ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 82-93
ตอนที่ 82 ซือหม่าเทียน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เขาก็คือสือเจียนที่เคยไปหาหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น ภรรยาคู่รักฝึกฝนที่ชื่อลวี่อวิ๋นก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน และคนอีกสองคนคือชายฉกรรจ์ที่สวมชุดทะมัดทะแมงกับชายหนุ่มสวมห่วงสีเลือดเจ็ดแปดวงไว้บนแขนทั้งสอง
“ถ้าไปอุโมงค์หมื่นกระดูกล่ะก็จะต้องมีอาจารย์จิตวิญญาณคนหนึ่งพาไปอย่างแน่นอน ถึงแม้พวกเราจะรู้ว่าเจ้าเด็กนั่นก็อยู่ในนั้นด้วยก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ เจ้าเด็กนี่ช่างเฉียบขาดจริงๆ เพื่อที่จะหลบเลี่ยงพวกเราไม่คาดคิดว่าเขาจะกล้าไปสถานที่อย่างอุโมงค์หมื่นกระดูกนั่น เขาไม่กลัวว่าจะไปแล้วไม่ได้กลับเลยหรือ? ศิษย์พี่อู๋ท่านมีประสบการณ์มามาก พอจะมีข้อคิดเห็นดีๆ บ้างไหม” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนยักคิ้วหันหน้าไปถามชายชุดทะมัดทะแมง
“ในเมื่อเขาไปอุโมงค์หมื่นกระดูก อย่างน้อยก็ไม่คิดกลับนิกายเป็นระยะเวลาสามสี่เดือน ดังนั้นถ้าพวกเราอยากจะหาเรื่องเขาล่ะก็ คงต้องส่งคนเข้าร่วมภารกิจปราบปรามที่อุโมงค์หมื่นกระดูกด้วยถึงจะมีโอกาส” ชายชุดทะมัดทะแมงกล่าวออกมาช้าๆ
“ศิษย์พี่อู๋อย่าพูดล้อเล่นเลย ถึงแม้จะสังหารปีศาจกระดูกแค่ตนเดียวก็แต้มคุณูปการเป็นรางวัลแล้ว แต่มันก็อันตรายเกินไปหน่อย นอกจากคนบ้าที่มีความสุขกับการตามล่าสังหารพวกนั้นแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ถูกอาจารย์ลุง อาจารย์อา บังคับถึงได้ยอมไปรับภารกิจนี้” ชายหนุ่มได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิม
“ถ้าเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ช่างมันเถอะ ข้าไม่ยอมไปอุโมงค์หมื่นกระดูกนั่นหรอก ดีที่ศิษย์น้องเกายังเก็บตัวฝึกฝนอยู่ ยังไม่ทราบเรื่องการหมั้นของมู่หมิงจูกับเจ้าเด็กนี่ รอเจ้าเด็กนี่กลับมาแล้วพวกเราค่อยช่วยศิษย์น้องเกาจัดการกับปัญหานี้ก็ยังไม่สาย” ชายที่แซ่อู๋กล่าว
ชายหนุ่มสวมห่วงสีเลือดได้ยินแล้วได้ยินคำพูดนี้ ก็ได้แต่ขมวดคิ้วโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
“ให้พวกเราไปอุโมงค์หมื่นกระดูกเพียงเพื่อสั่งสอนเจ้าเด็กนี่มันไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าให้ผู้ที่เข้าร่วมภารกิจนี้อยู่แล้วถือโอกาสจัดการเรื่องนี้คงไม่ยาก” สือเจียนกล่าว
“ควรหมายของศิษย์พี่สือคือ……” ชายหนุ่มได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยน
“ข้ารู้จักศิษย์น้องซือหม่าแห่งสาขาหยินทนทรมาณ เหมือนกับว่าครั้งนี้เขาก็ถูกจับให้ไปร่วมภารกิจปราบปรามที่อุโมงค์หมื่นกระดูกด้วย ถ้าหากว่าเขายอมลงมือล่ะก็ กะอีแค่ศิษย์ที่เพิ่งเข้านิกายใหม่ๆ เขาย่อมจัดการได้โดยง่าย แต่ศิษย์น้องซือหม่าเป็นหนึ่งในยี่สิบศิษย์แกนนำที่มีชื่อจารึกไว้บนแผ่นศิลาจันทรา จะให้เขาลงมือได้คงต้องจ่ายไม่น้อย” สือเจียนกล่าวออกมาอย่างช้าๆ
“ไม่เป็นไร พวกเราไม่ได้คิดที่จะสังหารเจ้าเด็กนี่จริงๆ แค่ต้องการสั่งสอนให้โหดเหี้ยมสักหน่อย แล้วให้เขายอมถอนหมั้นก็พอแล้ว เรื่องหินจิตวิญญาณนั้นต้องใช้เท่าไหร่ข้าจะออกให้เอง เช่นนี้แล้วศิษย์พี่อู๋คงไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ แล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา
“ในเมื่อศิษย์น้องซิ่งกล่าวเช่นนี้ย่อมไม่มีปัญหา” ชายชุดทะมัดทะแมงพยักหน้าด้วยตาที่เป็นประกาย
“ดี ศิษย์พี่สือ ช่วงเวลาสองวันนี้ท่านก็หาเวลาไปติดต่อกับศิษย์พี่ซือหม่าเถอะ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่ลังเล
สือเจียนตกปากรับคำออกไป
ดังนั้นเมื่อพวกเขาปรึกษารายละเอียดปลีกย่อยเสร็จแล้วต่างก็แยกย้ายกันออกไป
สามวันต่อมา เริ่มมีศิษย์นิกายสายในจำนวนหนึ่ง ค่อยๆ ทยอยกันมาบริเวณซุ้มประตูขนาดใหญ่นอกนิกายปีศาจ
ส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีอายุประมาณสามสิบสี่สิบปี ศิษย์ที่มีอายุยี่สิบกว่ามีแค่ไม่กี่คน
คนเหล่านี้ต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับมีเรื่องทับถมในใจมากมาย
แต่ก็ยังมีบางคนคุยกันอย่างขบขัน แตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง
ผ่านไปอีกสักครู่ ใต้ซุ้มประตูยักษ์ก็มีศิษย์ชายหญิงสามสิบกว่าคนมารวมตัวกันแล้ว ตอนนี้ถึงมีร่างอรชรอ้อนแอ้นร่างหนึ่งกำลังเดินมาจากที่ไกลๆ นางดูเหมือนจะเดินมาอย่างช้าๆ แต่ที่จริงแล้วเดินมาเร็วมาก
นางผู้นี้มีใบหน้างดงามราวกับดอกท้อ ดูเหมือนจะอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี สวมชุดยาวสีม่วง สีหน้าเย็นยะเยือก
“อา…นางคืออาจารย์อาหลินแห่งเขาระบำปีศาจ!”
“คารวะอาจารย์อา”
“คารวะอาจารย์อาหลิน”
เมื่อศิษย์เหล่านี้เห็นใบหน้าหญิงเสื้อม่วงผู้นี้ชัดเจนแล้ว กว่าครึ่งหนึ่งกลับสูดหายใจเข้าอย่างเย็นสะท้าน ค่อยๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าคารวะด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
นางผู้นี้ก็คือหัวหน้าสาขาระบำปีศาจ ว่ากันว่านางเป็นผู้ที่ฝึกฝนถึงระดับอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางที่หาได้น้อยมาก
“อือ! ลุกขึ้นเถอะ! ใกล้ได้เวลาแล้ว มากันครบหรือยัง?” หญิงแซ่หลินโบกมือให้ศิษย์ทั้งหลายลุกขึ้น นางกวาดสายตามองไปรอบด้านแล้วขมวดคิ้วถามออกไป
“เรียนอาจารย์อาหลิน ดูเหมือนจะขาดไปสองคน” ศิษย์อายุสามสิบกว่าปีที่ดูสุขุมเยือกเย็นผู้หนึ่งรีบก้าวออกไปรายงาน
“ถ้าอย่างนั้นก็รออีกสักหน่อยเถอะ ถ้ายังไม่มาค่อยขีดฆ่ารายชื่อของทั้งสองคนนี้ออกไป!” หญิงแซ่หลินกล่าวออกไปอย่างไม่ลังเล
ศิษย์ผู้นี้ตอบรับกลับไปด้วยความนอบน้อม
ดังนั้นคนทั้งหลายต่างก็รออยู่ที่เดิมต่อไป
แต่ด้วยเหตุที่มีหญิงแซ่หลินผู้นี้อยู่ด้วย ต่างก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ พวกเขายืนเก็บมืออยู่ที่เดิมอย่างว่านอนสอนง่าย
ผ่านไปสักครู่ มีเมฆเทาสองก้อนเหาะมาจากในนิกาย และต่างก็เหาะลงมาคนละด้านของซุ้มประตูยักษ์
คนอื่นๆ เห็นนี้ก็มองออกไปอย่างอดไม่ได้
ขณะที่เมฆเทาทั้งสองลงมาบนพื้นและสลายหายไป เงาร่างของแต่ละคนก็ปรากฏออกมา
คนหนึ่งเป็นชายสีหน้าหม่นหมอง อายุยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปี สวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว แขนเสื้อทั้งของข้างมีรูปหัวกระโหลกติดอยู่
อีกคนหนึ่งกลับดูเหมือนจะเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปี สวมชุดศิษย์นิกายสายในสีเขียวทั้งตัว รูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่
“คารวะอาจารย์อาหลิน”
พอชายสีหน้าหม่นหมองเห็นใบหน้าของหญิงแซ่หลินชัดเจน ก็ดูเหมือนจะตะลึงเล็กน้อย เขารีบก้าวไปคารวะอย่างรวดเร็ว
และเด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปีก็คารวะอย่างเงียบๆ
“ศิษย์หลานซือหม่า ทำไมถึงเป็นเจ้า? การประลองใหญ่ใกล้จะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้แล้ว เจ้าไม่ตั้งใจฝึกฝนอยู่ในนิกายแต่กลับไปอุโมงค์หมื่นกระดูกทำไม?” หญิงแซ่หลินดูเหมือนจะรู้จักชายสีหน้าหม่นหมอง และถามออกไปด้วยตาเป็นประกาย
“อาจารย์อาหลิน ท่านก็ทราบดีว่าถึงแม้การฝึกฝนของข้าจะไม่ใช่เส้นทางสายสังหารโดยเฉพาะ แต่ถ้าหากอยากเพิ่มพลังล่ะก็ ย่อมมีแค่ทำการรบเท่านั้นที่เพิ่มได้รวดเร็วที่สุด” ชายสีหน้าหม่นหมองตอบกลับไปอย่างสงบ
“ได้ยินว่าครั้งก่อนเจ้าบุกเข้าไปถึงชั้นสี่ของอุโมงค์หมื่นกระดูก ครั้งนี้คงไม่คิดที่จะเข้าไปยังชั้นนั้นอีกนะ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็เจ้าคงจะไม่โชคดีเหมือนครั้งที่แล้วที่ยังออกมาได้ครบสามสิบสองประการ หรือว่าศิษย์พี่ฉู่ไม่ได้บอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้” หญิงแซ่หลินกล่าวอย่างราบเรียบ
“ครั้งนี้ศิษย์จะต้องได้ตำแหน่งหนึ่งในสิบอันดับศิษย์แกนนำให้ได้ ขออาจารย์อาอย่าได้ห้ามปรามเลย” ชายใบหน้าหม่นหมองเงยหน้ากล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ช่างเถอะ! ในเมื่อแม้แต่คำพูดของศิษย์พี่ฉู่เจ้าก็ไม่ยอมฟัง คนนอกอย่างข้าก็ไม่อยากยุ่งอะไรมากนัก เจ้าอยากไปก็ไปเถอะ! ส่วนเจ้า…… ดูเหมือนข้าจะคุ้นหน้าเจ้ามาก เจ้าอยู่สาขาไหน? ชื่ออะไร?” คิ้วของหญิงแซ่หลินค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน แล้วมองไปยังเด็กหนุ่มด้านข้างอยู่ครู่หนึ่ง แววฉงนสนเท่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ข้าน้อยไป๋ชงเทียนจากสาขาเก้าทารก คารวะอาจารย์อาหลิน!” เด็กหนุ่มผู้นั้นโค้งตัวกล่าว เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
“ไป๋ชงเทียน เก้าทารก? ที่แท้ก็คือเจ้าหนุ่มน้อยนั่นเอง!” หญิงแซ่หลินได้ยินก็นึกได้ในฉับพลัน และนึกถึงเรื่องที่เขาเกือบจะรับศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณมาเป็นศิษย์ของตัวเอง ในพิธีเปิดจิตวิญญาณในตอนนั้น
“อาจารย์อาหลิน ไม่คาดคิดว่าท่านจะจำข้าน้อยได้!” หลิ่วหมิงกลับรู้สึกตะลึงเล็กน้อย
“ข้าย่อมจำได้แน่นอน แต่ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้านิกายอย่างเจ้าก็กล้าไปอุโมงค์หมื่นกระดูกด้วย ช่างกล้าไม่เบา แต่นี่ก็เป็นการเลือกของเจ้าซึ่งข้าก็จะไม่ห้ามปรามเช่นกัน เอาล่ะ! คนก็มากันพร้อมแล้วออกเดินทางกันเถอะ!” หญิงแซ่หลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พลิกฝ่ามือขึ้นมา น้ำเต้าเล็กๆ สีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกลูกหนึ่งโผล่ออกมาทันที
จากนั้นนางโยนน้ำเต้าขึ้นไปในอากาศ ปากก็ร่ายคาถา และทำท่ามือด้วยมือเดียว
พริบตาเดียว น้ำเต้าก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นและพลิ้วไหวไปตามลม จากนั้นมันก็พลิกคว่ำลงมา หมอกสีขาวแน่นหนาพ่นออกมาจากในนั้น ฉับพลันก็กลายเป็นอสรพิษหมอกสีขาวยาวสามสิบสี่สิบจั้ง
อสรพิษตัวนี้เคลื่อนตัวไปมาราวกับมีชีวิต ครู่เดียวกลิ่นไออันน่าตกใจก็ม้วนตัวออกไป ศิษย์นิกายปีศาจที่ยืนอยู่บริเวณนี้รู้สึกแค่ว่าพายุขาวโพลนได้ก่อนตัวขึ้น จากนั้นต่างก็ค่อยๆ ถอยออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว
คนกว่าครึ่งหนึ่งปรากฏสีหน้าหวาดผวาอย่างอดไม่ได้
ร่างของหญิงแซ่หลินแค่สั่นไหวเล็กน้อย แล้วก็ไปปรากฏอยู่บนหัวของอสรพิษหมอก จากนั้นก็กล่าวกำชับอย่างราบเรียบ
“พวกเจ้ารออะไรกัน ยังไม่ขึ้นมาอีก”
บรรดาศิษย์นิกายปีศาจเพิ่งจะรู้ตัวอย่างฉับพลัน ต่างก็ค่อยๆ พุ่งขึ้นไปบนตัวของอสรพิษหมอก
ครู่ต่อมาก็มีพายุก่อตัวขึ้นใต้ร่างอสรพิษหมอก และพาคนสามสิบกว่าคนพุ่งขึ้นฟ้าเหาะตรงไปยังทิศทางบางแห่ง
“เจ้าคือไป๋ชงเทียน?”
“พอหลิ่วหมิงหาที่นั่งขัดสมาธิลงไปบนอสรพิษหมอกอย่างไม่ใส่ใจแล้ว พลันมีเงาร่างสั่นไหวออกมาตรงหน้าเขา เขาผู้นั้นก็คือชายสีหน้าหม่นหมองที่มาพร้อมกับเขานั่นเอง
“ไม่ผิด คือข้าน้อยเอง ท่านมีธุระอันใด?” หลิ่วหมิงเงยหน้ามองฝ่ายตรงข้ามครู่หนึ่ง รู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของความเป็นศัตรูอยู่ลางๆ เขาจึงตอบกลับไม่อย่างไม่เกรงใจ
“ข้าชื่อซือหม่าเทียนจำไว้ให้ดีล่ะ” ชายสีหน้าหน้าหม่นหมองพินิจดูหลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้วกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“หมายความว่าอย่างไร?” หลิ่วหมิงหรี่ตาถามออกไป
“เพราะว่าพอถึงอุโมงค์หมื่นกระดูกแล้ว พวกเราอาจจะได้เจอหน้ากันบ่อยๆ” ซือหม่าเทียนกล่าวอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็เดินออกไปหาที่นั่งของตัวเอง
หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดไม่มีเหตุผลนี้ เขาก็แค่คิ้วขมวดเล็กน้อย จากนั้นก็หลับตาพักผ่อนด้วยสีหน้าปกติราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของชายสีหน้าหม่นหมอง
ครึ่งเดือนผ่านไป บนท้องฟ้าเหนือพื้นที่แอ่งเล็กๆ ที่มีเขาขนาดต่างๆ หลายสิบลูกล้อมรอบอยู่
เสียงแผดร้องของอสรพิษหมอกตัวหนึ่งดังมาจากที่ไกลๆ ครู่เดียวก็เหาะมาถึงด้านบนอากาศใจกลางค่ายหินขนาดกว้างลี้กว่าๆ แล้วค่อยๆ เหาะลงไปยังพื้นด้านล่าง
ภายใต้การนำของหญิงที่แซ่หลิน หลิ่วหมิงและศิษย์คนอื่นๆ ต่างก็ค่อยๆ ลงไปจากอสรพิษหมอก และสังเกตดูรอบด้านด้วยความแปลกใจ
ค่ายหินนี้เรียบง่ายเป็นพิเศษ นอกจากกำแพงหินสีดำที่สูงหลายจั้งแล้ว สิ่งก่อสร้างภายในก็มีไม่มาก ส่วนมากเป็นบ้านหินเล็กๆ ที่เรียบง่ายเป็นอย่างมาก
และพอมองไปใจกลางค่ายก็ดูเหมือนจะมีคนไม่กี่คน แต่สิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปพอจะมีคนยืนพูดคุยกันอยู่ด้านนอกบ้าง
“ฟังให้ดีนะ ถึงแม้อุโมงค์หมื่นกระดูกจะเป็นของนิกายปีศาจ แต่ก็มีศิษย์นิกายอื่นๆ มาทดสอบอยู่บ้าง ดังนั้นถ้าพบเจอกับศิษย์นอกนิกายก็ไม่ต้องแปลกใจ นอกจากนี้ศิษย์ที่มาอุโมงค์หมื่นกระดูกเป็นครั้งแรก ให้ไปอ่านระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่เขียนอยู่ทางนั้นให้ชัดเจนเสียก่อน อย่าฝ่าฝืนเด็ดขาด ตอนนี้พวกเจ้าสามารถไปได้แล้ว” หญิงแซ่หลินชี้ไปยังป้ายหินที่ตั้งอยู่กลางค่ายที่มีอักขระสีเขียวเขียนอยู่เต็มไปหมดแล้วกล่าวออกมา จากนั้นนางก็เดินไปยังสิ่งก่อสร้างขนาดสูงใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
……………………………………….
ตอนที่ 83 มุกปราณแก่นพิภพกับกระดูกจิตวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอได้ฟังคำพูดนี้ของหญิงแซ่หลินศิษย์กว่าครึ่งหนึ่งก็แยกตัวออกไป บางส่วนก็ตามหญิงแซ่หลินไปยังสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่หลายแห่งนั่น บางส่วนก็ทะยานฟ้าออกไปจากค่ายหิน ซึ่งไปรู้ว่าเหาะไปยังทิศทางใด
เห็นได้ชัดว่ามีแค่หลิ่วหมิงและคนอีกเจ็ดแปดคนเท่านั้นที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก พวกเขาต่างก็มองดูกันครู่หนึ่งแล้วก็พากันเดินไปยังป้ายหินที่อยู่กลางค่ายนั้น
เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงก็อ่านอักขระบนป้ายหินจบ แล้วเดินวนบริเวณค่ายด้านในไปหนึ่งรอบ
เขาค้นพบว่าที่นี่นอกจากค่ายกลเคลื่อนที่ขนาดเล็กที่ใช้ได้เฉพาะสถานการณ์พิเศษแล้ว ยังมีร้านขายของเบ็ดเตล็ดหนึ่งแห่ง ร้านหลอมอาวุธหนึ่งแห่ง ร้านขายของเบ็ดเตล็ดจะมีโอสถทิพย์ น้ำยาจิตวิญญาณเป็นต้น ร้านหลอมอาวุธสามารถซ่อมแซมอาวุธอาญาสิทธิ์ที่เสียหายได้ และยังมีอาวุธอาญาสิทธิ์แบบเรียบง่ายขายด้วย
ส่วนบ้านหินเล็กๆ หลังอื่นๆ เป็นที่พักผ่อนสำหรับศิษย์ที่มาเข้าร่วมภารกิจปราบปรามโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ก่อนจะมาหลิ่วหมิงได้เตรียมเสบียงและสิ่งของทั้งหมดไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้เขาใช้หินจิตวิญญาณแค่ไม่กี่สิบก้อนซื้อแผนที่อุโมงค์หมื่นกระดูกจากร้านขายของเบ็ดเตล็ดมาผืนหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็เหาะออกไปจากค่ายหินพร้อมกับศิษย์คนอื่นๆ
ขณะที่อยู่กลางอากาศ เขากางแผนที่ออกและดูอย่างละเอียดหนึ่งรอบ แล้วหรี่ตาทั้งคู่สังเกตดูบริเวณรอบๆ พื้นที่ที่อยู่ไกลออกไปจากพื้นที่แอ่งกระทะ
ตรงยอดเขาที่อยู่ๆ บริเวณรอบๆ แอ่งกระทะมีเสาหินขนาดต่างๆ ตั้งตระหง่านอยู่ และในพื้นที่แอ่งกระทะมีแท่นหินสีเขียวดำหนึ่งแท่นหรือสองสามแท่นปรากฏอยู่เป็นระยะๆ บนนั้นมีอักขระโบราณจารึกไว้อย่างเรียบง่าย
หลิ่วหมิงมองดูเสาหินและแท่นหินเหล่านี้ แล้วมองแผนที่ในมือครู่หนึ่ง พลันสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวบังคับเมฆเทาให้เหาะสูงขึ้นไป
สามร้อยจั้ง สี่ร้อยจั้ง หกร้อยจั้ง หนึ่งพันจั้ง…
จนเหาะขึ้นสูงพันกว่าจั้งแล้ว หลิ่วหมิงถึงจ้องมองลงไปข้างล่างอย่างละเอียด สุดท้ายเขากลับสูดลมหายใจเข้าด้วยความเย็นสะท้าน
พื้นที่แอ่งกระทะเล็กๆ ทั้งหมดคือค่ายกลกลมๆ ขนาดกว้างหมื่นหมู่ และค่ายหินที่ดูเรียบง่ายนั้นคือศูนย์กลางของค่ายกล
ดูเหมือนว่าอุโมงค์หมื่นกระดูกนี้คงจะน่ากลัวสมคำร่ำลือจริงๆ มิเช่นนั้นแต่ละนิกายคงไม่ร่วมมือกันสร้างค่ายกลปิดผนึกอันน่ากลัวเช่นนี้
ตามข้อมูลที่เขาค้นหามา ว่ากันว่าอุโมงค์หมื่นกระดูกนี้ปรากฏขึ้นหลังจากที่ปราณแก่นพิภพระเบิดขึ้นเมื่อห้าหกพันปีก่อน
ว่ากันว่าในนั้นมีโครงกระดูกมนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ที่ไม่รู้ว่าฝังอยู่ใต้พิภพมากี่หมื่นปีแล้ว ดังนั้นตอนที่ปราณแก่นพิภพระเบิดออกมาทำให้มันทั้งหมดมีชีวิตขึ้นมา และกลายเป็นปีศาจที่คล้ายกับศพกระดูก แต่โครงกระดูกเหล่านี้ถูกฝังมานานเกินไป ตัวที่มีสติปัญญานั้นจึงมีไม่ค่อยมาก ดังนั้นจึงเรียกรวมว่าปีศาจกระดูก
และพลังของปีศาจกระดูกเหล่านี้ ก็แตกต่างกันตามระยะเวลาในการดูดซึมปราณแก่นพิภพ มีตั้งแต่ปีศาจระดับพลทหารที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกปราณ จนถึงปีศาจระดับแม่ทัพที่สามารถต่อสู้กับอาจารย์จิตวิญญาณได้
ยังมีคนบอกว่าชั้นที่อยู่ต่ำสุดของอุโมงค์หมื่นกระดูกมีราชาปีศาจกระดูกอยู่ตนหนึ่ง มันมีพลังของราชาปีศาจที่แท้จริง และสามารถต่อกรกับผู้อาวุโสระดับผลึกได้
แน่นอนว่าคำพูดหลังนี้ไม่ค่อยมีคนเชื่อสักเท่าไหร่ ถ้าหากมีราชาปีศาจกระดูกจริงๆ ผู้อาวุโสระดับผลึกของแต่ละนิกายคงออกโรงตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะยอมปล่อยให้ปีศาจดุร้ายเช่นนี้อาศัยอยู่ในก้นอุโมงค์หมื่นกระดูกได้
และก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุอันใด ถึงไม่สามารถใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสยบจิตและทำให้มันยอมศิโรราบได้ เมื่อมันถูกสังหารแล้วบางครั้งก็มีแค่กระดูกจิตวิญญาณกับปราณแก่นพิภพชนิดหนึ่งที่พอจะมีราคาหน่อย
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ปีศาจในอุโมงค์หมื่นกระดูกรวมพลังกันทำลายผนึกที่แต่ละนิกายได้ร่วมกันสร้างไว้ แต่ละนิกายจึงได้ส่งศิษย์เข้าไปสังหารปีศาจกระดูกครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่น่าเสียดายที่ปราณแก่นพิภพดูเหมือนจะไม่มีวันหมด เลยทำให้ยิ่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วด้านล่างฝังโครงกระดูกไว้มากมายเท่าไหร่ ถึงแม้ในแต่ละปีจะสังหารปีศาจไปไม่น้อย แต่ขณะเดียวกันก็มีปีศาจเกิดขึ้นมาใหม่อีกมากมายเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ แต่ละนิกายต่างก็ส่งศิษย์มาสังเกตการณ์ที่นี่ไว้ และไม่เสียดายที่จะใช้รางวัลจำนวนมากในการดึงดูดให้ศิษย์คนอื่นๆ มาทดสอบที่นี่
แต่หลายร้อยปีมานี้ ไม่รู้ว่านิกายปีศาจตกลงอะไรกับนิกายอื่นๆ ถึงได้ส่งศิษย์มาสังเกตการณ์เพียงนิกายเดียว แน่นอนว่าถ้านิกายอื่นๆ ต่างก็ส่งศิษย์มาที่นี่ล่ะก็นิกายปีศาจย่อมไม่ขัดขวางแต่อย่างใด
ถึงแม้อุโมงค์หมื่นกระดูกจะอยู่มานานขนาดนี้ แต่ก็ยังดูสงบมาโดยตลอด และอันตรายในนั้นล้วนเป็นของจริง
ว่ากันว่าอุโมงค์หมื่นกระดูกนี้มีมากกว่าเก้าชั้น แต่ตอนนี้มีคนเข้าไปได้จริงๆ แค่ห้าชั้นแรกเท่านั้น
และปีศาจกระดูกที่ปรากฏในชั้นหนึ่งถึงสามล้วนเป็นปีศาจระดับพลทหาร ชั้นสี่ชั้นห้ามีปีศาจระดับขุนพล บางทีก็มีปีศาจระดับแม่ทัพปรากฏตัวบ้าง ตั้งแต่ชั้นห้าลงไปก็เป็นโลกของปีศาจระดับแม่ทัพแล้ว ซึ่งแม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณก็ไม่กล้าบุกเข้าไปในนั้น
ด้วยเหตุนี้ศิษย์ที่มาที่นี่โดยทั่วไปจะกวาดล้างไปได้แค่สามชั้นแรกเท่านั้น ผู้ที่กล้าบุกเข้าไปชั้นที่สี่ได้นั้น ถ้าไม่ใช่ผู้กล้าที่มีฝีมือสูงส่ง ก็เป็นผู้ที่มีอาจารย์จิตวิญญาณนำเข้าไปด้วย
หลิ่วหมิงมองลงมาจากอากาศอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่คิดชั่งน้ำหนักข้อมูลที่เกี่ยวข้องแล้ว ถึงบังคับเมฆให้ร่อนลงไปด้านล่าง ครู่เดียวก็มาถึงบนยอดเขาลูกเขาที่อยู่ตรงขอบพื้นที่แอ่งกระทะ
บนกำแพงหินที่อยู่ห่างจากเขาสิบกว่าจั้ง มีอุโมงค์สูงหลายจั้งที่ถูกแสงสีขาวปกคลุมทางเข้าไว้
นี่คือหนึ่งในทางเข้าสู่อุโมงค์หมื่นกระดูก ทางเข้าแบบเดียวกันตั้งอยู่ทั่วทุกแห่งในพื้นที่แอ่งกระทะนี้ ว่ากันว่ามีทางเข้าทั้งหมดเกือบร้อยกว่าที่
และแสงสีขาวตรงทางเข้านั้น มันคือผนึกจำกัดปีศาจชั้นยอด ที่ควบคุมปีศาจห้ามปีศาจไม่ให้ออกมา แต่ไม่มีผลอะไรต่อศิษย์แต่ละนิกายที่เข้าไป
หลิ่วหมิงก้าวยาวๆ เดินไปยังอุโมงค์ทางเข้า ครู่เดียวแสงสีขาวก็เปล่งประกาย ร่างของเขาก็จมหายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย
พอเข้าไปในม่านแสงแล้ว ข้างในเป็นทางสายหนึ่งที่ยาวสิบกว่าจั้ง ถึงแม้ผนังหินทั้งสองข้างจะเกลี้ยงเกลา แต่มันก็ไม่ราบเรียบทั้งหมด เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์
แต่บนผนังหินมีแสงสีขาวจางๆ เปล่งออกมา ทำให้ทางเดินทั้งสายดูสว่างกว่าปกติ
ภายใต้ความแปลกใจ หลิ่วหมิงเดินไปตรวจดูผนังหินด้านหนึ่งอย่างละเอียด จากนั้นจึงเขี่ยผลึกหินโปร่งแสงที่เปล่งแสงอยู่ลงมาก้อนหนึ่ง
ผลึกหินเหล่านี้ดูคล้ายหินจิตวิญญาณ แต่ดูขุ่นกว่าปกติ ทั้งยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอพลังของมัน
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะ โยนผลึกหินในมือทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นมือข้างหนึ่งตบลงบนถุงหนังที่อยู่ตรงเอว แสงสีดำม้วนตัวออกมา แมงป่องกระดูกขาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางแสงสีเขียวที่ปกคลุม
“ไป!”
