อยากกินไหมล่ะ 824-825

 บทที่ 824 มีแค่ฟันที่แข็งแรงเท่านั้นแหละที่ดีจริงๆ

ร้านพลันตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงซดและเสียงของอู๋ไห่ที่กำลังสูดปากเนื่องจากอาหารรสชาติเผ็ดเกินไปให้ได้ยินเท่านั้นแหละ ทั้งสามคนเอาแต่จดจ่ออยู่กับการกินเกี๊ยวอยู่แบบนั้น


ในบรรดาพวกเขาทั้งสามคน โจวเจียสงวนท่าทีเอาไว้ได้มากที่สุด แต่หลังจากเธอกินเกี๊ยวคำแรกเข้าไป ท่าทีอันน้อยนิดที่เธอสงวนเอาไว้ได้ก็หายวับไปทันทีเนื่องจากเธอเอาแต่หมกมุ่นกับอาหารรสเลิศตรงหน้า


น้ำซุปพริกไทยที่หยวนโจวทำมีสองสีแบ่งเป็นชั้นสีเขียวอยู่บริเวณครึ่งบนและชั้นน้ำมันพริกแดงบริเวณครึ่งล่าง เกี๊ยวอวบๆไหลขึ้นไหลลงในน้ำซุปและสามารถมองเห็นใบกระเทียมสีเขียวเข้มได้เป็นครั้งคราวเช่นกัน


ทีแรกโจวเจียไม่สามารถฝืนทนกินเกี้ยวลงไปได้เลยเนื่องจากพวกมันดูน่ารักน่าชังเกินไปแล้ว แต่เมื่อเห็นเถ้าแก่ของเธอกับอู๋ไห่กำลังซดไม่หยุดเนื่องจากพวกเขากินพร้อมกับกลิ่นหอมเย้ายวนที่ครอบคลุมโพรงจมูกทำให้เธอต้องหยิบช้อนตักเกี๊ยวขึ้นมาลูกหนึ่ง


ตัวช้อนเป็นช้อนกระเบื้องและเกี๊ยวเองก็เป็นสีขาวเช่นกัน ส่วนชั้นน้ำมันพริกแดงกลับห่อหุ่มอยู่รอบเกี๊ยวพร้อมกับใบกระเทียมชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลิ่นหอมที่ปลดปล่อยออกมาช่างเย้ายวนอย่างน่าเหลือเชื่อ


ยามที่กินเกี๊ยวคนส่วนใหญ่จะกัดส่วนที่มีไส้อยู่ข้างใน โจวเจียก็ไม่เว้น เธอค่อยๆกัดอย่างระมัดระวัง


“งั่ม” เธอกินเกี๊ยวไปครึ่งลูกทันทีและอดไม่ได้ที่จะสูดปากออกมา


เกี๊ยวเพิ่งจะทำเสร็จใหม่ๆแถมยังร้อนมากๆอีกต่างหากด้วย และทันทีที่ความร้อนจัดในทีแรกล่วงผ่านไปก็พลันบังเกิดความรู้สึกเผ็ดขึ้นมาชักนำให้โจวเจียเคี้ยวต่อไป


และด้วยการเคี้ยวต่อไปเรื่อยๆ ลิ้นของเธอก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอื่นๆนอกเหนือไปจากนี้ เกิดความรู้สึกชาราวกับปลายลิ้นของเธอหมดความรู้สึกอย่างไรอย่างนั้น ทันใดนั้นทั่วทั้งปากของเธอก็ชาไปหมด แต่ในขณะเดียวกันความรู้สึกเผ็ดกลับพุ่งเข้าจู่โจมต่อมรับรสไม่หยุดหย่อน เมื่อยามที่เคี้ยวนั้น น้ำซุปรสชาติสดชื่นและหอมหวานพลันระเบิดออกจากไส้เนื้อวัวนุ่มเด้งของเกี๊ยว


“อูย อร่อยชะมัดเลย!” หยวนโจวร้องครางออกมาพร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง


