ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 824-825

 ตอนที่ 824 ชื่อเสียงลือลั่น

ชื่อเสียงลือลั่น


เขาหยิบหีบไม้ที่ล้อมด้วยเปลวเพลิงสีเงินออกมาจากแหวนย่อส่วนอย่างไม่ลังเลสักนิด พร้อมกันนั้นมือข้างหนึ่งก็ปัดบนหีบไม้เบาๆ สายลมอ่อนโชยผ่าน เปลวเพลิงบนหีบไม้ส่ายไหววูบหนึ่งก็หายไปไม่เห็น หีบไม้สีเงินใบหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขาอย่างไม่มีสิ่งใดปกปิดแม้แต่น้อย


ต่อจากนั้นมือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงก็ลูบเบาๆ หีบไม้ส่งเสียงดัง “กึก” แล้วเปิดออกช้าๆ แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งฉายออกมา ในหีบไม้คัมภีร์เก่าแก่อย่างที่สุดเล่มหนึ่งนอนนิ่งอยู่


คัมภีร์เล่มนี้บนปกสลักลวดลายจิตวิญญาณสีเงินอ่อนลี้ลับอย่างที่สุดไว้เต็ม คล้ายถูกเพิ่มชั้นจำกัดบางอย่างไว้เพียงแต่วันนี้สิ้นแสงรัศมีไปนานแล้ว นอกจากนี้ตรงมุมยังเผยอเปิดเล็กน้อย เห็นชัดถึงอายุอันเนิ่นนาน


หลิ่วหมิงหยิบคัมภีร์ในหีบไม้ออกมาทันทีจากนั้นจดจ่อพลิกอ่าน


ครู่หนึ่งให้หลังเขาก็หัวเราะเฝื่อนๆ ปิดมันลงแล้ววางกลับลงไปในหีบไม้สีเงินยวง


สิ่งนี้คือวิชาฝึกฝนที่สิบทอดต่อกันมาจากยุคโบราณเล่มหนึ่งชื่อวิชาดวงใจเทพธิดา บอกไว้ว่าเป็นวิชาพิทักษ์สำนักของสำนักที่ชื่อวังเมฆาหยกในยุคโบราณซึ่งโด่งดังในเรื่องมีแต่ผู้ฝึกฝนสตรี มันลี้ลับอย่างยิ่ง ฝึกฝนยากอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อฝึกสำเร็จ พลังน่าตะลึงอย่างที่สุด


ตามที่ในคัมภีร์กล่าวไว้ ในยามนั้นวิชานี้มีเพียง “เทพธิดา” หกคนที่ถูกเลือกจากวังเมฆาหยกถึงจะฝึกฝนได้ เทพธิดาเหล่านี้ท้ายที่สุดจะผ่านการคัดเลือกอีกหน เลือกเพียงคนหนึ่งในนั้นมาเป็นประมุขวังเมฆาหยก สตรีห้าคนที่เหลือจะถูกประหารอย่างโหดร้าย วิถีแห่งวังเมฆาหยกนี้เห็นได้ว่าแปลกประหลาดและแปลกแยกจากสังคม


ท้ายที่สุดไม่ทราบเพราะเหตุใดวังเมฆาหยกจึงหายไปจากแผ่นดินจงเทียน คัมภีร์นี้นายท่านคนก่อนหน้านี้ของแดนมรดกได้มาจึงกลายเป็นหนึ่งในมรดกที่เป็นรางวัล


แม้วิชานี้มีที่มาอันยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีประโยชน์กับหลิ่วหมิงแม้แต่น้อย เพราะตอนต้นของวิชานี้เขียนไว้ชัดเจน จำเป็นต้องเป็นสตรีผู้มีร่างหยินบริสุทธิ์เท่านั้นถึงฝึกฝนได้


เขาจึงได้แต่ส่ายศีรษะกับสิ่งนี้ แล้วเก็บหีบไม้สีเงินยวงนี้ไว้ชั่วคราว วันหน้าค่อยคิด


หลิ่วหมิงปล่อยจิตสัมผัสกวาดผ่านถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่ข้างเอวอีกหน


เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์เวลานี้กำลังหลับสนิทอย่างยิ่งอยู่ด้านใน ฟื้นพลังกายไปพลาง รักษาอาการบาดเจ็บไปพลาง


ศึกกับสัตว์ประหลาดเผ่าหนอนผีเสื้อตัวนั้นก่อนหน้านี้ แม้ตอนนั้นไม่ได้สังเกตเห็นว่าอสูรเลี้ยงสองตัวนี้มีอาการผิดปกติอันใด แต่ต่อมาถึงพบว่าทั้งสองถูกของเหลวสีเขียวที่หนอนประหลาดเหล่านั้นพ่นออกมาจนบนร่างมีรอยกัดกร่อนมากหลายที่


ดีที่อสูรเลี้ยงสองตัวนี้วันนี้เลื่อนระดับเป็นระดับผลึกขั้นปลายแล้ว ต้องการเพียงดูดซับปราณหยินจำนวนหนึ่งอยู่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณรักษาตัวหนึ่งปีครึ่งก็ฟื้นคืนดังเดิมได้


หลังหลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ก็วางใจ สองตาหลับลง นั่งสมาธิอย่างสงบ


งานประตูสวรรค์ครั้งนี้เรียกได้ว่าเขาหมดสภาพ ผลาญสิ้นแรงกายแรงใจ วันนี้พอดีอาศัยเวลาว่างอันหาได้ยากช่วงนี้ระหว่างเดินทางกลับนิกายยอดบริสุทธิ์ได้โคจรปราณพักรักษาตัวดีๆ ค่อยๆ ฟื้นสภาพอาวุธจิตวิญญาณซึ่งมีจิตวิญญาณหลายชิ้นในร่างที่เสียหายมากบ้างน้อยบ้างอย่างเช่นกระบี่ว่างเปล่าสักหลายวัน


เส้นทางกลับนิกายยอดบริสุทธิ์จะว่าไกลก็ไม่ไกลจะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาไปหลายเดือน


เช่นเดียวกับยามมา นอกจากสถานที่ซึ่งต้องลงจากรถเข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายไม่กี่แห่ง เวลาอื่นหลิ่วหมิงก็แทบจะเก็บตัวไม่ออกมา สนใจเพียงพักผ่อนสงบใจอยู่ในห้องลับของตนเอง


ระหว่างนี้หลงเหยียนเฟยสตรีผู้นี้มาเยี่ยมเยือนครั้งหนึ่ง ทั้งสองคนพูดคุยถึงสิ่งที่พบและสิ่งที่ได้มาจากในงานประตูสวรรค์กันเล็กน้อย


นอกจากทรายธารดารา แก่นปีศาจของเผ่าหนอนผีเสื้อกับวิธีหลอมฝักกระบี่ว่างเปล่าที่ได้มาท้ายสุด หลิ่วหมิงไม่ได้จงใจปิดบังสิ่งใด


ผลสุดท้ายเมื่อหลงเหยียนเฟยเสนออ้อมๆ ขึ้นมา หลิ่วหมิงจึงแลกเปลี่ยนหญ้าจิตวิญญาณหลายต้นกับสตรีผู้นี้


อย่างไรสำหรับเขาแล้ว หญ้าจิตวิญญาณเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็จะนำไปแลกแต้มคุณูปการหรือแลกหินจิตวิญญาณอยู่แล้ว ดังนั้นขอเพียงราคาต่างกันไม่มาก เขาย่อมไม่ปฏิเสธความต้องการของหลงเหยียนเฟย


อย่างไรสตรีผู้นี้ก็เป็นทายาทของปรมาจารย์ลิ่วยิน เขาจับพลัดจับผลูทำลายตัวอ่อนกระบี่ที่ปรมาจารย์ลิ่วอินทิ้งไว้ให้แก่ทายาทไป ในใจอย่างไรก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง


นอกจากนี้เทียนเกอเจินเหรินก็มาหาครั้งสองครั้ง จากการพูดคุยเหมือนจะเป็นห่วงหลิ่วหมิงไม่น้อย


ในที่สุดหลังจากเดินทางไกลระหกระเหิน คณะเดินทางของหลิ่วหมิงก็กลับมาในเทือกเขาหมื่นวิญญาณสถานที่ตั้งนิกายอีกครั้ง


หลิ่วหมิงขอตัวกับเทียนเกอเจินเหรินจากนั้นออกจากรถเหาะยักษ์ ขี่เมฆไปยังถ้ำที่พักของตนเอง


……


สามวันให้หลัง ในตำหนักใหญ่บนยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์


พวกหลิ่วหมิงศิษย์เจ็ดคนที่เข้าร่วงงานประตูสวรรค์แล้วปลอดภัยกลับมายืนนิ่งไม่กระดิก


สองฟากของห้องโถงผู้อาวุโสผู้ควบคุมยอดเขาแต่ละลูกนั่งอยู่ มากถึงเกือบร้อยคน อินจิ่วหลิงอาจารย์ของหลิ่วหมิงก็อยู่ในแถวด้วย ใบหน้าอิ่มเอิบภาคภูมิใจ กำลังพูดคุยอะไรเสียงเบากับเทียนอินซ่างเหรินผู้ควบคุมยอดเขาเลื่อนลอยที่อยู่ข้างกายเขา


เทียบกันแล้วในอีกมุมหนึ่ง ผู้ควบคุมยอดเขาแซ่หลูแห่งยอดเขาเมฆาเขียวหัวคิ้วขมวดแน่น สายตากวาดผ่านบนร่างหลิ่วหมิงเป็นระยะ สีหน้าไม่น่าดูอย่างใด


“ผู้อาวุโสผู้ควบคุมยอดเขาทุกท่าน คิดว่าคงได้ยินมาก่อนแล้วว่างานประตูสวรรค์ครั้งนี้ นิกายยอดบริสุทธิ์ของพวกเราโชคดีได้ครองอันดับหนึ่งทั้งยังได้รับโชคชะตามาจำนวนมาก นี่เป็นเรื่องดีใหญ่หลวงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาเกือบหมื่นปี”


