หมอดูยอดอัจฉริยะ 824-829

ตอนที่ 824 เลื่อนขั้น

 

“ขอบใจ!”


ตอนที่ปราณวิเศษเหล่านั้นถูกดึงออกจากร่างกาย เหลยหู่ก็ได้สติขึ้นมา พลางมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยแววตาที่ซับซ้อน ถึงแม้จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง แต่จากรูปปากนั้นก็ได้พูดคำว่าขอบคุณออกมาสองคำ


“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


ความสนใจของเยี่ยเทียนไม่ได้อยู่ที่ตัวของเหลยหู่ เพราะเขาพบว่า เดิมทีท้องฟ้าที่มืดมิด ตอนนี้เหมือนจะถูกธาตุแท้ของปราณวิเศษห่อหุ้มเอาไว้เกือบทั้งหมด รอบตัวของเขาล้วนขาวโพลน และปราณวิเศษเหล่านั้นก็มีความจำกัดต่อพลังจิต เยี่ยเทียนสามารถตรวจจับสภาพที่อยู่ไกลออกไปได้เพียงสิบกว่าเมตรเท่านั้น


ก่อนที่จะตกลงมาในรอยแยก เยี่ยเทียนเดาว่าระยะห่างจากพื้นน่าจะอยู่ที่ความสูงสี่ห้าร้อยเมตร ดังนั้นเขาจึงใช้ปราณแท้ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ แล้วค่อยๆ ลดระดับความเร็วลงอย่างช้าๆ


“อืม เหมือนจะออกจากพื้นที่ที่มีปราณวิเศษโดยรอบแล้ว แต่ทำไมถึงรู้สึกมีแรงกดดันที่หนักมากเช่นนี้?”


หลังจากหนึ่งนาทีผ่านไป พลังจิตของเยี่ยเทียนจึง “มอง” ไปที่ด้านล่างของร่างกาย หมอกควันสีขาวแทบจะไม่เห็นแล้ว เขาจึงดีใจยกใหญ่แล้วเพิ่มความเร็วในการลงไป


เพียงแต่ตอนที่ร่างกายของเขากำลังจะออกจากม่านหมอกนั้น จู่ๆ ก็มีพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งเกิดขึ้นรอบทิศในขณะเดียวกัน และเยี่ยเทียนถูกบีบอัดโดยไร้การป้องกันใดๆ กระดูกเกิดเสียงดัง “กร๊อบ” ใบหน้าเผยความหวาดผวาขึ้นมาในทันที


“นี่…นี่ก็คือปราณวิเศษเหรอ” เยี่ยเทียนพยายามฝืนความเจ็บปวดของร่างกายเค้นปราณแท้ออกมา เพื่อกำจัดแรงกดดันนี้ แต่กลับพบว่าหลังจากที่แรงกดดันที่หนักหน่วงราวกับผืนดินขนาดใหญ่มาอยู่ที่ร่างกายตัวเองแล้ว มันกลับไหลเข้าไปภายในร่างกายของเขาโดยตรง


หากจะพูดถึงปราณวิเศษก่อนหน้านี้ เยี่ยเทียนยังสามารถผ่านจุดตันเถียนหยินหยางให้แปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ปราณวิเศษนี้จู่ๆ ก็ไหลเข้ามาจำนวนมากอย่างฉับพลัน ต่อให้เป็นตันเถียนหยินหยางก็ยังรับภาระไม่ไหว จึงไม่สามารถแปรเปลี่ยนปราณวิเศษที่พุ่งเข้าสู่เส้นลมปราณของเยี่ยเทียนได้โดยตรง


ร่างกายของมนุษย์เรานั้น สามารถทนรับพลังที่ไม่เหมือนกันได้ในแต่ละช่วง ถึงแม้เยี่ยเทียนจะอยู่ระดับเซียนเทียนแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถรับปราณวิเศษรุนแรงที่มาจากรอบทิศได้เช่นนี้ และความรู้สึกที่กดดันที่เกิดจากปราณวิเศษเหล่านั้น ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแป้ง ที่ถูกคนบดนวดไปตามความต้องการของคนอื่น เสียงเจ็บปวดที่มาจากกระดูกของแขนขานั้น ได้พุ่งตรงเข้าสู่สมองของเขาทันที


ทว่าเหลยหู่ที่อยู่ด้านล่างของเยี่ยเทียน หลังจากที่ร่างกายถูกปราณแท้ของเยี่ยเทียนตัดขาดการสัมผัสกับโลกภายนอก จึงไม่ได้ถูกการดูดกลืนของปราณวิเศษเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงมองใบหน้าของเยี่ยเทียนที่เปลี่ยนไปเพราะความเจ็บปวดอย่างไม่เข้าใจ


“แม่งเอ้ย แบบนี้ข้าทนไม่ไหวนะ!”


ความเจ็บปวดทรมานที่อยู่ทั่วร่างกาย ราวกับเข็มเงินทิ่มเข้าไปในสมอง ทิ่มแทงเยี่ยเทียนจนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และในเวลานี้เอง จู่ๆ เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าร่างกายท่อนล่างเบาลง และปราณวิเศษที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งพลันหายวับไปในพริบตาเดียว


ทว่าเยี่ยเทียนก็ยังคงลำบากต่อไป เพราะร่างกายท่อนบนของเขา ยังคงต้องรับการโจมตีจากปราณวิเศษอยู่ดี ความรู้สึกของความเย็นและความร้อนที่ปะทะกันเช่นนี้ ทำให้เยี่ยเทียนทนไม่ไหวอีกครั้ง ในหัวของเขาเกิดเสียงดังหวึ่ง และในที่สุดขณะเดียวกันที่ร่างกายกำลังหลุดออกจากขอบเขตของพลังปราณวิเศษนั้น เยี่ยเทียนก็สูญเสียความรู้สึกและการควบคุมของร่างกายทั้งหมด


“อ้าว เยี่ยเทียน อย่าทำแบบนั้นสิ?!”


เหลยหู่ที่สังเกตสีหน้าของเยี่ยเทียนตลอดเวลา จู่ๆ ก็พบว่าร่างกายของตัวเองกำลังร่วงหล่นลงไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงรีบก้มหน้าดู แล้วจึงรู้สึกตกใจขวัญหนีดีฝ่อ


เพราะเหลยหู่พบว่า ผืนน้ำด้านล่างที่มีระยะห่างจากตัวเอง อยู่ที่ระดับความสูงประมาณสิบกว่าเมตรเท่านั้น และบนผืนน้ำก็ยังมีหมอกที่ลอยคลุ้งอยู่อีกชั้น เขาจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าน้ำลึกแค่ไหน และข้างล่างนั้นมีโขดหินหรือเปล่า?


เมื่อไม่มีปราณแท้ของเยี่ยเทียนคอยควบคุมร่างกายเอาไว้ ทั้งสองคนจึงตกลงไปในน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว หลังจากสองสามวินาทีผ่านไป จึงเกิดเสียงดัง “ตู้ม ตู้ม” สองครั้ง ทั้งสองคนทยอยตกลงไปในทะเล จากนั้นก็ถูกแรงคลื่นขนาดใหญ่ซัดสาด ทำให้เหลยหู่ที่ลอยตามหลังเยี่ยเทียน ศีรษะโอนเอนไปมาแล้วจึงสลบไป


แต่ก็ยังคงเป็นท้องฟ้าสีครามและทะเลสีเขียวมรกต เพียงแต่น้ำทะเลของที่นี่นั้น ไม่มีคลื่นโหมซัดสาดขนาดใหญ่เหมือนตอนก่อนหน้า แต่กลับเงียบสงบเป็นอย่างมาก สถานที่สูงจากระดับน้ำทะเลหนึ่งพันกว่าเมตรที่เยี่ยเทียนทั้งสองคนตกลงไปนั้น มีเกาะอยู่แห่งหนึ่ง คลื่นละเอียดพัดเข้าหาหาดทรายสีขาวสะอาด เกิดเป็นคลื่นที่แตกกระสานซ่านเซ็นเป็นฟองฝอยสีขาวราวหิมะ


ถึงแม้การไหลของน้ำทะเลจะช้ามาก แต่ก็ยังซัดแพชูชีพที่มัดทั้งสองคนไปที่ชายหาด หลังจากสองสามชั่วโมงผ่านไป ร่างของทั้งสองคนจึงปรากฏอยู่บนหาดทราย


“แม่งเอ้ย ทำไมถึงมาอยู่ในห้วงอากาศนี้อีกแล้ว?”


เยี่ยเทียนที่สูญเสียความรู้สึกของร่างกายไปแล้ว แต่สิ่งที่น่าเศร้ากว่าก็คือการพบว่าตัวเองได้กลับมาอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิดอีกครั้ง เหมือนกับหลังจากเกิดเหตุการณ์โศกวินาฏกรรม “911” ในครั้งนั้น ที่เขาถูกขังอยู่ในจิตวิญญาณของตัวเอง เมื่อมีประสบการณ์ในครั้งนั้น เยี่ยเทียนจึงรู้ว่า นี่คือการปกป้องร่างกายของตัวเองรูปแบบหนึ่ง เพราะกลัวว่าพลังจิตของเขาจะทนรับความเจ็บปวดและพังทลายไม่ไหว


“ถ้าหากกายเนื้อถูกกระแทกจนแตกสลาย จิตวิญญาณของฉันยังจะมีชีวิตรอดอยู่ไหม?”


รอบด้านเต็มไปด้วยความมืด เยี่ยเทียนกลุ้มใจสุดขีด เขาไม่รู้ว่าในพื้นที่หมอกสีขาวที่มีการก่อตัวของปราณวิเศษตัวเองได้ตกลงมาจากระดับความสูงเท่าไร แต่เขาจำได้ว่าตัวเองยังคงลอยอยู่กลางอากาศอยู่


เมื่อสูญเสียการควบคุมของร่างกาย ไม่ว่าด้านล่างอีกสองสามร้อยเมตรจะเป็นน้ำทะเล หรือต่อให้เยี่ยเทียนจะหนังหนาผิวหนังหยาบกร้าน แต่นั่นก็คือจุดจบที่ทำให้ร่างกายแตกสลายได้


ทว่าเยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า เวลานี้ในกายเนื้อของเขา กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน


ขณะเดียวกับที่เยี่ยเทียนออกมาจากพื้นที่หมอกสีขาวนั้น ถึงแม้สติจะทนรับความเจ็บปวดไม่ไหว จนถูกดึงเข้าไปอยู่ในจุดลึกสุดของจิตวิญญาณก็ตาม ทว่าตันเถียนหยินหยางกลับเสถียรมากขึ้น แล้วค่อยๆ แปรเปลี่ยนปราณวิเศษของเส้นลมปราณที่อัดแน่นอยู่ทั่วร่างของเยี่ยเทียน


และดาบบินคู่กายที่อยู่ในจุดตันเถียนนั้น ก็ค่อยๆ หมุนอย่างช้าๆ ก่อเกิดแรงดึงดูดจำนวนมหาศาล นำปราณวิเศษที่ติดอยู่ในเส้นลมปราณของเยี่ยเทียนดูดเข้าไปในตัวดาบทั้งหมด และการหลั่งพรั่งพรูของปราณวิเศษจำนวนมาก ตัวดาบสีแดงจึงค่อยๆ เปลี่ยนสี แล้วเกิดแสงแวววาวสีเงินออกมาทั้งเล่ม


แต่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ทั้งหมดกลายเป็นมีดสั้นสีเงิน แล้วในที่สุดมันก็ดูดซับพลังปราณที่รุกรานร่างกายภายในของเยี่ยเทียนเข้าไปทั้งหมด ดาบบินเกิดการสั่นสะเทือนพักหนึ่ง ก่อให้เกิดเสียงดังกังวานเข้าไปในจิตวิญญาณของเยี่ยเทียน แล้วจึงปรากฏอานุภาพเกรียงไกรของปราณดาบที่สามารถทำลายกำแพงเหล็กที่แข็งแกร่งได้ออกมา ทำให้อากาศที่อยู่เหนือร่างกายของเยี่ยเทียนเหมือนจะเกิดการบิดเบี้ยวขึ้นมา


“แม่งเอ้ย คราวที่แล้วผ่านไปนานแค่ไหนนะ?”


ดังคำโบราณกล่าวว่าในภูเขาไร้มิติแห่งกาลเวลา ซึ่งไม่ต่างจากเยี่ยเทียนที่ถูกขังอยู่ในจุดลึกสุดของจิตวิญญาณในตอนนี้ ในภาวะเช่นนั้น เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าโลกภายนอกผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หลังจากที่เสียงดังกังวานของดาบบินส่งเสียงไปยังสมอง เขาจึงรู้ว่าตัวเองสามารถควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง


“เอ๋? เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?”


เยี่ยเทียนที่เพิ่งฟื้นคืนสติ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแก่นวิญญาณเกิดการสั่นระทึกครู่หนึ่ง คนร่างเล็กเสมือนจริงก็นั่งขัดสมาธิอยู่ที่จุดอิ้นถัง อ้าปากสูดลมหายใจ แล้วปราณแท้รอบกายที่เยี่ยเทียนยากจะรับไหวก็ทะลักออกมา จากนั้นก็ถูกดูดเข้าไปในแก่นวิญญาณราวกับปลาวาฬดูดน้ำ


“โอ้ว สบายจริง!”


ตอนที่ปราณแท้ไม่ได้หลงเหลืออยู่ในร่างกายของเยี่ยเทียนแล้วนั้น แก่นวิญญาณที่ขดแน่นอยู่ตรงกลางระหว่างคิ้วก็คลายตัวออก ลืมตาทั้งสอง แล้วจึงเหยียดแขนที่เล็กทั้งสองข้างขึ้นไปข้างบนพลางบิดขี้เกียจ ในขณะเดียวกันแก่นวิญญาณได้พ่นปราณแท้ขนาดย่อมติดต่อกันไม่ขาดสายออกมาแล้วกลับเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายของเยี่ยเทียนอีกครั้ง


“นี่…นี่คุณสมบัติของปราณแท้ ไม่เหมือนกับของเดิมอย่างสิ้นเชิง?”


เมื่อรู้สึกถึงพลังกลับมาอยู่ในร่างกายอีกครั้ง ใบหน้าของเยี่ยเทียนจึงเผยความตื่นเต้นดีใจออกมาอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าปราณแท้ที่ผ่านการคัดกลั่นผ่านแก่นวิญญาณ ถึงแม้ปริมาณจะน้อยกว่ามาก แต่ด้านคุณภาพนั้นกลับเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน


ถ้าหากเมื่อก่อนเยี่ยเทียนใช้พลังสามส่วน ก็สามารถยกของที่มีน้ำหนักห้าพันกิโลกรัมได้ เช่นนั้นตอนนี้เพียงแค่เขาเค้นพลังออกมาครึ่งเดียว ก็สามารถบรรลุผลลัพธ์อย่างเดียวกันได้ นี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพ ปราณแท้เริ่มกระชับแน่นและเสถียรมากขึ้น


“หืม? ทำไมดาบบินถึงกลายเป็นสีนี้?”


