อยากกินไหมล่ะ 821-823

 บทที่ 821 น้ำใจของเจ้าระบบ

ต้าไห่ย่อมเป็นผู้กำกับที่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะมากที่สุดคนหนึ่งอย่างแน่นอน สำหรับเชฟทั้งสี่คนแรกพวกเขาจะถ่ายทำโดยใช้แสงที่ดูสบายตาผสานเข้ากับดนตรีประกอบฉากเบาๆเพื่อช่วยให้อาหารจานเด็ดเปล่งประกายมากขึ้น


กล่าวได้ว่าก่อนหน้านี้ต้าไห่ได้ทุ่มเทไปกับการตัดต่อเพื่อเพิ่มสาระสำคัญของเนื้อหาวิดีโอ


ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเชฟอู๋กำลังนวดแป้งอยู่นั้น มุมกล้องก็เล็งจากด้านหน้าและด้านบน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงฝีมือการนวดแป้งอันสมบูรณ์แบบไร้ที่ติของเชฟอู๋ และฉากก็จบลงด้วยภาพระยะประชิดของเขา


แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปเพราะหยวนโจว แสงจ้าถูกนำมาใช้กับเขาและความสว่างก็เพิ่มขึ้นระหว่างการตัดต่อด้วย ดังนั้นเมื่อผู้ชมดูมาถึงวิดีโอส่วนของหยวนโจว พวกเขาก็มีความรู้สึกราวกับมีเมฆหมอกหลงเหลืออยู่และกำลังก้าวไปสู่แสงอรุโณทัย ลำพังแค่บรรยากาศทั้งหมดรอบตัวหยวนโจวก็มีผลทำให้คุณภาพเพิ่มขึ้นแล้ว


ส่วนดนตรีประกอบฉากของหยวนโจวนั้นกลับเล่นเป็นจังหวะรวดเร็วขึ้น ทว่าหาใช่ดนตรีอันเร่าร้อนรุนแรงแต่อย่างใดแต่กลับเป็นจังหวะที่ฟังแล้วร่าเริงบันเทิงใจ นอกจากนี้ส่วนของหยวนโจวที่ได้รับการตัดต่อก็นับว่าโดดเด่นสะดุดตามากทีเดียว


ในส่วนที่หยวนโจวทำบะหมี่เย็นนึ่งของเขามีการตัดต่อน้อยมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เทคเดียวแต่มุมกล้องกลับไม่เปลี่ยนทิศทางสักเท่าไหร่นัก


“ว้าว จู่ๆอารมณ์กับดนตรีประกอบฉากก็เปลี่ยนไปเสียดื้อๆเลย”


“อืม ฉันถึงขนาดรีบพุ่งตัวออกมาแล้วก็คิดว่าฉันกำลังดูวิดีโอที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิงอยู่แทนเลยล่ะ”


“เรื่องที่จู่ๆอารมณ์ก็เปลี่ยนไปจะต้องมีอะไรสักอย่างที่แตกต่างออกไปแน่ๆ”


อันที่จริงแล้วก็มีบางอย่างต่างออกไปมากเลยเชียวล่ะ


ทีแรกหยวนโจวค่อยๆเตรียมวัตถุดิบไปแบบสบายๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ฝีมือหรือเทคนิคอันน่าอัศจรรย์ใจแต่อย่างใดเลย ทว่าทุกการเคลื่อนไหวของเขากลับเป็นไปอย่างลื่นไหล ฉากนี้หาใช่สิ่งที่เพลินตาเป็นอย่างยิ่งแต่กลับให้ความรู้สึกสงบนิ่งและไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกกระวนกระวายใจเสียจนทำให้อยากจะรีบพุ่งเข้าใส่วิดีโอ


ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบและข้อสงสัยของฟางเหิงล้วนถูกต้าไห่บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน


ปกติผู้กำกับจะพยายามสร้างความสงสัยด้วยการถามเชฟว่าสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่เมื่อมีคนเกิดความคลางแคลงใจในตัวเชฟ


นั่นอาจจะดูเหมือนเทคนิคการทำให้วิดีโอดูน่าสนใจมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วนั่นกลับเป็นการเพิ่มความลึกลับอันเป็นการดูถูกสติปัญญาของผู้ชมทั้งหลาย


ถึงอย่างไรถ้าหากเชฟไม่สามารถทำได้สำเร็จจริงๆแล้วล่ะก็วิดีโอยังจะออกอากาศได้ตั้งแต่แรกอยู่อีกหรือ? นี่ก็คือวิดีโอโปรโมตอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี แม้ว่าเชฟจะไม่ล้มเหลวอย่างที่แสดงในวิดีโอแล้วทีมงานฝ่ายผลิตจะไม่สนใจได้หรือ?


โชคดีที่ต้าไห่เข้าใจเรื่องนี้แล้วเพียงแค่ถ่ายทำทุกอย่างไปโดยหาได้เติมแต่งสิ่งที่ไม่จำเป็นแต่อย่างใดลงไป


และในที่สุดเมื่อบะหมี่เย็นนึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้วก็แสดงภาพระยะประชิดของบะหมี่ให้เห็น แน่นอนว่าผู้ชมย่อมไม่สามารถได้กลิ่นหรือรสชาติได้ แต่ก็ยังเห็นอยู่ดีนั่นแหละว่าบะหมี่ดูน่าอร่อยขนาดไหน


ทุกอย่างดูเหมือนจะกระตุ้นความอยากอาหารมากทีเดียว แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ต้าไห่ยังรวมเอาส่วนที่บรรดาลูกค้าแถวนั้นกำลังกลืนน้ำลายไม่หยุดหย่อนเอาไว้ด้วย