“เมื่อได้โชคชะตานี้มา หลายร้อยปีหลังจากนี้นิกายยอดบริสุทธิ์ของเราก็จะยิ่งเจริญรุ่งเรือง นี่ต้องขอบคุณผู้อาวุโสผู้ควบคุมยอดเขาทุกท่านที่สั่งสอนศิษย์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เหล่านี้ออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินจิ่วหลิงแห่งยอดเขาลั่วโยว ในงานประตูสวรรค์ครั้งนี้หลิ่วหมิงแสดงความสามารถได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่ง โชคชะตาที่รวบรวมมาได้เป็นอันดับหนึ่ง คิดว่าท่านผู้เป็นอาจารย์คนนี้คงทุ่มเทความใส่ใจไปไม่น้อย” บนที่นั่งประธาน เทียนเกอเจินเหรินในอาภรณ์สีเหลืองแย้มยิ้มเล็กน้อยเอ่ยขึ้น


“ตอบท่านประมุข หลิ่วหมิงเด็กคนนี้เกิดมาฉลาดเฉลียวทั้งยังขยันพากเพียร กราบเข้าเป็นศิษย์ข้าเป็นเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่สิบปีก็ก้าวมาจนถึงขั้นนี้ได้ ไม่ง่ายดายจริงๆ” อินจิ่วหลิงได้ยินก็รีบลุกขึ้นประสานมือเอ่ย แต่บนใบหน้ากลับปิดบังสีหน้ายินดีจางๆ ไม่มิด


“นอกจากนี้ ผลงานของหลัวเทียนเฉิงกับหลงเหยียนเฟยและศิษย์คนอื่นก็ค่อนข้างไม่เลว ลงแรงสร้างความชอบทำให้โชคชะตารวมทั้งหมดของนิกายยอดบริสุทธิ์เราได้อันดับหนึ่ง ต่อจากนี้ข้าจะมอบรางวัลให้ตามผลงานในงานประตูสวรรค์ ส่วนรางวัลของยอดเขาที่ศิษย์แต่ะคนสังกัดอยู่จะเพิ่มทรัพยากรที่แบ่งสรรให้แต่ละปีตามผลงาน” หลังเทียนเกอเจินเหรินกวักมือส่งสัญญาณให้อินจิ่วหลิงนั่งลงก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง


“ขอบคุณท่านประมุขยิ่ง!” พวกหลิ่วหมิงเจ็ดคนทยอยค้อมกายคำนับขอบคุณ


หลังจากนั้นพวกหลิ่วหมิงก็ก้าวเข้าไปรับรางวัลตามสัญญาณของเทียนเกอเจินเหรินทีละคน


ทุกครั้งที่เทียนเกอเจินเหรินเรียกชื่อใครคนหนึ่งก็จะมีเด็กรับใช้ด้านข้างประคองถาดใบหนึ่งเข้ามา บนถาดคือยันต์เก็บของแผ่นหนึ่ง


ท้ายที่สุดหลิ่วหมิงก็ได้รับมอบแต้มคุณูปการของนิกายสามล้านแต้ม โอสถที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกต้องการหลายขวด รวมถึงสิทธิ์เลือกอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดในนิกายหนึ่งครั้งกับ “โอสถอู่หลิง” ที่มีฤทธิ์ช่วยเสริมการผนึกแก่นแท้ระดับหนึ่งหนึ่งเม้ด


ส่วนพวกหลัวเทียนเฉิง หลงเหยียนเฟยหกคน นอกจากแต้มคุณูปการที่ได้น้อยกว่าหลิ่วหมิงอยู่บ้าง ได้แค่หนึ่งล้านกว่าแต้ม อย่างอื่นก็ใกล้เคียงกัน


ทว่าเพียงแต้มคุณูปการหนึ่งล้านกว่าแต้มนี้ สำหรับศิษย์สายในธรรมดาคนหนึ่งก็เป็นความมั่งคั่งไม่น้อยแล้ว ต่อให้ไปรับภารกิจจากป้ายประกาศภารกิจของหอลี้ลับไม่หยุดก็ต้องสะสมอย่างน้อยสิบกว่าปีถึงมีโอกาสสะสมถึง


หลังพวกหลิ่วหมิงรับรางวัลจากเทียนเกอเจินเหรินแล้วก็ขอตัวออกจากตำหนักหลักไป ต่างคนกลับไปยังถ้ำที่พักของตนเอง


เนื่องจากผลงานในงานประตูสวรรค์ครั้งนี้ของหลิ่วหมิง ชั่วเวลาหนึ่งชื่อเสียงในนิกายของเขาจึงไม่มีใครเทียบเคียง ชื่อเสียงเพิ่มขึ้นเป็นเรือลอยตามน้ำอีกหนเพราะเรื่องนี้


ช่วงเวลาระยะหนึ่งหลังจากนั้น แม้หลิ่วหมิงจะฝึกฝนอยู่ในถ้ำที่พักของตนเองทุกวัน แต่ก็ยังมีศิษย์ไม่น้อยพากันมาเยี่ยมเยือนแสดงความเป็นมิตรถึงประตูเพราะชื่นชมชื่อเสียง แม้เขารำคาญเป็นที่สุด แต่โดยทั่วไปก็ต้อนรับทุกคน หากแสดงออกหยิ่งทะนงเกินไป กลับจะดึงเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็นมาได้


