ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 820-821
ตอนที่ 820 กลับ
ครู่ต่อมาชื่อคนที่ยังคงส่องสว่างทั้งหมดบนป้ายศิลาก็พลันส่องแสงเจิดจ้า แต้มโชคชะตาไม่เพิ่มอีกต่อไป
ไม่นานนักคนที่เข้าร่วมการฝึกฝนไม่น้อยก็พากันปรากฏร่างขึ้นในก้อนแสงขนาดยักษ์ แล้วร่อนลงมาช้าๆ
ไม่นานบนพื้นที่ว่างตรงกลางยอดเขาหิมะที่เดิมทีว่างโล่งก็ปรากฏคนสองสามร้อยคน นอกจากนี้จำนวนคนยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์แต่ละนิกายที่เข้าไปในประตูสวรรค์ก่อนหน้านี้
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่สีหน้ามึนงง คล้ายไม่เข้าใจที่ตนเองถูกเคลื่อนย้ายออกมากะทันหัน
สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านบนร่างคนเหล่านี้แล้วอดไม่ได้เลิกคิ้วสองข้างเล็กน้อย
โซ่โชคชะตาบนข้อมือของคนเหล่านี้หายไปไร้ร่องรอยไม่มีเว้นสักคน
แต่พวกตนสิบเอ็ดคนด้านนี้ โซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือกลับยังคงอยู่ดีบนข้อมือ
ครู่ต่อมาหลังลูกบอลแสงยักษ์ที่มีสีดำขาวขนาบกันหมุนวนกลางอากาศพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็แยกออกเป็นครึ่งสีขาวกับครึ่งสีดำ
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง ลำแสงหนาประหนึ่งถังน้ำสองสายสีดำขาวก็พุ่งเร็วรี่ไปยังแผ่นกลมในมือทูตวังสวรรค์สองคน
แสงเรืองรองแวววาวสว่างขึ้นบนแผ่นกลมพักหนึ่ง ลำแสงสองสายก็กะพริบจมหายไปด้านใน หายไปไร้ร่องรอย
ในเวลาเดียวกัน บนยอดเขาลูกหนึ่งไม่ไกลจากทางเข้าแดนลึกลับประตูสวรรค์ เทียนเกอเจินเหรินกับบุรุษชุดเทาที่นั่งขัดสมาธิสงบนิ่งอยู่ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้น พวกเขาเผยสีหน้าฉงนมองไปยังยอดเขาหิมะที่อยู่ไม่ไกล
“ท่านประมุข การฝึกฝนในงานประตูสวรรค์ครั้งนี้คล้ายจะจบลงกะทันหัน ดูท่าคงเป็นดังที่ท่านคาดไว้ก่อนหน้านี้ ในแดนลึกลับจะต้องเกิดความผิดปกติอันใดอย่างไม่ต้องสงสัย” บุรุษชุดเทาเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“ไม่รู้ว่าเทียนเฉิงกับหลิ่วหมิงเด็กคนนี้ที่แท้ประสบเรื่องราวดันใด หากทั้งสองคนนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เกรงว่าการจัดอันดับครั้งนี้ของนิกายเราคงย่ำแย่กว่าหลายครั้งก่อนหน้านี้ไม่ใช่เล็กน้อยแล้ว” เทียนเกอเจินเหรินถอนหายใจแผ่วเบาคำหนึ่ง
“ท่านประมุขไม่ต้องกังวลไป ในเมื่อชื่อของศิษย์เหล่านั้นไม่ได้หม่นแสงลงไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งผู้เฒ่าเทียนเหอผู้นั้นยังเข้าไปในประตูสวรรค์ด้วยตนเอง แม้มีเรื่องไม่คาดฝันอันใดก็น่าจะรับประกันได้ว่าไม่ต้องกังวลใจ” บุรุษชุดเทาเอ่ยอย่างปลอบประโลม
“ลองไปดูก่อนค่อยว่ากันเถอะ” หลังเทียนเกอเจินเหรินเอ่ยนิ่งๆ ประโยคหนึ่งก็แปลงเป็นลำแสงเรืองรองสองสายไปยังยอดเขาหิมะพร้อมกับบุรุษชุดเทา
เวลาเดียวกันนี้ในสิ่งก่อสร้างที่พำนักของตระกูลมู่หรงที่ตีนเขาหิมะ ผู้เฒ่าชุดดำผู้นั้นก็แหงนศีรษะมองภาพสถานการณ์บนยอดเขาหิมะที่ปรากฏในลูกบอลผลึกซึ่งมีปราณดำวนเวียนอยู่ลูกหนึ่งเบื้องหน้า สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในนั้นย่อมเป็นป้ายศิลายักษ์นั่น