หลิ่วหมิงชี้ไปข้างหน้าแล้วตะโกนออกไป
ชั่วพริบตานั้นเองแมงป่องกระดูกขาวก็กระโดดตัวขึ้นแล้วกระโจนหายเข้าไปท่ามกลางเงามืดที่อยู่ด้านหน้า
หลิ่วหมิงลูบห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ที่สวมอยู่ แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
เดินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็มีอุโมงค์ขนาดกว้างสิบกว่าจั้งปรากฏอยู่ด้านหน้า ทางเดินสามสายที่แตกต่างกันต่างก็ดูเหมือนจะทอดลงไปยังด้านล่างที่ลึกลงไป
หลิ่วหมิงเลือกเดินไปยังเส้นทางสายหนึ่งอย่างไม่ลังเล
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงไม่รู้ว่าตนเองผ่านอุโมงค์ไปกี่แห่ง ทะลุเส้นทางไปแล้วกี่สาย แต่รับรู้ได้ลางๆ ว่าตนเองคงจะอยู่ชั้นใต้ดินลึกๆ แล้ว
แม้แต่ผลึกหินที่เปล่งแสงบนทางเดินทั้งสองข้างก็เริ่มมีน้อยลง บรรยากาศรอบด้านดูสลัวๆ จนทำให้รู้สึกใจเต้นโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่หลิ่วหมิงเลี้ยวโค้งออกมาจากปากทางสายหนึ่งนั้น สิ่งของบางอย่างกระโดดขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณนั้น แล้วกระโจนมายังด้านหน้าเขา
เสียงดัง “เพล้ง!”
ร่างของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวหลบหลีกฝ่ายตรงข้ามได้ หลังจากที่เขาขยับแขนก็บังเกิดหมัดที่ปกคลุมด้วยแสงสีเหลืองทุบลงไปบนเงาดำนั้นอย่างรุนแรง
เงาดำกระเด็นออกไปกระแทกกับพื้นข้างทางเดินทันที และมีเสียงแตกกระจายดังออกมา
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้จ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ มันคือปีศาจกระดูกที่ยาวไม่เกินครึ่งฉื่อ ร่างครึ่งหนึ่งของมันถูกหมัดเมื่อครู่ของเขาทุบจนแตกละเอียด แต่ส่วนที่เหลืออยู่ของมันถูกกระตุ้นด้วยมุกสีดำที่ฝังอยู่ในหัวและปล่งประกายอยู่ไม่หยุด มันยังคงพยายามที่จะลุกขึ้นมา
เสียงดัง “ซู่!”
เส้นสีดำกะพริบผ่านไป พริบตาเดียวก็เจาะทะลุหัวเล็กๆ ของปีศาจกระดูก หลังจากที่มันถูกดึงกลับมาอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพเบลอ ร่างที่เหลือของปีศาจกระดูกก็แยกจากกัน
มือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงคว้าไปในกลางอากาศ
หัวเล็กๆ ของปีศาจกระดูกก็ลอยเข้ามา แล้วมือเขาก็คว้าได้ในทันที
นิ้วทั้งห้าแค่ออกแรงเล็กน้อย พลังมหาศาลบางอย่างก็พุ่งออกมาบีบหัวของมันจนแตกละเอียด มุกกลมๆ สีดำที่ฝังอยู่ในนั้นกลิ้งออกมาแล้วตกลงบนมือเขาในทันที
หลิ่วหมิงพินิจดูมุกขนาดใหญ่ไม่เท่าเม็ดถั่วที่อยู่ในมือ เขาคาดว่ามันคงจะนำไปแลกแต้มคุณูปการได้สองแต้ม ทันใดนั้นแมงป่องกระดูกขาวก็พุ่งทะลุขึ้นมาจากพื้น และแหงนหน้ามองลูกดำๆ ในมือของหลิ่วหมิง และยังส่งเสียงร้องเบาๆ
“เจ้าอยากได้ของสิ่งนี้?”
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอคิดไปคิดมาก็โยนมุกในมือให้กับมันไป
แมงป่องกระดูกขาวกระโดดขึ้นมากลางอากาศ มันงับมุกสีดำแล้วกลืนลงไปในท้องทันที จากนั้นก็นอนคว่ำอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน
หลิ่วหมิงสังเกตดูปีศาจตนนี้ครู่หนึ่ง แต่ไม่ค้นพบปกความผิดปกติใดๆ เขาจึงส่ายศีรษะแล้วเดินหน้าไปต่อ
……
สามวันต่อมา
เสียงดัง “ตู้ม!” หัวกระโหลกของปีศาจกระดูกมนุษย์ถูกลูกเปลวไฟลูกหนึ่งระเบิดใส่จนแตกกระจายไปทั่วทิศ ในขณะเดียวมุกกลมสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วปากอ้าก็กลิ้งออกมา ร่างไร้หัวสีขาวแกว่งไหวไปมาแล้วกลายเป็นเถ้ากระดูกกองอยู่บนพื้น
เสียงดัง “ซู่!” หลังจากเงาร่างสีเขียวแวบผ่านไป มุกสีดำบนพื้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงมองดูแมงป่องกระดูกขาวที่แหงนหน้าและส่งเสียงเคี้ยวดัง “กรอบแกรบ!” แล้วก็อดที่จะทำตาขาวมองบนไม่ได้
นี่เป็นมุกไอแก่นพิภพของปีศาจระดับพลทหาร นำไปแลกแต้มคุณูปการได้อย่างน้อยสามสี่แต้ม แต่กลับยอมให้ปีศาจกระดูกขาวกินเข้าไปเช่นนี้ ในใจเขาย่อมรู้สึกเจ็บปวดเป็นธรรมดา
นี่เป็นปีศาจกระดูกมนุษย์ระดับพลทหารที่หลายวันมานี้เขาเพิ่งจะพบเจอ ซึ่งไม่เหมือนกับปีศาจกระดูกกระต่าย ปีศาจกระดูกหนู ซึ่งเป็นปีศาจกระดูกขนาดเล็กที่เขาพบก่อนหน้านั้น
แต่ตั้งแต่เขาค้นพบว่าไอสีเขียวบนร่างของแมงป่องกระดูกขาวที่กลืนกินมุกไอแก่นพิภพเข้าไปเจ็ดแปดเม็ดนั้น เข้มข้นกว่าเมื่อก่อนมาก เขาก็ไม่คิดที่คัดค้านท่าทีการแย่งชิงมุกไอแก่นพิภพของแมงป่องกระดูกขาวตัวนี้อีก
ตอนที่แมงป่องกระดูกขาวกินมุกสีดำเสร็จแล้ว ก็หันหลังกลับไปใช้ก้ามดึงกระดูกชิ้นเล็กๆ ยาวหลายชุ่น และดูโปร่งแสงกว่าปกติชิ้นหนึ่งออกมาจากกองเถ้ากระดูก
สีหน้าของหลิ่วหมิงเปลี่ยนไป เขารีบเดินหน้าไปแย่งกระดูกชิ้นเล็กทันที หลังจากที่พินิจอย่างละเอียดก็ดูออกว่ามันคืออะไร และเขาก็ยิ้มพูดกับตัวเองขึ้นมา
“ที่แท้ก็คือกระดูกจิตวิญญาณ น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะมีอายุแค่สิบปีเท่านั้น แต่มันก็แลกหินจิตวิญญาณได้ร้อยกว่าก้อน”
……………………………………….
ตอนที่ 84 ปีศาจกระดูก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงยิ้มและเก็บกระดูกจิตวิญญาณขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปยังทางเดินด้านหน้าต่อ
เจ็ดวันผ่านไป โพรงใต้ดินขนาดกว้างใหญ่เป็นพิเศษแห่งหนึ่งของอุโมงค์หมื่นกระดูก
หลิ่วหมิงกลายร่างเป็นเงาเคลื่อนไหวไปทั่วทิศเพื่อหลบปีศาจกระดูกอสรพิษหลายตัวที่ไล่ล่าเขาอยู่ พร้อมกับร่ายคาถาไปด้วย เมื่อเขายกมือทั้งสองขึ้นคมวายุสีเขียวเจ็ดแปดเส้นก็พุ่งยิงติดต่อกันออกไป พริบตาเดียวปีศาจกระดูกอสรพิษก็ถูกฟันออกเป็นหลายชิ้น
ร่างตรงส่วนที่ถูกฟันออกจากกัน มีแค่ไอสีขาวเทาพรุ่งพรูออกมา จากนั้นมันก็ดึงร่างส่วนที่ถูกแยกออกจากกันมาประสานกันดังเดิม
แต่ช่วงระหว่างนั้น เส้นสีดำหลายเส้นได้กะพริบผ่านไปเจาะลงบนหัวของกระดูกอสรพิษสองตน หลังจากที่มันค่อยๆ สั่นไหว หัวปีศาจทั้งสองตนนี้ก็สั่นสะเทือนจนแตกละเอียดเป็นจุน
ในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงใช้ความเร็วที่ไม่คาดไม่ถึงจนดูลางเลือนเข้าไปประชิดอยู่ข้างตัวปีศาจกระดูกอสรพิษตนสุดท้าย มือข้างหนึ่งบีบตรงตำแหน่งเจ็ดชุ่นที่เป็นจุดตายของมันไว้แน่น หัวพยัคฆ์สีเหลืองเปล่งออกมาจากห่วงบนข้อมือ พร้อมกับคลื่นเสียงที่ม้วนตัวออกไปและสั่นสะเทือนจนหัวของมันแตกละเอียดเป็นจุน
มุกสีดำสามเม็ดกลิ้งออกมาทันที!
……
ครึ่งเดือนต่อมา บนทางเดินสายหนึ่งตรงชั้นสองของอุโมงค์หมื่นกระดูก หลิ่วหมิงจ้องมองปีศาจกระดูกรูปร่างสูงใหญ่ที่ดูคล้ายชะนีตนหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ปีศาจตนนี้แตกต่างจากที่เคยพบเจอในก่อนหน้า บนร่างของมันมีข้อต่อกระดูกขนาดใหญ่จำนวนหนึ่ง เปลวไฟสีเขียวลุกไหม้อยู่ในเบ้าตาทั้งสองไม่หยุด ดูราวกับว่ามันพอมีสติปัญญาอยู่บ้าง
และสถานที่ที่อยู่ไม่ไกล ไอสีเขียวพุ่งออกมาจากร่างของแมงป่องกระดูกขาว หางตะขอของมันกระดกขึ้นมาราวกับว่าเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ปีศาจตนนี้เป็นถึงปีศาจระดับขุนพล!
ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงก็ต้องรับมือกับมันอย่างเอาจริงเอาจังแล้ว
พอปีศาจกระดูกชะนีส่งเสียงคำรามออกมา แขนทั้งสองก็ทุบลงไปบนพื้นอย่างรุนแรงทันที ไอสีเหลืองกระเพื่อมเป็นวงออกจากใต้ฝ่าเท้าทั้งสองของมันโดยฉับพลัน
พริบตานั้นพื้นก็สั่นสะเทือนไม่หยุด ทำให้หลิ่วหมิงที่ไม่ทันได้ตั้งตัวโซเซเล็กน้อย
ปีศาจกระดูกชะนีอาศัยจังหวะนี้กระทืบเท้าทั้งคู่ลงไปบนพื้นอย่างแรง แล้วร่างของมันก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงราวกับหินผาขนาดใหญ่
ก่อนที่มันจะทับลงมา พายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวออกมาก่อน อานุภาพของมันน่าตกใจเป็นอย่างมาก!
แต่หลิ่วหมิงไม่คิดที่จะหลบหลีกแต่อย่างใด เขาแค่สะบัดแขนเสื้อ แสงสีเขียวเส้นหนึ่งก็กะพริบออกไป
เสียงดัง “ฟิ้ว!”
ร่างขนาดใหญ่ของปีศาจกระดูกชะนีถูกตัดออกเป็นสองท่อน ลอยผ่านข้างหลิ่วหมิงไป แล้วหล่นลงบนพื้นจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
หลังจากที่แมงป่องกระดูกขาวส่งเสียงร้องออกมา มันก็ใช้ก้ามยักษ์ทั้งสองตัดร่างทั้งสองท่อนของปีศาจกระดูกชะนีอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวร่างของปีศาจกระดูกชะนีก็กลายเป็นกองกระดูกกองหนึ่ง
เสียงดัง “ซู่!”
มุกสีดำขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือที่ถูกไอสีดำปกคลุมอยู่เม็ดหนึ่งพุ่งออกมาจากกองกระดูก แต่เส้นสีดำกะพริบ หางตะขอเปล่งแสงสีดำวาววับเส้นหนึ่งก็โจมตีเข้าไปที่ไอสีดำนั้น
มุกกลมๆ ลอยออกมาจากไอสีดำนั้นทันที
แมงป่องกระดูกขาวกระโดดตัวขึ้น ก้ามยักษ์หนีบมุกกลมๆ ไว้ได้ จากนั้นมันก็อ้าปากดูดไอสีดำเข้าไปในท้องจนหมดสิ้น และส่งเสียงร้องประหลาดออกมาด้วยความดีใจ
ดูเหมือนกับว่าไอสีดำนั้นมีประโยชน์กับมันมาก
“ในเมื่อได้รับของดีไปแล้ว มุกปราณแก่นพิภพของปีศาจระดับขุนพลเม็ดนี้ก็ให้ข้าเก็บไว้เถอะ จะให้ออกไปโดยไม่มีอะไรแลกแต้มคุณูปการแม้แต่แต้มเดียวคงจะไม่ได้” ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงเก็บกระบี่สั้นที่เปล่งแสงสีเขียวเล่มนั้นเข้าไปในแขนเสื้อ และกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้สีหน้าของเขาซีดขาวเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าเมื่อครู่เขาหมดพลังกับการสังหารปีศาจไปไม่น้อย แต่ก็ยังคงแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา
เมื่อครู่เขาใช้กระบี่ที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณเล่มนั้น ถึงแม้จะใช้แค่พลังจากชั้นจำกัดแรก แต่อานุภาพก็ร้ายแรงกว่าที่คิดไว้มากนัก แม้แต่ปีศาจระดับขุนพลก็ไม่สามารถต้านทานพลังของมันได้
แมงป่องกระดูกขาวเหลือบมองมุกบนก้ามใหญ่แล้วทำท่าเหมือนจะเสียดาย แต่ครู่เดียวก็ขยับร่างเดินมาแล้ววางมุกสีดำไว้ตรงเท้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงพยักหน้า ก้มตัวลงลูบหลังของแมงป่องกระดูกขาวครู่หนึ่ง แล้วก็ยื่นมือข้างหนึ่งลงไปช้อนเอามุกสีดำขึ้นมาสังเกตดูอย่างละเอียด
มุกปราณแก่นพิภพนี้ไม่เพียงแต่จะมีขนาดใหญ่กว่าที่พบก่อนหน้านั้นมาก และยังเปล่งแสงสีดำมากกว่า ทำให้คนรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าจิตของพวกเขาถูกดูดเข้าไปในนั้น
หลิ่วหมิงใจเต้นเล็กน้อยแล้วเก็บมุกเม็ดนี้เข้าไป จากนั้นก็พาแมงป่องกระดูกขาวเกินไปข้างหน้าต่อ
หนึ่งเดือนผ่านไป บริเวณปากทางเข้าที่หลิ่วหมิงเข้าไปในตอนแรก มีเมฆเทาสองก้อนร่อนลงมาพร้อมกับปรากฏเงาร่างของคนสองคน
หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งที่มีหูแหลมแก้มเหมือนลิง ตาทั้งคูเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด อีกผู้หนึ่งใส่ชุดคลุมดำทั้งตัว สีหน้าหม่นหมอง เขาก็คือซือหม่าเทียนแห่งสาขาหยินทนทรมาณนั่นเอง
“เจ้าเด็กนั่นเข้าไปจากตรงนี้จริงหรือ เจ้าแน่ใจใช่ไหม?” ซือหม่าเทียนสังเกตดูทางเข้าแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ศิษย์พี่ซือหม่าวางใจเถอะ เรื่องที่ท่านกำชับข้าให้ทำนั้น ข้าจะสะเพร่าได้อย่างไร ถึงแม้จะตามดูอยู่ไกลๆ และเขตพื้นที่นี้ก็ไม่ได้มีทางเข้าเพียงทางเดียว แต่ตอนท้ายข้าได้ตรวจสอบดูแล้วว่ามีแค่ทางเข้านี้เท่านั้นที่มีร่องรอยของคนเพิ่งเดินเข้าไป จะต้องไม่มีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน” ชายหูแหลมแก้มลิงหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“ดี นี่คือค่าตอบแทนที่ได้ตกลงกันไว้ ถ้าข้าหาคนที่ข้าต้องการไม่เจอ ข้าจะเอาคืนเป็นสองเท่า” ซือหม่าเทียนโยนหินจิตวิญญาณระดับกลางออกไปให้ และกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ศิษย์พี่ซือหม่าอย่าล้อเล่นสิ! ถ้าท่านหาไม่เจอจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่า…เดี๋ยวก่อน…” ชายหูแหลมแก้มลิงรับหินจิตวิญญาณมาไว้กับตัว แต่พอได้ยินคำพูดของซือหม่าเทียนก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
แต่ตอนนี้ซือหม่าเทียนได้เข้าไปในปากอุโมงค์แล้ว
“เจ้าเด็กนี่ยังคงถือดีเหมือนเมื่อก่อน ช่างเถอะ! ด้วยความสามารถของเขาคงจะหาคนที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย หินจิตวิญญาณร้อยก้อนนี้นับว่าไม่เสียเปล่าแล้ว” ชายหูแหลมแก้มลิงส่ายศีรษะแล้วเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็หมุนตัวขี่เมฆทะยานจากไป
……
หลิ่วหมิงย่อมไม่รู้ว่ามีคนตามหาเขา ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าปากทางเข้าที่มีไอสีเทาพวยพุ่ง เขากำลังหรี่ตาทั้งคู่สังเกตดูอะไรบางอย่างอยู่
บนผนังราบเรียบบริเวณทางเข้า มีอักขระสีแดงขนาดใหญ่เขียนอยู่ว่า ‘ปากทางเข้าชั้นสาม’
“เดินต่อไปข้างหน้าก็เป็นชั้นที่สามของอุโมงค์หมื่นกระดูกแล้ว ได้ยินมาว่าชั้นนี้มีปีศาจระดับขุนพลเยอะมาก มากกว่าสองชั้นก่อนหน้านั้น แต่ก็หมายความว่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากชั้นนี้ก็มีเยอะกว่ามาก” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำกับตนเองแล้วก็พาแมงป่องกระดูกเดินหน้าเข้าไป
……
สองเดือนต่อมา ภายในโพรงถ้ำหินขนาดใหญ่ที่มีหินงอกหินย้อยแหลมๆ อยู่ทั่วระแหง หลิ่วหมิงและแมงป่องกระดูกขาวกำลังต่อสู้อยู่กับโครงกระดูกร่างมนุษย์ที่สูงหลายจั้งตนหนึ่งอย่างดุเดือด
โครงกระดูกนี้ต่างจากที่หลิ่วหมิงพบเจอในก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง บนร่างของมันมีเกราะเหล็กที่เป็นคราบสนิมห่อหุ้มไว้ ในมือถือขวานที่ชำรุดกว่าครึ่งหนึ่งอยู่หนึ่งเล่ม ในขณะเดียวกันไอสีเทาก็พวยพุ่งอยู่บนร่างของมัน การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ แต่การใช้ขวานโจมตีของมันกลับเชื่องช้ากว่าปกติ
แต่ที่น่าแปลกก็คือพอเห็นขวานที่ฟันเข้ามา ไม่ว่าหลิ่วหมิงหรือว่าแมงป่องกระดูกขาวกลับต้องหลบหลีกไปไกลๆ ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ โดยไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อย
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แมงป่องกระดูกขาวหลบหลีกช้าไปหน่อย เห็นได้ชัดว่าขวานอยู่ห่างจั้งกว่าๆ แต่เสียงที่ดัง “ตู้ม!” ของมันราวกับว่าโจมตีอย่างรุนแรงจนแมงป่องกระดูกขาวกระเด็นออกไปหลายจั้ง ในขณะเดียวกันเดียวกันก็ปรากฏรอยแตกขนาดเล็กบนหลังของมัน
แต่ในขณะนั้น หลิ่วหมิงกลับคำรามเสียงออกมา หลังจากที่เขาประกบมือแล้วแยกออกจากกันอีกครั้ง คมวายุยักษ์ยาวครึ่งจั้งเส้นหนึ่งได้ปรากฏออกมาทันที หลังจากสะบัดแขนมันก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งยิงออกไป
เสียงดัง “ฟิ้ว!”
ครั้งนี้กลายเป็นโครงกระดูกหุ้มเกราะที่กระเด็นไปโดนหินงอกขนาดใหญ่ด้านหลัง เกราะเล็กบนตัวและร่างกายกว่าครึ่งส่วนถูกฟันออกจากกัน คมวายุยักษ์ที่ดูราวกับบานประตูฝังเข้าไปในร่างของมัน
พอโครงกระดูกคำรามก็สะบัดขวานในมือขึ้น คมวายุยักษ์ถูกมันทำลายจนแตกกระจาย บังเกิดไอสีเทาพวยพุ่งตรงปากแผลของมัน แล้วปากแผลก็ประสานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “ซู่! ซู่!” จากบริเวณนั้น พอเส้นสีดำสิบกว่าเส้นแวบผ่านไป มันก็เจาะเข้าไปยังแต่ละส่วนของโครงกระดูก พร้อมด้วยคลื่นพลังจากบนอากาศ หางตะขอสีดำขลับพุ่งลงมา หลังจากที่มันดูเลือนลางแล้วก็เจาะลงบนกระโหลกศีรษะ พลันของเหลวสกปรกสีดำก็พุ่งออกมา
ไอสีเขียวพวยพุ่งที่ด้านบนของโพรง ร่างครึ่งหนึ่งของแมงป่องกระดูกขาวโผล่ออกมาจากหินบนนั้น
เปลวไฟสีเขียวเปล่งประกายอยู่ในเบ้าตาของโครงกระดูกยักษ์ มันยกแขนข้างหนึ่งจับหางแมงป่องกระดูกขาวบนหัวไว้ แล้วดึงออกไปอย่างง่ายดายราวกับดึงหัวผักกาด จากนั้นมันก็สะบัดจนแมงป่องกระดูกขาวตาลายขึ้นมา
แต่ในขณะนั้นเอง โซ่สีดำขนาดใหญ่ก็พุ่งยิงเข้ามาจากที่ไกลๆ หลังจากนั้นมันก็พันรอบตัวโครงกระดูกอย่างแน่นหนาทันที
และในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ร่ายคาถาแล้วเอามือทั้งสองประกบไว้ตรงระหว่างอก ลูกเปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้นกลางอากาศและขยายขนาดใหญ่ขึ้น พริบตาเดียวก็มีขนาดใหญ่หลายฉื่อ ไอร้อนระอุม้วนตัวพุ่งออกไปจากในนั้น
โครงกระดูกร่างมนุษย์เห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง มันแผดเสียงออกมาแล้วออกแรงต่อสู้กับโซ่ที่มัดตัว โซ่ดำบังเกิดเสียงดัง “เปรี้ยะๆ!” แล้วก็เริ่มแตกออกจากกัน จนโครงกระดูกเกือบจะสลัดตัวออกมาจากในนั้นได้
ตอนนี้เองหลิ่วหมิงก็หยุดร่ายคาถา ลูกเปลวไฟยักษ์พุ่งยิงออกไปด้วยเสียงอันดังก้อง หลังจากที่มันดูพร่ามัวก็กลายเป็นแสงสีแดงปกคลุมโครงกระดูกร่างมนุษย์ให้จมอยู่ในนั้น
เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้าและปฐพี!
