ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 822-823
ตอนที่ 822 สมบัติพิทักษ์สำนัก
ลำดับในตอนนี้ดูแล้วดีต่อนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างยิ่ง หลิ่วหมิงกับบุรุษผมม่วงอยู่อันดับหนึ่งคู่กัน อิ๋นเซ่อจากหอเป๋ยโต่วอันดับสาม ถัดมาคือชายหนุ่มรถเงิน หลัวเทียนเฉิง มู่หรงเซวี่ยเยวี่ยและสตรีชุดเขียว เซียนหงส์ดำ บุรุษหน้าเหยี่ยวและหลงเซวียน
หลังจากนั้นพวกหลิ่วหมิงกลับไปยังจุดรวมตัวของแต่ละนิกาย เสวียนอู่ทูตแห่งวังสวรรค์เดินมาถึงหน้าป้ายศิลาอีกครั้ง เขาพลิกมือเรียกแผ่นค่ายกลศิลาสีน้ำเงินเก่าเรียบง่ายแผ่นหนึ่งออกมา ปากเอ่ยท่องมนตร์งึมงำไม่หยุด แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งจมลงไปในป้ายศิลา
ผิวหน้าของป้ายศิลาฉับพลันฉายแสงสีน้ำเงินพักหนึ่ง ชื่อของคนทั้งหมดและแต้มโชคชะตากะพริบวูบหนึ่งก็หายไปจากบนป้ายศิลา
ชั่วครู่ให้หลังแสงสีน้ำเงินบนป้ายศิลาก็รวมตัวกันอีกครั้ง ลำดับชื่อของนิกายและตระกูลแต่ละแห่งปรากฏขึ้น
นิกายยอดบริสุทธิ์ครองอันดับหนึ่งในงานประตูสวรรค์ครั้งนี้ด้วยแต้มโชคชะตาทั้งหมดโซ่ทองเจ็ดเส้นครึ่ง แต้มโชคชะตามากกว่าหอเป๋ยโต่วที่อยู่อันดับที่สองเพียงหนึ่งในสิบส่วนของโซ่ทอง ส่วนที่สามคือนิกายเทียนกง นิกายปีศาจลี้ลับตามติดๆ มาด้านหลัง ต่อมาคือตระกูลมู่หรง หุบเขาปีศาจสวรรค์ สำนักเฮ่าหรานได้เพียงอันดับที่เจ็ด ต่อจากนั้นถึงเป็นตระกูลโอวหยางตามอยู่ข้างหลัง จากนั้นจึงเป็นตระกูลอื่นกับนิกายที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กจำนวนหนึ่ง
เห็นอันดับสรุปสุดท้ายบนป้ายศิลานี้ บนหน้าผู้อาวุโสของนิกายสำนักและตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็มีสีหน้าต่างๆ กันไป
“นิกายยอดบริสุทธิ์…หลิ่วหมิง…”
ประมุขหอเป๋ยโต่วมองป้ายศิลา บนหน้าเผยความคิดไม่ถึงจางๆ ออกมาเช่นกัน หลังกวาดสายตามองไปทางที่หลิ่วหมิงกับเทียนเกอเจินเหรินอยู่ทีหนึ่งก็ยิ้มเล็กน้อย
เขาเหมือนไม่ใส่ใจเรื่องที่อันดับหนึ่งซึ่งเดิมอยู่ในมือถูกนิกายยอดบริสุทธิ์ชิงไปกะทันหันสักนิด
“อืม วันนี้มีหอเป๋ยโต่วสอดมือ ได้อันดับเท่านี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” ตรงนิกายเทียนกง บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยพึมพำ สองคนที่เหลือก็พยักหน้าหลายหนด้วย
ผู้เฒ่าชุดดำที่นำคณะของตระกูลมู่หรง เวลานี้สองมือไพล่หลังยืนตัวตรง เงียบงันไม่เอ่ยวาจา
“พี่น้องมู่หรงพยายามเต็มที่แล้ว เพียงแค่งานประตูสวรรค์ครั้งนี้คล้ายจะมีจุดน่าสงสัย คนเหล่านั้นที่ออกมาท้ายสุดกลับสั่งสมโชคชะตาได้มากเช่นนี้ ตามหลักแล้วแม้มรดกร้ายกาจอีกเท่าใด โชคชะตาที่มอบให้ก็ไม่มีทางมากเช่นนี้” ผู้เฒ่าผมขาวอีกคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ ที่ศิษย์เหล่านี้ได้โชคชะตามากมายเช่นนี้ เกรงว่ากว่าครึ่งคงเกี่ยวพันกับเหตุผิดปกติก่อนหน้านี้” ผู้เฒ่าชุดดำแค่นเสียงหยันตอบกลับ
ในใจหลิ่วหมิงค่อนข้างฉงน ไม่ทราบว่าเหตุใดตนเองจึงได้โชคชะตามามายมายเช่นนี้ ทว่าเมื่อครุ่นคิดให้ละเอียด กว่าครึ่งคงเกี่ยวข้องกับที่เขาลงมือสังหารร่างแปลงของสัตว์ประหลาดสองตัวนั้นด้วยมือตนเอง
“ต่อจากนี้ ขอเชิญผู้อาวุโสจากนิกายและตระกูลใหญ่ต่างๆ ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ครั้งนี้ นำสมบัติพิทักษ์สำนักของแต่ละแห่งออกมารับโชคชะตา!”