ในช่วงเวลานี้ยังมีผู้อาวุโสสายในที่เห็นคุณค่าเขาจำนวนหนึ่ง ส่งศิษย์ในสังกัดมามอบโอสถและอาวุธจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งให้อย่างต่อเนื่อง เพิ่มกำลังใจให้เขา ทั้งยังเชิญเขาไปเป็นแขกหากมีเวลาว่าง เจตนาชักชวนเป็นพวกไม่พูดก็รับรู้ได้


เรื่องนี้หลิ่วหมิงได้แต่รับปากไปก่อน ส่วนหลังจากนี้จะไปหรือไม่ไปเยี่ยมเยือน นั่นก็ได้แต่ค่อยว่ากันทีหลัง


ทว่าในใจเขาตัดสินใจแล้วว่ารอเรื่องนี้ซาลง เขาจะออกเดินทางอีกครั้ง มิเช่นนั้นเป็นเช่นนี้นานเข้าจะต้องกระทบการฝึกฝนของเขาแน่


ในเวลาเดียวกันนี้ในถ้ำที่พักแห่งหนึ่งที่ยอดเขากระบี่สวรรค์


เสียงแหวกอากาศดังฟึบๆ ดังขึ้นกลางอากาศพักหนึ่ง รุ้งสีน้ำเงินยาวหนึ่งจั้งกว่าสายหนึ่งก็พุ่งตัดผ่านไปมาในถ้ำไม่หยุด


ข้างใต้รุ้งสีน้ำเงิน ชายหนุ่มชุดผ้าไหมใบหน้าตอบยาวผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้วยใบหน้าอึมครึม


เวลานี้เองสตรีรูปร่างอ้อนแอ้นหน้าตาสะสวยก็เยื้องย่างเดินเข้ามา


หลงเหยียนเฟยนั่นเอง


“ศิษย์น้องซา อาจารย์สั่งไว้แล้ว หลังจากนี้อย่าได้สร้างความลำบากให้หลิ่วหมิงคนนั้นเพราะเรื่องศิษย์น้องเจียหลานอีก จะได้ไม่เกิดเรื่องขึ้นเปล่าๆ คิดว่าเจ้าก็คงรู้แล้วว่าตนในตอนนี้อยู่ห่างจากเขามาก ไม่สู้ฝึกฝนดีๆ ใช้พรสวรรค์ของเจ้าไล่ตามเขา ไม่แน่อาจยังเป็นไปได้อยู่บ้าง” หลงเหยียนเฟยหัวเราะแผ่วเบา เอ่ยขึ้นเรียบๆ


“ในเมื่ออาจารย์ว่าเช่นนี้ ข้าย่อมเข้าใจเหตุผลของท่าน ไม่ไปหาหลิ่วหมิงผู้นั้นอย่างไม่ประมาณกำลังตนอีก”


หลังซาทงเทียนเงยหน้ามองหลงเหยียนเฟยทีหนึ่งก็ตอบกลับอย่างเย็นชา สนใจแต่ทำท่าเคล็ดวิชาฝึกฝนต่อไป


ภาพที่คล้ายกันยังเกิดขึ้นในตำหนักหลักของยอดเขาดับสูญด้วย


“เทียนเฉิง ฟ่านเจิ้ง พลังของหลิ่วหมิงคนนี้คิดว่าพวกเจ้าสองคนตอนนี้คงรู้ชัดยิ่ง นับจากวันนี้เป็นต้นไปไม่มีธุระก็อย่าไปหาเรื่องเด็กคนนี้ มิเช่นนั้นหากท่านประมุขลงโทษขึ้นมา ข้าก็คงแก้ตัวไม่ได้” ผู้ควบคุมยอดเขาดับสูญที่นั่งอยู่บนที่นั่งประธานเอ่ยขึ้นช้าๆ


“ศิษย์น้อมรับคำสั่ง!” หลัวเทียนเฉิงผู้สวมชุดสีเทากับฟ่านเจิ้งสองคนได้ยินก็สบตากันอย่างค่อนข้างจนปัญญาทีหนึ่ง ได้แต่ตอบรับอย่างว่าง่าย


ในเวลาเดียวกันนี้ฐานะของยอดเขาลั่วโยวที่หลิ่วหมิงอยู่ก็เลื่อนสูงขึ้นพร้อมกับการจบลงของงานประตูสวรรค์ ทรัพยากรในนิกายที่ยอดเขาลั่วโยวซึ่งจำนวนคนไม่มากได้ไปทำให้พวกเขามั่งคั่งอย่างมากเพราะเหตุนี้จึงชักนำให้ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสายในพากันแสดงออกว่าปรารถนาจะเข้าสังกัดยอดเขาลั่วโยว


อินจิ่วหลิงผู้ควบคุมยอดเขาลั่วโยวกับเทียนอินซ่างเหรินผู้ควบคุมยอดเขาเลื่อนลอย ความสัมพันธ์ยิ่งแน่นแฟ้น สองยอดเขาท่าทางคล้ายไม่แยกเขาแยกเรา


หลิ่วหมิงผู้เป็นตัวละครหลักในเรื่องทั้งหมดกลับไม่รู้สึกสนใจเรื่องนี้ หลังปรากฏตัวในงานที่ขาดไม่ได้ไม่กี่หนก็ซุกอยู่ในหอเก็บคัมภีร์ไม่ออกมาอีก