“ฮ่าฮ่า ฉันบอกเธอแล้วไง” อู๋ไห่กล่าวอย่างลำพองใจราวกับเป็นเชฟเสียเอง


“อืม กินเยอะๆสิ” หยวนโจวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


“อืม อืม” โจวเจียพยักหน้าแรงๆก่อนที่จะกินเกี๊ยวอีกครึ่งลูกให้หมดในคำเดียว


“อูย ร้อนชะมัดเลย!” โจวเจียปิดปากด้วยมือข้างหนึ่งแล้วโบกพัดปากตนเองด้วยมืออีกข้าง


“ถ้ามันร้อนเกินไปก็กินทีละนิดสิ” อู๋ไห่รีบบอกด้วยสีหน้าเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง


โจวเจียรีบก้มหน้าแล้วปกป้องชามของเธอเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง


“เธอกำลังทำอะไรอยู่น่ะ? ฉันดูเหมือนคนที่จ้องจะขโมยอาหารของสาวๆหรือไงกัน?” อู๋ไห่กล่าวด้วยท่าทีดูถูกดูแคลนก่อนที่จะจ้องมองไปที่ชามของหยวนโจว


ใช่แล้วล่ะ อู๋ไห่ยังคงมีหลักการเป็นของตัวเอง เขาจะไม่ขโมยอาหารของสาวๆหรอก แต่หยวนโจวไม่ใช่สาวๆนี่นา


อนิจจา หยวนโจวนั่งห่างจากเขาเกินไป อู๋ไห่ไม่สามารถเอื้อมไปถึงชามของเขาได้ และด้วยความระแวดระวังของโจวเจียทำให้เขาไม่มีโอกาสต่อต้านเธอได้เช่นกัน


ทั้งสามคนต่างพากันเพลิดเพลินไปกับเกี๊ยวในมื้อนั้น แน่นอนว่าคนที่เพลิดเพลินที่สุดก็คือโจวเจียนั่นเอง แต่เธอกลับอารมณ์บูดขึ้นมาทันทีที่เกี๊ยวหมดลง


“พรุ่งนี้น่าจะมีส่วนลด 10% นะ” หยวนโจวกล่าวขณะที่เริ่มทำความสะอาดชามและตะเกียบ


“ฮะ?” คำกล่าวสร้างความประหลาดใจให้แก่โจวเจียมากเสียจนลืมอารมณ์บูดๆไปเลย


“อะไรนะ? ส่วนลดงั้นรึ? อย่างนี้ร้านนายไม่แออัดแย่หรือไง?” อู๋ไห่ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ


ทั้งโจวเจียและอู๋ไห่ร้องออกมาด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป โจวเจียร้องออกมาเพราะนับตั้งแต่เปิดร้านแห่งนี้มา นอกจากช่วงเปิดร้านแล้วก็ไม่เคยมีส่วนลดให้เลย


ส่วนเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋นั้น เขาร้องออกมาเพราะเขาเกรงว่าจะมีคนมาต่อสู้แย่งชิงที่นั่งในร้านกับเขา แหล่งที่มาแห่งความสนุกสนานเพียงหนึ่งเดียวของอู๋ไห่ก็คือหลิงหงที่ไม่สามารถเพลิดเพลินกับส่วนลดในวันพรุ่งนี้ได้นั่นเอง


ความสูญเสียของหลิงหงคือความเบิกบานของอู๋ไห่


“อืม ส่วนลดนั่นแหละ” หยวนโจวพยักหน้า เมื่อตอนที่เขาไม่สบายอยู่นั้น บรรดาลูกค้าต่างส่งของขวัญแสดงความห่วงใยมาให้เขา เขาจึงตัดสินใจที่จะเสนอส่วนลดให้เป็นการตอบแทน


ถึงแม้ว่าอีคิวของหยวนโจวจะสูงมากเป็นพิเศษก็ตามที แต่เขาก็ยังพอทราบว่าควรจะตอบแทนความมีน้ำใจ


แล้วทำไมเจ้าระบบถึงเห็นด้วยกับเรื่องนี้กันเล่า? เพราะหยวนโจวเป็นคนควักสตางค์ในกระเป๋าตัวเองออกมาเป็นส่วนลดน่ะสิ อาจกล่าวได้เลยว่าคราวนี้หยวนโจวต้องจ่ายเงินเอง


