ลำนำบุปผาพิษ 823-830

 บทที่ 823 เจ้าใช้ตัวตนที่แท้จริงมาหาดีหรือไม่


อวิ๋นชิงหลัวมองเจ้าตัวที่อยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง ยิ่งมองเขายิ่งขัดตา เป็นครั้งแรกที่ใช้พลังวิญญาณผลักเขาออกไปทันที “ปล่อยข้านะ! เจ้านับว่าเป็นสิ่งใด…”


พลังยุทธ์ของนางไม่ต่ำต้อย อีกทั้งอาการบาดเจ็บในยามนี้ดีขึ้นเจ็ดแปดส่วนแล้ว การผลักนี้จึงทรงพลังยิ่ง ต่อให้เป็นก้อนเหล็กก็ถูกนางซัดออกไปทันทีได้


แต่คนผู้นั้นแค่ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งเข้ามาอย่างดุร้ายอีกครั้ง ลำแสงสีขาวพัวพันอยู่รอบปลายนิ้ว ดุจเชือกไหม มัดอวิ๋นชิงหลัวอย่างแน่นหนาในชั่วพริบตาเดียว!


อาภรณ์นางขาดไปหมดแล้ว เขามัดนางอย่างมีชั้นเชิงนัก ทำให้ส่วนที่ควรนูนทั้งหมดของนางนูนเด่นออกมา มัดนางไว้ด้วยท่วงท่าที่น่าอับอายยิ่ง


อวิ๋นชิงหลัวเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ เอ่ยด้วยเสียงสั่นๆ “เจ้า…เจ้าไม่ใช่หุ่นของข้า! ที่แท้เจ้าเป็นใครกันแน่?!” วรยุทธ์ของคนผู้นี้สูงส่งกว่านางมาก!


คนผู้นั้นปลดหน้ากากออกช้าๆ “เจ้าว่าข้าคือใครเล่า?”


ใบหน้านั้นยังคงมีเพียงดวงตาและริมฝีปากเช่นเดิม เป็นรูปลักษณ์หุ่นตัวนั้นของนาง แต่ว่า แต่ว่าวรยุทธ์ในร่างนี้ของมันมาจากไหนกันล่ะ?


นางคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้า…เจ้าเป็นดวงจิตของผู้ใด?! มาสิงสู่ในสังขารหุ่นเชิดของข้า!”


คนผู้นั้นใส่หน้ากากเข้าไปอีกครั้ง มุมปากหยักยิ้มชั่วร้ายแวบหนึ่ง “เด็กดี เจ้าฉลาดมาก ข้าเป็นดวงวิญญาณจากภายนอกจริงๆ หุ่นเชิดตัวนี้ของเจ้าไม่มีวิญญาณและสติปัญญา ไหนเลยจะรอบรู้เช่นข้าได้? มาเถอะ…ให้ข้าปรนนิบัติเจ้าอย่างดีเถิด”


พลางอุ้มนางขึ้นเตียง…


ลีลาของคนผู้นี้ล้ำเลิศยิ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าช่ำชองการเล้าโลมสตรี เพียงครู่ดียวก็ทำให้อวิ๋นชิงหลัวหอบกระเส่า แทบจะเอ่ยวาจาไม่ออกแล้ว


นางชิงชังคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ แต่ร่างกายกลับอาวรณ์ลีลาของคนผู้นี้อย่างน่าอับอาย…


นางไม่เข้าใจความคิดของคนผู้นี้เลย คนนผู้นี้น่าจะเป็นคนเจ้าชู้คนหนึ่ง แต่กลับอยากปรนนิบัตินางเท่านั้น มองนางล่องลอยสู่สวรรค์ด้วยน้ำมือเขา…


เขาเสื่อมสมรรถภาพหรือ? หรือว่าเป็นเพราะเขาอยู่ในหุ่นตัวนี้เลยทำอย่างอื่นไม่ได้?


“เจ้า…ตัวตนของเจ้าที่แท้…ที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกัน? เจ้า เจ้าปล่อยข้านะ นะ…ในอนาคตเจ้าใช้ตัวตนที่แท้จริงมาหาดีหรือไม่?” น้ำเสียงอวิ๋นชิงหลัวสั่นพร่าเล็กน้อย


“เด็กดี ต้องการตัวจริงของข้าหรือ?” คนผู้นั้นเขยิบเข้าใกล้นาง ปลายนิ้วลูบไล้เรือนผมนางอีกครั้ง


“…เจ้า…เจ้าปรนนิบัติข้าเช่นนี้จะต้อง…จะต้องอึดอัดมากเป็นแน่ มิสู้เจ้าใช้ร่างจริงมา แล้วพวกเรา…”


เธออยากเห็นมากจริงๆ ว่าคนที่ลากเธอลงสู่ขุมนรกแห่งนี้คือผู้ใด


“เจ้าต้องการร่างจริงของข้าสินะ?” คนผู้นั้นยิ้มน้อยๆ แววตาไหวระยับ


“ใช่…ใช่แล้ว”


“เจ้าคิดว่า…เจ้าคู่ควรงั้นหรือ?” คนผู้นั้นยิ้มน้อยๆ เช่นเดิม ทว่าถ้อยคำที่กล่าวกลับเราะร้าย


อวิ๋นชิงหลัวตะลึง นางหน้าเปลี่ยนสีแล้ว “เช่นนั้นเจ้า…ที่เจ้าปรนนิบัติข้าเช่นนี้…”


“ประการแรกคือย้อมใจเจ้า ประการที่สองคือข้าต้องการใช้ร่างเจ้าเป็นที่ซ้อมมือ ได้เห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งกลายเป็นสาวน้อยสำส่อนในกำมือข้าก็เป็นความรู้สึกที่สมปรารถนายิ่งนัก” คนผู้นั้นพูดอย่างไม่เกรงใจเลย


อวิ๋นชิงหลัวตกตะลึง


นางกัดฟันเอ่ย “เจ้ามันวิปริต! เป็นเจ้า…เป็นเจ้าใช้การไม่ได้กระมัง?! อ้างเหลวไหลมากมายเช่นนี้…” คำพูดท่อนหลังเธอไม่ได้เอ่ยต่อไปอีก เพราะคนผู้นั้นดึงผมของนางไว้ กระชากให้นางหงายไปด้านหลัง นางเจ็บจนน้ำตาร่วง “เจ้าหยุดมือนะ…หยุดมือ!”


“เด็กดี อย่าได้ริอาจยั่วโมโหข้าผู้เป็น….ข้า! ค่าตอบแทนมิใช่สิ่งที่เจ้าจะรับไหว! ส่วนข้าจะใช้การได้หรือไม่นั้น ภรรยาของข้าถึงจะรู้ดี ส่วนเจ้า…ได้รับการปรนนิบัติจากนิ้วของข้าเจ้าก็ควรจะพอใจมากแล้ว! อย่าได้เพ้อฝันหาสิ่งที่เจ้าไม่สมควรได้รับ!” คนผู้นั้นข่มขู่


————————————————————————————-


บทที่ 824 สามารถกลับเท็จเป็นจริงได้เลย


เรือนผมของอวิ๋นชิงหลัวถูกเขาดึงจนเจ็บ มือเท้าก็ถูกเขาพันธนการไว้ ยามนี้เส้นไหมเหล่านั้นรัดร่างนางแน่น รัดเหมือนนางเป็นบ๊ะจ่างลูกหนึ่งจนแทบหายใจไม่ออก ทั้งร่างเจ็บเหมือนจะขาดออกจากกัน!