ถัดมาส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็มาถึงแล้ว ในวิดีโอ หยวนโจวหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินอย่างเบิกบานใจ


หนึ่งคำ สองคำ การกินของเขาก่อให้เกิดจังหวะบางอย่างขึ้นมา


มีคำกล่าวที่ว่าการแต่งงานเป็นเหตุทำให้มีความสุขทั้งยังเพิ่มความเศร้าโศกอีกรูปแบบหนึ่งได้อีกด้วย


สำหรับผู้ชมแล้ว การกินของหยวนโจวนับเป็นความสำเร็จอันน่าพึงพอใจสำหรับเขาแล้ว ทว่ากลับเป็นความทรมานของผู้ชมที่ได้แต่มองแต่กลับไม่อาจกินได้


นี่คือเรื่องเศร้าอย่างสุดซึ้งเรื่องหนึ่งของเหล่านักชิมเลยก็ว่าได้


แล้วผู้คนก็เริ่มจู่โจมต้นเหตุของเรื่องเศร้านั้นในทันที


“ฉันไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อนเลย!”


“ถ้าเขาจะกินอาหารเสียเองก็ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่ทำไมพวกเขาถึงต้องเอามาฉายเอาไว้ในวิดีโอด้วย? พวกเขากำลังเยาะเย้ยเราไม่ได้กินอยู่ใช่ไหม?”


“ไอ้เชฟคนนี้มันเป็นใครกัน? เปิดเผยตัวตนออกมาเสียดีๆ! ฉันจะตีนายให้ตายเลยล่ะ!”


“ฉันโคตรหิวเลยอ่ะ ฉันยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยนะ หลังจากดูวิดีโอนี้แล้ว ฉันก็ยิ่งหิวขึ้นเรื่อยๆแล้ว บ้าจริง เขาออกจะมีความสุขเสียขนาดนั้น นายพยายามที่จะกวนฉันหรือไง?”


เรื่องนี้หาได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใดเลย สำหรับพวกเชฟก่อนหน้าหยวนโจวนั้น หลังจากพวกเขาเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ส่วนของพวกเขาจะจบลงพร้อมกับภาพระยะประชิดของอาหารที่เสร็จแล้ว


นี่ก็คือวิธีการนำเสนอทั่วไปของวิดีโอโปรโมต


ด้วยวิธีการนำเสนอดังกล่าว ผู้ชมต่างก็คิดว่าถึงแม้อาหารจะดูน่ากินแต่กลับไม่ใช่สำหรับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีความรู้สึกว่าฝีมือที่แสดงออกมานั้นช่างยอดเยี่ยมเกินไปและอาหารที่หาใช่สิ่งที่ผู้คนจะสามารถกินได้ในชีวิตประจำวันตามปกติกลับให้ความรู้สึกแปลกแยกออกไป


แต่หยวนโจวกลับค่อยๆเคี้ยวบะหมี่ราวกับเป็นบะหมี่ที่สามารถกินได้ในชีวิตประจำวันตามปกติ


ดังนั้นผู้ที่ดูมาจนถึงส่วนของเขาจึงรู้สึกหิวเป็นอย่างยิ่ง


“ฉันรู้ว่าเขาเป็นใครด้วยล่ะ เชฟคนนี้โด่งดังมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ฉันคิดว่าข้าวนำโชคก็มาจากร้านของเขานี่แหละ


“พวกนายตาบอดกันไปหมดแล้วหรือไง? อ่านคำอธิบายวิดีโอดูสิ เชฟคนสุดท้ายก็คือหยวนโจวที่มีอายุน้อยที่สุดท่ามกลางบรรดาเชฟทั้งห้าคนอย่างไรเล่า หลังจากลองค้นหาในอินเตอร์เน็ตดูแล้วก็พบว่าเขามีประการณ์มาอย่างโชกโชนเชียวล่ะ”


“ฉันอยากกินบะหมี่เย็นนึ่งจะแย่แล้ว”


จุดประสงค์ของวิดีโอโปรโมตก็คือเพื่อโปรโมตอะไรสักอย่าง ต้องขอบคุณวิดีโอนี้ที่ทำให้หยวนโจวกับบะหมี่เย็นนึ่งกวางหยวนได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก


ส่วนบรรดานักชิมทั้งหลายที่เคยไปเยือนร้านหยวนโจวมาก่อนต่างก็มีความรู้สึกเหนือชั้นกว่าผู้อื่นไปอีก


ความรู้สึกเหนือชั้นกว่าผู้อื่นย่อมมาจากการที่พวกเขารู้เรื่องมากกว่าผู้ชมวิดีโอส่วนใหญ่นั่นเอง


“โย่ เถ้าแก่หยวนเคยอยู่บนอินเตอร์เน็ตมาก่อนด้วยล่ะ นายไม่รู้จักร้านหยวนโจวงั้นเหรอ? นี่เป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับบรรดานักชิมทุกคนเสียจริงๆ อาหารจานเด็ดหลายๆอย่างของร้านหยวนโจวกำลังโด่งดังในฟอรั่มอาหารต่างๆเชียวล่ะ”


“ฉันเคยไปร้านของเขาตอนไปทำธุระที่เฉิงตูด้วยแหละ เขาทำอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีได้อร่อยอย่างน่าเหลือเชื่อเชียวล่ะ ช่างเป็นเชฟที่มีความสามารถล้นเหลืออย่างแท้จริง”


“บะหมี่เย็นกวางหยวนงั้นรึ? ไปกันเถอะ มีใครอยากจัดทริปเดินทางบ้างไหม?”


