องครักษ์เสื้อแพร 821-826
ตอนที่ 821
คืนแต่งงาน ฝันน่าแปลก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังทงเมาสุราอยู่ๆ หัวเราะขึ้น ผู้คุ้มกันหน้าหลังพากันหันมามอง หยางซือเฉินขมวดคิ้วรีบโบกมือ กล่าวว่า
“ถอยไปให้หมด ๆ สั่งให้ห้องครัวต้มชาสร่างเมามาด้วย”
ทหารติดตามพากันคำนับออกไป หวังทงโงนเงนไปมา หยางซือเฉิน รีบเข้ามาประคองไว้ หลายปีนี้ฝึกฝนร่างกายมาไม่ได้หยุด ไม่เช่นนั้นร่างกายหวังทงเช่นนี้ หยางซือเฉินคงไม่อาจประคองไว้ได้
มองภายใต้แสงโคมแล้ว แทบจะประคองร่วงลงไปกับพื้น เมื่อก่อนหวังทงที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าถึงกับหลั่งน้ำตา การเสียกิริยาอาการเช่นนี้ถูกคนอื่นเห็นเข้าย่อมเป็นเรื่องยุ่งยาก หยางซือเฉินรีบก้มหน้าลงกล่าวว่า
“ใต้เท้า ระวังด้วย!!”
แม้ว่าอยู่ในจวนตนเอง ผู้ใดกล้ากล่าวว่าไม่มีสายสืบ สุราดื่มมากไปแล้ว ช่างทำให้ความคิดและกำลังตกลงไปมาก หวังทงรีบก้าวเดินไปสองก้าวจึงได้สติ ยกมือลูบใบหน้า แต่ก็ยังระงับไม่อยู่
“รีบประคองข้าไปห้องหนังสือ อย่าให้คนอื่นเห็นเข้า!!”
หวังทงอ้อแอ้กล่าวขึ้นหยางซือเฉินยิ้มไม่ออก ในใจคิดด่านี้เมาจริงหรือไม่เมากัน ถึงกับยังมีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้อีก
ห้องหนังสือไม่ไกลนัก หวังทงถูกประคองเข้าไปนั่ง ชาสร่างเมาก็ส่งมาถึง หยางซือเฉินสั่งให้คนออกไปนำผ้าขนหนูกับน้ำเย็นมา หวังทงยกชาสร่างเมาขึ้นดื่ม
ชาสร่างเมาเติมสมุนไพรหลายอย่าง มีผลดีต่อการทำให้สร่างเมา หวังทงนั่งลงไม่นาน ก็ดิ้นรนยืนขึ้นเดินไปห้องหนังสือด้านหลัง อาเจียนออกมาหมด
พอหยางซือเฉินนำน้ำเย็นกับผ้าเช็ดหน้าเข้ามาส่งให้ หวังทงก็ดื่มชาสร่างเมาลงไปพอสมควรแล้ว ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดไปสองสามที ถอนหายใจกล่าวว่า
“เมาแล้วเสียการ วันนี้เสียท่าทีเช่นนี้ไม่อาจให้เกิดขึ้นอีก สุราดีที่สุดอย่าได้แตะต้องอีก”
หยางซือเฉินเข้าไปใกล้กระซิบว่า
“ใต้เท้า ดื่มสุราแล้วมากวาจา หากใช้สุราดับทุกข์ก็ทำลายสุขภาพ วันนี้ใต้เท้าก็ช่างเสียกิริยาอย่างมาก”
“ไม่ดื่มไม่ได้ ราชโองการฮ่องเต้ไม่ใช่พระมหากรุณาหรือ ข้าเป็นขุนนาง หรือว่าไม่ควรดีใจจนออกท่าทีเช่นนี้กัน ไม่ดื่มสุราจะแสดงความในใจออกมาได้อย่างไร”
หวังทงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะเงียบไป ชี้ไปด้านนอกประตูกล่าวว่า
“ท่านหยาง ท่านออกไปดูว่ามีคนด้านนอกไหม ดูรอบ ๆ แล้วค่อยกลับเข้ามา”
หยางซือเฉินอึ้งไป ทว่าก็ออกไปเดินรอบหนึ่ง ทหารคุ้มกันได้รับคำสั่ง ย่อมไม่มาอยู่แถวนี้ในยามนี้ รอหยางซือเฉินปิดประตูห้องหนังสือ หวังทงจ้องเขากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“หลังท่านถูกเซินสือหังปฏิเสธมา ก็มาลงเรือลำเดียวกับข้า มีบางวาจา ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว ครั้งหน้าจะไม่พูดอีก ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ ทรงไม่ใช่คนอย่างเรา ในพระทัยรู้สึกส่วนพระองค์เช่นไรกัน ฮ่องเต้ต้องปกป้องอำนาจพระองค์ ผู้ใดหากแตะต้องเข้า แม้ว่าเป็นญาติเลือดเนื้อเดียวกันก็ย่อมต้องสังหารทิ้ง!”
หยางซือเฉินอึ้งไป หวังทงน้ำเสียงแหบพร่ากล่าวเบาๆ ว่า
“ฮ่องเต้ทรงกำราบข้าเพื่อลองใจ ข้าได้แต่เงียบไว้ หากไม่พอใจ หากมีปฏิกิริยา เกรงว่าคงได้มีภัยถึงตัวทันที”
ในห้องเงียบกริบ หยางซือเฉินได้แต่คำนับ หวังทงโบกมือกล่าวว่า
“ท่านไปพักได้แล้ว! พวกหานเสียยังรอข้าอยู่ห้องข้างๆ คืนแต่งงาน ไม่อาจทิ้งขว้างเย็นชาเกินไป”
หยางซือเฉินสีหน้ามีรอยยิ้ม กล่าวว่า
“งานแต่งใต้เท้าแม้ว่าเกิดเหตุไม่ราบรื่นมากมาย แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดีที่สุด คืนวสันต์แสนสั้น ขอใต้เท้ารีบไปเถอะ ข้าขออวยพรใต้เท้าประสบความสุขในการแต่งงานนี้ มีลูกหลาน……”
************
ยุคสมัยนี้ภรรยาหลวงน้อยล้วนสถานะต่างกันมาก โดยเฉพาะในตระกูลชนชั้นสูง ฮูหยินติ้งเป่ยโหวกับภรรยาน้อยสถานะก็ย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คืนแต่งงานใหม่ ที่จริงแล้วก็คือสามวันแรกของการแต่งงาน หวังทงล้วนต้องอยู่กับกับหานเสีย จางหงอิงกับซ่งฉานฉานต้องรอหลังจากวันที่สาม
หวังทงใช้คทาหรูอี้มงคลสมหวังเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวในห้องนอน ดื่มสุรามงคลกับภรรยาทั้งสาม จากนั้นจางหงอิงกับซ่งฉานฉานก็ถูกประคองออกไปที่ห้องตนเอง คืนแต่งงานเป็นของหวังทงกับหานเสีย
“แต่งกับข้า เจ้าดีใจไหม?”
คนออกไปกันหมดแล้ว บรรยากาศในห้องก็เงียบลง หานเสียนั่งอยู่ข้างเตียงก้มหน้า สีหน้าแดงเขินอาย สถานการณ์นี้ หวังทงไม่รู้ว่ากล่าวอันใดดี นิ่งอึ้งไป จึงถามออกมาเช่นนี้
พอได้ยินคำถามแปลกเช่นนี้ หานเสียก็หลุดหัวเราะคิกคักออกมา เงยหน้าจ้องมองหวังทง กระพริบตากล่าวว่า
“แต่งกับท่านพี่ย่อมดีใจ น้องตอนเด็กอยู่เมืองจี้โจว ท่านพ่อท่านแม่บอกว่า โตแล้วให้แต่งกับวีรบุรุษยิ่งใหญ่ ท่านพี่เป็นวีรบุรุษยิ่งใหญ่ ได้สมหวังดังใจ ย่อมดีใจ”
ได้ยินเช่นนี้ เล่นเอาหวังทงอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น เด็กน้อยสิบกว่าขวบ หวังทงได้มองดูนางอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก ไม่อาจเรียกว่าสตรีงดงาม จางหงอิงกับซ่งฉานฉานงดงามกว่านางหลายเท่า แต่หานเสียมีความจริงใจและชีวิตชีวา คุณสมบัติเช่นนี้ของหานเสียทำให้ใจหวังทงหวั่นไหว
งานแต่งนี้ยังเป็นงานที่หานเสียผลักดันเอง ความกล้าและการเริ่มก่อนเช่นนี้ ในยุคนี้หาได้น้อยมาก หวังทงรับคำง่ายเช่นนี้ก็เพราะหานเสียเป็นเช่นนี้
ใต้แสงโคมมองหน้ามล ความต้องใจเจ็ดส่วนก็กลายเป็นสิบส่วน อย่างไม่ทันรู้ตัว หวังทงก็จับจ้องมองหานเสียไม่วางตา หานเสียเดิมสบตากับหวังทง อายจนต้องก้มหน้าลง หน้าแดงลามไปทั่วลำคอ
……..
มารดาหม่าซานเปียวรู้ว่าหวังทงเป็นครั้งแรกที่สัมผัสเรื่องราวชายหญิง หานเสียก็เป็นสตรีดีงาม ดังนั้นจึงส่งหญิงผ่านการสมรสแล้วมาจับตาดูด้านนอก ก่อนหวังทงเข้าหอ นางผู้นี้ยังแอบกระซิบความลับกับหานเสีย เรื่องนี้ไม่พูดแล้ว ยามนี้ นางผู้นี้กำลังจับตาดูห้องหออยู่ด้านนอก
พอไฟในห้องหอดับลง จึงได้เผยรอยยิ้มพึงใจ หันกายจากไป
*************
หวังทงอายุมากขึ้น ไม่ค่อยได้ฝัน ทุกคืนหลับสนิทดี
คืนเข้าหอ หลังงัวเงียหลับไป หวังทงก็ฝัน ฝันประหลาดมาก ในฝันเหมือนว่ามีถนนสายหนึ่ง ถนนไกลสุดลูกหูลูกตา
เริ่มแรกบนถนนสายนี้มีแต่หวังทงคนเดียว ต่อมามีกลุ่มเด็กหนุ่มเดินมากับหวังทง เด็กกลุ่มนี้ก็ค่อยๆ ตามมาด้านหลังหวังทง เดินมาข้างหวังทงกลายเป็นเด็กอ้วนขาพิการ สองคนเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน เด็กอ้วนนั้นแม้ว่าขาพิการ แต่ก็เดินได้เร็ว เดินอยู่หน้าหวังทง
หวังทงได้สติก้าวตามไป เริ่มแรกก็ก้าวนำเด็กอ้วนขาพิการ เด็กอ้วนขาพิการยิ้มตามมา แต่ทุกครั้งก็เดินเลยหน้าเด็กอ้วนไป พอตามทัน สีหน้าเด็กอ้วนขาพิการก็ค่อยๆ ไร้รอยยิ้ม
เด็กอ้วนขาพิการเริ่มดึงหวังทง ปากก็ด่าทอ ถึงกับลงมือ หวังทงได้แต่รู้สึกรำคาญใจ แม้ว่าเขาไม่รู้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าด้านหน้ามีอันตรายและเภทภัยรออยู่ เขาต้องคอยปกป้องอยู่ด้านหน้าเด็กอ้วนขาพิการ ตนเองดีกับเจ้าเด็กอ้วนขาพิการเพียงนี้ แต่เขากลับไม่สนใจ ไยต้องทนเช่นนี้!