นางไม่กล้ายั่วโทสะเขาแล้ว!


“ข้า ข้าไม่ต้องการเจ้า…เจ้าเคยรับปากข้าไว้ หลังจากสังหารตี้ฝูอีแล้ว จะยกร่างของเขาให้ข้า…”


คนผู้นั้นบีบแก้มนาง “วางใจเถิด!” เขายืดกายขึ้นลงจากเตียง ดีดนิ้วคราหนึ่ง คลายพันธนาการบนร่างอวิ๋นชิงหลัว “อวิ๋นชิงหลัว ตอนนี้เจ้ามีแต่ต้องเป็นพวกเดียวกับข้า หากว่ากล้าเล่นลูกไม้อันใด เจ้าชดใช้ไม่ไหวแน่นอน!”


อวิ๋นชิงหลัวไหนเลยจะกล้าพูดเป็นอื่น ได้แต่รับปากท่าเดียว


จู่ๆ นางคล้ายจะนึกอะไรได้ “ถ้าพวกเราสังหารตี้ฝูอีแล้ว เช่นนั้น…เช่นนั้นจะอธิบายต่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างไร? เกรงว่าเขาคงพิโรธยิ่งนัก!”


คนผู้นั้นยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อนแวบหนึ่ง “วางใจได้ เทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่ทราบ…ตี้ฝูอีก็จะไม่หายไปจริงๆ ข้าจะแทนที่เขาใช้ชีวิตต่ไป…จะไม่มีผู้ใดบนโลกนี้ทราบว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีเปลี่ยนคนแล้ว…”


เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงตัวนั้นอีกครั้ง หมุนตัวในห้องนอนรอบหนึ่ง “เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็สามารถแทนที่เขาได้อย่างสง่าผ่าเผย!”


อวิ๋นชิงหลัวเงียบงัน


จู่ๆ นางก็รู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา รู้สึกได้รางๆ ว่าจุดประสงค์ของคนผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่แทนที่ตี้ฝูอีเท่านั้น…


ที่แท้เขาคือผู้ใดกัน?!


สามารถสิงสู่หุ่นเชิดของนางได้ตามอำเภอใจ เช่นนั้นเขาย่อมมิใช่คนธรรมดา! แค่พลังยุทธ์เช่นนี้ก็เพียงพอจะทำใต้หล้าตกตะลึงแล้ว!


คนผู้นั้นมองออกไปด้านนอก หัวเราะเบาๆ “ยามนี้น่าจะสมควรแก่เวลาแล้ว! ได้เวลารวบแหแล้ว”


เขาดึงอวิ๋นชิงหลัวขึ้นมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาเถิด ชิงหลัว เรียกหุ่นไม้ตัวน้อยของเจ้ากลับมาสิ ดูความเคลื่อนไหวของตี้ฝูอี”


อวิ๋นชิงทำได้เพียงเชื่อฟังเขา เรียกหุ่นตัวน้อยของตนกลับมา ทราบจากปากหุ่นตัวน้อยว่าตี้ฝูอีและกู้ซีจิ่วยังคงชมดอกไม้อยู่ที่สวนสวรรค์สุคันธา ยามนี้กำลังนั่งจิบสุราอยู่ในศาลาบุปผาหลังหนึ่งที่สวนสรรค์สุคันธา…


คนผู้นั้นหัวเราะฮ่าๆ “สวรรค์อำนวยข้าโดยแท้!” พลันหันหลังก้าวออกไป


….


ใบเฟิงแดงฉาน สายธารไหลริน


สุดท้ายหลงซือเย่ก็มารอคนผู้นั้นอยู่ที่นี่ หนนี้คนผู้นั้นมาในชุดสีม่วง หน้ากากบนใบหน้าก็เป็นแบบเดียวกับตี้ฝูอี ด้วยเหตุนี้หลงซือเย่จึงสะดุ้งโหยง “ตี้ฝูอี?!”


คนผู้นั้นหยักยิ้มแวบหนึ่ง “เจ้าสำนักหลง ข้าเหมือนเขาถึงเพียงนั้นจริงๆ หรือ?”


หลงซือเย่เพ่งพิศเขาจากบนจรดล่างสองครา ถอนหายใจแล้วเอ่ย “สามารถกลับเท็จเป็นจริงได้เลย!”


คนผู้นั้นพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนี้ก็ดี! เจ้าสำนักหลง ท่านสามารถปลดเขตแดนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ได้แล้ว…”


หลงซือเย่ต้องการคำยืนยันอีกครั้ง “คนของเจ้าจะไม่ทำอันตรายซีจิ่วแน่นะ?”


คนผู้นั้นแย้มยิ้ม รอยยิ้มทรงเสน่ห์ “วางใจเถิด! ข้าจะไม่ทำอันตรายนางเด็ดขาด! ข้าจะคุ้มครองนางอย่างดี ขนสักเส้นก็จะไม่บุบสลาย”


หลงซือเย่หลับตาเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดก็พยักหน้า “ได้! ข้าจะปลด…”


….


อารมณ์ของอวิ๋นชิงหลัวซับซ้อนยิ่งนัก นางทราบว่าแผนการที่ ‘หุ่นเชิด’ ตัวนี้ของนางยอดเยี่ยมมาก ใช้นางเป็นตัวหมากลับ จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากความเกลียดชังที่หลงซือเย่มีต่อตี้ฝูอีมาหลอกเขาให้เปิดเขตแดน ให้กองกำลังของเขาบุกเข้าโจมตีสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ที่ว่างเปล่าแห่งนี้


ส่วนผู้คุ้มกันทั้งสามที่อยู่ข้างกายตี้ฝูอีก็ถูกเขาใช้แผนการอื่นกีดกันออกไป ตอนนี้ข้างกายตี้ฝูอีเหลือผู้คุ้มกันเพียงคนเดียว แถมตี้ฝูอีก็สูญเสียพลังวิญญาณไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเพื่อรักษากู้ซีจิ่ว ยามนี้พลังยุทธ์ถดถอยยิ่งนัก ตอนนี้ถ้าหากถูกศัตรูโจมตีเข้าจริงๆ มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนที่เขาต้านทานไว้ไม่ไหว…


บทที่ 825 หุ่นมนุษย์


อวิ๋นชิงหลัวชอบเขามาสองชาติแล้ว ล้วนไม่เคยได้รับการตอบรับจากเขาเลย สุดท้ายแล้วยังคงลงเอยด้วยความตายของนางหรือ นี่นับว่ากฏแห่งกรรมยุติธรรมเสมอกระมัง?


นางก็มาที่ด้านนอกสวนสวรรค์สุคันธาตามคำสั่งของหุ่นเชิด ต่อมาได้เห็นว่ากลางนภามีคนชุดเขียวนับไม่ถ้วนร่วนลงมาประหนึ่งเกี๊ยว เนืองแน่นถึงหลักพัน!