เมฆอัคคีสีแดงพุ่งขึ้นไปบนฟ้าจนกลายเป็นรูปดอกเห็ด!
โพรงค์หินสั่นไหว คลื่นไอร้อนระอุม้วนตัวพุ่งออกไปทำลายหินงอกหินย้อยบริเวณนั้นจนราบเป็นหน้ากลอง เศษหินจำนวนมากกระเด็นชนผนังหินทั่วทิศ
ภายใต้การสื่อสารทางจิตกับหลิ่วหมิง แมงป่องกระดูกขาวรีบมุดลงไปใต้พื้นก่อนหน้านั้นแล้ว
เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้าหลิ่วหมิงก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่กลับจ้องมองเมฆอัคคีสีดำตาไม่กระพริบ
เมฆอัคคีนี้ม้วนตัวไปหลายตลบ ในที่สุดก็สลายไป โครงกระดูกร่างมนุษย์ก็หายไปด้วย เหลือไว้แค่ชิ้นส่วนเล็กๆ ของเกราะเหล็กกับขวานที่ชำรุดครึ่งหนึ่งไว้บนพื้น
หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวออกมา และไม่ได้รีบเดินเข้าไปในทันที แต่กลับหันหน้าไปทางปากทางเข้าแล้วกล่าวเรียบๆ ออกมา
“ศิษย์พี่ซือหม่า ดูมานานขนาดนี้แล้วไม่คิดจะออกมาเจอหน้ากันหน่อยหรือ?”
……………………………………….
ตอนที่ 85 กลั่นปราณโลหิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เงาร่างเคลื่อนไหวตรงปากทางเข้าโพรงถ้ำ แล้วก็ปรากฏแวบออกมา ผู้นั้นก็คือชายชุดดำสีหน้าหม่นหมองนั่นเอง
เพียงแต่ตอนนี้เขามองดูบริเวณด้านหน้าที่ลูกเปลวไฟยักษ์ระเบิด แล้วมองหน้าหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“ถึงแม้ศิษย์พี่ซือหม่าจะหลบซ่อนได้ดี แต่เสียดายช่วงเวลาก่อนหน้านี้ไม่ได้ควบคุมกลิ่นไอของตัวเองให้ดี มันเลยแผ่ออกมาเล็กน้อย มิเช่นนั้นข้าจะรับรู้ได้อย่างไร” หลิ่วหมิงหันตัวกลับมากล่าวกับชายชุดดำอย่างราบเรียบ
ในขณะเดียวกันแมงป่องกระดูกขาวก็พุ่งขึ้นมาจากพื้น เปลวไฟสีเขียวในเบ้าตาทั้งสองจ้องมองแขกมาใหม่ที่ไม่ได้รับเชิญอยู่ไม่หยุด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่ว่าถ้าใครมาเห็นพลังที่แท้จริงของศิษย์น้องไป๋ เกรงว่าคงจะตกใจเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่เจ้าปีศาจระดับขุนพลตนนี้เลย เจ้าเองก็มีพลังของศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย และวิชาคมวายุกับกระสุนไฟก็คงจะผนึกประทับวิชาในหัวเจ้าแล้ว” ซือหม่าเทียนค่อยๆ กล่าวออกมา
“ประทับวิชา?”
คำนี้หลิ่วหมิงได้ยินเป็นครั้งที่สองแล้ว
ครั้งแรกหลังจากเขาได้ยินจากปากโจรปล้นสดมภ์แล้วก็ไปตรวจสอบตามคัมภีร์โบราณจำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังหาบันทึกที่เกี่ยวข้องไม่เจอ
“ไม่ผิด แต่ละวิชาเมื่อฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบก็สามารถใช้พลังจิตผนึกวิชาประทับไว้ในหัวได้ จากนั้นก็กลายเป็นพลังมหัศจรรย์ พอใช้พลังทั้งหมดที่มีแสดงมันออกมา อานุภาพก็จะแตกต่างกับก่อนหน้านั้นราวฟ้ากับดิน เฮ่อๆ! ข้อมูลที่ข้าทราบมาบอกว่าเจ้าเป็นศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณ ที่อยู่ในระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง พลังก็พื้นๆ พวกนั้นช่างตาบอดเสียจริง! ที่ข้ารู้มาศิษย์ทั่วไปที่จะผนึกวิชาคมวายุและวิชากระสุนไฟจนประทับไว้ในหัวได้ ต่อให้ต้องละทิ้งวิชาที่ฝึกฝนโดยเฉพาะ ก็ต้องใช้เวลาสามถึงสี่ปีถึงจะทำได้ แต่ศิษย์น้องไป๋กลับทำมันได้แล้ว ดูท่าศิษย์น้องจะมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนค่อนข้างสูง ถึงได้เหนือความคาดหมายของผู้อื่นยิ่งนัก” ซือหม่าเทียนกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ทำไมล่ะ! มีคนให้เจ้ามาหาเรื่องข้าอย่างนั้นหรือ?” หางตาหลิ่วหมิวกระตุก แต่ก็ไม่แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
“ไม่ผิด เดิมทีคิดว่าเป็นเรื่องที่ทำได้โดยง่าย แต่ตอนนี้ได้รู้ถึงพลังที่แท้จริงของศิษย์น้องไป๋แล้ว ถ้าลงมือกับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ล่ะก็ หินจิตวิญญาณอันน้อยนิดเหล่านั้นก็เป็นเรื่องตลกแล้ว อีกอย่างตอนนี้ข้าก็ไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะเจ้าได้ ยิ่งไม่อยากทำเรื่องที่ตนเองต้องเสียเปรียบแล้ว แต่เมื่อถึงการประลองใหญ่แล้วข้ากับเจ้าได้พบเจอกันอีกครั้ง ข้าจะใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่ในการต่อสู้โดยจะไม่ออมมือให้อย่างแน่นอน” ซือหม่าเทียนกล่าวจบก็หมุนตัวไปยังทางเข้าด้านหลัง แล้วก็หายไปตัวไป ไม่คาดคิดว่าเขาจะถอยไปง่ายๆ เช่นนี้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เอามือลูบคาง และไม่ได้ตามออกไป
ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเหมือนกับโจรปล้นสดมภ์ที่ถูกเขาสังหาร แต่เขาก็มีกลิ่นไอที่ดูอันตราย ทำให้หลิ่วหมิงประมาทไม่ได้
ช่างเถอะ! ฝ่ายตรงข้ามยอมถอยเมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องยาก ก็นับว่าเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง!
ถึงแม้เขาจะอยากจะลองดูพลังที่แท้จริงของศิษย์แกนนำผู้แข็งแกร่งสักหน่อย แต่ถ้าหากบาดเจ็บในนี้ล่ะก็ คงจะไม่สามารถฝึกฝนเพื่อการต่อสู้ในการประลองจริงได้ ถ้าหากว่าพบเจอคนอื่นๆ ที่มีเจตนาร้ายคงจะต้องยุ่งยากเข้าไปอีก
หลิวหมิงคิดไตร่ตรองได้เช่นนี้แล้ว ก็ละทิ้งความคิดที่จะแลกมือกับฝ่ายตรงข้ามในที่แห่งนี้
ขณะนี้แมงป่องกระดูกขาวก็ปีนป่ายไปมาบริเวณนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันใช้ก้ามยักษ์เก็บมุกปราณแก่นพิภพของโครงกระดูกร่างมนุษย์กับกระดูกแหลมยาวครึ่งฉื่อที่ถูกไอสีเทาจางๆ ปกคลุมอยู่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และส่งมาไว้ข้างๆ หลิ่วหมิง
“เอ๋! กระดูกจิตวิญญาณชิ้นนี้คือ…” พอหลิ่วหมิงกวาดสายตามองกระดูกชิ้นที่ก้ามยักษ์คีบอยู่ ก็รู้สึกตกตะลึงในฉับพลัน มือข้างหนึ่งหยิบมันขึ้นมาแล้วพินิจดูอย่างละเอียด
“ที่แท้เป็นกระดูกจิตวิญญาณร้อยปี ดูเหมือนจะมีคุณภาพสูง! ดีมาก มุกปราณแก่นพิภพเม็ดนี้มอบให้เจ้าเป็นรางวัลก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงตรวจสอบไปหนึ่งรอบแล้วก็เกิดความปีติยินดีขึ้นมา จากนั้นก็หยิบตลับไม้ออกมาหนึ่งตลับ และวางชิ้นกระดูกจิตวิญญาณไว้ในนั้น แล้วเก็บอย่างระมัดระวัง
ด้านแมงป่องกระดูกขาวที่จ้องมองตาปริบๆ ตั้งแต่แรก พอได้ยินหลิ่วหมิงพูดเช่นนี้ ก็รีบนำมุกแก่นพิภพเข้าปากแล้วกลืนลงไปอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นมันก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความพึงพอใจ
ความแข็งแกร่งของปีศาจโครงกระดูกร่างมนุษย์เมื่อครู่ นับว่าร้ายกาจกว่าปีศาจระดับขุนพลที่เจอมาทั้งหมดก่อนหน้านั้น คิดว่ามุกปราณแก่นพิภพของมันคงจะบำรุงร่างของแมงกระดูกขาวได้ไม่น้อย แต่จะว่าไปแล้วถ้าหากนำมุกปราณแก่นพิภพนี้ไปแลกแต้มคุณูปการที่ด้านนอก คงจะได้แลกได้ร้อยแต้มขึ้นไป
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะ เขาหยิบเกราะเหล็กและชิ้นส่วนครึ่งหนึ่งของคมขวานที่เหลืออยู่ขึ้นมา หลังจากตรวจดูเล็กน้อยก็โยนมันทั้งหมดเข้าไปในห่อหนังสัตว์
ของทั้งสองสิ่งนี้ทนต่อพลังของลูกเปลวไฟยักษ์ได้ และไม่หลอมละลาย เห็นได้ชัดว่าย่อมไม่ใช่สิ่งของธรรมดา คงจะขายได้หินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง
ตอนที่หลิ่วหมิงหิ้วห่อหนังสัตว์ขึ้นมาและเตรียมจะเดินไปข้างหน้านั้น พลันนึกอะไรบางอย่างได้ เขาหมุนตัวเดินกลับไปยังปากทางเข้าที่ซือหม่าเทียนปรากฏตัวเมื่อครู่
เสียงดัง “ฟู่!”
ยันต์สีเหลืองจางๆ ผืนหนึ่งติดลงบนผนังหินแถวนั้น แล้วกะพริบหายเข้าไปบนพื้นหินอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ถึงได้เกินจากไปด้วยความสบายใจ
ยันต์รับรู้ผืนนี้ถึงแม้จะราคาไม่เบา แต่แค่มีคนเดินผ่านปากทางเข้านี้ ยันต์อีกผืนที่คู่กันบนมือเขาก็จะเตือนให้ทราบ
เช่นนี้แล้วเขาก็ไม่ต้องกังวลใจว่าซือหม่าเทียนอาจจะกลับมาอีกหรือไม่ หรือว่าจะมีใครตามหลังเขามาอีกหรือเปล่า
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย
หลิ่วหมิงอยู่ในอุโมงค์หมื่นกระดูกติดต่อกันเป็นเวลานานสามเดือน วิชาแต่ละอย่างที่ใช้กับประสบการณ์การรบจริงก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ และกระบี่สั้นที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณเล่มนั้นก็ยิ่งควบคุมได้ดังใจมากขึ้น
ในระหว่างนี้ เขาสังหารปีศาจกระดูกระดับขุนพลไปเกือบจะร้อยกว่าตนแล้ว ส่วนปีศาจระดับพลทหารและปีศาจตนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนหลังเขาพบปีศาจที่มีพลังแข็งแกร่งหลายตน และแข็งแกร่งกว่าปีศาจโครงกระดูกร่างมนุษย์ตอนนั้นหลายเท่านัก
หนึ่งในนั้นมีปีศาจโครงกระดูกมนุษย์สองหัว ที่เหลือเพียงขั้นเดียวก็จะบรรลุเข้าสู่ปีศาจระดับแม่ทัพแล้ว หลิ่วหมิงพาแมงป่องกระดูกขาวหนีไปทั่วพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของชั้นสาม แล้วถึงจำใจได้ยันต์โจมตีหลายผืนกับพยายามกระตุ้นชั้นจำกัดที่สามของกระบี่สั้นจิตวิญญาณ จนในที่สุดก็สังหารปีศาจตนนี้ได้
แต่หลังจากการต่อสู้นี้ทำให้เขาบาดเจ็บภายในไม่น้อย ต้องพักผ่อนห้าหกวันจึงจะฝึกฝนต่อไปได้
แต่การต่อสู้ในครั้งนี้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเหมือนกับการสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งบนเกาะมฤตยู หลักจากนั้นเมื่อเขาเผชิญหน้ากับปีศาจตนอื่นๆ ก็นำประสบการณ์ต่างๆ บนเกาะมฤตยูมาประยุกต์ใช้ในการต่อสู้จริง
ผ่านไปไม่นาน พลังของเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
หลังจากสามเดือนผ่านไป วันหนึ่งหลิ่วหมิงสวมชุดเปื่อยยุ่ยพร้อมกับห่อหนังสัตว์ใบใหญ่ค่อยๆ เดินออกมาจากปากทางเข้าอุโมงค์
กลิ่นไอบนตัวเขาน่าตกใจเป็นยิ่งนัก ความหนาวเย็นปรากฏขึ้นในแววตาเขา และแมงป่องกระดูกขาวตัวนั้นก็เดินตามอยู่ด้านหลัง ไอสีเขียวบนตัวมันพวยพุ่งอยู่ไม่หยุด รูปร่างใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นสองส่วน
หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองแสงแดดจ้าบนฟ้าที่ไม่ได้เจอมาหลายวัน ตาทั้งสองปิดลงรับสัมผัสอุ่นๆ เข้ามาในร่าง แล้วถึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ขณะนี้ความหนาวเย็นในแววตาของเขาได้หายไปจนหมดสิ้น กลิ่นไอบนร่างก็หายไปด้วย
จากนั้นเมฆเทาก็ปรากฏขึ้นใต้ร่างเขา แล้วทะยานฟ้ามุ่งหน้าไปยังค่ายหินที่เป็นจุดศูนย์กลางของพื้นที่แอ่งกระทะ
หลายวันผ่านไป เรือไม้หัวมังกรสีเทาลำหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า ผู้อาวุโสผมเทาผู้หนึ่งกระตุ้นอยู่ด้านหน้าเพื่อนำพาศิษย์นิกายปีศาจจำนวนหนึ่งเหาะไปยังนิกายปีศาจ
ด้านหลังของเรือไม้ หลิ่วหมิงยืนตรงอยูที่หางเรือจ้องมองไปยังนอกม่านแสงอย่างสงบผิดปกติ เมฆขาวแต่ละก้อนลอยผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของเรือไม้ ซือหม่าเทียนกำลังจ้องมองด้านหลังของเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน
ในขณะเดียวกัน หน้าประตูใหญ่ของห้องลับแห่งหนึ่งในสาขาพลังโลหิต ประมุขนิกายปีศาจยืนเอามือไขว้หลังอยู่ที่นั่น สายตาแวววาวกำลังจ้องมองประตูใหญ่สีแดงเลือดอยู่ สีหน้าเขาดูร้อนใจและแฝงไปด้วยการรอคอย
ด้านหลังของเขา มีคนอายุยี่สิบกว่าปีสองคนที่ใบหน้าคล้ายกันมากยืนเก็บมืออยู่อย่างเรียบร้อย เขามองไปยังประตูใหญ่ของห้องลับด้วยสีหน้าซับซ้อนที่ดูเกลียดชังปนอิจฉา
เสียงดัง “ตู้ม!” ประตูใหญ่แตกออกมาจากด้านในทันที จากนั้นหมอกโลหิตจำนวนหนึ่งม้วนตัวออกมา หลังจากที่รวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าแดงเปล่งปลั่งผู้หนึ่ง
ดูจากคิ้วและตาที่คุ้นเคยแล้ว เขาก็คือเกาชง ศิษย์ผู้ฝึกปราณอิสระที่เข้านิกายปีศาจมาพร้อมหลิ่วหมิงกับสู่หมิงจูนั่นเอง
แต่ตอนนี้ใบหน้าที่ดูซื่อๆ ได้หายไปนานแล้ว แทนที่ด้วยลักษณะท่าทางที่ทะนงองอาจเป็นอย่างมาก
“คารวะอาจารย์!”
พอเกาชงเห็นประมุขนิกายปีศาจ ก็รีบก้าวไปคารวะ
“ชงเอ๋อร์ เจ้าฝึกฝนในสำเร็จไหม?” ประมุขนิกายปีศาจกลับถามด้วยความตื่นเต้น
“เรียนอาจารย์ ศิษย์ทำตามวิธีการของท่านนำโลหิตปีศาจมากลั่นเป็นปราณโลหิตได้สำเร็จแล้ว” เกาชงกล่าวอย่างนอบน้อม นิ้วมือหนึ่งชี้ไปยังอากาศด้านหน้า ฉับพลันปราณโลหิตก็ออกมาจากปลายนิ้วแล้วเกาะผนึกกัน และพริบตาเดียวมันก็พันวนรอบนิ้วมือหลายราวรอบอย่างว่องไว จนดูเหมือนเป็นเชือกสีแดงที่พันนิ้วมือไว้
ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ก็กล่าวอย่างระมัดระวัง
“จะกลั่นปราณโลหิตได้สำเร็จหรือไม่นั้น ข้าจะต้องทดสอบดูก่อน” เพิ่งจะพูดจบประมุขนิกายก็ยกฝ่ามือขึ้นตบไปยังเกาชงที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ
ก่อนที่ฝ่ามือจะตบลงไป ไอหมอกสีเลือดก็ม้วนตัวออกมาจากนิ้วทั้งห้าก่อน พร้อมกับมีกลิ่นคาวเลือดออกมาจางๆ
เกาชงหดรูม่านตาลง เขาใช้นิ้วที่มีปราณโลหิตวาดวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาวฉื่อกว่าๆ ไปยังอากาศด้านหน้า
เสียงดัง “ฟู่!”
ปราณโลหิตสายหนึ่งพุ่งยิงเข้าไปในวงกลม แล้วก็กลายเป็นโล่โลหิตสีเลือดจางๆ
ครู่ต่อมา ประมุขนิกายปีศาจตบลงไปบนโล่สีเลือด
บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น “ตู้ม!”
โล่สีเลือดแตกกระจายออกไปภายใต้การโจมตีของปราณโลหิต เกาชงถอยหลังไปหลายก้าว ขณะเดียวกันใบหน้าของเขาก็เปล่งประกายแสงสีแดงออกมา จากนั้นถึงสามารถยืนอย่างมั่นคงได้
“ดี เป็นปราณโลหิตที่แท้จริง เจ้าสามารถควบคุมปราณโลหิตที่มีแต่อาจารย์จิตวิญญาณที่ทำได้ ถึงแม้จะเป็นแค่เศษเล็กๆ แต่ก็จัดว่าไม่แพ้ศิษย์ผู้ใดแล้ว ในนิกายเรานอกจากเจ้าเด็กหยางเฉียนแห่งสาขาหยินทนทรมาณ ศิษย์คนอื่นก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว” ประมุขนิกายปีศาจหัวเราะออกมา
……………………………………….