ระหว่างที่ผู้คนที่นั่นยังคงถกเถียงกันเกี่ยวกับลำดับที่ปรากฏขึ้นท้ายสุดของงานประตูสวรรค์ เสวียนอู่ที่อยู่ข้างป้ายศิลาก็ประกาศด้วยเสียงกังวานทรงพลังอีกหน
เสียงไม่ดังทว่าดังขึ้นในหูของคนทั้งหมดที่นั่นชัดเจนอย่างยิ่ง
ชั่วขณะหนึ่งบนยอดเขาหิมะเงียบสงบลงอีกครั้ง
ต้องรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าสมบัติพิทักษ์สำนักของแต่ละสำนักแต่ละนิกายได้ ไม่มีชิ้นใดไม่ใช่ระดับสมบัติเวท ส่วนใหญ่คงอยู่มาตั้งแต่ก่อตั้งสำนักนิกาย ยามปกติเก็บรักษาไว้ในสถานที่ต้องห้าม ศิษย์ทั่วไปไม่มีวาสนาเห็นแม้แต่น้อย
เมื่อผ่านการหล่อหลอมสั่งสมพลังไม่ทราบนานเท่าไร สมบัติพิทักษ์สำนักเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวพันแน่นแฟ้นกับเส้นปราณของนิกายตนผสานเป็นหนึ่งเดียว ไม่เพียงตัวมันเองครอบครองพลังอำนาจยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยามปกติยังนำมาใช้เป็นดวงตาค่ายกลของมหาค่ายกลพิทักษ์สำนักหรือเครื่องป้องกันความชั่วร้ายอีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้นิกายแห่งหนึ่งครอบครองสมบัติพิทักษ์สำนักหลายชิ้นก็ย่อมไม่นำออกมาจากสำนักง่ายๆ คนนอกคิดจะลอบมองหน้าตาที่แท้จริงยิ่งยากประหนึ่งเหยียบขึ้นสวรรค์ มีเพียงงานประตูสวรรค์เช่นนี้เท่านั้นถึงมีโอกาสน้อยนิดนั่น
งานประตูสวรรค์แปดร้อยปีถึงจะจัดขึ้นครั้งหนึ่ง พลาดครั้งนี้ไปปุบก็ได้แต่รออีกแปดร้อยปี
ดังนั้นไม่ว่าผู้ฝึกฝนอิสระจากที่ต่างๆ หรือศิษย์จากแต่ละนิกายแต่ละตระกูลที่นั่น เวลานี้ส่วนใหญ่ล้วนปิดปากไม่ส่งเสียง คนทั้งหมดรอคอยแต่ละนิกายเผยสมบัติพิทักษ์สำนักออกมาอย่างตื่นเต้นไม่ธรรมดาเพื่อเปิดหูเปิดตาดีๆ สักหน
ตรงที่รวมตัวของนิกายยอดบริสุทธิ์ เทียนเกอเจินเหรินสะบัดแขนเสื้อทันที แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งสว่างขึ้น ในมือฉับพลันมีคทาเวทสีน้ำเงินอันหนึ่งออกมา
คทานี้ยาวราวสองสามฉื่อ แสงสีน้ำเงินระยิบระยับ ดูแล้วค่อนข้างเก่าแก่เรียบง่าย ส่วนยอดเป็นรูปหัวมังกรหัวหนึ่ง สองตาเจิดจ้าประหนึ่งมีจิตวิญญาณ ส่วนตัวคทาประหนึ่งร่างกายของมังกรสีน้ำเงินตัวหนึ่งพันขดอยู่ด้านบน พร้อมกันนั้นร่างมังกรก็มีลวดลายจิตวิญญาณสีทองอ่อนวงแล้ววงเล่าแผ่อยู่เต็ม นับอย่างละเอียดมีมากถึงหนึ่งร้อยแปดวง คทาเวททั้งด้ามแลดูประหนึ่งมังกรน้ำเงินตัวหนึ่ง แผ่แสงรัศมีสีน้ำเงินอ่อนโยนและอบอุ่นสายแล้วสายเล่าออกมา
แสงสีน้ำเงินสาดส่องลงมา หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงทั้งร่างมีปราณอุ่นร้อนสายหนึ่งไหลเวียนทั่วร่างไม่หยุด พลังเวทที่เดิมทีเกือบจะแห้งเหือดในร่างค่อยๆ เต็มเปี่ยมขึ้นมา
“ที่แท้นี่ก็คือสมบัติพิทักษ์สำนักของนิกายยอดบริสุทธิ์ ไม่ธรรมดาจริงๆ” เขาเอ่ยพึมพำกับตนเองหนึ่งประโยคในทันที
หลิ่วหมิงสงบอารมณ์แล้วหันสายตามองไปรอบด้าน คนของนิกายใหญ่ที่เหลือก็ล้วนนำสมบัติพิทักษ์สำนักของแต่ละคนออกมาแล้ว