“แม้ไม่ทราบว่าเหตุใดงานประตูสวรรค์ครั้งนี้จึงจบลงกะทันหัน ทว่าจากที่ดูตอนนี้ ตระกูลมู่หรงของพวกเราน่าจะเข้าไปหนึ่งในสามอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”
ผู้เฒ่าชุดดำสะบัดพัดขนนกในมือ หลังเผยรอยยิ้มเย็นชาจางๆ ออกมาอีกหนก็หมุนร่างออกจากห้องลับกลายเป็นแสงสีดำหอบหนึ่งลอยไปทางยอดเขาหิมะ
ในที่พักของสำนักเฮ่าหราน บัณฑิตวัยกลางคนชุดขาวสองคน เวลานี้สีหน้าเคร่งขรึมสนทนาอันใดเสียงเบาอยู่
“ศิษย์พี่ งานประตูสวรรค์ครั้งนี้จบลงเช่นนี้ได้อย่างไร ลำดับตอนนี้ไม่ดีกับสำนักเฮ่าหรานของพวกเราอย่างที่สุด ครั้งนี้แม้บอกว่าเตรียมตัวไม่เต็มที่ แต่มีหานโยวสตรีผู้นี้ออกโรงก็ไม่น่าถึงกับตกลงมาถึงขั้นนี้กระมัง?” บัณฑิตวัยกลางผู้มีใบหน้าเมตตาคนหนึ่งในนั้นคิ้วขมวดเล็กน้อยเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“สตรีผู้นี้ก่อนหน้านี้ยังอยู่อันดับแปด แต่ไม่ทราบเกิดเรื่องใดขึ้น ชื่อหม่นแสงไปไม่สว่างขึ้นมา ได้ยินว่านางถูกผู้เฒ่าเทียนเหอช่วยออกมาจากแดนลึกลับด้วยตนเอง นอกจากนี้ศิษย์สิบคนของสำนักเราที่เข้าร่วมแข่งขันมีห้าคนตกตายไป เรื่องนี้ในงานครั้งก่อนๆ ก็ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก” ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพที่อายุมากอยู่บ้างอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ในเมื่องานจบสิ้นลงแล้ว พวกเราก็ไปดูสภาพด้านนั้นก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
ทั้งสองคนออกจากที่พำนักในทันที ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพยกแขนเสื้อขึ้นเรียกกระเรียนหน้าผากแดงขนาดไม่กี่จั้งตัวหนึ่งออกมา มันแบกทั้งสองคนขึ้นหลังกลายเป็นแสงสีขาวดวงหนึ่งบินไปยังยอดเขา
พร้อมกับที่ข่าวเรื่องงานประตูสวรรค์จบลงก่อนเวลาแพร่ออกไป ผู้อาวุโสจากนิกายและตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็ยิ่งพากันปรากฏตัวมากขึ้นทุกที พวกเขาบินเร็วรี่มายังทางเข้าแดนลึกลับประตูสวรรค์
“หลิ่วหมิงเด็กคนนี้ถึงกับยังมีชีวิตอยู่ หลงเซวียนอยู่ข้างตัวเจ้าเด็กนี่ทำไมยังลงมือสังหารเขาไม่ได้? พลาดโอกาสนี้ไปยามใดถึงจะมีโอกาสล้างแค้นให้หลานชายของข้าอีก” ในสายลมสีดำหอบหนึ่ง เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น
“อาจารย์ หน้าตาของคนผู้นี้ยามนี้พวกเรารู้ชัดแล้ว วันหน้าโอกาสยังมีอีกมากไม่ต้องรีบร้อนตอนนี้ หลังจากนี้ค่อยให้คนอื่นลงมือก็เหมือนกัน” บุรุษหน้าตาน่ากลัวคนหนึ่งข้างกายเขาเอ่ยอย่างนอบน้อม
“แม้หลงเซวียนยังหยุดอยู่ที่ระดับผลึกขั้นปลาย แต่พลังสูสีทัดเทียมกับเจ้า เขายังลงมือไม่สำเร็จ จะให้ข้าส่งผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้กลุ่มหนึ่งไปไล่ล่าสังหารหลิ่วหมิงงั้นหรือ? ต่อไปใช้สมองก่อนแล้วค่อยพูดกับข้า”
สายลมสีดำถาโถมเพิ่มความเร็วในทันใด เสียง “ควับ” ดังขึ้นทีหนึ่งก็หายไปจากที่เดิม
เวลานี้ใจกลางเวทีบนยอดเขาหิมะศิษย์จากนิกายใหญ่และตระกูลต่างๆ รวมตัวกันอยู่ถึงห้าหกร้อยคน ผู้คนล้อมมุงดูอยู่รอบด้านมากถึงนับพันคน ชั่วขณะหนึ่งที่แห่งนั้นวุ่นวายอย่างที่สุด
พวกหลิ่วหมิง เผิงเยวี่ยกับชายหนุ่มรถเงินนั่งสงบโคจรปราณอยู่ที่เดิม ฟื้นพลังไปพลาง รอคอยคนของแต่ละนิกายเดินทางมารับไปพลาง