ท่าทางยามที่คนชุดเขียวเหล่านี้ร่อนสู่พื้นค่อนข้างประหลาด คล้ายว่าเหยียดตรงอยู่ตลอด สองขาโค้งงอไม่ได้


หัวใจอวิ๋นชิงหลัวพลันเต้นแรง คนเหล่านี้คงมิใช่ว่าล้วนเป็น…ล้วนเป็นหุ่นเชิดกระมัง?!


คนชุดเขียวเหล่านั้นแต่งตัวพิกลนัก สวมเสื้อคลุมสีเขียว บนศีรษะยังสวมหมวกคลุมสีเขียว สวมหน้ากากสีเขียวไว้บนหน้าด้วย ทุกคนเขียวขจีดั่งต้นไผ่ก็มิปาน


คนเหล่านี้ร่อนสู่พื้นอย่างไร้สุ้มเสียง ชัดเจนนักว่าวรยุทธ์ล้วนไม่อ่อนด้อย


ทันใดนั้นอวิ๋นชิงหลัวพลันรู้สึกว่าร่างกายค่อนข้างหนาวเหน็บอยู่บ้าง นางคือปรมาจารย์หุ่นเชิด มีประสาทสัมผัสพิเศษต่อหุ่นเชิด หุ่นเชิดที่นางสร้างส่วนใหญ่จะเป็นหุ่นไม้หรือไม่ก็หุ่นหนัง แต่ร่างของคนชุดเขียวที่อยู่เบื้องหน้าเหล่านี้มีกลิ่นอายเฉพาะของหุ่นเชิด สมควรเป็นหุ่นเชิด ทว่ามิใช่หุ่นไม้หรือนหุ่นหนัง แต่เป็นหุ่นมนุษย์! ใช้มนุษย์มาสร้างเป็นหุ่นเชิด!


การสร้างใช้มนุษย์สร้างเป็นหุ่นเชิดนั้นซับซ้อนยิ่งนัก และมีเพียงปรมาจารย์หุ่นเชิดระดับสูงเท่านั้นถึงจะทำได้ อย่างเช่นท่านพ่อของนาง แต่ต่อให้เป็นท่านพ่อของนางครั้งหนึ่งก็สร้างหุ่นมนุษย์ได้แค่สองสามตัว แต่ยามนี้จู่ๆ กลับมีหุ่นมนุษย์มากมายถึงเพียงนี้โผล่มา!


แล้วผู้ที่สร้างพวกเขาขึ้นอยู่ที่ไหนกัน? ปะปนอยู่ในหุ่นมนุษย์เหล่านี้หรือ?


ยังมีอีก หุ่นเชิดมนุษย์ก็แบ่งแยกเป็นหุ่นเป็นและหุ่นตาย หุ่นเป็นคือใช้มนุษย์ที่มีชีวิตมาทำหุ่น ก็คือการควบคุมจิตสำนึกของมนุษย์ จะเชื่อฟังคำสั่งคนเหมือนหุ่นไม้


ส่วนหุ่นตายก็คือการสังหารมนุษย์แล้วค่อยนำมาทำหุ่น หุ่นมนุษย์ประเภทนี้ร่างกายจะแข็งทื่อยิ่งนัก เดินเหินด้วยการกระโดด เช่นเดียวกับผีดิบ


อวิ๋นชิงหลัวมองหุ่นมนุษย์เหล่านี้อย่างละเอียด คนชุดเขียวเหล่านี้นอกจากการเดินที่ดูขัดตาอยู่บ้าง อย่างอื่นล้วนดูปกติอย่างยิ่ง


เช่นนั้นสรุปแล้วพวกเขาคือหุ่นเป็นหรือว่าหุ่นตาย?


อวิ๋นชิงหลัวอดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปใกล้อีกนิด คนชุดเขียวผู้หนึ่งหันมาทันที กรงเล็บตะปบมาทางนาง! สายลมเหม็นคาวตีใส่หน้า อานุภาพดั่งใบดาบ!


อวิ๋นชิงหลัวตกตะลึง คนผู้นั้นว่องไวเกินไป โจมตีอย่างดุดันยิ่งนัก นางไม่ทันตั้งตัวจึงหลบไม่พ้นไปชั่วขณะ!


กรงเล็บเบื้องหน้ากำลังจะทะลวงกะโหลกนาง ทันใดนั้นมีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาจากด้านข้าง ฉุดตัวนางออกไป!


อวิ๋นชิงหลัวขวัญกระเจิง หันกลับไปมองทันที ผู้ที่ช่วยชีวิตนางคือหุ่นชุดม่วงตัวนั้นของนาง


ด้วยการแต่งตัวของเขาในยามนี้รวมถึงบุคลิกท่าทางล้วนเหมือนตี้ฝูอียิ่งนัก ทำให้อวิ๋นชิงหลัวเกือบเข้าใจผิด!


นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “เจ้า…”


คนผู้นั้นกดริมฝีปากนางไว้ด้วยนิ้วเดียว “ชู่ว หุบปากซะ!” เขาส่งสัญญาณให้กลุ่มคนชุดเขียว คนชุดเขียวผู้หนึ่งหยิบขลุ่ยเลาหนึ่งออกมา เริ่มเป่าขลุ่ย


เห็นชัดเจนว่าดูเหมือนจะบรรเลงท่วงทำนองอันใดอยู่ แต่อวิ๋นชิงหลัวกลับไม่ได้ยินเสียง


ส่วนกลุ่มคนชุดเขียวเหล่านั้นราวกับได้ยินและฟังรู้เรื่อง มีคนชุดเขียวสิบหกคนดีดกายขึ้นมาทันที พุ่งเข้าไปในสวนดั่งควันสายหนึ่ง! พริบตาเดียวก็เข้าไปในสวนแล้ว


ไม่รู้ว่าหลงซือเย่โผล่มาจาก ร่อนลงข้างกายหุ่นชุดม่วง สีหน้าเขายังคงเย็นชาเหมือนเดิม “นี่ก็คือกองหนุนของเจ้าหรือ? หุ่นเชิด?”


หุ่นชุดม่วงตัวนั้นหัวเราะเบาๆ “ต่อให้เป็นหุ่นเชิดก็สามารถกระทำการใหญ่ได้! พวกเขามิใช่หุ่นเชิดธรรมดา!”


หลงซือเย่หรี่ตานิดๆ มองคนขุดเขียวเหล่านั้น เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งเป็นยอดฝีมือ มองผ่านๆ ก็ดูออกแล้วว่าคนชุดเขียวเหล่านี้คล้ายกับหรงเหยียนและกู้เทียนฉิงที่โจมตีเขากับกู้ซีจิ่วในป่าทมิฬหนนั้นมาก! เหมือนเหลือเกิน!