ในมือของบุรุษเสื้อสั้นสีเหลืองคนหนึ่งของนิกายเทียนกงมีแผ่นค่ายกลแปดเหลี่ยมที่ส่องแสงสีเหลืองขมุกขมัวขนาดหนึ่งฉื่อกว่าแผ่นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา บนแผ่นค่ายกลแปดเหลี่ยมสลักลายปีศาจอสูรหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ดูราวประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่งไว้ ส่วนตรงกลางแผ่นค่ายกลกลับมีลวดลายจิตวิญญาณละเอียดยิบวงแล้ววงเล่ากำลังส่องแสงรัศมีสีแดงประหลาดทำให้คนขวัญสะท้านอยู่
บัณฑิตวัยกลางคนของสำนักเฮ่าหราน มือข้างหนึ่งถือคัมภีร์ที่ส่องแสงสีทองอร่ามม้วนหนึ่ง อีกมือหนึ่งไพล่อยู่หลังร่าง อาภรณ์โบกสะบัด รอบร่างคล้ายถูกคัมภีร์สีทองอาบอยู่ ถูกห้อมล้อมด้วยแสงสีทองชั้นหนึ่ง บนร่างคล้ายเต็มไปด้วยกลิ่นอายความยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจล่วงเกินสายหนึ่ง
ผู้เฒ่าชุดดำปักไหมทองคนหนึ่งจากนิกายปีศาจลี้ลับสองแขนกอดอก ใบหน้าไร้อารมณ์ลอยอยู่กลางอากาศ ธงปีศาจกระดูกขาวที่ทั้งผืนส่องแสงสีดำขมุกขมัวใหญ่ถึงสามสี่จ้างผืนหนึ่งลอยอยู่ข้างกาย รอบด้านปราณดำสายแล้วสายเล่าวนเวียน มีวิญญาณเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ทั้งยังมีเสียงภูตผีโหยหวนดังออกมาเป็นพักๆ
ในเวลาเดียวกันแปดตระกูลใหญ่ที่เหลือรวมถึงประมุขและผู้อาวุโสของนิกายใหญ่กลางเล็กแต่ละแห่งเวลานี้ก็พากันนำสมบัติพิทักษ์ของแต่ะคนออกมา ชั่วขณะหนึ่งแสงจิตวิญญาณนานาสีสันปรากฏขึ้นต่อเนื่อง ปราณจิตวิญญาณในที่นั้นผสมปนเปทั้งยังเข้มข้นอย่างที่สุด
ขณะที่ผู้คนในที่นั้นกำลังมองชมแทบไม่ทัน ท้องฟ้าที่เดิมกระจ่างใสหมื่นลี้เหนือยอดเขาหิมะทันใดนั้นก็มืดครึ้ม ทำให้เขาหิมะทั้งลูกประหนึ่งค่ำคืนมาเยือน บนท้องฟ้าดวงดาราพร่างพราวส่องแสงระยิบระยับ
ภาพนี้ย่อมดึงสายตาของคนทั้งหมดไปอีกหน
แต่ท่ามกลางดวงดาวพร่างพราวมากมายเต็มท้องฟ้า แสงดาวสายแล้วสายเล่าสาดเทลงมาจากด้านใน ทยอยรวมตัวไปยังบุรุษเสื้อเหลืองผู้หนึ่ง
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น ประมุขหอเป๋ยโต่วนั่นเอง!
เห็นเพียงคนผู้นี้หลับตาสองข้างแน่น มือข้างหนึ่งกำลูกแก้วกลมสีฟ้าเข้มที่ส่องแสงจิตวิญญาณระยิบระยับขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่ง แสงดาวเส้นแล้วเส้นเล่านั่นกำลังจมเข้าไปด้านในต่อเนื่องไม่ขาดสาย ในลูกแก้วกลมสีฟ้าเข้มมีประกายแสงสีขาวมากมายถี่ยิบส่องแสงวิบวับไม่หยุด คล้ายประกอบเป็นภาพสัญลักษณ์หมู่เมฆดาราภาพหนึ่งไหววนเชื่องช้าไม่หยุด ค่อนข้างมีเอกลักษณ์
หลิ่วหมิงอยู่ห่างมากยังสัมผัสได้ถึงปราณมหาศาลประหนึ่งหุบเหวสายหนึ่งพุ่งกระจายออกมาสี่ด้านแปดทิศจากในลูกแก้วกลมลูกนี้
ฉากนี้ทำให้สมบัติพิทักษ์สำนักของนิกายขนาดกลางและเล็กจำนวนมากหม่นหมองหมดราศีในทันใด กระทั่งแปดตระกูลใหญ่ก็เทียบไม่ติดฝุ่นอยู่บ้าง
“โชคชะตาจงเคลื่อน!”
ทูตวังสวรรค์เห็นสำนักนิกายใหญ่แต่ละแห่งเตรียมพร้อมเสร็จสิ้นแล้วจึงหมุนตัวทันที แขนเสื้อสะบัดทีหนึ่ง แสงสีทองสายหนึ่งบินพุ่งออกมาหมุนวนกลางท้องฟ้ารอบหนึ่งแล้วกลายเป็นยันต์มหึมาที่ส่องแสงสีทองขมุกขมัว
เสียง “ฟู่” ดังขึ้นทีหนึ่ง ยันต์สีทองก็พุ่งวูบจมหายเข้าไปในป้ายศิลาโชคชะตาทั้งแผ่น ทันใดนั้นเสียงครืนครางก็ดังลั่น ป้ายศิลาทั้งแผ่นส่องแสงสีทองสว่างจ้า!