เขาเริ่มหาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับการจับปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่ารวมถึงคัมภีร์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาติดขัดของเคล็ดวิชาฝึกฝนจำนวนหนึ่ง


ครึ่งเดือนให้หลังหลิ่วหมิงถึงเดินอาดๆ ออกมาจากในหอเก็บคัมภีร์ มือตั้งท่าเคล็ดวิชากลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป มุ่งไปยังถ้ำที่พักของผู้อาวุโสเถียนบนยอดเขาลั่วโยว


ตอนที่ 825 เพียงพอนผลึกม่วง

ครึ่งชั่วยามให้หลัง


ในโถงถ้ำซึ่งหมอกสีเทาขมุกขมัวอึมครึม บุรุษผู้มีปราณดำสายเล็กๆ วนเวียนล้อมรอบคนหนึ่งนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ไม้ สองตาจับจ้องหญ้าจิตวิญญาณที่มีเกสรรูปกลมกลีบสีส้มถูกเปลวเพลิงจิตวิญญาณสีเหลืองอ่อนล้อมอยู่ต้นหนึ่งในมือ


“ดี! หญ้าหัวใจอัคคีไม่ผิดจริงๆ อายุยังมากกว่าที่ต้องการนิดหน่อยด้วย ไม่เลว!”


ในดวงตาของเขาฉายแววพึงพอใจจางๆ หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้น


“ภารกิจที่อาจารย์อาเถียนมอบหมาย ศิษย์จะกล้าลืมได้อย่างไร ว่าแต่…” หลิ่วหมิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็รีบเอ่ยตอบ


“วางใจ ข้ารับปากเจ้าแล้วย่อมไม่กลับคำ! ที่อยู่ของปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าบันทึกไว้บนแผนที่แผ่นนี้แล้ว แต่สถานที่นี้อันตรายอย่างยิ่ง เกรงว่าคงจะทำสำเร็จไม่ง่ายปานนั้น ข้าแนะนำเจ้าสักประโยคเตรียมพร้อมให้มากค่อยออกเดินทางก็ไม่สาย”


“นอกจากนี้ปีศาจอสูรตัวนี้พลังระดับแก่นแท้ ศิษย์หลานหลิ่วระวังไว้บ้างเป็นเยี่ยม อย่าจับอสูรตัวนี้ไม่ได้แต่กลายไปเป็นอาหารโอชะในท้องมันแทนเสียเล่า” ผู้อาวุโสเถียนยังคงจ้องหญ้าจิตวิญญาณในมือ เอ่ยต่อทั้งที่ศีรษะไม่เงย ในเวลาเดียวกันมืออีกข้างหนึ่งก็ยกขึ้น ม้วนสาส์นที่เก่าอยู่บ้างม้วนหนึ่งถูกโยนออกมา


“ขอบคุณอาจารย์อาเถียนยิ่งที่เตือน!”


หลิ่วหมิงรับม้วนสาส์นมา หลังใช้จิตสัมผัสกวาดทีหนึ่งก็เก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงประสานมือเอ่ยขอบคุณผู้อาวุโสเถียน


“เอาล่ะ ไม่มีธุระอื่นแล้ว เจ้าก็ออกไปเถอะ” หลังผู้อาวุโสเถียนได้หญ้าจิตวิญญาณแล้วก็รีบไล่แขก ราวกับว่าไม่ยินดีถูกคนรบกวนนัก


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สถานการณ์ขอตัวออกจากถ้ำที่พักไปทันที


หลังจากนั้นเขาก็กลับไปในถ้ำที่พัก ติดป้ายว่าไม่รับแขก มุ่งมั่นศึกษาแผนที่ในมือ


เวลาสองเดือนผ่านไปเพียงชั่วพริบตา


ในช่วงเวลานี้เจียหลานสตรีนางนี้เคยมาถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงหลายครั้ง


เพียงแต่ทุกครั้งทั้งสองคนเพียงสนทนาเคล็ดลับการฝึกฝนบางอย่าง ส่วนเรื่องหมั้นหมายปิดปากไม่พูดถึง หลังกิจธุระสตรีนางนี้ก็ไม่พูดอันใดมากจากไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งระหว่างทั้งสองคนเป็นพียงสหายที่ดีทั่วไปเท่านั้น


สถานการณ์เหล่านี้ในสายตาของคนที่ไม่รู้นอกในเหล่านั้นย่อมคิดว่าหลิ่วหมิงกับเจียหลานคบหากันสนิทสนม รักกันดียิ่ง


ส่วนเวินอันนั่นยิ่งไม่กล้าหมายตาเจียหลานแล้ว ทุกครั้งยามผ่านใกล้ยอดเขาลั่วโยวกับยอดเขาเลื่อนลอยก็อ้อมทาง ไม่พบหน้าหลิ่วหมิงหรือเจียหลานแม้แต่น้อย


วันนี้หลิ่วหมิงตรวจสอบสภาพของเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์อีกครั้ง