“เอาล่ะ ฉันจะประกาศในกลุ่มแชทคืนนี้นะคะ ฉันจะได้บอกให้เซินหมินรู้ด้วย” โจวเจียกล่าวขึ้นมาทันที


“ดูเหมือนพรุ่งนี้ฉันต้องรีบตื่นแต่เช้าเสียแล้วสิ” อู๋ไห่กล่าวด้วยความกังวลใจ


“ดึกแล้ว พวกนายควรจะกลับได้แล้วนะ” หยวนโจวบอกพวกเขา


“โอเค ลาก่อนนะ” อู๋ไห่โบกมือแล้วจากไป


ส่วนโจวเจียนั้น เธอเดินออกไปพลางโพสต์ประกาศลงในกลุ่มแชท แต่เมื่อเธอแหงนหน้ามองไปที่ร้านกลับมีร่องรอยความไม่พอใจอยู่ในดวงตาของเธอ ส่วนอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เธอไม่พอใจน่ะเหรอ? เป็นที่รับรู้กันว่าหลังจากได้ลองชิมอาหารของหยวนโจวไปครั้งหนึ่งแล้วก็ยากที่จะทานทนต่อความเย้ายวนต่ออาหารของหยวนโจวในภายภาคหน้าได้


“ในที่สุดฉันก็เข้าใจสักทีแล้วว่าทำไมเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋ถึงสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่ออาหาร” โจวเจียถอนหายใจแล้วค่อยๆมุ่งหน้าไปที่สถานีรถโดยสาร


หลังจากทั้งสองคนกลับไปแล้ว ร้านก็กลับคืนสู่ความสงบตามเดิม หยวนโจวจึงกลับขึ้นชั้นบน ไม่นานนักเขาก็ไปล้างหน้าแล้วกลับเข้านอน


เมื่อยามที่เจ็บป่วยก็ควรจะพักผ่อนให้มากเข้าไว้ นี่ก็คือสิ่งที่มารดาของหยวนโจวเคยบอกเขาเอาไว้


รายการโรล เดียร์ บีฟที่หยวนโจวเซ็นต์สัญญาเมื่อไม่นานมานี้มาถึงในที่สุด การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว


พวกเขาน่าจะตัดสินใจที่จะเริ่มการถ่ายทำตอนนี้แล้วเนื่องจากพักนี้หยวนโจวได้รับความนิยมทางอินเตอร์เน็ตจากวิดีโอโปรโมต


ทันทีที่ตอนนั้นจบลงในวันอาทิตย์ โฆษณาสำหรับตอนต่อไปก็เริ่มออกอากาศแล้ว


[เชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีที่มีอายุน้อยที่สุดในประเทศเป็นผู้ที่ได้คะแนนในแง่บวกมากกว่าร้อยละ 95 ซ้ำยังเป็นผู้ที่ถูกคอมเมนต์ด่าถึงร้อยละ 80 มีทั้งพวกนักชิมที่รักและเกลียดในขณะเดียวกัน]


[นี่คือตอนต่อไปที่รายการโรล เดียร์ บีฟจะถ่ายทำ คราวนี้หลี่เหอจะพาเรามาเจอกับอะไรกันนะ?]


ถึงแม้ว่าร้านหยวนโจวจะไม่มีบริการห่อกลับบ้านและไม่ได้ลงทะเบียนในบริการส่งอาหารใดๆเลยก็ตาม แต่ก็ยังได้รับการวิจารณ์ในแอพพลิเคชันวิจารณ์อาหาร


ในบางแอพพลิเคชันวิจารณ์อาหาร ผู้วิจารณ์กว่าร้อยละ 97 ให้คำวิจารณ์ร้านหยวนโจวในแง่ดีโดยมีคะแนนนำโด่งมากกว่าร้อยละ 10 มาตั้งแต่แรกอย่างต่อเนื่อง


ไม่มีใครสามารถโค่นล้มร้านหยวนโจวออกจากแอพพลิเคชันนี้ได้เลย อีกด้านหนึ่งส่วนความคิดเห็นก็เต็มไปด้วยคำร้องเรียนต่างๆ


คำร้องเรียนส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจำกัดให้สั่งได้เพียงแค่คนละจานไม่ก็คิวยาวไปอะไรทำนองนั้น


