ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 826-827

 ตอนที่ 826 นัดประลอง

“ขอรับ…ขอรับ ผู้เยาว์มีตาไม่มีแวว ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสระดับแก่นแท้มาเยือน เพียงพอนผลึกม่วงตัวนั้นสามวันให้หลัง…สหายของข้าจึงจะส่งมา ถึงเวลาผู้อาวุโสมารับไปได้เลย ต้องการแค่…หกแสนหินจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ระดับผลึกผู้นั้น…” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำแทบจะล้มหมอบอยู่บนพื้น เอ่ยเสียงสั่นเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นราคาก็ยังถูกเขาโก่งขึ้นไปอีกไม่น้อย


“หินจิตวิญญาณไม่ใช่ปัญหาอันใด ส่วนเจ้าหนูระดับผลึกคนนั้น เจ้าให้เขามาหาข้าก็แล้วกัน แต่หากข้อมูลที่บอกข้าไม่จริง ต่อให้เจ้าหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวก็อย่าคิดมีชีวิตรอด” ผู้ฝึกฝนชุดขาวเอ่ยอย่างวางโตจบก็สะบัดแขนเสื้อ หมุนตัวออกจากร้านไป


ชายฉกรรจ์ร่างกำยำตอนนี้ถึงลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ ปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก


เขาทำกิจการอยู่ในตลาดเล็กๆ แห่งนี้มานานสิบกว่าปีแล้ว ผู้ฝึกฝนระดับสูงก็เคยพบมาไม่น้อย แต่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้ได้เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรกจริงๆ


ทว่าอย่างไรเขาก็นับว่าเป็นคนที่เห็นโลกมามาก หลังกลอกลูกตารอบหนึ่งก็ฟื้นกลับมาท่าทางเหมือนไม่มีอะไร


มีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้คนนี้เป็นที่พึ่ง เขาย่อมไม่ต้องสนใจคำพูดที่ตกลงกับหลิ่วหมิงไว้ก่อนหน้านี้แล้ว


หลายวันให้หลังหลิ่วหมิงมาโรงร้อยล่าอีกครั้งตามที่นัดไว้


ผลปรากฏว่าเขาเหยียบเข้าประตูร้านปุบก็เห็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นั้นเดินเข้ามาหา เร่งรีบประสานมือแจ้ง


“ผู้อาวุโสท่านมาช้าแล้ว…ราวครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสชุดขาวที่พลังไม่เป็นรองท่านคนหนึ่งอยู่ดีๆ ก็มาที่ร้าน เจาะจงจะเอาเพียงพอนผลึกม่วง ข้าบอกเขาว่ามีเพียงตัวเดียวและถูกผู้อาวุโสจองไว้ก่อนแล้ว ใครจะรู้ผู้อาวุโสชุดขาวคนนี้ไม่พูดพร่ำก็จับข้าไว้ ค้นร้านเอาเพียงพอนผลึกม่วงไป


ชายฉกรรจ์ร่างกำยำพูดถึงตรงนี้ใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้าจนปัญญา


หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นสีหน้าก็เคร่งครึม กระแสความเย็นสายหนึ่งซัดออกมาจากบนร่าง


ชายฉกรรจ์ฝั่งตรงข้ามสะท้าน รีบร้อนล้วงยันต์ที่ส่องแสงสีม่วงขมุกขมัวแผ่นหนึ่งออกมาจากบนร่าง เปลี่ยนคำพูดเอ่ยขึ้นว่า


“แต่ผู้อาวุโส ผู้เยาว์เล่นตุกติกนิดหน่อยบนตัวเพียงพอนผลึกม่วงตัวนั้น นี่คือยันต์ผลึกม่วง เป็นสิ่งที่สหายผู้นั้นของข้าทำขึ้นเองกับมือ เดิมทีเตรียมไว้เพราะกลัวเพียงพอนผลึกม่วงจะหนี ข้างในมีโลหิตบริสุทธิ์ของเพียงพอนผลึกม่วงตัวนั้นหยดหนึ่ง ในระยะหมื่นลี้ใช้ยันต์นี้สัมผัสค้นหาที่อยู่ของเพียงพอนผลึกม่วงตัวนั้นได้ คนผู้นั้นเพิ่งจากไปครึ่งชั่วยาม ด้วยความสามารถของผู้อาวุโสอาจไล่ตามคนผู้นี้ได้ทัน”


“เหอะ เจ้าเตรียมลูกไม้รอไว้ไม่น้อย! ถ้ายันต์นี้ได้ผลก็แล้วไป แต่ถ้าข้าหาคนผู้นั้นไม่เจอ เจ้าก็สวดภาวนาให้ตัวเองไว้เถอะ”


หลิ่วหมิงมองชายฉกรรจ์นิ่งๆ ทีหนึ่ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวัก ดึงยันต์สีม่วงเข้ามาอยู่ในมือ หลังทิ้งประโยคหนึ่งเช่นนี้ไว้ก็หมุนตัวเดินไปด้านนอก


“ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยไหนเลยจะกล้าปิดบังแม้สักนิด…” ด้านหลังถ้อยคำรีบร้อนแก้ตัวของชายฉกรรจ์ดังมาอีกครั้ง


หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยันในใจทีหนึ่งก็ก้าวออกจากประตูใหญ่ลอยขึ้นฟ้าไปทันที


ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจู้จี้กับชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นี้ ภารกิจเร่งด่วนคือการตามหาเพียงพอนผลึกม่วงให้พบก่อน


ร่างกายเขาลอยอยู่กลางอากาศ ผนึกพลังเวทบนฝ่ามือแล้วจิ้มลงบนยันต์สีม่วงเบาๆ พลังเวทสายหนึ่งก็แทรกเข้าไปด้านใน


ทันใดนั้นยันต์ทั้งแผ่นในมือก็ส่องแสงสีม่วงสว่างจ้า หมุนตัวรอบหนึ่งก็พลันกลายเป็นหัวลูกศรหัวหนึ่งชี้ไปยังเทือกเขาแห่งหนึ่งทางตะวันออก


หลิ่วหมิงย่อมเข้าใจว่านี่หมายความว่าอะไร เมฆดำผุดขึ้นใต้เท้าลอยไปยังทิศทางหนึ่งทันที


ชายฉกรรจ์ร่างกำยำในร้านรู้สึกเลือนรางว่าหลิ่วหมิงออกไปแล้ว ใบหน้าอึมครึมเปลี่ยนไปมาพักหนึ่งก็เก็บข้าวของในทันที ปิดประตูหน้าร้านออกไปจากตลาดเงียบๆ


เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยหลิ่วหมิเลี้ยวไปเลี้ยวมาตามการชี้ทางของยันต์ในมือจนมาถึงถนนอีกแห่งใจกลางตลาด


สุดปลายถนนมีร้านที่ค่อนข้างเก่าร้านหนึ่งอยู่ หลิ่วหมิงโฉบทีเดียวเข้าไปยังหน้าร้านที่ขายเฉพาะอุปกรณ์วางค่ายกล มองไปก็เห็นผู้ฝึกฝนที่พลังไม่เป็นรองเขาที่ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นั้นบอก


คนผู้นี้ทั้งร่างสวมอาภรณ์ขาว กำลังดูอาวุธเวทสำหรับวางค่ายกลชุดหนึ่งในร้านอย่างสนอกสนใจ


หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัส ในใจเคร่งเครียดเล็กน้อย อีกฝ่ายพลังระดับแก่นแท้ขั้นต้น แต่ปราณไม่มั่นคงอยู่บ้างคล้ายกับว่าเพิ่งเลื่อนเข้าระดับแก่นแท้ไม่นานนัก


“เถ้าแก่ พวกนี้ข้าต้องการทั้งหมด ช่วยข้าเก็บไว้ก่อน ประเดี๋ยวจะมีคนเดินทางมาจ่ายเงินรับของ ตอนนี้มีสหายคนหนึ่งมาหาข้า”


เวลานี้เองผู้ฝึกฝนชุดขาวคล้ายสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของหลิ่วหมิงจึงเหล่ตามองเขาทีหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปแล้ววางอาวุธเวทในมือลง เอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบไม่ช้า


หลิ่วหมิงหรี่สองตาลง เขาไม่ประหลาดใจนัก เอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจ


“ดูท่าสหายจะทราบว่าข้ามาหาท่านด้วยเรื่องใด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มอบเพียงพอนผลึกม่วงมาเถอะ”


“ข้ามองผิดหรือ? ระดับผลึกกระจอกๆ คนหนึ่งถึงกับกล้าเหิมเกริมเช่นนี้ แต่ข้าก็ไม่ใช่พวกข่มเหงคนอ่อนแอ เพียงพอนผลึกม่วงมีประโยชน์กับข้ามาก รอผ่านไปสักหลายวันใช้เสร็จแล้ว เจ้าค่อยมาหาข้าใหม่แล้วกัน” หลังผู้ฝึกฝนชุดขาวอึ้งไปเล็กน้อยก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง


“ใช้เสร็จค่อยให้ข้า ท่านคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือ?” หลิ่วหมิงได้ฟังในใจพลันเกิดโทสะ แต่ภายนอกยังคงเอ่ยตอบนิ่งๆ


“อ้อ? ดูท่าทางเจ้าคล้ายจะไม่ยอม” ผู้ฝึกฝนชุดขาวหุบยิ้มบนหน้าทันใด ก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งในทันที


เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นทีหนึ่ง ทันใดนั้นปราณน่าหวาดกลัวของระดับแก่นแท้ก็ซัดออกมาจากบนร่างของผู้ฝึกฝนชุดขาว


ชั้นวางของที่วางสินค้าอยู่สองข้างในร้านถูกคลื่นพลังซัดจนพากันส่องแสงจิตวิญญาณสว่างจ้า เกิดม่านแสงหลากสีสันลอยออกมา ทว่าครู่ต่อมาเสียงถูกกระแทกแตกดังโครมๆ ก็ทยอยดังขึ้น