แสงสีขาวเรืองรองแถบหนึ่งพุ่งเข้ามาร่อนลงเบื้องหน้าผู้คน หลังแสงเรืองรองดับลงก็เผยผู้เฒ่าคิ้วขาวผู้หนึ่ง คนที่นำคณะของตระกูลโอวหยางมานั่นเอง
“โอวหยางเชี่ยน โอวหยางฉินคารวะปู่รอง!” โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินเห็นเช่นนี้ก็ลุกขึ้นยืน ก้าวเข้าไปข้างหน้าสองสามเก้าประสานมือคารวะไปทางผู้เฒ่าคิ้วขาวแล้วเอ่ยขึ้นทันที
“ดี ดี ดี!” ผู้เฒ่าคิ้วขาวเห็นสตรีสองนางแม้สีหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง ปราณแผ่วจางอยู่บ้าง แต่ดีที่ทั้งร่างไม่มีอาการบาดเจ็บอันใดจึงอดไม่ได้ยินดียิ่งเอ่ยว่า “ดี” ออกมาติดกันสามคำ
ในเวลานี้เองแสงสีเหลืองอีกสายหนึ่งกับหมอกสีเทาก็พัดหวีดหวิดมาหยุดอยู่ไม่ห่างจากพวกหลิ่วหมิง เทียนเกอเจินเหรินประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์กับบุรุษชุดเทาผู้นั้นนั่นเอง
หลังทั้งสองคนเห็นหลัวเทียนเฉิงกับหลิ่วหมิงปลอดภัยดีอยู่ท่ามกลางหมู่คน สีหน้าก็ผ่อนคลายลงในทันใด สายตากวาดผ่านในหมู่คนอีกหนหมายจะค้นหาศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่เหลือ
วินาทีนั้นที่หลิ่วหมิงเห็นเทียนเกอเจินเหริน ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสเถียนแห่งยอดเขาลั่วโยวสั่งไว้ตอนก่อนออกเดินทาง เขาต้องตามหาทานตะวันหัวใจอัคคีอายุพันปีในแดนลึกลับประตูสวรรค์แต่กลับหามาไม่ได้
เดิมทีเขาตั้งใจว่าหลังออกจากแดนแห่งมรดกก็จะตามหาของสิ่งนี้ทันที แต่ไม่คิดว่าเพราะการปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดต่างเผ่าสามตัวนั้นจึงทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันมากมายเช่นนั้น ท้ายที่สุดงานประตูสวรรค์ก็จบลงก่อนเวลาเพื่อจบเรื่อง
“พี่เผิง ข้ากำลังตามหาหญ้าจิตวิญญาณชื่อทานตะวันหัวใจอัคคีที่มีเฉพาะในงานประตูสวรรค์ อายุราวหนึ่งพันปีก็พอ ไม่ทราบก่อนหน้านี้ท่านหาพบหรือไม่ ข้ายินดีใช้หน่อไม้ธรณีม่วงรวมถึงดอกโม่หลัวอายุหนึ่งพันปีต้นหนึ่งแลก” หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไป เอ่ยถามเผิงเยวี่ยด้านข้างเสียงแผ่วเบา
“อ้อ? ทานตะวันหัวใจอัคคีเป็นของที่มีเฉพาะในแดนลึกลับประตูสวรรค์นี้ แต่บังเอิญข้าไม่ได้พบ พี่หลิ่วไม่ลองถามคนอื่นดู” เผิงเยวี่ยขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะบอก
ชายหนุ่มรถเงินด้านข้างเขาได้ยินก็ส่ายศีรษะเล็กน้อยเช่นกัน
“ในมือพี่หลิ่วมีหน่อไม้ธรณีม่วงกับดอกโม่หลัวหรือ?”
เวลานี้เองโอวหยางฉินสาวน้อยชุดเขียวที่เดิมสนทนาอยู่กับผู้เฒ่าคิ้วขาวอีกด้านหนึ่งก็ได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง แรกสุดนางตกตะลึงแต่ทันใดนั้นก็ยินดียิ่ง ขออภัยผู้เฒ่าคำหนึ่งก็ก้าวเดินเข้ามาหลายก้าว เบิกดวงเนตรงามจนโตเอ่ยถามขึ้นมา
“อืม ในมือแม่นางโอวหยางมีของที่ข้าต้องการหรือ?” หลิ่วหมิงคิดไม่ถึงอยู่บ้าง
“คิกคิก พี่หลิ่วลองดูนี่คืออะไร!” โอวหยางฉินได้ยินก็หัวเราะคิกคัก ในมือแสงจิตวิญญาณส่องสว่าง หญ้าจิตวิญญาณที่ส่องแสงสีเหลืองขมุกขมัวต้นหนึ่งปรากฏออกมา
กลีบสีส้มเป็นวงคล้ายดวงตะวันน้อยขับเน้นเกสรรูปวงกลมสีแดงสดที่อยู่ตรงกลาง ประดุจดั่งหัวใจมนุษย์ดวงหนึ่งถูกเปลวเพลิงจิตวิญญาณสีเหลืองอ่อนเล็กๆ ล้อมรอบ
“ไม่ผิด ของสิ่งนี้แหละ!”