ทว่าก็แค่เดินทาง ไม่จำเป็นต้องคิดมาอันใด คิดกระจ่างแล้วหวังทงก็เดินอยู่หลังเด็กอ้วน สีหน้าเด็กอ้วนก็เริ่มมีรอยยิ้ม หวังทงก็รู้สึกว่าสบายใจขึ้นมาก เด็กๆ ด้านหลังก็ตามมากันทัน
เส้นทางเหมือนว่ายังมีคนอื่นอีก หลากหลายผู้คน เส้นทางดำมืด ไม่กล้ามองต่อ มองให้ดีเหมือนว่ามีมารร้าย เหมือนว่ามีซากศพ เหมือนว่ากำลังดูดผู้คนเข้าไป
เส้นทางนี้มีคนล้มลงแล้วไม่อาจลุกขึ้นได้อีก มีคนมาเพิ่มระหว่างทาง ขบวนแถวเหมือนยาวขึ้น ยังเหมือนมีอีกหลายคน ถนนต่อไปไร้จุดจบ
หวังทงมองเห็นเส้นทางยาวไกลนี้ออกไป แบ่งออกเป็นสองสาย สายหนึ่งแยกไปราวกับมีแสงสว่าง จุดหมายปลายทางมีแสงสว่าง อีกเส้นทางราวกับว่าไม่นานก็มืดดับ แต่ปลายทางก็ยังเป็นแสงสว่างอยู่ดี
เส้นทางที่ตนเองต้องเดินไป? ในใจหวังทงเริ่มลังเล ในตอนนั้นเองหวังทงก็ตื่นขึ้น
ตอนหวังทงลืมตา หานเสียข้างๆ ยังหลับสนิทอยู่ กลับได้ยินเสียงสาวใช้ในห้องกระซิบว่า
“รีบไปไล่เจ้าไก่นั่นไป วันมงคลเช่นนี้ อย่ารบกวนท่านโหวกับฮูหยินพักผ่อน”
หวังทงส่ายหน้ายิ้ม ยกมือขยี้ขมับ วันหน้าสุราพวกนี้แตะต้องน้อยหน่อยเป็นดี ดื่มแล้วจิตใจสับสน ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้ ทำให้คนฝันมั่วซั่วไปหมด
*************
แต่งงานใหม่อย่างไรต้องพักที่บ้านหลายวันหน่อย สำนักองครักษ์เสื้อแพรทางนั้นก็ให้หยางซือเฉินไปดูแลเหมือนเดิมสำนักรักษาความสงบก็ไม่มีอันใดต้องกังวล
ตอนกลางวัน สองแห่งนี้ก็มีเอกสารรายงานมา แม้ว่าไม่มีคำสั่งหวังทง แต่ราชโองการที่ประกาศในงานแต่งหวังทงนั้นก็แพร่ไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว
พวกที่รอดูเรื่องตลกในเมืองหลวงพากันอึ้งอ้าปากค้าง ทว่าหลายคนกลับรู้สึกว่า ราชโองการเช่นนี้จึงจะเรียกว่าปกติ ก่อนหน้านี้นั้นช่างเหลวไหลสิ้นดี มีคนกล่าวอีกว่า ตอนแรกราชโองการก็เป็นเช่นนี้ แต่เพราะมีพวกคิดการไม่ได้แกล้งปล่อยข่าวผิด
มีคนกล่าวอีกว่า ไม่เกรงอาญาหรือ ผู้ใดกล้าแพร่ราชโองการปลอม ตอนแรกขันทีมาแพร่ข่าว ในวงการขุนนางก็แพร่ข่าวเช่นนี้ หรือว่าทุกคนสร้างข่าวลือปลอมขึ้นกัน ผู้ใดกล้าแพร่ข่าวราชโองการในเมืองหลวง แต่คำแย้งนี้ไม่กล้ามีใครแย้ง หากบอกว่าราชโองการนั้นเชื่อถือได้ ก็แสดงว่าอันนี้ปลอมงั้นสิ?
ฮ่องเต้ประทับอยู่ที่นั่น ขันทีสำนักส่วนพระองค์ถ่ายทอดราชโองการ เจ้าบอกว่าปลอม ฝ่าบาทตรัสชัดเจนว่าให้ประกาศอีกครั้งเพื่อเสริมบรรยากาศเฉลิมฉลอง ก็หมายความว่าฉบับก่อนหน้าความก็ย่อมเป็นเช่นนี้
ความผิดใหญ่เช่นนี้ผู้ใดก็คงรับไว้ไม่ไหว ผู้ใดกล้ากล่าวให้มากความกัน วิพากษ์วิจารณ์มากไป คงได้แต่เอาจริงแล้ว
ทว่าก่อนหน้าเสียงวิพากษ์วิจารณ์เขตปกครองใต้ ตระกูลสวีเมืองซงเจียงครอบครองที่นาผู้อื่นจำนวนมาก ในราชสำนักก็มีเรื่องนี้มาได้ราวหนึ่งเดือนแล้ว นับว่ามาได้ระยะหนึ่งแล้ว ส่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงเป็นผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบที่เมืองซงเจียง
เผือกร้อนเช่นนี้ก็คงมีแต่หวังทงที่แตะต้องได้ นี่เป็นเรื่องที่ในราชสำนักรับรู้ร่วมกัน กล่าวถึงวันเวลาออกเดินทาง ก็คือเดือนเจ็ด ราชโองการแม้ไม่ได้ระบุ ทว่าก็กำหนดราวนี้
ยังมีคนสรรเสริญฮ่องเต้ว่านลี่ว่าทรงพระเมตตาเข้าใจขุนนาง ให้หวังทงพักมีความสุขกับการแต่งงานหนึ่งเดือน จากนั้นค่อยลงใต้ไปปฏิบัติหน้าที่ แดนใต้ได้ชื่อว่าแดนสวรรค์ เป็นงานที่ดี
ตอนที่ 822
นายกองร้อยซ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หานกังกับหานเสียและน้องชายสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน หานเสียเป็นหญิงจึงดูแลงานการในบ้านและพี่ชายน้องชายมาโดยตลอด ตอนนี้เป็นฮูหยินติ้งเป่ยโหว จวนก็ย่อมให้นางเป็นผู้ดูแล
ดูแลครอบครัวเล็กกับตระกูลใหญ่นั้นต่างกัน ทว่าหวังทงไม่ยาก ส่วนใหญ่เน้นความรวดเร็วเรียบง่ายเป็นหลัก ไม่มีอันใดซับซ้อน
จางหงอิงก็ติดตามนางหม่าดูแลมาระยะหนึ่งแล้ว มีนางคอยช่วย หานเสียดูแลการงานในจวนก็ไม่ได้ต้องลงแรงอันใดมากนัก
หวังทงแต่งภรรยาครั้งนี้ คนที่ไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องการจัดการภายในกลับเป็นซ่งฉานฉาน ซ่งฉานฉานแต่เล็กเป็นบุตรีขุนนาง พอถูกส่งไปสำนักคุมประพฤติหญิง คนในนั้นก็ย่อมเกรงว่าจะล่วงเกินญาติมิตรขุนนางของนาง ไม่กล้าปฏิบัติต่อนางไม่ดี
ดังนั้นจึงได้แต่เรียนศิลปะเพลงพิณ หมากล้อม ภาพวาด พู่กันจีนเป็นหลัก วันเวลาผ่านไปไม่นาน จางหานก็ได้เรืองอำนาจ ซ่งฉานฉานก็สามารถออกมาเปิดหอฉินก่วนได้
วันเวลาผ่านมาเช่นนี้ การค้าขายกับการคบค้าสมาคมกับผู้คนเป็นงานหลักทุกวันที่ซ่งฉานฉานทำ ต่อมาก็มีงานเป็นสายเก็บข้อมูลให้หวังทง
ทำผลงานไม่น้อย ไม่อาจเรียกได้ว่างานสบาย ทว่างานพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับงานบ้านงานเรือน หากเป็นงานของผู้ชาย ดังนั้นจึงมีคนหัวเราะว่าซ่งฉานฉานเป็นนายกองร้อยสำนักรักษาความสงบ เป็นคนของหวังทง แขกที่ไปหอฉินก่วน มีบางคนจึงเรียกซ่งฉานฉานว่า นายกองร้อยซ่ง เป็นเรื่องหยอกล้อเล่น
ตอนนั้นส่วนตอนนั้น ตอนนี้แต่งงานแล้ว งานการในบ้านอย่างไรก็ต้องทำ นับประสาอันใดกับซ่งฉานฉานที่เป็นหญิงอาวุโสสุด ย่อมต้องไม่ให้เสียจารีต
แต่ปัญหาก็คือซ่งฉานฉานไม่เป็น และก็เก้กังอย่างมาก กลับเป็นหานเสียที่รู้จากหานกังและจางหงอิงที่ได้ยินมา ล้วนรู้ว่าซ่งฉานฉานไม่ใช่เป็นเพียงผู้คุมหอคณิกา แต่ยังทำงานให้หวังทง
สถานะจัดลำดับเรียบร้อย หานเสียกับจางหงอิงไม่จำเป็นต้องแก่งแย่งอันใด หากเป็นซ่งฉานฉานเองที่รู้สึกแปลกๆ ไม่เป็นตัวของตัวเอง
หวังทงเองก็ไม่ไปเร่งรัด คืนแต่งงานสามสี่คืนแรกผ่านไป ก็ตามซ่งฉานฉานมาคุยส่วนตัว สามีภรรยาคุยกันย่อมเป็นความลับส่วนตัว ทว่าซ่งฉานฉานต่อหน้าหวังทงกลับมีท่าทางระวังตัว แม้ว่าอยู่กันสองคนในห้องหนังสือ แต่ก็ทำท่าทีเหมือนเมื่อก่อนตอนหวังทงถาม นอบน้อมอย่างยิ่ง
ความจริงหากเป็นเมื่อก่อน ซ่งฉานฉานยังวางตัวสบายๆ กว่านี้ต่อหน้าหวังทง แต่ตอนนี้เมื่อสัมพันธ์แนบแน่นแล้ว สถานการณ์เช่นนี้กลับระวังตัวมากกว่า
หวังทงมองท่าทีซ่งฉานฉาน ก็ได้แต่ขำ ยิ้มกล่าวว่า
“ตอนนี้เป็นคนกันเองแล้ว เจ้าวางตัวเช่นนี้เหมือนว่ากำลังถูกลงโทษ เจ้าดูหงอิงสิ สีหน้ายิ้มแย้ม ผู้ใดล้วนเห็น”
ความดีใจของจางหงอิงไม่อาจซ่อนเร้นจากสายตาผู้คนรอบข้าง ล้วนดูออกว่าดีใจมาก แต่ท่าทางเช่นนั้นก็ทำให้หลายคนรู้สึกดีกับนาง แม้ในใจคิดเพื่อตัวเองอยู่ แต่ท่าทางแสดงออกตรงๆ นี้ทำให้เห็นว่านางไม่คิดร้ายกับผู้ใด ไม่จำเป็นต้องกังวลอันใด
“ฮูหยินรองวันแต่งบอกว่า นางไหว้พระอ้อนวอนก็เพื่อขอให้ได้แต่งกับนายท่าน ตอนนี้ก็สมหวังแล้ว จะไม่ดีใจได้อย่างไร ข้าสิจึงหวาดกลัว คิดไม่ถึงว่าในวังจะจัดการเช่นนี้ นายท่านระดับกัน กลับต้องการถูกข้าดึงต่ำลงไปด้วย”
ซ่งฉานฉานพูดไปพูดมาก็กลับคุกเข่าลง หวังทงถอนหายใจกล่าวว่า
“เจ้าคิดมากไปแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ลุกขึ้นพูดเถอะ คนกันเองทำจนเหินห่างไปได้”
ในยุคนี้ ภรรรยาน้อยคุกเข่าให้สามีเป็นเรื่องปกติ แต่หวังทงเหมือนไม่รู้เรื่องนี้ พอซ่งฉานฉานยืนขึ้น หรือเพราะเป็นนางในหอคณิกาจึงรู้จักดูแลร่างกาย กอปรกับอายุไม่อาจเรียกว่ามากไป ซ่งฉานฉานยามนี้ดูเย้ายวนยิ่ง เทียบกับจางหงอิงกับหานเสียที่หัวอ่อนแล้วก็ยิ่งทำให้ดึงดูดมากกว่าอยู่หลายส่วน
พอซ่งฉานฉานยืนขึ้น หวังทงก็หยุดลอบมอง กล่าวว่า
“เจ้าแต่งมาแล้วก็ดี ข้าต้องการคนในครอบครัวที่ไว้ใจได้ช่วยข้าจัดการเรื่องสำคัญ หานเสียกับจางหงอิงยังไม่ค่อยได้เห็นโลกกว้าง เรื่องพวกนี้พวกนางทำไม่ได้ เจ้าก็ต้องช่วยแล้ว”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ซ่งฉานฉานรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่ก็ยังคงวางท่าทีระวังตัวเช่นเดิม หวังทงกล่าวว่า
“เมืองหลวง ในสำนักรักษาความสงบมีคนส่วนหนึ่งที่ข้าสั่งการได้ คนส่วนนี้รวมกับหอฉินก่วนและหอคณิกาต่างๆ และบ่อนพนันในเมืองหลวง ล้วนวางสายเอาไว้เกือบทั่ว ข่าวพวกนี้จะไปรวมกันที่สำนักรักษาความสงบ เจ้ารู้เรื่องแนวนี้ดี สามารถใช้คนพวกนี้ได้ เจ้าจัดการดูแลเรื่องพวกนี้ให้ดี”
เห็นซ่งฉานฉานตั้งใจฟัง หวังทงกล่าวต่อว่า
“สำนักองครักษ์เสื้อแพร สำนักรักษาความสงบและสำนักบูรพา ข่าวจากสายสืบทุกสำนัก ข้าเองก็รู้ได้ แต่อย่างไรก็เป็นการติดต่อกันในวงปฏิบัติงาน มีหลายเรื่องไม่สะดวกนัก ตอนนี้สถานะข้าต้องการการข่าวยิ่งมาก เจ้าเข้าใจไหม?”