เมื่อสองสามวันก่อนที่หยวนโจวจะได้รับสนับคู่นั้น ทางรายการได้ส่งคนไปขอคำยืนยันขั้นสุดท้ายจากหยวนโจว แน่นอนว่าย่อมต้องส่งคนอื่นมาแทน ไม่รู้เหมือนกันว่าบุรุษที่ไว้ผมทรงเปิดข้างหายไปไหนเสียแล้ว


ถึงแม้ว่าบุรุษที่ไว้ผมทรงเปิดข้างจะไม่ใคร่ฉลาดและดื้อรั้นมากเกินไปสักหน่อย ทว่าเขาก็ยังเป็นคนที่สุภาพ


อีกด้านหนึ่งผู้ที่มาใหม่กลัวแสดงท่าทีราวกับเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งยังเอาแต่บ่นระหว่างช่วงเวลาเปิดร้านอยู่ตลอด


เมื่อกิจการของเขาถูกขัดจังหวะลงในเวลาเปิดร้านย่อมเป็นสิ่งที่หยวนโจวไม่อาจยอมรับได้มากที่สุดอยู่แล้ว


ผู้ที่มาใหม่ยังคิดที่จะกดหัวหยวนโจวด้วยการข่มขู่ด้วย แต่เขาก็ถูกหลิงหงไล่ตะเพิดออกไปก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไรเสียอีก ในฐานที่เป็นบุตรของตระกูลอันมั่งคั่งที่เคยออกเดทกับนางแบบมานับไม่ถ้วน หลิงหงยังค่อนข้างมีอิทธิพลในวงการบันเทิงด้วย


ผู้ที่มาใหม่นี้ดูเหมือนจะได้งานโดยอาศัยเส้นสายของใครบางคนที่เขารู้จัก เขาช่างไม่ฉลาดเอาเสียเลยแถมยังถูกผู้กำกับเรียกมาตักเตือนเรื่องหยวนโจวอีกต่างหาก


หยวนโจวไม่สนใจเรื่องผลการตักเตือนสักเท่าไหร่นักหรอก สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือผู้ที่มาใหม่ได้หายหน้าหายตาไปแล้วนับตั้งแต่ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์เรียกเขาให้มาขอโทษ


และเหตุการณ์ก็จบลงแบบนั้นเอง ถ้าหากอู๋ไห่ไม่ถูกเจิ้งเจียเว่ยรั้งเอาไว้คงได้ต่อยผู้ที่มาใหม่และเริ่มกัดเขาเป็นแน่แท้ คนผู้นั้นรนหาที่ตายเองชัดๆเลย


อู๋ไห่ก็เหมือนกับสุนัขพิทักษ์ร้านหยวนโจว ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น หยวนโจวก็มักจะปล่อยอู๋ไห่ออกไปทันที


มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่รู้ว่ามีแค่ฟันที่แข็งแรงเท่านั้นแหละที่ดีจริงๆ


บทที่ 825 ภารกิจง่ายๆ

อุปกรณ์ในการถ่ายทำทุกชิ้นถูกจัดเตรียมขึ้นในร้านหยวนโจวอย่างเหมาะสม โดยข้อตกลงได้เสร็จสิ้นลงในวันก่อนและเนื่องจากหยวนโจวไม่สบาย ถึงร้านจะไม่เปิดก็หาได้ส่งผลอะไร


เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ต้องประสานงานก็คือเหล่าดารานั่นเอง อันที่จริงแล้วโรล เดียร์ บีพเป็นรายการเรียลลิตี้นอกสถานที่ ส่วนเรื่องที่ว่าจะสนุกหรือไม่นั้น ยังไงรายการแนวๆนี้ก็มักจะตลกอยู่แล้ว


ดารารับเชิญหลักคือ หลี่เหอ ไป๋กั้วและเจียงเหม่ยซือ ดาราดังๆจะได้รับเชิญมาในแต่ละตอนของรายการนี้ และแน่นอนว่าหาได้เชิญนักแสดงชายและหญิงเพียงแค่คนเดียวไม่ ยกตัวอย่างเช่นแชมป์ต่อยมวยและนักธุรกิจชื่อดังที่ได้รับเชิญมารายการนี้ในช่วงก่อนหน้า