หรงเหยียนกับกู้เทียนฉิงในยามนั้นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ล้วนมีพลังวิญญาณขั้นสี่ขั้นห้า พอกลายเป็นผีดิบเช่นนั้นพละกำลังก็ยังคงมหาศาลท่วมท้น


————————————————————————————-


บทที่ 826 ตั๊กแตนที่อยู่บนด้ายเส้นเดียวกัน


เช่นนั้นคนชุดเขียวเหล่านี้ที่แท้เป็นหุ่นเชิดหรือเป็นผีดิบกันแน่?! ดูจากท่าทางที่พวกเขาพุ่งกระโจนออกไปเมื่อกี้ดูเหมือนจะไม่ต่างกับหรงเหยียนและกู้เทียนชิงในตอนนั้นเลย…


สรุปแล้วคนผู้นี้ไปเสาะหาหุ่นเชิดหรือผีดิบที่เข้ากับไอแค้นอันแกร่งกล้ามากมายเช่นนี้มาจากที่ไหนกัน?!


“เจ้าสำนักหลง สนใจความเป็นมาของพวกเขามากใช่หรือไม่?” คนชุดม่วงผู้นั้นขยับเข้าใกล้เขา


หลงซือเย่เม้มปากนิดๆ “สนใจจริงๆ นั้นแหละ แต่เจ้าจะพูดไหมล่ะ?”


คนชุดม่วงผู้นั้นยิ้มกว้าง “แน่นอนว่า…ไม่พูด!”


เขาเงี่ยหูฟัง เมื่อกี้ยามที่คนชุดเขียวสิบหกคนนั้นเข้าไปดูเหมือนจะพบเจอบางคนและถูกซักถาม แต่เสียงซักถามนั้นเพิ่งดังขึ้นก็เงียบไปทันที คาดว่าคงถูกคนชุดเขียวกำราบไว้แล้ว ยามนี้คนชุดเขียวเหล่านั้นน่าจะบุกทะลวงเข้าไปแล้ว…


เห็นได้ชัดยิ่งว่าตี้ฝูอีไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะมีคนมาโจมตีเขาในยามนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้วางคนไว้รอบกายหลายๆ คน…


อีกอย่างเขากำลังวุ่นวายอยู่กับการเกี้ยวพากู้ซีจิ่ว ไหนเลยจะให้ผู้อื่นติดตามอยู่ข้างกาย!


ในสวนมีเสียงต่อสู้แว่วมา ชัดเจนนักว่าคนชุดเขียวที่เป็นกองหน้าหลายคนนั้นพบกับมู่อวิ๋นแล้ว เนื่องจากเขาได้ยินเสียงโหยหวนของมู่อวิ๋นรางๆ…


แถมยังได้ยินเขาตะโกนว่า “นายท่าน มีศัตรูจู่โจมขอรับ!”


จากนั้นพลุสีเขียวขจีสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นสู่ท้องนภาเหนือสวน นี่เป็นสัญญาณว่าสามารถบุกเข้าโจมตีได้แล้ว!


ทุกอย่างราบรื่นจนมิอาจราบรื่นไปมากกว่านี้แล้ว! แผนการนี้ช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!


เห็นทีว่าวันนี้เขาต้องประสบความสำเร็จเป็นแน่! สังหารตี้ฝูอีก่อน จากนั้นค่อยหาโอกาสใช้ร่างของตี้ฝูอีเข้าใกล้เทพศักดิ์สิทธิ์…


คนชุดม่วงผู้นั้นชะล่าใจแล้ว พลันโบกมือ กลุ่มคนชุดเขียวที่เหลือส่งเสียงคำรามอันแปลกประหลาดออกมา ดีดกายขึ้น พากันเข้าจู่โจมด้านในสวน…


คนชุดม่วงมองหลงซือเย่แวบหนึ่ง “เป็นอย่างไร? จะเข้าไปกับข้าด้วยหรือไม่?”


หลงซือเย่ตอบอย่างไม่ลังเล “เข้า! ข้าจะไปคุ้มครองซีจิ่ว กันไม่ให้ถูกลูกหลงจากเจ้า”


คนชุดม่วงหัวเราะฮ่าๆ “ดี! ท่านอยากคุ้มครองนางก็คุ้มครองไป แบบนี้ข้าจะได้คล่องตัวขึ้น”


ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก เอ่ยถามหลงซือเย่ “ท่านจะช่วยข้าสังหารตี้ฝูอีไหม?”


หลงซือเย่นิ่งงัน “นี่…”


คนชุดม่วงจ้องมองเขา “ตอนนี้ท่านไม่เหลือช่องให้เสียใจภายหลังแล้ว!” คนชุดม่วงผู้นี้พยายามเปลี่ยนหลงซือเย่ให้กลายเป็นตั๊กแตนที่อยู่บนด้ายเส้นเดียวกับเขา คิดจะลากเขาลงน้ำ


ในที่สุดหลงซือเย่ก็ตัดสินใจได้ “ตกลง! ถ้าถึงยามที่ข้าสบช่องก็จะลงมือ!”


คนชุดม่วงในที่สุดก็วางใจแล้ว หันไปเหลือบมองอวิ๋นชิงหลัวแวบหนึ่ง “ไปกันเถอะ! เข้าไปด้วยกัน!”


ยามนี้อวิ๋นชิงหลัวก็ไม่เหลือหนทางถอยแล้วเช่นกัน จึงพยักหน้า เงาร่างคนทั้งสามไหววูบ เหินทะยานเข้าไป


….


พรรณไม้ในสวนสวรรค์สุคันธาเรียงรายเป็นระเบียบ


มีดอกไม้ใบหญ้าอยู่ทั่วทุกมุม อันที่จริงที่นี่คือสวนสมุนไพร ดอกไม้ใบหญ้านับไม่ถ้วนที่พบเห็นได้ตามสถานที่ทั่วไปล้วนเจริญงอกงามอยู่ที่นี่


ในสวนมีป่าเฟิง มีภูเขาจำลอง มีทะเลสาบ มีศาลา แถมยังมีระเบียงทางเดินบางส่วนด้วย…


ตอนที่กู้ซีจิ่วมาที่นี่ครั้งแรกก็รู้สึกว่าสถานที่นี้งดงามนัก จัดวางอย่างประณีต บรรยากาศดี อีกทั้งสอดแทรกค่ายกลบางอย่างไว้รางๆ ด้วย เดินอยู่ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเล่นในแดนสุขาวดี


แถมเธอยังค่อนข้างคุ้นตากับการจัดแต่งของที่นี่ ดูเหมือนจะมีเอกลักษณ์บางอย่างที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับวังค้ำนภา


ยามที่เธอนั่งดื่มชาอยู่ในศาลากับตี้ฝูอีในที่สุดก็เอ่ยถามเขาประโยคหนึ่ง “การจัดแต่งของที่นี่ท่านเป็นผู้ออกแบบใช่หรือไม่?”


ตี้ฝูอียื่นมือรินชาให้เธอถ้วยหนึ่ง “เสี่ยวซีจิ่ว สายตาเจ้าช่างมีแววจริงๆ! เป็นอย่างไร? งดงามมากใช่ไหม?”