แม้ผู้ดูแลกับลูกน้องสองคนในร้านไม่ใช่เป้าหมายโดยตรงของปราณนี้ แต่ก็พากันตกอกตกใจลนลานถอยออกไปด้านหลัง


หลิ่วหมิงฝั่งตรงข้ามเผชิญหน้ากับปราณน่าหวาดกลัวนี้กลับเพียงเลิกคิ้ว ปราณดำจางๆ บนร่างพุ่งออกมาต้านทานไว้เหมือนไม่เป็นปัญหาอันใดทั้งสิ้น


ผู้ฝึกฝนชุดขาวเห็นเช่นนี้ก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย หลงมองสำรวจหลิ่วหมิงใหม่อีกทีสองทีถึงแค่นเสียงเหอะเอ่ยขึ้นว่า


“ข้าว่าแล้วเหตุใดท่านใจกล้าเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้คนหนึ่งเหมือนกัน วิชาเก็บงำปราณของสหายยอดเยี่ยมนัก กระทั่งข้ายังไม่ระวังถูกหลอกไปด้วย”


“ไม่ว่าข้าจะเป็นระดับแก่นแท้หรือไม่ สหายฉกเพียงพอนผลึกม่วงที่ข้าจองไว้ไปกลางทาง อย่างไรก็ต้องอธิบายกับข้า” หลิ่วหมิงกลับสีหน้าไร้อารมณ์


“คำอธิบาย! ดียิ่ง เอาเช่นนี้เถอะ วันพรุ่งนี้เวลานี้ เจ้ากับข้าประลองกันที่ยอดเขาแรดขาวห่างไปห้าสิบลี้สักรอบเป็นอย่างไร หากเจ้าชนะ ข้าจะยกเพียงพอนผลึกม่วงตัวนี้ให้กับมือ” ผู้ฝึกฝนชุดขาวกลอกลูกตานิดหน่อยก็ยิ้มเย็นชาเอ่ยขึ้นเช่นนี้


“ยอดเขาแรดขาว!” หลิ่วหมิงสายตาทอประกายวูบหนึ่ง


“วางใจเถิด ข้าก็ไม่ใช่คนไร้ที่มา ไม่ทำลายชื่อเสียงตนแอบหนีไปเด็ดขาด นอกจากนี้ในเมื่อเจ้าตามรอยข้ามาถึงที่นี่ได้ ย่อมต้องมีหนทางค้นหาร่องรอยของข้าอีกครั้ง ผู้ดูแล นี่นับว่าชดใช้ค่าเสียหายในร้านของเจ้า” ผู้ฝึกฝนชุดขาวเอ่ยเสริมประโยคหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจแล้วโยนผลึกหินระดับสูงชิ้นหนึ่งให้ผู้ดูแลร้าน จากนั้นเดินอาดๆ ออกจากประตูใหญ่ไป


หลิ่วหมิงมองคนผู้นี้จากไปอย่างเย็นชาแต่ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือขัดขวาง หลังไตร่ตรองพักหนึ่งเขาก็ส่งสายตาขออภัยให้ผู้ดูแลกับลูกน้องสองคนในร้านจากนั้นพุ่งหายออกไปจากร้านแห่งนี้เช่นเดียวกัน


เขากลับมาถึงโรงเตี๊ยมก็นำยันต์สีม่วงอ่อนแผ่นนั้นออกมาอีกครั้ง หลังพบว่ามันยังคงมีปฏิกิริยาเหมือนเดิมก็นั่งสมาธิพักผ่อนอยู่ในห้องทันที


เช้าวันที่สอง บนยอดเขามหึมาลูกหนึ่งห่างไปหลายสิบลี้ หลิ่วหมิงอยู่กลางท้องฟ้าสูงหลายพันจั้ง มองท้องฟ้าอีกด้านหนึ่งของยอดเขา


ผู้ฝึกฝนชุดขาวผู้นี้มาตามนัด แต่สิ่งที่หลิ่วหมิงคิดไม่ถึงก็คือเจ้าหมอนี้กลับไม่ได้มาตามนัดเพียงลำพัง ข้างกายกลับมีผู้เฒ่ารูปร่างอ้วนท้วนอายุราวสี่สิบกว่าปีสวมชุดทองคล้ายคหบดีผู้มั่งคั่งคนหนึ่งอยู่ด้วย


แม้ผู้เฒ่าคนนั้นระดับแก่นแท้ขั้นต้นเช่นกัน แต่บนร่างปราณหนาแน่นแผ่ออกมาเลือนราง เห็นชัดว่าแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนชุดขาวมากนัก


“ผู้แซ่หลิ่วจะต่อสู้แย่งชิงความเป็นเจ้าของเพียงพอนผลึกม่วงกับท่าน ท่านกลับเชิญสหายมาอีกคนหนึ่ง นี่หมายความว่างอย่างไร?” แววตาเย็นเยียบแล่นผ่านในดวงตาของหลิ่วหมิง เขาอ้าปากเอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจสักนิด


“พี่ชายท่านนี้อย่าเข้าใจผิดไป ข้ามาเป็นเพื่อนประมุขนิกายน้อยถึงที่นี่เพียงเพื่อชมการต่อสู้เท่านั้น จะไม่สอดมือยุ่งกับการประลองระหว่างประมุขนิกายน้อยกับท่าน” ผู้เฒ่าอ้วนหัวเราะเบาๆ ร่างกายโฉบทีหนึ่งถอยไปเหนือยอดเขาอีกลูกหนึ่ง นั่งขัดสมาธิสนใจแต่ตนเอง


“ประมุขนิกายน้อยหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินผู้เฒ่าเรียกขานผู้ฝึกฝนชุดขาวเช่นนี้ก็อดไม่ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย


“ในเมื่อคนมาถึงแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายแล้ว ให้ศึกนี้ตัดสินความเป็นเจ้าของเพียงพอนผลึกม่วงเถอะ” ผู้ฝึกฝนชุดขาวแค่นเสียงหยันทีหนึ่งก็ยกมือขึ้น แสงรัศมีสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา


กลางแสงรัศมีสีขาวก็คืออาวุธจิตวิญญาณเข็มบินที่แผ่แสงแวววาวสีขาวน้ำนมจางๆ ออกมาเล่มหนึ่ง มองเห็นเลือนรางว่าบนตัวมันสลักลวดลายค่ายกลชั้นจำกัดไม่น้อยกว่าสามสิบชั้น เป็นอาวุธเวทระดับสุดยอดชิ้นหนึ่ง


หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับกระตุ้นพลังเวทในร่าง พลังเวทบริสุทธิ์สายหนึ่งทะลักออกมาจากทะเลจิตวิญญาณกลายเป็นกระแสอบอุ่นสายหนึ่งกรอกเข้าไปในแขนทันที หลังจากนั้นนิ้วข้างหนึ่งก็ยกขึ้น


เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง


ปราณกระบี่เกลียวสีทองสายหนึ่งดีดพุ่งออกจากปลายนิ้ว หลังหายวับไปก็โจมตีถูกเข็มบินกลางรัศมีแสงสีขาวพอดี


เสียงดังสนั่นดังขึ้นทีหนึ่ง กลางท้องฟ้าเหนือยอดเขาลูกบอลแสงสีทองขาวสองสีลูกหนึ่งปรากฏออกมาและระเบิดในพริบตา ปล่อยคลื่นปราณสาดบ้าคลั่งออกมาวงแล้ววงเล่า


“ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไปจริงๆ น่าสนใจอยู่บ้าง”


ผู้ฝึกฝนชุดเขาวเห็นเช่นนี้ในดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย บนหน้าปรากฏสีหน้าตื่นเต้นนิดๆ


แขนเสื้อของเขาสะบัดทีหนึ่งไอหมอกสีขาวก็ซัดคลื่นปราณรุนแรงแผ่ออกมา พร้อมกันนั้นแขนก็ยกขึ้นอีกครั้ง


เสียง “ฟึบๆ” ดังขึ้นหลายหน แสงรัศมีสีขาวสิบกว่าเส้นยิงออกมาต่อเนื่องในพริบตา ประหนึ่งเส้นด้ายเส้นแล้วเส้นเล่าวาดผ่านอากาศพุ่งรวดเร็วมาตรงที่หลิ่วหมิงอยู่


อาวุธจิตวิญญาณเข็มบินระดับสุดยอดมากเช่นนี้กลับถูกคนผู้นี้ใช้ประหนึ่งอาวุธจิตวิญญาณใช้แล้วทิ้ง รูปแบบการต่อสู้เช่นนี้แม้เป็นหลิ่วหมิงเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ในใจตกตะลึง


ทว่าตัวเขาหลิ่วหมิงมีประสบการณ์เผชิญหน้าศัตรูมากเพียงใด สีหน้าประหลาดใจปรากฏเพียงชั่วแวบก็เลือนหาย มือข้างหนึ่งยกขึ้น โล่น้อยสีเหลืองแผ่นหนึ่งปรากฎขึ้นขวางเบื้องหน้าร่าง หลังจากมันหมุนติ้วรอบหนึ่งก็ฉายแสงเรืองรองสีเหลือง โต้ลมขยายขนาดจนใหญ่หลายจั้ง


หลังแสงรัศมีส่องสว่างอีกครั้ง ผิวหน้าของโล่ยักษ์ก็ปรากฏเงาภูเขาขนาดย่อมสีเหลืองลูกหนึ่งให้เห็นอยู่เลือนราง


ครู่ต่อมาบนเงาภูเขาลูกย่อมก็ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ ออกมาไม่หยุด โล่ดินหนาทั้งแผ่นเริ่มสั่นไหวเล็กน้อยตาม


ตอนที่ 827 เจรจาร่วมมือ

“ระเบิด! ระเบิด! ระเบิด!”