หลี่เหออายุราวๆ 40 ปีและเป็นนักแสดงมากความสามารถ สองปีที่ผ่านมาเขาได้รับความนิยมจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เขาเป็นคนที่มีท่าทางสนุกสนานเช่นกันแถมตอนนี้ยังเป็นผู้นำรายการอีกด้วย


ส่วนไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือนั้นมีอายุราวๆ 20 ปี อย่างแรกเป็นเพราะความหล่อเหลาส่วนอย่างหลังคือท่าทีอันบอบบาง พูดง่ายๆก็คือพวกเขาจึงกลายมาเป็นไอดอล ทั้งสองคนต่างโด่งดังมากและยังเป็นสาเหตุหลักของยอดเข้าชมรายการด้วย


“ได้ข่าววงในของตอนนี้ไหม?” ไป๋กั้วถามขึ้น


“ฉันได้ยินมาจากทีมงานว่าแขกที่ได้รับเชิญจากโปรดิวเซอร์มีชื่อเสียงไปทั่วโลกแถมยังได้รับคะแนนความนิยมอย่างถล่มทลายในประเทศฝรั่งเศสเชียวล่ะ นอกจากนี้เขายังเคยได้รางวัลมาก่อนด้วยนะ” หลี่เหอกล่าว


ตอนที่อยู่ในรถนั้น ตากล้องก็เริ่มหมุนกล้องแล้ว ดังนั้นหลี่เหอกับไป๋กั้วจึงเริ่มคุยกันเพื่อบ่งบอกว่าเริ่มการถ่ายทำอย่างเป็นทางการแล้ว


“ได้รับคะแนนความนิยมในประเทศฝรั่งเศส? แถมยังเคยได้รางวัลมาก่อนด้วยรึ?” เจียงเหม่ยซือเริ่มต้นอาชีพของตนเองในฐานนักแสดงหญิง ดังนั้นความคิดแรกในหัวก็คือ “รางวัลในเทศกาลภาพยนต์เมืองคานส์งั้นเหรอ?”


“สุดยอดนักแสดงชายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์งั้นรึ?” ไป๋กั้วกล่าวต่อไป “เรื่องนั้นไม่มีทางเป็นไปได้หรอกจริงไหมล่ะ? แม้ว่าเขาจะมีโอกาสครั้งสำคัญระหว่างเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ แต่ปกติแล้วคนดังแบบนั้นจะไม่เข้าร่วมพวกรายการวาไรตี้หรอกนะ” สิ่งที่ทำให้ไป๋กั้วค่อนข้างเก็บตัวก็เพราะพวกผู้ชนะรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์มักจะมีสถานะสูงส่งจนน่าเหลือเชื่อ โปรดิวเซอร์คงไม่เต็มใจที่จะหว่านเงินเพื่อเชิญคนพรรค์นี้จริงๆหรอกใช่ไหม?


“เธอคิดอะไรอยู่งั้นรึ? คราวนี้แขกรับเชิญไม่ได้มาจากวงการบันเทิงหรอก” หลี่เหอยุติจินตนาการพวกนั้นแล้วกล่าวว่า “คนเขียนบทคนหนึ่งบอกฉันว่าแขกรับเชิญในคราวนี้เป็นเชฟล่ะ”


ไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือเข้าใจได้ในทันทีเมื่อพวกเขาได้ยินว่าเป็นเชฟ


มิชลินไกด์ที่โด่งดังไปทั่วโลกมีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศส นอกเหนือไปจากนั้นยังจัดให้มีการแข่งขันทำอาหารขึ้นในประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นการแข่งขันทำขนมอันเลื่องชื่อมากที่สุดที่จัดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส


ดังนั้นไป๋กั้วและเจียงเหม่ยซือจึงสรุปว่าแขกรับเชิญในคราวนี้น่าจะเป็นเชฟที่มีชื่อเสียงมากเป็นแน่