บล็อกเกอร์ทางด้านอาหารมืออาชีพก็ขัดจังหวะขึ้นมาว่า: [พวกเขาทั้งห้าคนต่างก็เป็นเชฟกันทั้งนั้นแถมเชฟคนที่ห้ายังมีอายุน้อยที่สุดอีกต่างหาก ถึงแม้ว่าเขาจะมีอายุเพียงเท่านี้ แต่ส่วนของเขากลับสร้างความประทับใจให้ฉันได้มากที่สุดเชียวล่ะ แม้ว่าฝีมือของเขาจะไม่ได้ฉูดฉาดบาดตาหรือสร้างความตื่นตะลึง แต่เขาก็ยังจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้สบายๆเลย เห็นได้ชัดว่าความสำเร็จในการทำอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีของเขาค่อนข้างสูงทีเดียว]


ส่วนผลการลงคะแนนนั้น หยวนโจวกำลังนำลิ่วเลยล่ะ


ส่วนอีกความคิดเห็นหนึ่งกล่าวว่า: นายต้องดูเชฟคนที่ห้านี่สิ ถ้านายไม่ดูล่ะก็นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่เลยเชียวล่ะ ในด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีมีแค่เชฟคนสุดท้ายเท่านั้นแหละที่ฉันเชื่อถือ


ทำไมถึงได้มีผลขนาดนั้นน่ะหรือ? ง่ายๆเลยนะ พวกเขาต่างก็มีความคิดเหมือนกับต้าไห่นั่นแหละ ในเมื่อพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานกับการดูหยวนโจวกิน พวกเขาก็อยากจะแบ่งปันความทรมานของตัวเองให้ผู้อื่นบ้างก็เท่านั้นเอง ฉะนั้นพวกเขาก็เลยลงคะแนนให้หยวนโจวโดยหวังว่าจะหลอกให้คนอื่นๆดูวิดีโอส่วนนี้ได้


ทำไมนักชิมคนหนึ่งต้องสร้างปัญหาให้นักชิมอีกคนด้วยน่ะเหรอ? เอาล่ะก็ดันไม่มีใครถามอะไรหลังจากต้องทนทุกข์ทรมานจากการมองหยวนโจวกินนี่นา ดังนั้นยอดเข้าชมวิดีโอนี้จึงเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน นอกจากนี้ผู้คนที่รู้ว่าหยวนโจวเป็นเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีก็เพิ่มจำนวนขึ้นเช่นเดียวกัน


ทุกอย่างในอินเตอร์เน็ตกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่หยวนโจวกลับรู้สึกอยากจะตีคนขึ้นมาแล้ว


“เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋เป็นบ้าไปแล้วหรือไงวะ?” หยวนโจวลุกขึ้นนั่งอย่างช่วยไม่ได้หลังจากอู๋ไห่โทรมาหาเขาอีกครั้ง


ใช่แล้วล่ะ อู๋ไห่เพียรโทรมาหาหยวนโจวทุกๆสี่ชั่วโมงเพื่อเตือนให้เขากินยา ยิ่งไปกว่านั้นอู๋ไห่ยังส่งอาหารกลางวันมาให้เขาอีก


แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมต้องรู้สึกประทับใจ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สบายอยู่และไม่คิดที่จะกินอะไรเลย นับเป็นเรื่องน่าประหลาดที่มีคนมาส่งอาหารกลางวันให้เขาด้วย


นี่ก็คือสาเหตุเดียวที่เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋ถูกเขาตีจนตาย


“เอาล่ะ ฉันจะไม่งับมือที่คอยดูแลฉันก็ได้ ขอล้างหน้าสักหน่อยเถอะนะ” หยวนโจวลูบหนวดเคราตัวเองและพบว่าไข้ลดลงแล้ว


ทันใดนั้นเจ้าระบบก็แสดงผลขึ้นมาว่า “ขอแสดงความยินดีกับเจ้านายด้วยที่บรรลุภารกิจเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีแล้ว”


“บรรลุภารกิจแล้วงั้นรึ?” หยวนโจวชะงักไปแล้วนั่งลงเพื่อตรวจสอบภารกิจ


บทที่ 822 การสนทนา

หยางซู่ซินอยู่ไกลจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ร้านหยวนโจว เขามีเป้าหมายในการใช้สื่อออนไลน์ที่ค่อนข้างชัดเจนคือเพื่อหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการแกะสลักน้ำแข็ง


และในเมื่อเขาได้ตัดสินใจที่จะไปเยือนเมืองเฉิงตูแล้ว เขาจึงหยุดหาข้อมูลของหยวนโจวลง ดังนั้นเขาก็เลยไม่รู้ว่าหยวนโจวก็ได้กลายเป็นเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีไปแล้ว


หยางซู่ซินหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาบุตรชายของเขา วันนี้เป็นวันเสาร์เขาก็เลยแนะนำให้หยางหวั่นเซิงมาพักและดูหนังสือที่บ้านในเวลานี้


แม้ว่าบุตรชายของเขาจะอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว แต่หยางซู่ซินก็ยังจัดตารางประจำวันให้บุตรชายอยู่ เขาทำแบบนี้ก็เพื่อให้แน่ใจได้ว่าหยางหวั่นเซิงจะไม่เป็นแบบวัยรุ่นคนอื่นๆที่จะทำตัวเหลวแหลกหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว


“หวั่นเฉิงแกจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” หยางซู่ซินถามเรื่องที่เขามอบหมายเอาไว้ขึ้นมาก่อน