พร้อมกับที่ปากผู้ฝึกฝนชุดขาวโพล่งคำว่า “ระเบิด” ออกมาต่อกัน ลูกบอลแสงสีขาวลูกแล้วลูกเล่าก็ปรากฏขึ้นตามต่อกันเบื้องหน้าโล่ดินหนาสีเหลืองแล้วทยอยระเบิด คลื่นรุนแรงซัดโถมออกมา


บนผิวของโล่ดินหนาแสงเรืองรองสีเหลืองสว่างโถมออกมาไม่หยุดเช่นกัน ทว่าเผชิญกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดมากเช่นนี้ระเบิดตัวเอง มันก็ทำท่าจะไม่ไหว


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งทันที มือข้างหนึ่งยันโล่ดินหนาไว้ ปากเอ่ยท่องมนตร์ พลังเวททั้งร่างกรอกเข้าไปด้านในอย่างต่อเนื่องไม่หยุด


แสงเรืองรองสีเหลืองทะลักออกมาจากผิวของโล่ดินหนาทันที เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นทีหนึ่ง ผิวของโล่ยักษ์ก็มีเงาภูเขาลูกย่อมๆ ลูกหนึ่งลอยออกมาจากโล่ มันโต้ลมขยายใหญ่จนกลายเป็นภูเขายักษ์ขนาดสามสี่สิบจั้งลูกหนึ่ง


เสียงเปรี้ยงดังสนั่น!


เข็มบินสีขาวอีกระลอกหนึ่งมาถึงพร้อมเสียงดังสนั่น จุดระเบิดขึ้นอีกระลอก ทว่าผิวของเงาภูเขาขนาดย่อมสีเหลืองส่องสว่างวูบวาบ ตั้งตระหง่านนิ่ง แข็งแกร่งประหนึ่งหินผา


ผู้ฝึกฝนชุดขาวเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยันทีหนึ่ง มือสะบัดอีกหน แสงรัศมีสีขาวยิ่งรวมตัวกันแน่นกว่าก่อนหน้านี้ เทออกมาจากในแขนเสื้อของเขาประหนึ่งห่าฝน


ทันใดนั้นท้องฟ้าครึ่งหนึ่งก็ถูกรัศมีสีขาวกลบ


“ทั้งหมดจงระเบิด!”


เขาเพียงคำรามเสียงต่ำแผ่วเบาครั้งหนึ่ง เสียง “เปรี้ยงๆ” ก็ดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาด ลูกบอลแสงสีขาวมากมายถี่ยิบระเบิดขึ้นพร้อมกัน ชั่วพริบตาประสานกันกลายเป็นดวงตะวันเจิดจ้าสีขาวมโหฬารอย่างยิ่งดวงหนึ่งกลบเงายอดเขาทั้งลูกไว้ด้านในจนมิด


เสียง “ครืน” ดังขึ้น!


ท่ามกลางแสงสีขาวที่ห้อมล้อม ภูเขาลูกย่อมสีเหลืองฉับพลันพังทลาย ทันใดนั้นแสงรัศมีสีขาวเต็มฟ้าก็ท่วมออกมา


แสงสีเหลืองสายหนึ่งดีดพุ่งถอยหลังออกมาจากกลางลูกบอลแสงสีขาว มันคือโล่ดินหนาที่แสงจิตวิญญาณหายไปแล้ว


ทว่าหลังแสงสีขาวดับลง หลิ่วหมิงก็ยังคงยืนตัวตรงนิ่งอยู่ที่เดิม ปราณดำชั้นหนึ่งพลุ่งพล่านอยู่รอบร่างซัดคลื่นปราณที่หลงเหลือออกจนหมด


หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อเก็บโล่ดินหนาที่พุ่งกลับมาแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ ประโยคหนึ่ง


“ท่านมีความสามารเพียงเท่านี้สินะ หากไม่มีฝีมืออย่างอื่นแล้ว ศึกวันนี้ก็ทำให้ผู้แซ่หลิ่งผิดหวังนัก”


คำนี้เอ่ยออกจากปากปุบ สีหน้าของผู้ฝึกฝนชุดขาวพลันย่ำแย่อย่างยิ่ง ผู้เฒ่าอ้วนที่ชมการต่อสู้อยู่บนยอดเขาใกล้ๆ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วย


“เอ่ยวาจาใหญ่โตนัก เจ้าตั้งรับสมบัติชิ้นต่อไปของข้าให้ได้ค่อยว่ากัน!”


ผู้ฝึกฝนชุดขาวโกรธจัดจนหัวเราะ มือข้างหนึ่งพลิก ม้วนภาพวาดที่ส่องแสงสีเหลืองขมุกขมัวม้วนหนึ่งก็ร่วงลงกลางฝ่ามือ จากนั้นเขาก็โยนเบาๆ อย่างเร็วไว พร้อมกันนั้นเคล็ดวิชาสายหนึ่งก็พุ่งหายเข้าไปด้านใน


ม้วนภาพคลี่ออกกลางอากาศ ในภาพวาดมีเสือตัวยักษ์สีขาวดูราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งกำลังย่อขาหมอบต่อหน้าดวงตะวันเจิดจ้าเหนือศีรษะ


ผู้ฝึกฝนชุดขาวสิบนิ้วเปลี่ยนแปรประหนึ่งวงล้อแล้วจิ้มออกไปด้านหน้า ยันต์สีทองตัวหนึ่งส่องสว่างปรากฏขึ้น หลังหมุนติ้วก็หยุดนิ่งกลางท้องฟ้า จากนั้นประทับลงบนม้วนภาพวาด


เสียงพยัคฆ์คำรามสายหนึ่งดังออกมา!