“งดงามนัก! ท่านเป็นปรมาจารย์ด้านการจัดสวนโดยแท้! นึกไม่ถึงว่าท่านจะศึกษาด้านนี้อย่างล้ำลึกด้วย”


บทที่ 827 เล่นละครต้องเล่นให้เหมือนหน่อย


กู้ซีจิ่วชื่นชมเขาจริงๆ คนผู้นี้เชี่ยวชาญสารพัดโดยแท้ ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดที่เขาทำไม่ได้ คนผู้หนึ่งต่อให้มีชีวิตยืนยาว แต่บางเรื่องก็ต้องใช้พรสวรรค์จริงๆ มิใช่มุมานะก็สามารถบรรลุได้


หากไร้พรสวรรค์ ต่อให้มุมานะมากเพียงใดก็บรรลุระดับช่างผู้ชำนาญเท่านั้น มิอาจกลายเป็นปรมาจารย์ได้


แต่คนผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นอุบาย พิณหมาก ตำราภาพ เคล็ดวิชา การจัดสวน วิชาแพทย์…ดูเหมือนจะกระจ่างแจ้งทุกสิ่ง ดั่งมิใช่มนุษย์…


บุคคลมีความสามารถเช่นนี้คืออัจฉริยะตัวจริง ปราดเปรื่องที่สุดในหมู่อัจฉริยะที่เธอเคยพบเห็นมา ในอดีตเธอรู้สึกว่าหลงซีเป็นอัจฉริยะที่น่าสะพรึงคนหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ นับว่าห่างชั้นกันยิ่ง!


เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคนโดยแท้ ช่างสมกับที่เป็นผู้นำของสานุศิษย์สวรรค์ทั้งห้า มีความสามารถถึงเพียงนี้


มิน่าเล่าเขาถึงได้บ้าระห่ำถึงเพียงนี้ จองหองถึงเพียงนี้ เป็นประสาทถึงเพียงนี้


เธอค่อนข้างเหม่อลอยไปชั่วขณะ ตี้ฝูอียื่นมือไปโบกอยู่ตรงหน้าเธอ “นี่ ดึงสติกลับมาได้แล้ว”


ในที่สุดสติกู้ซีจิ่วก็ได้สติ มองเขาอย่างประหลาดใจ “มีอะไร?”


ตี้ฝูอียิ้มมิเชิงยิ้ม “เจ้าจ้องข้าเขม็งเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาแล้ว ข้ารู้ว่าตัวเองรูปงามยิ่ง ทำให้คนมองตาค้างได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้ข้าสวมหน้ากากอยู่ หน้ากากอันเดียวเจ้าก็สามารถมองอย่างเพลิดเพลินได้…ข้าถูกเจ้ามองจนขวยอายแล้ว…”


กู้ซีจิ่วนิ่งงัน


เธอเอ่ยแก้ตัว “ข้าก็แค่…ก็แค่คิดจนเหม่อลอยไปหน่อยเท่านั้น…”


“โอ้ มองข้าแล้วคิดเรื่องอันใดงั้นหรือ? คงเกี่ยวข้องกับข้ากระมัง? รู้สึกว่าข้าเชี่ยวชาญรอบด้าน ความสามารถมากมาย ทำให้เจ้าเลื่อมใสมากใช่หรือไม่?”


กู้ซีจิ่วเบิกตากว้างด้วยความตะลึง “ทำไมท่านถึง…”


เจ้าคนผู้นี้เป็นวิชาอ่านใจหรือ?


ตี้ฝูอียื่นผลไม้เชื่อมให้เธออันหนึ่ง “จริงๆ แล้วเรื่องนี้เดาได้ไม่ยาก เจ้ามองข้าอยู่ตลอด สีหน้าทั้งชื่นชมและตื่นตะลึง…”


เธอไม่ได้ทำสักหน่อย!


กู้ซีจิ่วลูบหน้าตามสัญชาตญาณ ตนเปิดเผยความรู้สึกออกมาถึงเพียงนี้ตั้งแต่ยามไหนกัน?!


เธอเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้มาโดยตลอด มีน้อยคนนักที่สามารถเดาความรู้สึกนึกคิดของเธอจากสีหน้าเธอได้


ไม่นึกเลยว่าแค่สลับร่างกันหนเดียว ก็เปิดเผยอารมณ์ออกมาง่ายๆ เลยหรือ? หรือว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้านี้อยู่เหนือการควบคุมของเธอไปแล้ว? กู้ซีจิ่วแทบจะหยิบกระจกขึ้นมาส่องดูแล้ว


มองเห็นางทำตาโต หัวใจตี้ฝูอีพลันสั่นไหว ยกมือโอบเอวนาง จุมพิตหน้าผากนางทีหนึ่ง “ซีจิ่ว ไม่ต้องอายหรอก เจ้าเลื่อมใสข้าข้ามีความสุขมาก”


กู้ซีจิ่วยกมือผลักเขา “ท่านคิดมากไปแล้วจริงๆ!”


เมื่อแขนของเขาโอบรอบเอวเธอ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นอุณหภูมิที่ปกติมาก แต่กู้ซีจิ่วกลับมีความรู้สึกเหมือนถูกลวก จุดที่ถูกเขาโอบไว้ไวต่อสัมผัสเป็นพิเศษ ทำให้หัวใจเธอเต้นรัว


หากว่าเป็นยามที่ตี้ฝูอีไม่ต้องการให้ผู้อื่นผลักออกเช่นนั้นไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ผลักไม่ออกแล้ว กู้ซีจิ่วไม่ได้ดิ้นรนให้หลุดพ้นจากแขนเขา ซ้ำยังถูกเขาดึงให้ขยับเข้าไปใกล้อ้อมอกเขาด้วย


กลิ่นหอมอ่อนจางอบอวล ทำให้สดชื่นผ่อนคลาย กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนคล้ายถูกคนย่างไว้บนไฟอ่อนๆ ทั้งร้อนทั้งแห้งและตื่นตระหนก


เธอไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งเมื่อก่อนตอนที่ตี้ฝูอีกอดเธอไว้ก็ไม่เคยมีเลย จุดบกพร่องที่พอเข้าใกล้เขาแล้วจะใจสั่นเช่นนี้เหมือนเพิ่งเพิ่มเข้ามาในระยะนี้…


เธอไม่อาจดิ้นรนอย่างรุนแรงได้ จึงอดไม่ได้ที่จะส่งกระเสียงหาเขา ‘ตี้ฝูอี ท่านอย่าได้เลยเถิดไป พวกเราแค่เล่นละครให้คนอื่นดูเท่านั้น’


แววตาตี้ฝูอีหม่อหมองลงเล็กน้อย ส่งกระแสเสียงตอบนางอย่างเคร่งขรึมจริงจัง ‘เล่นละครก็ต้องเล่นให้เหมือนหน่อย ระหว่างคู่รัก เดิมทีก็ควรโอบกอดกันอยู่แล้ว’ กู้ซีจิ่วหน้าอึมครึม คำพูดของเขาดูเหมือนจะน่าขนลุกขึ้นเรื่อยๆ แล้ว


————————————————————————————-


บทที่ 828 สามารถแทงเจ้าให้พรุนได้ด้วยเข็มเล่มเดียว


อันที่จริงในชาติก่อนเพื่อปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จกู้ซีจิ่วก็เคยเล่นละครเป็นคู่รักกับเพื่อนร่วมงานเหมือนกัน แต่ตอนนั้นต่อให้กอดแขนคนอื่นไว้เธอก็ไม่รู้สึกอะไร ไหนเลยจะรู้สึกเหมือนแปะกอเอี๊ยะร้อนๆ ดั่งคนผู้นี้ในยามนี้ เกาะติดจนเธอใจสั่นกระสับกระส่าย