ซ่งฉานฉานรีบคำนับ กล่าวนอบน้อมว่า
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
น้ำเสียงไม่เหมือนสามีภรรยาคุยกัน แต่เป็นผู้บังคับบัญชากับลูกน้อง หวังทงส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“เจ้ามาดูแลงานนี้แทนสามีเจ้า ไม่ใช่งานหลวง เรื่องสำคัญต้องมีเพียงข้าที่รู้ เจ้าเข้าใจไหม?”
ได้ยินหวังทงว่า สามีเจ้า สีหน้าเคร่งเครียดซ่งฉานฉานก็เริ่มมีรอยยิ้มหลายส่วน กล่าวอ่อนโยนว่า
“นายท่านสั่งการมา ข้าน้อยย่อมตั้งใจปฏิบัติ”
“ข้าย่อมจัดสรรเงินส่วนหนึ่งให้เจ้า เรื่องกำลังคน ก็ใช้คนของเจ้าให้มากหน่อย ต้องไว้ใจได้ อย่าให้คนอื่นยุ่งเกี่ยวท่านหยาง จางซื่อเฉียง ซุนต้าไห่ พวกเขาแม้ไว้ใจได้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเราสองคน แบ่งแยกไว้ก็ดี เสี่ยวเสียกับหงอิงก็ไม่ต้องบอก”
พอได้ยินเช่นนี้ ซ่งฉานฉานกลับรู้สึกดีใจจากก้นบึ้งจิตใจ มีงานลับที่มีแต่ตนเองที่รู้เช่นนี้ แสดงให้เห็นสถานะตนในจิตใจของหวังทง ผู้หญิงเราไม่ว่าเป็นผู้หญิงแบบใด อย่างไรก็คิดเล็กคิดน้อยอยู่บ้าง
ทว่าซ่งฉานฉานเห็นโลกมามาก สถานะในเมืองหลวงก็ไม่น้อย มีสายรอบตัวไว้ใช้งานเช่นนี้ ให้ตนเองสืบข่าวเช่นนี้ หรือทำงานส่วนตัวใดก็ตาม สถานะหวังทงตอนนี้ย่อมต้องการองค์กรเช่นนี้
คิดถึงว่าหวังทงวางใจตนเองเช่นนี้ ซ่งฉานฉานลังเลครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“มีบางเรื่อง ข้าน้อยไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”
“พูดมาตั้งมาก ข้าและเจ้าตอนนี้เป็นครอบครัวเดียวกัน มีอันใดควรพูดไม่ควรพูดกัน พูดมาได้เลย!”
หวังทงยิ้ม ซ่งฉานฉานครานี้เขยิบเข้าไปใกล้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยแตะจมูก ทว่าสิ่งที่ซ่งฉานฉานพูดนั้นกลับไม่ได้เป็นดังกลิ่นหอมเย้ายวนที่กำจายมา
“นายท่าน ราชโองการฝ่าบาทก่อนหน้ากับราชโองการที่เปลี่ยนไป ยังส่งนายท่านลงใต้ พระประสงค์นี้ต้องป้องกัน!”
ซ่งฉานฉานกล่าวจบก็มองสีหน้าหวังทง หวังทงเพียงพยักหน้ากล่าวว่า
“เจ้าว่าต่อไป”
“แต่งตั้งข้าน้อยเป็นฮูหยินติ้งเป่ยโหว เมืองหลวงพากันวิจารณ์เป็นเรื่องตลก เรื่องเช่นนี้ นายท่านย่อมไม่รู้สึกดีนัก ในวังย่อมรู้ว่านายท่านไม่รู้สึกดีนัก หากนายท่านไม่รับราชโองการ หรือมีความคิดแค้นใจใด ราชสำนักก็จะว่านายท่านเหิมเกริม คิดลงมืออีกขั้น นายท่านทำตามราชโองการ ก็ทำให้ในวังวางใจ ใช้วิธีราวละครหลอกเด็กเช่นนี้เก็บคืนราชโองการเดิม แต่ใช่ว่าไว้ใจนายท่าน ยังส่งนายท่านลงใต้อีก ทำให้นายท่านไม่อาจกุมอำนาจเมืองหลวงได้”
หวังทงมองซ่งฉานฉาน ค่อยๆ พยักหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เจ้าคิดการได้รอบคอบกว่าพวกเขา คนของเราที่นี่ส่วนใหญ่ได้แต่โมโหคิดแค้นใจ กลับไม่รู้เจตนาเบื้องหลังในเรื่องนี้ เจ้าสามารถคิดได้เช่นนี้ไม่เลวเลยจริงๆ”
“นายท่าน ตอนนี้เราควรทำอย่างไร!?”
“ทำอย่างไร ตอนนี้อะไรก็ไม่ต้องทำทั้งสิ้น ไม่ทำอะไร ข้ายังคงเป็นติ้งเป่ยโหวแผ่นดินหมิง ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร หากทำไป ก็คงได้สิ้นสูญหมด ครอบครัวแตกสลายสิ้นทันที”
หวังทงค่อยๆ กล่าวอย่างหนักแน่น
**************
“ขุนนางหกกรมกองทั้งหลาย เรามีพระราชทานเบี้ยหวัดเสริมไปมากมายเพียงนี้ ให้พวกท่านทำงานกลับลากมาถึงตอนนี้ได้ ยังต้องให้เราเลือกส่งคนไปเองอีก!”
ณ พระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสอย่างกริ้วจัด ขุนนางใหญ่พากันคำนับรับผิด ฮ่องเต้ว่านลี่กวาดสายพระเนตรมองไปรอบหนึ่งตรัสว่า
“เรื่องเช่นนี้ เราคงได้แต่มอบให้หวังทงไปจัดการจึงวางใจได้ หวังทง เราส่งเจ้าลงใต้ไปจัดการคดีนี้ เจ้ามั่นใจไหม!”
หวังทงก้าวออกมาถวายคำนับ ทูลตอบว่า
“ขอทรงวางพระทัย กระหม่อมจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้กระจ่าง”
หวังทงลงใต้ไปจัดการ กำหนดตั้งแต่งานแต่งแล้ว ตอนนี้เพิ่งมาแสดงละครเช่นนี้เท่านั้น ขุนนางใหญ่ราชสำนักได้แต่เหยียดสายตามอง
หวังทงตอบก็เป็นแค่รูปแบบ ทว่าตอนทูลตอบนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่กลับสังเกตสีหน้าหวังทง ดูว่ามีอันใดคิดป้องกันตัวผิดปกติหรือไม่ ผลก็เหมือนกับตอนที่ลอบมอง หวังทงปกติดีทุกอย่าง
หากบอกว่าคนฉลาดอยู่ในวงการขุนนางหลายสิบปี สีหน้าย่อมไม่แสดงออก สำหรับหนุ่มอายุ 20 กว่านี้ ไม่แสดงออกอันใดเลยนับว่าไม่ง่ายนัก มองไม่ออกว่าหวังทงมีอันใดต่างจากเมื่อก่อน ในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกโล่งพระทัย แต่ก็ยิ่งทรงรู้สึกที่ได้ทรงทำไปก่อนหน้า
จบเรื่อง ขุนนางออกไป หวังทงกลับถูกเรียกไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่จิบพระสุธารสชาตรัสว่า
“ลงใต้ไปครานี้ ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอันใดให้ได้ ไปเดินเล่นให้สบายใจก็พอ”
เห็นหวังทงจะถาม ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ อธิบายว่า
“เรื่องตระกูลสวียังมีอันใดต้องตรวจสอบกัน 10 -20 ปีก่อนสั่งสมมา หากสอบกันขึ้น ไม่รู้ว่าจะสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วเมืองหลวงเท่าใด ไยต้องลำบากด้วย ลงใต้ไปครานี้ก็ไปดูที่ทำการเมืองต่างๆ ที่ร่ำรวยดู ในเมื่อเทียนจินเก็บภาษีได้มากมายเพียงนี้ พื้นที่เช่นซูโจว หังโจว ไม่มีเหตุผลที่จะเก็บไม่ได้ เจ้าไปสืบให้เราหน่อย”
แดนใต้ร่ำรวยในใต้หล้า ทว่าภาษีเมื่อเทียบกับเมื่อร่ำรวยอื่นแล้ว กลับต่างกันมาก และครอบครัวขุนนางทางใต้ก็มาก ส่วนใหญ่ล้วนอาศัยตำแหน่งงดภาษี ภาษียิ่งเก็บยิ่งน้อย
หากเป็นเมื่อก่อน ฮ่องเต้ว่านลี่คงได้แต่ยอมรับเงียบๆ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเทียนจินส่งมอบเงินก้อนโตเช่นนั้นได้ ก็ทำให้ทรงรู้สึกไม่อาจยอมได้
ตอนที่ 823
คนเก่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังหวังทงมารับตำแหน่งเมืองหลวง โรงบ้านนอกเมืองก็มีคนเข้าอยู่หลายสิบคน โรงบ้านถูกคนมีเงินซื้อไป คนอยู่เดิมก็ย่อมแล้วแต่นายใหม่
คนหลายสิบคนเข้าพักในโรงบ้าน ก็มีมารยาทดี ตอนทำนาก็ลงแรงมาช่วย มีคนซ่อมเครื่องมือทำนาได้ มีคนเลี้ยงสัตว์ได้ ยังมีมักจะไปล่าสัตว์ได้ บางทีก็เข้าเมืองไปเดินสักรอบ กลับมายังมีของกินมาฝากเด็กๆ ในโรงบ้าน เรียกได้ว่ารู้งาน
คนพวกนี้แม้รู้งาน แต่ชาวโรงบ้านเดิมก็ไม่กล้าสมาคมกับพวกเขา หรือถึงขั้นไม่กล้าคุยด้วย เพราะคนพวกนี้ดูแล้วไม่เหมือนว่าเป็นคนดี รูปร่างสูงใหญ่ พูดจาเอะอะ ยังมีคนเห็นพวกเขาร่ายรำดาบในลานว่างโรงบ้านด้วย
แต่ก็มีคนรูปร่างเตี้ย แต่ก็ไม่ได้เตี้ยมากนัก เคยมีเด็กโยนถุงทรายขึ้นไปบนหลังคา ไม่รู้จะเอาลงมายังไง ร้องไห้จ้าอยู่ด้านล่าง เจ้าคนเตี้ยนั่นพริบตาก็ขึ้นหลังคาไปหยิบลง คนในบ้านยังไม่รู้ว่ามีคนขึ้นไปบนหลังคา
ชาวบ้านเมืองหลวงเห็นอะไรมาก็เรียกว่าไม่น้อย พอเห็นคนพวกนี้ ก็รู้แล้วว่าเป็นคนมีฝีมือที่ตระกูลใดเลี้ยงดูเอาไว้ ชนชั้นสูงเรื่องมากมาย ต้องการคนทำงานให้มาก เรื่องเช่นนี้ แค่เห็นก็พอ ไม่ได้ทำอันตรายใดตน รอบๆ ไม่ได้เกิดเหตุคดีอันใด ก็พูดให้น้อยหน่อยเป็นดี
หัวหน้าโรงบ้านเป็นชาวนาที่เห็นโลกมามาก เมื่อก่อนเคยดูแลที่อื่นมา รอบนอกเมืองหลวงล้วนเป็นโรงบ้านชนชั้นสูง ทุกคนทำงานให้ชนชั้นสูง ชนชั้นสูงจ้างพ่อบ้านที่รู้งานทำนามาดูแล พ่อบ้านผู้นี้ทำบ้านนี้เสร็จก็ไปบ้านนั้น สมาคมมากมาย
ในโรงบ้านหนึ่ง ผู้ที่มีสิทธิ์มีเสียงดังที่สุดก็คือหัวหน้าโรงบ้าน หัวหน้าโรงบ้านของชนชั้นสูงบางคน แม้แต่ขุนนางท้องที่ยังต้องคบค้าสมาคมด้วยความเกรงใจ
โรงบ้านเล็กนี้มีผู้ดูแลที่ทุกคนเรียกว่า ท่านเจ็ด เป็นชายวัยกลางคน หน้าตาธรรมดา ดูไม่ออกว่าแปลกอันใด หลายสิบคนนั้นพอพบท่านเจ็ดก็จะนอบน้อมเรียกว่าพี่เจ็ด หัวหน้าโรงบ้านต่อหน้าท่านเจ็ดยังต้องนอบน้อมเกรงใจ