สายตาของหลิ่วหมิงเพ่งมอง สำรวจหญ้าจิตวิญญาณต้นนี้ตรงหน้าอย่างละเอียด หลังแน่ใจว่าเหมือนกับคำอธิบายในตำราที่เคยอ่านก่อนหน้านี้ทุกประการก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าออกมาทันที หลังพลิกมือทีหนึ่งก็เรียกหน่อไม้สีม่วงต้นน้อยกับบุปผาจิตวิญญาณงดงามดอกหนึ่งออกมาถือไว้ในมือบ้าง
โอวหยางฉินเห็นของสองสิ่งนี้ สองตาพลันเป็นประกาย โยนหญ้าจิตวิญญาณในมือไปฝั่งตรงข้ามในทันใดแล้วรับหน่อไม้ม่วงกับบุปผาจิตวิญญาณไปอย่างระมัดระวัง
หลิ่วหมิงก็โล่งใจเช่นกัน เขาเก็บทานตะวันดวงใจอัคคีเข้าไปในกล่องหยกใบหนึ่ง จากนั้นเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วนแล้วประสานมือเอ่ยขึ้น
“ครั้งนี้ขอบคุณแม่นางโอวหยางมากจริงๆ!”
“น่าจะเป็นข้าขอบคุณพี่หลิ่วมากถึงจะถูก แม้ทานตะวันดวงใจอัคคีเป็นหญ้าจิตวิญญาณที่มีเฉพาะแดนลึกลับประตูสวรรค์เท่านั้น แต่หญ้าจิตวิญญาณสองต้นนี้ไม่ว่าอายุหรือมูลค่า เมื่อเทียบกับทานตะวันดวงใจอัคคีแล้วล้ำค่ากว่ากันไม่น้อย” สาวน้อยชุดเขียวยิ้มแย้มตอบหลังจากนั้นหมุนตัวออกไป
โอวหยางเชี่ยนที่อยู่ไม่ไกลเห็นฉากนี้ก็ยิ้มหวานให้หลิ่วหมิง
“หลัวเทียนเฉิง หลิ่วหมิง พวกเจ้าสองคนมานี่”
ในตอนนี้เองเทียนเกอเจินเหรินที่อยู่ไม่ไกลก็กวักมือทีหนึ่ง ส่งกระแสจิตเอ่ยสั่ง
หลังหลัวเทียนเฉินมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ทีหนึ่งก็พลันกลายเป็นแสงสีเงินหอบหนึ่งลอยไป
“พี่เผิง ข้าขอตัวก่อน วันหน้ามีวาสนาคงได้พบกันอีก!” หลิ่วหมิงคำนับเผิงเยวี่ยอย่างมีมารยาทหนึ่งหนก็หมุนตัวมองชายหนุ่มรถเงินที่สีหน้านิ่งสงบอยู่ใกล้ๆ ทันใดนั้นคล้ายนึกบางอย่างออกจึงประสานมือให้เขาเอ่ยถามขึ้นว่า
“ข้านามว่าหลิ่วหมิง ยังไม่ทราบเลยว่าท่านเรียกขานว่าอันใด?”
“เยี่ยโจ่งแห่งนิกายเทียนกง” ชายหนุ่มรถเงินยามแรกอึ้งไปนิดหนึ่งแต่ทันใดนั้นก็ขยับยิ้ม ประสานมือเอ่ยตอบ
หลิ่วหมิงพยักหน้า ทันใดนั้นก็ก้าวยาวเดินไปหาเทียนเกอเจินเหริน
หลังการมาถึงของคนที่มารับจากนิกายและตระกูลต่างๆ ไม่นานยันต์รูปร่างต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศบนเขาหิมะ สัญญาณนำทางของนิกายใหญ่ต่างๆ นั่นเอง
ลำแสงรูปร่างต่างๆ หลากสีสันสายแล้วสายเล่าพุ่งขึ้นมาลอยต่ำๆ บนท้องฟ้า ศิษย์นิกายใหญ่แต่ละแห่งล้วนตามหาที่อยู่ของสำนักตนจากสัญญาณ
ในเวลานี้เองกลางท้องฟ้าก็มีแสงดาวระยิบระยับแถบหนึ่งปรากฏขึ้น หลังจากนั้นแรงกดดันมหาศาลก็กดลงมาในทันใด ทำให้ผู้คนที่นั่นล้วนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า
ในเวลาเดียวกันนี้ลำแสงสีม่วงสายหนึ่งกับสีเงินสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากหมู่คน บินเร็วรี่ตรงไปหาแสงดาวระยิบระยับ
หลี่ว์เหมิงบุรุษผมม่วงกับอิ๋นเซ่อสตรีผมเงินผู้นั้นจากหอเป๋ยโต่วนั่นเอง
ตอนที่ 821 อันดับของงานประตูสวรรค์
หลิ่วหมิงที่อยู่กลังร่างเทียนเกอเจินเหรินก็หยุดเท้าทอดสายตามองไปเช่นกัน ในใจคาดเดาได้อยู่เลือนราง แรงกดดันสายนี้เวลานี้เห็นชัดว่าข่มไว้อยู่บ้าง ไม่ได้เผยคมเช่นนั้นเหมือนยามแรก