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นทีหนึ่ง!
ป้ายศิลาสีดำขนาบขาวทั้งแผ่นระเบิดกลายเป็นไอหมอกสีเทาสายแล้วสายเล่าพุ่งแยกย้ายไปสี่ด้านแปดทิศ
ไอหมอกสีเทาเหล่านี้ประหนึ่งมีจิตวิญญาณ หลังวนกลางอากาศรอบหนึ่งก็ทยอยแทรกเข้าไปในสมบัติพิทักษ์สำนักที่ประมุขและผู้อาวุโสสำนักใหญ่ต่างๆ ถืออยู่
ในนั้นไอหมอกสีเทาที่นิกายยอดบริสุทธิ์ได้รับย่อมมากที่สุด
คทาเวทในมือเทียนเกอเจินเหรินฉับพลันสั่นน้อยๆ ดวงเนตรมังกรฉายแสงสีแดง แสงสีน้ำเงินที่แผ่ออกมาเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด หลังเจ็ดแปดลมหายใจถึงค่อยๆ ฟื้นกลับมาดังเดิม
หลังเทียนเกอเจินเหรินมองคทาเวทสีน้ำเงินทีหนึ่งก็เผยรอยยิ้มจางๆ จากนั้นจึงเก็บคทาเวทสีน้ำเงินไป
ในเวลาเดียวกันนี้ประมุขและผู้อาวุโสของนิกายและตระกูลที่เหลือก็พากันเก็บสมบัติพิทักษ์สำนักไป
หลังเวลาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ สถานที่นั้นจึงฟื้นกลับมาสภาพเดิม
เพียงแต่คนจากนิกายหรือตระกูลที่ได้คะแนนไม่เลวจากงานประตูสวรรค์ ส่วนใหญ่บนหน้าล้วนสีหน้ายินดีอิ่มเอิบ แต่หากคะแนนไม่ดีก็คอตกหม่นหมอง
“จากกฎของงานประตูสวรรค์ ผู้ที่อันดับโชคชะตาเป็นสามอันดับแรกจะได้รับรางวัลต่างหาก หลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ หลี่ว์เหมิง อิ๋นเซ่อแห่งหอเป๋ยโต่ว ตอนนี้พวกเจ้าสามคนตามข้ามาเถอะ” เสวียนอู่ทูตแห่งวังสวรรค์กวาดสายตาบนร่างคนที่นั่นช้าๆ พร้อมกันนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หลิ่วหมิงได้ยิน ในใจพลันยินดี
พลังของวังสวรรค์ลึกล้ำไม่อาจหยั่ง จากตรงนี้เห็นได้ว่ารางวัลที่เขาพูดคงไม่ด้อยไปถึงไหน
ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่เหลือได้ฟังก็อดไม่ได้เอี้ยวศีรษะมองไปหาหลิ่วหมิง ในดวงตาเผยแววอิจฉา
หลัวเทียนเฉิงกลับกอดอกอยู่ที่เดิมแค่นเสียงหยันทีหนึ่ง
“หลิ่วหมิง เจ้าตามทูตวังสวรรค์ไปเถอะ พวกเราจะรอเจ้ากลับมาอยู่ในที่พำนักตรงตีนเขาหิมะ หลังจากนั้นค่อยออกเดินทางกลับไปสำนักด้วยกัน” เทียนเกอเจินเหรินกับอ่ายเจาโบกมือให้หลิ่วหมิง แล้วเอ่ยออกจากปากเช่นนี้
“ศิษย์น้อมรับคำสั่ง!” หลังหลิ่วหมิงประสานมือให้ทีหนึ่งก็ตั้งท่าเคล็ดวิชา เท้าเหยียบเมฆดำลอยขึ้นกลางอากาศ
ในเวลาเดียวกันหลี่ว์เหมิงกับอิ๋นเซ่อสองคนจากหอเป๋ยโต่วก็กลายเป็นลำแสงสีเงินสองก้อนพุ่งขึ้นฟ้า มาถึงตรงหน้าบุรุษสตรีทูตวังสวรรค์สองคนอีกครั้ง
เสวียนอู่กวาดตามองทั้งสามคน หลังพยักหน้านิดหนึ่งทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เมฆขาวขนาดถึงห้าหกจั้งก้อนหนึ่งยกคนทั้งสี่คนขึ้น กลายเป็นแสงสีขาวก้อนหนึ่งแหวกท้องฟ้ามุ่งไปยังเกาะยักษ์เหนือศีรษะ
เสวียนอิงก็กลายเป็นลำแสงตามไปติดๆ ด้วย
หลิ่วหมิงมองเห็นภาพรอบด้านไม่ชัด รู้สึกเพียงเบื้องหน้าขาวโพลนไปหมด ข้างหูได้ยินเสียงฮู่ๆ ดังมาเป็นพักๆ ร่างกายฉับพลันหนักอึ้งวูบหนึ่ง หลังแสงสว่างรอบด้านดับลงเบื้องหน้าก็ปรากฏพระราชวังโอ่อ่าน่าเกรงขามหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
พระราชวังหลังนี้ไม่ใหญ่นัก สูงเพียงสิบกว่าจั้ง ทั้งหลังก่อมาจากหินอ่อนสีขาวผ่องแวววาว ใต้แสงตะวันสาดส่อง ตำหนักทั้งหลังก็ทอแสงสีขาวอ่อนโยนจางๆ