ตอนที่เยี่ยเทียนสำรวจจุดตันเถียนนั้น เขาจึงอดตกตะลึงไม่ได้ เนื่องจากได้เพิ่มธาตุไฟเข้าไป ทำให้ดาบบินที่เดิมทีเป็นสีแดงทั้งเล่ม ตอนนี้กลับกลายเป็นสีเงินไปแล้ว และปราณดาบที่มีอานุภาพเกรียงไกรได้แผ่ซ่านออกมาด้านนอก ล้นทะลักเข้าไปอยู่ในจุดตันเถียน


“ฉัน…ฉันกำลังจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นกลางแล้วเรอะ?”


เมื่อมองตันเถียนหยินหยางของตัวเองอีกครั้ง หัวใจของเยี่ยเทียนจึงเกิดความตระหนักรู้ขึ้นมา ถึงแม้ขนาดของตันเถียนจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่เยี่ยเทียนก็สามารถสัมผัสได้ว่า เวลานี้ตันเถียนสามารถรับปริมาณของปราณวิเศษเพิ่มขึ้นได้กว่าเมื่อก่อนถึงสิบเท่า


การเปลี่ยนแปลงของปราณวิเศษ ตันเถียนรวมทั้งดาบบิน ทั้งหมดนี้สามารถอธิบายได้ว่า วรยุทธของเยี่ยเทียนได้เข้าสู่โลกใหม่อีกแล้ว การเพิ่มขึ้นของพลังอันมหาศาลนับสิบเท่า ดูเหมือนจะมีแนวโน้มของความเป็นไปได้ในการเลื่อนระดับขั้นมากที่สุด


“แม่งเอ้ย ทำไมทุกครั้งจะต้องทำให้ตัวเองเกือบตายด้วย?”


หลังจากที่ตื่นเต้นดีใจไปแล้ว ในใจของเยี่ยเทียนจึงเกิดความหวาดกลัวตามมา เนื่องจากแรงกดดันที่ก่อตัวจากปราณวิเศษในตอนนั้น เป็นแรงกดดันที่มากกว่าตอนที่เขาได้รับเมื่ออยู่ในสระน้ำหยินหยางของภูเขาฉางไป๋ซานหลายเท่า ตัว ตอนนั้นเยี่ยเทียนมีความรู้สึกเหมือนร่างกายแทบจะถูกบีบออกไป


“ที่นี่คือที่ไหน? บ้าจริง” เมื่อสำรวจสภาวะร่างกายของตัวเองอย่างละเอียดแล้ว เยี่ยเทียนจึงมองสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัว


“โธ่เว้ย หรือว่าปราณวิเศษที่อยู่บนเกาะจะมีอยู่เต็มเปี่ยมแบบนี้? อย่างนั้นข้าจะมัวเสียเวลาไปสร้างค่ายกลชุมนุมพลังทำไมอีก?”


เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้า พายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดจากฟ้าผ่าได้หายไปนานแล้ว ท้องฟ้ายังคงเป็นสีฟ้าครามแต่ไร้ซึ่งก้อนเมฆ พื้นโลกเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิเศษที่แข็งแกร่ง แม้แต่น้ำทะเลที่อยู่ไม่ไกลจากบนชายหาด ก็ยังมีหมอกสีขาวที่เกิดจากการก่อตัวของปราณวิเศษ


เมื่อทอดสายตามองออกไปไกลๆ จึงมองเห็นป่าที่เขียวชอุ่มมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด และป่ายังคงรายล้อมไปด้วยปราณวิเศษ นอกจากนี้ยังมีต้นไม้ที่สูงหนึ่งร้อยกว่าเมตร ลำต้นสูงนั่นราวกับเสาหยกสูงเสียดฟ้า พุ่มต้นไม้ขนาดใหญ่ราวกับต้นหม่อนในเทพนิยาย ปกคลุมไปทั่วพื้นปฐพี


“สรุปแล้วข้ามาอยู่ที่ไหนกันแน่?”


เยี่ยเทียนงงเป็นไก่ตาแตก หลังจากที่เขายันตัวเองลุกขึ้นมา จู่ๆ ข้างหูก็ได้ยินเสียงร้องโอดครวญออกมา พอกันไปมอง เหลยหู่ที่ร่างกายท่อนล่างแช่อยู่ในน้ำทะเลก็ฟื้นขึ้นมา


“ท่านเยี่ย พวกเราไม่ได้ตกลงมาตายใช่ไหมครับ?”


พอเหลยหู่ลืมตาก็มองเห็นเยี่ยเทียน แต่สายตาของเขายังคงไม่กระปรี้กระเปร่า เห็นได้ชัดว่ายังฟื้นไม่เต็มที่


“พวกเราน่าจะถูกน้ำทะเลพัดเข้ามา ถ้าหากไม่ได้ตกอยู่บนหาดทรายนี้ เกรงว่าคงจะตายสถานเดียว!”


เยี่ยเทียนมองไปยังร่มชูชีพที่กำลังกระเพื่อมไปตามกระแสน้ำทะเล แล้วพลันเข้าใจในทันใด ทว่าสายตาที่ทอดมองอออกไปไกลๆ นั้น กลับทำให้เขาต้องขมวดคิ้วขึ้นมา ด้วยความสามารถในการมองของเขา สามารถมองเห็นผืนน้ำทะเลในระยะหนึ่งถึงสองร้อยเมตรเท่านั้น



 

 

 


ตอนที่ 825 ซากศพ

 

ปกติแล้ว สายตาในการมองบนทะเลนั้นจะกว้างมาก แม้ว่าจะเป็นการมองด้วยตาเปล่า ก็ยังสามารถมองเห็นสถานที่ไกลๆ ได้ แต่ในน้ำที่อยู่ด้านนอกของเกาะแห่งนี้ กลับปกคลุมไปด้วยหมอกชั้นบางๆ เหมือนกับคลุมด้วยผ้าเนื้อบางอีกชั้น ห่อหุ้มเกาะแห่งนี้เอาไว้


“เหมือนที่นี่จะมีอะไรแปลกๆ?”


เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าจะออกห่างจากผืนน้ำแล้ว เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกว่า ความเข้มข้นของพลังแห่งฟ้าดินที่อยู่ในพื้นที่แห่งนี้บริสุทธิ์มาก ซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเทียบกับค่ายกลชุมนุมพลังที่เกาะฮ่องกงแล้ว ยังสู้ไม่ได้เลยจริงๆ


นอกจากนี้ท้องฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะของเยี่ยเทียนนั้น เป็นสีฟ้าครามทว่าไม่มีแม้แต่ก่อนเมฆ เหมือนกับไพลินหนึ่งเม็ดที่ฝังอยู่บนท้องฟ้ามากกว่า และด้วยมลพิษของอุตสาหกรรมอย่างในทุกวันนี้ ก็ยากที่จะมองเห็นได้ อย่างน้อยเมืองหลวงที่ได้รับฉายาว่าเป็นเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ที่เยี่ยเทียนอาศัยอยู่ก็ยังไม่เคยเห็นท้องฟ้าแบบนี้มากก่อน


“ท่านเยี่ย ที่นี่คือที่ไหนครับ?”


ในที่สุดเหลยหู่ก็ได้สติแล้ว จึงรีบลุกขึ้น ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไป แล้วเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาบนใบหน้า “เอ๊ะ ผม…เหมือนผมจะบรรลุขั้นแล้ว ทะ…ทำไมถึงบรรลุสองขั้นติดต่อกันได้? ตอนนี้วรยุทธของผมเข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิตแล้ว!”


ในประเทศจีน การแยกประเภทของระดับการฝึกพลังยุทธนั้น ปกติจะแบ่งเป็นพลังปรากฏ พลังแฝง และพลังสับเปลี่ยน เดิมทีที่ต่างประเทศนั้นก็เรียกเช่นนี้ นอกจากศิษย์พี่สองสามคนแล้ว เหลยเจิ้นเทียนพ่อของเหลยหู่ คือยอดฝีมือเพียงคนเดียวที่เยี่ยเทียนเคยพบเห็น


เพียงแต่ในลัทธิเต๋า จะแยกประเภทของระดับการฝึกวรยุทธเป็น การฝึกพลังกายให้เป็นพลังปราณ การหลอมปราณสู่จิต กับการหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า และในสองด้านนี้ยังมีการหลอมความว่างเปล่าเป็นเต๋าอีกด้วย ทว่าพวกนี้ก็เป็นเพียงในตำนานเท่านั้น


ตอนนั้นหลังจากที่เยี่ยเทียนได้ประมือกับเหลยเจิ้นเทียนในสมาคมหงเหมินนั้น เขารู้สึกเลื่อมใสในวรยุทธของเขาเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนเคยพูดคุยกันอยู่บ้าง เยี่ยเทียนจึงบอกระดับการฝึกเต๋าให้เหลยเจิ้นเทียนได้รับรู้ สองสามปีที่ผ่านมาเหลยเจิ้นเทียนเก็บตัวศึกษาวิจัยวรยุทธของลัทธิเต๋าอยู่ในบ้านมาตลอด ดังนั้นเหลยหู่จึงเข้าใจและสามารถอธิบายระดับของแต่ละขั้นได้อย่างชัดเจน


ถึงแม้วรยุทธของเหลยเจิ้นเทียนจะสูงพอตัว แต่หลายครั้งที่เหลยหู่มัวแต่ยุ่งงานของสมาคมหงเหมิน ทำให้วรยุทธของเขาฝึกถึงระดับพลังปรากฏเท่านั้น ซึ่งหมายถึงใช้พลังในการต่อสู้คนอื่นได้ และช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเขาได้เก็บตัวปลีกวิเวกอยู่กับพ่อ แต่ก็ฝึกได้ถึงขั้นสุดยอดของพลังปรากฏเท่านั้น โดยไม่สามารถเข้าสู่ขั้นพลังแฝงได้เลย


หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ วรยุทธก่อนหน้าของเหลยหู่นั้น แม้แต่คุณสมบัติในการเข้าสู่การฝึกเต๋าเพื่อเป็นเซียนก็ยังไม่มี แน่นอนว่า เมื่อถึงระดับของเยี่ยเทียนแล้ว จำเป็นต้องเข้าสู่การหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า ซึ่งก็คือระดับเซียนเทียน แบบนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญตบะของจริง


“ท่านเยี่ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ? คือท่านที่ช่วยผมหรือครับ?”


เหลยหู่หันหลับมาแล้วตรวจสอบร่างกายอย่างละเอียด กลับพบว่าชี่แท้ที่อยู่ในร่างกายกำลังพลุ่งพล่าน จุดฝังเข็มที่ยากจะผ่านด่านไปได้ตอนนี้กลับทะลุปรุโปร่งไร้สิ่งกีดขวาง รู้สึกว่าร่างกายเบาสบายไปทั้งตัว ซึ่งก็คือระดับการหลอมปราณสู่จิตเหมือนที่พ่อเคยกล่าวไว้


“คุณนี่โชคดีไม่เบา ครั้งนี้ถือว่ามีความโชคดีในความโชคร้ายอยู่บ้าง!” เยี่ยเทียนมองเหลยหู่หนึ่งที ถึงแม้จะไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด แต่ในใจกลับเหมือนกระจกใสที่สะท้อนภาพความเป็นจริงออกมาก็ไม่ปาน


สาเหตุที่เหลยหู่สามารถกระโดดจากนักสู้ที่ไม่เข้าขั้น เลื่อนขั้นมาถึงการหลอมปราณสู่จิตได้ ถือว่าเป็นขั้นสูงสุดของผู้ฝึกวิชายุทธในโลกมนุษย์แล้ว และในความเป็นจริงมันก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับปราณวิเศษที่เขาได้พบเจอหลังจากตกเข้าไปอยู่ในรอยแยกนี้


ถึงแม้วรยุทธของเหลยหู่จะไม่พอ ทำให้เขาเกือบต้องตัวระเบิดตายเพราะปราณวิเศษขนาดใหญ่ แต่โชคดีที่ถูก เยี่ยเทียนใช้วิชาดึงปราณวิเศษออกมาได้ แต่ขณะเดียวกันที่ปราณวิเศษเข้าไปทำลายสมรรถนะมากมายในร่างกายของเขา พลังฟ้าดินที่แสนบริสุทธิ์เหล่านั้น ก็ได้ขยายเส้นลมปราณของเขาให้กว้างขึ้นเช่นกัน ทำให้สามารถรองรับชี่แท้ได้มากขึ้น


หลังจากตกลงไปในทะเลแล้ว ปราณวิเศษในทะเลอันกว้างใหญ่ก็ล้นทะลักเข้าไปในร่างกายของเหลยหู่ เข้าไปซ่อมแซมฟื้นฟูและหล่อเลี้ยงส่วนที่สึกหรอในร่างกาย ทำให้เส้นลมปราณถูกบังคับให้ขยายขนาดและมีความเสถียรภาพมากขึ้น จากนั้นถึงได้เข้าสู่ขั้นการฝึกหลอมปราณสู่จิต หากอยู่ในโลกมนุษย์แล้ว ถือว่าเขาก็เป็นปรมาจารย์ระดับเซียนคนหนึ่ง


เมื่อเข้าสู่ขั้นการหลอมปราณสู่จิต ก็หมายความว่าอายุขัยได้เพิ่มขึ้นเท่าตัว หากไม่เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดเสียก่อน เขาน่าจะมีอายุราวหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าปีเหมือนกับหลี่ซั่นหยวนโดยไม่พิกลพิการก็เป็นได้ ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงได้บอกว่าเหลยหู่มีความโชคดีอยู่ในความโชคร้ายนั่นเอง


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงรีบคุกเข่าลงไปบนพื้นทันที ชูมือซ้ายไปบนท้องฟ้า มือขาวแนบตรงหน้าอก แล้วเอ่ยพูดว่า “ขอบคุณบุญคุณในการช่วยชีวิตของท่านเยี่ย ต่อไปหากเหลยหู่กระทำการใดที่ไม่เคารพต่อท่านเยี่ยอีก ผมก็คือคนที่สู้หมูหมาไม่ได้!”