หากต้องการตัดสินใจเรื่องใด หัวหน้าโรงบ้านก็จะไปถามท่านเจ็ด ยิ่งทำให้คนเห็นว่าสถานะไม่ธรรมดา
เห็นสถานการณ์นี้แล้ว ชาวโรงบ้านก็รู้สึกแปลก แต่ไม่รู้สึกว่า ท่านเจ็ด มีอันใดแปลก แต่พอเกิดเรื่องหนึ่ง ทำให้ชาวบ้านยิ่งเคารพและเกรงใจท่านเจ็ดมากขึ้น
ก็เป็นเรื่องเล็ก ชาวโรงบ้านไปเลี้ยงแพะ ไม่รู้ว่าคนโรงบ้านข้างๆ มาอยากได้แพะอันใด โรงบ้านนั้นว่ากันว่าเป็นกิจการของขันทีผู้หนึ่ง โรงบ้านนั้นมีนักเลงที่ไม่ทำงานทำงานอันใด ปีนั้นตอนเมืองหลวงลงโทษโบยหนักหนีกันออกมา ไม่มีความผิดใหญ่อันใด แต่ก็ไม่กล้ากลับไป
แพะตัวหนึ่งฆ่าแลกหนังเป็นเงินได้ กระดูกเอาไปต้มเป็นอาหารดีๆ สักมื้อได้ พวกนักเลงนั่นคิดอยากได้ในทันที
แต่แพะโรงบ้านจะให้ชาวโรงบ้านมาชดใช้อย่างไรไหว และหากเป็นของชาวโรงบ้านเองก็ย่อมราวกับของมีค่า จะมามอบให้คนอื่นฟรีๆ ได้อย่างไร นักเลงพวกนั้นย่อมไม่ยอม จะเอาเปรียบให้ได้
ชาวโรงบ้านอย่างไรก็ไม่กล้ามีเรื่องกับพวกนักเลง และอาจเป็นเพราะอ่อนแอเช่นนี้จึงทำให้นักเลงรังแก ถึงกับรวมกลุ่มมายังโรงบ้าน บอกว่าแพะโรงบ้านเป็นแพะของพวกเขาที่หายไป ต้องคืนมาให้หมด
วาจาชั่วร้ายเช่นนี้ผู้ใดจะยอมได้ พวกนักเลงก็กล้าลงมือเหี้ยมโหด ชาวโรงบ้านซื่อๆ ก็พากันตกใจหวาดกลัวไปหมด แต่พวกหลายสิบคนที่พึ่งมาตอนนี้ไม่อยู่กัน มีแต่ท่านเจ็ดคนเดียว หัวหน้าโรงบ้านไปเชิญท่านเจ็ดมา ในมือถือกระบอง มาถึงไม่พูดอันใด ฟาดทีเดียวล้มไปสี่คน
หากว่าลงมือไม่ทันตั้งตัวก็แล้วไป แต่ทว่าพอฟาดล้มไปสี่คน ที่เหลือกรูกันเข้ามา ยังถูกฟาดล้มลงไปหมดด้วยกระบองท่านเจ็ด พากันหนีตายออกจากโรงบ้านไป วิ่งไปปากทางหมู่บ้านได้จึงกล้าตะโกนด่าหยาบคาย
ชาวโรงบ้านจึงได้รู้ว่าเหตุใดทุกคนจึงกลัวท่านเจ็ด และมีคนกังวลว่าเป็นโรงบ้านขันที ชาวโรงบ้านต้องโดนเอาเรื่องแน่ ขันทีนั่นต้องมาหาเรื่องยุ่งยากเป็นแน่ พื้นที่เมืองหลวง ขันทีพวกนี้ไม่อาจล่วงเกินที่สุด ชาวโรงบ้านด้านหนึ่งก็เคารพท่านเจ็ดอย่างสุด แต่อีกด้านหนึ่งก็หวาดผวาไปวันๆ กลัวว่าโรงบ้านจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
ทว่าต่อมากลับไม่ได้เป็นดังที่พวกเขาคิด เริ่มแรกเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนเข้าไปในโรงบ้านนั้นจับตัวคนร้าย กวาดต้อนพวกนักเลงออกไปหมด จากนั้นโรงบ้านนั้นก็ขายให้โรงบ้านทางนี้ ยังมีหัวหน้าโรงบ้านมาดูแล พื้นที่โรงบ้านขยายเพิ่มขึ้น ย่อมดีใจกันยกใหญ่
ดีใจก็ส่วนดีใจ แต่ท่านเจ็ดมีความสามารถเพียงนั้น ก็ยิ่งทำให้คนเคารพ เด็กๆ ในโรงบ้านที่กล้าหน่อยและชื่นชมฝีมือท่านเจ็ด ก็แอบพ่อแม่ไปขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์เรียนวิชา ท่านเจ็ดก็ไม่เก็บงำวิชา สอนไปให้มากที่สุด
แม้ว่าทุกคนเคารพ แต่ทุกคนก็ยังพบว่า ท่านเจ็ดผู้นี้เหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง วันๆ เอาแต่หน้าบึ้งตึง ไม่รู้ว่าคิดอันใดอยู่
พอถึงเดือนเจ็ดอากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ก็มีชายแต่งกายเรียบร้อยขี่ม้ามาที่โรงบ้าน หาท่านเจ็ด คุยอะไรกันนั้นทุกคนไม่รู้ เห็นแต่พอพูดเสร็จ ท่านเจ็ดก็ดีใจอย่างมาก วันที่สาม ท่านเจ็ดกับพวกหลายสิบที่มาโรงบ้านทีหลังพวกนั้นก็จากไป ดูจากทิศทางแล้ว น่าจะไปไปยังเมืองหลวง
*************
“สื่อชีเป็นคนที่ข้าไว้ใจ หากเจ้ามีเรื่องสำคัญใด ก็สั่งการให้เขาไปทำได้”
ยามดึกสงัด ในห้องด้านข้างจวนหวังทง หานเสียนั่งอยู่ข้างหวังทง ด้านนอกสื่อชีกำลังคุกเข่านอบน้อม
หานเสียสีหน้าจริงจัง หวังทงยิ้ม หันไปกล่าวกับสื่อชีด้านนอกว่า
“สื่อชี เงยหน้าขึ้นมองนายหญิงเจ้า ไม่ตำหนิว่าเจ้าเสียมารยาท!”
สื่อชีโขกศีรษะ เงยหน้ามองหานเสีย ก่อนจะรีบก้มหน้าลง หวังทงถามขึ้น
“เจ้าจดจำใบหน้านายหญิงเจ้าได้แล้วใช่ไหม?”
“ข้าน้อยจดจำได้แล้ว เวลาสำคัญอย่าได้ถูกคนส่งมาหลอกได้ ให้รอบคอบไว้ก่อน”
หวังทงเอ่ยขึ้นและกวักมือเรียกน้องชายสองคนของหานเสีย หานสือกับหานเถี่ยให้เข้ามาใกล้ สองคนอายุ 11 และ 12 หลายวันนี้ติดตามฝึกฝนกับทหารติดตามหวังทง ตัวเริ่มดำ พวกเขาเองก็งง ไม่รู้ถูกเรียกตัวมาทำไม
“เงยหน้ามองอีกที วันหน้านายหญิงจะส่งเขาสองคนไปติดต่อเจ้า จำใบหน้าให้ดี!”
ได้ยินหวังทงสั่ง สื่อชีก็เงยหน้าขึ้นอีก กวาดสายตาคมมองเด็กชายสองคนรอบหนึ่ง ก่อนจะคุกเข่าต่อ หวังทงให้หานสือกับหานเถี่ยออกไป ให้สื่อชีคุกเข่าต่อ เอ่ยกับหานเสียว่า
“ฮูหยิน สื่อชีเป็นคนที่ข้าไว้ใจ ฝีมือดี สมองไว เขามีคนใช้งานได้มากมาย มอบไว้ให้เจ้าใช้งาน!”
หานเสียไม่รู้กล่าวอันใด ได้แต่พยักหน้าท่าทางจริงจัง หวังทงมองออกว่าหานเสียไม่เข้าใจ ทว่าเขาก็ไม่เร่งรีบอันใด ยิ้มกล่าวว่า
“ลงใต้ไปครานี้ ข้าจะพาสื่อชีไปด้วย เจ้าใช้งานคนของสื่อชีไปก่อน ไม่ต้องไว้ใจมากนัก สามารถให้พวกเขาช่วยเจ้าสืบข่าวได้ หรือดูแลการงานได้ ลองให้ดูแลก่อน เจ้าเป็นฮูหยินติ้งเป่ยโหว ยังเป็นฮูหยินผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ด้วยสถานะนี้ หูตาไวหน่อย ใช้คนมากหน่อย ย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอท่านพี่วางใจ”
หานเสียอายุยังน้อย หลายเรื่องยังไม่เข้าใจ แต่ทว่าก็มีท่าทีตั้งใจรับฟัง ทำให้หวังทงชื่นชมยิ่ง ไม่รู้ไม่เป็นไร ขอเพียงยอมเรียนรู้ก็พอ
“ดึกมากแล้ว ฮูหยินไปพักก่อนเถอะ!”
ให้หานเสียไปพักผ่อน พอนางออกไป หวังทงกล่าวว่า
“สื่อชี ยืนขึ้นตอบได้!”
สื่อชีรีบยืนขึ้น คำนับให้หวังทง หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ตั้งแต่ขโมยเงินมาสวามิภักดิ์ถึงตอนนี้ ก็ไม่มีเรื่องเป็นการเป็นการงานให้ทำ คงอึดอัดไม่น้อย ได้ยินว่าตอนอยู่โรงบ้านเจ้าไร้รอยยิ้มงั้นหรือ!”
“ใต้เท้า ใต้เท้าจัดการมานั้น ข้าน้อยทำตามก็พอ ไม่มีอันใดอึดอัดใจ ส่วนไร้รอยยิ้ม ก็เพราะเรื่องครอบครัว”
เห็นสื่อชีอธิบาย หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า
“ไม่มีงานทำย่อมอึดอัดเบื่อหน่าย ไร้รอยยิ้มก็ถูกต้อง ไม่ต้องอธิบาย เจ้าอยู่โรงบ้านได้เรียบร้อยดี มีความอดทน จึงเป็นสิ่งดี เจ้าควบคุมคนของเจ้าได้ไม่เลว ก็เป็นความสามารถเจ้า”
สื่อชีเป็นคนในวงการร่อนเร่หากินไปทั่วได้มาขอสวามิภักดิ์หวังทง วันเวลาก็น่าเบื่อ พวกที่มีฝีมือหลายพวกไปขอร่วมกองทัพ ไปอยู่ร่วมทัพม้าไม่น้อย พวกสื่อชีก็มีฝีมือ แต่กลับไม่อยากสู่สนามรบ
หลายคนทนเหงาไม่ไหวก็จากไปเอง สื่อชียังอดทนมาได้ หวังทงไม่ได้ใช้งานเขาเลย อยู่ติดตามในจวนได้ไม่นานก็ถูกส่งไปอยู่โรงบ้านด้านนอก ไม่มีงานอันใดให้ทำ เหมือนว่าให้เขาจัดการดูแลอบรมพวกนักเลงที่ถูกส่งมาจากเทียนจิน
พูดไปแล้ว ตอนแรกพวกพี่น้องสื่อชี ก็มีคนได้เลื่อนเป็นนายกองธงใหญ่แล้ว มีแต่เขาคนเดียวที่ไม่รู้จะยังไง ช่างน่าเบื่อสิ้นดี
ทว่าคืนนี้ได้พบหวังทง สื่อชีกลับรู้สึกคุ้มค่าที่รอคอย ใต้เท้าหวังตอนนี้สถานะสูงส่ง กลับบอกว่า สื่อชีเป็นคนที่ไว้ใจ ให้เขาจัดการเรื่องส่วนตัว ก็เท่ากับว่าไว้ใจเขาจนเขาเองยังตกใจ
หวังทงเปิดกล่องหนึ่งบนโต๊ะออก หยิบห่อผ้าเล็กๆ ห่อหนึ่งกับกระดาษหลายแผ่นส่งให้ สื่อชีรับไปยังไม่ทันดู ก็ได้ยินหวังทงกล่าวว่า
“นี่เป็นป้ายนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรซานตงกับหนังสือแต่งตั้ง ยังมีตั๋วเงินอีก 3,000 ตำลึง นายกองร้อยสื่อ ท่านรับไว้ก่อน!”
หวังทงกล่าวนิ่งๆ แต่สื่อชีกลับคำนับอย่างแรง โขกศีรษะดังหลายที อยู่ๆ ตำแหน่งขุนนางกับเงินทองก็มาพร้อมกัน เป็นรางวัลที่หนักเอาการ ให้รางวัลมากเช่นนี้ย่อมต้องใช้ประโยชน์มาก รอนานหน่อย แต่อยู่ ๆ ก็ได้มาครบ
“เมื่อก่อนเจ้าเคยอยู่เขตปกครองใต้มาก่อนหรือ?”