พบว่าแม้อาการบาดเจ็บของทั้งสองจะฟื้นดีขึ้นเจ็ดแปดส่วนแล้ว แต่ปราณก็ยังคงแผ่วจางอยู่บ้าง เวลาส่วนใหญ่ของทุกวันล้วนนอนหลับ ดูท่าการตามหาปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่า อสูรเลี้ยงสองตัวนี้จะช่วยงานไม่ได้เสียแล้ว


หลิ่วหมิงครุ่นคิดระยะหนึ่งก็ตัดสินใจทิ้งทั้งสองตัวไว้ในห้องลับของถ้ำที่พักให้รักษาแผลดีๆ พร้อมกำชับทั้งสองไว้ หลังเปิดชั้นจำกัดทั้งหมดด้านในด้านนอกถ้ำที่พักแล้ว เขาก็ออกจากถ้ำที่พักของตนเอง มือทำท่าเคล็ดกระบี่กลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป ชั่วครู่ให้หลังก็หายไปท่ามกลางหมู่เขากว้างขวาง


หลายเดือนให้หลัง ณ ที่สักแห่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินจงเทียน


ทอดสายตามองไปบนพื้นดินล้วนเป็นวัชพืชรกเขียวครึ้มสูงเท่าตัวคน ลมพัดหอบหนึ่งก็ไหวเป็นระลอกชั้นแล้วชั้นเล่าประหนึ่งน้ำทะเล อากาศแห้งผากเย็นยะเยือกผิดปกติ


สุดปลายทุ่งหญ้าคือเทือกเขาไม่สิ้นสุดสีแดงหม่นแถบใหญ่ซ้อนเป็นชั้นๆ มองไปสองด้านล้วนมองไปไม่เห็นสุดขอบ


แสงสีทองสายหนึ่งแหวกท้องฟ้ามาถึงทางเข้าตลาดแห่งหนึ่งตรงขอบเทือกเขา หลังแสงรัศมีดับลง ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้า


หลังเขามองสำรวจผู้คุ้มกันใกล้ๆ สองสามทีก็เดินออกจากค่ายกลไปทางถนนใกล้ๆ อย่างไม่รีบร้อน


ชายหนุ่มคนนี้ก็คือหลิ่วหมิง


หลังเขาเคลื่อนย้ายสิบกว่าหนเร่งเดินทางหลายเดือนมาจนถึงที่แห่งนี้ตามแผนที่ซึ่งผู้อาวุโสเถียนมอบให้ เขาก็ค้นพบว่าเทือกเขาใกล้ๆ ใหญ่โตอย่างยิ่ง มีสถานที่อันตรายหมอกพิษนานามากมาย แม้มีแผนที่ชี้บอก จะหาปีศาจอสูรธาตุว่างเปล่าพบก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน


โชคดีที่ก่อนออกเดินทาง เขาอ่านเจอในคัมภีร์ของนิกายว่าถิ่นที่ปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าปรากฏตัวมักจะมีเพียงพอนผลึกม่วงปีศาจอสูรระดับสองที่หายากอยู่ด้วย พวกมันประสาทรับกลิ่นไวผิดปกติ นอกจากนี้ชอบกลิ่นประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าซึ่งเผ่ามนุษย์ไม่อาจรับรู้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีส่วนช่วยผู้ฝึกฝนแกะรอยที่อยู่ของปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าได้อย่างแม่นยำ


แม้เพียงพอนผลึกม่วงพลังค่อนข้างต่ำ แต่ขี้ขลาดและเจ้าเล่ห์ ทั้งยังมีทักษะยอดเยี่ยมต่างๆ นานาในการซ่อนตัวรักษาชีวิต ดังนั้นจึงจับไม่ง่าย


ผนวกกับเพียงพอนผลึกม่วงร่างกายยาวเพียงครึ่งฉื่อ หน้าตาค่อนข้างน่ารัก ขนบนร่างนุ่มนิ่ม อยู่ใต้แสงตะวันสาดส่องจะทอแสงแวววาวสีม่วงจางๆ ชั้นหนึ่ง ดูแล้วงดงามอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ชมชอบของผู้ฝึกฝนสตรียิ่งนัก ศิษย์หญิงของตระกูลจำนวนหนึ่งถือว่าการเลี้ยงเพียงพอนผลึกม่วงตัวหนึ่งเป็นอสูรเลี้ยงได้เป็นหน้าเป็นตา


เมื่อเป็นเช่นนี้พอในตลาดมีเพียงพอนผลึกม่วงปุบก็มักจะถูกผู้ฝึกฝนสตรีจำนวนมากเอาตัวไปด้วยราคาสูงจึงยิ่งหาเจอยากขึ้นไปอีก


ครึ่งเดือนก่อนหลิ่วหมิงได้ข่าวว่าในตลาดแห่งนี้มีร้านแห่งหนึ่งชื่อ “โรงร้อยล่า” เคยขายเพียงพอนผลึกม่วงมาหลายครั้ง ดังนั้นจึงเร่งเดินทางไม่หยุดมาที่นี่ทันที