ไม่ทันรอให้พวกหลิ่วหมิงสามคนมองเพิ่มสักหลายหน เสวียนอู่ด้านข้างก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง ทันใดนั้นกระแสลมแรงสายหนึ่งก็หอบพวกเขาส่งมาถึงด้านในโถงตำหนัก
ตอนที่ 823 เดินทางกลับ
ในตำหนัก สิ่งที่เข้าสู่สายตาก็คือสีขาวโพลนแวววาวทั้งแถบ
โถงตำหนักทั้งโถงเป็นทรงกลม เสากลมมหึมาเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งจั้งกว่าสิบกว่าต้นวนล้อมห้องโถงทั้งหมด ด้านบนมีรูปสลักปีศาจอสูรไม่ทราบนามรูปร่างต่างๆ นานาตัวแล้วตัวเล่า ดูราวกับมีชีวิต หมอกควันสีขาวหนาทึบสายแล้วสายเล่าพ่นออกมาจากปากทำให้ส่วนพื้นทั้งหมดมีหมอกควันวนเวียนประหนึ่งแดนเซียน
บนที่นั่งประธานกลางห้องโถง ผู้เฒ่าเทียนเหออาภรณ์ขาวผมขาวกำลังนั่งสง่าหลับสองตาแน่นอยู่ ด้านข้างยังมีข้ารับใช้ชุดขาวท่าทางอายุสิบหกสิบเจ็ดปีสองคนยืนอยู่แต่ละฝั่ง
หลิ่วหมิงกวาดสายตาทีหนึ่ง ไม่อาจสัมผัสคลื่นพลังจิตวิญญาณบนร่างเขาได้แม้แต่น้อย!
หากไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาเห็นอีกฝ่ายใช้พลังอันยิ่งใหญ่ของตัวเองคนเดียวประหัตประหารปีศาจต่างโลกสามตัวอย่างสบายๆ ด้วยตาตนเอง ก็อาจจะคิดว่าผู้อาวุโสตรงหน้าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ
“สามคนนี้ก็คือสามอันดับแรกของการฝึกฝนครั้งนี้หรือ?” ผู้เฒ่าเทียนเหอลืมตาสองข้างขึ้นช้าๆ กวาดมองพวกหลิ่วหมิงสามคนทีหนึ่งแล้วเอ่ยเรียบๆ
“ตอบผู้อาวุโส สามคนนี้ขอรับ” เสวียนอู่ที่อยู่ด้านข้างพวกหลิ่วหมิงสามคนได้ฟังก็ประสานมือเอ่ยอย่างนอบน้อมทันที
พวกหลิ่วหมิงสามคนย่อมก้มต่ำคำนับผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้นี้ด้วยสีหน้านอบน้อมด้วย
กระทั่งหลี่ว์เหมิงผู้แลดูยโสโอหังคนนั้น อยู่ต่อหน้าผู้เฒ่าเทียนเหอยังทำตัวดีอย่างที่สุด
“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็คือแขกของวังสวรรค์ คิดว่าพวกเจ้าน่าจะทราบแล้ว สามอันดับแรกของการฝึกฝนประตูสวรรค์ทุกครั้งล้วนเอ่ยขอรางวัลอันสมเหตุสมผลประการหนึ่งจากวังสวรรค์ได้ พูดมาเถอะ พวกเจ้ามีความต้องการอันใดบ้าง” ผู้เฒ่าเทียนเหอยิ้มนิดๆ พลางเอ่ยถามพวกหลิ่วหมิง
“ผู้อาวุโสเทียนเหอ ข้าปรารถนาวิชาลับที่ขาดการสืบทอดไปแล้ววิชาหนึ่งชื่อวิชาหลอมใจ ไม่ทราบความต้องการนี้นับว่าเหมาะสมหรือไม่?” หลี่ว์เหมิงเหมือนจะตัดสินใจมานานแล้ว หลังคำนับอย่างนอบน้อมอีกครั้งก็เอ่ยปากขึ้นก่อน
“วิชาหลอมใจหรือ? ไม่เลว! นี่เป็นวิชาลับที่ขาดการสืบทอดไปแล้ววิชาหนึ่งจริงๆ มีประโยชน์อย่างยิ่งกับการต่อต้านมารในใจและการเลื่อนชั้น ความต้องการนี่สมเหตุผลยิ่ง เจ้าไปหอตำรานำวิชาหลอมใจมา” ผู้เฒ่าเทียนเหอได้ยินก็พยักหน้า พร้อมกันนั้นก็หันไปสั่งข้ารับใช้ของวังสวรรค์คนหนึ่งด้านข้าง
ข้ารับใช้แห่งวังสวรรค์ผู้นี้ค้อมกายเล็กน้อยในทันใด จากนั้นจึงเดินไปยังด้านหลังโถงตำหนัก
ไม่นานนักคนผู้นี้ก็ประคองคัมภีร์ที่ส่องแสงสีฟ้าขมุกขมัวเล่มหนึ่งซึ่งบนปกสลักยันต์สีทองตัวหนึ่งกลับมาในโถงตำหนัก จากนั้นมอบคัมภีร์ไว้ในมือบุรุษผมม่วง
ผลปรากฏว่าเมื่อหลี่ว์เหมิงแตะถูกคัมภีร์ ยันต์สีทองบนปกคัมภีร์ฉับพลันก็ส่องสว่างกลายเป็นแสงสีทองพุ่งเข้าไปกลางหว่างคิ้วของบุรุษผมม่วง