เป็นอย่างที่คิด เมื่อหลี่ว์เหมิงกับอิ๋นเซ่อสองคนบินจวนเจียนจะถึงสองสามจั้งเบื้องหน้าแสงดาว บุรุษวัยกลางคนหน้าตาเกลี้ยงเกลาอาภรณ์สีเหลืองร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากในแสงดาวระยับระยับ ยืนลอยอยู่กลางอากาศ
ประมุขหอเป๋ยโต่วนั่นเอง
เขาปรากฏตัวออกมาปุบริมฝีปากก็ขมุบขมิบคล้ายกำลังถามไถ่อันใดกับหลี่ว์เหมิงและอิ๋นเซ่ออยู่
ผลสุดท้ายหลังทั้งสองคนทยอยตอบพักหนึ่ง ประมุขหอเป๋ยโต่วถึงเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา หลังจากนั้นแสงดาวเจิดจ้าสายหนึ่งก็ฉายออกมาอีกครั้ง หอบหลี่ว์เหมิงกับอิ๋นเซ่อสองคนร่อนลงบนที่ว่างจุดหนึ่งบนยอดเขา
ผู้คนบนยอดเขาเห็นเช่นนี้ก็ทยอยละสายตาออก ไม่กล้ามองผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้นี้ตรงๆ ต่ออีกแม้แต่น้อย
อีกด้านหนึ่งบุรุษชุดเทาจากนิกายยอดบริสุทธิ์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายเทียนเกอเจินเหริน เหนือศีรษะของเขาปรากฏภาพสัญลักษณ์เหมือนหยินหยางขนาดหลายจั้งภาพหนึ่งกำลังหมุนวนเชื่องช้าอยู่กลางอากาศ
เป็นเช่นนี้ไม่ถึงชั่วจิบชาหนึ่งถ้วย หลงเหยียนเฟยกับศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์อีกสี่คนก็พากันมารวมตัวที่เขา
“ท่านประมุข พวกเรากลับมาแล้ว” หลงเหยียนเฟยประสานหมัดเอ่ยกับเทียนเกอเจินเหรินอย่างนอบน้อม
“ครานี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว โคจรปราณดีๆ สักพักก่อน เรื่องอื่นกลับไปค่อยว่ากัน” หลังเทียนเกอเจินเหรินพยักหน้าเบาๆ ก็ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าจริงจังมองไปหาป้ายยักษ์ค้ำฟ้าแผ่นนั้นนอกแดนลึกลับประตูสวรรค์
แม้งานประตูสวรรค์สิ้นสุดเร็วขึ้น แต่บนป้ายศิลายังคงแสดงลำดับโชคชะตาของทุกคนอย่างชัดเจน เพียงแต่คนที่เข้าไปในแดนมรดกเช่นพวกหลิ่วหมิงไม่ทราบถูกสัตว์ประหลาดสามตัวนั้นใช้เล่ห์กลอันใด แม้ออกมาจากแดนลึกลับแล้ว แต่ชื่อบนป้ายศิลาก็ยังคงหม่นหมองไร้แสง คล้ายตกอยู่ในชั้นจำกัด
อันดับหนึ่งตอนนี้ยังคงเป็นสตรีผมเงินจากหอเป๋ยโต่ว มีโซ่สีทองมากถึงสามเส้น อันดับสองกับอันดับสามกลับเป็นเซียนหงส์ดำกับพี่ชายจากตระกูลมู่หรง ทว่ามีโซ่ทองเพียงครึ่งเส้นเท่านั้น สิบอันดับแรกที่ตามติดมาหลังจากนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นคนของสี่ยอดนิกายใหญ่กับแปดตระกูลใหญ่ เพียงแต่นิกายยอดบริสุทธิ์กับนิกายเทียนกงกลับไม่มีสักคน
ถัดไปอีกหลงเหยียนเฟยอยู่ที่ลำดับสิบเจ็ดมีโซ่เงินแปดเส้น ศิษย์คนอื่นที่เหลือส่วนใหญ่ก็อยู่ลำดับที่ยี่สิบกว่า
หากบทสรุปเป็นเช่นนี้จริง ถ้าเช่นนั้นการเดินทางมางานประตูสวรรค์ครั้งนี้ของนิกายยอดบริสุทธิ์ก็เรียกได้ว่าเสียหน้าหมดสิ้นแล้วจริงๆ
ข้างกายเผิงเยวี่ยกับเยี่ยโจ่งชายหนุ่มรถเงินจากนิกายเทียนกง ยังมีศิษย์แต่งกายด้วยอาภรณ์สีเหลืองของนิกายเทียนกงอีกหลายคนอยู่ด้วย