ตอนที่ 86 เหล่าผู้ทรงพลัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หยางเฉียน”
พอเกาชงได้ยินชื่อนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“แต่ชงเอ๋อร์ ถึงแม้ตอนนี้เจ้าจะมีพลังแข็งแกร่งแล้ว แต่ยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ค่อนข้างมาก ดังนั้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะให้ศิษย์พี่สองคนเริ่มฝึกฝนกับเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน เช่นนี้แล้วเมื่อถึงงานประลองใหญ่เจ้าคงจะมีประสบการณ์การต่อสู้จริงเพิ่มขึ้นไม่น้อย” ประมุขนิกายปีศาจใช้นิ้วชี้ไปยังชายหนุ่มทั้งสองด้านหลังที่ใบหน้าคล้ายกัน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าเช่นนั้น ต่อไปเกาชงต้องขอรบกวนศิษย์พี่ทั้งสองแล้ว” หลิ่วหมิงคารวะชายหนุ่งทั้งสองด้วยท่าทีนอบน้อม
“มิกล้า! ได้ช่วยเหลือศิษย์น้องเกาถือเป็นเกียรติแก่ข้าทั้งสองยิ่งนัก” ชายหนุ่มทั้งสองเห็นเช่นนี้ก็ไม่ช้าชักช้า รีบตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“เอาล่ะ! ชงเอ๋อร์ เจ้าเก็บตัวฝึกฝนมานานเช่นนี้คงจะเหนื่อยมากแล้ว วันนี้กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ!” ประมุขนิกายกล่าวด้วยความเป็นห่วง จากนั้นก็พาชายหนุ่มทั้งสองจากไป
หลังจากที่เกาชงน้อมส่งประมุขนิกายปีศาจแล้วก็นั่งขัดสมาธิลงที่เดิม แล้วก็หลับตากำหนดลมหายใจ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาถึงได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ด้านข้างของเขามีชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนหลายวงนั่งรอเขาอยู่
“ที่แท้ก็คือศิษย์พี่ซิ่ง รีบร้อนเช่นนี้ช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” พอเกาชงเห็นใบหน้าของชายหนุ่มชัดเจนก็ถามด้วยตาที่เป็นประกาย
“ศิษย์น้องเกา ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่?” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“ใช่เรื่องเกี่ยวกับหมิงจูหรือไม่?” หลังจากที่ดวงตาของเกาชงเป็นประกายแล้วก็ถามออกไปอย่างราบเรียบ
“ศิษย์น้องรู้ได้อย่างไร?” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนอดที่จะแปลกใจไม่ได้
“เฮ่อๆ! ข้ามาจากผู้ฝึกปราณอิสระ ไม่มีตระกูลมาพัวพันให้เดือดร้อน เรื่องเกี่ยวข้องกับข้าที่ทำให้พวกเจ้าลังเลจนไม่รู้จะจัดการอย่างไร ย่อมมีแต่เรื่องเกี่ยวกับหมิงจูเท่านั้น พูดมาเถอะ! มันเกิดอะไรขึ้น?” เกาชงหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“หลายเดือนก่อน มีข่าวมาจากภายนอกว่าตระกูลมู่รับหมั้นศิษย์น้องหมิงจูให้กับคนอื่นแล้ว และยังทำการหมั้นเรียบร้อยแล้วด้วย” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนลังเลเล็กน้อยแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ตระกูลมู่ให้หมิงจูหมั้นกับคนอื่นโดยไม่บอกข้าสักคำ ช่างกล้ายิ่งนัก! พวกเขาคิดจริงๆ เหรอว่าตระกูลของตนเองมีศิษย์จิตวิญญาณหลายคนก็เลยไม่เกรงกลัวข้า หมิงจูรับหมั้นกับใคร? ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครที่มันกล้าแย่งหญิงที่ข้าหมายปอง” พอเกาชงได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูดุร้ายขึ้นมา และกล่าวด้วยน้ำเสียงอันน่ากลัว
“เขาคือเจ้าเด็กจากตระกูลไป๋ที่ชื่อไป๋ชงเทียน ว่ากันว่าเป็นศิษย์ใหม่ที่เข้านิกายมาพร้อมกันกับศิษย์น้องเกา ตอนนี้เป็นศิษย์สังกัดสาขาเก้าทารก” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนรีบกล่าวออกไป
“ไป๋ชงเทียน ศิษย์ใหม่! ข้าขอคิดดูก่อน อืม!…ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ มีคนชื่อนี้อยู่คนหนึ่ง และตอนนั้นก็ถูกรับมานิกายจากที่เดียวกันพร้อมกับข้าและหมิงจู แต่ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็เขาเป็นแค่ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณคนหนึ่งเท่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้ครึ่งปีแล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ากับศิษย์พี่อู๋และคนอื่นๆ ไม่สามารถจัดการให้ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณคนหนึ่งยอมถอนหมั้นไปอย่างโดยดีได้” เกาชงได้ยินชื่อแล้วก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ครู่เดียวก็นึกขึ้นได้ในฉับพลัน
“ศิษย์น้องไม่รู้อะไร ไป๋ชงเทียนผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา เหมือนกับว่าหนึ่งปีก่อนเขาจะก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว ทั้งยังเคยต่อสู้ชนะศิษย์ที่มีชื่อเสียงของหุบเขาเก้าช่อง ในขณะเดียวกันยังเคยใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือนทำภารกิจของนิกายได้สำเร็จหลายสิบภารกิจ และไม่เคยล้มเหลวเลยสักครั้ง เนื่องกฎของนิกายเคร่งครัด ถึงแม้พวกเราอยากจะลงมือก็ไม่กล้าทำอะไรได้มากนัก ดังนั้นก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกเราได้ไปหาซือหม่าเทียนแห่งสาขาหยินทนทรมาณให้ลงมือกับเขา” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนอธิบาย
“ซือหม่าเทียน ข้าได้ยินมาว่าคนผู้นี้มีชื่อจารึกอยู่ในยี่สิบอันดับแรกบนแผ่นศิลาจันทรา รับมือกับศิษย์ใหม่ที่เป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก เป็นอย่างไรบ้าง เขาทำสำเร็จหรือยัง?” เกาชงได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็คลี่คลายลง
“ไม่สำเร็จ! หลายวันก่อนข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่า ซือหม่าเทียนนำหินจิตวิญญาณที่จ่ายให้ล่วงหน้าฝากคนมาคืนแล้ว และยังบอกว่าถ้าอยากให้เขาลงมือจริงๆ ล่ะก็ ต้องเพิ่มค่าตอบแทนเป็นสิบกว่าเท่าถึงจะได้ และยังไม่รับรองว่าจะทำสำเร็จหรือไม่” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนยิ้มอย่างขมขื่นแล้วก็กล่าวด้วยสีหน้าที่คาดไม่ถึง
“ซือหม่าเทียนพูดเช่นนี้จริงหรือ?” เกาชงฟังมาถึงจุดนี้สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“คนที่นำคำพูดมาบอกคือเพื่อนสนิทของข้า ย่อมไม่พูดโกหกอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนกล่าวยืนยัน
“น่าสนใจซะแล้ว ดูท่าคงจะประมาทศิษย์น้องไป๋ผู้นี้ไม่ได้แล้วสิ! ไม่คาดคิดว่าจะทำให้ศิษย์แกนนำอย่างซือหม่าเทียนผู้นี้เกรงกลัวได้ไม่น้อย มิเช่นนั้นเขาคงไม่พูดออกมาเช่นนี้ ดี! เรื่องไป๋ชงเทียนพวกเจ้าไม่ต้องไปยุ่งแล้ว รอถึงการประลองใหญ่ก็จะรู้เองว่าเขาเป็นเสือหรือเป็นแมว พอถึงตอนนั้นข้าจะให้เขาออกปากถอนหมั้นกับหมิงจูต่อหน้าทุกคนเอง” เกาชงกล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“ในเมื่อคนผู้นี้มีพลังแข็งแกร่ง ต่อให้จะเป็นศัตรูกับศิษย์น้อง ก็เกรงว่าคงจะไม่ยอมทำตามโดยง่าย” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนรู้สึกลังเลขึ้นมา
“ถ้าเขาคิดที่จะทำเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขามีชีวิตอยู่แล้ว ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็การประลองจะต้องลงนามยอมรับการเสียชีวิต เรื่องพลั้งมือฆ่าคนอื่นตายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในการประลองใหญ่ ถึงแม้จะมีการลงโทษบ้าง แต่ในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาของประมุขนิกาย จะโดนลงโทษอย่างเฉียบขาดเชียวหรือ?” เกาชงได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนได้ยินก็รู้สึกเสียวสะท้านเขาทำได้แค่พูดตอบรับกลับไป แต่สายที่มองเกาชงดูแปลกไปจากเดิม
เกาชงตอนเข้านิกายมาใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัยหรือการปฏิบัติตัวล้วนแตกต่างกับตอนนี้ราวฟ้ากับดิน ตั้งแต่ถูกท่านประมุขพาไปเก็บตัวพร้อมกัน และฝึกฝนอย่างยากลำบากเป็นเวลาหนึ่งปีถึงได้ออกมา ถึงแม้จะฝึกฝนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย แต่อุปนิสัยกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน มีแค่ตอนที่อยู่กับมู่หมิงจูเท่านั้นที่เขาจะรักษาการพูดและการกระทำไว้ได้เหมือนเดิม
ถึงแม้ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนจะรู้ว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนจะเกี่ยวข้องกับวิชาที่ท่านประมุขถ่ายทอดให้เกาชง แต่ความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังนี้ ยังคงทำให้เขารู้สึกตกใจกลัวจนขนพองสยองเกล้าได้ตลอดเวลา
เวลาต่อมาทั้งสองพูดคุยต่ออีกสองสามประโยค ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนก็ลาจากไปพร้อมคำสั่งของเกาชง
เกาชงเดินไปยังต้นไม้เล็กๆ บริเวณนั้นแล้วครุ่นคิดอย่างเงียบๆ และก็ไม่รีบไปจากที่นี่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉับพลันมีร่างอรชรเดินมาจากถนนสายเล็กๆ และกวักมือเรียกเกาชงจากที่ไกลๆ
“ดีจังเลย ศิษย์พี่เกาออกจากการเก็บตัวฝึกฝนแล้ว”
จากนั้นเจ้าของร่างอรชรก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็มาถึงด้านหน้าเกาชง เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็เผยให้เห็นใบหน้าที่สวยงดงามปานบุปผา พร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ
“หมิงจู ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ล่ะ! ไม่ใช่บอกแล้วเหรอว่าหลังออกจากเก็บตัวแล้วข้าจะไปหาเจ้าเอง” พอเกาชงเห็นดรุณีน้อยด้านหน้าก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอุ่นใจ และพูดโพล่งออกมา
“ฮิๆ! ข้ารู้มาจากศิษย์พี่อู๋มาว่าวันนี้ท่านจะออกจากการเก็บตัว แต่ก็ไม่กล้ามาเร็วเกินไป มิเช่นนั้นถ้าถูกท่านประมุขพบเข้าจะต้องโดนตำหนิอย่างแน่นอน ไปกันเถอะ! ไม่ได้เจอท่านนานขนาดนี้ ท่านจะต้องอยู่เป็นเพื่อนข้านานๆ นะ” มู่หมิงจูแลบลิ้นชมพูแล้วกล่าวออกมา จากนั้นก็ดึงแขนของเกาชงไปยังทิศทางที่เดินมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
เกาชงยิ้มอย่างขมขื่น และไม่กล้าขัดขืนต่อการกระทำของดรุณีน้อย จากนั้นทั้งสองก็ค่อยๆ หายลับไปท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของดรุณีน้อย
……
ในหุบเขาแห่งหนึ่งของสาขาหยินทนทรมานที่ตลบอบอวลไปด้วยไอสีดำตลอดทั้งปี เสียงแผดยาวราวกับเสียงของมังกรดังขึ้นมา ภายใต้ไอสีดำพวยพุ่งที่แยกตัวออกจากกัน โครงกระดูกคนขนาดใหญ่สูงสิบกว่าจั้งเดินออกมาจากในนั้น มันมีหัวเป็นวัว ร่างเป็นคน และมีสี่แขนสามขา ดูเหมือนจะดุร้ายเป็นยิ่งนัก
บนหัวกะโหลกวัวสีขาว มีคนสวมชุดคลุมยาวสีเทาปลิวสะบัดไปกับสายลมยืนอยู่ เขาเล่นอยู่ลูกกับกระดูกกลมๆ ขนาดเท่ากำปั้นในมือ สวมหน้ากากสีเงินรูปหน้าปีศาจ ตาสีเขียวทั้งสองเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
“คารวะศิษย์พี่หยาง”
“ยินดีกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของศิษย์พี่”
ปากทางเข้าหุบเขา มีศิษย์สาขาหยินทนทรมานรวมตัวกันอยู่ร้อยกว่าคนนานแล้ว พอเห็นชายชุดเทาปรากฏออกมา ทั้งหมดต่างก็โค้งตัวคารวะ
ศิษย์น้องทั้งหลาย ลุกขึ้นเถอะ! อันดับหนึ่งในการประลองใหญ่ครั้งนี้จะต้องเป็นของสาขาเราอย่างแน่นอน” เพิ่งจะกล่าวจบ โครงกระดูกใต้ร่างเขาก็กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นอย่างรุนแรง ฉับพลันก็มีเสียงดังสนั่นขึ้น หุบเขาทั้งลูกสั่นสะเทือน พื้นดินบริเวณนั้นส่งเสียงดัง “เปรี้ยะๆ!” แล้วก็แตกแยกออกเป็นทางยาว ไอดำรอบด้านส่งเสียงดัง “วู้ๆ!” พายุบ้าระห่ำสีดำพุ่งขึ้นฟ้าทันที จนทำให้ท้องฟ้าและพื้นดินบริเวณนั้นกลายเป็นสีดำ
ศิษย์คนอื่นของสาขาหยินทนทรมาณเห็นเช่นนี้ย่อมดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ภายใต้ความหวาดกลัวพวกเขาต่างก็ค่อยๆ โค้งตัวคารวะเอ่ยคำสรรเสริญเยินยออยู่ไม่หยุด
“เก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนี ชีพจรจิตวิญญาณพสุธา ครั้งนี้ข้าจะได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ แล้ว” ชายชุดเทาแหงนหน้ามองฟ้าแล้วพึมพำกับตนเอง
……
น้ำตกลึกลับที่ตกลงจากฟ้าแห่งหนึ่งตรงนอกประตูนิกายปีศาจ ชายหัวล้านเปลือยกายท่อนบน ผิวสีน้ำตาลแก่ผู้หนึ่งนั่งอยู่ในนั้น ไม่ว่ากระแสน้ำจะไหลเชี่ยวกรากสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่สะเทือนเขาแม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ทันนั้นเขาก็คำรามเสียงออกมา ไอดำพวยพุ่งรวมตัวกันปกป้องร่างเขาไว แล้วเขาก็ชกหมัดขึ้นไปบนฟ้าอย่างรุนแรง
เสียงดัง “ตู้ม!”
ไอดำเส้นหนึ่งหลุดออกไปจากมือ พริบตาเดียวก็กลายเป็นโซ่สีดำพุ่งขึ้นฟ้าแล้วพันน้ำตกไว้หลายรอบ หลังจากที่ถูกมันตรึงจนแน่น น้ำตกก็ถูกแบ่งแยกเป็นหลายสาย จากนั้นเมื่อโซ่สีดำม้วนตัวกลับมามันก็คลุมร่างของชายเสื้อดำไว้ เมื่อมองดูจากที่ไกลๆ ก็จะดูคล้ายกับชุดคลุมยาวสีดำตัวหนึ่ง
“ฮ่าๆ! ในที่สุดเคล็ดลับของเคล็ดวิชากระดูกดำก็ถูกข้าค้นพบแล้ว บวกกับโซ่ตรวนวิญญาณที่หลอมสร้างขึ้นจากวิญญาณราชาปีศาจ อันดับหนึ่งของศิษย์แกนนำในครั้งนี้จะต้องเป็นของข้า” ชายฉกรรจ์หัวล้านยกแขนทั้งสองขึ้น หลังจากมองดูครู่หนึ่งก็เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในฉับพลัน
เสียงหัวเราะราวกับเสียงฟ้าร้องที่สั่นสะเทือนเลือนลั่น จนน้ำตกบริเวณนั้นสั่นไหวอยู่ไม่หยุด
สิบกว่าวันต่อมา เรือไม้หัวมังกรลำหนึ่งเหาะมาจากท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ ครู่เดียวก็มาถึงด้านหน้าประตูนิกายปีศาจ และค่อยๆ ร่อนลงไป
เงาร่างของแต่ละคนค่อยๆ เหาะลงจากบนนั้นแล้วตรงเข้าไปในนิกายปีศาจ หลิ่วหมิงก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
“ใช่หลิ่วหมิงหรือไม่?”
ทันใดนั้น ไอสีขาวม้วนตัวขึ้นมาบริเวณประตูนิกาย ปรากฏร่างคนผู้หนึ่งออกมา เขาเรียกหลิ่วหมิงและกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
……………………………………….
ตอนที่ 87 เข็มเงาหยก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ท่านคือ…”
หลิ่วหมิงมองคนตรงหน้าครู่หนึ่ง ชายผู้นี้ดูเหมือนจะอายุยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปี ตาโตคิ้วเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ เขาค่อนข้างคุ้นหน้ากับชายผู้นี้
“ข้าคือจินฮ่วน ตอนอยู่ตลาดเว่ยโจวข้ากับอาจารย์เคยเจอกับสหายหลิ่ว ตอนนี้ข้ารับคำสั่งจากอาจารย์ให้นำสิ่งของที่ท่านสั่งให้ทำมาส่ง” ในระหว่างที่พูดจินฮ่วนก็หยิบตลับหยกขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ แล้วส่งให้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้านึกออกแล้ว สหายจินคือคนของผู้อาวุโสฟาง” หลิ่วหมิงนึกขึ้นได้ในฉับพลัน เขารับตลับหยกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ตอนที่เขาเปิดตลับออกแล้วมองเข้าไปข้างใน ก็แสดงสีหน้าดีใจออกมาในทันที
“ไม่เลว ผู้อาวุโสฟางสมกับเป็นนักหลอมอาวุธจิตวิญญาณอันกับหนึ่งของตลาดเว่ยโจว ไม่คาดคิดว่าจะใช้ระยะเวลาอันสั้นนี้หลอมสร้างสิ่งของชิ้นนี้ขึ้นมาได้จริงๆ” หลิ่วหมิงเก็บตลับหยกแล้วกล่าวด้วยสีหน้าพอใจ
“ถึงแม้ตอนแรกสหายหลิ่วจะให้วัสดุไว้เป็นจำนวนมาก แต่สิ่งของชิ้นนี้เล็กมาก อาจารย์ข้าก็ล้มเหลวติดกันเจ็ดแปดครั้ง ถึงหลอมสร้างออกมาได้ชิ้นหนึ่ง ตามที่ตกลงกันวัสดุที่เหลือให้ตกเป็นของอาจารย์ข้า และสัญญาสวรรค์ที่ได้ตกลงกันไว้ก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้” ชายหนุ่มกล่าวสีหน้าจริงจัง
“นี่เป็นเรื่องธรรมดา เดิมทีของสิ่งนี้ก็หลอมสร้างได้ไม่ได้ง่าย สามารถหลอมสร้างได้เร็วเช่นนี้ ก็เกรงใจผู้อาวุโสฟางมากแล้ว” หลิ่วหมิงกุมกำปั้นแสดงความนับถือแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าเช่นนี้ ธุระข้าก็เสร็จรีบร้อยแล้ว คงไม่อยู่ที่นี่นาน” จินฮ่วนพยักหน้าแล้วกระตุ้นไอขาวใต้ล่างให้เหาะออกไป
หลิ่วหมิงระงับความตื่นเต้นแล้วก็เหาะพุ่งไปยังเขาเก้าทารก
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงก็กลับถึงที่พัก พอนั่งขัดสมาธิลงไปในห้องฝึกฝน ก็หยิบตลับหยกใบนั้นออกมา แล้วเปิดฝามันออกอีกครั้ง
ในตลับหยกนั้นมีเข็มแหลมเล็กสีเขียววางอยู่เล่มหนึ่ง มันเปล่งแสงเย็นยะเยือกออกมา รูปร่างของมันแหลมเล็กเป็นพิเศษราวกับขนของวัว
“ขนหนูเยอะขนาดนั้น หลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณอย่างเข็มเงินนี้ได้เพียงเล่มเดียว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าวัสดุจำนวนเท่าไหร่ที่ตกเป็นค่าตอบแทนของการหลอมอาวุธ แต่ครั้งนี้ก็จ่ายไปไม่ใช่น้อย” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำกับตัวเองแล้วหยิบเข็มแหลมสีเขียวออกมาวางไว้ด้านหน้า
ตอนนั้นที่เขาเข้าไปร้านหลอมอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในตลาดเว่ยโจว เขาก็รีบหานักหลอมอาวุธที่ดีที่สุดในนั้น พร้อมกับมอบขนหนูยักษ์สีเขียวยี่สิบกว่าเส้นให้กับฝ่ายตรงข้าม ให้เขาใช้เป็นวัสดุหลักในการหลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณในรูปแบบเข็ม
ขอแค่หลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณได้สำเร็จหนึ่งเล่ม วัสดุที่เหลือจะให้เป็นค่าตอบแทนของนักหลอมอาวุธกับค่าวัสดุเสริมอื่นๆ
พอนักหลอมอาวุธผู้นั้นเห็นขนหนูที่เป็นปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายมากมายถึงเพียงนี้ ก็รีบตกปากรับคำในทันที และยังทำการสาบานต่อสวรรค์ด้วย
ด้วยข้อบังคับของคำสาบานบวกกับสถานะศิษย์ของนิกายปีศาจ หลิ่วหมิงก็ไม่กลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะผิดสัญญา
จนเมื่อเวลาผ่านไปนาน สุดท้ายฝ่ายตรงข้ามก็หลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ได้สำเร็จ และยังให้ศิษย์มาส่งให้ด้วยตนเอง
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียว แล้วอ้าปากพ่นไอบริสุทธิ์ใส่เข็มแหลมเล็กสีเขียว
พริบตาเดียวเข็มแหลมเล็กสีเขียวก็ดูดไอบริสุทธิ์จนหมดสิ้น แล้วมันก็เริ่มค่อยๆ เปล่งประกายออกมาไม่หยุด
นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด อักขระพุ่งยิงติดต่อกันออกไปเป็นเส้นๆ
“ฟู่!”
อักขระสีเขียวจำนวนมากปรากฏขึ้นบนเข็มแหลมเล็กสีเขียว หลังจากที่มันรวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นค่ายกลอักขระสามชั้นบางๆ ส่งเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ไม่หยุด
“ที่แท้ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำมีแค่สามชั้นจำกัด แต่มันเพียงพอสำหรับข้าในตอนนี้แล้ว ตั้งชื่อเจ้าว่า ‘เข็มเงาหยก’ แล้วกัน หวังว่าเจ้าสามารถไปมาได้อย่างไร้ร่องรอย” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่กลับรีบเปลี่ยนท่ามือเริ่มทำการกระตุ้นเข็มเงาหยก
หลายวันผ่านไป ในที่สุดหลิ่วหมิงก็กระตุ้นชั้นจำกัดแรกของเข็มเงาหยกได้สำเร็จ จากนั้นเขาคีบมันไว้ระหว่างนิ้ว แล้วแค่สะบัดมันเล็กน้อย มันก็กลายเป็นสายลมบางเบาที่เกือบจะมองไม่เห็นพัดผ่านไป
แสงขาวแวววาวเปล่งประกายขึ้นตรงผนังด้านหน้า จากนั้นก็มีจุดสีดำปรากฏขึ้นหนึ่งจุด และขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็กลายเป็นรูสีดำขนาดเท่ากำปั้น ขณะเดียวกันยังมีเหม็นกลิ่นคาวจางๆ โชยออกมาจากในนั้นด้วย
เข็มเงาหยกนี้ไม่เพียงแต่ไปมาไร้ร่องรอย ทั้งยังมีพิษที่รุนแรงด้วย
……
ในห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนไหล่เขาเก้าทารก กุยหรูฉวย จูชื่อ นักพรตจง ยืนอยู่หน้าเตาหลอมยักษ์สูงหลายจั้ง ทุกคนต่างก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว และร่ายคาถาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ด้านล่างของเตาหลอมยักษ์ยังมีค่ายกลอักขระสีเงินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าจั้งส่งเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ไม่หยุด ลำแสงหลากสีปรากฏออกมาแล้วค่อยๆ จมหายเข้าไปในเตาหลอม
เตาหลอมนี้เป็นทองสัมฤทธิ์ มีสามขาสองหู มีเมฆอักขระจารึกหนาแน่นอยู่บนพื้นผิว ข้างในมีเสียงดังครั่นครืนและสั่นไหวอยู่ไม่หยุด ราวกับว่ามีสิ่งของบางอย่างกำลังพุ่งชนอยู่ในนั้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ลำแสงที่ปรากฏบนอักขระสีเงินยิ่งปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ ปกคลุมเตาหลอมจนมองเห็นได้เพียงลางๆ แต่เสียงที่ดังกระทบอยู่ด้านในก็ค่อยๆ เบาลงจนหายไปในที่สุด
“ได้เวลาแล้ว! สือชวนเตรียมพร้อมหรือยัง!” กุยหรูฉวนกล่าวอย่างเฉียบขาด
“เรียนอาจารย์ ศิษย์เตรียมพร้อมแล้ว!” ชายหนุ่มที่ยืนรออยู่ในโถงใหญ่นานแล้วรีบก้าวไปหนึ่งก้าวพร้อมกับกล่าวออกมา
บนร่างของเขามีโซ่สีเงินจางๆ พันอยู่ เหมือนจะพันรอบตัวสิบกว่ารอบ สีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก
“ดี! ศิษย์น้องจู ศิษย์น้องจง เปิดเตาหลอมพร้อมกันเถอะ!” กุยหรูฉวนตะโกนบอกจูชื่อกับนักพรตจง
หลังจากที่เสียงร่ายคาถาหยุดลง พวกเขาชี้นิ้วผ่านอากาศไปบนเตาหลอมยักษ์พร้อมกัน
เสียงดัง “เพล้ง!” ฝาเตาหลอมสั่นไหวแล้วก็พุ่งหลุดออกไป
ครู่ต่อมา มีเสียงดัง “ฟู่!” เงาดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากเตาหลอม
แต่หลังจากที่กุยหรูฉวนและคนอื่นๆ ชี้นิ้วไปอีกครั้ง เงาดำก็เกาะตัวกันหยุดค้างอยู่กลางอากาศทันที มันคือศีรษะของชายที่มีตาสีแดง ปากสีดำ และผมยาวเป็นกระเซิง
ใต้คอของมันว่างเปล่า เขี้ยวสองอันยื่นออกมาจากปาก บนหัวยังมีเขาสั้นสีเขียวขนาดยาวไม่กี่ชุ่น อักขระ ‘ผนึก’ สีแดงขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือประทับอยู่ที่แก้มทั้งสองข้าง และเมื่อถูกอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสามแสดงวิชาควบคุมมันให้อยู่กลางอากาศแล้ว มันก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดดังออกมา พร้อมกับส่ายหัวจนผมสีดำตั้งตรงขึ้นมาทั้งหัว ดูแล้วช่างดุร้ายเป็นยิ่งนัก
ในขณะนั้นเอง สือชวนกลับส่งเสียงคำรามต่ำออกมา โซ่บนตัวถูกสะบัดจนหลุดออกไป ปลายด้านหนึ่งของโซ่กลายเป็นบ่วงหล่นลงมาบนหัวของมัน
เสียงดัง “ฟู่!”
ฉากอันน่าตกใจได้ปรากฏขึ้น
เพียงแค่มีแสงสีเงินเปล่งประกายบนบ่วง มันก็ตกลงบนหัวอัปลักษณ์ราวกับไร้รูป แล้วก็จมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
และหัวอัปลักษณ์ก็ส่งเสียงร้องอย่างเวทนาขึ้นทันที ไอดำพวยพุ่งรอบตัวราวกับว่ามันได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
กุยหรูฉวนและคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็เก็บพลังเวทย์ด้วยความดีใจ
หัวอัปลักษณ์ที่ถูกควบคุมอยู่บนอากาศ รู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างผ่อนคลายลง และมันก็ได้รับอิสระอีกครั้งในทันที
หลังจากที่มันส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมาก็สะบัดผมอย่างรุนแรง พริบตาเดียวมันกลายเป็นเส้นสีดำจำนวนมากม้วนตัวไปหาชายหนุ่ม
สือชวนเห็นเช่นนี้ก็ดึงโซ่บนตัว และอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกไป
โซ่สีเงินตรึงแน่นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นภาพเบลอ
หัวอัปลักษณ์ส่งเสียงแหลมน่าเวทนาอีกครั้ง เส้นเลือดบนใบหน้าปูดบวมออกมา ผมยาวหดตัวกลับไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
ในขณะนั้นเอง โลหิตบริสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าหัวอัปลักษณ์ หลังจากเสียง “ฟู่!” ก็กลายเป็นยันต์อักขระสีเลือดติดอยู่บนหน้าผากของมัน ราวกับว่ามันเป็นตราประทับที่ฝังแน่นอยู่ในนั้น
หัวอัปลักษณ์มีสีหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัว แต่พริบตาเดียวที่ยันต์อักขระปรากฏขึ้น ความโหดร้ายน่ากลัวก็หายไปจนหมดสิ้นในทันที มันลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน
สือชวนร่ายคาถาแล้วดึงโซ่บนตัวอีกครั้ง
หลังจากโซ่ส่งเสียงดัง “ครืดคราด!” จนตรึงแน่น หัวอัปลักษณ์ก็ค่อยๆ ลอยมายังด้านหน้า จากนั้นก็หยุดนิ่งอยู่ห่างจากชายหนุ่มสิบกว่าจั้ง
สือฉวนเห็นเช่นนี้ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว โซ่บนร่างพุ่งยิงออกไปสิบกว่าเส้นราวกับอสรพิษ แล้วค่อยๆ จมหายเข้าไปในหัวอัปลักษณ์
ตอนนี้ชายหนุ่มถึงได้ถอนหายใจยาวออกมา โลหิตบริสุทธิ์ถูกพ่นออกไปติดต่อกัน พร้อมกับทำท่ามือต่างๆ ชี้ไปยังบนหัวอัปลักษณ์อยู่ไม่หยุด
หัวอัปลักษณ์ค่อยๆ ปิดเปลือกตาทั้งสองลง สีหน้าดูสงบขึ้นมา
สือชวนเปล่งเสียงออกมา ยกแขนขึ้นร่ายคาถาออกไป หัวอัปลักษณ์หมุนติ้วๆ หดตัวลง พร้อมกับโซ่ที่หดรัด และสุดท้ายก็กลายเป็นไอสีดำจมหายไปในถุงหนังที่ปกคลุมด้วยยันต์อักขระสีแดง
“ฮ่าๆ! ดี! สือชวน ในที่สุดเจ้าก็สามารถปราบเจ้าหัวบินตนนี้ได้ มันเป็นหัวปีศาจที่แท้จริงที่สาขาของเราได้เก็บรักษามาหลายปี ถึงแม้ว่าส่วนมากจะต้องพึ่งโซ่ปราบปีศาจที่สร้างจากเหล็กแสงเย็นทะเลลึกถึงจะปราบมันได้ แต่มันสามารถรับมือกับการประลองใหญ่ได้อย่างเหลือเฟือ สาขาเราจะสามารถยิ่งยิ่งใหญ่ได้หรือไม่ ล้วนต้องอาศัยเจ้าแล้ว” กุยหรูฉวนเดินเข้ามากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณอาจารย์ และอาจารย์อาทั้งสองที่มอบอาวุธจิตวิญาณให้ การประลองใหญ่ในครั้งนี้ศิษย์จะไม่ทำให้เสียหน้าเป็นอันขาด และศิษย์จะต้องมีชื่อจารึกอยู่ในห้าอันดับแรกของแผ่นศิลาจันทราให้ได้” สือชวนก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เขารีบคุกเข่าสาบานทันที
“ในเมื่อพวกข้าทั้งสามมอบโซ่ปราบปีศาจนี้ให้เจ้า เพราะคิดว่าเจ้าคือผู้ที่เหมาะสมกับมันที่สุด เดิมทีเซียวเฟิงก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนัก แต่เสียดายที่เขาเพิ่งจะบรรลุสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย ทั้งยังมีประสบการณ์การต่อสู้น้อย ต่อให้จะปราบเจ้าหัวบินได้ก็ไม่สามารถแย่งชิ่งตำแหน่งต้นๆ ในการประลองใหญ่ได้” จูชื่อก็เดินเข้ามาแล้วกล่าวอย่างช้าๆ
“ศิษย์จะไม่ทำให้อาจารย์ทั้งสามผิดหวังอย่างแน่นอน” สือชวนกล่าวอย่างจริงจัง
“เอาล่ะ! ลุกขึ้นเถอะ! เจ้าเพิ่งจะได้โซ่ปราบปีศาจกับหัวบินไป ยังต้องใช้เวลามากในการฝึกฝนให้คุ้นเคยกับมัน ตั้งแต่นี้ไปเจ้าก็พักอยู่ที่นี่ อาจารย์อาทั้งสองจะช่วยชี้แนะเจ้าเอง” กุยหรูฉวนกล่าวด้วยสีหน้าพึงพอใจ
สือชวนพยักหน้าตกปากรับคำ
……
ภายในกระท่อมเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่บางแห่งของสาขาระบำปีศาจ แขนทั้งสองของตู้ไห่กำลังโอบกอดมู่อวิ๋นเซียนอยู่ พวกเขาทั้งสองมีความสนิทสนมใกล้ชิดมากเป็นพิเศษ
“ครั้งนี้เจ้าคิดที่จะแย่งชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำจริงๆ หรือ?” ไม่รู้ว่าผ่านไปในเท่าไหร่ มู่อวิ๋นเซียนถึงได้เงยหน้าถามด้วยความกังวล
“อือ! ครั้งที่แล้วที่พวกเราไปเสี่ยงอันตรายรวบรวมสิ่งนั้นมาจากแดนปีศาจปรโลก และยังจ่ายไปจำนวนมากเพื่อหลอมโอสถจิตวิญญาณชนิดนั้น ไม่ใช่เพื่อใช้ในการนี้หรอกหรือ? เจ้าวางใจเถอะ! ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปีในนิกายเรามีไม่ค่อยมาก เหมือนจะมีไม่ถึงร้อยคนด้วยซ้ำ และถ้าข้ามีโอสถนี้ช่วยล่ะก็ เชื่อว่าจะต้องแย่งตำแหน่งต้นๆ ของศิษย์แกนนำมาได้อย่างแน่นอน เช่นนี้แล้วอาจารย์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ให้เราสองคนอยู่ร่วมกันแล้ว” ตู้ไห่กล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น
……………………………………….