หลี่ว์เหมิงแรกสุดตะลึงเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็เข้าใจ
“วิชาลับนี้เป็นรางวัลของเจ้าเพียงผู้เดียว จงจำไว้อย่าได้ถ่ายทอดต่อ หลังอ่านจบคัมภีร์เล่มนี้จะเผาทำลายตัวเอง หลังจากนั้นไม่อาจบอกสิ่งที่เกี่ยวกับเคล็ดวิชานี้แก่ผู้ใด มิเช่นนั้นจะถูกผลสะท้อนจากชั้นจำกัดบนคัมภีร์ กายและจิตล้วนถูกทำลาย” ผู้เฒ่าเทียนเหอเอ่ยอย่างแลดูสบายๆ
“ผู้เยาว์เข้าใจ”
บุรุษผมม่วงยังคงทำหน้านอบน้อมเก็บคัมภีร์เข้าไปในกำไลเก็บของ จากนั้นประสานมือถอยหลังไปสองสามก้าว
“คนต่อไป”
“ผู้อาวุโสเทียนเหอ ผู้เยาว์ต้องการโอสถซวีหยวนระดับสูงหนึ่งเม็ด” อิ๋นเซ่อเยื้องย่างเคลื่อนมาข้างหน้าหลายก้าว จากนั้นกะพริบตาเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ช้า
“โอสถซวีหยวนระดับสูงหรือ? โอสถนี้แม้หายากอย่างที่สุด วิธีการปรุงก็ขาดการสืบทอดบนแผ่นดินจงเทียนมานานแล้ว แต่ข้ากลับบังเอิญมีโอสถจิตวิญญาณนี้อยู่ ระดับก็สอดคล้องกับความต้องการของเจ้าพอดี ทว่าโอสถนี้มีประโยชน์กับคนที่มีคุณสมบัติร่างพิเศษน้อยนิดไม่กี่คนเท่านั้น หรือว่าเจ้า…ดี! ศิษย์ของหอเป๋ยโต่วแต่ละคนพรสวรรค์ไม่ธรรมดาจริงๆ!”
ผู้เฒ่าเทียนเหอได้ฟังก็หัวเราะเบาๆ ขึ้น รับปากเรื่องนี้ทันทีจากนั้นล้วงขวดน้อยสีเขียวหยกใบหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ โยนไปให้สตรีผมเงิน
สตรีผมเงินกวักมือข้างหนึ่งกลางอากาศ ขวดใบน้อยก็ถูกแสงเรืองรองสีเงินสายหนึ่งม้วนรัดปล่อยลงกลางฝ่ามือ
นางเปิดจุดขวด สองตาหรี่มองไปด้านใน บนใบหน้างามเย็นชาเผยรอยยิ้มน้อยๆ
“ขอบคุณผู้อาวุโสเทียนเหอที่ประทานโอสถ!”
สตรีผมเงินเก็บขวดน้อยสีหยกไป หลังคำนับผู้เฒ่าเทียนเหออย่างงดงามก็ถอยหลังไปสองสามก้าวกลับไปข้างกายหลี่ว์เหมิง
“กลับไปเตือนตาเฒ่าเป๋ยโต่ว อย่าลืมสัญญาที่รับปากข้าไว้” ผู้เฒ่าเทียนเหอโบกมือ จากนั้นสายตาก็จับอยู่บนร่างหลิ่วหมิง
“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์อยากเรียนถามสักหน่อยว่าวังสวรรค์มีวิชาหลอมฝักกระบี่ธาตุว่างเปล่าหรือไม่?” หลังหลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยก็เอ่ยปากบอก
เดิมเขาคิดจะถามผู้เฒ่าเทียนเหอตรงๆ ว่าวังสวรรค์มีวัตถุดิบจากปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าหรือไม่ แต่ในเมื่อตนเอาทานตะวันหัวใจอัคคีมาได้แล้ว หลังกลับไปย่อมได้เบาะแสของปีศาจอสูรนี้จากผู้อาวุโสเถียนด้านนั้นอยู่ดี
ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสอันหาได้ยากเช่นนี้ ไม่สู้สืบถามวิธีพิเศษในการหลอมฝักกระบี่ธาตุว่างเปล่าสักหน่อย แม้มีวัตถุดิบจากปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าก็หลอมฝักกระบี่ธาตุว่างเปล่าออกมาได้ แต่ฝักกระบี่ดีเลวย่อมต่างกันราวฟ้ากับดิน หากมีวิธีหลอมพิเศษโดยเฉพาะย่อมทำให้ฝักกระบี่ธาตุสำแดงฤทธิ์ได้มากที่สุด ทำให้การเพิ่มศักยภาพและการบำรุงกระบี่บินยามออกจากฝักบรรลุถึงระดับที่น่าหวาดกลัวที่สุด
บุรุษผมม่วงกับสตรีผมเงินด้านข้างได้ยินคำนี้ล้วนเหล่มองหลิ่วหมิงอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