เบื้องหน้าศิษย์ทั้งหลาย บุรุษวัยกลางคนสวมเสื้อตัวสั้นสีเหลืองสามคนยืนอยู่ สีหน้าไม่ค่อยน่าดูนัก
เห็นชัดว่าอันดับของนิกายในวันนี้ผิดจากที่พวกเขาคาดไว้มาก แต้มโชคชะตาไม่เพียงไม่ถึงสิบอันดับแรก แต่ถึงขั้นต่ำกว่านิกายยอดบริสุทธิ์ที่ไม่เข้าสิบอันดับแรกเหมือนกันอยู่หลายอันดับ จวนเจียนอยู่อันดับที่สิบห้า
“ฮ่าฮ่า! เซวี่ยเยวี่ย เฟิ่งเอ๋อร์ พวกเจ้าสองคนทำได้ดีมาก แม้น้อยกว่าแม่สาวคนนั้นจากหอเป๋ยโต่วอยู่นิดหนึ่ง แต่นับโดยรวมแล้วตระกูลมู่หรงของเราก็ได้ที่หนึ่ง!” อีกด้านหนึ่ง ผู้เฒ่าชุดดำของตระกูลมู่หรงมองเซียนหงส์ดำกับมู่หรงเซวี่ยเยี่ยพี่ชายของนางเบื้องหน้าแล้วอดไม่ได้ลูบเครายิ้มกว้าง
“ผู้อาวุโสใหญ่ชมเกินไปแล้ว!” มู่หรงเซวี่ยเยวี่ยยิ้มเล็กน้อย
“นี่ต้องขอบคุณที่พี่ใหญ่อยู่ มิเช่นนั้นลำพังข้าตัวคนเดียวคงไร้หนทางเอาโชคชะตามากมายเช่นนี้มา” เซียนหงส์ดำยิ้มน้อยๆ เช่นกัน
เวลานี้เองเสียงครืนครางพักหนึ่งก็พลันดังออกมาจากท้องฟ้า ป้ายศิลาโชคชะตาที่เดิมทีตั้งตระหง่านสูงเทียมเมฆฉับพลันปรากฏอักขระหลากหลายสีสัน ทั้งยังระเบิดดังปังๆ ต่อเนื่องก่อนที่ปราณสีเลือดชั้นหนึ่งจะสลายหายไป
ชื่อของพวกหลิ่วหมิงที่เดิมทีหม่นแสงอย่างผิดปกติอยู่บนป้ายศิลา ทันใดนั้นก็กะพริบระรัว จากนั้นฟื้นคืนสีสันที่หม่นหมองกลับมาอีกครั้ง
“ต่อจากนี้เชิญศิษย์ที่ชื่อถูกผนึกบนป้ายศิลาเดินมาหน้าป้ายศิลานี้ตอนนี้ด้วย” เสวียนอู่ผู้สวมหน้ากากทองแดงฉับพลันลุกขึ้นยืน มองรอบด้านแล้วเอ่ยเสียงดัง
หมู่คนใกล้ๆ วุ่นวายพักหนึ่งในทันใด ทว่าต่อจากนั้นแสงสีม่วงหอบหนึ่งก็ส่องสว่างแล้วปรากฏตัวเบื้องหน้าป้ายศิลา เมื่อแสงสว่างดับลง หลี่ว์เหมิงบุรุษผมม่วงจากหอเป๋ยโต่วก็ปรากฏตัว
“โซ่โชคชะตาบนมือของผู้อื่นตอนออกจากแดนลึกลับประตูสวรรค์ได้หายไปหมดแล้ว แต่เนื่องจากพวกเจ้าได้รับผลกระทบจากชั้นจำกัด โชคชะตาในโซ่โชคชะตาจึงไม่อาจคำนวณรวมกับบนป้ายศิลาได้ ตอนนี้บีบมันให้แหลกปล่อยโชคชะตาออกมาเป็นใช้ได้” บุรุษหน้ากากทองแดงหมุนตัวมาเอ่ยอธิบายกับบุรุษผมม่วงช้าๆ
หลิ่วหมิงได้ยินก็มองโซ่โชคชะตาในมือทีหนึ่ง จากนั้นเมื่อสบตากับหลัวเทียนเฉิงด้านข้าง ทั้งคู่ก็เผยสีหน้าเข้าใจจางๆ
เสียง “ปัง” ดังขึ้นทีหนึ่ง
นิ้วของบุรุษผมม่วงขยับบีบเบาๆ โซ่น้อยสีเงินบนข้อมือก็พลันแตกกระจาย ไอหมอกสีเทาสายแล้สายเล่าพุ่งออกมาต่อเนื่องไม่ขาดสาย มุดเข้าไปในป้ายศิลาข้างตัวเขาในคราวเดียว
ชื่อที่เดิมทีหม่นหมองไร้แสงอยู่อันดับที่ยี่สิบกว่าฉับพลันสว่างพรึ่บขึ้นมา โซ่สีเงินที่เดิมทีมีหกเส้นด้านหลังชื่อปรากฏโซ่ทองแดงเส้นแล้วเส้นเล่าออกมาไม่หยุด เมื่อโซ่ทองแดงเต็มสิบเส้นก็พลันเปลี่ยนเป็นโซ่เงินเส้นที่เจ็ด
ไม่นานนัก โซ่เงินสิบเส้นฉับพลันก็หายไปกลายเป็นโซ่ทองเส้นหนึ่งแล้วยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด
หลังเจ็ดแปดลมหายใจ จำนวนโซ่ทองด้านหลังชื่อของบุรุษผมม่วงก็หยุดนิ่งอยู่ที่สามเส้น นอกจาอนี้ยังมีโซ่เงินอีกเก้าเส้น ชื่อของเขากะพริบวูบหนึ่งก็กระโดดไปครองอันดับที่หนึ่งทันที!