เหลยหู่ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิต เดิมทีก็รู้สึกกระหยิ่มใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นการมองด้วยความเย็นชาของเยี่ยเทียนแล้ว เหมือนกับคนที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้ามายืนอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนก็ไม่ปาน จึงไม่มีความลับอะไรในใจอีก


เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เยี่ยเทียนเหาะอยู่กลางอากาศในตอนนั้น เหลยหู่จึงเข้าใจว่าระยะห่างของตัวเองกับเยี่ยเทียนนั้นมีมากแค่ไหน เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับคนที่เลอะเลือน คิดแต่จะเป็นศัตรูกับเยี่ยเทียนมาตลอด


“ลุกขึ้นเถอะครับ คุณสมบัติของคุณก็มีพอตัวอยู่ เพียงแต่เมื่อก่อนความคิดและจิตใจใช้ผิดที่ก็เท่านั้นเอง!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า ใช้มือขวาประคองขึ้นมาอย่างมีมารยาท เหลยหู่รู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งพาดอยู่บนไหล่ทั้งสองของตัวเอง เขาไม่กล้าขัดขืน แล้วจึงลุกขึ้นไปตามแรงนั้น


“พวกเราน่าจะยังอยู่ในทะเล เพียงแต่ที่นี่มีหมอกห้อมล้อม จึงไม่สามารถมองเห็นสภาพบนผืนน้ำได้ ถึงจะมีเรือแล่นผ่านมา ก็ไม่น่าจะมองไม่เห็นพวกเราหรือเปล่า?”


เวลานี้เยี่ยเทียนก็รู้สึกดีใจที่เหลยหู่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ไม่อย่างนั้นการเร่ร่อนอยู่บนเกาะแห่งนี้ เกรงว่าเขาจะไม่มีใครให้พูดคุยด้วยซ้ำ


“ท่านเยี่ย มีระบบระบุตำแหน่งอยู่ใต้ที่นั่งนั่นครับ พวกเขาจะต้องตามหาพวกเราเจอแน่นอน!”


ตอนที่เยี่ยเทียนข่มขู่พนักงานขับเครื่องบินทั้งสองคนในห้องนักบินนั้น เหลยหู่ได้ยินแอร์โฮสเตสพูดถึงเรื่องการติดตั้งตำแหน่งการช่วยเหลือไว้ที่ใต้เก้าอี้ ตอนนั้นเขาจึงเดินลงไปในน้ำทะเลสองสามก้าว ลากแพชูชีพกับร่มชูชีพที่ตกกระจายอยู่ข้างบนมาที่ชายหาด


“เหมือนของจะอยู่ครบ หืม? มีกรรไกรตัดเล็บด้วย?”


ขณะที่มองดูเหลยหู่หยิบของที่อยู่ในถุงกันน้ำออกมาจากแพชูชีพทีละชิ้น เยี่ยเทียนจึงอดขำขึ้นมาไม่ได้ สิ่งที่หยิบออกมาเป็นสิ่งแรกคือขวดน้ำเปล่าสี่ขวด นอกจากนี้ยังมีอาหารแคลอรี่สูงจำนวหนึ่ง อย่างเช่นพวกช็อกโกแลตเป็นต้น


นอกจากของพวกนี้แล้ว ภายในถุงยังชีพยังมียาลดอักเสบกับเข็มและด้าย บางทีอาจจะเป็นความต้องการของพวกแอร์โฮสเตส เพราะข้างในยังมีกล่องเครื่องสำอางอยู่หนึ่งกล่อง แถมยังมีอุปกรณ์ทำเล็บหนึ่งชุด ทำให้เยี่ยเทียนจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ออก


“หืม? เหลยหู่ เป็นอะไร?” เยี่ยเทียนพบว่า ขณะที่เหลยหู่กำลังหยิบของออกมาข้างนอกนั้น จู่ๆ เขาก็ทำสีหน้าเศร้าขึ้นมา


“ท่านเยี่ย เหมือน…เหมือนเจ้านี่จะพังแล้ว!”


เหลยหู่หยิบกล่องพลาสติกที่มีขนาดเท่ากล่องไม้ขีดไฟกล่องหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าขมขื่น แล้วพูดว่า “นี่คืออุปกรณ์ติดตั้งระบุตำแหน่งนั่นครับ ถ้าหากมันสามารถส่งสัญญาณออกไปได้ ตรงนี้ก็เป็นสีเขียว แต่…แต่ท่านดูสิ ตอนนี้มันโชว์ว่าเป็นสีเหลือง แสดงว่าสัญญาณไม่ได้ถูกส่งออกไป!”


อุปกรณ์การติดตั้งระบุตำแหน่งที่เหลยหู่ถืออยู่นี้ คือหลี่เชาเหรินสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ และบนเส้นทางโคจรนอกโลก ยังมีดาวเทียมสื่อสารลูกหนึ่งโดยเฉพาะ เพื่อให้บริการระบุตำแหน่งรอบโลก ให้กับเหล่ามหาเศรษฐีทั่วโลกที่สามารถจ่ายเงินในราคาที่สูงลิบลิ่วเช่นนี้ได้


จากคำพูดของผู้ขายระบบแบบนี้ ขอเพียงคนที่พกอุปกรณ์การติดตั้งแบบนี้ยังอยู่บนโลกใบนี้ล่ะก็ พวกเขาก็สามารถจับตำแหน่งของผู้ที่พกพาได้ ภายในเวลาหนึ่งนาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมรัศมีที่อยู่ระยะสิบเมตรได้อย่างแม่นยำอีกด้วย


“แบตเตอรี่หมดหรือเปล่า?”


เยี่ยเทียนยื่นมือไปหยิบกล่องนั่นมา แล้วพลิกหาตำแหน่งที่ใส่แบตเตอรี่ โดยปกติแล้วเวลาที่รีโมททุกตัวในบ้านแบตหมด เยี่ยเทียนก็จะกัดแบตเตอรี่ด้วยความเคยชิน แบบนี้จะทำให้พลังงานของแบตเตอรี่กลับมาชั่วคราว


เหลยหู่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ครับ ท่ายเยี่ย แบตเตอรี่พวกนี้หลังจากห่างจากเครื่องบินแล้ว อย่างน้อยก็สามารถใช้ถ่านได้นานถึงห้าปี!”


สำนักหงเหมินนอกจากจะทำกิจการของตัวเองแล้ว ยังรับงานเป็นบอดี้การ์ดให้พวกมหาเศรษฐีเชื้อสายจีนบางคน จึงมีการติดต่อกับมหาเศรษฐีเชื้อสายจีนที่อยู่ในวงการอยู่บ้าง


เมื่อสองสามปีก่อนมีแก๊งโจรเรียกค่าไถ่ฉายาว่า “มหาเศรษฐีใหญ่” ได้สร้างความวุ่นวายอยู่ในเกาะฮ่องกง แม้แต่เหลยหู่ก็ยังเคยทำงานด้านความปลอดภัยให้กับพวกมหาเศรษฐีด้วยตัวเอง ตอนนั้นบนตัวของมหาเศรษฐี จะติดตั้งอุปกรณ์ระบุตำแหน่งพวกนี้เกือบทั้งหมด ดังนั้นเหลยหู่จึงเข้าใจของพวกนี้เป็นอย่างกี


“ขึ้นไปอยู่บนฝั่งก่อนเถอะ ทานอะไรสักหน่อยแล้วก็พักผ่อนเล็กน้อย ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็ต้องพายเรือออกจากเขตหมอกนี้ บางทีเจ้าสิ่งนี้อาจจะใช้การได้!”


หลังจากได้ยินเหลยหู่อธิบายแล้ว เยี่ยเทียนจึงเข้าใจใจทันที ก็เหมือนกับที่โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ ที่มักจะเกิดขึ้นกับตัวเยี่ยเทียนบ่อยๆ ไม่ใช่หรือ?


ในต่างประเทศ ผู้คนมักจะอธิบายถึงความสามารถที่เหนือมนุษย์ ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็ก ปราณแท้ที่ไหลทะลักออกมาจากตัวของเยี่ยเทียนนั้น ก็สามารถอธิบายได้ว่าเป็นสนามแม่เหล็กอย่างหนึ่ง และพลังแห่งฟ้าดินก็อัดแน่นอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นจึงมีผลกระทบอย่างมากสำหรับอุปกรณ์ไร้สายพวกนี้ จึงเป็นเรื่องที่ปกติมากที่ส่งสัญญาณออกไปไม่ได้


“ครับ ท่านเยี่ย พวกเราขึ้นไปดูข้างบนก่อน เหมือนเกาะแห่งนี้จะแปลกพิลึกชอบกล!” เหลยหู่พยักหน้า เขาเองก็มองเห็นต้นไม้ที่สูงเสียดฟ้าอยู่ไม่ไกลเช่นกัน แต่หากเทียบกับการพบว่าเยี่ยเทียนสามารถเหาะได้นั้น เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงแบบนี้ถือว่าไม่มีอะไรมาก


“ไปกันเถอะ ไปดูบนเกาะกัน ระวังตัวหน่อยนะ!”


เยี่ยเทียนนำสิ่งของที่วางกระจัดกระจายเก็บใส่ในถุงเป้สะพายหลัง จากนั้นจึงหยิบพลอยวิเศษสองสามชิ้นที่อยู่กับตัวออกมา กระเป๋าของเขาก็ขาดหลุดรุ่ยบ้างแล้ว ถ้าหากพลอยวิเศษตกหล่นลงไป ถึงเยี่ยเทียนจะร้องไห้ก็คงหาไม่เจอ


“ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่? ทำไมปราณวิเศษถึงเปี่ยมล้นเช่นนี้ หรือข้างล่างจะมีสายแร่ของพลอยวิเศษ?”


ทุกจุดบนหาดทรายนี้มีความกว้างเป็นอย่างมาก กว้างประมาณห้าสิบกว่าเมตรเห็นจะได้ ขนาดเม็ดทรายละเอียดสีขาวนุ่ม ก็ยังมีหมอกสีขาวเลือนรางอยู่อีกหนึ่งชั้น


เมื่อเหยียบไปบนหาดทราย ในใจของเยี่ยเทียนแทบอยากจะขุดพื้นตรงนี้เสียด้วยซ้ำ หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนขั้นกลางแล้ว ความต้องการปราณวิเศษของเขานั้นเพิ่มสูงขึ้น เมื่อครู่ตอนที่หยิบพลอยวิเศษสองสามชิ้นนั้น เยี่ยเทียนก็เกิดความรู้สึกบางอย่าง ว่าพลอยวิเศษเหล่านี้เดิมทีมากพอที่จะทำให้เขาตัวระเบิดได้ ทว่าก็ยังไม่สามารถทำให้เขาเลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นปลายได้


“ท่านเยี่ยครับ ดูเหมือนจะไม่ใช่พื้นดินนะครับ?”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงของเหลยหู่ก็พลันดังขึ้นมา “ท่านเยี่ยรีบดู นั่น…นั่นคืออะไร?”


“แม่งเอ้ย นี่คือซากศพของสัตว์เรอะ?” เมื่อมองไปทางที่เหลยหู่ชี้ เยี่ยเทียนจึงเงยหน้าขึ้น ตอนที่เขามองเห็นวัตถุที่อยู่บนพื้นขนาดยี่สิบกว่าเมตรตรงหน้านั้น สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นความหวาดผวาทันที


นั่นคือซากกระดูกที่มีลำตัวยาวยี่สิบกว่าเมตร ความสูงประมาณสามเมตรได้ และเนื้อหนังทั้งตัวของซากศพนี้ก็ผุกร่อนเน่าเปื่อยไปนานแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะถูกลมฝนพัดเข้า ทำให้เศษกระดูกเหล่านั้นหล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ทว่าก็ยังมองออกถึงขนาดลำตัวที่ใหญ่มหึมาเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่



 

 

 


ตอนที่ 826 สัตว์ประหลาด

 

“นี่…นี่คือสัตว์อะไรกัน?”


เมื่อมองดูซากศพของสัตว์ขนาดยักษ์ที่อยู่ไม่ไกลบนพื้น ใจของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความสั่นสะเทือน นอกจากวัตถุขนาดใหญ่ยักษ์ที่เคยเห็นในภาพยนตร์แล้ว ต่อให้เป็นมังกรดำ ก็มีความยาวประมาณสิบกว่าเมตร ไม่อาจเทียบกับซากกระดูกที่อยู่ตรงหน้านี้ได้


สัตว์ตัวนี้ยังมีแขนขา ลำคอยาว โครงกระดูกที่อยู่ตรงทรวงอกมีความยาวถึงสองเมตร นอกจากนี้ยังสังเกตุเห็นกรามล่างที่สึกกร่อนอยู่บนพื้น มันมีฟันแหลมคมที่ยาวเหมือนมีดสั้นเรียงกันเป็นแถว เห็นได้ชัดว่ามันคือสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่บนบก


บางทีสิ่งมีชีวิตที่เติบโตอยู่ในมหาสมุทรจะมีขนาดใหญ่แบบนี้ แต่เท่าที่เยี่ยเทียนรู้มา นอกจากยุคไดโนเสาร์แล้ว สัตว์ที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่แบบนี้ได้สูญพันธุ์ไปจากโลกหมดแล้ว หากไม่อย่างนั้นจอมราชันย์ของโลกใบนี้อาจจะไม่ใช่พวกมนุษย์


“ท่านเยี่ย ตรง…ตรงนั้นก็มีครับ!”


ความจริงเหลยหู่ไม่ต้องเตือน เยี่ยเทียนก็มองเห็นเหมือนกัน ตรงที่ไม่ไกลจากสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์นี้ ยังเต็มไปด้วยซากโครงกระดูกของสัตว์ชนิดต่างๆ เรียงรายอยู่แน่นขนัดเต็มไปหมด มันมีโครงสร้างที่ใหญ่มาก กระทั่งใหญ่กว่าซากศพตัวนี้อีกสองสามเท่า ส่วนโครงสร้างที่เล็กหน่อย ก็มีความยาวประมาณสี่ห้าร้อยเมตร


“แม่เจ้า พวกเรามาอยู่ที่ไหนกันแน่?” เยี่ยเทียนเกิดความรู้สึกประหลาดใจบางอย่าง เมื่อตัวเองกับเหลยหู่มาอยู่ท่ามกลางซากศพของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่พวกนี้ พวกเขาเหมือนมาอยู่ในเมืองคนยักษ์และบทบาทที่ตัวเองได้รับก็คือคนแคระ


แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนไม่เข้าใจก็คือ ซากกระดูกเหล่านี้ไม่ได้ซ้อนทับถมกัน แต่กลับเรียงเป็นแถวยาวไปตามชายฝั่ง เป็นเหตุที่ทำให้เยี่ยเทียนมองออกไปไกลเมื่อสักครู่ แล้วเข้าใจผิดว่านี่คือเขตป่าไม้ที่ปกคลุมไปทั่ว


“เหมือนบนพื้นจะไม่ใช่พื้นดิน แต่…แต่เป็นซากศพเน่าเปื่อยของสัตว์ที่หลงเหลือเอาไว้?”


เยี่ยเทียนเดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว แล้วความสนใจก็ถูกดึงดูดไปบนพื้นที่อ่อนนุ่มทันที ตอนนี้เขาเพิ่งพบว่า ที่แท้พื้นดินที่ดูเหมือนจะเป็นสีดำสนิท มันก็คือเนื้อหนังที่ตกหล่นมาจากสัตว์เหล่านี้ ถ้าหากที่นี่ไม่ใช่ทะเลล่ะก็ เกรงว่าคงจะกลายเป็นอากาศพิษที่รุนแรงมากไปนานแล้ว


“ท่านเยี่ย พวก…พวกเรามาอยู่ที่ไหนกันแน่ครับ?”