“ฝักกระบี่ธาตุว่างเปล่า ข้าพอรู้จักอยู่ แต่วิธีพิเศษในการหลอม ข้าไม่ค่อยรู้ชัดจริงๆ เจ้ารอสักประเดี๋ยว” แววตาประหลาดแล่นผ่านในดวงตาผู้เฒ่าเทียนเหอ ริมฝีปากเขาขมุบขมิบส่งกระแสจิตกับข้ารับใช้ด้านข้างหลายประโยค
หลังข้ารับใช้ค้อมกายนิดหนึ่งก็เดินไปทางด้านหลังโถงตำหนักอีกครั้ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ยินดียิ่ง
เดิมทีเขาเพียงหวังจะลองดู คิดว่าหากผู้เฒ่าเทียนเหอปฏิเสธก็จะเปลี่ยนเป็นความต้องการอย่างอื่นสักอย่างทันที แต่ดูจากคำพูดของผู้เฒ่าเทียนเหอตอนนี้ เหมือนกับจะมีวิธีหลอมแบบพิเศษเช่นนี้อยู่จริงๆ
รออยู่เป็นเวลาถึงครึ่งเค่อ ข้ารับใช้ของวังสวรรค์คนนั้นถึงเดินเชื่องช้าออกมาจากด้านหลังโถงตำหนัก ในมือถือถาดใบหนึ่ง ด้านในมีคัมภีร์หยกสีขาวขมุกขมัวเล่มหนึ่งอยู่
คัมภีร์หยกนี่แลดูธรรมดา แต่หลิ่วหมิงอยู่ไกลมากก็ยังสัมผัสความไม่ธรรมดาของสิ่งนี้จากแสงจิตวิญญาณจางๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวมันได้
“เจ้าลองดู ของสิ่งนี้ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรือไม่”
ผู้เฒ่าเทียนเหอกวาดตามองคัมภีร์หยกสีขาวในถาดทีหนึ่งแต่ไม่ได้หยิบมันขึ้นมา เขาสะบัดแขนเสื้อแลดูสบายๆ ทีหนึ่ง แสงเรืองรองสีขาวสายหนึ่งก็ซัดออกมา หอบคัมภีร์หยกขึ้นจากในถาด บินพุ่งไปหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงกวักมือข้างหนึ่งรับคัมภีร์หยกไว้ในมือ ไม่พูดพร่ำก็แนบมันกับหน้าผาก ใช้จิตสัมผัสกวาดอ่านจดจำเนื้อหาในนั้นไว้ในใจ
ในนั้นบันทึกเกี่ยวกับวิธีหลอมฝักกระบี่ธาตุว่างเปล่าวิธีหนึ่งไว้จริงๆ เพียงแต่วิธีการนี้กับวิธีธรรมดาไม่เหมือนกันอยู่บ้าง ไม่เพียงกรรมวิธีค่อนข้างซับซ้อน วัตถุดิบที่ต้องการนอกจากปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่า วัตถุดิบอื่นก็ไม่น้อย ด้วยความเร่งรีบเขาจึงไม่มีเวลาไล่ดู เพียงยืนยันว่าคัมภีร์นี้เป็นของจริงหรือของปลอมเท่านั้น
ทว่าด้วยฐานะสูงส่งเช่นนี้ของวังสวรรค์ ย่อมไม่มีทางนำคัมภีร์หยกปลอมเล่มหนึ่งมาหลอกลวงสามอันดับแรกแน่นอน….
หลังหลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ก็เก็บคัมภีร์หยกเข้าไปในแหวนย่อส่วนทันที จากนั้นคำนับขอบคุณผู้เฒ่าเทียนเหอ
“ไม่ต้องมากพิธี ในเมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว เสวียนอู่ เจ้าส่งพวกเขาสามคนออกไปเถอะ” หลังผู้เฒ่าเทียนเหอยิ้มเล็กน้อยก็เอ่ยสั่งดังนี้
“ทราบ”
เสวียนอู่ขานรับทันทีจากนั้นสะบัดแขนเสื้อ สายลมแรงหอบหนึ่งซัดมาอีกครั้งพาทั้งสามคนบินออกจากโถงตำหนัก เฮือกเดียวบินออกจากเกาะยักษ์กลับไปทางเดิม มาถึงตีนเขาหิมะขาวโพลน
หลังหลิ่วหมิงร่อนลงพื้น เมื่อเหลียวหลังมองไปอีกหนก็พบว่าเกาะยักษ์ประตูสวรรค์แห่งนั้นที่เดิมลอยอยู่เหนือยอดเขาหิมะ ฉับพลับส่งเสียงดัง “แครก” ดังสนั่นระลอกหนึ่งออกมา
ครู่ต่อมากลางท้องฟ้าก็ปรากฏรอยแยกแคบยาวมหึมาเส้นหนึ่ง ต่อจากนั้นเสียงครืนครางก็ดังสนั่น เกาะประตูสวรรค์หมุนวนพลางเคลื่อนไปยังรอยแยกช้าๆ
ภาพนี้ย่อมชักนำให้คนที่ยังอยู่บนยอดเขาหิมะไม่จากไปเขย่งเท้าชะเง้อมอง
นี่บ่งบอกว่างานประตูสวรรค์ที่จัดขึ้นแปดร้อยปีหนึ่งครั้งกำลังจะปิดม่านลงแล้ว