“พ่อโทรมาเพียงแค่จะถามเรื่องนี้งั้นรึ?” หยางหวั่นเซิงกล่าวพลางเดินหาที่เงียบๆ


“ไม่งั้นฉันจะโทรหาแกหาพระแสงอะไรเล่า?” หยางซู่ซินเบิกตาโตแล้วถามขึ้นอย่างไม่พอใจ


“ครับๆ จัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วงน่า ผมจะเล่าให้พ่อฟังตอนที่กลับไปวันหยุดเอง” หยางหวั่นเซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนใจอยู่บ้าง


“โอเค จองตั๋วไปเฉิงตูให้ฉันด้วยล่ะ แล้วก็จองห้องที่นั่นให้ฉันด้วยล่ะ” หยางซู่ซินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนที่จะบอกว่าเขาโทรมาเพราะอะไรกันแน่


“พ่อจะไปที่นั่นคนเดียวงั้นเหรอ?” หยางหวั่นเซิงคาดอยู่แล้วว่าจะต้องกระตุ้นความสนใจของหยางซู่ซินได้ แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้


“อืม จองเที่ยวบินพรุ่งนี้ให้ด้วยล่ะ” หยางซู่ซินกล่าวเสริม


“พ่อฮะ ผมคิดว่าพ่ออาจจะต้องพักที่เฉิงตูเพิ่มอีกสักสองสามวันนะ งั้นผมจะจองที่พักให้ 10 วันเป็นไง?” หยางหวั่นเซิงรู้สึกดีใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงยื่นข้อเสนอให้


“ไม่ล่ะคงไม่ใช้เวลานานขนาดนั้นหรอก” หยางซู่ซินมีความมั่นใจในเรื่องชื่อเสียงของตัวเองด้านการแกะสลักน้ำแข็งมากทีเดียว


“พ่อก็รู้นี่นา คนที่ผมแนะนำให้รู้จักก็คือหยวนโจว เขาเป็นเชฟชื่อดัง…” หยางหวั่นเซิงกำลังแนะนำตัวตนของหยวนโจวให้ฟังแต่กลับถูกขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อนที่เขาจะทันได้แนะนำให้จบ


“ฉันรู้แล้วแหละน่า ด้วยพรสวรรค์ด้านการแกะสลักน้ำแข็งของเขาแล้ว เขาควรจะทุ่มเทให้กับการแกะสลักน้ำแข็งแทนที่จะมัวไปเสียเวลาเปล่าไปกับการทำอาหาร” หยางซู่ซินกล่าวด้วยความขุ่นเคืองใจ


เพื่อที่จะกลายเป็นช่างแกะสลักน้ำแข็งจะต้องทานทนต่อความยากลำบากและมีพรสวรรค์ในด้านที่เกี่ยวข้องกันด้วย การแกะสลักน้ำแข็งเป็นงานศิลป์แขนงหนึ่งที่ไม่ต้องมีพรสวรรค์ก็ได้ คนส่วนใหญ่จึงเป็นได้แค่ช่างแกะสลักเกรดต่ำเท่านั้น หยางซู่ซินไม่สามารถทนมองดูคนละทิ้งพรสวรรค์ของตนเองไปเสียเปล่าๆได้


“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย เถ้าแก่หยวนมีฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยมแถมยังมีชื่อเสียงด้านการทำอาหารอย่างไม่น่าเชื่อเชียวล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขายังเป็นที่รู้จักในฐานเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีอีกด้วย” ในที่สุดหยางหวั่นเซิงก็มีโอกาสเล่าให้บิดาของเขาฟัง


“งั้นรึ?” หยางซู่ซินขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด


เมื่อหยางหวั่นเซิงเห็นว่าบิดาของเขาเงียบไปก็ชักจะเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาแล้ว เขาเริ่มเดินวนไปวนมาพร้อมโทรศัพท์มือถือ หลังจากนั้นบิดาของเขาก็ยังเงียบอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นมาว่า “แต่ผมคิดว่าพ่อยังมีโอกาสอยู่นะ ถึงยังไงผลงานแกะสลักของพ่อก็เป็นแผนการที่น่าสนใจมากทีเดียว”


หยางหวั่นเซิงพูดอย่างระมัดระวังเพราะเป็นห่วงว่าบิดาของเขาจะเลิกไปเฉิงตู


มีเหตุผลอยู่สองประการที่หยางหวั่นเฉิงแนะนำหยวนโจวให้บิดาของเขา ประการแรกก็คือบิดาของเขาอยากมีพรสวรรค์เหมือนหยวนโจว ประการที่สองคือหยางหวั่นเซิงมีจุดประสงค์ของตนเอง


“ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากเชฟหยวนแล้ว ผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครเก่งพอที่จะแกะสลักมังกรได้เลย” หยางหวั่นเซิงเกลี้ยกล่อมต่อไป


“ผมคิดว่าตราบเท่าที่พ่อเกลี้ยกล่อมเขาด้วยความจริงจังและจริงใจ ยังไงพ่อก็ต้องทำได้สำเร็จอยู่แล้วล่ะ” หยางหวั่นเซิงกล่าว


“ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของฉันให้มากเกินไปหรอกน่า ทำอย่างที่แกบอกนั่นแหละ ฉันจะติดต่อกับเชฟหยวนเอง” หยางซู่ซินกล่าว


“โอเค งั้นผมจะไปจองเที่ยวบินพรุ่งนี้ให้พ่อเลยดีไหม?” หยางหวั่นเซิงขอคำยืนยัน


“อืม ไปจัดการได้เลย” หยางซู่ซินตอบตกลง


“เข้าพักกี่วันดี?” หยางหวั่นเซิงถามขึ้นมา


“เอาสักสิบวันก็แล้วกัน ฉันว่าจะไปเยี่ยมโจวซื่อเจี๋ยแล้วให้เขาแนะนำฉันให้หยวนโจวได้รู้จักสักหน่อยน่ะ” หยางซู่ซินกล่าว