หากเป็นยามปกติ เธอสามารถเตะอีกฝ่ายให้กระเด็นได้โดยไม่เกรงใจเลย แต่ตอนนี้เจ้าตรงหน้านี้กับเธอกำลังเล่นละครกันอยู่จึงเตะออกไปไม่ได้…


และเธอคาดว่าต่อให้อยากเตะก็คงเตะออกไปไม่พ้น…


ลมหายใจเขาเป่ารดอยู่ข้างหูเธอ ถึงแม้เธอจะพยายามสงบนิ่งอย่างสุดกำลัง แต่ใบหูก็ยังคงแดงก่ำอยู่ดี ‘เอาล่ะ กอดก็กอดไปแล้ว ข้ารู้สึกว่าละครเรื่องนี้ใกล้จะจบลงแล้ว…ท่านปล่อยมือก่อน…’


‘ไม่ได้! ยังมีจ้องตากันด้วย!’ สุ้มเสียงตี้ฝูอีจริงจังเสียจนไม่อาจจริงจังไปกว่านี้ได้แล้ว ท่อนแขนพลันออกแรงทันที เบื้องหน้ากู้ซีจิ่วพร่าเลือน เมื่อรู้ตัวอีกทีตัวคนก็นั่งอยู่ในอ้อมอกของตี้ฝูอีแล้ว…


เสื้อคลุมสีม่วงของเขาหลวมกว้าง ยามกู้ซีจิ่วตกอยู่ในอ้อมอกเขาก็ดูตัวเล็กน่าทนุถนอม นั่งอยู่บนตักเขา


จู่ๆ ทั้งร่างก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของผู้อื่น ใบหน้าของกู้ซีจิ่วแดงก่ำไปหมดแล้ว!


“ตี้ฝูอี เจ้าไม่ยอมจบใช่ไหม?!” เจ้าบัดซบผู้นี้ยิ่งเล่นยิ่งเอาเปรียบเธอ!


“ชู่ว…” นิ้วหนึ่งของตี้ฝูอทาบลงบนริมฝีปากนาง “เด็กน้อย อยากเห็นหรือไม่ว่าข้าจะเล่นบทใดกับเจ้า?”


กู้ซีจิ่วพลันตัดสินใจ กอดเอวเขาไว้ เข็มเงินเล่มหนึ่งตรงซอกนิ้วสะกิดลงบนกระดูกสันหลังของเขาเบาๆ เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน “ที่รัก ปล่อยมือเสีย”


จากนั้นก็ส่งกระแสเสียงหาเขาอีกครั้ง ‘ถ้ายังไม่ปล่อยมืออีกข้าสามารถแทงเจ้าให้พรุนได้ด้วยเข็มเล่มเดียว’


ตี้ฝูอีมองตานาง “เจ้าทำลงหรือ?”


ดวงตากู้ซีจิ่วหยีโค้งดั่งจันทร์เสี้ยว น้ำเสียงอ่อนหวาน “ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หนึ่ง…”


“ซีจิ่ว ถ้าแทงข้าละครก็แสดงต่อไปไม่ได้แล้ว”


“สอง!”


ตี้ฝูอีถอนหายใจ ร่างเหยียดตรง เอ่ยอย่างไม่สนใจความเป็นความตาย “เจ้าแทงสิ!”


กู้ซีจิ่วตะลึง เธอส่งกระแสเสียงไปอีกครั้ง ‘ตี้ฝูอี เจ้าอย่าได้เกินไปนัก! ถ้าเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปอย่าได้หมายว่าข้าจะร่วมเล่นละครกับเจ้าอีก!’


เอาเถอะ เพื่อประโยชน์ในครั้งต่อไป ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาทำได้แค่ปล่อยมือซะ ขณะที่เขากำลังปล่อยเธอลง ภายในสวนก็มีเสียงต่อสู้แว่วมากจากที่ไกลๆ


ในที่สุดก็มาแล้ว!


กู้ซีจิ่วพรูลมหายใจออกมายาวๆ “เอาล่ะ ละครมาถึงจุดนี้แล้วใกล้จะจบลงเสียที พวกเขามาแล้ว!”


สบช่องที่ตี้ฝูอีคลายวงแขนออกนิดๆ กู้ซีจิ่วรีบกระโดดออกมาทันที


ตี้ฝูอีดึงนางมาอยู่ข้างกายตนเงียบๆ “รอก่อนเจ้าไม่จำเป็นออกโรง! ว่าง่ายๆ แล้วติดตามอยู่ข้างกายข้าซะ รู้ไหม?” เขาปกป้องคนข้างกายจนกลายเป็นความเคยชินแล้ว


กู้ซีจิ่วยิ้มแวบหนึ่ง “ท่านเห็นข้าเป็นเด็กสามขวบไปแล้วสินะ” เรื่องบางอย่างไม่ต้องให้เขาสั่งการ กู้ซีจิ่วก็ทราบว่าตนควรทำอย่างไร


เสียงลมพัดกรรโชก พุ่งมาจากทุกทิศทาง


ในที่สุดก็มีคนชุดเขียวปรากฏตัวขึ้นในสวน ตีโอบเข้ามา พริบตาเดียวก็ล้อมคนทั้งสองที่อยู่ในศาลาได้แล้ว


ศาลาที่คนทั้งสองอยู่เป็นศาลาที่สร้างไว้กลางทะเลสาบ สี่ทิศล้อมด้วยน้ำ มีสะพานแพเพียงเส้นเดียวที่เชื่อมกับฝั่ง


ชั่วขณะที่คนชุดเขียวเหล่านั้นปรากฏตัวขึ้น ตี้ฝูอีพลันยกมือขึ้น สำแสงสีขาวสายหนึ่งวาบออกมา สะพานแพเส้นนั้นสลายเป็นธุลีทันที ปลิวว่อนอยู่ในน้ำ


คนชุดเขียวเหล่านั้นไม่ได้ลุยน้ำข้ามมา เพียงยกมือยิงพลุดอกหนึ่ง


ผ่านไปครู่หนึ่ง คนชุดเขียวนับไม่ถ้วนก็แห่แหนเข้ามาอีก คนชุดม่วงผู้นั้นรวมถึงหลงซือเย่และอวิ๋นชิงหลัวล้วนมาถึงริมฝั่งแล้ว


ตี้ฝูอียืนขึ้นแล้ว เขาจ้องคนชุดม่วงผู้นั้น “เจ้าคือผู้ใด?!” แล้วมองไปที่หลงซือเย่ “เจ้าสำนักหลง ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ตั้งแต่ต้นจนจบมิได้เหลือบแลอวิ๋นชิงหลัวเลย


อวิ๋นชิงหลัวกำมือแน่น หลงซือเย่เม้มปากไม่ตอบ


ครชุดม่วงหัวเราะฮ่าๆ “ตี้ฝูอี เจ้าไม่รู้สึกว่าข้าคุ้นตายิ่งนักบ้างหรือ?”


บทที่ 829 ที่แท้เจ้าหวั่นเกรงข้ามากสินะ


แววตาตี้ฝูอีไหวเล็กน้อย เพ่งพิศเขาขึ้นๆ ลงๆ หลายครา น้ำเสียงเยียบเย็นนิดๆ “เจ้าปลอมตัวเป็นข้าทำไม?!”