ไป๋กั้วไม่สนใจเมื่อได้ยินว่าแขกรับเชิญเป็นเชฟ ส่วนเจียงเหม่ยซือกลับถูกกระตุ้นความสนใจขึ้นมาและเธอก็เริ่มค้นหาเชฟที่ตรงกับคำบรรยายในอินเตอร์เน็ตดู ถึงอย่างไรเธอเองก็จัดว่าเป็นนักชิมคนหนึ่งแหละนะ


“แทนที่จะมัวแต่อยากรู้เรื่องแขกรับเชิญ เธอน่าจะอยากรู้เรื่องสถานที่มากกว่านะ สถานที่ถ่ายทำของเราในคราวนี้พิเศษมากเชียวล่ะ” หลี่เหอกล่าว “ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันไปที่สถานี ผู้กำกับบอกฉันว่าสถานที่ถ่ายทำพิเศษมากทีเดียวและพวกเราต้องเตรียมจิตใจให้พร้อมด้วย”


“เตรียมจิตใจ? หมายความว่าไงกันน่ะบอสหลี่? อย่าทำให้ฉันกลัวสิ” ไป๋กั้วจ้องมองไปทางหลี่เหอพลางถามเขาไปด้วย เขาเคยประสบกับความทุกข์ทรมานมาแล้วครั้งหนึ่ง


เจียงเหม่ยซือยุติการค้นหาในอินเตอร์เน็ตเช่นเดียวกัน เธอเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองไปทางหลี่เหอ คำพูดของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน


ในฐานที่เป็นแขกรับเชิญของโรล เดียร์ บีฟมานาน พวกเขาเริ่มหวนระลึกถึงประสบการณ์อันน่าอนาถก่อนหน้านี้


เจียงเหม่ยซือเป็นสตรีที่กลัวยุงและแมลงวันอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พวกเขาต้องไปถ่ายทำในชนบทอันห่างไกล ระหว่างถ่ายทำเธอจำเป็นต้องสังเวยตัวเองให้กับยุง ส่วนไป๋กั้วจากสีหน้าของเขาคงพอจินตนาการได้ถึงประสบการณ์อันแสนน่าอนาถของเขาได้เช่นกัน


“ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะโกหกฉันหรอกนะ” หลี่เหอไม่แน่ใจในสิ่งที่โปรดิวเซอร์พยายามที่จะทำสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นเขาจึงเล่าเรื่องทุกอย่างที่เขารู้ออกมาให้ฟัง “ฉันคิดว่ามันเป็นร้านเล็กๆที่รู้จักกันในฐานที่เป็นร้านของสุดยอดเชฟและเถ้าแก่ร้านแห่งนั้นก็มีนามว่าหยวนโจวนั่นเอง” ไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย แต่พวกเขาทั้งสองคนต่างก็คิดว่าร้านของสุดยอดเชฟช่างเป็นชื่อที่ค่อนข้างโอหังมากทีเดียวถึงจะตั้งได้


แต่ไม่ว่าอย่างไรเจียงเหม่ยซือก็เป็นนักชิมคนหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับชื่อหยวนโจว เธอตัดสินใจที่จะหาข้อมูลดูก่อน


อันที่จริงแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่เรียกร้านหยวนโจวก็เพราะหยวนโจวไม่มีป้ายร้าน ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดความยุ่งยากระหว่างการให้คะแนนร้านที่หมาย


ฉะนั้นเมื่อทั้งสองคนลองค้นหาคำว่าร้านของสุดยอดเชฟในอินเตอร์เน็ตดูแล้ว พวกเขากลับไม่พบสิ่งใดเลย แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปค้นหาคำว่าหยวนโจวตรงแถบค้นหากลับปรากฏข้อมูลเป็นจำนวนมากขึ้นมาแทน


โดยปรากฏบทความมากมายนับไม่ถ้วนอาทิเช่นอาหารจานเด็ดที่น่าพึงพอใจที่สุดในชีวิต ความหวังของเชฟจีนและอื่นๆอีกมายมายขึ้นมา แม้แต่วิดีโอโปรโมตเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีที่พบเมื่อเร็วๆนี้ก็ด้วย


“ดูเหมือนว่าร้านแห่งนี้จะเป็นที่นิยมจริงๆเสียด้วยสิ” ไป๋กั้วบ่นพึมพำ


เมื่อเจียงเหม่ยซือเลื่อนลงไปอีก เธอก็ค้นพบว่าแม้จะเป็นนักชิมคนหนึ่ง แต่เธอกลับพลาดร้านดังขนาดนี้ไปเสียได้


แน่นอนว่าหลังจากหาข้อมูลพวกนั้นแล้ว ย่อมเกิดคำถามเดียวกันขึ้นในหัวของพวกเขาเช่นกัน ทำไมโปรดิวเซอร์ถึงได้บอกให้พวกเขาเตรียมจิตใจให้พร้อมด้วยนะ?