“จริงด้วยสิ ลุงโจวเป็นประธานสมาพันธ์เชฟแห่งประเทศจีนนี่นา ด้วยคำแนะนำของเขาต้องสำเร็จแน่ๆ” หยางหวั่นเซิงกลาง


“เอาล่ะ งั้นแค่นี้นะ ตั้งใจเรียนเข้าล่ะ อย่าดื้อแล้วอ่านหนังสือให้จบตามเวลาด้วยนะ” หยางซู่ซินเริ่มจู้จี้ขึ้นมาแล้ว


หยางหวั่นเซิงรู้สึกโล่งอกเมื่อได้ยินแผนเรื่องหยวนโจวของบิดาตนเอง เขาเริ่มส่งเสียงเออออไปตามน้ำเมื่อบิดาจู้จี้เรื่องการเรียนของเขา


หยางซู่ซินวางสายด้วยความพึงพอใจเมื่อเขาเห็นว่าบุตรชายยังคงเชื่อฟังเช่นเคย เขาก็เลยวางแผนที่จะโทรหาโจวซื่อเจี๋ยต่อ


“เบอร์โทรเขาอยู่ไหนกันนะ?” หยางซู่ซินเริ่มหาหมายเลขโทรศัพท์ของโจวซื่อเจี๋ย


ในฐานที่เป็นยอดฝีมือด้านการแกะสลักน้ำแข็ง หยางซู่ซินจึงมีสถานะพอๆกับโจวซื่อเจี๋ย พวกเขารู้จักกันตอนที่โจวซื่อเจี๋ยกำลังมองหาคนที่แกะสลักน้ำแข็งให้อาหารของเขาได้เมื่อครั้งที่เขามาเยือนเมืองฮาร์บินในอดีต


ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงค่อนข้างดีทีเดียว ในช่วงปีใหม่และเทศกาลอื่นๆ พวกเขาก็จะแลกของขวัญกัน แต่เนื่องจากเมืองฮาร์บินเป็นสถานที่อันแสนวิเศษสำหรับช่างแกะสลักน้ำแข็ง หยางซู่ซินจึงไม่ค่อยได้มาเยือนเมืองเฉิงตูสักเท่าไหร่นัก


หลังจากนั้นไม่นาน หยางซู่ซินก็เจอหมายเลขโทรศัพท์ของโจวซื่อเจี๋ยแล้วโทรออก


มันเป็นวันเสาร์และโจวซื่อเจี๋ยก็กำลังพักผ่อนอยู่กับบ้าน จู่ๆเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น


เขารู้สึกตกใจเมื่อเห็นชื่อบนโทรศัพท์ของตนเอง “เจ้าหมอนี่โทรมาหาฉันทำไมกันนะ?”


เขาไม่คิดอะไรมากก็รับสาย


“พี่โจว ไม่เจอกันเสียนานเลยนะ” หยางซู่ซินกล่าวคำทักทาย


“ไง? นายจะมอบผลงานแกะสลักน้ำแข็งหรืออะไรเป็นของขวัญให้ฉันงั้นรึ?” โจวซื่อเจี๋ยหยอกล้อ


“แหงล่ะ อีกไม่นานฉันจะไปเยี่ยมนายนะ” หยางซู่ซินกล่าว


“ว้าว แปลกชะมัดเลย นายจะมาเฉิงตูแถมยังจะมอบผลงานแกะสลักน้ำแข็งให้ฉันเป็นของขวัญอีกงั้นรึ?” โจวซื่อเจี๋ยรู้สึกประหลาดใจ


ความประหลาดใจของเขาพอเป็นที่เข้าใจได้อยู่ เขาเคยชวนหยางซู่ซินมาเฉิงตูแต่มักจะถูกปฏิเสธอยู่เรื่อย การได้รับผลงานแกะสลักน้ำแข็งเป็นของขวัญคือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเช่นกัน


เท่าที่หยางซู่ซินเข้าใจ โจวซื่อเจี๋ยไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับผลงานแกะสลักน้ำแข็งมากสักเท่าไหร่นักหรอก การมอบให้เขาเป็นของขวัญก็เท่ากับเสียของไปเปล่าๆ


“ฉันอยากให้นายช่วยอะไรสักหน่อยน่ะ” หยางซู่ซินกำลังพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อให้ผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าออกมาเสร็จสมบูรณ์


“อะไรหรือ?” โจวซื่อเจี๋ยถาม


“หยวนโจวคนนั้นใช่สมาชิกในสมาพันธ์เชฟของนายหรือเปล่า?” หยางซู่ซินถามขึ้นมา


“โอ้ เขาน่ะเหรอ? แน่นอน ทำไมรึ?” โจวซื่อเจี๋ยถามเขาโดยไม่ได้นึกถึงเรื่องผลงานแกะสลักมังกรนพเก้า


“ฉันเห็นผลงานแกะสลักน้ำแข็งของเขาแล้วพบว่ามันช่างน่าทึ่งมากเลยล่ะ ฉันก็เลยคิดว่าอยากให้เขาช่วยแกะสลักมังกรนพเก้าให้เสร็จน่ะสิ” หยางซู่ซินถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วอธิบาย


“ผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าน้ำแข็งงั้นรึ? ฉันว่าฉันน่าจะช่วยเรื่องนี้ได้มากเชียวล่ะ” โจวซื่อเจี๋ยเริ่มตื่นตัว