เมื่อมองดูสถานการณ์แปลกประหลาดที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว เหลยหู่ที่เคยเล่นบทโหดฆ่าคนเลือดสาดมานักต่อนัก ขาทั้งสองข้างก็เริ่มสั่นขึ้นมาแล้ว ความรู้สึกอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตเมื่อสักครู่ เวลานี้ได้หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา


“ไม่รู้ ฉันไม่รู้ว่ายังมีสถานที่ไหนบนโลกที่มีสิ่งมีชีวิตแบบนี้หลงเหลืออยู่?”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า ดวงตาทอดมองออกไปไกลๆ ทะลุผ่านซากกระดูกของสัตว์เหล่านี้ ทำให้เยี่ยเทียนมองเห็นว่า เบื้องหน้าในระยะหนึ่งร้อยกว่าเมตรของเขานั้น แทบจะไม่มีหญ้าสีเขียวเลย แต่ในบริเวณนี้ กลับเป็นป่าไม้เขียวขจี มีต้นไม้สูงเสียดฟ้ามากมาย ปรากฏให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวา


แต่ท่ามกลางความมีชีวิตชีวาเหล่านั้น เยี่ยเทียนกลับรู้สึกถึงพลังอาฆาตที่รุนแรงบางอย่าง กระทั่งเขาไม่กล้าปล่อยปราณแท้ออกไปสำรวจภายนอก เพราะเขาสามารถสัมผัสได้ว่า สถานที่เหล่านี้เหมือนจะมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่และแข็งแกร่งซ่อนตัวอยู่ และมากพอที่จะทำลายแก่นวิญญาณของเขาให้บาดเจ็บได้


“บ้าเอ้ย ต่อให้เป็นอุโมงค์มังกรและถ้ำเสือ ฉันก็จะลองบุกเข้าไป!”


ต่อให้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากแค่ไหน เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่รู้ ในใจก็จะเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาขนาดคนที่แข็งแกร่งอย่างเยี่ยเทียน เวลานี้ก็ยังเกิดความรู้สึกหวาดผวาบางอย่าง ความรู้สึกแบบนี้ เป็นความรู้สึกที่เหลือจากความรู้สึกเสียหน้า จึงได้ปลุกเร้าจิตใจที่แข็งแกร่งและตรงไปตรงมาที่อยู่ในสายเลือดของเขา


“ท่านเยี่ย ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลยครับ!” หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงอดจินตนาการขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ป่าที่เขียวชอุ่มเป็นพุ่มพฤกษ์นั่น เหมือนกับเป็นปากขนาดใหญ่ของสัตว์ที่ดุร้าย กำลังรอพวกเขาเข้าไป


“ท่านเยี่ย พวกเราไปรอทีมกู้ภัยบนชายหาดดีกว่าไหมครับ? ที่ตรงนั้นดูอันตรายมากเกินไป”


เดิมทีเหลยหู่ก็ไม่ใช่นักต่อสู้อยู่แล้ว ความรู้สึกสั่นสะท้านที่เกิดขึ้นมาในหัวใจ ทำให้ร่างกายของเขาถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว ไม่มีแม้แต่ความคิดอยากจะเข้าไปสำรวจป่าแห่งนี้เลย


นอกจากนี้เหลยหู่ยังสัมผัสได้ว่า ซากศพของสัตว์พวกนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ด้านนอกของหาดทราย ไม่มีสัตว์สักตัวสามารถเข้าไปในนั้นได้ ทำให้เหลยหู่พอจะเข้าใจอยู่บ้าง บางทีชายหาดก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดของเกาะแห่งนี้


“ตำแหน่งจากดาวเทียมก็ส่งออกไปไม่ได้ แกคิดว่าพวกเขาจะตามหาพวกเราเจอหรือ?”


เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างช้าๆ ความเต็มเปี่ยมของพลังแห่งฟ้าดินในพื้นที่แห่งนี้ มากกว่าค่ายกลชุมนุมพลังที่เขาสร้างไว้ที่ฮ่องกง และสนามแม่เหล็กที่มีความพิเศษเฉพาะตัวจากการก่อตัวของปราณวิเศษทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดกลายเป็นเศษเหล็ก


ถ้าหากเยี่ยเทียนเดาไม่ผิด ธาตุของปราณวิเศษที่อยู่ข้างนอกเหล่านั้น ยังมีความสามารถในการอำพรางตัว ห่อหุ้มเกาะทั้งเกาะเอาไว้ และมีเพียงอย่างนี้เท่านั้น ถึงจะพออธิบายสาเหตุที่ยังไม่มีใครค้นพบเกาะแห่งนี้จนถึงปัจจุบัน


“ท่านเยี่ย อย่างนั้น…อย่างนั้นพวกเราจะทำยังไงกันดีครับ?”


เวลานี้เหลยหู่ทำอะไรไม่ถูกแล้ว สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่พวกนี้ล้วนมาตายอยู่ตรงหน้า เขาจึงไม่กล้าจินตนาการจริงๆ ว่าบนเกาะนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวแบบไหนหลงเหลืออยู่อีก


“ทำยังไง? มีสองวิธี”


หลังจากมองป่าที่อยู่ไกลๆ เยี่ยเทียนจึงคิดครู่หนึ่ง พลางชี้นิ้วออกไปแล้วพูดว่า “อย่างแรก พวกเราใช้แพชูชีพพายออกไปที่ทะเล เพื่อหนีออกจากเกาะแห่งนี้ แต่จะออกไปได้ไหม ฉันก็ไม่กล้ารับประกัน


อย่างที่สอง ก็คือเข้าไปสำรวจเกาะแห่งนี้ ดูว่าข้างในยังมีมนุษย์อยู่หรือไม่ ถ้าหากมี พวกเราก็จะได้ข้อมูลจากพวกเขามาบางส่วน หรือบางทีก็จะสามารถหาวิธีออกไปจากเกาะแห่งนี้ได้ ขอเพียงออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ฉันเชื่อว่าตำแหน่งทางดาวเทียมจะสามารถใช้การได้”


ตอนนี้เยี่ยเทียนคาดเดาแบบนี้ เพียงแต่เขาไม่กล้ามั่นใจ เพราะสภาพการณ์ของที่นี่ไกลเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก


เหลยหู่มองไปที่ป่าลึกและเงียบสงบที่อยู่ไกลๆ  รีบพูดว่า


“ท่านเยี่ย ผม…ผมรู้สึกว่าพวกเราเดินกลับกันเถอะครับ บางทีถ้าผ่านหมอกสีขาวพวกนั้น ไม่แน่อาจจะออกไปได้ก็ได้นะครับ?”


“ได้ งั้นพวกเราก็ไปดูที่ทะเลกันก่อน!”


เยี่ยเทียนพยักหน้า พูดตามจริง ทุกครั้งที่เขามองไปยังป่าลึกนั่น หัวใจของเยี่ยเทียนจะเต้นอยู่พักหนึ่ง นี่คือลางบอกเหตุของอันตราย ถ้าหากสามารถหาทางออกจากทะเลได้ เยี่ยเทียนจะไม่ยอมเข้าไปหาเรื่องสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในป่าเด็ดขาด


หลังจากตกลงกันแล้ว เยี่ยเทียนกับเหลยหู่จึงหมุนตัวเดินกลับไป ขณะเดียวกับที่พวกเขากำลังหมุนตัว ตรงชายป่านั่น จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามเสียงดังออกมา สั่นสะเทือนจนทำให้ซากศพของสัตว์เหล่านั้นต่างกระจัดกระจาย


“บ้าเอ๊ย รีบเดินเร็วเข้า!” ตอนที่เสียงคำรามดังออกมา ความรู้สึกถึงอันตรายพลันเอ่อล้นเข้ามาในหัวใจทันที เยี่ยเทียนรีบดึงเหลยหู่ให้วิ่งไปทางชายหาดอย่างรวดเร็ว


“โกรล!” เสียงคำรามครั้งที่สองดังตามมา จากเสียงคำรามนี้ ก็มีร่างเงาสีเขียวโผล่พรวดออกมาจากในป่า ผ่านระยะห่างหนึ่งร้อยกว่าเมตรภายในชั่วพริบตาเดียว เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที ก็ไล่ตามหลังเยี่ยเทียนกับเหลยหู่ทันแล้ว


“นี่คืออะไร?” พลังของอีกฝ่ายนั้นเร็วเกินไป เหลยหู่ที่อยู่ข้างหลังเยี่ยเทียนเพิ่งจะหมุนตัว ก็พบร่างเงาสีเขียวอยู่ตรงหน้าแล้ว เขายกมือขวาขึ้นมาเมื่อรู้ตัว แล้วกำหมัดชกไปที่ทิศทางของอีกฝ่าย


หลังจากเข้าสู่ขั้นการหลอมปราณสู่จิตแล้ว เหลยหู่รู้สึกว่าพลังที่อยู่รอบตัวเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างน้อยสิบเท่า การชกหมัดนี้ออกไป เขาเชื่อว่าต่อให้ข้างหน้าคือแผ่นเหล็ก ก็สามารถชกจนทะลุได้


“อ๋า? โอ๊ย!”


ขณะเดียวกับที่เหลยหู่ปล่อยหมัดออกไป เขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน จึงร้องเสียงตกใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่หมัดที่ปล่อยออกไปอยางเต็มเหนี่ยวนั้น ไม่สามารถชักกลับมาได้ หลังจากส่งเสียงร้องตกใจ ก็ตามด้วยเสียงร้องโอดครวญ ร่างกายถอยหลังไปติดต่อกัน บนพื้นเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากตัวของเขา


“บ้าเอ้ย นี่มันตัวอะไรกัน?” ขณะเดียวกับที่เหลยหู่ถอยหลังไปอย่างทุลักทุเล เยี่ยเทียนก็มองเห็นสิ่งมีชีวิตตัวนั้นเช่นกัน ดวงตาจึงเบิกโพลงขึ้นทันที


นี่คือสิ่งมีชีวิตที่มีตัวสูงประมาณสามเมตร ตัวเขียวไปทั้งตัว บนหลังของมัน มีหนามแหลมแข็งเหมือนเม่นงอกเต็มไปหมด แต่หัวของมันนั้นกลับมีหน้าตาคล้ายกับหัววัว


เพียงแต่มันไม่เหมือนกับวัวที่กินหญ้าทั่วไป เวลานี้ในปากของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ กลับคาบแขนที่ยังมีเสื้อผ้าข้างหนึ่งเอาไว้ ฟันที่คล้ายกับมีดสั้น ก็กัดฝังเข้าไปในเนื้อ ดวงตาโตเหมือนระฆัง จ้องมองเยี่ยเทียนที่หันตัวกลับมาตาไม่กระพริบ


เหลยหู่ที่อยู่ข้างหลังเยี่ยเทียน แขนขวาเหนือข้อศอกได้หายไปหมดแล้ว ดูเหมือนเหลยหู่จะยังไม่ได้สติกลับมาจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เขาตกตะลึงอยู่กับที่แบบนั้น ปล่อยให้เลือดไหลหยดลงบนพื้นไปเรื่อยๆ


“รีบห้ามเลือดเร็วเข้า ฉันจะสู้กับมันเอง!”


นิ้วกลางมือขวาของเยี่ยเทียนจี้เบาๆ สกัดจุดสองสามตำแหน่งบนไหล่ของเหลยหู่ เพื่อห้ามเลือดที่ไหลทะลักออกมา เหลยหู่เองก็ได้สติกลับมาแล้ว รีบฉีกชายผ้าที่อยู่บนตัว ห่อแขนที่ขาดเอาไว้แน่น


“กร๊อบ กร๊อบ!”


ไม่รู้ว่าเป็นการสร้างแรงกดดันให้เยี่ยเทียนหรือเปล่า ปากใหญ่ของสัตว์ประหลาดตัวนี้อ้าแล้วหุบ ฉีดกัดแขนขาดของเหลยหู่ที่อยู่ในปาก เสียงกระดูกแตกหัก ดังออกมาจากปากของขนาดใหญ่นั่นอย่างชัดเจน ทำให้คนรู้สึกขนพองสยองเกล้า


“วัวกินเนื้อมนุษย์?”


เยี่ยเทียนเกิดความคิดบางอย่าง มีแววตาที่เหลือเชื่อ อ้าปากพ่นลมหายใจออก แสงสีเงินแวววาวพุ่งออกมาจากปากแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าอก


“ไป!” เยี่ยเทียนไม่หยุดชะงักเลยสักนิด มีดบินพุ่งออกไปเมื่อเขาแผดเสียงคำรามออกมาเบาๆ ด้วยระยะห่างที่สั้นขนาดนี้ มีดบินก็ได้ปรากฏตัวอยู่บนลำคอของสัตว์ประหลาดแล้ว


ขณะที่เห็นมีดบินกำลังจะตัดหัวของเจ้าวัวนั่น ร่างของสัตว์ประหลาดก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน ทำให้มีดบินพุ่งไปโดนหนามแข็งที่งอกอยู่เต็มหลังของมันแทน จากนั้นก็มีเสียงเหมือนโลหะปะทะกันดัง “ติ๊ง” แล้วสัตว์ประหลาดตัวนั้นก็ถอยหลบไปข้างหลังอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ


“แม้…แม้แต่ขนก็เจาะไม่เข้า?”


มองเห็นสัตว์ประหลาดเว้นระยะห่างจากตัวเองเกือบหนึ่งร้อยเมตรภายในเวลาอันรวดเร็ว เยี่ยเทียนแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เพราะตรงหน้าของเขานอกจากจะเป็นหนามแหลมราวกับเข็มเหล็กสิบกว่าเส้นแล้ว ก็ยังมีของเหลวสีเขียวเกิดขึ้นเป็นหย่อมๆ


ของเหลวพวกนั้นดูเหมือนจะมีความกัดกร่อนสูงมาก หลังจากตกลงไปบนพื้นแล้ว ก็จะละลายแล้วเกิดหลุมที่มีขนาดเท่าฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ส่งกลิ่นเหม็นคาวรุนแรงบางอย่าง ทำให้คนได้กลิ่นแล้วถึงกับอยากอาเจียน


“มือของฉัน?”


หลังจากสัตว์ประหลาดล่าถอยออกไป เสียงเจ็บปวดทรมานที่อัดอั้นของเหลยหู่จึงดังมาจากข้างหลังของเยี่ยเทียน


“ท่านเยี่ย นี่มันคืออะไรกันแน่?”



 

 

 


ตอนที่ 827 ฉงฉี

 

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าวัวจะกินคนได้?”