ดวงตะวันเจิดจ้าบนภาพวาดส่องแสงสีแดงสว่างจ้า เสือยักษ์สีขาวตัวนั้นฉับพลันเอี้ยวหัว เท้าหลังถีบทีหนึ่งกระโจนออกมาจากม้วนภาพวาด โต้ลมขยายขนาดจนใหญ่ยักษ์ห้าหกจั้ง


เวลานี้ถึงมองเห็นชัด พยัคฆ์ตัวนี้แลดูขาวโพลน แต่ลึกเข้าไปใต้ขนมีลวดลายจิตวิญญาณสีดำกับสีเหลืองตัดกันอยู่ ในดวงตายักษ์ขนาดเท่ากำปั้นทั้งคู่มีเปลวเพลิงสีทองสองดวงลุกโชนอยู่ ดูแล้วทรงพลังไม่น้อย


พยัคฆ์ตัวนี้ปรากฏตัวปุบก็แหงนหน้าคำราม ขาหน้าทั้งสองข้างฉับพลันกางกรงเล็บคมสีทองยาวครึ่งฉื่อออกมา ตะปบสายลมอันตรายโถมตรงเข้าใส่หลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสออกไป สัมผัสได้ถึงปราณน่าหลาดกลัวที่แผ่ออกมาจากบนตัวเสือยักษ์อยู่เลือนราง หลังดวงตาฉายแววประหลาดใจ มือข้างหนึ่งก็ชี้กลางหว่างคิ้ว


เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง กระบี่บินสีทองยาวสองฉื่อแปดชุ่นเล่มหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา หลังส่งเสียงกังวานใสทีหนึ่งก็กลายเป็นรุ้งทองยาวสิบกว่าจั้งสายหนึ่งซัดออกไป


พยัคฆ์ขาวร้องคำรามโกรธเกรี้ยว กรงเล็บหน้าสองข้างตวัด เงากรงเล็บสีทองมากมายถี่ยิบพุ่งเข้าใส่รุ้งทองในทันใด


เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!


แสงสีทองระลอกหนึ่งส่องสว่าง รุ้งน่าตะลึงสีทองทะลวงผ่านเงากรงเล็บชั้นแล้วชั้นเล่าไปทันทีพร้อมกับระเบิดแสงสีขาวน้ำนมดวงหนึ่งออกมา จากนั้นพุ่งผ่านบนร่างมหึมาของพยัคฆ์ขาวไป


ร่างกายของเสือยักษ์สีขาวพลันชะงักนิ่งกลางอากาศแล้วร้องครวญคราง เส้นไหมแวววาวสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งออกจากทุกหนทุกแห่งบนร่าง


เสียง “ปัง” ดังขึ้นทีหนึ่ง!


เสือยักษ์สีขาวระเบิดกลางอากาศกลายเป็นไอหมอกสีขาวสายแล้วสายเล่ากระจัดกระจาย พร้อมกันนั้นม้วนภาพเบื้องหน้าร่างผู้ฝึกฝนชุดขาวก็ส่งเสียง “ชี่ๆ” ลุกไหม้ตัวเองกลายเป็นขี้เถ้าปลิวไป


รุ้งน่าตะลึงสีทองวนกลางอากาศรอบหนึ่งก็กลายเป็นแถบแสงซัดเข้าใส่ผู้ฝึกฝนชุดขาวอีกครั้ง


“รนหาที่ตาย เจ้าถึงกับกล้าใช้กระบี่บินทำลายภาพพยัคฆ์ขาวเฝ้าตะวันของข้า!”


ผู้ฝึกฝนชุดขาวโกรธจัดขึ้นมาในทันใด เขาไม่หลีกไม่หลบแต่พลิกมืออีกหน แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งสว่างขึ้น ในมือปรากฏอาวุธจิตวิญญาณระฆังน้อยที่ส่องแสงสีเขียวขมุกขมัวใบหนึ่ง


ยังไม่ทันที่ปากเขาจะส่งเสียงท่องมนตร์ เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นด้านข้าง แสงสีเทาดวงหนึ่งพุ่งชนบนรุ้งน่าตะลึงสีทองทันที


เสียงเปรี้ยงดังสนั่น กระบี่บินสีทองเล่มหนึ่งดีดกลับมา กลางแสงสีเทามีค้อนน้อยสีเงินอ่อนอันหนึ่งปรากฏขึ้นเลือนราง!