“ทีแรกก็ซาลาเปาจี้จากสาขาอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีที่มา ตอนนี้ยังมีคนจากสาขาการแกะสลักน้ำแข็งมาปรากฏตัวอีก เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเด็กหยวนโจวคนนี้กันนะ? ดูเหมือนว่าเขาจะรอบรู้ไปเสียทุกเรื่องแถมยังเชี่ยวชาญไปเสียทุกอย่างอีกต่างหาก เขาก็เหมือนกับเสวียนจ้างที่ทุกคนอยากจะชิมรสมือของกันทั้งนั้นนั่นแหละ” โจวซื่อเจี๋ยนึกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


“ลืมมันไปเสียเถอะ ในฐานสหาย ฉันสามารถแนะนำให้ได้นะแต่เขาจะตกลงหรือเปล่าก็สุดแท้แต่เขาแล้วล่ะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว


“ขอบคุณนะพี่โจว” หยางซู่ซินกล่าว


“ยังไม่ต้องมาขอบอกขอบใจฉันหรอก ฉันยังพูดไม่จบเลย” โจวซื่อเจ๋ยกล่าว


“เชิญพูดต่อ” หยางซู่ซินกล่าวอย่างไม่รีบร้อน


“ในฐานที่เป็นประธานสมาพันธ์เชฟ ฉันไม่เห็นด้วยเลยที่จะให้หยวนโจวเข้าไปข้องเกี่ยวกับการแกะสลักน้ำแข็ง พรสวรรค์ด้านการทำอาหารของเขาอยู่ในระดับสูงมากทีเดียว การทำเรื่องอื่นนับว่าเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวออกมาตามตรง


โจวซื่อเจี๋ยพยายามที่จะบอกให้หยางซู่ซินรู้ว่าแม้หยวนโจวจะตอบตกลงเข้าร่วมแผนการแกะสลักน้ำแข็ง แต่เขาก็ยังคงเป็นสมาชิกของสมาพันธ์เชฟอยู่ดี เขาควรให้ความสนใจกับการทำอาหารมากกว่า!


บทที่ 823 เกี๊ยวใส่พริกไทย

ทันทีที่โจวซื่อเจี๋ยกล่าววาจาเช่นนั้นออกมา หยางซู่ซินก็รู้สึกโกรธจนควันแทบลอยขึ้นศีรษะ แต่เพื่อผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าของตนเองแล้ว เขาได้แต่อดทนที่จะไม่ปาโทรศัพท์ออกไป


แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าเขากลับหายใจฟืดฟาดก่อนที่จะพูดว่า “เยี่ยมมาก โจวซื่อเจี๋ย นายกำลังดูถูกช่างแกะสลักน้ำแข็งอยู่สินะ? เห็นทีฉันคงต้องแสดงให้นายเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเราบ้างเสียแล้วล่ะ”


“โห ฉันไม่รู้เรื่องการแกะสลักน้ำแข็งหรอกนะ ใช่ว่าฉันจะดูถูกการแกะสลักน้ำแข็งของนายหรอกนะ แต่ฉันไม่คิดว่านายจะทำสำเร็จหรอก” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวเสียงแข็ง


“หึ นายคอยดูก็แล้วกัน คราวหน้าตอนที่นายอยากได้ให้แกะสลักถ้วยน้ำแข็งหรืออะไรสักอย่างก็อย่ามาขอร้องให้ฉันช่วยก็แล้วกัน” หยางซู่ซินกล่าวอย่างเย็นชา


“ไม่เป็นไร นายบอกว่าหยวนน้อยแกะสลักน้ำแข็งได้ยอดเยี่ยมไม่ใช่หรือไง? แถมพวกเรายังอยู่ใกล้กันแค่นี้เองนะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวพลางยิ้มกว้าง


โจวซื่อเจี๋ยเป็นคนที่ทำตัวให้สมวัย เขามักจะถูกหยางซู่ซินหัวเราะเยาะที่ไม่รู้วิธีแกะสลักน้ำแข็งและน่าเสียดายที่สำหรับเขาแล้ว อาหารจานพิเศษของเขาต้องมีจานที่แกะสลักด้วยน้ำแข็งเป็นเครื่องประดับเพื่อให้สามารถเข้าถึงความสมบูรณ์แบบได้ และหยางซู่ซินกลับมีฝีมือในการแกะสลักน้ำแข็งเป็นพิเศษเสียได้


คราวนี้เขาสามารถจับจุดอ่อนของหยางซู่ซินเอาไว้ได้แล้ว โจวซื่อเจี๋ยย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้แก้เผ็ดครั้งนี้ไปอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มทุ่มเถียงกัน


โจวซื่อเจี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยพลางยิ้มกว้าง ส่วนอีกด้านหนึ่งของปลายสาย หยางซู่ซินกำลังระงับความโกรธของตนเองด้วยความยากลำบากยิ่งเพื่อผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าของเขานั่นเอง


หยวนโจวไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เขาเอาแต่ยุ่งง่วนกับเรื่องของตัวเอง


หยวนโจวที่ยังเวียนศีรษะและไร้เรี่ยวแรงต้องอ่านประกาศถึงสามครั้งกว่าจะเข้าใจสิ่งที่เจ้าระบบกำลังบอกเขาเรื่องที่บรรลุภารกิจแล้ว


“คราวนี้สำเร็จจริงๆแล้วสินะ? ดูเหมือนวิดีโอโปรโมตจะถูกโพสต์ลงไปแล้ว” หยวนโจวบ่นพึมพำแล้วเริ่มอ่านภารกิจ