ตอนที่ 88 แผ่นศิลาจันทรา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ถึงแม้โอสถนั้นจะเพิ่มพลังเวทย์ได้ไม่น้อย แต่มันก็มีผลข้างเคียงเป็นอย่างมาก และด้วยพลังของเจ้าถ้าคิดที่จะแย่งชิงตำแหน่งต้นๆ ของศิษย์แกนนำคงจะไม่ใช่ทานแค่เม็ดสองเสม็ด ข้าเป็นห่วงจริงๆ ถ้าหากว่า…” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินเช่นนี้กลับยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเดิม
“วางใจเถอะ! ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ ถ้าก็จะไม่ฝืนตนเองหรอก อีกอย่างถ้าไม่แย่งชิงในครั้งนี้ แล้วเจ้าสารเลวโอวหยางซินนั่นก็บรรลุเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเหมือนกัน พวกเราคงจะยุ่งยากมากกว่าเดิม ไม่สู้เราต่อสู้ตั้งแต่ตอนนี้เพื่อเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราอย่างเป็นทางการ เช่นนี้ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว” ตู้ไห่ส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้นมา
ได้ยินคนรักกล่าวเช่นนี้ มู่อวิ๋นเซียนก็ไม่พูดอะไรต่อ ทั้งสองต่างก็กอดกันอย่างเงียบๆ
……
“อะไรนะ อาจารย์ท่านจะมอบกระดิ่งมหาเสน่ห์นี้ให้ศิษย์เหรอ?” ดรุณีน้อยมองดูหญิงผมขาวด้วยความตกใจ
“ไม่ผิด การประลองใหญ่ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นอาจารย์เอาแต่พาเจ้าไขปริศนาของราชาปีศาจ จนเกือบจะหน่วงเหนี่ยวเวลาการฝึกฝนของเจ้า อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณที่สร้างชื่อเสียงให้กับอาจารย์ในปีนั้น เจ้าพกมันไว้กับตัว เชื่อว่าจะมีชื่อเสียงเหมือนอาจารย์ในตอนนั้น เจ้าต้องทำให้ทุกคนรู้ว่าสาขาหยินทนทรมานของเรานอกจากจะมีเจ้าเด็กหยางเฉียนที่แข็งแกร่งแล้ว ยังมีศิษย์อื่นๆ ที่แข็งแกร่งไม่แพ้เขาเช่นกัน” หญิงผมขาวยิ้มเล็กน้อย แล้วหยิบกระดิ่งสีดำยัดใส่มือดรุณีน้อย
“ขอบคุณอาจารย์ ศิษย์จะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังอย่างแน่นอน!” เจียหลานคุกเข่าลงพื้นแล้วรับกระดิ่งสีดำอย่างนอบน้อม
……
ในหอใหญ่บนยอดเขาของสาขาระบำปีศาจ ศิษย์พี่เฉียนกับจางชุ่ยเอ๋อร์นั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากัน มือทั้งสี่ค้ำยันกันไว้ ไอสีเทาแต่ละเส้นหมุนวนอยู่รอบตัวทั้งสองไม่หยุด
ข้างกายของพวกเขา มีหญิงเสื้อม่วงสีหน้าเย็นชาจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ นางก็คือ ‘อาจารย์อาหลิน’ ผู้นั้นนั่นเอง
……
กลางหุบเขาที่เต็มไปด้วยอสรพิษซึ่งอยู่ห่างจากนิกายปีศาจสองร้อยกว่าลี้ มีร่างคนผู้หนึ่งที่มีไอสีเขียวพวยพุ่งอยู่รอบตัว เขากำลังเดินไปยังทางเข้าหุบเขาช้าๆ ท่ามกลางกลุ่มอสรพิษที่รายรอบ เมื่อเขาเดินผ่านอสรพิษเหล่านั้นก็จะค่อยๆ ถอยหลบไป มีบางตัวที่ถอยช้าไปหน่อยจนมันสัมผัสโดนไอสีเขียวเข้า ร่างของมันจึงค่อยๆ แข็งตายไป
ไอสีเขียวเหล่านี้มีพิษมากกว่าพิษของอสรพิษเหล่านี้ถึงสามส่วน
……
ณ แดนปีศาจปรโลก ป่าดงดิบสีดำที่มีปราณหยินปกคลุมอย่างหนาแน่น ชายผู้หนึ่งฝังร่างตั้งแต่คอลงไปไว้ในดิน เหลือไว้เพียงแค่ศีรษะที่โผล่ออกมาด้านนอก
ใบหน้าของศีรษะใบนี้เต็มไปด้วยดิน จนดูไม่ออกว่ารูปโฉมเดิมนั้นเป็นอย่างไร และก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ลืมตาทั้งสองขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่เปล่งประกายสีเงิน
“น่าเสียดายจริงๆ ร่างศพเหล็กของข้ายังต้องใช้เวลาสักหน่อยถึงจะสมบูรณ์แบบ แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว หยางเฉียน เจ้ารอดูนะ! ดูว่าข้าจะลากเจ้าลงมาจากอันดับหนึ่งของศิษย์แกนนำได้อย่างไร” เขาพูดพึมพำกับตัวเอง
เขาเพิ่งจะพูดจบ พื้นดินบริเวณนั้นก็ระเบิดออกมา เงาร่างสีดำพุ่งออกมาจากในนั้น และสาวเท้ายาวๆ ไปยังที่มั่นของนิกายปีศาจด้วยเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ทุกย่างก้าวของเขาทำให้พื้นดินบริเวณนั้นค่อยๆ สั่นไหว ราวกับว่าตัวของเขาหนักเป็นอย่างมาก
……
เวลาสองเดือนผ่านไปภายในพริบตา
วันนี้ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังทำท่ามือด้วยมือทั้งสองและฝึกฝนอยู่ในห้องอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเสียงระฆังก็ดังมาจากยอดเขาหลักของนิกายปีศาจ
เสียงดังชัดเจนมาจากที่ไกลๆ แต่เมื่อมันเจ้ามากระทบโสตประสาทของหลิ่วหมิงแล้ว กลับทำให้เลือดเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ อารมณ์แห่งการต่อสู้ฮึกเหิมขึ้นมา
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้น นับจำนวนครั้งของเสียงระฆังอยู่ในใจ พอนับได้สามสิบหกครั้ง ถึงยืนขึ้นผลักประตูเดินออกไป
ในขณะเดียวกันเสียงระฆังก็หยุดชะงักในทันที
ตอนนี้มีเมฆลอยขึ้นอยู่เต็มท้องฟ้าด้านบนของนิกายปีศาจ และเมฆเหล่านี้ต่างก็ร่อนลงตรงตีนเขาของยอดเขาหลัก พริบตาเดียวก็มีคนมารวมตัวกันได้หลายพันกว่าคนแล้ว
ถึงในนั้นจะมีศิษย์อายุต่ำกว่าสามสิบปีที่เตรียมเข้าร่วมประลองใหญ่ก็ตาม แต่ที่เยอะที่สุดกลับเป็นบรรดาศิษย์เก่าที่มาดูการประลองโดยเฉพาะ
ถึงแม้ศิษย์เก่าเหล่านี้จะไม่สามารถเข้าร่วมประลองได้ และก็ไม่สิทธิ์ที่จะจารึกชื่อไว้บนแผ่นศิลาจันทรา แต่งานยิ่งใหญ่ที่หลายปีถึงจะมีสักครั้งนี้พวกเขาย่อมไม่พลาดอย่างแน่นอน
ประมุขนิกายปีศาจ กุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็มายืนอยู่ด้านหน้าสุดนานแล้ว และกำลังยืนรออะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ พลันมีคลื่นพลังงานไร้รูปแผ่ออกมาบนอากาศที่ดูว่างเปล่าตรงหน้ายอดเขาหลัก พร้อมกับเสียงดนตรีอันไพเพราะ จากนั้นทัศนียภาพตรงหน้าก็ฉีกออกจากกันราวกับม้วนภาพวาด ปรากฏดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลที่มีหมอกปกคลุมอยู่ ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง
“เรียนเชิญศิษย์พี่ยินจิ้ว!”
ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ ก็รีบคารวะไอหมอกพวยพุ่งที่อยู่ไกลออกไป
อาจารย์จิตวิญญาณสาขาอื่นๆ ต่างก็รีบทำตาม
“อะไรกัน การประลองใหญ่ที่สี่ปีมีครั้งได้มาถึงอีกแล้วเหรอ? แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเพิ่งจะหลับได้ครู่เดียวเอง หรือว่าพวกเจ้ากำลังหลอกลวงข้า!” น้ำเสียงอันดังสะเทือนเลือนลั่นราวกับฟ้าผ่าดังมาจากไอหมอกนั้น
“ขอศิษย์พี่ยินจิ้วอย่าได้โมโห ถ้าไม่ใช่ถึงเวลาการประลองใหญ่จริงๆ พวกข้าจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ขอศิษย์พี่แสดงพลังอันยิ่งใหญ่เพื่อเปิดแดนมายาจันทราอีกครั้ง!” ประมุขนิกายปีศาจรีบตอบกลับอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีที่นอบน้อม
“ช่างกวนใจข้าเสียจริง! เห็นแก่ที่พวกเจ้าไม่โกหกข้า รอสักครู่!” น้ำเสียงดังอันดังสะเทือนเลือนลั่นกล่าวอย่างทนรำคาญไม่ได้
จากนั้นดินแดนไอหมอกทั้งหมดก็สั่นไหว ม่านหมอกต่างก็กระจายออกไปทั่วทิศ เขาหินสีเหลืองที่สูงร้อยกว่าจั้ง มีพื้นที่ขนาดพันหมู่ปรากฏขึ้นมาทันที
เขานี้ค่อนข้างแปลกประหลาด ไม่เพียงแต่ไม่มีหญ้าสักต้น บนยอดเขาก็กว้างใหญ่ราบเรียบกว่าปกติ และยังมีลานหินธรรมชาติสูงหลายจั้งหลายแห่งกระจายไปทั่วระแหง
ตรงกลางที่ลานหินเหล่านี้ห้อมล้อมอยู่ มีแผ่นหินสีขาวดำสูงสามสิบกว่าจั้งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
หลิ่วหมิงจ้องมองจากที่ไกลๆ ก็พบว่าบนแผ่นหินนั้นมีอักขระสีเงินอยู่เต็มไปหมด เหมือนกับว่าจารึกชื่อคนจำนวนมากไว้บนนั้น
“แดนมายาจันทราได้เปิดแล้ว ศิษย์ทุกคนสามารถเข้าไปในนั้นได้” ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ก็เปล่งเสียงดังออกไป จากนั้นก็พาอาจารย์จิตวิญญาณของแต่ละสาขาเหาะไปยังเขาหินสีเหลือง
ศิษย์หลายพันคนที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้ ต่างก็พรั่งพรูกันตามเข้าไป
เมื่อศิษย์ทั้งหมดเข้าไปบนเขาแล้ว ไอหมอกสีขาวสลัวก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง มันปกคลุมเขาหินทั้งลูกไว้แน่นจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้
ตอนนี้ประมุขนิกายปีศาจได้ยืนอยู่บนลานหินบางแห่งแล้ว หลังจากที่กวาดตามองไปด้านล่างแล้วก็สะบัดแขนเสื้อ แผ่นหยกแบนๆ ขนาดใหญ่หลายชุ่นก็ลอยออกมา
จากนั้นเขาก็ทำการร่ายคาถา แผ่นหยกก็ลอยขึ้นฟ้าในทันที และขยายขนาดอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นลานหยกขนาดยาวหลายสิบจั้งลอยอยู่กลางอากาศ
อาจารย์จิตวิญญาณแต่ละท่านต่างก็ค่อยๆ เหาะขึ้นไปบนนั้น แล้วมองลงมายังศิษย์ที่อยู่ด้านล่าง
“ศิษย์ทั้งหลายจงฟังให้ดี การประลองใหญ่ที่สี่ปีมีครั้งกำลังจะเริ่มขึ้น กฎการประลองครั้งนี้ก็เหมือนเดิม โดยเริ่มจากศิษย์ทั่วไปเลือกท้าสู้กับศิษย์แกนนำที่มีชื่ออยู่บนแผ่นศิลาจันทรา จนเมื่อได้ผลศิษย์แกนนำร้อยอันดับแรกออกมาแล้ว ค่อยให้เหล่าศิษย์แกนนำผลัดเปลี่ยนกันท้าสู้กันเอง โดยให้ผู้ที่มีชื่ออันดับท้ายๆ เลือกก่อน สุดท้ายจะเป็นการตัดสินสิบอันดับแรก สามอับดับแรก และศิษย์พี่ใหญ่แกนนำอันดับหนึ่ง ส่วนกฎการท้าสู้ศิษย์ทั้งหลายสามารถไปดูรายละเอียดได้ที่ด้านล่างของแผ่นศิลาจันทรา ในระหว่างการประลองจะไม่รับผิดชอบความเป็นความตาย ศิษย์ที่เข้าสู่ลานประลองต้องลงนามความเป็นความตายก่อน แต่ผู้ที่ตั้งใจทำร้ายคู่ต่อสู้ในระหว่างการประลอง หรือสังหารศิษย์ร่วมสำนักตามอำเภอใจ จะถูกลงโทษอย่างหนัก โทษสถานเบาคือฟาดด้วยแส้ร้อยที โทษสถานหนักคือทำลายพลังเวทย์แล้วขับไล่ออกจากนิกาย ตอนนี้ให้ทุกคนไปอ่านกฎการท้าสู้ให้ละเอียดก่อน หลังเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป พิธีการประลองก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวอย่างราบเรียบในขณะที่ยืนอยู่บนลานหิน ถึงแม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่ทุกคนก็ได้ยินชัดเป็นพิเศษ
จากนั้นประมุขนิกายปีศาจก็ยกแขนขึ้น ธูปขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือลอยออกมา หลังจากที่มันสั่นไหวแล้วก็ลอยนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา
นิ้วมือหนึ่งชี้ผ่านอากาศไปยังธูปดอกนั้น
พลันปรากฏแสงไฟก็ปรากฏขึ้นตรงปลายธูป กลิ่นหอมของไม้จันทน์กระจายออกมา
ขณะนี้อาจารย์จิตวิญญาณที่ยืนอยู่ใต้แผ่นศิลาจันทรานานแล้ว ต่างก็ใช้มือข้างหนึ่งตบไปบนแผ่นศิลาจันทราเบาๆ
หลังจากมีเสียงหวึ่งๆ ออกมา ชั้นแสงสีดำบนแผ่นศิลาจันทราก็เริ่มหมุนวน อักขระบนพื้นผิวกลายอักขระแสงขนาดใหญ่ลอยออกมา ต่อให้เป็นผู้ที่ยืนอยู่ตรงขอบริมสุดก็สามารถมองเห็นอักขระบนนั้นได้อย่างชัดเจนในทันที
ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมประลองใหญ่ครั้งแรกเขย่งเท้าแหงนหน้าจ้องมองอักขระแสงขนาดใหญ่อยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงยืนอยู่ในมุมที่ไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็น และก็จ้องมองไปยังอักขระที่จารึกอยู่บนนั้นเช่นกัน
ด้านบนสุดของอักขระแสงสีเงินทั้งหมดนั้น เป็นชื่อของ ‘หยางเฉียน’ ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าปกติ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ หรี่ตาลง
เรื่องราวเกี่ยวกับ ‘หยางเฉียน’ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของศิษย์ในนิกายทั้งหมด ที่ชนะการประลองใหญ่ในครั้งล่าสุด เขาได้ยินคนพูดถึงมาหลายรอบแล้ว
ว่ากันว่าคนผู้นี้มีเก้าชีพจรจิตวิญญาณ กับร่างจิตวิญญาณหยิน ขณะเดียวกันก็เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาของสาขาหยินทนทรมาณกับสาขาฝึกศพด้วย เขาไม่เพียงแต่จะเคยเข้าร่วมการทดสอบความเป็นความตายเมื่อครั้งก่อนและรอดกลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังเคยได้รับคะแนนที่ไม่ธรรมดากลับมาด้วย คนในนิกายส่วนมากต่างก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขาสามารถกลายอาจารย์จิตวิญญาณได้
แต่หลังจากที่หยางเฉียนได้รับทรัพยากรที่เพียงพอแล้ว ผ่านไปหลายปีก็ยังไม่คิดที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ แต่กลับเก็บตัวฝึกฝนเป็นระยะเวลาหลายปี ไม่รู้ว่าเขากำลังฝึกฝนวิชาอะไรอยู่ หรือว่าคิดที่จะทำพื้นฐานให้แข็งแรงก่อน แล้วค่อยทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ
ด้วยเหตุนี้ หยางเฉียนผู้นี้ยิ่งดูลึกลับในบรรดาศิษย์ใหม่ แม้แต่ศิษย์สาขาอื่นที่ไม่ได้สังกัดสาขาหยินทนทรมาณต่างก็มีไม่น้อยที่ยกย่องเขา
หลิ่วหมิงครุ่นคิดเรื่องของหยางเฉียนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เบนสายตามองไปยังด้านล่าง
‘เฟิงฉาน’ ‘หมิ่นโซ่ว’ ‘เฉียนฮุ่ยเหนียง’ และชื่ออื่นๆ ค่อยๆ ปรากฏออกมา
รายชื่อสี่อันดับแรกบนแผ่นศิลาจันทรา ล้วนเป็นศิษย์ที่ชนะในสิบอันดับแรกในการประลองใหญ่ครั้งก่อน และเคยเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายแล้วรอดกลับมา ส่วนอีกหกคนที่เหลือมีแค่สองคนเท่านั้นที่อายุเกินสามสิบปีแล้ว ชื่อของพวกเขาเลยค่อยๆ จางหายไปบนแผ่นศิลาจันทรา อีกคนทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว ส่วนอีกสามคนกลับเสียชีวิตในการทดสอบความเป็นความตาย
รายชื่อศิษย์สิบอันดับแรกที่เสริมขึ้นมานั้นไล่อันดับจากรายชื่อบนแผ่นศิลาจันทรา
หลิ่วหมิงรู้จักผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในสิบอันดับเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นหลังจากดูรายชื่อพวกนี้เสร็จ เขาก็ละสายตามองไปยังกฎการประลองที่อยู่ตรงด้านล่าง
……………………………………….
ตอนที่ 89 เริ่มการประลองใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครู่ต่อมา หลังจากที่เขาอ่านจนเข้าใจ และจดจำไว้ในใจแล้ว ถึงได้ละสายตาไปมองศิษย์คนอื่นๆ ที่รวมตัวอยู่บนเขาหินอย่างคร่าวๆ
ศิษย์เก่าที่อายุสามสิบปีขึ้นไปเหล่านั้นต่างก็ยืนอยู่ห่างจากแผ่นศิลาจันทราค่อนข้างไกล โดยจับกลุ่มกันสองสามคนชี้ไปยังกลุ่มคนต่างๆ และวิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่หยุด
ศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองใหญ่ต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม มีศิษย์อายุยังน้อยบางคนมีสีหน้าตื่นเต้น และมีอารมณ์คึกคักอยากจะลองดู
หลังจากหลิ่วหมิงมองออกไปเพียงรอบเดียว ก็ค้นพบว่าในนั้นมีคนจำนวนหนึ่งที่คุ้นหน้าอยู่มาก เช่นมู่อวิ๋นเซียนที่ยืนอยู่ข้างตู้ไห่ เจียหลาน เหลยเจิ้น สือชวน และคนอื่นๆ
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน เขารีบหันหน้ากลับไปมองทันที
ท่ามกลางวงล้อมของศิษย์จำนวนหนึ่ง ซือหม่าเทียนจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเยือกเย็น พอเห็นเขามองกลับมาถึงได้ละสายตากลับโดยที่สีหน้าไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้เขาก็ค่อยๆ คิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมา
“ศิษย์พี่ไป๋ ที่แท้ท่านก็อยู่นี่เอง ครั้งนี้คิดจะขึ้นไปประลองดูไหม?” เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับน้ำเสียงอันตื่นเต้นของหญิงสาว
หลิ่วหมิงหันหน้ามาด้วยความแปลกใจ เขาเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามา พวกเขาก็คือเซวียซานกับวั่นเสี่ยวเชี่ยนนั่นเอง
ตอนนี้รูปร่างของเซวียซานสูงใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย ใบหน้าของวั่นเสี่ยวเชี่ยนมีความเขินอายเล็กน้อย
ทั้งสองดูสนิทสนมกันมาก เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองแตกต่างกับตอนแรกอย่างสิ้นเชิง
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องเซวียกับศิษย์น้องวั่น! ถ้ามีโอกาสล่ะก็ข้าก็คิดที่จะขึ้นไปลองดูอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“หนึ่งปีก่อนศิษย์พี่ไป๋ได้ก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว ตอนนี้พลังเวทย์คงจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถ้าเข้าร่วมการประลองล่ะก็ ใช่ว่าจะไม่มีหวังที่จะจารึกชื่อบนแผ่นศิลาจันทรา ยังไงซะศิษย์ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายของนิกายเราก็มีไม่ถึงร้อยคน” วั่นเสี่ยวเชี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
การประลองเล็กครั้งก่อน หญิงนางนี้ก็ก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว แต่เนื่องจากเวลาสั้นเกินไปทำให้ยังไม่สามารถเข้าแย่งชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำได้
“ฮึ! เป็นแค่ศิษย์ที่เพิ่งเข้านิกายก็คิดที่จะชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำ พวกเจ้าฝึกฝนอยู่ในนิกายอีกสามสี่ปีแล้วค่อยว่ากันเถอะ” ชายหนุ่มผู้มีกระบี่ยาวสีเงินเสียบอยู่ตรงเอวเดินเข้ามาแล้วกล่าวกับทั้งสามอย่างเย็นชา
“เอ๋! ที่แท้ก็คือศิษย์พี่สีนี่เอง ครั้งก่อนศิษย์พี่ชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำมาได้ คิดว่าครั้งนี้ก็คงจะยังมีชื่ออยู่แผ่นศิลาจันทราต่อไป” ตอนแรกที่เซวียซานได้ยินคำพูดก็รู้สึกโมโห แต่พอเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของชายหนุ่มก็ฝืนยิ้มกล่าวออกไป
การประลองสองครั้งก่อน ศิษย์พี่สีผู้นี้ก็ปรากฏตัวในฐานะหนึ่งในศิษย์เก่า แสดงพลังได้แข็งแกร่งมาก ในบรรดาศิษย์เก่าของสาขาเก้าทารกเขาเป็นรองแค่ศิษย์พี่สือชวนเท่านั้น เขามีท่าท่าทีสบประมาทต่อศิษย์ใหม่อย่าเซวียนซานและคนอื่นๆ มาโดยตลอด!
