการยากอย่างที่สุด ต้องมีเครื่องหอมนี้มากพอถึงแน่ใจว่าจะดึงมันออกมาได้ไม่มีพลาด” ผู้เฒ่าอ้วนโบกมือพลางหัวเราะเสียงเบาเอ่ยขึ้น
“ท่านไม่เชื่อวิธีการของข้าหรือ?” เฟิงชิงโม่ได้ยินกลับหน้าบึ้ง
“ใช่ที่ไหน ในเมื่อพี่หวงเอ่ยเช่นนี้ ข้าย่อมไม่มีความเห็นอื่น” หลิ่วหมิงกลับหัวเราะฮ่ะๆ มุมปากแย้มรอยยิ้มนิดหนึ่งเอ่ยตอบ
“นายน้อย หลังจากนี้ข้าจะตั้งสมาธิควบคุมค่ายกล ส่วนท่านต้องกระตุ้นยันต์วายุสะบั้นเหล่านั้นล้อมโจมตีอสูรตัวนี้ ทว่าอสูรตัวนี้อย่างไรร่างกายก็เป็นธาตุว่างเปล่า วิชาหลบหนีประหลาดยากเข้าใจ ถึงเวลาต้องใช้กระบี่บินธาตุว่างเปล่าของสหายหลิ่วถึงจะสังหารมันได้ แต่ยามสหายลงมือจะต้องเล็งจังหวะให้แม่นยำหนึ่งการโจมตีสังหารมันเสีย!” ผู้อาวุโสหวงเอ่ยเช่นนี้อีก
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีความเห็นอื่น ท่ามกลางสายตาเย็นชาของผู้ฝึกฝนชุดขาว เขาลงไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นกลางพงไม้ดงใหญ่ที่ค่อนข้างมิดชิดแห่งหนึ่งทันที นั่งสมาธิอยู่เงียบๆ
ส่วนเฟิงชิงโม่ร่างกายขยับวูบหนึ่งก็ออกจากค่ายกล เขายกมือขึ้นอีกครั้ง นิ้วหนึ่งจิ้มอากาศไปทางที่แก่นจันทน์อยู่ต่อเนื่องหลายครั้ง แสงสีแดงหลายสายพุ่งเฉียดผ่านพวกมัน
แก่นจันทน์สีแดงก่ำสิบกว่าแท่งฉับพลันส่องแสงสีแดง พริบตาเดียวก็ถูกจุด ควันสีแดงหม่นสายแล้วสายเล่าลอยวนเวียนขึ้นบนอากาศจากนั้นลอยอ้อยอิ่งไปด้านหน้าตามการชักนำของเคล็ดวิชาของเฟิงชิงโม่
ไม่นานบริเวณที่ค่ายกลทั้งหมดอยู่ก็ถูกหมอกสีแดงหม่นสายนี้ห้อมล้อมไว้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้หางตาก็เลิกขึ้นเล็กน้อย กลิ่นคาวจางๆ ที่หมอกสีแดงแผ่ออกมาค่อนข้างคล้ายกลิ่นอายที่ส่งออกมาจากในหมอกสีเทาเบื้องหน้า
ในเวลาเดียวกันเฟิงชิงโม่กับผู้เฒ่าอวบอ้วนก็สบตากันทีหนึ่ง ร่างกายขยับวูบ ซ่อนตัวอยู่หลังศิลายักษ์ก้อนหนึ่งไม่ไกล รอคอยอย่างนิ่งสงบเช่นกัน
พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อย อาณาเขตที่หมอกสีแดงหม่นล้อมก็ยิ่งกว้างขึ้นทุกที แทบจะครอบคลุมพื้นที่หนึ่งหมู่กว่าทั้งหมดอยู่แล้ว กลิ่นคาวจางๆ ที่แผ่ออกมาจากด้านในยิ่งไม่รู้ลอยไปไกลเท่าไร
ใช้เวลาราวหนึ่งเค่อ ด้านในไอหมอกสีเทาขมุกขมัวไกลออกไปก็เกิดคลื่นสั่นไหวน้อยๆ แสงเปลวเพลิงสีเขียวเข้มดวงหนึ่งฉับพลันปรากฏออกมา ทั้งยังกะพริบอยู่ท่ามกลางหมอกสีเทาขมุกขมัวไม่หยุด ชวนให้รู้สึกประหลาดคล้ายไม่อาจจับตำแหน่งที่แน่ชัดได้แม้แต่น้อย