เยี่ยเทียนทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องเจอกับความฉับไวของสัตว์ประหลาดตัวนี้ เขาเองก็คิดไม่ถึง หลังจากที่ตัวเองเลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นกลางที่มีมีดบินที่มีอานุภาพสามารถทำลายกำแพงอันแข็งแกร่งได้ กลับทำร้ายได้เพียงแค่ผิวหนังของสัตว์ประหลาดตัวนี้ จนทำให้มันสามารถหลบหนีออกไปได้สำเร็จ


“เหลยหู่ แกไม่เป็นไรใช่ไหม?” เยี่ยเทียนถอยหลังมาหนึ่งก้าว จากนั้นจึงสกัดจุดที่ไหล่ของเหลยหู่อีกสองสามที พลังปราณวิเศษกลุ่มหนึ่งก็ไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา ใบหน้าที่ขาวจนซีดเซียวของเหลยหู่ จึงดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาเล็กน้อย


“ท่านเยี่ย แขนของผมขาดแล้ว คงช่วยอะไรไม่ได้อีก!”


เจ้าสัตว์ประหลาดที่อยู่ห่างจากตัวเองในระยะร้อยกว่าเมตร ใบหน้าของเหลยหู่แสดงให้เห็นความซับซ้อนทั้งเคียดแค้นชิงชังและหวาดกลัวผสมกันไป ถ้าหากอยู่ในสังคมยุคปัจจุบัน เพียงแค่ผ่านเทคนิคทางการแพทย์ก็สามารถต่อแขนให้กลับเข้าไปได้ แต่ตอนนี้แขนขวาของเหลยหู่ถูกสัตว์ประหลาดตัวนั้นกัดกินจนละเอียดและกลืนลงท้องไปแล้ว ทำให้เหลยหู่เกลียดมันเข้ากระดูกดำ แต่พอนึกถึงความเร็วที่น่ากลัวกับการโจมตีที่น่าตกใจรวมทั้งการตั้งรับของสัตว์ประหลาดตัวนั้นแล้ว เหลยหู่จึงหมดความกล้าในการแก้แค้นไปในทันที


ได้ยินเสียงร้อง “วู้ ๆ ” และ “โฮ่ง ๆ” ดังมาจากปากของมันไม่หยุด ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ “บัดซบ ฉันรู้แล้วว่านี่มันคืออะไร!”


“ท่านเยี่ย มันคือสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่?”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงอดกลั้นความเจ็บปวดที่ไหล่ เอ่ยถามออกไป เขาโตมาขนาดนี้ ก็เพิ่งเคยเห็นสิ่งมีชีวิตแบบนี้เป็นครั้งแรก พวกหมาป่าหรือเสือชีตาร์ก็ยังดุร้ายไม่เท่ากับมันเลย


“ฉงฉี นี่คือฉงฉีที่เป็นสัตว์ในตำนาน!”


ดวงตาของเยี่ยเทียนจ้องเขม็งไปที่สัตว์ประหลาดที่ยังไม่ยอมออกไป แล้วพูดว่า


“ฉงฉีตามตำนานนั้น รูปร่างเหมือนวัว มีกรงเล็บและฟันที่แหลมคม เสียงเหมือนสุนัข มีขนเหมือนเม่น ชอบกินเนื้อมนุษย์มากที่สุด จึงถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในสี่ของสัตว์ที่ดุร้ายในตำนาน…”


เยี่ยเทียนเคยอ่านคัมภีร์ “ซานห่ายจิง” มาตั้งแต่เด็ก ฉงฉีที่อยู่ในคัมภีร์ “ซานห่ายจิง” นั้นก็เป็นสัตว์ดุร้ายที่มีชื่อเสียงอันเลื่องลือ เพียงแต่ก่อนหน้านั้นเยี่ยเทียนไม่ได้เชื่อมโยงไปถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในตำนาน หลังจากที่เขาได้ยินเสียงร้องเหมือนสุนัขของสัตว์ประหลาดตัวนี้ เขาถึงได้นึกถึงฉงฉีซึ่งเป็นสัตว์ร้ายในตำนานขึ้นมา


“จะ…จะเป็นไปได้ยังไง? จะมีสัตว์แบบนี้ได้ยังไง?”


พอได้ยินการอธิบายของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่อดเบิกตาโพลงไม่ได้ ตั้งแต่เด็กเขาชอบฝึกกำลังมากกว่าการศึก ษาเล่าเรียน ดังนั้นจึงอ่านหนังสือไม่มาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่า ในตำนานจีนยังมีสัตว์ประหลาดแบบนี้หลงเหลืออยู่


“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่แปลกประหลาดกว่ามัน ฉันก็เคยเจอมาแล้ว!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้าหัวเราะอย่างฝืด ๆ  ถ้าหากพูดถึงด้านพลัง มังกรดำที่อยู่ในภูเขาฉางไป๋ซานมีความแปลกประหลาดมากกว่าฉงฉีถึงสามส่วน หากทั้งสองตัวมาต่อสู้กัน เจ้าฉงฉีไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมังกรดำอย่างเด็ดขาด


หากจะพูดถึงความแสนรู้ วานรขาวที่อยู่เสินหนงเจี้ยสามารถพูดจาภาษาคนได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แถมยังใช้วิชาเต๋าได้อีก นอกจากเจ้าฉงฉีจะมีความฉับไวกับการตั้งรับที่แข็งแกร่งแล้ว ฝีมือในการโจมตีนั้นยังสู้สิ่งมีชีวิตสองชนิดที่ เยี่ยเทียนเคยเจอมาก่อนไม่ได้


ดังนั้นหลังจากที่เยี่ยเทียนรู้ถึงความเป็นมาของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้แล้ว ความหวาดกลัวจึงหายไป เวลานี้วรยุทธของเขา ถือว่าไม่ด้อยไปกว่าวานรขาวที่อยู่ในเสินหนงเจี้ย ถ้าหากจะต้องต่อสู้เพื่อเอาเป็นเอาตายกับฉงฉีตัวนี้จริงๆ ใช่ว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้แก่อีกฝ่าย


“ท่านเยี่ย มัน…มันยังไม่ยอมไปไหน พวกเราจะทำยังไงดีครับ?”


เหลยหู่ก็เป็นคนที่ฝึกวรยุทธเช่นกัน โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตนั้น ถึงแม้จะเสียแขนไปข้างหนึ่ง หลังจากที่ห้ามเลือดไว้ได้แล้ว พลังก็ค่อยๆ ดีขึ้นมาเหมือนเดิม จึงเริ่มพิจารณาเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า


“แย่แล้ว ท่านเยี่ย ผมทำอาหารตกอยู่แถวนั้น!”


ทันใดนั้นเหลยหู่ก็มองเห็นถุงที่ตกอยู่บนพื้นขณะที่เขาถูกโจมตี จึงอดร้องออกมาด้วยความตกใจไม่ได้ เพราะมีทั้งน้ำเปล่าและอาหารอยู่ในนั้น หากไม่มีอาหารพวกนี้ประทังชีวิต เขาเกรงว่าจะทนอยู่ได้ไม่ถึงสามวัน


“ไม่เป็นไร ฉันจะไปหยิบเอง”


เยี่ยเทียนฉุกคิดขึ้นมา เกิดความคิดอยากจะฆ่าเจ้าฉงฉีตัวนี้ เพราะถึงแม้มันจะมีนิสัยเจ้าเล่ห์และชั่วร้ายมาแต่กำเนิด ทั้งผิวหนังด้านหลังที่มีดบินยากจะแทงให้ทะลุได้ แต่ลำคอกับส่วนหัวของมันก็เป็นจุดอ่อน ใช่ว่าจะไม่มีวิธีฆ่ามันให้ตาย


“ไป!”


เยี่ยเทียนอ้าปากพ่นลมหายใจออกมา มีดบินคู่กายก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าอก ใช้พลังจิตบังคับ มีดบินก็กลายเป็นลำแสงสีขาวสว่างพุ่งไปหาฉงฉีที่อยู่ในระยะหนึ่งร้อยกว่าเมตรอย่างรวดเร็ว


“โฮ่ง…โฮ่งๆ!”


ฉงฉีที่เพิ่งจะเสียท่าให้กับมีดบิน เมื่อเห็นเยี่ยเทียนส่งมีดบินออกมา มันจึงหมุนตัววิ่งเข้าไปในป่า ถึงแม้มีดบินของเยี่ยเทียนจะไล่ตามไปติดๆ ตัดต้นไม้ที่มีความหนาเท่าเอวจนขาดสะบั้นไปสองสามต้นก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไล่ตามไอ้ตัวเจ้าเล่ห์ได้ทัน


“น่าเสียดาย ฉงฉีตัวนี้เจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอกจริงๆ!”


เมื่อเห็นมีดบินของเยี่ยเทียนพลาดเป้า เหลยหู่จึงอดตีอกชกหัวอย่างช่วยไม่ได้ ความเจ็บปวดของแขนที่ขาดไป ทำให้เขาเกลียดสัตว์ประหลาดตัวนี้เข้ากระดูกดำ จึงมีความคิดที่เหมือนกันกับเยี่ยเทียน โดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นสัตว์ในตำนานอะไร คิดอยากจะทำลายกระดูกมันแล้วกระจายเป็นเถ้าถ่านให้จงได้


“สุนัขจิ้งจอก? ต่อให้เป็นสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็สู้นักล่าที่เก่งกว่าไม่ได้!”


เยี่ยเทียนใช้สำนวนที่นิยมใช้กันบ่อยในภูเขาฉางไป๋ซาน ใช้พลังจิตอีกครั้ง มีดบินคู่กายก็บินกลับไปกลับมาอยู่ในป่าตรงที่ฉงฉีหายตัวไป ลำแสงสีเงินก่อตัวเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ ตัดต้นไม้ทั้งแถบให้เป็นเศษเล็กเศษน้อยไปหมด


เยี่ยเทียนใช้การขับเคลื่อนพลังปราณชีวิตจับตำแหน่งของฉงฉีไป ก็รู้สึกว่ามันหลบหนีออกไปไกลแล้ว เยี่ยเทียนจึงกวักมือเรียกมีดบิน ให้บินแนบพื้นกลับมาหาเขา เพียงแต่ตอนที่มีดบินมาถึงข้างถุงผ้าที่เหลยหู่ทำหล่นหายนั้น กลับมุดเข้าไปอยู่ในชายหาดที่เต็มไปด้วยซากกระดูกของสัตว์


“มันฉลาดจริงๆ!”


มองดูเยี่ยเทียนเดินออกมาจากหาดทรายด้วยมือเปล่าทั้งสองข้าง แล้วเดินไปถึงพื้นที่ที่แบ่งแยกสีขาวกับสีดำอย่างชัดเจน เหลยหู่ที่เคยเกลียดและคิดอยากจะให้เยี่ยเทียนตายไวๆ เมื่อสองสามวันก่อน มองออกถึงจุดประสงค์ของเขา แต่ก็ยังอดพูดเช่นนี้ไม่ได้


“ท่านเยี่ย ท่านระวังตัวหน่อยนะครับ…”


“วางใจเถอะ เดี๋ยวฉันจะถลกหนังมัน แล้วเอาเนื้อมาย่างกิน”


เยี่ยเทียนโบกมืออย่างไม่ยี่หระ เดินมาถึงที่ที่มีระยะห่างจากชายหาดสิบกว่าเมตรอย่างช้าๆ ยื่นมือหยิบกระเป๋าเป้ที่เหลยหู่ทำตกบนพื้นขึ้นมา ในระหว่างนี้ ฉงฉีก็ยังไม่ปรากฏตัว เหมือนกลัวว่าจะถูกเยี่ยเทียนฆ่า


“เหลยหู่ อาหารที่อยู่ในนี้ก็มีไม่น้อยนะ!”


เยี่ยเทียนไม่ได้โยนกระเป๋าเป้ของเหลยหู่กลับไป แต่กลับหยิบเอาอาหารบางส่วนที่อยู่ในกระเป๋าออกมา ตอนที่เขาฉีกถุงเนื้ออบซอสสูญญากาศถุงหนึ่งออกมา กลิ่นหอมหวนก็ได้กระจายออกไปไกล


“โธ่เอ้ย กล้าคิดร้ายกับคนงั้นเรอะ รอให้แกฝึกวรยุทธจนกลายร่างได้ก่อนแล้วค่อยฝัน!”


ขณะที่กำลังพลิกดูอาหารที่อยู่ในถุง หูของเยี่ยเทียนก็ขยับ เขาได้ยินเสียงฉงฉีเหยียบใบไม้และกิ่งไม้ที่ร่วงหล่นอยู่เต็มพื้น เยี่ยเทียนจึงแค่นหัวเราะด้วยความเย็นชาขึ้นมา


ถ้าหากฉงฉีซ่อนตัวในภูเขาอยู่แบบนี้ บางทีเยี่ยเทียนอาจจะทำอะไรมันไม่ได้ ถึงอย่างไรเวลานี้เขาก็อยู่รอบนอกของเกาะ จึงรู้สึกถึงพลังที่ไร้จุดสิ้นสุดที่ยากสัมผัสได้ในเกาะแห่งนี้ ว่ามีพลังที่ยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วนหลงเหลืออยู่ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกถึงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง


แต่เยี่ยเทียนก็รู้ว่า ฉงฉีในฐานะหนึ่งในสี่สัตว์ร้ายในใต้หล้าตามตำนานนั้น นอกจากไม่แบ่งแยกความดีความชั่วและชอบกินมนุษย์แล้ว ลักษณะพิเศษที่เด่นที่สุดอีกหนึ่งอย่างก็คือเจ้าคิดเจ้าแค้น ถ้าหากว่ามีคนที่ล่วงเกินหรือทำร้ายมัน ฉงฉีก็จะไม่ยอมรามือจนกว่าจะได้กินเนื้ออีกฝ่าย


เยี่ยเทียนจึงลองดู แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิดไว้จริงๆ ฉงฉีที่คิดว่าซ่อนตัวอยู่ในป่าจะสามารถหลบมีดบินของเยี่ยเทียนได้ กำลังจับตามองการกระทำทุกอย่างของเยี่ยเทียนอยู่ตรงชายป่า กรงเล็บหน้าทั้งสองข้างเกาะไปบนพื้นอย่างแรง จ้องมองเนื้ออบซอสที่ส่งกลิ่นหอมอยู่ในมือของเยี่ยเทียนอย่างตะกละ ดูเหมือนมันเตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปอยู่ตลอดเวลา


“เหลยหู่ เนื้อนี้รสชาติไม่เลวนะ แกลองชิมดูสิ!”


สายตาของเยี่ยเทียนไม่ได้มองไปที่ป่าเลยสักนิด หลังจากฉีกซองเนื้อสูญญากาศออกแล้วกัดไปคำหนึ่งแล้วก็หันกลับไป จากนั้นจึงโยนถุงเนื้อไปหาเหลยหู่ที่อยู่บนชายหาด


“ติดกับแล้ว?”