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว กำลังคิดที่จะพูดอะไรออกมา แต่ก็มีเสียงอันเย็นชาดังมาจากอีกทิศทางหนึ่ง
“ฮึ! ใครบอกว่าศิษย์ใหม่อย่างพวกเรา ไม่สามารถจารึกชื่อไว้บนแผ่นศิลาจันทราได้”
เซวียนซานกับวั่นเสี่ยวเชี่ยนมองไปด้วยความตกตะลึง เจ้าของเสียงนั้นคือเซียวเฟิงที่ไม่รู้ว่าเข้ามาบริเวณนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และจ้องมอง ‘ศิษย์พี่สี’ ด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“เซียวเฟิง ถ้าไม่ใช่ว่าอาจารย์กุยให้ความสำคัญกับเจ้า ให้พื้นที่การฝึกฝนแก่เจ้า และยังชี้แนะด้วยตนเอง เจ้าจะก้าวเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้เร็วถึงเพียงนี้หรือ?” พอศิษย์พี่สีเห็นเซียวเฟิง ก็กล่าวออกมาโดยไม่สามารถปิดบังความรู้สึกอิจฉาที่ซ่อนไว้ในใจได้
สำหรับเขาแล้ว พอศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณอย่างเซียวเฟิงผู้นี้เข้ามาในสาขา ก็ครอบครองทรัพยากรบนเขาไปจำนวนมาก คนผู้นี้ย่อมน่ารังเกียจยิ่งกว่าหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ
“ฮึ! ข้าไม่สนใจวิธีการหรอก ท่านคิดว่าใครก็สามารถใช้เวลาสามถึงสี่ปีในการบรรลุเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้เหรอ? ไม่ทราบว่าตอนนั้นศิษย์พี่สีใช้เวลานานแค่ไหนถึงฝึกฝนมาถึงขึ้นนี้ได้?” เชียวเฟิงยิ้มอย่างเยือกเย็น เขาไม่ไว้หน้าฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย
“เจ้า…”
ศิษย์พี่สีได้ยินก็โมโหเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับฝ่ายตรงข้ามไปอย่างไรดี
“ศิษย์น้องทั้งหลาย ใยต้องใช้อารมณ์ชั่ววูบถกเถียงกันด้วยล่ะ!”หลังจากมีเสียงถอนหายใจเบาๆ ก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนบริเวณนั้น
หลิ่วหมิงมองดูอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คนผู้นั้นก็คือศิษย์พี่ใหญ่แห่งสาขาเก้าทารกที่ชื่อสือชวนผู้นั้นนั่นเอง
เขาไม่ได้แปลกใจที่สือชวนมาอยู่ที่นี่ แต่จากพลังจิตที่แข็งแกร่งของเขารับรู้ได้ลางๆ ว่ากลิ่นไอพลังของฝ่ายตรงข้ามแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง เหมือนกับว่ามีกลิ่นไอเย็นยะเยือกบางอย่างบนร่างเขา
หลิ่วหมิงมองไปที่เอวของเขาด้วยตาที่เป็นประกาย ตรงนั้นมีถุงหนังยันต์อักขระสีแดงเขียวอยู่ใบหนึ่ง เหมือนกับว่ามันเป็นที่มาของกลิ่นไออันเยือกเย็นนี้
“ศิษย์พี่สือ”
พอเห็นการปรากฏตัวของสือชวน ไม่ว่าจะเป็นเซวียซาน วั่นเสี่ยวเชี่ยน ศิษย์พี่สี หรือว่าเซียวเฟิง ต่างก็รีบทักทายเขาทันที
หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ทำการคารวะศิษย์พี่สือ
“ศิษย์น้องทั้งหลาย การประลองใหญ่ครั้งนี้สำคัญกับสาขาของพวกเรามาก ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ใหม่หรือศิษย์เก่าที่สามารถจารึกชื่อไว้บนแผ่นศิลาจันทราได้ อาจารย์กุย และอาจารย์ท่านอื่นๆ ต่างก็จะให้รางวัลอย่างงาม ถ้าหากว่าทำให้สาขาเก้าทารกหลุดออกจากตำแหน่งรั้งท้ายได้ ต่อไปสาขาของเราก็จะได้รับทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น และมันก็จะเป็นผลดีต่อศิษย์น้องทุกท่านด้วย ดังนั้นอาจารย์กุยจึงได้สั่งห้ามไม่ให้ศิษย์สาขาเดียวท้าชิงศิษย์ในสาขาที่มีชื่อเป็นศิษย์แกนนำอยู่บนแผ่นศิลาจันทราอยู่แล้ว เพื่อจะได้รับประกันการดึงตำแหน่งอันดับสาขาของเราให้สูงขึ้น” สือชวนค่อยๆ กล่าวออกมา
“ในเมื่ออาจารย์กุยได้สั่งไว้ ศิษย์ย่อมไม่กล้าฝ่าฝืน!” เซียวเฟิงตอบกลับด้วยสีหน้าหนักแน่น
คนอื่นๆ ก็พยักหน้าขานรับกลับไป
ในขณะเดียวกัน บนลานหินที่อยู่ห่างจากพวกหลิ่วหมิงค่อนข้างไกล มีคนผู้หนึ่งกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ และกล่าวขึ้นกับคนข้างๆ อย่างราบเรียบ
“ตอนนี้ไป๋ชงเทียนแตกต่างจากที่ข้าคิดไว้มาก ไม่แปลกใจเลยที่เขาสร้างชื่อเสียงเล็กน้อยได้ และยังทำให้ซือหม่าเทียนก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยแล้ว”
เจ้าของเสียงสวมชุดคลุมสีขาว คาดสายคาดเอวหยก สะพายกระบี่ยาวสีทองอ่อนๆ เล่มหนึ่งอยู่บนหลัง เขาก็คือเกาชงศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาแห่งสาขาพลังโลหิตนั่นเอง
และดรุณีน้อยใบหน้างดงามด้านข้างก็คือมู่หมิงจูนั่นเอง
ว่ากันตามหลักการแล้ว งานประลองใหญ่ซึ่งเป็นงานใหญ่ของนิกายปีศาจนี้ ศิษย์นิกายสายนอกไม่มีสิทธิเข้าร่วมได้ แต่ไม่รู้ว่าเกาชงใช้วิธีการอะไรถึงพานางเข้ามาได้
ด้านหลังของพวกเขา มีชายหนุ่มสวมห่วงที่แขน ศิษย์พี่อู๋ สือเจียนและคู่รักของเขาก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วย
“เจ้าคิดจะทำอย่างไร? ถ้าหากเขาไม่เข้าร่วมการประลองครั้งนี้ล่ะก็ ก็จะไม่วิธีเจอเขาได้” มู่หมิงจูจ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่ไกลๆ ด้วยความโกรธแค้น แล้วกล่าวอย่างกังวล
“ไม่เข้าร่วมการประลอง? มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเขาทำให้ศิษย์แกนนำยี่สิบอันดับแรกอย่างซือหม่าเทียนกลัวจนหัวหดได้ ทำไมจะไม่ชิงตำแหน่งในนิกายที่ตนเองควรจะได้ล่ะ ขอแค่เขามีชื่ออยู่บนแผ่นศิลาจันทรา ข้าย่อมจะท้าสู้กับเขาอย่างแน่นอน” เกาชงดูเหมือนจะคิดเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วจึงกล่าวออกมาโดยไม่ต้องคิด
มู่หมิงจูได้ยินเช่นนี้แล้วถึงได้รู้สึกวางใจขึ้นใจ และมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของนาง
“แต่ศัตรูตัวฉกาจที่แท้จริงของข้าในครั้งนี้ไม่ใช่ไป๋ชงเทียน แต่เป็นคนผู้นั้น!” เกาชงมองไปยังชายชุดคลุมสีเทา สวมหน้ากากสีเงิน ยืนอยู่บนลานหินที่รายล้อมไปด้วยศิษย์สาขาหยินทนทรมาณ สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมมากกว่าเดิม
“ไม่คาดคิดว่าเจ้าหนูน้อยจะไม่สนใจคำพูดของข้า ในสถานนี้แบบนี้ก็ยังมาอยู่กับเกาชงได้ ช่างไม่รู้สึกเกรงกลัวอะไรเลย” มู่อวิ๋นเซียนกับตู้ไห่ยืนอยู่ด้วยกัน พอเห็นมู่หมิงจูและเกาชงที่ยืนเคียงคู่กันบนลานหิน สีหน้าของพวกเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมา
“เจ้าบอกเรื่องเตาหลอมพลังไปแล้ว แต่หมิงจูก็ไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังทำการคัดค้านอีก มันช่างเป็นเรื่องที่แก้ได้ยากยิ่งนัก” ตู้ไห่ขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“เจ้าหนูน้อยก็ไม่ใช่คนโง่ แต่ทำไมถูกเด็กนั่นหลอกได้ขนาดนี้ พี่ใหญ่ข้าเอ็นดูหมิงจูมาโดยตลอด ทั้งยังฝากให้ข้าดูแลเมื่อนางมาอยู่ในนิกายแล้ว ถ้าหากมีเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดจริง ข้าก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปอธิบายอย่างไรดี” มู่อวิ๋นเซียนรู้สึกโกรธแต่ก็อดที่จะสงสารนางไม่ได้
“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าศิษย์น้องไป๋จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีแล้ว เจ้าคงไม่คิดว่าเกาชงพามู่หมิงจูมาถึงนี่ โดยที่ไม่สนใจกับศิษย์น้องไป๋ที่เป็นคู่หมั้นของมู่หมิงจูหรอกนะ” ตู้ไห่ถอนหายใจยิ้มขมขื่นออกมา
“เจ้าหมายความว่าเกาชงจะใช้การประลองใหญ่นี้จัดการกับศิษย์น้องไป๋ด้วยตนเองหรือ?” มู่อวิ๋นเซียนรู้สึกตกใจขึ้นมา
“ใยจะต้องลงมือเองเล่า เกรงว่าแค่ผู้ที่เกาะติดเขาก็เพียงพอที่จะลงมือได้แล้ว” ตู้ไห่จ้องมองชายสวมห่วงที่แขนตรงหลังเกาชงด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
“ถ้างั้นคงต้องให้ศิษย์น้องไป๋ถอนตัวจากการประลองใหญ่ในครั้งนี้ ถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้” มู่อวิ๋นเซียนกล่าว
“การประลองใหญ่นี้สี่ปีถึงจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง อวิ๋นเซียนคิดว่าเขาจะยอมถอนตัวหรือ? ตอนนี้ได้แต่หวังว่าศิษย์น้องไป๋จะไม่สามารถจารึกชื่อไว้บนแผ่นศิลาจันทราได้ เช่นนี้แล้วพวกของเกาชงก็จะไม่มีโอกาสลงมืออีก” ตู้ไห่ส่ายศีรษะกล่าวออกมา
“คงได้แต่หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น จะว่าไปแล้วข้าเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ที่เป็นคนนำศิษย์น้องไป๋ให้มาถึงจุดนี้” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
“เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้! เจ้าก็แค่คิดที่จะช่วยหมิงจูให้ออกมาจากทะเลเพลิงเท่านั้น” ตู้ไห่ปลอบด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น
และในขณะนั้นเอง ธูปบนลานหยกก็เผาไหม้จนหมดสิ้น ประมุขนิกายปีศาจก้าวมาหนึ่งก้าว แล้วประกาศออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ได้เวลาแล้ว การประลองใหญ่เริ่มต้น ณ บัดนี้”
และในขณะเดียวกัน อาจารย์จิตวิญญาณอีกท่านหนึ่งก็รีบสั่งออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ศิษย์ที่มีชื่ออยู่บนแผ่นศิลาจันทรา ให้แบ่งออกเป็นสิบกลุ่มตามอันดับรายชื่อ แล้วไปอยู่บนลานประลองสิบแห่ง ศิษย์ทั่วไปท้าสู้กับศิษย์แกนนำเหล่านี้ ผู้ชนะให้อยู่บนนั้นส่วนผู้แพ้ให้ออกไปจากลานประลอง ศิษย์ทั่วไปมีโอกาสท้าสู้แค่สามครั้ง พอครบสามครั้งก็ไม่มีสิทธิ์ท้าสู้อีก และในศิษย์แกนนำด้วยกันจะสามารถท้าสู้ได้แค่คนละหนึ่งครั้งเท่านั้น และไม่สามารถถูกคนอื่นท้าสู้ติดต่อกันได้ บนลานการประลองแต่ละแห่งจะมีอาจารย์จิตวิญญาณหนึ่งท่านคอยดำเนินการท้าสู้ ห้ามศิษย์คนใดฝ่าฝืนการตัดสินของพวกเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เหล่าศิษย์ที่อยู่บนเขาหินก็เริ่มเกิดความวุ่นวายขึ้น
และอาจารย์จิตวิญญาณสิบท่านก็กระโดดลอยตัวลงมากลางลานหินสิบแห่งอย่างมั่นคง
จากนั้นธงเล็กๆ แต่ละผืนก็พุ่งบินออกจากตัวของพวกเขา แล้วค่อยๆ กลายเป็นธงผ้าปักลงตรงด้านหนึ่งของลานหินอย่างเป็นระเบียบ
ธงเหล่านี้มีสีแดงดำ มีเครื่องหมายสีทองอร่ามประทับอยู่ เป็นเครื่องหมายของการจัดอันดับที่แตกต่างกัน ตั้งแต่อันดับร้อยถึงอันดับหนึ่ง
……………………………………….
ตอนที่ 90 ต้วนฉานจู่
โดย
Ink Stone_Fantasy
และศิษย์นิกายปีศาจคนอื่นๆ ก็รีบแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม แล้วล้อมรอบลานประลองหินจนแน่นขนัด
แน่นอนว่าลานประลองหินที่อยู่อันดับท้ายๆ จะถูกรายล้อมด้วยคนจำนวนมากกว่าที่อื่น
จากการประลองใหญ่ที่ผ่านมา ศิษย์แกนนำที่มีชื่ออยู่อันดับท้ายๆ จะถูกท้าสู้บ่อยที่สุด
เสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!”
เมฆเทาแต่ละก้อนทะยานขึ้นฟ้า ศิษย์แกนนำแต่ละคนต่างก็ยืนอยู่ใต้ธงที่บ่งบอกตำแหน่งของตนเองด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่กลิ่นไอพลังของแต่ละคนนั้นไม่อาจสบประมาทได้
ผู้คนที่อยู่ใต้ลานประลองหินต่างก็ค่อยๆ เลือกท้าสู้คนที่ต้องการ ลานประลองหินบางแห่งมีคนสี่ห้าคนขึ้นไปท้าสู้พร้อมกันบนลานแล้ว
อาจารย์จิตวิญญาณที่รับผิดชอบดำเนินการประลอง ให้คนเหล่านี้กับคู่ต่อสู้ลงนามความเป็นความตาย และกระตุ้นค่ายกลป้องกันที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรก
ม่านโปร่งแสงปรากฏออกมาปกคลุมลานประลองไว้
คู่ต่อสู้แต่ละคู่ต่างก็แสดงวิชาหรือเรียกปีศาจของตนเองออกมาแล้วการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น และเพียงครู่เดียวก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้สมที่อยู่นอกม่านแสง
หลิ่วหมิงไม่ได้อยู่ในลานประลองเหล่านี้ แต่กลับเดินไปยังด้านหน้าลานประลองหินของศิษย์แกนนำอันดับหนึ่งถึงสิบ
ลานประลองนี้เงียบสงัดมาก แต่บริเวณนั้นก็มีคนเบียดเสียดกันอยู่ไม่น้อย พวกเขาต่างก็จ้องมองศิษย์แกนนำทั้งสิบที่อยู่บนลานประลอง และวิพากษ์วิจารณ์อะไรบางอย่างกันเบาๆ
สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว การประลองใหญ่ครั้งนี้เขาจะต้องชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกมาให้ได้ เช่นนี้แล้วถึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบความเป็นความตายในภายหลัง เขามุ่งหวังที่จะได้รับทรัพยากรและผลประโยชน์ในการฝึกฝนที่มากยิ่งขึ้น และจะได้บรรลุเข้าถึงศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้เร็วขึ้นด้วย
ด้วยเหตุนี้ คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเขาย่อมเป็นศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก และผู้ท้าสู้คนอื่นๆ ที่ต้องการเข้าร่วมการจัดอันดับเดียวกัน
หลิ่วหมิงแค่กวาดสายตามองไปบริเวณรอบๆ ก็เห็นเกาชง เหลยเจิ้น เจียหลาน และคนอื่นที่ใบหน้าคุ้นเคย รวมทั้งศิษย์หลายคนที่ดูไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
พอคนเหล่านี้เห็นหลิ่วหมิงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วย บางคนก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา บางคนก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
ส่วนศิษย์แกนนำบนลานประลองทั้งสิบ หลิ่วหมิงแค่มองออกไปก็เห็นหยางเฉียนที่ใส่หน้ากากสีเงินอยู่
ศิษย์พี่ใหญ่แห่งนิกายปีศาจที่ผู้คนร่ำลือกันผู้นี้ กำลังหลับตานั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ธงอย่างไม่สะทกสะท้าน
ภายใต้ธงเสาที่สอง คือชายรูปร่างผอมแห้งผู้หนึ่ง ที่มีผมยาวยุ่งเหยิงเต็มศีรษะ และแสงสีเงินเปล่งประกายอยู่ในดวงตาไม่หยุด ส่วนลำดับถัดมาเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวทั้งตัว ใบหน้าซีดขาว ดวงตาเรียวเล็ก ทำให้คนรู้สึกอันตรายเป็นอย่างมาก
ใต้เสาธงที่สี่เป็นหญิงเสื้อเหลืองที่ใบหน้าสวยงาม นางชื่อ ‘เฉียนฮุ่ยเหนียง’ ที่ก่อนหน้านั้นเขาเคยเห็นชื่อของนางบนแผ่นศิลาจันทรา
คนที่ห้าคือ…
หลิ่วหมิวพินิจดูศิษย์เหล่านี้ทีละคน และคิดทบทวนไปมาในใจอย่างรวดเร็ว
ลานประลองหินอื่นๆ ต่างก็มีคนเริ่มประลองกันแล้ว แต่ลานประลองหินนี้ยังคงเงียบสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคนขึ้นไปท้าสู้
แต่ชายฉกรรจ์สวมชุดคลุมผ้าดิ้นหนวดเคราเต็มหน้า ที่เป็นอาจารย์จิตวิญญาณรับผิดชอบดำเนินการประลองในลานประลองนี้ กลับไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง เขาพลันสะบัดแขนเสื้อขึ้นมา นาฬิกาทรายขนาดเล็กลื่นไหลออกมาจากในนั้นพร้อมกับกล่าวอย่างราบเรียบว่า
“ถ้าไม่มีคนขึ้นมาท้าชิงภายในเวลาหนึ่งเค่อ[1] จะถือว่าศิษย์ทั้งหมดสละสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งของศิษย์แกนนำบนลานประลองนี้ ข้าจะเริ่มจับเวลาตั้งแต่บัดนี้!”
เม็ดทรายเล็กละเอียดค่อยๆ ไหลลงด้านล่าง
ฉากนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างลานประลองเกิดความวุ่นวายขึ้นมา
สุดท้ายก็มีคนกระโดดเหาะขึ้นไปบนลานประลอง
“ศิษย์ตู้อวี้ อยากขอท้าสู้กับศิษย์พี่เย่ที่เป็นศิษย์แกนนำอันดับสิบ!” ผู้ที่กระโดดขึ้นบนลานประลองเป็นชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา ในมือถือพัดดอกท้อสีชมพูอยู่ด้ามหนึ่ง เขากล่าวกับชายชุดผ้าดิ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เฮ่อๆ! คิดที่จะท้าสู้กับข้าเหรอ ข้าเองก็ว่างจนคันไม้คันมืออยู่พอดี” ที่ตรงด้านใต้ของธงเสาที่สิบ ชายหนุ่มร่างกำยำสวมห่วงทองรัดศีรษะผู้หนึ่งได้ยืนขึ้น แล้วหัวเราะกล่าวออกมา
“ดี! พวกเจ้าลงนามความเป็นความตายก่อน!” ชายฉกรรจ์คว้ามือไปดูดนาฬิกาทรายเก็บเข้าไปที่เดิม ส่วนมืออีกข้างก็มีแสงเปล่งประกายม้วนตัวออกมา ป้ายคำสั่งสีแดงเลือดแผ่นหนึ่งลอยออกมาแล้วหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
เมื่อทั้งสองเห็นเช่นนี้ก็เดินเข้าไปทันที แล้วต่างก็หยดเลือดบริสุทธิ์ลงไปบนป้ายคำสั่ง จากนั้นก็ถอยออกไปหลายก้าวแล้วจ้องมองดูอยู่ไกลๆ
เสียงดังกังวานออกมาจากแผ่นป้ายคำสั่ง อักขระสีเลือดพรั่งพรูกันออกมา จากนั้นก็หายเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ชายชุดผ้าดิ้นเห็นเช่นนี้ ถึงได้เรียกป้ายคำสั่งกลับมาแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
“การประลองเริ่มต้น ณ บัดนี้!”
พอเสียงสิ้นสุดลง เขาก็กระทืบเท้าทันที ค่ายกลสีขาวเปล่งประกายออกมา ม่านแสงสีขาวมัวปรากฏขึ้นแล้วปกคลุมลานประลองไว้ ขณะเดียวกันเขาก็ถอยตัวออกไปจากม่านแสงนั้น ก่อนที่จะมันจะปกคลุมจนทั่วลานประลอง แล้วค่อยๆ เหาะขึ้นไปยืนดูอยู่บนม่านแสง
“พรึ่บ!”
ชายหนุ่มถือพัดแค่สะบัดข้อมือ พัดดอกท้อในมือก็กลายเป็นพายุสีชมพูม้วนตัวออกไป ในขณะเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้ออีกข้าง กลิ่นไอหอมหวานตลบอบอวลไปทั่วม่านแสงภายในพริบตาเดียว
“กลิ่นหอมมหาเสน่ห์! ดูท่าเจ้าคงจะเป็นศิษย์สาขาพิษจิตวิญญาณ!” ชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะเห็นนี้กลับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง หลังจากที่เขาร่ายคาถา อักขระสีดำก็เปล่งประกายออกมาจากร่างเขา จากนั้นร่างของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นชายร่างยักษ์ที่สูงสองจั้ง และชกหมัดออกมาสามครั้งติดต่อกัน คลื่นพลังไร้รูปโจมตีออกไป
พายุสีชมพูถูกพลังมหาศาลตรงด้านหน้าต้านทานไว้ หลังจากที่มันเกาะผนึกกันแล้วก็ม้วนตัวสะท้อนกลับมา
ชายหนุ่มถือพัดไม่ทันได้ป้องกันตัว เขาแค่รู้สึกอึกอัดจากนั้นร่างของเขาก็ถูกพลังมหาศาลพุ่งชนใส่จนกระเด็นไปชนม่านแสงด้านหลังอย่างแรง เขากระอักเลือดออกมาด้วยสภาพที่อิดโรย
ชายร่างยักษ์รีบก้าวเท้ายาวเข้ามาด้วยท่าทางที่ดุดัน
“เป็นไปไม่ได้ ทำไมเจ้าถึงไม่ได้ผลกระทับจากกลิ่นหอมมหาเสน่ห์! เจ้า… เจ้าคือร่างฝึก…ข้ายอมแพ้แล้ว!” ชายถือพัดเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนขวัญกระเจิง และยอมรับความพ่ายแพ้ขึ้นมาทันที
“ฮึ! ที่แท้ก็ไอ้สวะดีๆ นี่เอง ความสามารถแค่นี้ก็กล้ามาท้าสู้กับข้า!” ชายร่างยักษ์หยุดฝีเท้าพร้อมกับกล่าวออกมา จากนั้นก็ฟื้นร่างกลับมาเป็นปกติแล้วหันตัวเดินกลับไปยังใต้ธงของตัวเอง
ค่ายกลบนลานประลองเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง จากนั้นม่านแสงก็หายไป ชายหนุ่มถือพัดรีบกระโดดลงลานประลองด้วยสีหน้าอับอาย พริบตาเดียวเขาก็ออกไปไกลจากบริเวณนั้นแล้ว
ตอนนี้อาจารย์จิตวิญญาณถึงได้ลอยลงมามาประกาศชัยชนะของชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็เขาตั้งนาฬิกาทรายอีกครั้ง และรอคอยอย่างสงบ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะได้ชัยชนะมาง่ายดายเกินไปหรือเปล่าถึงได้ยังไม่มีคนขึ้นไปอีก จนกระทั่งเม็ดทรายไหลไปได้เกือบครึ่งถึงมีเสียงคนกระแอมไอเบาๆ แล้วกระโดดขึ้นไปบนลานประลอง
คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มสีหน้าเหลืองซีด อายุยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี คลุมเสื้อคลุมยาวสีเขียวอ่อน พอปรากฏตัวขึ้นเขาก็รีบโค้งคารวะอาจารย์จิตวิญญาณแล้วกล่าวออกมา
“อาจารย์อา ข้าน้อยต้วนฉานจู่ อยากจะขอท้าสู้กับศิษย์พี่เฟยที่เป็นศิษย์แกนนำอันดับหก!”
พอเขาเอ่ยปากก็ทำให้ทุกคนใจเต้นขึ้นมา ผู้คนจำนวนมากจ้องมองคนผู้นี้ด้วยความตื่นตะลึง
พลังของศิษย์แกนนำอันดับสิบกับอันดับหกนั้นต่างกันอย่างน่าตกใจทีเดียว
“ต้วนฉานจู่ มีคนเคยได้ยินชื่อนี้ไหม?”