เห็นภาพเช่นนี้ผู้คนที่นั่นก็ล้วนตกตะลึงในทันใด เรื่องนี้ชักนำให้ผู้คนถกเถียงกันฮือฮาพักหนึ่ง เสียงกระซิบกระซาบดังลอยมาเป็นระลอกๆ
“พวกเจ้าสองคนก็ไปด้วยเถอะ” เทียนเกอเจินเหรินเห็นลำดับที่เปลี่ยนแปลงไป บนหน้าก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย หันกลับมาเอ่ยกับทั้งสองคนช้าๆ ทันที
“ทราบ ท่านประมุข” พวกหลิ่วหมิงได้ยินก็ประสานมือเอ่ยตอบเป็นเสียงเดียว
ในเวลาเดียวกันนี้ คนสิบกว่าคนเช่นเผิงเยวี่ยกับชายหนุ่มรถเงิน พี่น้องโอวหยางเป็นต้นที่ก่อนหน้านี้เข้าไปยังแดนมรดกของผู้เฒ่าหลัวก็พากันขยับร่าง มารวมตัวกันเบื้องหน้าป้ายศิลา
หลังบุรุษผมม่วงเดินไปด้านข้าง เผิงเยวี่ยแห่งนิกายเทียนกงก็ก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาบีบโซ่โชคชะตาบนข้อมือทีเดียวแหลก ไอหมอกสีเทาสายแล้วสายเล่าทะลักออกมามุดเข้าไปในป้ายศิลา ลำดับของเขาที่เดิมทีอยู่อันดับที่สามสิบกว่าฉับพลันกลายมาเป็นอันดับที่สิบห้า
ต่อจากนั้นชายหนุ่มรถเงินจากนิกายเทียนคงก็บีบโซ่โชคชะตาบ้าง อันดับของเขาจากเดิมอันดับที่สิบหกฉับพลันก็กระโดดมาถึงอันดับที่สาม มีโซ่สีทองเพิ่มขึ้นมาถึงสองเส้น แซงหน้ามู่หรงเซวี่ยเยวี่ย มาอยู่หลังสตรีหอเป๋ยโต่ว
เมื่อเห็นว่าในสามคนที่ก้าวออกมา มีถึงสองคนแซงพี่น้องเซียนหงส์ดำได้ รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้เฒ่าชุดดำแห่งตระกูลมู่หรงก็ชะงักค้างในทันใด หางตากระตุกเล็กน้อย สีหน้าไม่น่าดูเท่าไรแล้ว
มู่หรงเซวี่ยเหยี่ยแค่นเสียงหยันคำหนึ่ง สายตาก็ทะมึนลงเช่นเดียวกัน
บุรุษวัยกลางคนสามคนที่นำคณะของนิกายเทียนกงมา สีหน้ากังวลบนใบหน้ากลับเปลี่ยนกลายเป็นสีหน้ายินดีในทันที
หลังจากนั้นสองพี่น้องโอวหยางเชี่ยน โอวหยางฉิน เซวียผานกับบุรุษหน้าเหยี่ยวจากหุบเขาปีศาจสวรรค์ หลงเซวียนชายหนุ่มอัปลักษ์ผู้นั้นจากนิกายปีศาจลี้ลับก็ก้าวขึ้นมาทยอยบีบโซ่โชคชะตาทีละคนๆ ไอสีเทาสายแล้วสายเล่าลอยออกมาจมเข้าไปกลางป้ายศิลาทันที ชื่อบนป้ายศิลาเปลี่ยนแปลงอย่างเร็วไว พวกเขาส่วนใหญ่เข้าไปอยู่สิบอันดับแรก เพียงแต่ไม่ได้แซงสองคนจากตระกูลมู่หรง
โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินได้อันดับที่แปดกับอันดับที่เก้า ส่วนเซวียผานอันดับที่สิบหก หลงเซวียนกับบุรุษหน้าเหยี่ยวอันดับที่เจ็ดกับที่แปด ส่วนสตรีชุดเขียวจากสำนักเฮ่าหรานแซงเซียนหงส์ดำไปอยู่หลังมู่หรงเซวี่ยเยวี่ยตรงลำดับที่ห้า เซียนหงส์ดำตกมาอยู่อันดับที่หก
ทุกคนที่ก้าวเข้าไปบีบโซ่หยกชักนำให้ผู้คนที่ล้อมดูอยู่รอบด้านตกตะลึงจนอุทานฮือฮา ในที่สุดก็ผลัดถึงตาหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิง สองคนจากนิกายยอดบริสุทธิ์