คนชุดม่วงก้าวขึ้นมาด้านหน้าก้าวหนึ่ง ยิ้มแปลกๆ “เพราะข้าต้องการแทนที่เจ้า!”


ตี้ฝูอียิ้มหยัน “อาศัยเจ้าน่ะหรือ? รูปพรรณสัณฐานเจ้าก็เหมือนข้าอยู่หรอก ส่วนอื่นเล่ามีตรงไหนเหมือนข้าหรือไม่?”


“อีกไม่นานข้าก็จะเหมือนเจ้าทุกอย่างแล้ว!” คนชุดม่วงยิ้มน้อยๆ


“หือ? ว่าอย่างไรนะ?”


“สังหารเจ้าซะ! ข้าย่อมสามารถเข้าแทนที่ได้! อีกทั้งข้าจะใช้สังขารนี้ของเจ้าด้วย!” คนชุดม่วงมองตี้ฝูอีด้วยดวงตาที่สายประกายความละโมบ


สายตาตี้ฝูอีเฉียบคมนัก “เจ้าคือหุ่นเชิด?!” ในที่สุดก็กวาดตามองอวิ๋นชิงหลัวแวบหนึ่ง “เจ้าสร้างหุ่นเชิดขึ้นมาหรือ?”


อวิ๋นชิงหลัวหน้าซีดเผือด ปากน้อยๆ เม้มแน่นไม่เอื้อนเอ่ย คนชุดม่วงผู้นั้นกลับยื่นมือไปคว้าตัวนาง ดึงมาไว้ในอ้อมกอด จูบแก้มนางทีหนึ่ง “เด็กดี ยามนี้ต่อให้เจ้ายอมรับก็ไม่เป็นไรแล้ว เขาไม่มีทางทำอะไรเจ้าได้”


“อวิ๋นชิงหลัว เจ้าช่างขวัญกล้านัก! กล้าสร้างหุ่นเชิดที่มีลักษณะเหมือนข้า! เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” น้ำเสียงตี้ฝูอีเย็นเยียบ


“ข้า…” อวิ๋นชิงหลัวกำมือแน่น “ข้าแค่อยากให้ท่านอยู่กับข้า…”


คนชุดม่วงผู้นั้นเงยหน้าหัวเราะ ตอนนี้ชัยชนะอยู่ในกำมือเขาแล้ว จึงไม่รีบร้อนให้คนชุดเขียวโจมตีตี้ฝูอี เขาแค่อยากเล่นงานอีกฝ่ายก่อน ไม่ง่ายเลยกว่าแผนการอันสมบูรณ์แบบที่เขาสร้างจะเข้าใกล้ความสำเร็จเช่นนี้ได้ ย่อมอยากโอ้อวดต่อหน้าผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงจุมพิตริมฝีปากจิ้มลิ้มของอวิ๋นชิงหลัวเบาๆ อีกครา “ข้าคือหุ่นเชิดที่นางสร้างขึ้นจริงๆ…ข้าเป็นตัวแทนของเจ้ามาตลอดอยู่เป็นเพื่อนนาง เที่ยวเล่นกับนาง หลับนอนกับนาง…ทำทุกเรื่องที่นางต้องการให้เจ้ากระทำร่วมกับนาง…”


ตี้ฝูอีหรี่ตาลงน้อยๆ “หุ่นเชิดแม้จะคล้ายคลึงมนุษย์ แต่ไม่น่าจะมีความคิดเป็นของตัวเองได้ มันควรจะเชื่อฟังคำสั่งของปรมาจารย์หุ่นเชิดอย่างสมบูรณ์! เจ้าในยามนี้…ไม่คล้ายว่าอยู่ใต้การควบคุมของนาง! ที่แท้เจ้าคือผู้ใดกันแน่?!”


คนชุดม่วงผู้นั้นแย้มยิ้ม “ตี้ฝูอี เจ้ามากประสบการณ์จริงๆ มิผิด ร่างนี้ของข้าถึงแม้จะเป็นหุ่นเชิดที่เสี่ยวชิงหลัวสร้างขึ้น และอยู่กับนางมาสองปี แต่ข้านั้น…ฮ่าๆ ไม่ว่าเจ้าจะเดาอย่างไรก็เดาไม่ออกหรอกว่าข้าคือผู้ใด!”


ตี้ฝูอีก็ยิ้มเช่นกัน ถอนหายใจนิดๆ “ที่แท้เจ้าหวั่นเกรงข้ามากสินะ? อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยังไม่กล้าเปิดเผยฐานะของตน”


คนชุดม่วงถูกตอกหน้าจนนิ่งงัน ยิ้มเยาะแล้วกล่าว “รอจนข้าจับกุมเจ้าได้ ยามที่จะสังหารเจ้าค่อยทำให้วิญญาณของเจ้าได้ทราบ!”


ตี้ฝูอีแบมือออกทันที กระบี่ล้ำค่าเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือดั่งสายรุ้ง “ต้องการสังหารข้าเกรงว่าจะไม่ง่ายดายปานนั้น! เข้ามาเลย!”


แววตาเย็นชาของคนชุดม่วงทอประกายเฉียบคม ยกมือขึ้นทันที ลำแสงสีทองพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว วนเวียนอยู่บนผิว สะพานเหล็กสายหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มุ่งตรงมาที่ศาลาน้อยหลังนั้น…


ตี้ฝูอีไม่มีปฏิกิริยาอะไร เพียงดึงกู้ซีจิ่วที่อยู่ข้างกายให้เข้ามาอยู่ใกล้ตนอีกหน่อย


สายตาเขากวาดมองคนบนฝั่งเหล่านั้นแวบหนึ่ง “มู่อวิ๋นอยู่ที่ใด?”


คนชุดม่วงพลันหัวเราะฮ่าๆ “เขาตกเป็นเชลยของข้าแล้ว!” เขาโบกมือให้กลุ่มคนชุดเขียวคราหนึ่ง


คนชุดเขียวแหวกออกเป็นสองฝั่ง เผยตัวคนผู้หนึ่งออกมา


เป็นมู่อวิ๋น เห็นได้ว่าเขาบาดเจ็บ ถูกคนชุดเขียวสองคนกดตัวไว้ตรงนั้นไม่อาจลุกขึ้นได้ แววตาเขารู้สึกผิด “นายท่าน! ข้าน้อยไร้ความสามารถ!”


ตี้ฝูอีแววตาโศกศัลย์ มือกุมกระบี่ล้ำค่าแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด


คนชุดม่วงภาคภูมิใจ “ตี้ฝูอี นึกไม่ถึงกระมัง? ว่าผู้คุ้มกันของเจ้าจะถูกจับอย่างง่ายดายเช่นนี้…รู้หรือไม่ว่าผู้ใดจับเขาไว้?”


ตี้ฝูอีเม้มปากแน่น กวาดตามองคนชุดเขียวแวบหนึ่ง “ผีดิบของเจ้าหรือ?”