ตอนที่ 824
เรื่องครอบครัว เรื่องการเมือง เรื่องประเทศชาติ
โดย
Ink Stone_Fantasy
การรับคนในวงการนักเลงมาล้วนเป็นความสนใจหนึ่งของหวังทง หลังมาถึงเมืองหลวง จัดการสำนักองครักษ์เสื้อแพรแต่ละหน่วยงาน อำนาจในมือก็ขยายมากขึ้น สิ่งที่เดิมว่าจะให้คนในวงการนักเลงเป็นคนทำ ก็สามารถให้คนอื่นทำให้ได้
เทียบกับคนในระบบแล้ว คนในวงการนักเลงนั้นไม่อาจไว้ใจได้ การมีอยู่ของคนเหล่านี้ หยางซือเฉินพอรู้อยู่บ้าง และก็เคยเตือนหวังทง ว่าคนพวกนี้อันตราย ต้องระมัดระวังให้มาก
การวิเคราะห์นี้ หวังทงเองก็เห็นด้วย คนในวงการนักเลงอย่างไรก็ควบคุมยากหลายอย่าง ทว่าในเมื่อรับไว้แล้ว ก็ต้องรักษาหน้าตาตนเอง ไม่อาจตัดใจทิ้งได้ลง
วิธีการหวังทงก็คือแยกออกมาได้ก็แยกออก ให้พวกเขาได้หลอมรวมในกองทัพหรือไม่ก็หน่วยงานทางการ ให้ล้างนิสัยที่ไม่ดีทิ้ง ให้กลายเป็นคนทางการแท้จริง พวกที่ล้างนิสัยเดิมทิ้งไม่ได้ แต่ยังรับคำสั่งทำงานได้ วางใจได้ พวกนี้ก็จะส่งไปประจำร้านค้าต่างๆ ให้ใช้งาน ก็นับว่าใช้งานตามความสามารถ
ส่วนพวกที่ปรับตัวไม่ได้ ก็ปล่อยไปตามโรงบ้านแต่ละแห่ง หากทนความเหงาไม่ได้ ก็ให้พวกเขาไปเอง ไม่จำเป็นต้องเสียน้ำใจกัน
แต่สื่อชีกับคนเหล่านี้ต่างกัน เขานำคนของเขาเองมาด้วย ยังมีสถานะระดับหนึ่ง ให้พวกเขาเป็นทหาร ให้พวกเขาไปร้านค้า ย่อมไม่ใช่ที่พวกเขาต้องการ ถึงตอนนั้นสัมพันธ์ไม่อาจสานต่อ กลับเป็นความแค้นอีก ก็ได้แต่เอาไปไว้ที่โรงบ้านก่อน
แต่เวลาผ่านไป ตอนนั้นคิดเช่นนี้ ตอนนี้กลับไม่ใช่ หวังทงตามคนพวกนี้มา
คนในวงการนักเลงพวกนี้ไม่เป็นที่ใช้งานของทางการ หากหวังทงรับไว้ หวังทงเห็นความสามารถพวกเขา คนในวงการนักเลงพวกนี้ย่อมรู้ดี พวกเขาก็ย่อมทำงานให้หวังทงอย่างสุดกำลัง เพราะนอกจากนี้แล้ว พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น
**************
“หงอิง ปกติเจ้ากับน้าหม่าดูแลบ้านด้วยกัน ฮูหยินยังไม่มีประสบการณ์ เจ้าก็ต้องช่วยนางให้มาก นี่เป็นเงินห้าหมื่นตำลึง ข้ามอบตั๋วกับแหวนเงินให้เจ้าไว้ก่อน หากต้องการเงินก็ไปเขียนตัวเลขไว้บนตั๋วเงิน ประทับตราแล้วเอาไปร้านสามธาราในเมือง ทางนั้นก็จะมอบเงินให้เจ้า”
แหวนเงินที่จริงแล้วก็คือตราประทับ เพียงแต่ทำเป็นแหวนเงิน ตั๋วเงินที่หวังทงพูดถึงไม่ใช่ตั๋วเงินแบบร้านข้างนอกใช้กัน แต่เป็นตั๋วเงินที่ใช้เฉพาะร้านสามธารากับร้านค้าในเครือเท่านั้น
ทุกปีร้านสามธาราจะเก็บเงินไว้ครึ่งหนึ่งของตั๋วแลกเงิน ตั๋วนี้พิมพ์เฉพาะ ตั๋วเงินกับตราประทับตรงกัน จึงสามารถเป็นผล เบิกเงินได้
ตอนนี้คนมีอำนาจสั่งการก็มีหวังทง ไช่หนาน จางซื่อเฉียงและซุนต้าไห่สี่คนเท่านั้น แม้แต่เถ้าแก่ร้านสามธาราหลายคนหากต้องการใช้เงินก็ต้องหาเขาสี่คน
“ข้าทราบแล้ว ขอนายท่านวางใจ”
ตอนรับแหวนเงินกับตั๋วเงินมา จางหงอิงมือสั่นเล็กน้อย ห้าหมื่นตำลึงมากขนาดไหนกัน ชาวบ้านคิดยังไม่เคยคิดจะได้จับต้อง คิดไม่ถึงว่าหวังทงควักออมาให้ง่ายดายเช่นนี้
เห็นจางหงอิงระวังตัวเช่นนี้ หวังทงยิ้ม เห็นเงินสำคัญไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ขอเพียงให้ความสำคัญแล้วต้องรอบคอบ จึงจะสิ้นเปลือง ทว่าหวังทงยังกำชับอีกว่า
“ให้เจ้าดูแลเงินทอง ไม่ใช่ให้เจ้าประหยัด ที่ต้องใช้จ่ายก็ใช้จ่ายไป”
จางหงอิงพยักหน้า จางหงอิงสีหน้าดีใจใหญ่ แสดงให้เห็นว่าคิดไม่ถึงว่าหวังทงจะมอบอำนาจนี้ให้ตนเอง นางรู้สถานะตนเองดีว่าเป็นแค่ภรรยารอง
ในยุคนี้ ภรรยาเอกต่างจากภรรยาคนอื่นมาก เป็นหัวหน้าดูแลในบ้าน ภรรยารองอื่นๆ ก็เป็นเช่นสิ่งของ เจ้าบ้านชายดูแลนอกบ้าน เจ้าบ้านหญิงดูแลในบ้าน เมื่อเป็นจวนหวังทง ก็ย่อมเป็นฮูหยินติ้งเป่ยโหว หานเสีย ตามหลักแล้ว เงินทองและอำนาจการสั่งการคนในบ้านย่อมต้องเป็นหานเสียดูแลคนเดียว
ทว่าหวังทงให้อำนาจหานเสียสั่งการคน ให้ซ่งฉานฉานจัดการการข่าว มอบอำนาจการจัดการเงินทองให้จางหงอิงเรียกได้ว่าไม่เป็นไปตามธรรมเนียมที่เคยเป็นมาก
จะบอกว่าแปลก ที่จริงก็มีเหตุผลอยู่ พี่ชายหานเสียคือหานกัง ถือเป็นขุนพลทหารคนสำคัญของทัพหวังทง มีสายสัมพันธ์กองทัพไม่น้อย จางหงอิงอยู่ข้างกายนางหม่ามาโดยตลอด ช่วยหวังทงจัดการงานในจวน และซ่งฉานฉานช่วยหวังทงรวบรวมข่าว จัดการเป็นระบบมาได้ก็หลายปีอยู่
ผู้หญิงหากอยู่บ้านไม่ทำอันใด โดยเฉพาะพวกมีเงินทองมา ย่อมยุ่งยาก สามสตรีสถานะพิเศษเช่นนี้ หากให้ฝ่ายใดใหญ่ กุมอำนาจมากไป ก็ล้วนส่งผลต่อการสมดุลระบบงานของหวังทงทั้งระบบ ก่อให้เกิดความวุ่นวายได้ เช่นนั้นย่อมเป็นสิ่งที่หวังทงไม่อยากเห็น
นอกจากนี้ ให้ภรรยาตนเองได้กุมความกำลังบางส่วนไว้บ้าง ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหวังทง อย่างไรตอนนี้คนนอกก็จับตาดูหวังทงอยู่มาก
นี่เป็นเพราะเป็นเรื่องในครอบครัวหวังทง หากเป็นคนอื่น เกรงว่าคงมีเรื่องกันไปแล้ว หานเสียมีเพียงพี่ชาย และอายุยังน้อย รู้ไม่มาก จางหงอิงต้องการไม่มาก ก็แค่แต่งให้ชนชั้นสูง ซ่งฉานฉานก็รู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะสมกับหวังทง จึงยอมให้ทุกอย่าง
ด้วยสถานะเช่นนี้ของสตรีทั้งสาม ดังนั้นหวังทงจึงสามารถแบ่งความรับผิดชอบให้พวกนางไปทำได้ ตกดึกตอนนอนหวังทงเองก็รู้สึกขำ เห็นๆ ว่าเป็นสามีภรรยา ทำจนราวกับกองทหารกับที่ทำการไปได้ สมดุลอำนาจ ช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อนัก
*************
จัดการเรื่องในครอบครัวเสร็จ ก็เดือนเจ็ดแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงมีราชโองการให้หวังทงก่อนกลางเดือนเจ็ดลงใต้ไปตรวจสอบคดี ก็ควรออกเดินทางได้แล้ว
แต่ตั้งแต่กำหนดให้หวังทงลงใต้ไปสอบคดีเรื่องตระกูลสวีเมืองซงเจียง ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ทรงร้อนพระทัยอีก เดือนหนึ่งมานี้ไม่ว่าหวังทงเข้าประชุมขุนนางหรือเข้าเฝ้าส่วนพระองค์ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ทรงเอ่ยเรื่องนี้ ไม่เคยทรงเร่งรัด
ท่าทีนี้หวังทงเองก็เข้าใจ ขุนนางทั้งหลายก็เข้าใจ อย่างไรหวังทงรับคำแล้วว่าจะลงใต้ไปจัดการคดีตระกูลสวีเมืองซงเจียง ทุกอย่างก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
“สวีเจี้ยสร้างความชอบใหญ่ต่อแผ่นดินหมิง หยั่งรากลึกในวงขุนนาง เจ้าลงใต้ไปตรวจสอบคดีนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ถึงที่สุด พอเป็นพิธีก็พอ”
แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ยังตรัสเช่นนี้ ผู้ใดล้วนรู้ว่าคดีนี้จะตรวจสอบอย่างไร ยกให้สูงไว้ แล้วค่อยๆ ผ่อนลงเท่านั้น
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงมีท่าทีกับหวังทงเปลี่ยนไปมา คนรอบๆ ยังคงงง ไม่แน่ใจ ต้นเดือนเจ็ด มีคนยื่นฎีกาว่าเทียนจินตอนนี้เป็นพื้นที่สำคัญ แต่สถานะเท่ากับทหารดูแล อำนาจขุนนางบุ๋นน้อย ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมราชสำนัก ขอให้ราชสำนักส่งขุยยางไปจัดการเทียนจิน
วันรุ่งขึ้นที่ยื่นฎีกา ขุนนางนั้นก็ถูกปลดและเนรเทศ ความผิดหนักหนามากว่า ——คิดการไม่ซื่อ และ ทำให้ราชสำนักปั่นป่วน เนรเทศไปยังเหลียงโจว
ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าจะรุนแรงเพียงนี้ จัดการอย่างรวดเร็ว ถึงกับแม้แต่ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวยังไม่ทันได้ส่งเสียงช่วยเหลือ
ทุกคนคิดไม่ถึง เพราะว่าเนื้อหาฎีกาไม่ได้รุนแรง แม้พูดผิดไป ก็แค่ทิ้งค้างไว้หรือตำหนิ แต่อย่างไรก็ไม่ควรถึงขั้นเนรเทศไปเหลียงโจว การลงโทษนี้เคยมีมาในตอนที่จางจวีเจิ้งไม่ไปไว้ทุกข์บิดา ขุนนางบัณฑิตที่ส่งเสียงเรียกร้องในตอนนั้นโดนโทษนี้
การลงโทษรุนแรงนี้เห็นได้เรื่องหนึ่งว่า ฮ่องเต้ว่านลี่อาจต้องการชดเชยให้หวังทง หรืออาจจะรู้แล้วว่าหวังทงจงรักภักดี ต้องทรงไว้พระทัยอย่างไรข้อสงสัยทั้งมวล
ไม่เพียงแต่รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถงถูกปลดไปแล้ว กอปรกับหวังทงได้เลื่อนตำแหน่ง สำนักองครักษ์เสื้อแพรพริบตาเดียวก็มีตำแหน่งรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรว่างสองตำแหน่ง เป็นอำนาจที่ขาดหายไป ตอนนี้ขุนนางจำนวนมาก แต่ตำแหน่งกลับน้อย พริบตาว่างสองตำแหน่ง ทุกคนย่อมจ้องกันตาเป็นมัน
“หวังทงดูแลองครักษ์เสื้อแพรคนเดียวก็พอแล้ว หากจะมาเพิ่มอีกสอง ก็ยุ่งยากกว่าปกติเพิ่มขึ้น หากต้องเพิ่มจริง ให้หวังทงเป็นคนเลือกเองละกัน!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทำเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความไว้พระทัยในหวังทง ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่มีรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรช่วยงาน อาจยุ่งสักหน่อย แต่ทว่าก็ปกครองง่าย อำนาจมาก
หวังทงย่อมใช่ว่าไม่ตั้งรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร และย่อมไม่เลือกเอง เขาย่อมทำตามระเบียบส่งตัวเลือกของตนขึ้นไปให้ฮ่องเต้ว่านลี่พิจารณา
นายกองพันหลี่เหวินหย่วนสำนักรักษาความสงบได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร อีกตำแหน่งว่างไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่พิจารณาแล้ว ตำแหน่งนี้เลือกคนมาได้สมดุลอำนาจพอดี ฮ่องเต้ว่านลี่สามารถได้ใจหัวหน้ากองกำลังหู่เวยอย่างหลี่หู่โถว หลี่เหวินหย่วนผู้นี้ก็เป็นผู้ที่หวังทงไว้ใจ ทุกคนรับได้
ต้นเดือนเจ็ด เมืองจี้โจวก็มีข่าวทุ่งหญ้านอกด่านมา เผ่าเคอเอ่อชิ่นที่ถอยออกจากตัวหลุนไปกลับมาอีกแล้ว เริ่มกลับเข้าครอบครองทุ่งหญ้างามใหม่อีกรอบแล้ว
ตอนนี้มาพักบำรุงกองทัพที่นี่ รวบรวมเผ่าเล็ก เผ่าเคอเอ่อชิ่นก็ย่อมค่อยๆ ฟื้นคืน เขากับทัพเมืองเหลียวโจวสู้กันนั้นทำลายกำลังไปมากจริง
หวังทงยกทัพยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงทำลายเผ่าอันต๋า หลี่เฉิงเหลียงยกทัพออกศึกทหารมากกว่าหวังทง ยังมีความช่วยเหลือต่างๆ ผลการรบเช่นนี้เรียกได้ว่าห่างชั้นกัน เทียบกันแล้ว ผลงานที่หวังทงได้รับมานั้นระดับขนาดไหนกัน ไม่พูดก็ย่อมรู้กันเองแก่ใจ
การเปรียบเทียบเช่นนี้ ทำให้คนได้แต่เป็นใบ้ไร้วาจา ขุนนางราชสำนักล้วนเงียบกริบ ก่อนหน้าที่สรรเสริญยกย่อง ทัพเมืองเหลียวโจวเบาลงไม่น้อย ตอนนี้นั้น ยิ่งสรรเสริญเมืองเหลียวโจว ก็เท่ากับยิ่งยกหวังทงให้สูงขึ้น
*************
“ท่านหยาง เรื่องในและนอกสำนักองครักษ์เสื้อแพร หารือกับพี่หลี่และใต้เท้าหลี่ว์ให้มากๆ พวกเขาสองคนย่อมช่วยอย่างเต็มที่”
“ขอใต้เท้าวางใจ .”