“ไม่อ่ะ เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก”
“ดูเหมือนจะเป็นศิษย์สาขาฝึกศพ แต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร”
ผู้คนด้านล่างต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา
ผู้ที่นั่งอยู่ใต้ธงเสาที่หก เป็นหญิงที่สวมชุดยาวสีแดง พอได้ยินเช่นนี้นางก็เลิกคิ้วขึ้น และลุกขึ้นมาพร้อมกับง่ามสั้นคู่หนึ่งที่สะพายอยู่บนหลัง
ครู่ต่อมา ทั้งสองก็ลงนามความเป็นความความตายกันเรียบร้อย จากนั้นม่านแสงก็ปรากฏออกมาปกคลุมลานประลองอีกครั้ง
“เจ้าบังอาจท้าสู้ข้า ช่างใจกล้าไม่เบา ถึงแม้ง่ามบินอัคคีคู่นี้จะไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณ แต่ก็เป็นอาวุธอาญาสิทธิ์ระดับสุดยอด ระวังอย่าโดนมันเข้าจนเสียชีวิตล่ะ” หญิงชุดแดงกล่าวอย่างเยือกเย็น พอกล่าวจบนางก็สะบัดไหล่ ง่ามสีแดงอันหนึ่งกลายเป็นลำแสงสีแดงพุ่งยิงออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
หลังจากที่ดวงตาทั้งสองของต้วนฉานจู่เปล่งประกาย เขาก็ยกหมัดโจมตีออกไป
“เพล้ง!” เสียงกระทบกันดังขึ้น แสงสีแดงเปลี่ยนกลับเป็นง่ามบินอัคคีสะท้อนกลับไป
และผ้าขาวชั้นหนึ่งที่ห่อหุ้มหมัดข้างนั้นอยู่ ก็แตกกระจายออกจากกันทันที เผยให้เห็นผ้าพันแผลสีเหลืองเข้มที่พันตั้งแต่ฝ่ามือ แขน จนถึงข้อศอก ราวกับว่ามันพันไปจนถึงต้นแขนเลยทีเดียว
พอชายผมยาวร่างผอมแห้งที่อยู่ใต้ธงเสาที่สองเห็นลักษณะของผ้าพันแผลบนมือของต้วนฉานจู่ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา และพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ผู้อื่นๆ มิอาจได้ยินได้
“อาภรณ์ศพวังสวรรค์ ไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องต้วนผู้นี้จะฝึกเคล็ดวิชาที่รุนแรงเช่นนี้ ดูเหมือนว่าฝึกจนเชี่ยวชาญแล้ว”
พอหญิงเสื้อแดงที่อยู่ตรงข้ามเห็นง่ามบินอัคคีถูกหมัดฝ่ายตรงข้ามโจมตีจนกระเด็นออกไปก็รู้สึกตกใจมาก แต่ครู่เดียวก็ชี้นิ้วร่ายคาถาขึ้นมา
ง่ามบินอัคคีหมุนวนหนึ่งรอบ ขณะเดียวกันแสงสีแดงก็เปล่งประกายออกมาบนพื้นผิวของมัน หลังจากเสียงดัง “ฟู่” มันก็กลายเป็นเปลวไฟอันคุโชนพุ่งยิงไปหาต้วนฉานจู่
ต้วนฉานจู่เห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ สะบัดข้อมือ แถบผ้าสีเหลืองยาวเจ็ดถึงแปดเส้นก็ดีดตัวออกไป ขณะเดียวกันก็บังเกิดพายุหมุนวนขึ้น จากนั้นแถบผ้าสีเหลืองก็กลายเป็นเงาคุ้มกันร่างเขาไว้
เปลวไฟสีแดงโจมตีไปยังด้านบนด้วยเสียงอันดังสะเทือนเลือนลั่น จากนั้นเปลวไฟก็แตกกระจายกระเด็นไปทั่วทิศ
ง่ามบินอัคคีถูกดีดออกอีกครั้งหลังจากที่พลังอันมหาศาลประทุเข้ามา
และเงาแถบผ้าสีเหลืองนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย ดูเหมือนว่ามันจะไม่กลัวเปลวไฟเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
หญิงชุดแดงเห็นเช่นนี้ สีหน้านางก็ดูไม่ได้ขึ้นมา หลังจากที่นางตะคอกเสียงต่ำออกมาก็สะบัดหัวไหล่อีกครั้ง ง่ามบินอัคคีอีกอันก็ลอยออกมา จากนั้นมันก็กลายเป็นเปลวเพลิงพุ่งออกไปด้วยเสียงอันดัง
พริบตานั้นเอง เปลวไฟสองกลุ่มคุโชนอยู่รอบใต้เท้าของต้วนฉานจู่ แสงสีแดงพลันสว่างพลันมืด จากนั้นไอร้อนระอุก็ม้วนตัวหายไป อานุภาพของมันช่างน่ากลัวเป็นยิ่งนัก
แต่แถบผ้ายาวสีเหลืองเหล่านั้นกลับตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ หลังจากที่มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเปลวไฟทั้งสองก็ถูกสกัดอยู่ด้านนอก โดยไม่สามารถเข้าไปข้างได้แม้แต่น้อย
หญิงชุดแดงเห็นเช่นนี้ ก็หน้าเขียวปั๊ดขึ้นมาเล็กน้อย พลันทำท่ามือด้วยมือเดียวและร่ายคาถาออกมา นิ้วมือนิ้วหนึ่งค่อยๆ ยกขึ้น ฉับพลันปลายนิ้วก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดขึ้นมา
……………………………………….
[1] หนึ่งเค่อ เท่ากับ เวลาราวๆ 15 นาที
ตอนที่ 91 อาภรณ์ศพวังสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงดัง “ฟู่!”
ปลายนิ้วของหญิงเสื้อแดงเย็นสะท้านเล็กน้อย จากนั้นโลหิตก็พุ่งเป็นสายออกจากในนั้น หลังจากที่มันดูลางเลือนแล้วก็กลายเป็นอสรพิษเพลิงยาวสี่ห้าจั้ง มันอ้าปากกัดลงไปบนเงาแถบผ้าสีเหลือง
พริบตานั้นเอง แสงละลานตาก็ปรากฏตรงด้านหน้าของต้วนฉานจู่ อสรพิษเพลิงทำลายเกราะป้องกันอย่างเงาแถบผ้าสีเหลืองได้ จากนั้นมันก็พุ่งเข้าใส่หน้าอกของเขา
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น!
อสรพิษเพลิงระเบิดตัวออกมากลายเป็นเสาเพลิงพุ่งขึ้นฟ้าพร้อมกับม้วนตัวห่อหุ้มต้วนฉานจู่ไว้ในนั้น
และในขณะเดียวกันง่ามบินอัคคีทั้งสองก็หมุนวนอยู่บริเวณนั้นด้วย แล้วมันก็เปล่งประกายพร้อมกับพุ่งโจมตีผ่านอากาศไปโดนตัวต้วนฉานจู่ ทำให้เขาถูกเปลวไฟสีแดงห่อหุ้มไว้ในนั้น
ขณะนี้ศิษย์ที่ยืนดูอยู่นอกม่านแสงต่างก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นไออันร้อนแรงที่ออกมาจากในนั้น พร้อมกับเบิกตาจ้องมองอย่างไม่กะพริบ
เมื่อเสาเพลิงหายไปในอากาศแล้ว ร่างของต้วนฉานจู่ก็ร่วงลงมาบนลานประลอง
ผู้คนทั้งหมดจ้องมองแล้วต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ร่างของต้วนฉานจู่ตอนนี้ดำเกรียมตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับว่าทั่วทั้งร่างของเขากลายเป็นถ่านไปเสียแล้ว
“ฮึ! เจ้าบีบบังคับให้ข้าใช้เคล็ดวิชาอสรพิษเพลิงได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่ถ้าคิดที่จะชิงตำแหน่งของข้าล่ะก็คงจะเป็นเรื่องเพ้อฝันไปหน่อย!” หญิงชุดแดงตรงข้ามลดแขนลงแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
ตอนนี้แก้มทั้งสองของนางแดงฉานกว่าปกติ ทำให้ดูงดงามมากขึ้นกว่าเดิม
ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีเมื่อครู่ก็สิ้นเปลืองพลังของนางไปไม่ใช่น้อย
“เช่นนั้นหรือ? แต่เมื่อข้าได้เห็นการโจมตีของศิษย์พี่แล้ว ข้ากลับมีความมั่นใจที่จะชิงตำแหน่งของศิษย์พี่ได้มากขึ้นกว่าเดิม” ตอนที่หญิงชุดแดงกำลังรู้สึกแปลกใจว่าทำไมอาจารย์จิตวิญญาณถึงไม่ประกาศผลชนะสักทีนั้น พลันมีเสียงดังมาจากร่างดำเกรียมที่อยู่ไกลๆ
ท่ามกลางสายตาที่คาดไม่ถึงของผู้คน ร่างเกรียมดำที่ควรจะสลบไปแล้วกลับค่อยๆ ลุกขึ้นมา หลังจากขยับแขนขาเล็กน้อย ชั้นหนังสีดำบนร่างก็ค่อยๆ หลุดออกมาราวกับเป็นหนังที่ตายแล้ว พริบตาเดียวก็เผยให้เห็นถึงผ้าพันแผลสีเหลืองอ่อนใหม่เอี่ยมอ่องแต่ละชั้นที่พันแน่นไปทั่วร่างของเขา จนแม้แต่ลมฝนก็ไม่อาจทะลุเข้าไปได้ เหลือไว้เพียงแค่ส่วนที่ถัดจากลำคอขึ้นไปเท่านั้น
ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“สมกับเป็นเคล็ดวิชาอาภรณ์ศพวังสังสรรค์ที่ฝึกฝนยากที่สุด และคงจะฝึกฝนจนสำเร็จขั้นต้นแล้ว ฮ่าๆ! ดูท่าครั้งนี้ศิษย์น้องเฟยคงจะต้องพ่ายแพ้จริงๆ แล้ว” ชายสวมชุดคลุมเขียวตรงธงเสาที่สองที่มีนามว่า ‘เฟิงฉาน’ เห็นเช่นนี้ก็ตบมือหัวเราะใหญ่
และ ‘ศิษย์น้องเฟย’ ที่เขากล่าวถึงนั้น ท่ามกลางความตกใจนางก็รู้สึกหวาดผวาอย่างช่วยไม่ได้ แต่พอกัดฟันก็กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่เชื่อว่าครั้งต่อไปเจ้าจะรอดไปได้อีก” เมื่อกล่าวจบนางก็ยกแขนขึ้นมา ปลายนิ้วสีแดงชี้ไปยังฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
แต่ในขณะนั้นเอง ต้วนฉานจู่ที่ยังดูเหมือนจะเชื่องช้ากลับยกแขนทั้งสองขึ้นเช่นกัน เขากางนิ้วมือทั้งห้าออกจากกันและสะบัดออกไปเบาๆ
บังเกิดเสียงสะเทือนเลือนลั่นขึ้น!
แถบผ้าเกือบร้อยเส้นพุ่งออกไปจากมือ หลังจากที่มันส่ายสะบัดจนดูลางเลือนแล้วก็กลายเป็นตาข่ายยักษ์สีเหลืองแผ่คลุมหญิงสาวชุดแดงราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด
พอนางเห็นสถานการณ์เช่นนี้สีหน้าก็ซีดขาว ปลายนิ้วของนางค่อยๆ สั่นไหว โลหิตเปล่งประกายออกไปเป็นสาย อสรพิษเพลิงอีกตัวคำรามพร้อมกับกระโจนเข้ามา แต่หลังจากที่ทะลุออกจากตาข่ายได้แค่ไม่กี่ชั้นก็สลายตัวไปท่ามกลางเสียงร้องอันน่าเวทนา
ส่วนง่ามบินอัคคีทั้งสองที่กลายเป็นเปลวไฟ ก็ถูกตาข่ายยักษ์ม้วนเข้าไปในนั้น มันดูราวกับปลาน้อยที่ถูกจับโดยไม่สามารถดิ้นรนได้ ครู่เดียวเปลวไฟก็มอดไหม้จนดับลงไป
ต่อมาถึงแม้ว่าหญิงชุดแดงผู้นี้จะเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ยอมแพ้ ทั้งยังปล่อยลูกเปลวไฟแต่ละลูกออกมาโจมตีแถบผ้าที่พันอยู่ไม่หยุด แต่ก็หาได้เกิดประโยชน์อันใดไม่
หลังจากผ่านไปสักครู่ นางก็ถูกล้อมรอบด้วยแถบผ้าที่เกือบจะปกคลุมไปทั่วลานประลองจนไม่สามารถหลบหลีกได้ จากนั้นก็ถูกรัดแน่นจนล้มลงไปไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีก
“ข้ายอมแพ้แล้ว รีบปล่อยข้าไป!”
หญิงชุดแดงนอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าแดงก่ำ ทำได้เพียงแค่เปล่งเสียงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างช่วยไม่ได้
ได้ยินเช่นนี้ อาจารย์จิตวิญญาณก็เหาะลงมาพร้อมกับม่านแสงที่สลายไป และประกาศว่าต้วนฉานจู่เป็นผู้ชนะ
ต้วนฉานจู่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นค่อยเก็บแถบผ้าทั้งหลายคืนกลับมา เขาโค้งคารวะให้กับอาจารย์จิตวิญญาณ แล้วก็เดินไปยังใต้ธงเสาที่หกด้วยมาดหยิ่งยโส
และหลังจากที่หญิงชุดแดงลุกขึ้นแล้ว ก็จ้องมองต้วนฉานจู่อย่างดุเดือด แล้วค่อยกระโดลงไปจากลานประลอง
ถึงแม้นางจะเสียตำแหน่งอันดับหกไป แต่ก็มีสิทธิที่จะท้าสู้กับคนอื่นได้เช่นกัน
แต่ด้วยอารมณ์ที่ไม่มั่นคง กับพลังเวทย์ที่สูญเสียไปไม่น้อยนี้ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่สมองมีปัญหาย่อมไม่กล้ารีบท้าสู้ทันที
ขณะนี้ ศิษย์ที่ดูการประลองเมื่อครู่ตรงบริเวณลานประลองที่หนึ่งต่างก็ฮือฮาขึ้นมา
ด้านหนึ่งเป็นเพราะตกตะลึงกับพลังอันแข็งแกร่งของต้วนฉานจู่ ส่วนอีกด้านหนึ่งมันยังช่วยให้ศิษย์คนอื่นๆ มีความกล้าที่จะท้าสู้ขึ้นมา
ยังไม่ทันที่อาจารย์จิตวิญญาณจะตั้งนาฬิกาทราย ก็มีศิษย์ผู้หนึ่งกระโดดขึ้นไปบนลานประลอง และยังเลือกท้าสู้กับศิษย์แกนนำอันดับที่เก้า
ครู่ต่อมาการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน บนลานหยกที่ลอยอยู่บนอากาศนั้น ประมุขนิกายปีศาจกับกุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้
“ศิษย์พี่หวง ไม่คาดคิดว่าสาขาฝึกศพของท่านจะมีคนฝึกเคล็ดวิชาอาภรณ์ศพวังสวรรค์ได้สำเร็จจริงๆ ท่านคงไม่ได้ถ่ายทอดให้ด้วยตนเองหรอกนะ!” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวกับผู้อาวุโสร่างผอมสูงที่อยู่ด้านหลัง
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ข้าคงไม่ตกตะลึงเช่นนี้ หลายปีมานี้ต้วนฉานจู่ล้วนแสดงออกมาได้ธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษมาโดยตลอด ข้าเองก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะแอบฝึกเคล็ดวิชานี้ จุ๊ๆ! ดูเหมือนว่าตอนแรกข้าจะมองข้ามเขาไป”
‘ศิษย์พี่หวง’ ผู้นี้สวมชุดคลุมดำทั้งตัว มีรอยย่นเต็มใบหน้า ดูเหมือนกับว่าเขาแก่ง่อมเป็นอย่างมาก
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เด็กคนนี้ซ่อนตัวฝึกฝนมาโดยตลอด ตอนนี้อยู่ๆ ก็มาแสดงฝีมือ คงคิดที่จะทำให้ทุกคนได้ตื่นตะลึง ยินดีกับศิษย์พี่ด้วย นอกจากเจ้าเด็กเฟิงฉานแล้ว ดูเหมือนจะมีศิษย์ในสาขาของท่านเพิ่มเข้ามาในตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกแล้ว” ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาผู้นั้นก็คืออาจารย์อาเหลยแห่งสาขากลลับสวรรค์ และก็เป็นอาของเหลยเจิ้นด้วย
”อืม! เจ้าเด็กต้วนฉานจู่ผู้นี้กล้าฝึกเคล็ดวิชาอาภรณ์ศพวังสวรรค์ มันทำให้ข้ายินดีกับความประหลาดใจนี้ แต่จะสามารถอยู่ในตำแหน่งสิบอันดับแรกของศิษย์แกนนำได้หรือไม่นั้น ยังคงเป็นเรื่องที่พูดได้ยาก อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหลยเจิ้นกับเจียหลาน” ศิษย์พี่หวงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างถ่อมตัว
“ศิษย์พี่หวงล้อข้าเล่นแล้ว ถึงแม้เจียหลานกับเหลยเจิ้นจะมีคุณสมบัติไม่เลว แต่ยังเป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้านิกายมาใหม่ จะสามารถชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกมาได้หรือไม่นั้นยังไม่อาจพูดได้ แล้วจะเป็นคู่ต่อสู้ของต้วนฉานจู่ได้อย่างไร แต่ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ศิษย์ของศิษย์พี่กุยที่ชื่อสือชวนเก็บตัวฝึกฝนมาเกือบปี และเมื่อสองปีก่อนศิษย์น้องจูกับคนอื่นๆ ยังได้รับเหล็กแสงเย็นทะเลลึกมาชิ้นหนึ่ง ไม่ทราบว่าทั้งสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่?” ชายบุคลิกภาพภูมิฐานอายุสามสิบกว่าปีผู้หนึ่งยิ้มตอบรับ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปยังกุยหรูฉวนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
เขาก็คือหัวหน้าสาขาหยินทนทรมาณที่มีนามว่า ‘ฉู่ฉี’ และก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกุยหรูฉวนมาโดยตลอด
“เรื่องเกี่ยวกับเหล็กแสงเย็นทะเลลึกข้าเองก็เคยได้ยินคนพูดถึงอยู่เหมือนกัน และทีผ่านมายังไม่ได้แสดงความยินดีกับศิษย์น้องกุยเลย ได้ยินมาว่านิกายจันทราสวรรค์ส่งคนมาขอซื้อวัสดุชิ้นนี้แต่ถูกปฏิเสธกลับไป หรือว่าศิษย์น้องมีแผนการอื่น!” ประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ก็เหมือนจะโดนจุดความสนใจขึ้นมาเช่นกันแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
กุยหรูฉวนฟังจบแล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน จากนั้นก็ตอบกลับด้วยสีหน้าปกติ
“ข้าจะมีแผนอะไรล่ะ แค่นำวัสดุนี้ทำเป็นอาวุธจิตวิญญาณเท่านั้น ที่สือชวนเก็บตัวฝึกฝนกับพวกข้าเป็นปีก็เพื่อฝึกใช้อาวุธจิตวิญญาณนี้ให้คุ้นชินก็เท่านั้น”
คำพูดของกุยหรูฉวนในครั้งนี้กึ่งจริงกึ่งเท็จ ฉู่ฉีได้ยินแล้วย่อมมีความคลางแคลงใจอยู่บ้าง แต่พอประมุขนิกายปีศาจกล่าวยินดีออกไป หัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องของลานประลองแรกที่มีศิษย์สองคนกำลังต่อสู้กันอยู่
ขณะนี้ถึงแม้ศิษย์ที่ท้าสู้จะเปลี่ยนไปใช้วิชาระดับสูงต่างๆ หลายวิชา แต่พอถึงจุดสำคัญที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ ก็ถูกคมวายุของคู่ต่อสู้ทำลายได้อย่างง่ายดาย เขาทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง คู่ต่อสู้ไม่ต้องลงมือโจมตีอะไรเลย จนสุดท้ายเขาก็ถูกพลังเวทย์สะท้อนกลับจนล้มลงไปบนพื้น
“ช่างโง่เสียจริง ไม่รู้เหรอว่าเวลาแสดงวิชาระดับสูงต้องดูจังหวะด้วย? ฝึกฝนแค่ระดับนี้ก็คิดที่จะใช่วิชาระดับสูงต่อสู้กับข้าแล้ว เจ้านี่ไม่รู้จักความตายหรือไง!” ศิษย์แกนนำอันดับเก้าคือชายชุดน้ำเงินที่มีใบหน้าแหลมคม พอเขาเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะกล่าวออกมา
ผู้คนด้านล่างลานประลองเห็นเช่นนี้ ก็มีไม่น้อยที่หัวเราะออกมา
ถึงแม้ผู้ท้าสู้คนนี้จะฝึกฝนได้ไม่ธรรมดา แต่เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่รู้ ประจักษ์ชัดว่ามีความมั่นใจสูงเกินไป และมีประสบการณ์การต่อสู้น้อยไปหน่อย
หลังที่อาจารย์จิตวิญญาณเหาะลงมาประกาศชื่อผู้ชนะแล้ว ผู้ท้าสู้บนลานประลองก็รีบกระโดดลงไปด้วยสีหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็หายตัวไปท่ามกลางฝูงชน
“ที่จริงเขาสามารถฝึกฝนวิชาระดับสูงได้มากขนาดนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ถ้าหากว่าไม่มาลานประลองแรกล่ะก็ ไม่แน่อาจจะมีโอกาสเข้าไปอยู่ในตำแหน่งศิษย์แกนนำก็ได้ เขาก็แต่เลือกคู่ต่อสู้ผิดเท่านั้น ข้าคิดว่าศิษย์น้องไป๋ก็คงไม่ทำผิดเช่นเดียวกับเขา”
หลิ่วหมิงกำลังมองดูศิษย์อีกคนที่ขึ้นไปท้าสู้ศิษย์แกนนำอันดับสิบบนลานประลอง แต่พลันได้ยินเสียงเฉยชาดังขึ้นมาจากข้างหลัง
“อะไรนะ! ศิษย์น้องเกาหมายถึงข้าเหรอ!” หลิ่วหมิงไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย และตอบกลับไปอย่างราบเรียบโดยที่ไม่หันหน้ากลับไปมอง
“อ้อ! ศิษย์น้องไป๋นับว่าเป็นคนฉลาด แต่เรียกข้าแบบนี้มันผิดกฎนิกายนะ หรือศิษย์น้องไม่รู้ว่าถึงแม้จะเราเข้านิกายพร้อมกัน แต่ศิษย์ที่ตำแหน่งต่ำกว่าก็ต้องเรียกศิษย์ที่ตำแหน่งสูงกว่าว่าศิษย์พี่นะ?”
ผู้ที่พูดอยู่ด้านหลังก็คือเกาชงจริงๆ ด้วย ด้านข้างของเขามีมู่หมิงจู ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขน และสือเจียนกับคู่รักยืนอยู่
มู่หมิงจูจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน สือเจียนและคู่รักกลับดูเหมือนไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
……………………………………….
ตอนที่ 92 พลังอัสนี
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ศิษย์น้องเกาชงคิดว่าตำแหน่งของตนเองสูงกว่าข้างั้นหรือ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็หันตัวกลับมากล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้ม
“หรือว่าข้าพูดผิดไป ข้าเป็นศิษย์ติดตามของท่านประมุข เจ้าเป็นแค่ศิษย์สาขาทั่วไป ไม่ว่ายังไงตำแหน่งข้าในนิกายก็สูงกว่าศิษย์น้องไป๋ถูกต้องไหม?” เกาชงถามด้วยสีหน้าสงบ
“เช่นนั้นหรือ? ข้าไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เท่าไหร่ แต่เคยได้ยินคนพูดกันว่าในระหว่างการประลองใหญ่ ศิษย์ที่เข้าการประลองทุกคนล้วนมีตำแหน่งเสมอกัน ไม่สามารถแบ่งชนชั้นได้ คงเป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์น้องเกาจะไม่รู้เรื่องนี้หรอกนะ” หลิ่วหมิงถอนหายใจราวกับว่ากำลังรู้สึกผิดหวัง
“ฮึ! คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องไป๋จะฝีปากดีเช่นนี้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าขี้เกียจเอามันมากวนใจ ข้ามาหาเจ้าด้วยตนเองก็เพราะว่าอยากจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากตอนนี้เจ้ายอมเขียนหนังสือถอนหมั้น เรื่องราวก่อนหน้านี้ทั้งหมดข้าจะทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าจะยังคงอยู่ในนิกายปีศาจได้อย่างอิสระ มิเช่นนั้นล่ะก็พอเจ้าขึ้นลานประลองก็อย่าหวังว่าจะเดินลงไปเองได้” เกาชงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
“หนังสือถอนหมั้น แน่นอนว่าข้าสามารถเขียนได้ ขอแค่ศิษย์น้องหมิงจูให้ตระกูลมู่เป็นคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน ข้าก็จะไม่โต้แย้งใดๆ” หลิ่วหมิงหัวเราะแล้วตอบกลับไป
“มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้บิดาข้าเป็นคนพูดเรื่องถอนหมั้นก่อน!” มู่หมิงจูกัดฟันกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็จนปัญญา ถึงแม้ข้าไม่ได้สนใจที่จะแต่งกับเจ้า แต่ในฐานะลูกหลานตระกูลไป๋ก็ไม่อาจขัดคำสั่งของนายท่านประจำตระกูลได้” หลิ่วหมิงส่ายศีรษะกล่าวออกมา
“เจ้า…” มู่หมิงจูรู้สึกโมโหและกำลังคิดที่จะพูดอะไรออกมา แต่เกาชงก็โบกมือห้ามคำพูดของนางไว้ เขาแค่จ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ดูเหมือนเจ้าจะโง่กว่าที่ข้าคิดไว้มาก ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าเองก็จะไม่พูดอะไรมาก ข้าจะเตือนด้วยความหวังดี อย่าคิดว่าทำให้ซือหม่าเทียนกลัวได้แล้วมาเบ่งกับข้าได้ หมิงจู ไปกันเถอะ! อีกประเดี๋ยวข้าสร้างความยุ่งยากให้เขา จนเขาต้องยอมเอ่ยปากคำว่า ‘ถอนหมั้น’ ออกมาเอง”
พอพูดจบเกาชงก็ลากมู่หมิงจู และพาคนคนอื่นๆ หมุนตัวเดินจากไป
หลิ่วหมิงแค่ยืนเงียบๆ จ้องมองดูแผ่นหลังของพวกเขาอยู่ที่เดิมโดยไม่พูดอะไร และแววตาของเขาก็เปล่งประกายอันเยือกเย็นออกมา
สำหรับผู้ที่ผ่านการต่อสู้เฉียดความตายมานับไม่ถ้วนอย่างเขา ถึงแม้เกาชงจะดูแข็งแกร่งกว่าหลายปีก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่ในเมื่อยังไม่ได้เป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ทำไมเขาจะต้องกลัวด้วยเล่า
ตอนนั้นที่หลิ่วหมิงอยู่บนเกาะมฤตยู เขาฆ่าคนสารเลวไปจำนวนมากตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังเอาชีวิตรอดจากการตะลุมฆ่าฟันมาได้หลายครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ ตอนนี้เขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมากกว่าที่คนธรรมดาจะคาดคิดได้
ถ้าหากว่าเกาชงลงมือกับเขาในการประลองใหญ่ครั้งนี้จริงๆ เขาจะต้องทำให้ฝ่ายตรงข้ามตื่นตระหนกตกใจอย่างแน่นอน และในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเผยความคิดที่จะฆ่าเขาออกมา เขาก็จะไม่ออมมือให้อย่างแน่นอน
ถ้าหากการประลองรุนแรงจนเขาพลั้งมือฆ่าคู่ต่อสู้หรือทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บ มันก็ใช่ว่าจะอภัยให้ไม่ได้
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ จากนั้นก็หันหน้าไปดูการประลองอันดุเดือดบนลานประลองอีกครั้ง
บนลานหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศ กุยหรูฉวนมองเห็นฉากที่เกาชงพาคนไปหาเรื่องหลิ่วหมิง เขาลังเลเล็กน้อยแล้วก็หันมากล่าวกับประมุขนิกายปีศาจ
“ศิษย์พี่ท่านประมุข ดูเหมือนว่าเกาชงกับศิษย์สาขาข้าจะมีเรื่องขัดแย้งกัน ผู้อาวุโสอย่างเราต้องไปช่วยขจัดความขัดแย้งนี้สักหน่อยไหม?