หลังเวลาชั่วหนึ่งมื้ออาหาร เกาะทั้งหมดก็แทรกเข้าไปในรอยแยกย่างสมบูรณ์ ส่วนรอยแยกแคบยาวเส้นนั้นชั่วพริบตาก็ประสานกันสนิท
เขาหิมะทั้งลูกฟื้นกลับมาสงบอีกครั้งประหนึ่งเกาประตูสวรรค์แห่งนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“หลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ ข้าจดจำเจ้าไว้แล้ว น่าเสียดายที่ในแดนลึกลับครั้งนี้ไม่มีโอกาสประลองกับเจ้าดีๆ สักหน แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ไม่นานพวกเราคงจะได้พบหน้ากันอีกครั้ง” หลี่ว์เหมิงฉับพลันหันศีรษะมามองหลิ่วหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่งแล้วหัวเราะเย็นชา เอ่ยวาจาที่ฟังแล้วไม่มีต้นสายปลายเหตุท่อนหนึ่งออกมา หลังจากนั้นจึงกลายเป็นลำแสงสีม่วงบินเร็วรี่ไปยังยอดเขา
อิ๋นเซ่อก็หันศีรษะกลับมาใช้สายตาสนอกสนใจอยู่บ้างมองสำรวจหลิ่วหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นเดียวกัน เส้นผมสีเงินถูกสายลมบนเขาโชยพัดบดบังดวงหน้าไปค่อนครึ่ง ทำให้ใบหน้าของนางแลดูเลือนราง
หลังเสียงหัวเราะคิกๆ แผ่วเบาพักหนึ่ง สตรีนางนี้ก็ลอยขึ้นกลางอากาศกลายเป็นแสงสีเงินสายหนึ่งตามแสงสีม่วงไปติดๆ
คิ้วของหลิ่วหมิงขมวดเล็กน้อย แต่ไม่มีกะจิตกะใจคาดเดาความนัยในถ้อยคำของหลี่ว์เหมิง เขาเพียงใช้สายตากวาดรอบด้าน หลังแยกทิศทางชัด มือก็ตั้งท่าเคล็ดวิชากลายเป็นแสงสีทองเส้นหนึ่งแหวกท้องฟ้าพุ่งไปยังที่พำนักของนิกายยอดบริสุทธิ์
ครึ่งเค่อให้หลังหอที่นิกายยอดบริสุทธิ์พำนักชั่วคราวก็ถูกเก็บไปท่ามกลางเสียงครืนคราง ต่อจากนั้นรถเหาะขนาดยักษ์ที่ส่องแสงสีน้ำเงินขมุกขมัวคันหนึ่งก็ลอยขึ้นกลางอากาศ พุ่งเร็วรี่ไปยังขอบฟ้า
ครึ่งวันให้หลัง ในห้องลับห้องหนึ่งในรถเหาะยักษ์
เวลานี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิ ใช้จิตสัมผัสสำรวจแหวนย่อส่วนที่มือ นับสิ่งที่ได้มาจากงานประตูสวรรค์ครั้งนี้อย่างละเอียด บนใบหน้าเผยสีหน้าพึงพอใจ
แม้งานประตูสวรรค์ครานี้จบลงรวบรัดก่อนเวลาอย่างเหนือความคาดหมาย ทว่าสิ่งที่เขาได้มาก็ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีพิเศษในการหลอมฝักกระบี่ว่างเปล่าที่ได้มาจากมือของคนวังสวรรค์ตอนสุดท้ายยิ่งมีประโยชน์ต่อเขามาก
นอกจากนี้ในแดนลึกลับประตูสวรรค์วัตถุดิบที่เขาได้จากศพปีศาจอสูร แค่ระดับผลึกหรือระดับแก่นเสมือนก็มีไม่น้อย แร่จิตวิญญาณหญ้าจิตวิญญาณชนิดต่างๆ ก็นับไม่ถ้วน เพียงแค่สิ่งเหล่านี้ก็มีค่าไม่ต่ำกว่าหลายสิบล้านหินจิตวิญญาณ….
ส่วนทรายธารดารานั่นยิ่งเป็นวัตถุดิบหลอมอาวุธชั้นยอดที่ยากจะได้เจอสักครั้งและสูญหายไปจากแผ่นดินจงเทียนนานแล้ว หลิ่วหมิงจะเก็บรักษามันไว้ วันหน้ายามหลอมอาวุธจะต้องมีประโยชน์อย่างมากแน่นอน
เวลานี้เองเขาก็เปลี่ยนสีหน้าไปในทันใด มองเห็นหีบไม้ที่ส่องแสงสีเงินอ่อนใบนั้นที่นอนอยู่ก้นแหวนย่อส่วน สิ่งนั้นที่เลือกมาตอนมรดกสุดท้ายนั่นเอง
เดิมหลิ่วหมิงคิดว่าหลังออกจากแดนมรดกจะเปิดดูว่าที่แท้ด้านในคือสิ่งใดกันแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางกลับพบสัตว์ประหลาดต่างโลกสามตัวเข้า จนกระทั่งถึงตอนนี้เพิ่งมีเวลาอีกครั้ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น