เข้าสู่เขตเมืองทงโจวแล้ว เป็นท่าเรือต้นทางคลองส่งน้ำแล้ว หวังทงกำลังร่ำลากับบรรดาคนที่มาส่ง หยางซือเฉินรับคำสั่ง หลี่ว์วั่นไฉกล่าวว่า
“เรื่องสำคัญในสำนักองครักษ์เสื้อแพรอย่างให้ต้องให้น้องหวังตัดสินใจ ม้าเร็วไปรายงาน คงไม่ชักช้าเสียการอันใด”
หวังทงยิ้มพยักหน้า หลี่เหวินหย่วนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ใต้เท้า ทางใต้เกรงว่าคงรู้ข่าวใต้เท้าจะไปแล้ว ไปครานี้ เกรงว่าคงไม่ราบรื่น”
“คงไม่ใช่แค่เกรงว่า แต่คิดว่าทางนั้นย่อมรู้แล้ว”
หวังทงยิ้มกล่าว
ตอนที่ 825
แผ่นดินหมิงประกอบด้วยสองนครคือปักกิ่งและหนานจิง และสิบสามมณฑล นับรวมเมืองฐานทัพทหาร เรียกได้ว่าประชากรมากมหาศาล แผ่นดินกว้างใหญ่
ในยุคสมัยนี้ พื้นที่ใหญ่เช่นนี้ทำให้เกิดปัญหาการข่าวไม่รวดเร็ว เมืองหลวงยังมาอยู่ตอนเหนือของแผ่นดินหมิง ฮ่องเต้เฝ้าป้องกันประตูสู่แผ่นดินอยู่ตอนเหนือ แต่ก็ย่อมมีปัญหายุ่งยาก ก็คือเมืองหลวงส่งข่าวไปยังที่ต่างๆ ต้องใช้เวลานาน อย่างไรม้าเร็วก็มีความเร็วที่จำกัด
นี่ก็เป็นเหตุว่าทำไมนครหนานจิงจึงมีหกกรมกองแห่งหนานจิง ตั้งเสนาบดีกรมทหารหนานจิง ขันทีแห่งหนานจิงและผู้ตรวจการใหญ่แห่งหนานจิงสามตำแหน่งใหญ่ นับว่าตั้งศูนย์กลางแล้ว จะได้ไม่เป็นเพราะการข่าวล่าช้า ทำให้เสียระบบการปกครองทางใต้ไป
ข่าวเมืองหลวงไปหนานจิง ลงใต้ไปยังเมืองต่างๆ ก็มีม้าเร็วออกจากเมืองหลวงไป เพียงแค่เปลี่ยนม้า วิ่งไม่หยุด อย่างเร็วสุดก็ราวสิบกว่าวัน
งานบริหารแผ่นดินหมิง 11 วัน ก็หมายความว่า ส่งข่าวไปหนานจิง 11 วันเรียกว่าปกติ
ทว่าเมืองหลวงนั้นขุนนางมากมายมาจากใต้ การบริหารงานเมืองหลวงเกี่ยวพันกับทางใต้มากมาย สินค้าขนส่งทางคลองส่งน้ำมาจากทางใต้จำนวนมาก
ทางการ ทางการค้า เรื่องราวการเมืองการปกครองและเงินทองมากมายต้องส่งไปมาตลอด แต่เรื่องค้าเกลือแม่น้ำไหวเหอเหนือใต้ที่รุ่งเรืองใต้หล้านี้ กรมอากรให้ความสำคัญกับข่าวเรื่องเกลือมากที่สุด หากมีการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยก็หมายถึงเงินทองเข้าออกแสนหรือเป็นล้านตำลึง จะไม่ใส่ใจได้อย่างไร
ใช้ม้าที่ดีที่สุด ระหว่างทางไม่ให้มีการขวางกั้นใดๆ ระยะสามสิบลี้เปลี่ยนม้า ให้ม้าได้รักษาระดับความเร็วที่สุดมุ่งหน้าไปยังเมืองหลาง จากเมืองหลวงไปหนานจิงเร็วสุดก็ 8 วัน ว่ากันว่า 6 วันครึ่งก็ถึงได้
เส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางหลวง แต่เป็นเส้นทางที่คหบดีแดนใต้ลงขันกันสร้างขึ้น การค้าเกลือสองฝั่งน้ำ ตระกูลใหญ่แดนใต้ และอีกหลายฝ่ายล้วนได้รับประโยชน์
หวังทงจัดการเทียนจินมาสามปี จึงได้สร้างเส้นทางการส่งข่าวม้าเร็วจากเมืองหลวงไปเทียนจิน แต่พวกตระกูลใหญ่แดนใต้มีมาสองร้อยปีแล้ว
ข่าวใด ๆ ของราชสำนัก เมืองเป่าติ้งและเมืองเจิ้นติ้งที่ใกล้กับเมืองซุ่นเทียนย่อมต้องรู้ แดนใต้ก็ย่อมต้องเข้าใจกระจ่างเช่นกัน ถึงกับรู้เรื่องตระกูลสวีเมืองซงเจียงรุกครองที่นาคดีนี้ ตอนนี้ได้เกี่ยวพันถึงตระกูลใหญ่แดนใต้ เป็นตัวแทนของตระกูลใหญ่แดนใต้ไปเสียแล้ว คนไม่น้อยจับตาดูเรื่องนี้
เดือนหกหวังทงแต่งงานตามราชโองการ ตอนนี้กลางเดือนเจ็ดก็ออกจากเมืองหลวง แดนใต้จะไม่รู้ได้อย่างไร อย่างไรก็คงกระจ่างใจในท่าทีของฮ่องเต้ว่านลี่ หวังทงย่อมไม่ร้อนใจ
อย่างไรก็งานหลวง เช่นนี้ก็ทำไปตามงานหลวง ไปขึ้นเรือที่ทงโจว ล่องแม่น้ำลงใต้ ถึงตอนนั้นข้ามไปถึงแม่น้ำทางใต้ เส้นทางก็ราว 20 วัน ผ่อนคลายสักหน่อย
คนเมืองหลวงมาส่งไม่มาก ก็แค่หลี่เหวินหย่วนและหลี่ว์วั่นไฉกับคนสนิทอีกไม่กี่คน กำชับไปสองสามคำ ทุกคนก็กลับไป
ครั้งนี้ทหารติดตามหวังทงย่อมไปด้วย แต่หม่าซานเปียวให้อยู่เมืองหลวง ตอนนี้หม่าซานเปียวได้ตำแหน่งรองนายกองพันในสำนักองครักษ์เสื้อแพร หยางซือเฉินเป็นบัณฑิตทำอะไรไม่สะดวกนัก มีหม่าซานเปียวที่มีฝีมือไว้ข้างกาย ย่อมช่วยงานได้ไม่น้อย
จากทงโจวล่องเรือไปเทียนจิน หากทุกอย่างราบรื่นดี ก็ราวสามวันสองคืน หวังทงนำเรือไปด้วยทั้งหมด 13 ลำ ทหารร้อยกว่านายพร้อมอาวุธครบ เรียกได้ว่าอลังการอยู่
ด้วยความเคยชินของหวังทง ข้างกายไม่มีบ่าวรับใช้ ล้วนเป็นทหารติดตามดูแล ทว่าครานี้กับไม่เหมือนทุกครา มีบ่าวในชุดครามติดตามมาราวห้าคนมาช่วยงานยามอยู่บนเรือ
ทหารติดตามนอกจากถานต้าหู่และถานเอ้อร์หู่กับพี่น้องเขาไม่กี่คนแล้ว ที่เหลือล้วนผลัดเวรกัน มีคนมาอยู่ไม่นาน เห็นหวังทงนำคนใช้มาด้วยก็ตกใจ แอบวิพากษ์วิจารณ์
“ใต้เท้าเราเริ่มทำตัวเหมือนคนอื่นแล้ว!”