ขณะเดียวกันกับที่เยี่ยเทียนโยนถุงเนื้อออกไป ในที่สุดฉงฉีก็ทนไม่ไหว พุ่งออกมาราวพายุหมุน ร่างกายของมันปรากฏตัวอยู่ระหว่างเยี่ยเทียนกับเหลยหู่อย่างรวดเร็ว อ้าปากใหญ่กัดถุงเนื้ออบซอสเข้าไปในปากของมัน


“มาแล้วก็อย่าคิดจะหนีไปอีก!”


เยี่ยเทียนใช้พลังจิตอีกครั้งมีดบินคู่กายที่ซ่อนตัวอยู่ในทราย ก็โผล่มาจากด้านล่างของฉงฉีอย่างไร้สุ้มเสียง แทงเข้าไปที่ท้องส่วนล่างของมันทันที


ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ตำแหน่งที่อ่อนแอที่สุดในร่างกาย ก็คือดวงตา จมูก รวมทั้งหน้าอกกับท้องพวกนี้ ผิวหนังร่างกายท่อนล่างของฉงฉีไม่มีหนามแหลมคม มีดสั้นอู๋เหินจึงแทงทะลุเข้าไปเหมือนกับตัดเต้าหู้ก็ไม่ปาน


“โกรล!”


ฉงฉีที่ไม่ทันระวังตัวถูกเยี่ยเทียนโจมตีได้สำเร็จ ส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความเคียดแค้น ร่างกายของมันเหมือนกับลูกศรที่แหลมคมกระโดดพรวดขึ้นไปบนท้องฟ้า การกระโดดครั้งนี้สามารถกระโดดได้สูงสิบกว่าเมตร อู๋เหินของเยี่ยเทียนที่แทงเข้าไปในส่วนท้องของมันนั้น ได้เพียงเลือดหย่อมหนึ่งติดออกมา ไม่สามารถแหวกท้องของมันให้ฉีกขาดได้


การตอบสนองของเยี่ยเทียนก็เร็วมากเช่นกัน ขณะที่ฉงฉีกระโดดตัวสูงขึ้นไปถึงจุดสูงสุด และกำลังจะตกลงมานั้น พลังจิตก็สั่งให้มีดบินลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า สลายตัวเป็นลำแสงหนึ่งพุ่งตรงไปยังขนอ่อนสีขาวที่อยู่ตรงลำคอของฉงฉี


“วู้ๆ…”


มองดูมีดบินที่ส่งลำแสงออกมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่มีขนาดเท่าระฆังของฉงฉีจึงแสดงความหวาดกลัวออกมาในที่สุดร่างกายที่ดูเหมือนเทอะทะของมัน จู่ๆ ก็บิดตัวกลางอากาศ หลบการโจมตีของมีดบินได้อย่างหวุดหวิด ร่างกายของมันเอียงตัวตกลงไปบนชายหาด เลือดสีเขียวที่มีกลิ่นเหม็นคาวก็หยดออกมาทำให้ซากกระดูกของสัตว์เหล่านั้นเกิดการกัดกร่อนมีเสียงดังขึ้นมา


“บัดซบเอ้ย ฉันไม่ได้ไปหาเรื่องแกเสียหน่อย? ทำไมถึงต้องพุ่งมาที่ฉันเล่า?”


เหลยหู่ที่ยืนอยู่บนชายหาด มองดูฉงฉีที่กำลังตกลงมาจากท้องฟ้า ทำให้เขางงเป็นไก่ตาแตก เพราะดูจากทิศทางที่ฉงฉีตกลงมาแล้ว กำลังมุ่งมาที่ตัวเอง เยี่ยเทียนคือคนคนเดียวที่สามารถช่วยชีวิตน้อยๆ ของเขาได้ แต่เยี่ยเทียนก็ยังอยู่ห่างออกไปในระยะสามสิบกว่าเมตรอยู่ดี


อย่าว่าแต่เหลยหู่เลย แม้แต่เยี่ยเทียน ก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าสัตว์ประหลาดที่อยู่ในตำนานจะต่อสู้ยากขนาดนี้ พลังโจมตีของเขาถึงแม้ว่าจะมีมหาศาล แต่ด้วยความรวดเร็วกับกำลังระเบิดภายในร่างกายแล้ว ต่อให้เป็นเหลยหู่ที่เข้าสู่ขั้นสูงสุดยอดก็ยังสู้ไม่ได้


เยี่ยเทียนกับเหลยหู่ต่างก็คิดไม่ถึง ขณะที่ฉงฉีกำลังแยกเขี้ยวง้างกรงเล็บอยู่กลางอากาศ มองทิศทางที่มันจะตกลงมา ดวงตาของมันกลับมีความหวาดกลัวขึ้นมา ราวกับเจอคู่ต่อสู้ระดับพระกาฬส่งเสียงร้อง “วู้ๆ” ออกมาด้วยความตกใจ



 

 

 


ตอนที่ 828 มโหฬาร

 

จากเสียงร้องแปลกประหลาดของฉงฉีนั้น ทำให้สถานการณ์ของเยี่ยเทียนกับเหลยหู่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน


ตอนที่ฉงฉีกำลังตกลงมาบนชายหาด เดิมทีหมอกบางๆ ที่เกิดจากการก่อตัวเป็นชั้นๆ ลอยกระจัดกระจายอยู่รอบชายหาด จู่ๆ ก็รวมตัวกันขึ้นมา ก่อตัวเป็นรูปกำแพงหมอกสีขาว สกัดกั้นทิศทางการตกลงมาของฉงฉี


“โกรล!”


ฉงฉีที่ถูกมีดบินของเยี่ยเทียนทำร้ายก็ยังไม่ส่งเสียงร้องโอดครวญแบบนี้ออกมา หลังจากที่มันมองเห็นกำแพงหมอกนั่น ดวงตาโตขนาดระฆังได้มีแววตาของความสิ้นหวังออกมาอย่างชัดเจน มันจึงพยายามบิดตัวอยู่กลางอากาศหลบหนี


เพียงแต่ส่วนท้องที่ถูกมีดบินเจาะเป็นรู กับการเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศครั้งหนึ่งก่อนหน้านั้น มันจึงได้แต่ทำตาปริบๆ มองดูกรงเล็บของตัวเองสัมผัสกับหมอกสีขาวนั่น จากนั้นร่างของมันจึงหายเข้าไปหมอกสีขาวทั้งตัว


“ท่านเยี่ย ช่วยผมด้วย!”


ถึงแม้จะเห็นการรวมตัวกันของปราณวิเศษที่อยู่บนชายหาด แต่เหลยหู่มองเห็นไม่ชัดเจนถึงแววตาที่หวาดกลัวของฉงฉี เขาจึงคิดว่าฉงฉีจะระเบิดนิสัยของสัตว์ป่าหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บออกมา และคิดจะฆ่าเขาให้ตายก่อน ดังนั้นจึงรีบถอยหลัง แล้วส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากเยี่ยเทียน


“บ้าเอ้ย เลือดของไอ้สัตว์เดรัจฉานตัวนี้มีผลกระทบต่อมีดของฉัน?”


เยี่ยเทียนเพ่งพลังจิตไปที่มีดบิน ขณะที่เขากำลังจะไปช่วยเหลยหู่อยู่นั้น จู่ๆ ก็พบว่า การควบคุมมีดบินของตัวเองไม่ราบรื่นเหมือนเคย แสงสีเงินที่ส่องประกายอยู่ที่ตัวมีด กลับมีของเหลวสีเขียวติดอยู่อีกชั้นอย่างเลือนราง ทำให้ตัวมีดมืดหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด


ช่วงระยะเวลาที่เยี่ยเทียนลังเลอยู่นั้น ร่างของฉงฉีก็ตกลงไปบนหาดทราย เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนกับเหลยหู่คาดไม่ถึงก็คือ ฉงฉีที่ตกลงไปบนหาดทรายนั้นไม่ได้สนใจเหลยหู่กับตัวเองที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมด้วยซ้ำ มันกลับหันหน้าทะยานตัวพยายามหนีออกไปนอกหาดทราย


ทันใดนั้น เหนือศีรษะของเยี่ยเทียนกับเหลยหู่ก็เกิดเสียงดัง “เปรี้ยง!” สะเทือนเลื่อนลั่น ท่ามกลางท้องฟ้าที่ไร้เมฆก็เกิดสายฟ้าที่หนาเท่าแขนเด็กผ่าลงมาเหนือหัวของฉงฉีตัวนั้น


ดูเหมือนฉงฉีจะเดาสถานการณ์ออกนานแล้ว เกือบจะในเวลาเดียวกันที่ขาของมันเหยียบลงบนหาดทรายก็พยายามหลบหนีสุดชีวิต ทำให้สายฟ้านี้ผ่าไม่โดนตัวของมัน


แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจกลัวก็คือ กำแพงหมอกที่ก่อตัวขึ้นจากปราณวิเศษนั้นไม่รั้งรอให้ฉงฉีหนีออกไปได้ เกิดสายฟ้าทยอยผ่าลงมาสี่ห้าสาย แต่ละสายแฝงไปด้วยพลังมหาศาล ทำให้ระยะสิบกว่าเมตรที่อยู่รอบตัวฉงฉีกลายเป็นทะเลแห่งสายฟ้า ปิดกั้นทางไม่ให้ฉงฉีหนีรอดไปได้


“บรู๊ววว!” ตอนมีสายฟ้าผ่าลงมาจากท้องฟ้า ฉงฉีร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง เท้าทั้งสี่ของมันกระทืบไปบนชายหาดอย่างแรง ยอมเสี่ยงตายพุ่งตัวหนีออกจากสายฟ้า ผ่านกำแพงหมอกออกมาถึงรอบนอกของหาดทราย


การถล่มของสายฟ้าทำให้ตัวของฉงฉีสั่นเทิ้ม ดวงตาเหยียดตรง ร่างกายเริ่มยืนไม่มั่นคง บนท้องฟ้ายังมีสายฟ้าผ่าลงมาอีกสองสามครั้ง เสียงฟ้าร้องพร้อมกับฟ้าผ่าทำให้ฉงฉีจมอยู่ในนั้น เสียงคำรามของมันก็เริ่มลดลงไปทีละน้อย


ตอนที่เสียงคำรามของฉงฉีหายไปจนหมดสิ้น ภายในป่าที่อยู่ไกลๆ ก็เกิดเสียงร้องคำรามสั่นสะเทือนขึ้นมา ป่าเขาและต้นไม้เงียบสงัดขึ้นมาในพริบตาเดียวมีแค่เสียงลมพัดเบาๆ กับเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนดังสะท้อนไปมาอยู่อย่างนั้น


“นี่ถึงจะเรียกว่าเสียงที่ทรงพลัง เกรงว่าแม้แต่มังกรดำก็ยังสู้ไม่ได้?”


เมื่อได้ยินเสียงคำรามนั้นแล้ว เยี่ยเทียนอดมองไปที่แนวป่าไม่ได้ ฉงฉีในตำนานก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีกแล้ว เขาจึงไม่รู้จริงๆ ว่าในป่านั่น ยังมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอะไรแอบซ่อนอยู่อีก?


“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?”


หลังจากผ่านไปห้าหกนาที สายฟ้าก็ค่อยๆ สลายไป เมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้า ก็ยังคงเป็นท้องฟ้าสีครามสดใสไร้ซึ่งก้อนเมฆเหมือนเดิม เหลยหู่เอามือซ้ายลูบไปที่ไหล่ขวาราวกับอยู่ในความฝัน ความเจ็บปวดรวดร้าวนั่น ทำให้เหลยหู่ตื่นได้สติขึ้นมา


“กลางวันแสกๆ ก็ฟ้าผ่า ฉันคงเห็นผีแล้วสินะ?”


เหลยหู่แยกเขี้ยวยิงฟันเอามือคลำไปบนกำแพงหมอกที่กำลังค่อยๆ สลายตัวไปอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง แต่พบว่ากลางฝ่ามือกลับมีความหนาวเย็นเพิ่มเข้ามาเล็กน้อย แล้วก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ อีก


“เหลยหู่ แกอย่าเพิ่งออกมา”


เมื่อเห็นเหลยหู่กำลังจะออกมาจากหาดทราย เยี่ยเทียนจึงรีบยกมือห้ามเขาไว้ ตอนนี้ดูเหมือนนอกจากบนชายหาดแล้ว บนเกาะที่ไม่รู้ชื่อแห่งนี้ ล้วนแต่มีพลังอาฆาตแอบซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง


“ครับ ท่านเยี่ย!”


เหลยหู่ตกตะลึงเล็กน้อย พอเขาจึงนึกถึงเสียงคำรามที่ดังขึ้นเมื่อครู่ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปรีบหยุดชะงักฝีเท้าทันที  ถ้าไอ้ตัวที่เคลื่อนไหวว่องไวนี้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็คงได้แต่ปล่อยให้มันฆ่าได้ตามอำเภอใจ


“นี่…นี่มันคือไอ้ตัวนั้น?”


หลังจากสายฟ้ากระจายหายไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดเบิกตาโตไม่ได้ ฉงฉีนอนขดตัวไหม้เกรียมอยู่บนพื้น พร้อมกับส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจออกมาอีกด้วย ทำให้นึกไม่ถึงว่าเจ้าตัวนี้เคยดุร้ายและโหดเหี้ยมมาก่อน


“บ้าเอ้ย ยังมีกระแสไฟอยู่!” เยี่ยเทียนเดินเข้าไปข้างหน้า ใช้เท้าข้างหนึ่งเตะไปที่ตัวของฉงฉี แต่กลับคิดไม่ถึงว่าความรู้สึกเหน็บชาปวดแสบปวดร้อนจะส่งผ่านมาจากฝ่าเท้า ช็อตเยี่ยเทียนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว


“น่าเสียดาย ถ้าหากเจ้าตัวนี้ถูกพาไปอยู่ในโลกภายนอก คงจะมีคุณค่ามากกว่าหมีแพนด้าเสียอีก เกรงว่าทั่วทั้งโลกน่าจะมีเพียงแค่ตัวเดียว?”


ขณะที่มองดูฉงฉีที่ตายสนิทแล้ว เยี่ยเทียนส่ายหน้าติดต่อกัน เขาพอจะตัดสินได้แล้วว่า เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้น่าจะเป็นฉงฉีที่ถูกอธิบายไว้ในคัมภีร์ “ซานห่ายจิง” และก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เรื่องแปลกประหลาดเหล่านี้ที่เล่าขานสืบมาในสมัยโบราณของประเทศจีนนั้น ใช่ว่าคนโบราณจะปั้นแต่งขึ้นมาโดยไม่มีเค้าโครง


“ท่านเยี่ยครับ ใครเป็นคนจัดการเจ้าตัวนี้กันแน่?”


เมื่อเห็นรอบตัวไม่มีอันตรายแล้ว เหลยหู่จึงเดินออกมาเช่นกัน เพียงแต่ระยะห่างของเขาอยู่ใกล้กับหาดทรายสีขาวเม็ดละเอียดเป็นอย่างมาก ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลเขาจะได้ถอยกลับไปได้ทัน


“จะว่าไปก็พูดถูกนะ อย่าว่าแต่จับตัวเลย แค่จะฆ่ามันก็ยังยาก!”