จู่ๆเจียงเหม่ยซือก็เห็นบางอย่างในฟอรัมการสนทนาบางอย่าง: แฉ! เรื่องลึกลับของร้านหยวนโจว!


“มีเบื้องลึกเบื้องหลังเสียด้วย!” เจียงเหม่ยซือกับไป๋กั้วเบียดเข้าหากัน


[ร้านหยวนโจวตั้งอยู่บนถนนที่แลดูธรรมดาสามัญตรงถนนเถ่าซือ แม้ลักษณะภายนอกจะไม่น่าสนใจ ทว่ากลับมีโลกอีกใบซ่อนตัวอยู่ภายในร้าน]


[ในฐานที่เป็นลูกค้าที่เชื่อมั่นในร้านหยวนโจว(ฉันไม่บอกหรอกว่าฉันเป็นใคร) ทำให้ฉันได้สัมผัสกับเนื้อร้ายทั้งสิบของร้านหยวนโจว]


จู่ๆเจียงเหม่ยซือก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้จึงปรบมือแล้วกล่าวออกมาว่า “ฉันจำได้แล้ว! ก่อนหน้านี้มีเชฟอายุน้อยที่มีชื่อเสียงในการแลกเปลี่ยนวิชาทำอาหารระหว่างจีน-ญี่ปุ่น ชื่อของเขาก็คือหยวนโจว”


ในฐานที่เป็นดาราระดับตัวแม่ เจียงเหม่ยซือยังให้ความสนใจกับการแลกเปลี่ยนวิชาทำอาหารระหว่างจีน-ญี่ปุ่นด้วย สิ่งนี้ช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอเป็นนักชิมตัวยงคนหนึ่งเลยทีเดียว


การร้องอุทานขึ้นมาโดยกะทันหันของเจียงเหม่ยซือสร้างความตกตะลึงให้แก่ไป๋กั้ว หลังจากเธอสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว เธอก็อ่านต่อไป


[อันดับหนึ่ง: หยวนโจว]


[ใช่แล้วล่ะ อันดับแรกยังไงก็ต้องเป็นของหยวนโจวอยู่แล้ว เขาเป็นคนที่น่าชิงชังมากๆเลย ฉันจะไม่อธิบายหรอกนะว่าทำไม]


[ลำดับที่สอง: อู๋ไห่]


[ลำพังด้วยชื่อเสียงอันโด่งดังของเขา ยังไงเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋ก็ครอบอันดับที่สองอยู่แล้วล่ะ จะไม่เถียงสักหน่อยเหรอ?]



[อันดับที่ห้า: นักมวย]


[นี่เป็นแค่คนเดียวในรายชื่อนี้ที่ไม่มีใครรู้จักชื่อแซ่ที่แท้จริงของเขา ทุกครั้งที่เขามาที่ร้านหยวนโจว เขาก็จะมีบาดแผลตามตัว ครั้งหนึ่งเขาเคยทำให้ลูกค้ารายใหม่ตกใจกลัวจนหนีไป โชคดีที่เขาค่อนข้างเป็นคนดีทีเดียวล่ะ]


[อันดับที่หก: จางถาน]


[เขาเป็นคนขับรถลากทั้งยังเป็นคุณปู่ที่เล่าเรื่องเก่งมากเชียวล่ะ เขาเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในการเล่าเรื่องซึ่งนับว่าสูญเปล่าไปกับการเลือกทำอาชีพขับรถลาก บางครั้งเขาก็จะเล่าเรื่องสยองขวัญมากมายจนพาให้ทุกคนรู้สึกกลัวไปด้วย]