ใกล้ๆ ตลาดแห่งนี้ไม่มีนิกายหรือตระกูลใหญ่อันใดนัก ด้วยเหตุนี้คนที่ไปมาด้านในจึงไม่มากนัก นอกจากนี้ส่วนใหญ่มีเพียงผู้ฝึกฝนอิสระระดับต่ำอย่างระดับศิษย์จิตวิญญาณกับระดับของเหลวจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง บางครั้งถึงจะเห็นคนที่สวมเครื่องแต่งกายเหมือนคนของนิกายหรือตระกูลปรากฏตัวสักสองสามคน


ดังนั้นเพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจของผู้คน เขาจึงเปลี่ยนเป็นชุดสีน้ำเงินธรรมดา ทั้งยังกดกลิ่นอายไปถึงสภาพระดับผลึกขั้นต้นเท่านั้น


หลิ่วหมิงเดินวนเวียนอยู่พักหนึ่งก็หยุดเท้าตรงปากทางแยกของถนนสองสาย หน้าหอไม้ขนาดเล็กสูงสี่ห้าจั้งหลังหนึ่ง


เห็นเพียงนอกหน้าต่างหอแขวนธงรูปสามเหลี่ยมผืนใหญ่สีขาวขมุกขมัวผืนหนึ่งไว้ “โรงร้อยล่า” ตัวอักษรใหญ่สีดำสนิทบิดเบี้ยวเล็กน้อยสามตัวเห็นเด่นชัด


หลิ่วหมิงมองทีหนึ่งก็ยิ้มเล็กน้อย เดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล


เมื่อเหยียบเข้าประตูร้านปุบ ชายฉกรรจ์กำยำ รูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายห่มหนังเสือเท้าสวมรองเท้าหนังงู แต่งกายคล้ายเผ่าหมานก็เข้ามาต้อนรับ


“ผู้อาวุโสเดินทางมาเยือนร้านเล็กๆ ไม่ทราบมีสิ่งใดให้รับใช้หรือ?” ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำกวาดตามองหลิ่วหมิงแล้วรีบประสานมือเอ่ยถามอย่างตกใจในทันใด


“ได้ยินว่าร้านนี้ของเจ้ามีเพียงพอนผลึกม่วงมาขายบ่อยๆ ตอนนี้ยังมีอยู่ไหม?” สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านวัตถุดิบจากปีศาจอสูรๆ นานาชนิดที่แขวนระเกะระกะนั่นด้านในร้านแล้วเอ่ยถามทันทีอย่างไม่เกรงใจ


“เพียงพอนผลึกม่วงนี่ร้านของข้าเคยขายอยู่จริง แต่ปีศาจอสูรตัวนี้จับไม่ง่าย…” ชายฉกรรจ์กำยำได้ฟัง ทันใดนั้นก็ลังเลอยู่บ้างแล้วถึงเอ่ยตอบเสียงเบา


“เหอะ มีอะไรต้องอึกอัก ขอเพียงมีอสูรตัวนี้ก็ไม่ขาดหินจิตวิญญาณให้เจ้าหรอก” หลิ่วหมิงในใจยินดี บนหน้ากลับแค่นเสียงทีหนึ่งเอ่ยอย่างเย็นชา


“ผู้อาวุโสอย่าได้ถือโทษ ในร้านข้าไม่มีอสูรตัวนี้แล้ว แต่เมื่อวานข้าบังเอิญได้ยินว่ามีสหายจับได้ตัวหนึ่งน่าจะยังไม่วางขาย ผู้อาวุโสกรุณานั่งรอสักครู่ได้หรือไม่ ให้ข้าได้ส่งข่าวถามดูสักหน่อย” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำพลังแค่ระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นต้น ถูกหลิ่วหมิงกวาดตามองทีหนึ่งก็รู้สึกทั้งร่างสะท้าน ไม่กล้าลังเลอีกแม้แต่น้อยเอ่ยตอบทันที


“นั่งคงไม่ต้องหรอก ข้าจะรออยู่ที่นี่ ถ้าเจรจาสำเร็จย่อมไม่ขาดรางวัลสำหรับเจ้าแน่นอน” หลิ่วหมิงไม่เสียเวลาคิดก็เอ่ยบอก


ชายฉกรรจ์ร่างกำยำได้ยินก็รีบพยักหน้า หลังจากนั้นเดินไปทางห้องลับห้องหนึ่งด้านหลังร้าน


ที่จริงหลิ่วหมิงสืบเบื้องหลังของโรงร้อยล่านี้มาชัดแล้ว เจ้าของร้านแห่งนี้ไม่ใช่คนดีอันใด วัตถุดิบกับปีศาจอสูรหายากเหล่านั้นมักจะไม่ได้วางอยู่ในร้านแต่จะแสร้งขาดของชั่วคราวหรือไม่มีของเป็นข้ออ้างมาโก่งราคาหวังผลกำไรสูง คิดว่าสหายที่ว่าก็คงเป็นแค่คำอ้างของเขาเท่านั้น


ทว่าขอเพียงซื้อเพียงพอนผลึกม่วงได้ราบรื่น หินจิตวิญญาณน้อยเท่านี้ หลิ่วหมิงไม่สนใจ


ชั่วครู่ให้หลัง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำก็เดินออกมาจากในห้องลับ ใบหน้ายิ้มแย้มเอ่ยว่า