เยี่ยเทียนพยักหน้า ก่อนหน้านั้นเขาวางกับดักเอาไว้ ก็ทำได้เพียงให้มันบาดเจ็บหนักเท่านั้นเอง ถ้าหากมันอยู่ในสังคมของมนุษย์ ด้วยความเร็วปานลมกรดกับพลังตั้งรับที่น่าตกใจเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้มีกองทัพนับแสนก็ไม่สามารถจัดการมันได้ อันตรายของมันยากที่จะคาดเดาได้จริงๆ


“เอ๊ะ หนามแหลมสองสามอันนี้ไม่ได้เสียหายไปด้วย?”


เยี่ยเทียนขยับตัวของฉงฉีสองสามที กลับพบว่ามีหนามแหลมความยาวเท่าตะเกียบและมีความหนาเท่านิ้วก้อยอยู่ห้าอัน ไม่ได้ถูกฟ้าผ่าจนเสียหาย กระพริบแสงเป็นมันวาวไปทั่วทั้งแท่ง เขาจึงอดหยิบมันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


“ท่านเยี่ย นี่คืออะไรครับ?”


เหลยหู่เขยิบมาใกล้ๆ ลูบไปที่หนามแหลมเหล่านั้น ลื่นมือเป็นมันขลับ พูดไม่ถูกว่าเป็นวัสดุอะไร แต่ดูเหมือนจะไม่หนักมาก


“หล่นมาจากตัวของเจ้าประหลาดนี้”


เยี่ยเทียนตอบไปเรื่อย หงายฝ่ามือหยิบมีดบินคู่กายของตัวเองออกมา แล้วตัดไปที่หนามแหลมสองสามแท่งนี้


“ติงตัง!” หลังจากมีดสั้นอู๋เหินกระทบกับหนามแหลมแล้ว เกิดเสียงดังกังวาน จากนั้นก็มีประกายไฟพวยพุ่งออกมา แต่ว่าหนามแหลมสีดำสนิทที่ดูไม่สะดุดตาพวกนั้น กลับไม่ได้รับความเสียหายเลยสักนิด


“ของดี!” เยี่ยเทียนตาเป็นประกาย หลังจากอู๋เหินถูกหล่อเลี้ยงจนกลายเป็นสีเงินแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่เคยเห็นมันตัดอะไรไม่ขาด แสดงว่าความแข็งแกร่งของหนามแหลมพวกนี้ กับแสงเย็นที่แวบผ่านตรงหนามแหลมที่อยู่ตรงหน้า พลังโจมตีคงมีไม่น้อยทีเดียว


“ท่านเยี่ยครับ เมื่อครู่ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเก็บหนามแหลมสองสามแท่งนั้นไป ถึงแม้เหลยหู่จะรู้สึกอิจฉา แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ถ้าหากก่อนหน้านั้นเยี่ยเทียนไม่ได้ช่วยโจมตีเจ้าสัตว์ประหลาดให้ล่าถอยออกไป ชีวิตน้อยๆ ของเขาคงจบสิ้นไปนานแล้ว ไหนเลยจะกล้าขอสิ่งของจากเยี่ยเทียนอีก?


เยี่ยเทียนหันกลับไปมองปราณวิเศษที่กระจัดกระจายไปทั่วหาดทราย แล้วพูดว่า


“หมอกสีขาวพวกนั้น ก่อตัวมาจากพลังแห่งฟ้าดิน ฉันสงสัยว่า ในสถานที่แห่งนี้ จะมีค่ายกลอย่างหนึ่ง ที่คอยขัดขวางสัตว์ร้ายที่อยู่บนเกาะเหล่านี้ไม่ให้ออกไปสู่โลกภายนอก!”


ความจริงตอนที่เห็นซากกระดูกของสัตว์ขนาดมหึมานับไม่ถ้วนอยู่บนหาดทรายนั้น เยี่ยเทียนก็พอจะเดาออกอยู่บ้าง ยิ่งเมื่อสักครู่ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดกับฉงฉี จึงยิ่งเป็นการยืนยันความคิดของเยี่ยเทียน ว่ารอบนอกของเกาะที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดนี้ น่าจะมีค่ายกลขนาดยักษ์ ปกคลุมทั้งเกาะเอาไว้


“ค่ายกล? ท่านเยี่ย ท่านกำลังพูดถึงพวกของเล่นอย่างค่ายกลเก้าตำหนักแปดทิศของจูเก๋อเลี่ยงที่เคยเล่าไว้ในหนังสือโบราณหรือครับ?”


เหลยหู่เน้นฝึกวิชายุทธมากกว่าเล่าเรียนหนังสือ แต่พวกค่ายกลเก้าตำหนักแปดทิศอะไรนั่นเขาเคยได้ยินมาจากนักเล่านิทานที่อยู่ในไชนาทาวน์มาก่อนเท่านั้นเอง


“ค่ายกลเก้าตำหนักแปดทิศ? น่าจะใช่มั้ง”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า เพราะไม่อยากพูดอะไรมากกับเหลยหู่ ค่ายกลของที่นี่ แม้แต่เขาก็ยังมองเบาะแสใดๆ ไม่ออก ดังนั้นจะสามารถเอาไปเปรียบเทียบกับค่ายกลที่เป็นเป็นตำนานเล่าขานอยู่ในโลกมนุษย์ได้อย่างไร? ต่อให้ในหัวของเขาได้รับการถ่ายทอดวิชาค่ายกลพิฆาตก็ตาม ก็ยังสู้ค่ายกลที่นี่ไม่ได้เลย ถือว่ามีความลึกลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก


เยี่ยเทียนสร้างค่ายกลชุมนุมพลังในฮ่องกง ยังถูกพลังสะท้อนกลับทำให้ร่างกายบาดเจ็บหนัก เขาจึงไม่สามารถจินตนาการได้จริงๆ ว่าใครที่สามารถใช้ค่ายกลปกคลุมทั่วทั้งเกาะที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ได้ เกรงว่าคงมีแต่พวกเทพเซียนเท่านั้นถึงจะทำได้?


“ท่านเยี่ยครับ ทำไมค่ายกลนี้ถึงไม่มีผลกับพวกเราล่ะ?”


เหลยหู่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของค่ายกลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สิ่งที่เขาคิดนั้นคือจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร แล้วเสียงคำรามที่ดังมาจากป่าลึกนั่น ยังแฝงไปด้วยพลังบีบรัดบางอย่างที่พูดไม่ถูก ทำให้เขารู้สึกกลัวจนถึงก้นบึ้งหัวใจ ไม่อยากอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว


“ไม่รู้ บางทีพวกเราอาจจะมาจากโลกภายนอกก็เป็นได้?”


ตอนที่เยี่ยเทียนเข้ามาอยู่ที่นี่นั้นเขาสลบอยู่ จึงไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่พอจะจำได้คร่าวๆ ว่า เหมือนบนท้องฟ้าจะปรากฏรอยแยก แล้วตัวเองกับเหลยหู่ก็ตกลงไป


พอครุ่นคิดดูพักหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงมองไปที่เหลยหู่ แล้วพูดว่า


“อาการบาดเจ็บของแกไม่เป็นไรนะ?”


“ไม่เป็นไรครับ ท่านเยี่ย ท่านมีอะไรจะสั่งบอกได้เลยครับ”


เหลยหู่ส่ายหน้า ถึงแม้จะเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่หลังจากที่เข้าสู่ขั้นพลังสับเปลี่ยนแล้ว จึงสามารถโคจรเลือดลมทั้งหมดของร่างกายได้ อย่างน้อยในช่วงสองสามวันนี้ แขนที่ขาดไปก็ไม่มีผลกระทบมากมายต่อเขา


“อย่างนั้นก็ดี พวกเราลองไปสำรวจทะเลนี้ดูสักหน่อย ว่าพอจะออกไปจากเกาะแห่งนี้ได้หรือไม่!”


พูดตามจริง เกาะที่อยู่ด้านหลังตัวเองนั้น เยี่ยเทียนก็รู้สึกเกรงกลัวอยู่บ้าง จากเสียงคำรามของสัตว์ประ หลาดพวกนั้นเขาก็สามารถฟังออกถึงพลังอันมหาศาล แม้แต่เยี่ยเทียนก็ไม่มั่นใจว่าจะถอยออกมาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ หนำซ้ำยังมีเหลยหู่ เป็นตัวภาระเพิ่มเข้ามาอีก?


“ครับ ท่านเยี่ย พวกเรารีบออกไปจากที่นี่เร็วๆ จะดีกว่าครับ!”


สำหรับข้อเสนอของเยี่ยเทียนนั้น เหลยหู่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก จึงเอามืออีกข้างหนึ่งลากแพชูชีพลงไปในน้ำทะเล


“แกเพิ่งบาดเจ็บ ให้ฉันทำเองดีกว่า”


เยี่ยเทียนผลักแพชูชีพไปในทะเลระยะสิบกว่าเมตร เมื่อน้ำทะเลท่วมถึงขอบเอวของเขาแล้วจึงพลิกตัวกระโดดขึ้นไปข้างบน



 

 

 


ตอนที่ 829 เกาะยักษ์

 

ที่ที่อยู่ใกล้หาดทรายนั้น มีปราณวิเศษค่อนข้างเบาบาง เสียงของไม้พายที่กระทบกับน้ำ ทำให้แพชูชีพค่อยๆ ลอยห่างออกไป เหนือน้ำทะเลมีชั้นหมอกและไอน้ำระเหยขึ้นมา


“ท่านเยี่ย ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ครับ?”


หลังจากพายเรือออกไปได้สองร้อยกว่าเมตร ทั้งสองคนจึงออกห่างจากหาดทรายแล้ว ทั่วทั้งแพชูชีพถูกม่านหมอกสีขาวที่ก่อตัวจากปราณวิเศษห้อมล้อมเอาไว้ทั้งหมด จึงไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าว่ายังห่างอีกเท่าไรถึงจะพ้นจากเขตของหมอกสีขาวนี้โดยสิ้นเชิง กระทั่งทางกลับก็มองไม่ชัดแล้ว


“ฉันจะรู้ได้ยังไง?”


เยี่ยเทียนหันหลังกลับไปมองครั้งหนึ่ง หลังจากที่มั่นใจว่าชายหาดยังไม่พ้นสายตาของเขา แล้วจึงพูดว่า


“เหลยหู่ เกี่ยวกับตำนานโบราณของประเทศจีนของพวกเรานั้น แกเชื่อบ้างไหม?”


“ตำนานเทพนิยาย? คุณหมายถึง ‘ไซอิ๋ว’ พวกนั้นเหรอครับ?”


เหลยหู่ได้ยินแล้วจึงนิ่งไปครู่หนึ่ง พร้อมกับมีสีหน้าที่ไม่เห็นด้วย พูดว่า


“ท่านเยี่ย นิทานพวกนั้นจะไปเชื่อได้ยังไง? ถ้าบนโลกนี้ยังมีคนเหาะได้ พลิกภูเขาคว่ำแม่น้ำได้จริง แล้วประเทศจีนจะเผชิญกับเหตุการณ์พันธมิตรแปดชาติกับการรุกรานของญี่ปุ่นได้ยังไงเล่า?”


ถึงแม้เหลยหู่จะเติบโตที่ต่างประเทศ แต่การซึมซับบรรยากาศของวัฒนธรรมประเพณีโบราณแบบนั้นที่ไชนาทาวน์ ยังมีมากกว่าภายในประเทศเสียอีก นิยายผีสางเทวดาอย่าง “ไซอิ๋ว” นั้น ไม่รู้ว่าเขาฟังมากี่รอบแล้ว


ขณะเดียวกับที่รับการสืบสานประเพณีของประเทศจีน เหลยหู่ก็ได้รับผลกระทบจากวัฒนธรรมตะวันตกเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อเรื่องเทวดาภูตผีปีศาจอยู่แล้ว เรื่องพวกนี้ยังสู้ตำนานผีดูดเลือดของชาติตะวันตกไม่ได้เลย


“เอ๋? ไม่ใช่สิ ท่านเยี่ยท่าน…ท่านก็เหาะกลางอากาศได้ไม่ใช่หรือ?”


เหลยหู่ที่ปากไว จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วจึงใช้สายตามองไปที่เยี่ยเทียนทันที ก่อนที่ตัวเองจะสลบไปนั้น เมฆหมอกได้ลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเยี่ยเทียน เช่นนั้นก็คือการเหาะเหินเดินอากาศในตำนานไม่ใช่หรือ?


“พลิกภูเขาคว่ำแม่น้ำก็ดูจะมากเกินไป แต่การเหาะเหินอยู่บนก้อนเมฆนั้น ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ทำได้”


เยี่ยเทียนส่ายหน้าเล็กน้อย เพราะวานรขาวที่อาศัยอยู่ในภูเขาลึกของเสินหนงเจี้ยก็ยังใช้วิชาตัวเบาได้ ถึงแม้ตัวเองจะอยู่ระดับเซียนเทียนขั้นกลางแล้ว เมื่อต้องเจอกับวานรขาวตนนั้นแล้ว ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงติงหงที่มาจากเขตแดนแห่งทวยเทพ


ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เหตุใดยอดฝีมือพวกนั้นถึงไม่ยอมลงมือ นี่ก็คือคำตอบที่เยี่ยเทียนกำลังตามหาอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตอบคำถามเหลยหู่ได้


“งั้นผมก็คือกบในกะลาครอบ!”


เหลยหู่ก้มหน้าลงอย่างเศร้าใจ พฤติกรรมที่ตัวเองแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจในสมาคมหงเหมินนั้น เมื่ออยู่ในสายตาของเยี่ยเทียนแล้ว จะเป็นเรื่องที่น่าขำมากเพียงใด?


“ไม่ได้การแล้ว ถ้าหากยังพายเรือไปอีกล่ะก็ กลัวว่าพวกเราจะหลงทาง!”


ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงหยุดพาย มองไปข้างหน้าด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม เวลานี้เขาได้พายเรือออกมาไกลสี่ห้าร้อยเมตรแล้ว แต่หมอกที่อยู่บนผิวน้ำกลับยิ่งหนามากขึ้น ส่วนเกาะที่อยู่ข้างหลังนั่นก็ยิ่งเลือนราง ความสามารถในการมองเห็นอย่างเยี่ยเทียน ก็สามารถมองเห็นลักษณะคร่าวๆ ได้เพียงเท่านั้น


“ท่านเยี่ย อย่างนั้นจะทำยังไงดีครับ?