“แลกรางวัลเลยก็แล้วกัน” หยวนโจวพึมพำ


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ได้รับรางวัลแล้ว กรุณาตรวจสอบดู”


[ภารกิจตำแหน่ง] กลายเป็นเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีขั้นกลาง


(เคล็ดลับในการทำภารกิจ: สุดยอดเชฟที่ไม่อยากเป็นสุดยอดเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีไม่มีคู่ควรที่จะเป็นสุดยอดเชฟหรอกนะ ไปซะเจ้าหนุ่ม ประกาศให้โลกรู้เสียเลยสิว่าคุณคือเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี)


[รางวัลในการทำภารกิจ] เลื่อนขั้นเป็นเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีขั้นกลาง (พร้อมตำแหน่ง)


(เคล็ดลับในการได้รางวัล: ของว่างท้องถิ่นเฉิงตูตำหรับเสฉวนชุดหนึ่งพร้อมที่จะนำมาวางจำหน่ายแล้ว เจ้านายอาจจะเพิ่มมันเข้าไปในเมนูเลยก็ได้นะ)


หยวนโจวเพิ่งจะฟื้นไข้ ดังนั้นเขาจึงยังคงรู้สึกเวียนศีรษะอยู่ เขาไม่มีท่าทีตอบสนองแต่อย่างใดในแวบแรก เมื่อเขาอ่านคำอธิบายอีกครั้งอย่างผิดวิสัยก็พบว่ามีบางอย่างที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับเคล็ดลับในการได้รางวัล


“เจ้าระบบ ต้องมีข้อผิดพลาดตรงไหนสักแห่งเป็นแน่เลย?” หยวนโจวถามด้วยความสงสัย


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “กรุณาชี้ให้เห็นด้วย เจ้านาย”


“ก่อนหน้านี้แกมอบหนังสือเล่มหนาๆมาให้ฉันแล้วบอกฉันว่าฉันสามารถเลื่อนตำแหน่งได้หลังจากอ่านจบแล้ว จากนั้นฉันก็เริ่มทำขนมมาตั้งหลายอย่างแล้ว ทำไมรางวัลของภารกิจนี้ถึงได้เหมือนกันเลยล่ะ?” หยวนโจวถามขึ้นมา


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ภารกิจครั้งนี้เป็นส่วนขยายของภารกิจนั้นอย่างไรเล่า”


“นำรางวัลกลับมาใช้ใหม่สองครั้งเลยรึ? เจ้าระบบ หัดละอายใจเสียบ้างก็ดีนะ” หยวนโจวตอบหลังจากเงียบไปสักครู่


เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีจึงไม่มีความละอายทั้งทางจิตและวิญญาณ”


“โฮ่โฮ่” จู่ๆหยวนโจวก็รู้สึกเหมือนอาการเวียนศีรษะจะลามไปทั่ว แน่นอนว่านั่นย่อมสืบเนื่องมาจากสารอะดรีนาลินจากการที่ถูกเจ้าระบบยั่วยุให้โกรธ


“ฉันออกจะเป็นคนใจกว้างดังนั้นฉันจะไม่เถียงกับแกหรอกนะ” หยวนโจวกล่าวแล้วลุกขึ้นเตรียมตัวไปล้างหน้า


ถึงอย่างไรเขาก็กำลังเหงื่อออกเพราะไข้หวัด ทั่วทั้งตัวจึงรู้สึกเหนียวเหนอะหนะและนี่หาใช่สิ่งที่ทำให้หยวนโจวพึงพอใจเลยสักนิดเดียว


หลังจากอาบน้ำแล้ว หยวนโจวก็ไปที่ร้าน หลังจากเปิดไฟแล้วเขาก็เปิดประตู ตอนนี้เลยเวลาอาหารค่ำมาแล้ว ด้านนอกมีคนเดินเท้าอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น


ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นถนนว่างเปล่าเช่นนี้ แต่คนคุ้นเคยกลับยังคงยืนอยู่ด้านนอก


“โจวเจียรึ?” หยวนโจวตะโกรเรียก


“รู้สึกดีขึ้นหรือยังคะเถ้าแก่?” โจวเจียหันมาด้วยสีหน้ายินดีแกมประหลาดใจ


“อืม ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ” หยวนโจวพูดอย่างไม่ใส่ใจ


“งั้นก็ดีแล้วล่ะค่ะ ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นจัง ฉันจะไปเอาของขวัญที่ลูกค้ามอบไว้มาให้นะคะ ของพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของขวัญที่คุณเพิ่งจะได้รับเมื่อไม่นานมานี้เองแหละค่ะ” โจวเจียรู้สึกตื่นเต้นเสียจนหน้าแดง


“ฉันคงรบกวนเธอเข้าให้แล้ว” หยวนโจวกล่าว


“ไม่หรอกค่ะ ไม่รบกวนเลยสักนิด ยังไงฉันก็บอกเซินหมินไปแล้วว่าคืนนี้ไม่ต้องมา” โจวเจียหันกลับไปบอกหลังจากสืบเท้าไปข้างหน้าได้สองก้าว


“อืม” หยวนโจวพยักหน้า


“เอาล่ะ ฉันจะไปเอาของขวัญจากร้านลุงหวังมาให้นะคะ” โจวเจียกล่าว


“พอจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นไปเรียกอู๋ไห่ลงมาด้วยนะ” จู่ๆหยวนโจวก็กล่าวขึ้นมา


“ได้ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” โจวเจียพยักหน้าแล้วเดินจากไป


หยวนโจวกลับเข้าไปในร้าน เขาตัดสินใจที่จะแลกของว่างท้องถิ่นเฉิงตูตำหรับเสฉวนมาเป็นอาหารค่ำ