หลัวเทียนเฉิงเวลานี้คิ้วขมวดแน่น ในใจมีรสชาติที่บอกไม่ถูก ยามนั้นเพื่อรักษาชีวิตตน เขาบีบโซ่โชคชะตาจนแหลกในสถานการณ์วิกฤตจนเสียโชคชะตาไปครึ่งหนึ่ง ไหนเลยจะคาดคิดว่ากลับไม่ถูกเคลื่อนย้ายออกจากแดนลึกลับแต่ตกไปอยู่ในสถานที่อันตราย
ฝ่ามือของเขาสั่นเล็กน้อย โซ่น้อยสีเงินที่ข้อมือส่งเสียงดัง “แครก” ถูกกระแทกทีเดียวก็แตกร้าวเป็นเส้นยาว ไอหมอกสีเทาก้อนหนึ่งแห่ออกมาพุ่งเข้าไปยังป้ายศิลาทันที
ภาพสัญลักษณ์โซ่ทองหลังชื่อเขาพริบตาก็ส่องสว่างมีมากถึงเกือบสองเส้น เทียบกับชายหนุ่มรถเงินมีโซ่สีทองน้อยกว่าครึ่งเส้นเท่านั้น ลำดับเลื่อนพรึ่บทีเดียวมาปรากฏตรงตำแหน่งที่สี่ แทนที่มู่หรงเซวี่ยเยวี่ย…
ภาพนี้ดึงความสนใจของคนจำนวนมากที่นั่นอีกครั้ง พวกเขาหันสายตาพรึ่บมารวมอยู่ที่ร่างของหลัวเทียนเฉิงพร้อมกันโดยไม่ได้นัด
หลัวเทียนเฉิงกลับสีหน้าหม่นหมองวูบหนึ่ง ไม่ค่อยพอใจกับคะแนนนี้นัก
“หลัวเทียนเฉิงเด็กคนนี้ไม่ทรยศความหวังของพวกเราจริงๆ ร่างจิตวิญญาณตูเทียนเป็นสิ่งที่ร้ายกาจไม่ธรรมดาโดยแท้ ระดับผลึกขั้นต้นก็ได้คะแนนเช่นนี้มาได้!” บริเวณนิกายยอดบริสุทธิ์ บุรุษชุดเทาดวงตาเปล่งประกายเอ่ยขึ้นในทันใด
“อืม ได้โชคชะตามากมายเช่นนี้มาได้ ไม่ง่ายจริงๆ” เทียนเกอเจินเหรินด้านข้างกลับขมวดคิ้ว ในดวงตาแววตาผิดหวังเล็กน้อยฉายผ่านไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ขณะที่สายตาของคนส่วนใหญ่รวมอยู่บนร่างหลัวเทียนเฉิงนั่นเอง หลิ่วหมิงก็ก้าวเข้าไปสองสามก้าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า บีบโซ่สีเงินในมือทีเดียวจนแหลก
“ปัง” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นทีหนึ่ง
ไอหมอกสีเทาจำนวนมากฉับพลันโถมทะลักออกมาจากด้านในต่อเนื่องไม่ขาดสาย จมลงไปในป้ายศิลาประหนึ่งคลื่นซัด
ภาพโซ่น้อยด้านหลังชื่อเขาทยอยส่องแสงสว่างพุ่งไปรอบด้าน หนึ่งเส้น สองเส้น…
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ดึงความสนใจของทุกคนที่นั่นไปอีกหนในทันที
นาทีนี้คล้ายกับว่าคนทั้งหมดที่นั่นล้วนกลั้นหายใจ
หลังผ่านไปสิบกว่าลมหายใจเต็มๆ ไอสีเทาถึงหยุดทะลักออกมาจากข้อมือของหลิ่วหมิง
ทันใดนั้นแต้มโชคชะตาของหลิ่วหมิงก็หยุดอยู่ที่โซ่สีทองสามเส้นกับโซ่สีเงินเก้าเส้น ลำดับของเขาจึงกระโดดขึ้นไปอยู่ตำแหน่งที่หนึ่งเคียงคู่กับบุรุษผมม่วง ผู้คนด้านหลังร่วงหล่นลงไปหนึ่งอันดับทั้งหมด
ภาพนี้ย่อมเหนือความคาดคิดของผู้คนอย่างยิ่ง คนไม่น้อยที่ล้อมชมอยู่เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
ทั้งที่นั่นเงียบกริบ!
หลัวเทียนเฉิงด้านข้างยิ่งเบิกตาโต จ้องป้ายศิลาเขม็ง
หลี่ว์เหมิงบุรุษผมม่วงสองตาก็หรี่มองมาหาหลิ่วหมิงเช่นกัน ในดวงตามีประกายสายฟ้าสีม่วงแลบอยู่เลือนราง
บนหน้าเทียนเกอเจินเหรินมีสีหน้าคาดไม่ถึงแล่นผ่านไป แต่ท้ายที่สุดก็แย้มรอยยิ้มจางๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น