เหลยหู่หันไปมองด้านหลัง ด้วยความสามารถในการมองเห็นของเขา จึงไม่สามารถมองเห็นเกาะนั่นได้อีก เบื้องหน้าขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา สีหน้าของเหลยหู่จึงเปลี่ยนไปในบัดดล พวกเขามีอาหารและน้ำดื่มพอประทังชีวิตได้สามสี่วัน ถ้าหากหลงทางอยู่ในทะเลล่ะก็ อย่างนั้นคงมีจุดจบที่น่าเวทนาเป็นอย่างมาก


เยี่ยเทียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “พวกเราพายไปตามแนวขวางกันเถอะ ดูว่าเกาะนี้มันใหญ่แค่ไหนกันแน่”


สำหรับอาหารและน้ำดื่มนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้มีความต้องการสูงเท่าไร เนื่องจากวรยุทธของเขาในตอนนี้ แม้ว่าจะไม่ทานอาหารและน้ำดื่มเป็นเวลาสามสี่เดือนกระทั่งนานกว่านั้นก็ไม่เป็นไร เพียงแค่อาศัยพลังแห่งฟ้าดินของที่นี่ก็พอที่จะเติมเต็มพลังงานทั้งหมดของเขาที่สูญเสียไปได้


แต่เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าเสี่ยงพายเรือไปข้างหน้าอีก เพราะบนเกาะแห่งนี้มีสัตว์ดุร้ายจำนวนมาก ใครจะรู้ว่าในทะเลที่กว้างใหญ่แบบนี้จะมีด้วยหรือเปล่า ถ้าหากมีตัวที่เก่งระดับมังกรดำโผล่ออกมา ใช่ว่าเยี่ยเทียนจะต้านทานได้ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่กล้าออกห่างจากชายหาดมากนัก


เยี่ยเทียนมองเหลยหู่ จึงรู้ว่าเขาเกือบจะประคองตัวเองไม่ไหวแล้ว จึงรีบพูดทันทีว่า “แกนอนหลับสักตื่นเถอะ หากมีอะไรฉันจะปลุกแกเอง ”


“ได้ครับ ท่านเยี่ย ผมเชื่อคุณครับ!”


เหลยหู่พยักหน้าทำตัวไม่ถูก ถึงแม้แขนขาดจะเสียเลือดไม่มาก แต่ก็เป็นอาการบาดเจ็บที่ร้ายแรงสำหรับเขามากเช่นกัน บวกกับความตึงเครียดที่สูง ทำให้จิตใจเหลยหู่แทบจะพังทลาย


น้ำทะเลบริเวณแถบนี้เงียบสงบเป็นอย่างมาก เกือบจะไม่มีคลื่นใดๆ เลยสักนิด ไม่ใช่ทะเลมรณะเสียทีเดียว เพราะยังพอมีฝูงปลาที่กระโดดไปมาบนผิวน้ำอยู่บ่อยครั้ง คอยดูดกลืนพลังแห่งฟ้าดินที่อยู่ในนั้น


เยี่ยเทียนเองก็ได้ปล่อยพลังจิตไปในทะเลเช่นกัน เพียงแต่ถูกจำกัดด้วยค่ายกล ทำให้พลังจิตของเขาปล่อยไปไกลสุดได้เพียงหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น จึงไม่สามารถตรวจสอบจุดสิ้นสุดของบริเวณหมอกสีขาวได้เลย ทว่าสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนรู้ สึกสบายใจก็คือ น้ำทะเลที่อยู่ด้านล่างของเยี่ยเทียนนั้น ไม่มีสัตว์น้ำที่น่ากลัวอะไร อย่างน้อยก็ยังรับประกันความปลอดภัยจากสัตว์น้ำได้ชั่วคราว


การพายเรืออยู่บนทะเลที่ไร้ลมไร้คลื่นแบบนี้ สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่ได้มีความยากเย็นอะไร และด้วยพลังของเขา แม้ว่าจะต้องพายสิบวันสิบคืนติดต่อกันก็ไม่มีปัญหา นอกจากนี้เยี่ยเทียนได้ปล่อยปราณแท้ออกมาเล็กน้อยหลังจากที่ใช้ไม้พายลงน้ำทุกครั้ง เพื่อทำให้แพชูชีพพุ่งไปข้างหน้าเร็วเหมือนลูกศรที่แหลมคม


น้ำทะเลเงียบสงัด เหลยหู่นอนหลับไปนานแล้ว เสียงโห่ร้องกึกก้องราวกับฟ้าลั่นกับเสียงไม้พายที่ต่อเนื่องกันเป็นระลอก เยี่ยเทียนโบกไม้พายซ้ำๆ กันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จากนั้นเพ่งพลังจิตโดยให้แพชูชีพเป็นจุดศูนย์กลางปกคลุมบริเวณที่อยู่ในระยะสี่ห้าสิบเมตรทั้งหมดเอาไว้


หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงกว่า พระอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้าก็ตกลงไปอีกฟากหนึ่งของเกาะ พระจันทร์โผล่ขึ้นมา แสงจันทร์ที่สุกสกาวส่องสะท้อนไปบนผิวน้ำทะเล เกิดแสงสีสาดส่องเป็นชั้นๆ ขึ้นมา หมุนเป็นเกลียวขึ้นไปอย่างเลือนลาง ทำให้เกาะที่อยู่ห่างไกลราวกับเป็นภูเขาเซียนก็ไม่ปาน


เวลาผ่านไปห้าชั่วโมง พระจันทร์เต็มดวงก็ลอยอยู่ด้านบนของแพชูชีพ จากระยะห่างของเกาะกว่าหนึ่งร้อยเมตร เสียงเห่าหอนดังออกมาเป็นระยะ เยี่ยเทียนพบว่า มีปราณบริสุทธิ์ออกมาจากพระจันทร์ล้นทะลักไปที่เกาะแห่งนั้น


ค่ำคืนนี้ช่างไม่สงบเสียจริง เสียงคำรามของสัตว์ป่าชนิดต่างๆ ดังขึ้นมาจากในเกาะอยู่บ่อยครั้ง และดูเหมือนจะมีสัตว์ดุร้ายบางส่วนที่ต่อสู้กัน ฝ่ายชนะก็จะโห่ร้องคำรามฝ่ายที่แพ้ก็จะร้องครวญครางจวนใกล้ตาย เห็นได้ชัดว่า ณ ที่ตรงนั้นมีการต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย


“สรุปแล้วที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่?”


พอผ่านไปอีกสี่ห้าชั่วโมง ดาวประกายพรึกก็เริ่มส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า แสงพระจันทร์ค่อยๆ ลดหายไป ถึงแม้แสงแดดที่ร้อนแรงจะไม่สามารถส่องผ่านชั้นหมอกสีขาวได้ แต่ก็ยังให้แสงสว่างไปทั่วพื้นที่แห่งนี้ ในเกาะก็กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง


สุดท้ายเยี่ยเทียนก็ไม่สามารถทำให้เกาะนั่นอยู่พ้นสายตาของตัวเอง นอกจากนี้เขายังหาจุดพิกัดที่เป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีลักษณะพิเศษต้นหนึ่ง ขณะที่เขาออกมาจากที่นั่นในตอนแรกไม่เจอแล้ว


แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงมากกว่าก็คือ เขาไม่หลับไม่นอนมากว่าสิบชั่วโมง แถมยังใช้ปราณแท้ขับเคลื่อนแพชูชีพให้ลอยไปข้างหน้าตลอด อย่างน้อยก็ต้องลอยออกไปไกลมากกว่าแปดสิบกิโลเมตรขึ้นไป แต่สุดท้ายเยี่ยเทียนก็ไม่สามารถมองเห็นจุดเริ่มต้นที่ออกมาได้อยู่ดี ความใหญ่ของเกาะแห่งนี้ เกินความคาดหมายที่เยี่ยเทียนคิดไว้เสียอีก


ปลาทะเลความยาวประมาณครึ่งเมตรตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนผิวน้ำ เยี่ยเทียนดีดนิ้วชี้มือขวาเกิดเสียงดัง “พลุก!” แล้วดวงตาของปลาทะเลตัวนั้นก็ถูกเจาะเป็นรู เขายื่นมือออกไป ปลาทะเลนั่นก็ตกไปอยู่ข้างลำตัวของเหลยหู่ที่ยังนอนหลับสนิท


เหลยหู่เองก็เหนื่อยล้าสุดขีด ความเคลื่อนไหวเสียงดังขนาดนี้ เขาทำเพียงแค่ลืมตา แล้วมองไปที่เยี่ยเทียนอย่างงุนงง พลางเอ่ยถามอย่างสะลึมสะลือว่า


“มีอะไร? เกิดอะไรขึ้นครับ?”


“ตื่นได้แล้ว ที่นี่เต็มไปด้วยปราณวิเศษ ถ้าไม่นั่งฝึกวรยุทธก็น่าเสียดายแย่!”


เยี่ยเทียนโบกมือซ้าย แล้วไม้พายก็ตวัดน้ำทะเลขึ้นมา สาดลงไปบนใบหน้าของเหลยหู่


“แกกินปลาตัวนี้ซะ เพิ่งจะเข้าขั้นพลังสับเปลี่ยน จำเป็นต้องบำรุงกำลังด้วยอาหารเสียหน่อย สิ่งมีชีวิตที่อยู่ที่นี่ได้รับการหล่อเลี้ยงของปราณวิเศษเป็นระยะเวลานาน จึงเป็นของบำรุงชั้นดี ถ้าอยู่ข้างนอก ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้”


ถึงแม้ในทะเลจะไม่มีสัตว์ประหลาดอย่างฉงฉีอาศัยอยู่ แต่ปลาพวกนี้ก็ดูดกลืนพลังแห่งฟ้าดินของที่นี่เป็นอาหารอยู่ทุกวัน โครงสร้างที่อยู่ภายในร่างกายจึงเปลี่ยนแปลงไปนานแล้ว เลือดเนื้อทุกตารางนิ้วต่างก็แฝงไปด้วยพลังปราณอันบริสุทธิ์ อีกทั้งไม่ต้องผ่านการปรุงเป็นยาก็สามารถดูดซับเข้าไปภายในร่างกายได้โดยตรง


ถ้าหากปลาพวกนี้อยู่ที่โลกภายนอกล่ะก็ นำไปตุ๋นเป็นน้ำแกงให้คนได้กิน เกรงว่าสรรพคุณของมันยังจะดีกว่าลูกท้อที่เยี่ยเทียนได้มาจากภูเขาฉางไป๋ซานเสียอีก โดยเฉพาะผู้สูงวัย มีสรรพคุณสามารถเพิ่มอายุขัยลดความเสื่อมชราของร่างกายอย่างรวดเร็วได้อีก


“เฮ้อ ตอนนี้ผมเป็นคนพิการแล้ว!”


เมื่อถูกน้ำทะเลเย็นๆ สาดใส่หน้า เหลยหู่จึงตื่นขึ้นมาทันที ใช้แขนขวายันตัวให้ลุกขึ้นด้วยความเคยชิน แต่กลับตัวเอียง แล้วจึงนึกได้ว่าแขนขวาของตัวเองขาดไปแล้ว ทำให้ใบหน้าของเขามีสีหน้าหม่นหมองออกมาอย่างช่วยไม่ได้


เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูดว่า


“อย่าดูถูกตัวเองแบบนี้ หากมองในมุมมองของคนธรรมดาแล้ว ถือว่าแกอยู่จุดสูงสุดของพวกเขาแล้ว ลูกกระสุนปืนทั่วไปก็ทำอะไรแกไม่ได้”


การเสียแขนไปข้างหนึ่ง สำหรับคนธรรมดาทั่วไป เป็นเรื่องที่ยอมรับยากจริงๆ แต่เหลยหู่ที่เข้าสู่ขั้นพลังสับเปลี่ยนนั้น อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องพลังความสามารถอย่างอื่น เพียงแค่อายุขัยก็ยังเพิ่มขึ้นอีกนับสิบปี ใช่ว่าแขนข้างเดียวจะสามารถแลกได้?


“ขอบคุณท่านเยี่ยที่ชี้แนะครับ!”


เมื่อเยี่ยเทียนพูดแบบนี้ เหลยหู่จึงเข้าใจทันที ดังสำนวนที่ว่ามีทุกข์ก็มีสุขได้ มีสุขก็มีทุกข์ได้เช่นกัน ถือว่าเขาควรได้เวลาฟาดเคราะห์สักครั้งก็แล้วกัน


“เนื้อปลานี้ หวานสดจริงๆ !”


เหลยหู่ใช้ขาข้างหนึ่งเหยียบไปที่ปลาตัวใหญ่ แล้วกางเล็บมือทั้งห้า ฉีกออกมาให้เป็นแผ่นเนื้อปลาขนาดใหญ่ เขาเองก็ไม่รังเกียจกลิ่นเหม็นคาวอะไร ยัดเข้าปากเคี้ยวมันขึ้นมา เนื้อปลาที่สดใหม่พอเข้าปากก็ละลายทันที เหลยหู่จึงกินอย่างเอร็ดอร่อยเสียงดังจ๊อบแจ๊บ


ผ่านไปสักพักหนึ่ง ปลาตัวใหญ่น้ำหนักประมาณยี่สิบกว่าชั่งก็ลงไปอยู่ในท้องของเหลยหู่หมด หลังจากโยนก้างปลาทิ้งลงในทะเลแล้ว เหลยหู่จึงมองเยี่ยเทียนและถามว่า


“ท่านเยี่ยครับ พวกเราถึงไหนกันแล้วครับ?”


“ฉันกำลังพายไปรอบๆ เกาะ ความใหญ่ของเกาะแห่งนี้ เกรงว่าจะไกลเกินกว่าที่แกกับฉันจินตานาการไว้แน่ๆ…”


เยี่ยเทียนถอนหายใจ เขามีความรู้สึกบางอย่าง ถ้าหากตัวเองอยากจะหาพิกัดที่ตัวเองทิ้งเอาไว้ในหัว วิธีที่ดีที่สุดคือพายวนกลับไป และถ้าคิดอยากจะวนไปรอบๆ เกาะ เกรงว่าถ้าใช้เวลาไม่ถึงสามถึงห้าเดือนก็คงทำไม่ได้


“ใหญ่ขนาดนั้นเชียว?”


หลังจากได้ยินการคาดเดาของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงตกใจอ้าปากค้าง เพราะเมื่อก่อนการล้อมแนวชายฝั่งของญี่ปุ่นทั้งประเทศ ก็ใช้เวลาไม่ถึงสามถึงห้าเดือน ความใหญ่ของเกาะแห่งนี้ ยังจะใหญ่กว่าประเทศหนึ่งเชียวหรือ?


เยี่ยเทียนโบกมือแล้วพูดว่า


“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของฉัน  แกไปนั่งฝึกวรยุทธเถอะ!”


“ครับ ท่านเยี่ย”


เหลยหู่รู้ว่าตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงรีบนั่งขัดสมาธิบนแพชูชีพทันที ทว่าใบหน้าของเขากลับเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมา แล้วเอ่ยพูดว่า


“ท่านเยี่ย ผม…ผมไม่รู้ว่าต้องฝึกยังไงครับ?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)