บุรุษตัวอ้วนที่เดิมชมการต่อสู้อยู่ด้านข้างผู้นั้นนั่นเองที่โยนสิ่งนี้มากะทันหัน ขวางวิชาขี่กระบี่ของหลิ่วหมิงไว้


หลิ่วหมิงหน้าถมึงทึง มือหนึ่งกวักเรียก กระบี่ว่างเปล่าฉับพลันส่งเสียงครวญครางพุ่งเร็วรี่กลับมา


ครู่ต่อมาเงาร่างบนยอดเขาไม่ไกลก็ขยับวูบ ผู้เฒ่าอ้วนยิ้มน้อยๆ ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศระหว่างหลิ่วหมิงกับผู้ฝึกฝนชุดขาว


“ท่านลงมือเวลานี้ คิดจะสองรุมหนึ่งหรือ?” หลิ่วหมิงมองผู้เฒ่าอ้วนทีหนึ่งแล้วเอ่ยถามหนึ่งประโยคด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ กระบี่บินสีทองหน้าร่างเริ่มสั่นเล็กน้อย ส่งเสียงดังอื้ออึงเบาๆ ออกมา


ผู้ฝึกฝนชุดขาวฝั่งตรงข้ามเห็นพรรคพวกสอดมือยุ่ง แม้ไม่ได้พูดอันใด แต่บนใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าไม่พอใจจางๆ เช่นเดียวกัน


“ฮ่ะๆ สหายเข้าใจผิดแล้ว! ข้าเพียงเห็นว่าวิชากระบี่บินของท่านยอดเยี่ยม จึงอยากกล่อมให้ทั้งสองคนวางอาวุธผูกมิตรกันแทนเท่านั้น” บุรุษอวบอ้วนหัวเราะฮ่ะๆ ประสานมือคำนับหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น


“ผู้อาวุโสหวง ท่านกับข้าสองคนร่วมมือกันยังกังวลว่าจะจัดการคนผู้นี้ไม่ได้หรือ? เหตุใดกลับจะสมานฉันท์กับเขา” ผู้ฝึกฝนชุดขาวกลับโมโหขึ้นมาเล็กน้อย แววตาดุดันฉายผ่านดวงตาพร้อมตวาดถาม


“นายน้อยอย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าพูดเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของข้า อภัยที่ข้าตาฝ้าฟาง ขอเรียนถามในมือสหายท่านนี้ครอบครองกระบี่บินพลังจิตวิญญาณธาตุว่างเปล่าหรือไม่?” หลังผู้เฒ่าอ้วนเอี้ยวศีรษะส่งสายตาให้ผู้ฝึกฝนสีขาวทีหนึ่ง สายตาก็มองมาหาหลิ่วหมิงอีกครั้ง จากนั้นเอ่ยถามอย่างไม่รีบไม่ช้า


“ไม่ผิด แล้วอย่างไร?” หลิ่วหมิงได้ยิน ในใจสะท้านทว่าตอบกลับด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน


“ถ้าเช่นนี้ก็ไม่ผิดแล้ว ในเมื่อสหายต้องการเพียงพอนผลึกม่วงตัวนี้ยิ่งยวดเช่นนี้ คิดว่าก็คงมีเป้าหมายเดียวกับพวกเรา คงมาเพื่อปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนั้นที่เร้นกายอยู่ลึกในเทือกเขาแห่งนี้สินะ?” ผู้อาวุโสหวงยิ้มตาหยีเอ่ยขึ้น


“พวกท่านมาที่นี่เพื่อปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าเหมือนกัน!” แม้ในใจหลิ่วหมิงคาดเดาได้อยู่ลางๆ นานแล้ว แต่ได้ยินอีกฝ่ายว่าเช่นนี้ สีหน้าก็ยังคงเปลี่ยนไปเล็กน้อย


“ไม่ผิด ในเมื่อพวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน ไยไม่ร่วมมือล่าปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนั้น ต้องมาสู้เอาเป็นเอาตายกันตรงนี้เล่า?” ผู้เฒ่าอวบอ้วนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา


หลิ่วหมิงเม้มริมฝีปากไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาทันที ทว่าบนใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิด


ผู้เฒ่าอ้วนเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยกล่อมต่อ


“พี่ชายดูก็รู้ว่าเป็นคนฉลาด จากการประลองเมื่อครู่ก็คงมองออกแล้วว่านายน้อยตระกูลข้ามีอาวุธจิตวิญญาณมากมาย ไม่มีทางเอาชนะได้ง่ายๆ หากสู้กันต่อ เกรงว่าสู้เอาจริงเอาจังขึ้นมา ถึงเวลาไม่ว่าใครพลังปราณก็เสียหายหนัก คิดหมายปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนี้อีกก็คงยากยิ่งกว่ายาก สหายตามหาที่นี่พบก็คงรู้ว่าปีศาจอสูรตัวนี้พลังระดับแก่นแท้เหมือนกัน สิ่งที่ท่านหวังพึ่งก็คงเป็นกระบี่บินธาตุว่างเปล่าเล่มนี้ในมือสินะ ส่วนพวกเราสองคนเพื่อการเดินทางครั้งนี้ได้เตรียมสมบัติที่ใช้ประโยชน์ได้มาหลายชิ้น หากพวกเราสองฝั่งร่วมมือกัน โอกาสสำเร็จย่อมมากขึ้นหลายส่วน”