“อาหารรสเผ็ดจะช่วยให้ฉันเหงื่อออกได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้น” หยวนโจวพึมพำแล้วเริ่มทำอาหาร


หยวนโจวกำลังจะทำเกี๊ยวโรยพริกไทย นี่คืออาหารที่ทั้งร้อน ชาและหอมกรุ่นเหมาะสำหรับหยวนโจวที่พยายามขับเหงื่อมากทีเดียว


เจ้าระบบเป็นผู้เตรียมวัตถุดิบต่างๆเอาไว้ให้ ขั้นแรกเขาต้องเตรียมเนื้อบดเสียก่อน โดยเขาจะผสมเนื้อหมูกับเนื้อวัวก่อนที่จะนำมาบด จากนั้นเขาก็จะผสมหอมและกระเทียมที่เป็นเครื่องปรุงรสลงไป


ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ! หยวนโจวจับมีดทำครัวไว้ให้มั่นแล้วหั่นเนื้อลงบนเขียง ในขณะเดียวกันมือซ้ายของเขาก็มัวแต่ยุ่งกับการนวดแป้งเพื่อเตรียมห่อเกี๊ยว


ในขณะที่หยวนโจวมัวแต่ยุ่งง่วนกับการเตรียมอาหารค่ำอยู่นั้น โจวเจียก็กำลังเคลื่อนย้ายของขวัญอย่างเอาเป็นเอาตาย เนื่องจากมีของอยู่มากมาย เธอจึงต้องเดินไปเดินมาถึงสี่เที่ยวกว่าจะย้ายเสร็จสรรพ เมื่อเธอจัดการเรียบร้อยแล้วก็เงยหน้ามองไปทางหยวนโจว


“เถ้าแก่ทำอาหารเหรอคะ?” โจวเจียค่อนข้างกังวลใจ


“อืม มื้อเย็นน่ะ” หยวนโจวตอบพลางห่อเกี๊ยวโดยไม่หยุดมือ ในการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเขาก็สามารถห่อเกี๊ยวเสร็จไปลูกหนึ่งซึ่งทำให้เกี๊ยวขาวนุ่มดูราวกับนกพิราบตัวน้อย


“แต่คุณเพิ่งจะดีขึ้นเองนะคะ” โจวเจียกล่าว


“ฉันเองก็ยังต้องกินอะไรบ้างนะ ไปเรียกอู๋ไห่มาได้แล้ว” หยวนโจวกล่าว


“ได้ค่ะ” โจวเจียพยักหน้าแล้วข้ามถนนก่อนที่จะปีนบันไดขึ้นไป


งานของโจวเจียเสร็จสิ้นลงอย่างราบรื่น ทันทีที่เธอบอกว่าหยวนโจวให้มาตามเขาไป อู๋ไห่ก็รีบตามโจวเจียออกจากบ้านไปในทันที แน่นอนว่าเขาย่อมสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้วเพราะเพราะหาได้อยู่ท่ามกลางภาพเขียนแต่อย่างใดไม่


เมื่อพวกเขามาถึงร้านก็มีชามใบใหญ่สองใบที่มีไอกรุ่นออกมาวางอยู่บนโต๊ะแล้ว นอกจากนี้ยังมีช้อนกับตะเกียบวางเอาไว้บนโต๊ะด้วย


“นี่ของฉันเหรอ เจ้าเข็มทิศ?” อู๋ไห่นั่งลงตรงหน้าชามใบหนึ่งแล้วถามขึ้นมา


ส่วนโจวเจียนั้น เธอยืนอยู่ด้านข้างเช่นเคย


หยวนโจวเหลือบมองอู๋ไห่แล้วไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้นเขาก็หันไปบอกโจวเจียว่า “ฉันทำมาให้เป็นพิเศษเลยเชียวนะ มานั่งกินเสียสิ”


“แต่…” โจวเจียกำลังจะปฏิเสธข้อเสนอเนื่องจากเธอรู้สึกอึดอัดขัดเขินที่ต้องมากินกับพวกเขา


ถึงอย่างไรก็ไม่มีอาหารจานไหนในร้านหยวนโจวที่ราคาจะถูกเลยสักจาน โจวเจียไม่เต็มใจที่จะมาเสียเงินที่นี่เลย ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็รู้สึกละอายใจที่เถ้าแก่ต้องมาทำอาหารให้เธออีกต่างหาก ดังนั้นเธอจึงไม่เคยกินอาหารของหยวนโจวเลย


“ถ้าเธอไม่กินอีกล่ะก็ฉันจะเททิ้งแล้วนะ” หยวนโจวกล่าวแล้วนั่งลง


ตอนนี้โจวเจียสังเกตเห็นว่ายังมีอีกชามวางอยู่บนเคาน์เตอร์


“นั่งลงเถอะ ไม่ต้องอายไปหรอกน่า ถึงแม้ว่าเจ้าเข็มทิศจะเป็นคนที่เข้มงวดมากไปหน่อย แต่อาหารของเขาอร่อยแหงๆอยู่แล้วล่ะ” อู๋ไห่กล่าว


“ขอบคุณค่ะเถ้าแก่หยวน ขอบคุณค่ะพี่อู๋” โจวเจียมองไปที่ชามและหยวนโจวก่อนที่จะนั่งลงพร้อมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน


“กินเถอะ” หยวนโจวกล่าวแล้วเริ่มกิน


“เกี๊ยวงั้นรึ? ดีจังเลย” อู๋ไห่ไม่คิดมาก เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนประจำที่กันแล้ว เขาก็เริ่มกินเช่นเดียวกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)