ทว่าถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่กลับจำหนึ่งในคนรับใช้ได้ เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง ตอนแรกที่หวังทงกลับเมืองหลวง โดนขโมยของไปอย่างไม่รู้ตัว ก็คือสื่อชี เขาอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
*************
“เรียนใต้เท้า ข้าน้อยไม่ค่อยคุ้นกับแดนใต้”
วันนั้นหวังทงถามสื่อชีเรื่องแดนใต้ สื่อชีตอบเช่นนี้ กว่าจะมีโอกาสได้แสดงความสามารถ อย่างไรก็ต้องพยายามแสดงออกให้มาก แต่ทว่าสื่อชีกลับตอบความจริง
“ใต้เท้า แดนใต้คหบดีมาก ลงมือยาก พวกคหบดีนั่นยังมีสายสัมพันธ์กับขุนนาง หากไม่มีก็ย่อมไม่กล้าทำการค้าที่นั่นกัน……”
ตามสื่อชีว่ามา สองฝั่งแม่น้ำสามารถลงมือได้ก็เป็นพวกพ่อค้าเกลือ คหบดีใหญ่ล้วนเลี้ยงดูพวกมีฝีมือไว้ นั่นเป็นงานที่ดีอันดับหนึ่งของพวกนักเลง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสายสัมพันธ์กับขุนนาง หากล่วงเกินเข้า ทั้งฝ่ายทางการและฝ่ายนักเลงก็ย่อมร่วมมือกันมาสังหารทิ้งเป็นแน่ เรียกได้ว่าไม่อาจหนีได้พ้น
ส่วนเรื่องเส้นทางจากหนานจิงไปหังโจว มีแต่ชาวบ้านครอบครัวเล็กๆ ไม่มีเงินทองอันใด หากลงมือกับตระกูลใหญ่ ไม่ทันระวังล่วงเกินคนใหญ่คนโตเข้า ไม่ต้องพูดถึงว่าในจวนนั้นมีผู้คุ้มกันมากเท่าไร จวนแดนใต้ทั้งหมดส่วนใหญ่ล้วนอาจแตกตื่นไปหมด ก็เท่ากับไร้หนทางหนี หมดสิ้นหนทาง
ตอนนั้นสื่อชีหากินอยู่แถวซานตงกับเหอหนาน ยังมีอีกพวกร่วมกันกับเขาลงใต้ ไปก่อคดีที่ฉางโจวไว้ ตุ๋นตระกูลหนึ่งไปหมื่นตำลึงได้ เดิมคิดว่าได้มาครอบครองแล้วสามารถเสพสุขร่ำสุราสบายใจ หลบซ่อนอยู่หลายเดือน สุดท้ายออกไปสำราญกันที่แม่น้ำฉินไหว เดิมคิดว่าที่หนานจิงนี่ปลอดภัย คิดไม่ถึงว่ากำลังอยู่บนเรือก็โดนจับกุม กลับไม่ส่งทางการ หากนำส่งออกไปนอกเมือง
ลงโทษศาลเตี้ยหั่นเป็นหมื่นชิ้น จากนั้นก็โยนไปเล้าหมูถูกแทะจนเกลี้ยง นี่ก็คือการจัดการ โหดเหี้ยมมาก คนพวกนี้ใช้เงินไปส่วนหนึ่ง ยังถูกคนส่งคนไปที่บ้าน ถึงกับสังหารครอบครัวหมดสิ้น
เรื่องนี้ใช่ว่าแค่คดีเดียว ได้ยินมากเข้า สื่อชีเองก็กลัว ไม่กล้าไปแตะต้องพิษร้ายเช่นนี้ พูดถึงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง พวกนี้ยอมล่วงเกินทางการ แต่กลับไม่กล้าแตะต้องตระกูลใหญ่แดนใต้พวกนี้
ตามที่สื่อชีกล่าวมา กอปรกับความเข้าใจของหวังทง แดนใต้นี้ ใหญ่สุดไม่ใช่ทางการ หากเป็นตระกูลใหญ่
นอกจากสื่อชีว่ามาแล้ว หวังทงในฐานะผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็พอเข้าใจเรื่องราวอยู่มาก เรื่องนี้ก็เพราะว่าการสอบขุนนางทำให้ตระกูลใหญ่ไม่เพียงแต่วางอำนาจเหิมเกริม หากในราชสำนักก็ยังค่อยๆ เป็นพวกเดียวกันกับพวกเขาอีกด้วย
ตั้งแต่เหยียนซงล้ม ขุนนางในราชสำนักก็เริ่มมาจากแดนใต้กันมาก และหลายเมืองแดนใต้ในเขตปกครองใต้ก็มาก พวกเขาย่อมให้การสนับสนุนกันและกัน ช่วยเหลือกัน เริ่มค่อยๆ กลายเป็นพรรคพวกกัน
ทางการมีพรรคพวกเช่นนี้ มีความสัมพันธ์เช่นนี้ ค่อยๆ เสริมสร้างฐานอำนาจตนเองให้ใหญ่ขึ้น พวกที่ไม่เกี่ยวกันก็จะระวัง ไม่กล้าล่วงเกิน
บางทีตั้งแต่สมัยฮ่องเต้หลงชิ่งมา แต่ละเมืองแดนใต้มีเพียงขุนนางที่มาจากเมืองเดียวกันรวมตัวกัน แต่เวลาผ่านไป มีคนก็คิดเห็นถึงผลประโยชน์ทางการเมือง ขอเพียงมีคนออกหน้าให้ร่วมกันเป็นหนึ่งได้ ก็ย่อมมีโอกาสเป็นพรรคพวกเดียวกันได้จริง
ตามที่หวังทงรู้มา คนเช่นนี้ปรากฏตัวแล้ว ก็คือกู้เซี่ยนเฉิงกับหลี่ซานไฉ สองคนแม้ว่าไม่ใช่ตำแหน่งขุนนางใหญ่ แต่ในเมืองหลวงทรงอิทธิพลมาก ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวและขุนนางระดับล่างต่างก็ได้รับอิทธิพลไปด้วย
เพราะทุกคนร่วมพลังกันยื่นฎีกา ร่วมกันมากหลายคน ร่วมกันรุกถอย เคลื่อนไหวมีจังหวะ ย่อมกลายเป็นพลังเหนียวแน่น รู้ผลดีของการรวมตัวเป็นพรรคพวกกัน
ปีนี้มีขุนนางจากหูโจวยื่นฎีกา ขุนนางจากซูโจว อู๋ซีและฉางโจวก็รวมกำลังออกหน้า ส่งผลต่อการสอบบัณฑิตและการรับขุนนางของกรมปกครอง ตอนนี้ไม่ว่ารับบัณฑิตหรือขุนนาง ล้วนค่อนข้างไปทางสามแหล่งนี้ นานวันเข้า เกรงว่าแผ่นดินหมิงคงเป็นแผ่นดินหมิงของสามเมืองนี้แล้ว
เมื่อก่อนหวังทงย่อมไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ท่าทีตอนนี้ก็ไม่สนใจเท่าไร ขุนนางพรรคพวกพวกนี้ตอนนี้โจมตีหวังทงรุนแรงสุดก็คือเรื่องป้ายสงบสุขและเรื่องมาตรการต่าง ๆ ในเทียนจิน
เหตุผลก็ง่ายมาก ผลประโยชน์พวกเขาสะเทือน ทุกปีอาศัยตำแหน่งขุนนางได้รับการยกเว้นภาษี ซื้อของมาขายเมืองหลวงกำไรมาก ร้านค้าในเมืองหลวงล้วนเกี่ยวข้องกับขุนนาง ตั้งด่านภาษีกับป้ายสงบสุขทำให้พวกเขาเหมือนโดนเฉือนเนื้อ
เปิดเส้นทางทะเลยิ่งยุ่ง จากแดนใต้ไปเหนือสินค้ามากมาย จากแดนใต้ขนออกสู่ท้องทะเล จากนั้นค่อยมาทางคลองส่งน้ำเข้าเมืองหลวงปลอดภาษี ตอนนี้เทียนจินเปิดทะเล ก็เท่ากับเดิมสินค้าจากใต้สามารถไปขายเทียนจินได้โดยตรง ทำให้รายได้แดนใต้น้อยลงไปมาก
ตั้งแต่เปิดทะเลมา เทียนจินกับหวังทงก็ถูกขุนนางใต้และขุนนางจากใต้โจมตีหนัก สาเหตุก็เพราะหวังทงกับเทียนจิน ทำให้ขุนนางแดนใต้ในราชสำนักโดยเฉพาะจากซูโจว อู๋ซี และฉางโจวรวมตัวกันเร็วยิ่งขึ้น และลึกซึ้งแนบแน่นยิ่งขึ้น
แต่พวกเขาจะโหวกเหวกอย่างไรก็ไร้ความหมาย ไม่ว่าหวังทงได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกัน ทุกปีล้วนมีเงินส่งเข้าวังก้อนโต สามารถทำให้ในวังและพระญาติได้ทำการค้ากำไรใหญ่ ที่เช่นนี้ จะยกเลิกได้อย่างไร พวกเจ้าต้องการกำไร คนอื่นก็ต้องการกำไร
***********
เทียบกับตอนไปเมืองหลวงอย่างเงียบเหงาแล้ว ตอนหวังทงมาถึงท่าเรือเทียนจิน เรียกได้ว่าครึกครื้นมาก เรือหวังทงเพิ่มเข้าสู่แม่น้ำในเทียนจินก็มีเรือมารอรับแล้ว
เดือนเจ็ด น้ำในคลองส่งน้ำก็เชี่ยวมากที่สุด เรือย่อมค่อยๆ แล่น แต่วันนี้เรือแน่นขยัด หรืออาจหยุดนิ่งบ้างที่ปลายน้ำ ให้ขบวนเรือหวังทงผ่านไปก่อน
ไช่หนาน หลี่หู่โถวกับซุนต้าไห่และนายกองเหรินย่วน ก็มาตอนรับบนเรือ พอมาถึงท่าเรือ หัวหน้าแต่ละสายงานของหวังทง พ่อค้าเทียนจินทั้งหลาย และบรรดาขุนนาง ตัวแทนราษฎร ก็ล้วนมารอกันอยู่พร้อมหน้า เสียงกลองดังกระหึ่มก้องฟ้า ประดับประดาด้วยผ้าแดงไม่ต้องพูดถึง
หวังทงในชุดเครื่องแต่งกายติ้งเป่ยโหวก้าวออกจากเรือ กำลังจะลงจากเรือ ก็มีเสียงประทัดดัง บรรดาขุนนางและผู้มีตำแหน่งพากันคำนับ พวกชาวบ้านพากันคุกเข่าลง
“อย่างไรบ้านเกิดก็ดีกว่า!”
หวังทงพึมพำเบาๆ
ตอนที่ 826
ในยุคสมัยนี้ หวังทงเติบโตมาในเมืองหลวง ช่วงหนึ่งได้ไปอยู่มาเก๊ามาครึ่งปี เทียนจินราวห้าปี ส่วนใหญ่ก็อยู่เมืองหลวง
แต่เมื่อผ่านมาหลายเรื่อง พอมองเห็นท่าเรือกับความรุ่งเรืองไกลๆ นั่นแล้ว หวังทงกลับรู้สึกเหมือนคุ้นเคยยากอธิบาย
หรือเพราะว่าเจริญมาก คนมาก โรงช่างต่างๆ ก็มาก เทียนจินช่วงคลองส่งน้ำจึงค่อนข้างสกปรก แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังมืดมัวไปหมด พูดให้ดีก็คือ เทียนจินเหมือนจะเป็นสถานที่มลพิษมากไปสักหน่อยแล้ว แต่หวังทงกลับไม่รังเกียจ กลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ความสกปรกนี้ไม่ได้แสดงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ไม่ได้แสดงถึงความล้าหลัง หากแสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง และความเจริญรุ่งเรืองนี้ก็เป็นเขาสร้างขึ้นมาด้วยสองมือเขาเอง
“พี่หวัง ชาวเทียนจินต่างรอการมาของพี่หวัง มาเตรียมตัวกันนานแล้ว!”
หลี่หู่โถวในชุดเกราะทหาร มายืนหลังหวังทงท่าทางองกาจ ยิ้มกล่าวกับหวังทง หลี่หู่โถวตอนนี้เป็นแม่ทัพใหญ่กองกำลังหู่เวยแล้ว ขุนพลเมืองจี้โจวก็ย่อมอยู่ใต้อำนาจเขาโดยปริยาย เป็นตำแหน่งสูงสุดเทียนจิน อำนาจมากกว่าขุนนางบู๊ทั้งมวล
“ใต้เท้าลงจากเรือได้แล้ว!”
ไช่หนานยิ้มกล่าว เห็นคนด้านล่างพากันตื่นเต้น พวกเขาที่ดูแลเทียนจินก็พลอยได้หน้าได้ตาไปด้วย
หวังทงพยักหน้ายิ้มเดินลงจากเรือ กองตรวจการเทียนจิน กองเสบียงทหารเทียนจิน ขุนพลทหารเทียนจิน แม้แต่ผู้ว่าศาลชิงจวินและขุนนางบุ๋นบู๊คนสำคัญทั้งหลาย พอเห็นหวังทงลงมา ก็พากันคำนับพร้อมกัน กล่าวว่า
“คารวะท่านโหว!”
ไม่นับสถานะผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร สถานะติ้งเป่ยโหวก็เรียกได้ว่าสูงส่งมากแล้ว เดิมตอนหวังทงอยู่เทียนจิน กองตรวจการและกองเสบียงยังมีเรื่องกับหวังทง ตอนนี้กลับยอมศิโรราบ ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว
หวังทงทักทายอ่อนโยน ตามมาด้วยคนในกองกำลังหู่เวย ถานปิง ลี่เทา ซุนซิง เฉินต้าเหอและมู่เอินก็คำนับแบบทหาร จากนั้นก็เป็นพ่อค้ามีหน้ามีตาในเทียนจิน คนพวกนี้ต่อหน้าหวังทงก็ไม่มีคุณสมบัติพอจะยืนคำนับ หากต้องคุกเข่าโขกศีรษะ
ทักทายกับคนด้านหน้าท่าทีเกรงใจหลายคำ กับบรรดาพ่อค้าหวังทงพูดด้วยมากหน่อย ถามว่าระยะนี้การค้าเป็นเช่นไร คุยหลายเรื่องสักหน่อย ทำให้พวกพ่อค้ารู้สึกได้รับความสนใจจนซาบซึ้งยิ่ง รู้สึกสนิทกันขึ้นมาอีกหลายส่วน
เพราะครั้งนี้งานหวังทงอยู่ที่เมืองซงเจียง มาเทียนจินก็เพียงเพื่อพักแรมสองสามวัน ดังนั้นจึงไม่ได้มีพิธีการมากมายอันใด การต้อนรับก็ล้วนมาจากใจ ตอนกลางวันให้จางฉุนเต๋อร้านสามธาราออกหน้าเป็นเจ้าภาพหาร้านอาหารหลายร้านที่ใหญ่ที่สุดริมแม่น้ำทะเลจัดเลี้ยงบรรดาแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย
ตอนขาไปร้าน หวังทงขี่ม้า หลี่หู่โถวขี่ม้าตาม ให้คนรอบๆ ถอยห่างออกไป เขยิบเข้าไปใกล้กล่าวว่า
“พี่หวัง ฝ่าบาทจัดการเรื่องนั้นได้น่าโมโหจริง เรื่องนี้ข้าก็พอเข้าใจ เป็นเพราะพี่หวังมีความชอบใหญ่ ……ไม่พูดเรื่องน่ารำคาญใจพวกนี้แล้ว พี่หวัง หากอยู่เมืองหลวงไม่สบายใจ ก็กลับมาเทียนจินเรา ถึงตอนนั้นเราพี่น้องก็ขอติดตามพี่หวังทงเหมือนเดิม เทียนจินตอนนี้เป็นอันดับหนึ่งของสถานที่รุ่งเรืองการค้าในใต้หล้า มาอยู่กันทางนี้ ไม่ได้มีความสุขน้อยไปกว่าเมืองหลวงหรอก!”
หวังทงยิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า
“สถานะข้าตอนนี้ บอกว่าไปก็ไปได้อย่างไร มีบางคำพูด เจ้าก็อย่าได้พูดอีก ตอนนี้เจ้าสถานะใดแล้ว วาจาพวกนี้เป็นเรื่องต้องห้าม ถูกคนได้ยินเข้า ย่อมนำความยุ่งยากมาสู่เจ้า!”
ระหว่างหวังทงกับหลี่หู่โถว คุยกันไม่ต้องปิดบังอันใด สั่งสอนกันก็ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ หลี่หู่โถวยกมือเกาศีรษะ กล่าวงง ๆ ว่า
“ไช่กงกงก็กล่าวกับข้าเช่นนี้ ยังว่าติดตามพี่หวังตอนแรกดีมาก ไหนเลยต้องคิดมากเช่นนี้ ตอนนี้ตำแหน่งใหญ่แล้ว ทำอะไรก็น่ารำคาญใจมาก!”
“คนเราล้วนต้องเติบใหญ่!”
หวังทงทอดถอนใจ ม้าวิ่งทะยานอยู่ เสียงที่คุยกันคนข้างๆ ย่อมอาจไม่ได้ยิน หลี่หู่โถวอึ้งไปเอ่ยถามขึ้น
“พี่หวังพูดอะไรนะ?”
หวังทงยิ้มส่ายหน้า ไม่ได้กล่าวต่อ พอมาถึงร้านอาหาร ก็มีพวกผู้คุ้มกันรอรับม้า หวังทงกับหลี่หู่โถวลงจากหลังม้าหวังทงกล่าวว่า
“หู่โถว กองกำลังหู่เวยมีคนไม่น้อยเป็นทหารมาเกือบเจ็ดปีแล้ว พวกนั้นที่ไม่มีหวังได้เลื่อนยศ ก็ให้ทำตามแบบเมื่อก่อนของเรา ให้พวกเขาออกจากกองทัพไปสร้างครอบครัวได้”
ได้ยินเช่นนี้ หลี่หู่โถวเงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“พี่หวัง พวกทหารสูงวัยในกองทัพล้วนเป็นกำลังหลัก ครั้งก่อนเมืองกุยฮว่าเฉิงก็ทิ้งไว้ส่วนหนึ่งแล้ว ครั้งนี้หากให้ลาออกอีก กำลังรบเกรงว่าจะ…….”
“มีระเบียบการฝึกอยู่ มีอาวุธชั้นดีอยู่ มีเบี้ยหวัดเพียงพออยู่ ขุนพลหลักไม่เปลี่ยน กำลังหลักยังอยู่ แม้มีทหารใหม่เข้ามาก็คงร่วมกองทัพได้อย่างรวดเร็ว คนพวกนี้ในทัพเราเป็นคนในพื้นที่ นานวันย่อมคิดถึงบ้าน หากให้ขลุกแต่ในทัพ คนในพื้นที่ทุกคนเห็นอยู่ เจ้าคิดจะเรียกรับทหารใหม่ ผู้ใดอยากจะมากัน?”
หวังทงกล่าวเช่นนี้ทำให้หลี่หู่โถวเหมือนคิดได้ หวังทงกล่าวต่อว่า
“ตอนนี้เป็นเวลาสงบสุข กำลังเป็นโอกาสดีในการปรับกำลังใหม่ อย่าได้พอถึงเวลาเร่งด่วนคิดจะทำก็ไม่ทันการณ์”
กล่าวถึงตรงนี้ หลี่หู่โถวจึงได้พยักหน้าหนักแน่นกล่าวว่า
“พี่หวังกล่าวได้มีเหตุผล คืนนี้ข้าจะไปหารือกับพวกไช่กงกง”
***********
งานเลี้ยงย่อมครึกครื้นรื่นเริงอย่างที่สุด สถานะหวังทงแม้ว่าสูงส่ง แต่ในเทียนจินนี้ไม่ใช่เวลางาน คนที่มาร่วมงานก็ล้วนเป็นคนที่หวังทงเคยคบหาสมาคมด้วย ล้วนเป็นคนก่าแก่ คุยกันได้หลายคำ กอปรกับหวังทงไม่วางท่า ยังคงมีท่าทีเกรงอกเกรงใจกับทุกคน ก็ย่อมเป็นงานรื่นเริงที่มีความสุข
พ่อค้าที่มางานเลี้ยงล้วนมาชกจอกสุรากับหวังทง สถานะไม่พอ ก็ได้แต่เชิญเพื่อนรวมกลุ่มกันมา
นี่เป็นถึงงานเลี้ยงผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรและติ้งเป่ยโหวเชียวนะ มีเกียรติเช่นนี้ กลับไปต้องเล่าให้ยิ่งใหญ่ มีหน้ามีตา ท่านโหวช่างยิ่งใหญ่ในเทียนจิน เอาใจให้ดี วันหน้าย่อมให้เกียรติในวงการค้า เช่นนี้ย่อมมีกินมีใช้ไม่จบไม่สิ้น
กับงานแต่งที่ต้องดื่มอย่างไม่อาจปฏิเสธนั้น ตอนนี้สถานะในที่นี่ แม้แต่นายกองตรวจการมาคารวะสุรา ก็แค่แตะๆ แต่อีกฝ่ายกลับหมดจอก ก็ทำให้หวังทงสบายไม่น้อย
ตอนกลางวันครึกครื้นเฮฮา ก็เรียกได้ว่าเต็มที่ เทียนจินนี้หวังทงคุ้นเคยดี ไม่จำเป็นต้องให้คนเป็นเพื่อน หวังทงเดินทางเอง ให้คนนำทางก็พอ
************
ที่แรกที่หวังทงไปก็คือท่าเรือทะเล ตอนจากเทียนจินไป ท่าเรือทะเลที่แม่น้ำทะเลเพิ่งเริ่มก่อสร้าง ตอนนี้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 เขตปกครองเหนือผลผลิตไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะเมืองเหอเจียนกับเจิ้นติ้ง แต่ที่ไม่มีเหตุร้ายอันใด เพราะเทียนจินก่อสร้างเยอะต้องการคนไปทำงานมาก กอปรกับรายได้ให้มากพอ จึงเหมือนแทนที่กันได้ เป็นการปลอบใจราษฎรไป
“ล้วนทำตามคำสั่งใต้เท้า สร้างหอปืนใหญ่ก่อน จากนั้นค่อยๆ เชื่อมเส้นทาง จัดการป้องกันเรียบร้อยแล้ว จึงได้สร้างสิ่งต่างๆ ตามมา”
พื้นที่นี้อยู่ในความรับผิดชอบซุนต้าไห่ เขาชี้ไปอธิบายไป ที่จริงแล้วไม่ต้องให้เขาพูดมาก แผนพวกนี้ล้วนเป็นหวังทงตัดสินใจ เบื้องหน้าเพียงแค่ดูการเปลี่ยนแปลงแท้จริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น
“เหมือนที่เคยรายงานใต้เท้าก่อนหน้า ที่นี่จัดการเป็นแหล่งสินค้าและแหล่งจอดเรือของผู้มาเยือน โกดังกับที่ว่างสร้างเสร็จแล้ว มีเรือพ่อค้าเจ้อเจียงมาเหมาระยะยาวไปแล้ว…….”
หวังทงพยักหน้า กลับไม่เดินหน้าต่อ หันไปทางกองดินหนึ่งข้างๆ ที่นี่ยังกำลังก่อสร้าง เป็นเศษดินเศษหินจากการก่อสร้าง หวังทงขึ้นไปยืนบนเดินดิน ทุกคนไม่รู้สาเหตุ รีบตามขึ้นไป หวังทงยืนบนที่สูงมองไปรอบทิศ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“เทียนจินขี่ม้าออกนอกประตูเมืองมาที่ริมทะเลนี้ต้องครึ่งวันกว่า แต่นอกเมืองแรงลมยังคงแรงเหมือนเดิม ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะเป็นที่ราบ ไม่มีเนินดินอันใด”
พวกซุนต้าไห่พากันงง ไม่รู้ว่าหวังทงเหตุใดจึงคุยถึงเรื่องภูมิประเทศ ยามนี้ หวังทงกลับหันไปทางหลี่หู่โถวกล่าวว่า
“หู่โถว วันหน้ากองกำลังหู่เวยอย่างน้อยก็ต้องส่งกำลังกลุ่มหนึ่งรักษาการแถวท่าเรือ ท่าเรือสร้างเสร็จ เรือต่างๆ เข้ามา จำนวนสินค้าก็ขนมาง่าย เช่นกัน หากมีคนจำนวนมากนำพลขึ้นบกมาก็ง่าย จากท่าเรือไปถึงเทียนจิน ไปถึงคลองส่งน้ำ ไม่มีการสกัดกั้น ก็ย่อมง่ายดาย ตอนนี้เจ้าต้องเตรียมการป้องกันที่นี่เป็นสำคัญ”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนจึงได้คิด หลี่หู่โถวอึ้งไป คำนับหนักแน่นกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง หู่โถวรับทราบ!”
“เรียกแม่ทัพใหญ่อะไรกัน ทำเอาเหินห่างไปได้!”
หวังทงยิ้มด่า ทุกคนหัวเราะฮาลั่น หลี่หู่โถวเองก็หัวเราะ หวังทงเป็นแม่ทัพใหญ่มานาน รู้จักการรบทางทหารทั้งรุกถอยครบ เรียกได้ว่าเป็นแม่ทัพมากสามารถ แต่หลี่หู่โถวยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น หวังทงไม่พูด เขาก็ใช่ว่าจะรู้เองได้
*************
ตอนมาถึงโรงต่อเรือ หวังทงไล่พวกหลี่หู่โถวให้กลับไป โรงต่อเรือสามธาราเป็นสมบัติส่วนตัวของหวังทง มาดูกิจการของตนเองว่าเป็นเช่นไร ก็เป็นเรื่องปกติของคนเรา
“นายท่านมาพอดี เรือเจิ้นไห่ เรือกวางบินและเรือใหญ่อีกหลายลำล้วนกลับจากเมืองเหลียวโจวมาแล้ว นายท่านมาได้ชมพอดี!!”
หัวหน้าช่างโรงต่อเรือหลายคน ยังมีทังซาน ยังมีหัวหน้าเรือกวางบินหูอันและทุกคนในโรงต่อเรือมารอรับหน้าประตู ที่แท้แล้วโรงต่อเรือนี่ก็คือท่าเรือ เป็นที่จอดเรือปืนใหญ่ เรือที่จอดที่นี่ได้ล้วนต้องเป็นเรือร้านสามธารา เรือของที่อื่นคิดจะซ่อมเรือก้ต้องส่งคนมาเชิญช่างต่อเรือไปซ่อม คิดจะซื้อเรือ ก็ย่อมนำเรือแล่นออกไป ไปส่งมอบสินค้าที่อื่น
พระอาทิตย์ไปทางตะวันตกแล้ว แสงรำไรยามอาทิตย์ตกดินส่องไปยังปืนใหญ่เหล่านั้นบนท่าเรือ เรือปืนใหญ่ส่องประกาย
“เดิมขาดคน ดีที่เถ้าแก่ซาช่วยเหลือ ช่วยเราฝึกลูกเรือ พวกเขาฝึกคนเอง ลูกเรือเลยพอใช้”
ทังซานยิ้มแนะนำ เรือสำเภาติดปืนใหญ่ บนเรือมีปืนใหญ่อย่างน้อย 40 กระบอก ในยุคนี้เป็นเรือใหญ่ทรงกำลังที่สุดบนท้องทะเล น่าเสียดายไม่มีคนสนใจ
“นี่คือเรือข้า?”
“ย่อมเป็นเรือนายท่าน ฮ่าๆ เรือเล็กสุดแล่นไปเมืองเหลียวโจว ไปกลับก็ทำกำไรได้ 8,000 ตำลึง”
ทังซานยิ้มรับคำ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น