“ตอบผู้อาวุโส พี่น้องของข้ามีเพียงพอนผลึกม่วงตัวหนึ่งอยู่ในมือจริงๆ เขายินดียกให้ผู้อาวุโสด้วยราคาต่ำเตี้ยเพียงห้าแสนหินจิตวิญญาณ! แต่มันไม่ได้อยู่ในตลาดนี้ อยู่ในถ้ำที่พักของเขา”


“ห้าแสนหินจิตวิญญาณหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยิน สีหน้าพลันเคร่งขรึมไป เหล่มองชายฉกรรจ์ร่างกำยำอย่างเย็นชาทีหนึ่ง


ราคานี้ห่างจากราคาสองแสนหินจิตวิญญาณที่เขาสอบถามมาก่อนหน้านี้มากนัก


“ผู้อาวุโสคงไม่ทราบ เพียงพอนผลึกม่วงนี้เดิมก็มีจำนวนไม่มาก สถานที่จับก็มีปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่ามากมายปรากฏตัว เป็นสถานที่อันตราย มักต้องใช้คนถึงสี่ห้าคนดักรออย่างระมัดระวังนับหลายเดือนถึงจะจับได้สักตัว แต่ในเมื่อผู้อาวุโสต้องการจริงๆ ข้าจึงเสนอสหายของข้าผู้นั้นขอลดราคาให้ผู้อาวุโสสักหน่อย สี่แสนหินจิตวิญญาณเป็นอย่างไร? หนึ่งแสนนั่นนับว่าข้ามอบของขวัญแสดงความนับถือแด่ผู้อาวุโส หวังว่าผู้อาวุโสจะมาเยือนร้านของข้าบ่อยๆ บางครั้งก็ดูแลสักหน่อย” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำฉีกยิ้มเอ่ย


“เอาล่ะ ข้าก็คร้านจะต่อราคาอีก สี่แสนก็สี่แสน แต่นานเท่าไรสหายคนนั้นของเจ้าถึงจะส่งเพียงพอนผลึกม่วงตัวนี้มาได้” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วเอ่ยถามเสียงดุดัน


“สหายผู้นั้นของข้าอาศัยอยู่ในเทือกเข้าข้างเคียง สามวันให้หลังผู้อาวุโสมารับได้” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำยินดี รีบเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม


“ดี สามวันให้หลังข้าจะมาใหม่! หึ หากถึงเวลาไม่เจออสูรตัวนี้ละก็…”


หลิ่วหมิงทิ้งประโยคสุดท้ายไว้แล้วหัวเราะหึๆ ก้าวเท้าเดินออกจากร้านแห่งนี้ไป


เจ้าของร้านร่างกำยำได้ยิน ใบหน้าฉับพลันซีดเผือดไปอยู่บ้าง


หลังหลิ่วหมิงออกจากร้านก็หาโรงเตี๊ยมสำหรับผู้ฝึกฝนโดยเฉพาะแห่งหนึ่งใกล้ๆ พักอยู่ชั่วคราว ร่างกายโฉบออกจากตลาดกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พักของตน


ขณะที่เขาเพิ่งออกจากโรงร้อยล่า ผู้ฝึกฝนหน้าตาหล่อเหลา ทั้งร่างสวมอาภรณ์สีขาวท่าทางเหมือนคุณชายผู้สง่างามอยู่บ้างก็ย่างเท้าเดินเข้ามา


“คุณชายท่านนี้ต้องการสิ่งใดหรือ? ในร้านข้าวัตถุดิบจากปีศาจอสูรนานาชนิดต้องการสิ่งใดก็มีสิ่งนั้น” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำรีบก้าวเข้ามาต้อนรับ ใบหน้ายิ้มแย้มเอ่ยขึ้น


“เพียงพอนผลึกม่วงมีไหม?” ผู้ฝึกฝนชุดขาวก็ไม่เปลืองคำพูด เปิดปากเข้าประเด็น


“นี่…เกรงว่าคงต้องให้คุณชายผิดหวังแล้ว ร้านข้ามีเพียงพอนผลึกม่วงเพียงตัวเดียว วันนี้มีผู้อาวุโสระดับผลึกคนหนึ่งมาจองไปก่อนแล้ว” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำได้ยินก็เอ่ยขึ้นอย่างอึ้งๆ


“เจ้าเรียกระดับผลึกกระจอกๆ คนหนึ่งว่าผู้อาวุโส ถ้าเช่นนั้นข้านับเป็นอะไร เจ้าคนมีตาไม่มีแวว!”


ผู้ฝึกฝนชุดขาวได้ยินพลันสีหน้าเย็นชา บนร่างส่งเสียงดัง “เปรี้ยง” ปราณแข็งแกร่งของระดับแก่นแท้แผ่ออกมาอย่างไม่เก็บไว้สักนิด


ชายฉกรรจ์ร่างกำยำระดับของเหลวจิตวิญญาณเท่านั้น แม้รูปร่างสูงใหญ่ แต่ไหนเลยจะทนรับแรงกดดันน่าหวาดหวั่นนี้ได้ เสียง “ตึก” ดังขึ้นทีหนึ่ง เขาทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างไม่ทันป้องกัน บนหน้าไม่เหลือสีเลือดอีกต่อไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)