“ทำไมรายชื่อทั้งหมดนี้ถึงเอาแต่พูดถึงพวกลูกค้ากันเล่า? มีข้อมูลอะไรบ้างไหม?” ไป๋กั้วชักจะเริ่มอดรนทนไม่ไหวแล้ว เขาไม่สนใจเนื้อร้ายทั้งสิบที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายสักนิดเดียว


แล้วพอเลื่อนลงไปอีก หัวข้อก็เปลี่ยนจากเนื้อร้ายทั้งสิบ รายชื่อของผู้สนับสนุนร้านหยวนโจวก็ปรากฏขึ้นมา


[เมิ่งเมิ่ง]


[ผู้สนับสนุนหลัก: เธอเป็นผู้ที่ค้นพบว่าสามารถสั่งข้าวผัดไข่กับเซ็ตข้าวผัดไข่ได้ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นย่างก้าวเล็กๆของคนผู้หนึ่ง ทว่ากลับเป็นย่างก้าวใหญ่ๆของมนุษยชาติเลยก็ว่าได้ การค้นพบของเธอนับว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติมากทีเดียว ดังนั้นเธอจึงสมควรที่จะได้อยู่อันดับแรกบนรายชื่อนี้แล้ว]



ไม่มีข้อมูลอะไรอีกแล้ว ไป๋กั้วจึงหมดความสนใจไป เขาไม่ได้เงื่อนงำอะไรอย่างที่บทความพากันกล่าวถึงเมื่อได้สัมผัสกับข้าวผัดไข่เลย


“ก็แค่ร้านอาหารร้านหนึ่งเท่านั้นแหละ ฉันเดาว่าจะต้องเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากเลยล่ะ” เจียงเหม่ยซือกล่าวขึ้นหลังจากปิดโทรศัพท์ของตนเองแล้ว


ก่อนหน้านี้ระหว่างที่ทั้งสองคนเอาแต่ยุ่งง่วนกับการเลื่อนโทรศัพท์อยู่นั้น โปรดิวเซอร์ก็มอบภารกิจแรกให้หลี่เหอมาแล้ว


“มาดูภารกิจแรกกันเถอะ” หลี่เหอเปิดซอง เมื่อไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือเบนความสนใจกลับมาที่ตัวเขาแล้ว เขาก็เริ่มอ่านคำสั่งในซอง “ภารกิจแรก: กินอาหารกลางวันในร้านของสุดยอดเชฟให้หมด”


กินอาหารกลางวันงั้นหรือ?


ไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือมองเหม่อ นั่นมันภารกิจอะไรกัน? มันจะง่ายเกินไปแล้ว


หลี่เหอวิเคราะห์ตามหลักเหตุผลว่า “โปรดิวเซอร์คงไม่ให้ภารกิจง่ายๆกับเราแน่ๆ ตอนนี้เที่ยงแล้ว บางทีร้านอาจจะกิจการดีมากก็ได้นะ?”


แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ไป๋กั้วกับเจียงเหม่ยซือก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ ถึงแม้ว่าจะกิจการดีขนาดไหนทว่าก็แค่เที่ยงวัยเท่านั้น พวกเขาจะต้องไปให้ถึงใน 10 นาที โดยพวกเขาจะต้องไปให้ถึงก่อนเที่ยงครึ่ง มิฉะนั้นก็คงยากที่จะได้กินอาหารกลางวันแล้วล่ะ


หลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว ทั้งสามคนก็ได้ข้อสรุปว่าบางทีวันนี้โปรดิวเซอร์อาจจะใจดีจึงมอบภารกิจง่ายๆให้แก่พวกเขา


เจียงเหม่ยซือค่อนข้างมีความสุขทีเดียว อีกสักพักเธอก็จะได้กินของอร่อยเลื่องชื่อแล้ว


จะมีอะไรมีความสุขมากไปกว่าการถ่ายรายการไปแถมยังบรรลุภารกิจได้ง่ายๆระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินไปกับอาหารดีๆได้อีกเล่า?


ไม่มีเสียหรอก


“อีกอย่างแขกรับเชิญก็กำลังรอเราอยู่ในร้านใช่ไหม?” ไป๋กั้วถามขึ้นมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)