“อ้อ หากเป็นตามที่ท่านว่า รอถึงท้ายที่สุดพวกเราได้ปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนี้มา จะแบ่งสรรอย่างไร?” หลิ่วหมิงสายตาเปล่งประกายวิบวับแล้วเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ


เป็นดังที่อีกฝ่ายว่าปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่ามีพรสวรรค์ในวิชาหลบหนีผ่านมิติ นั่นเป็นสิ่งที่เขากังวลอย่างยิ่ง แม้เขามีกระบี่บินว่างเปล่าแต่ก็ยังไม่มั่นใจเต็มที่ว่าจะทำลายวิชาหลบหนีของอสูรตัวนี้ได้


เขาทุ่มเทกำลังมากมายกว่าจะได้รู้ว่ามีอสูรกวางชะมดว่างเปล่าตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่ที่นี่ หากมันถูกบีบจนทิ้งรังไปซ่อนที่อื่น ย่อมเป็นเรื่องที่เขาไม่ยินดีจะเห็นอย่างยิ่ง


นอกจากนี้การจับกวางชะมดว่างเปล่าตัวนี้ยังต้องการเครื่องหอมล่อรวมถึงอุปกรณ์อาคมพิเศษจำนวนหนึ่งอีก จากคำพูดของอีกฝ่ายดูท่าพวกเขาคงเตรียมการมาพร้อม หากร่วมมือกันคงประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายไปได้ไม่น้อย


“ปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนี้ที่จริงเป็นเพียงการทดสอบบทหนึ่งหลังนายน้อยตระกูลข้าเข้าสู่ระดับแก่นแท้เท่านั้น วัตถุดิบที่ได้จากอสูรแห่งความว่างเปล่าไม่ใช่สิ่งที่ต้องเอามาให้ได้ ไม่เช่นนั้นเอาอย่างนี้เถิด วัตถุดิบจากอสูรว่างเปล่า ข้ากล้าตัดสินใจแทนนายน้อย สหายกับนายน้อยตระกูลข้าคนละครึ่งเป็นอย่างไร? ส่วนแก่นปีศาจของอสูรตัวนี้ หากพี่ชายยินดียกให้พวกเรา ข้าย่อมไม่เอาเปรียบพี่ชาย จะมอบหินจิตวิญญาณจำนวนมากพอให้สหายเป็นการชดเชย” ผู้เฒ่าอ้วนได้ยินน้ำเสียงผ่อนคลายลงของหลิ่วหมิง บนหน้าก็ยินดีรีบร้อนเสนอขึ้นมาอีกครั้ง


พูดจบ เขาก็ใช้สายตาไถ่ถามมองไปหาผู้ฝึกฝนขุดขาวที่อยู่ไม่ไกล


ผู้ฝึกฝนชุดขาวเวลานี้กลับทำท่าอย่างไรก็ได้ คล้ายยอมรับข้อเสนอของผู้เฒ่าอ้วนเงียบๆ


หลิ่วหมิงเห็นทุกสิ่งนี้อยู่สายตา สีหน้านิ่งสงบ ความคิดในใจแล่นเร็วรี่


แม้ในข้อมูลบันทึกไว้ว่าขนาดร่างของอสูรกวางชะมดว่างเปล่าตัวนี้ขนาดแค่หนึ่งจั้งกว่า แต่จากบันทึกวิธีหลอมพิเศษนั่น หากแค่นำวัตถุดิบมาใช้ทำฝักกระบี่ว่างเปล่า เอาหนังขนาดหนึ่งในสิบของมันมาก็เพียงพอแล้ว ส่วนแก่นปีศาจของปีศาจอสูรตัวนั้น เดิมทีเขาคิดว่าหลังได้มาจะขายมันในราคาสูง


“พูดเช่นนี้ก็มีเหตุผล ได้ ข้าจะร่วมมือกับท่านทั้งสองสักครั้ง” หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดชั่วครู่ ในที่สุดก็ถอนหายใจยาวแล้วพยักหน้า


“ดีมาก เจ้ากับข้าสองฝ่ายร่วมมือกัน ปีศาจอสูรตัวนั้นย่อมเป็นของในกระเป๋า ถ้าเช่นนั้นขอข้าแนะนำใหม่อีกครั้ง ท่านนี้คือประมุขน้อยแห่งนิกายหยกทองของพวกเรา เฟิงชิงโม่ ขอเรียนถามสหายเรียกขานว่าอย่างไร?”


ผู้อาวุโสหัวเราะฮ่าๆ ร่างกายขยับวูบหนึ่งก็ปรากฏตัวข้างกายผู้ฝึกฝนชุดขาว มือข้างหนึ่งผายออกแนะนำ


ผู้ฝึกฝนชุดขาวเห็นเช่นนี้ แม้ไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่มือข้างหนึ่งก็พลิกเก็บอาวุธจิตวิญญาณระฆังน้อยเข้าไปในแขนเสื้อแล้วประสานมือให้หลิ่วหมิงอย่างเฉยชา


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)