ทันใดนั้นหัวที่คล้ายกวางหัวหนึ่งก็ยื่นออกมาจากไอหมอกสีเทา ดวงตาสีเขียวหยกแวววาวคู่หนึ่งชะเง้อมองรอบด้านอย่างระแวดระวังอย่างยิ่ง
ทั้งสามคนที่หลบอยู่ห่างหลายร้อยจ้างเห็นสิ่งนี้ก็กระตุ้นวิชาลับของแต่ละคน เก็บงำกลิ่นอายทันที ไม่กล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย
หลังอสูรกวางชะมดว่างเปล่าแน่ใจว่าบริเวณใกล้ๆ ไม่มีสิ่งผิดปกติถึงเดินออกมาจากไอหมอกสีเทาช้าๆ
อสูรตัวนี้สูงถึงสองสามจั้ง ใหญ่กว่าในข้อมูลที่หลิ่วหมิงได้มาก่อนหน้านี้ไม่น้อย หน้าตาคล้ายกวางตัวหนึ่ง บนหัวมีเขาคมสีเทาสลับดำคู่หนึ่งส่องแสงจิตวิญญาณอยู่เรืองๆ ทั้งร่างสีน้ำตาล บนขนสั้นๆ ทุกหนทุกแห่งเห็นลายสีเทาแถบแล้วแถบเล่ากะพริบวูบวาบเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนหาย
อสูรตัวนี้สูดจมูกดมไอหมอกสีแดงหม่นที่เบาบางไปบ้างแล้วซึ่งลอยอยู่เบื้องหน้าร่าง บนหน้าเผยสีหน้ามีความสุข คล้ายดื่มด่ำกับกลิ่นเช่นนี้อย่างยิ่ง เมื่อลายสีเทาทั่วร่างส่องสว่างวูบหนึ่ง ทันใดนั้นร่างกายก็พร่าเลือนหายไปในทันใด
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
ครู่ต่อมาแสงสีเทาก็สว่างวูบขึ้นสิบกว่าจั้งด้านหน้า ร่างกายของอสูรตัวนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หลิ่วหมิงที่หลบอยู่ในที่มิดชิดห่างไปหลายร้อยจั้งเห็นภาพนี้ หางตาก็เลิกขึ้นเล็กน้อย…
ปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าไม่ถูกมิติจำกัดไว้จริงๆ เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาได้ตามอำเภอใจ!
อสูรกวางชะมดว่างเปล่าดมไอหมอกสีแดงหม่นที่ลอยอยู่เบื้องหน้าอย่างละโมบอีกหน ทว่าในดวงตากลับเผยแววตาลังเลอยู่บ้างอีกครั้ง ต่อจากนั้นสองตาก็กวาดมองรอบด้านอย่างระแวดระวังอย่างยิ่งรอบหนึ่ง ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
ในขณะที่หลิ่วหมิงหรี่สองตาลง ในใจก็คาดเดาว่าอสูรตัวนี้นานเท่าไรถึงจะเข้าใกล้ค่ายกล ทันใดนั้นกวางชะมดว่างเปล่าก็ยกหัวขึ้น อ้าปากออก พ่นวงแหวนแสงสีขาวจางๆ วงแล้ววงเล่าออกมาอย่างเงียบเชียบ มันส่องสว่างวูบหนึ่งก็หายไปกลางอากาศใกล้ๆ
“แย่แล้ว”
หลิ่วหมิงเป็นผู้มีประสบการณ์การต่อสู้โชกโชน เห็นภาพนี้ปุบสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด คิดก็ไม่ต้องคิดมือข้างหนึ่งใช้เคล็ดวิชาทันที รอบร่างม่านแสงสีดำจางๆ ชั้นหนึ่งปรากฏออกมาปกป้องร่างของตนไว้อย่างแน่นหนาในทันใด พร้อมกันนั้นใบหูสองข้างศีรษะก็ขยับทีเดียวพับปิดรูหูจนสนิท
แทบจะในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้นเสียงร้องแหลมแสบแก้วหูสะเทือนถึงเก้าชั้นฟ้าก็ก้องกังวานอากาศบริเวณใกล้ๆ สะเทือนพงหญ้าต้นไม้ใกล้เคียงทั้งหมดจนสั่นไหวส่ายเอนเป็นระลอก ถึงขนาดที่มีต้นไม้ลำต้นเล็กที่ค่อนข้างใกล้กวางชะมดว่างเปล่าหลายต้นส่งเสียงดังแครกหักโค่นไปเองทันที
แสงสีดำรอบร่างหลิ่วหมิงสว่างวูบหนึ่ง ต้านพลังคลื่นเสียงล่องหนสายนี้ไว้ได้อย่างไม่มีปัญหา
หลังศิลายักษ์อีกด้านหนึ่งที่เฟิงชิงโม่กับผู้อาวุโสหวงหลบอยู่ก็ไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นสักนิด เห็นชัดว่าคงต้านการโจมตีคลื่นเสียงระลอกนี้ไว้ได้อย่างเงียบๆ เช่นกัน
นี่ทำให้หลิ่วหมิงที่เดิมทีกังวลใจอยู่บ้าง ในใจผ่อนคลายลงเล็กน้อย
กวางชะมดว่างเปล่าร้องเสียงแหลมอีกครู่หนึ่ง หลังมั่นใจว่ารอบด้านปลอดภัยถึงวางใจลงจริงๆ รอบร่างส่องแสงสีเทาวูบหนึ่งเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาอีกครั้ง
หลังอสูรตัวนี้ยืนยันอีกหนว่ารอบด้านไม่มีสิ่งผิดปกติ ในที่สุดถึงวางความระแวดระวังลงอย่างสิ้นเชิง ดวงตาสีเขียวหยกแวววาวทั้งคู่ทอประกายจับนิ่งอยู่ตรงจุดที่ไอหมอกสีแดงหม่นล่องลอย ลายสีเทาทั่วร่างส่องสว่าง ร่างกายก็พร่าเลือนไม่ชัดอีกหน
“พรึ่บ” เสียงแหวกอากาศดังก้องขึ้นสองสามหน
อสูรตัวนี้ถึงกับใช้พลังเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาข้ามมิติต่อเนื่อง บินเร็วรี่ตรงมาหาแก่นจันทน์ไม่หยุด ทิ้งเงาเลือนรางสายหนึ่งไว้กลางอากาศ
หลิ่วหมิงมองจนอ้ำอึ้งอยู่บ้าง ยามอสูรว่างเปล่าทุ่มเต็มกำลังใช้พลังเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา ความเร็วน่าตะลึงอย่างที่สุดจริงๆ !
อสูรกวางชะมดสีน้ำตาลหายตัวตามกลิ่นคาวแสบจมูกเข้มข้นสายหนึ่งซึ่งลอยแผ่ออกมาจากกลางไอหมอกสีแดงจนในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้นกลางค่ายกล ตรงจุดที่แก่นจันทน์สิบกว่าแท่งอยู่
เวลานี้หอมทากหยกสิบกว่าแท่งไหม้ไปจวนเจียนจะครึ่งหนึ่งแล้ว
อสูรกวางชะมดว่างเปล่าเพิ่งหยัดร่างมั่นคงก็อ้าปากสูดไอหมอกสีแดงหม่นหลายเฮือก ดวงตาสีเขียวหยกแวววาวคู่หนึ่งยังคงชะเง้อมองไปรอบด้านไม่หยุดเป็นระยะ
“นายน้อย ลงมือ!”
หลังผู้เฒ่าอ้วนที่ซ่อนกายอยู่หลังศิลายักษ์สีเขียวไม่ไกลส่งกระแสจิตให้เฟิงชิงโม่ด้านข้างหนึ่งประโยค ร่างกายก็พุ่งออกมาในทันใด สิบนิ้วบนสองมือดีดรัวเข้าใส่ตรงค่ายกล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น