————————————————————————————-


บทที่ 830 แม้แต่เศษผ้าสักชิ้นก็ไม่นับว่าใช่


คนชุดม่วงหัวเราะขบขัน “ผีดิบของข้ามีไว้ต่อกรกับเจ้าเท่านั้น เจ้าสำนักหลงเป็นผู้จับเขาเองกับมือ!”


สายตาตี้ฝูอีจับจ้องไปที่หลงซือเย่ทันที หลงซือเย่กล่าวอย่างเย็นชา “ตี้ฝูอี ข้าจะใช้เขาแลกคนผู้หนึ่งจากเจ้า!”


ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว “แลกผู้ใด?”


“ซีจิ่ว!” หลงซือเย่ลากตัวมู่อวิ๋นเข้ามา วางกระบี่พาดลำคอเขา “เจ้าปล่อยตัวซีจิ่วออกมาซะ มิเช่นนั้นข้าจะสังหารเขาเสีย!”


ตี้ฝูอีขมวดคิ้ว กู้ซีจิ่วที่อยู่ข้างกายกล่าวอย่างเดือดดาล “หลงซือเย่ เจ้าอย่าได้เกินไปนัก!”


สายตาหลงซือเย่จ้องตรงไปที่นาง “ซีจิ่ว เขาถูกล้อมไว้แล้ว ไม่เหลือทางรอดอีกแล้ว เจ้าติดตามเขาไม่มีผลดีอะไร เจ้าออกมาเถอะ ข้าปกป้องเจ้าได้!”


กู้ซีจิ่วเชิดหน้าตอบ “ข้าจะร่วมหัวจมท้ายกับฝูอี!”


จู่ๆ ตี้ฝูอีก็เปิดปากเอ่ย “ซีจิ่ว ออกไปเถอะ!”


กู้ซีจิ่วคล้ายตกตะลึง มองเขาด้วยใบหน้าขาวซีด “อะไรนะ?!”


ตี้ฝูอีหลับตาลงน้อยๆ “หนนี้ตัวข้าเองยังเกรงว่าจะปกป้องไว้ได้ยาก ไม่มีทางปกป้องเจ้าได้อีกแล้ว มิสู้เจ้าไปอยู่ข้างกายเขาเสีย…”


“ไม่! ตี้ฝูอี ท่านอย่าหมายว่าจะสลัดข้าทิ้งได้!” กู้ซีจิ่วตาแดงแล้ว “เมื่อครู่ท่านยังพูดอยู่เลยว่าต่อไปจะร่วมหัวจมท้ายร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้า!”


ตี้ฝูอีมองนาง เอ่ยเนิบๆ ว่า “แต่ถ้าเจ้าไม่ไป ลูกน้องของข้าจะถูกสังหาร!”


กู้ซีจิ่วเบิกตากว้าง “ที่แท้ท่านมิได้หวังดีต่อข้า แค่อยากแลกตัวลูกน้องท่านกลับมาเท่านั้น!”


ตี้ฝูอีไม่มองนาง “ซีจิ่ว วรยุทธ์เจ้าไม่ถึงหนึ่งหรือสองในสิบของมู่อวิ๋น…”


“ดังนั้นข้าอยู่ที่นี่ก็มีประโยชน์ไม่เท่าเขากระมัง?” สุ้มเสียงกู้ซีจิ่วเปลี่ยนเป็นเชือดเฉือน


ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “ซีจิ่ว ถ้าเจ้าอยู่ฝั่งนั้นจะปลอดภัยกว่า อีกทั้งสามารถแลกมู่อวิ๋นกลับมาได้ เหตุใดจึงไม่ยินดีเล่า?”


กู้ซีจิ่วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ท่าน…ถ้าหากข้าตอบว่าไม่เล่า?!”


ตี้ฝูอีกลับไม่มองนางอีก แต่มองไปที่หลงซือเย่ “ถ้าข้าปล่อยกู้ซีจิ่ว เจ้าจะยอมคืนตัวมู่อวิ๋นให้ข้าจริงๆ น่ะหรือ?”


หลงซือเย่ตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอน!”


ตี้ฝูอีเหลือบมองคนชุดม่วงอีกครา “เจ้าก็ยอมหรือ?”


คนชุดม่วงเงยหน้าหัวเราะ “เป้าหมายของข้ามีแค่เจ้า! ส่วนแม่นางน้อยผู้นี้…ไม่จำเป็นสังหาร”


“เยี่ยมมาก!” ตี้ฝูอีกล่าวเพียงสองคำ สะบัดแขนเสื้อไปทางกู้ซีจิ่วคราหนึ่ง ร่างกายกู้ซีจิ่วลอยขึ้นอย่างมิอาจควบคุมได้ พุ่งตรงสู่ฝั่งนั้น…


หลงซือเย่เกรงว่ากู้ซีจิ่วจะเกิดอุบัติเหตุ ร่างกายพลันทะยานขึ้น พุ่งไปรับตัวกู้ซีจิ่วที่ลอยอยู่ในอากาศดั่งดาวตก ยามที่ร่อนลงปลายเท้าแตะลงบนสะพานเหล็กเล็กน้อย เหินกลับมาทันที


ฝ่ายตี้ฝูอีก้เคลื่อนไหวว่องไวยิ่ง เวลาเดียวกับที่ส่งกู้ซีจิ่วออกไป แขนเสื้อดั่งเข็มขัดสีม่วงที่ยืดออกไป โลดแล่นไปพันมู่อวิ๋นที่ถูกสกัดจุดไว้ แล้วหดกลับไปเสียงดังพรึ่บ


ยามที่หลงซือเย่พากู้ซีจิ่วร่อนสู่พื้น ตี้ฝูอีก็นำมู่อวิ๋นกลับไปอยู่ในศาลาน้อยฝั่งนั้นแล้ว


การแลกเปลี่ยนตัวประกันของทั้งสายฝ่ายนับว่าประสบความสำเร็จ


สีหน้ากู้ซีจิ่วซีดเซียว ริมฝีปากเล็กเม้มแน่น เห็นได้ชัดว่านางได้รับความสะเทือนใจไม่น้อย “ที่แท้…ในใจเขาข้าเทียบกับผู้คุ้มกันของเขาไม่ได้เลย…”


อวิ๋นชิงหลัวคล้ายจะไม่สบอารมณ์ นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยสอดขึ้นมา “แน่นอนว่าเจ้าเทียบไม่ได้! ในใจเขาเจ้าก็เป็นแค่คู่ขาที่จะมีหรือไม่มีก็ได้เท่านั้น สหายดั่งแขนขา ภรรยาดั่งอาภรณ์ ผู้คุ้มกันที่เก่งกาจสี่คนนี้มีค่ายิ่งกว่าแขนขาของเขาเสียอีก ส่วนเจ้าไม่ใช่แม้แต่ภรรยาของเขา ในใจเขาเกรงว่าเจ้าคงไม่นับเป็นอาภรณ์ชิ้นหนึ่งด้วยซ้ำ!”


ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็มองนางแวบหนึ่ง “ในใจเขาดีร้ายอย่างไรข้าก็ยังนับว่าเป็นอาภรณ์ชิ้นหนึ่ง แล้วเจ้าล่ะ? ในใจเขาเจ้านับว่าเป็นอันใด? เกรงว่าแม้แต่เศษผ้าสักชิ้นก็ไม่นับว่าใช่กระมัง?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)