“อ้อ! ดูเหมือนว่าศิษย์ผู้นั้นจะไม่ใช่เซียวเฟิงใช่ไหม พวกเขาต่างก็เป็นเด็กหนุ่มอารมณ์ร้อน ถ้าหากมีเรื่องขัดแย้งกันบ้างย่อมเป็นเรื่องปกติ ให้พวกเขาจัดการกันเองก็พอแล้ว ผู้อาวุโสอย่างพวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่งจะดีกว่า!” ประมุขนิกายปีศาจมองไกลๆ ไปยังที่ที่หลิ่วหมิงยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
ประจักษ์ชัดว่าเขาไม่เห็นฉากความขัดแย้งของเกาชงกับหลิ่วหมิงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“ในเมื่อท่านประมุขกล่าวเช่นนี้ก็ยึดตามนี้เถอะ แต่เจ้าเด็กชงเทียนผู้นี้ยังนับว่ามีศักยภาพอยู่บ้าง ที่ศิษย์น้องจูชื่อได้เหล็กแสงเย็นทะเลลึกมาจากตลาดเผ่าเจ้าสมุทรได้ ล้วนมาจากความสามารถของเขา” กุยหรูฉวนขมวดคิ้วกล่าวออกมา
เรื่องนี้ทำให้ประมุขนิกายปีศาจรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็นึกขึ้นได้ในทันที
“ชงเทียน? อ๋อ! ทีแท้ก็เด็กคนนี้นี่เอง ข้าก็คิดอยู่ว่าทำไมชงเอ๋อร์ถึงได้ไปขัดแย้งกับเขาได้ อืม! ข้าจำได้แล้ว ศิษย์ผู้นี้ถึงแม้จะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ แต่พลังจิตแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เขานับว่าเป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง เอาอย่างนี้เถอะ! อีกสักครู่ข้าจะกำชับศิษย์น้องหวังไว้ ถ้าหากว่าพวกเขาทั้งสองได้เจอกันในการประลองใหญ่จริงๆ ก็ให้เพิ่มความสนใจดูอย่างละเอียดอีกสักหน่อย และพยายามอย่าให้มีเรื่องการทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บเกิดขึ้น”
“ขอบคุณศิษย์พี่ท่านประมุข แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” กุยหรูฉวนกล่าวขอบคุณอย่างโล่งอก
สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว ในใจของกุยหรูฉวนนั้นกลับรู้สึกเสียใจมาโดยตลอด
ด้วยความสามารถที่หลิ่วหมิงแสดงออกมาหลายครั้งในก่อนหน้านี้ มันเพียงพอที่จะให้เขาเป็นศิษย์ติดตามได้แล้ว แม้กระทั่งถ้าหากเขาย้ายไปสาขาอื่นคงจะถูกอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นรับเป็นศิษย์ติดตามแล้ว
แต่เสียดายที่ทรัพยากรของเขาเก้าทารกค่อนข้างจะขาดแคลนไปหน่อย! สำหรับศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณที่แทบจะไม่มีความหวังกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้นั้น พวกเขาไม่มีทรัพยากรเหลือพอที่จะแบ่งไปให้ ดังนั้นจึงไม่สามารถรับเป็นศิษย์ติดตามได้
“เฮ้อ! คำพูดเมื่อครู่นี้นับว่าได้ช่วยตอบแทนเจ้าเด็กคนนี้ไปแล้ว!” กุยหรูฉวนคิดใคร่ครวญแล้วแอบถอนหายใจ
ในเมื่อข่าวมงคลระหว่างตระกูลไป๋กับตระกูลมู่พัวพันกับศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาอย่างเกาชง มันก็ย่อมมีข่าวแพร่งพรายมาถึงหูกุยหรูฉวนบ้าง
ชื่อเสียงและตำแหน่งในนิกายปีศาจของเกาชงและหลิ่วหมิงนั้น ย่อมไม่อาจเทียบกันได้
อีกอย่างเรื่องนี้ยังพัวพันถึงเรื่องเตาหลอมพลังที่เกาชงจำเป็นต้องใช้ในการทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ เขาเลยพูดอะไรมากไม่ได้
เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว การประลองบนลานประลองอื่นๆ ยังคงดุเดือดเช่นเดิม ศิษย์แต่ละคนต่างก็ทยอยขึ้นไปท้าสู้บนลานประลองไม่หยุด
ผู้ที่ถูกท้าสู้สิบคนบนเวที ก็เปลี่ยนหน้าถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าดูเหมือนว่าตำแหน่งของศิษย์แกนนำเกือบครึ่งหนึ่งก็ถูกแทนที่ด้วยศิษย์คนใหม่ๆ
แน่นอนเป็นเพราะว่าศิษย์ทุกคนต่างก็ใช้สิทธิ์การท้าสู้สามครั้ง และเมื่อศิษย์แกนนำพ่ายแพ้แล้วก็ยังสามารถท้าสู้ได้อีกครั้ง
บนลานประลองแรก หลังจากผู้ท้าสู้อีกแปดเก้าคนพ่ายแพ้ติดต่อกัน พลันมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ประกายสายฟ้าสีเงินเส้นหนึ่งแลบออกมา ชายหนุ่มรูปหล่อสวมชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนลานประลอง
เขาคือเหลยเจิ้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หรี่ตาทั้งคู่สังเกตดูบริเวณตำแหน่งที่เหลยเจิ้นเพิ่งกระโดดออกไป
ดรุณีน้อยรูปร่างอรชรที่นามว่าโอวหยางเฟยยืนอยู่ที่นั่น นางจ้องมองเหลยเจิ้นบนลานประลองด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ตอนนี้สายฟ้าขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือแต่ละเส้นพันวนรอบตัวเด็กหนุ่มอยู่ด้วยเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ! และเปล่งประกายแสงจ้าออกมา
นั่นคือ “วิชาอาภรณ์อัสนี’ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
ถึงแม้วิชานี้จะลือชื่อมาก แต่น่าเสียดายที่มีแค่ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณอัสนีเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้ และพลังของมันก็น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก
“ข้าขอท้าสู้กับศิษย์พี่เย่ที่เป็นศิษย์แกนนำอันดับสิบ!” เหลยเจิ้นมองดูชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะ แล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
ชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ขึ้นมา
ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ฝึกร่างที่มีน้อยมากในนิกาย แต่กับวิชาโจมตีทำลายอันแข็งแกร่งที่สังกัดธาตุอัสนีนี้ เขากลับหวาดกลัวมันมาโดยตลอด
อีกอย่างฝ่ายตรงข้ามยังเป็นผู้ที่มีเก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนีด้วย สิ่งนี้เป็นคุณสมบัติขั้นสุดยอดในนิกายปีศาจที่เป็นรองแค่ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาเท่านั้น
แต่เมื่อเผชิญกับการท้าสู้ของศิษย์ใหม่อย่างเหลยเจิ้นผู้นี้ เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้
อีกอย่างนอกจากศิษย์แกนนำห้าอันดับแรกแล้ว ศิษย์แกนห้าอันดับหลังที่อยู่บนลานประลองก็ถูกท้าสู้กันไปแล้วหนึ่งรอบ
“ดี! งั้นก็ข้าขอลองดูเก้าชีพจรจิตวิญญาณที่ร่ำลือกันสักหน่อยว่าจะร้ายกาจสักแค่ไหน!” ชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะกล่าวและเดินออกมาจากใต้ธงที่เขาอยู่
จากนั้นทั้งสองก็ลงนามความเป็นความตายกันต่อหน้าอาจารย์จิตวิญญาณ แล้วม่านแสงคุ้มกันก็เปล่งประกายออกมาอีกครั้ง
“ฟังให้ดีนะ ข้าโจมตีแค่สามครั้งก็ชนะเจ้าได้แล้ว” สายฟ้าบนตัวเหลยเจิ้นเปล่งประกายแสงแสบตามากขึ้นกว่าเดิม เขาจ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยท่าทีหยิ่งยโส
“โจมตีสามครั้ง? ดี! ข้าเองก็ไม่รู้ว่าได้ยินคำพูดโอ้อวดของเด็กหนุ่มมามากเท่าไหร่แล้ว ข้าจะดูว่าเจ้าเอาชนะข้าด้วยการโจมตีสามครั้งได้อย่างไร?” ถึงแม้ชายสวมห่วงรัดสีศีรษะจะหวาดกลัวเหลยเจิ้น แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
“ศิษย์พี่เหลย หลานของเจ้าคนนี้มีมาดในการพูดจาไม่เบา! ใช้การโจมตีแค่สามครั้งก็สามารถทำให้ผู้ฝึกร่างที่แข็งแกร่งพ่ายแพ้ได้ ในบรรดาศิษย์ทั้งหมดเกรงว่าคงมีแค่หยางเฉียนเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้”
หญิงแซ่หลินแห่งสาขาระบำปีศาจที่อยู่บนลานหยกเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้
“ถ้าหากเป็นคู่ต่อสู้คนอื่นล่ะก็ เจิ้นเอ๋อร์อาจจะพูดเลยขอบเขตไปหน่อย แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกร่าง มันก็มีส่วนที่เป็นไปได้” อาจารย์อาเหลยลูบคางไปมา และกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูแปลกประหลาด
“คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่เหลยจะเชื่อมั่นได้ถึงเพียงนี้! ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องคงต้องดูอย่างละเอียดแล้ว” หญิงแซ่หลินกล่าวด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
พอประมุขนิกายปีศาจและอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกสึกสนใจขึ้นมาเช่นกัน พวกเขาต่างก็เขม้นตามองออกไป
บนลานประลองแรก ชายหนุ่มสวมห่วงรัดศีรษะแผดเสียงคำรามออกมา จากนั้นร่างของเขาก็ขยายขนาดจนกลายเป็นร่างยักษ์สูงสองจั้งอีกครั้ง หลังจากที่เท้าทั้งสองก็กระทืบลงพื้น พายุโหมกระหน่ำก็พุ่งตรงไปหาเหลยเจิ้น
และเหลยเจิ้นกลับยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน แต่ปากของเขาก็ร่ายคาถาอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกันนิ้วทั้งสิบก็เคลื่อนไหวราวกับล้อรถ ท่ามกลางเสียงสายฟ้าแลบที่ดังขึ้นร่างของเขาก็บิดเบี้ยวขึ้นมา
ตอนนี้พายุโหมกระหน่ำพุ่งมาห่างจากตรงหน้าเขาไม่ไกลแล้ว มือข้างหนึ่งพลันชี้ผ่านอากาศไปยังชายร่างยักษ์
เสียงดัง “เปรี้ยงๆ!”
สายฟ้าเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ หลังจากที่มันเปล่งประกายก็โจมตีไปยังร่างยักษ์ที่อยู่ด้านล่าง และกลายเป็นสายฟ้าเล็กๆ กระเด็นออกไปทั่วทิศ
เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!
ปรากฏชั้นอักขระสีเขียวขึ้นบนร่างเขา ไม่คาดคิดว่าเขาจะทนต่ออานุภาพการโจมตีของสายฟ้าจนเกิดอาการชาได้ ต่อมาเขาก็ออกมาจากสายฟ้าที่ปกคลุมได้ แต่ระดับความเร็วกลับลดลงไปกว่าครึ่งหนึ่ง
“โจมตีครั้งที่สอง”
เหลยเจิ้นเห็นเช่นนี้กลับตะโกนออกมาอย่างไม่ลังเล มืออีกข้างก็ชี้ออกไป
สายฟ้าเส้นที่สองบนอากาศก็ผ่าลงมาภายในพริบตา
……………………………………….
ตอนที่ 93 วิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชายร่างยักษ์เปล่งเสียงออกมาทันที อักขระสีเขียวบนร่างหายไปท่ามกลางแสงสายฟ้า ขณะเดียวกันเงาร่างที่กระโจนไปยังด้านหน้าก็หยุดชะงักลง ร่างกายส่วนบนของเขากลายเป็นสีดำเกรียมภายในทันที และยังมีกลิ่นเนื้อไหม้จางๆ โชยออกมา
เสียงตะโกนดังขึ้น!
เส้นผมของชายร่างยักษ์ตั้งตรงขึ้นมา ขณะเดียวกันร่างกายก็ขยายสูงขึ้นไปอีกหลายจั้ง จากนั้นก็กระโจนแหวกวงล้อมของเส้นสายฟ้าออกไป
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะมีกลิ่นไออันน่าสะพรึง การเคลื่อนไหวก็ช้ากว่าแต่ก่อนมาก แต่ก็กระโจนมาอยู่หน้าเหลยเจิ้นไม่ถึงจั้งกว่าๆ แล้ว
เหลยเจิ้นมองเห็นเส้นเลือดใหญ่ที่ปูดบวมบนหน้าผากจากการโมโหของชายร่างยักษ์ได้อย่างชัดเจน
สีหน้าของเหลยเจิ้นฉายแววแปลกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ครู่เดียวก็ตะโกนคำว่า “โจมตีครั้งที่สาม” ออกมา
เสียงดัง “ตู้ม!”
หลังจากที่สายฟ้าบนตัวเขาหยุดชะงักลง สายฟ้าขนาดใหญ่เส้นหนึ่งพุ่งยิงออกไปยังบริเวณด้านหน้าของชายร่างยักษ์
พอชายร่างยักษ์รู้สึกร้อนตรงหน้า ก็บังเกิดความเจ็บปวดจนยากที่บรรยายออกมาได้ จากนั้นก็ล้มลงไปบนลานประลองจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
ไม่คาดคิดว่าเหลยเจิ้นจะใช้การโจมตีแค่สามครั้งก็สามารถเอาชนะชายร่างยักษ์ได้แล้ว
“โจมตีสามสายฟ้า เจ้าเด็กนี่ทำความเข้าใจพลังของของสายฟ้าได้ถึงขั้นนี้! ถ้าเป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณวิญญาณอัสนีคนอื่นๆ คงไม่สามารถปล่อยพลังสายฟ้าได้ถึงสามครั้งภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้” มีคนลานหยกพูดขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
“เฮ่อๆ! ไม่มีอะไรเลย เพียงแค่เด็กคนนี้มีพรสวรรค์บนเส้นทางของอัสนีเล็กน้อย ถึงแสดงออกได้เช่นนี้” ถึงแม้ชายฉกรรจ์แซ่เหลยที่เป็นหัวหน้าสาขากลลับสวรรค์จะกล่าวแบบถ่อมตัว แต่ก็ดูกระหยิ่มยิ้มย่องจนใครๆ ก็ดูออก
ถึงแม้ประมุขนิกายปีศาจจะไม่กล่าวอะไร แต่ก็ดูมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา
กุยหรูกุยกับหญิงแซ่หลิน และคนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลังจากที่อาจารย์จิตวิญญาณประกาศชื่อผู้ชนะแล้ว เหลยเจิ้นก็เดินไปนั่งตรงใต้ธงเสาที่สิบด้วยท่าทีหยิ่งยโส
ด้านล่างลานประลองกลับเงียบไปครู่หนึ่ง
เขาใช้แค่สามกระบวนท่าก็สามารถเอาชนะศิษย์แกนนำอันดับสิบได้จริงๆ มันช่างดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
สายตาของเหล่าศิษย์ที่มองเหลยเจิ้นบนลานประลองเต็มไปด้วยความเกรงกลัว ทั้งยังมีศิษย์เก่าจำนวนหนึ่งที่ใจเต้นแรง และคิดว่าพวกเขาควรจะไปพึ่งพาอาศัยศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนีผู้นี้หรือไม่
โอวหยางเฟยย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา สายตานางที่มองเหลยเจิ้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเลื่อมใสอย่างปิดไม่มิด
“พลังอัสนีช่างน่ากลัวถึงเพียงนี้!” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนกล่าวพึมพำด้วยความรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“ศิษย์พี่ซิ่งวางใจเถอะ! ถึงแม้พลังอัสนีจะแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ แต่ถ้าหากสู้กับข้าก็ไม่อาจชนะข้าได้ ข้ามีวิธีรับมือกับมันไว้แล้ว” เกาชงเหมือนจะเข้าใจความกังวลจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายเลยกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ศิษย์น้องคิดมากเกินไปแล้ว ข้าก็แค่พูดออกไปเท่านั้นแหละ” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
หยางเฉียนที่อยู่บนลานประลองก็มองดูเหลยเจิ้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
ผู้คนบริเวณด้านล่างต่างก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงพลังของเหลยเจิ้นด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
หลิ่วหมิงเองก็มองเหลยเจิ้นที่อยู่ใต้ธงด้วยตาที่เปล่งประกายไม่หยุด และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
หลังจากที่เหลยเจิ้นชนะแล้วศิษย์ที่มีพลังแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งก็ขึ้นไปท้าสู้
นอกจากเหลยเจิ้นที่เพิ่งจะได้อันดับศิษย์แกนนำแล้ว ตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับที่เก้า แปด เจ็ด ก็ถูกศิษย์คนอื่นท้าสู้จนเอาชัยชนะมาได้อย่างรวดเร็ว
แต่เพียงไม่นาน ศิษย์แกนนำคนใหม่เหล่านี้ก็ถูกศิษย์คนอื่นๆ ท้าสู้จนพ่ายแพ้ และศิษย์ที่ชนะได้เข้ามาแทนที่อีกครั้ง
แต่ต้วนฉานจู่กับเหลยเจิ้นที่ได้อันดับที่หกกับอันดับที่สิบนั้นไม่มีคนเข้าไปท้าสู้อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
ส่วนห้าอันดับแรกยิ่งไม่มีคนกล้าเข้าไปยุ่ง
ช่วงระหว่างเวลานี้หลิ่วหมิงเจียดเวลาไปดูลานประลองอื่นๆ เขาค้นพบว่าตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับที่แปดสิบเก้าถูกคนที่เขารู้จักอย่างตู้ไห่ชิงได้แล้ว
และจางชุ่ยเอ๋อร์ ศิษย์ผู้มีพรสวรรค์แห่งสาขาระบำปีศาจก็ชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับที่ยี่สิบสองมาได้
ซือหม่าเทียนแห่งสาขาหยินทนทรมานที่หาเรื่องเขาในตอนแรก ก็ยืนอยู่ใต้ธงเสาที่สิบสาม ร่างของเขาเต็มไปด้วยปราณหยินอันหนาแน่น และก็ไม่มีใครกล้าที่จะท้าสู้กับเขา
ศิษย์พี่สี ศิษย์พี่จูเหลียนซิง และศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายคนอื่นๆ ที่มีพลังแข็งแกร่งของสาขาเก้าทารกก็ค่อยๆ ออกโรง และต่างก็ได้ตำแหน่งศิษย์แกนนำในอันดับท้ายๆ
ส่วนเซียวเฟิงถึงแม้เพิ่งจะเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ไม่นาน แต่ก็ชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับที่เก้าสิบสามมาได้ ทำให้ผู้ที่ยืนดูอยู่ข้างล่างอย่างเซวียซานกับวั่นเสี่ยวเชี่ยนมองดูด้วยความอิจฉา
ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง อีกคนหนึ่งเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้น พวกเขาย่อมไม่คิดที่จะขึ้นไปท้าสู้บนลานประลอง ได้แต่ยืนให้กำลังใจเซียวเฟิงอยู่ด้านล่าง
แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของสาขาเก้าทารกอย่างสือชวน ได้แต่เดินไปเดินมาระหว่างลานประลองที่หนึ่งกับสอง และมองดูการประลองของคนอื่นๆ โดยที่เขายังไม่ลงมือทำการท้าสู้แต่อย่างใด
หลิ่วหมิงเดินวนไปมาสองสามรอบ และค้นพบว่าเขาเหมือนจะไม่เห็นเจียหลานผู้นั้น
งานประลองใหญ่เช่นนี้นางจะไม่เข้าร่วมได้อย่างไร
เขาไม่เชื่อว่านางจะไม่เข้าร่วม จึงได้ตั้งใจมองหาอีกรอบแต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง พอนึกถึงใบหน้างดงามอีกแบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงตอนพิธีเปิดจิตวิญญาณ เขาก็เข้าใจในทันที และได้ละความคิดที่จะหานางต่อไป
เมื่อเวลาผ่านไป เวลาของการประลองในวันแรกก็สิ้นสุดลง
ประมุขนิกายปีศาจแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วคิดว่าได้เวลาพอประมาณแล้ว ในที่สุดก็ประกาศสิ้นสุดการประลองในวันแรก
ดังนั้นการประลองบนลานประลองแต่ละแห่งก็หยุดลง และค่อยประลองต่อในวันที่สอง
จากนั้นไอหมอกที่ปกคลุมเขาหินก็กระจายออกไป พร้อมกับปรากฏทางเข้าออกอีกครั้ง ศิษย์ทั้งหมดต่างก็ค่อยๆ ทยอยออกไปด้วยเสียงฮือฮา เพื่อที่จะได้กลับไปพักผ่อนสะสมพลังกันต่อไป
เช้าวันที่สอง เมื่อบรรดาศิษย์ปรากฏตัวบนเขาหินภายใต้การนำของประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ อีกครั้ง การประลองก็เริ่มต้นทันที
อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อวานได้มีศิษย์ขึ้นไปท้าสู้เป็นจำนวนมากแล้ว ด้วยเหตุนี้ผู้เก็บพลังไว้ตั้งแต่แรกก็เริ่มขึ้นไปท้าสู้ในที่สุด
และศิษย์แกนนำที่สูญเสียตำแหน่งไปเมื่อวานก็เริ่มทำการท้าสู้ขึ้นมาใหม่
ด้วยเหตุนี้พอเริ่มต้นการประลองในวันนี้ บรรยากาศก็ดูดุเดือดเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงยืนอยู่ใต้ลานประลองแรก เขามองดูดรุณีงดงามที่ดูคล่องแคล่วปราดเปรียวบนลานประลองผู้หนึ่งด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
ตั้งแต่เริ่มต้นการประลองนางก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเงียบๆ มองคู่ต่อสู้ด้วยแสงสีม่วงจางๆ ที่หมุนวนอยู่ในลูกตาเท่านั้น และคู่ต่อสู้ก็เป็นชายหนุ่มที่เพิ่งจะได้ตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับเจ็ดมาเมื่อวาน
เมื่อวานชายหนุ่มผู้นี้แสดงพลังออกมาได้น่ากลัวมาก มิเช่นนั้นคงไม่สามารถเอาชนะศิษย์แกนนำคนเก่าได้ แต่ตอนนี้ในมือข้างหนึ่งของเขาถือกระบี่ยาวที่เปล่งแสงเย็นสะท้าน สองตาจ้องมองใบหน้างดงามของดรุณีน้อยด้วยสายตางงงวย และร่างก็ค่อยๆ สั่นท้านอยู่ไม่หยุด
จนเมื่อเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ชายหนุ่มก็ล้มโครมลงไปบนพื้น พร้อมกับพ่นฟองสีขาวออกมา
“เจียหลานชนะ”
พอม่านแสงหายไป อาจารย์จิตวิญญาณก็กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
ดรุณีน้อยใบหน้างดงามผู้นี้ ก็คือเจียหลานที่เมื่อวานหลิ่วหมิงหาไม่เจอนั่นเอง
แต่พอการประลองใหญ่ในวันนี้เริ่มขึ้น นางก็ปรากฏตัวขึ้นบนลานประลองที่หนึ่งโดยไม่มีสันญาณเตือนมาก่อน และใช้วิธีการแปลกประหลาดชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับเจ็ดมาได้
ไม่ใช่เพียงแต่หลิ่วหมิงเท่านั้นที่ดูการประลองนี้เสร็จแล้วหายใจเข้าด้วยความเย็นสะท้าน คนอื่นๆ ก็จ้องมองด้วยความตะลึงจนอ้าปากค้างเลยทีเดียว
แม้แต่หยางเฉียนที่ไม่แสดงอาการใดๆ ตั้งแต่แรก ก็มองนางด้วยสีหน้าประทับใจอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์น้องฉู่ ในที่สุดร่างละเมอฝันของเจ้าเด็กเจียหลานผู้นี้ก็แสดงอานุภาพออกมา ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ เกรงว่านอกจากศิษย์แกนนำที่อยู่อันดับก่อนหน้านางจะสามารถต้านทานพลังมหาเสน่ห์ของนางได้แล้ว ศิษย์คนอื่นๆ ล้วนโดนเสน่ห์ของนางจนหมดสิ้น วิชาที่นางแสดงในตอนนี้คงเป็น ‘วิชาดวงตาละเมอฝัน’ ในตำนานสินะ! ศิษย์น้องปิงฝึกฝนนางได้ไม่เลว ดูเหมือนว่าข้าจะคิดไม่ผิดที่มอบเด็กคนนี้ให้กับสาขาหยินทนทรมาน”
บนลานหยก ประมุขนิกายปีศาจเห็นผลการประลองในครั้งนี้ก็กล่าวชื่นชมออกมาไม่หยุด
“เฮ่อๆ! ในสาขาของพวกข้าเจ้าเด็กเจียหลานผู้นี้เป็นรองแค่หยางเฉียนที่เป็นศิษย์ติดตามเท่านั้น ศิษย์น้องปิงก็รักและชอบนางเป็นอย่างมาก ดังนั้นนางย่อมชี้แนะสั่งสอนให้อย่างสุดพลัง” ฉู่ฉีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! ถ้าหากมอบเจ้าเด็กนี่ให้สาขาระบำปีศาจของของข้า ไม่แน่ข้าอาจดูแลสั่งสอนนางได้โดดเด่นกว่านี้” หญิงแซ่หลินกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“ฮ่าๆ! เรื่องผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ศิษย์น้องหลินไม่ควรพูดมันออกมาด้วยอารมณ์เช่นนี้ เจ้าหนูน้อยเฉียนก็มีคุณสมบัติดีเลิศไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด ดูเหมือนว่ากลิ่นไอพลังก็แตกต่างจากแต่ก่อนมาก เพื่อการประลองใหญ่ในครั้งนี้ก็คงจะฝึกฝนเคล็ดวิชาอันน่าตื่นตะลึงด้วยเช่นกัน” ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ ก็รีบกล่าวออกมาแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที
“ศิษย์พี่ท่านประมุขช่างมีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งนัก ห่างจากการประลองครั้งก่อนมานานขนาดนี้ ย่อมเพียงพอที่นางจะฝึกฝนเคล็ดวิชาใหม่ๆ จนถึงขั้นสำเร็จต้นๆ ได้แล้ว” หญิงแซ่หลินกล่าวด้วยเสียงหัวเราะกิ๊กกั๊ก แต่ก็ไม่เปิดเผยว่าศิษย์ของตนฝึกฝนเคล็ดวิชาอะไร
“ประมุขนิกายปีศาจส่ายศีรษะ และคิดที่จะพูดอะไรออกไป แต่ทันใดนั้นผู้อาวุโสแซ่หวงแห่งสาขาฝึกศพที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ดูโซ่ตรวนวิญญาณที่ศิษย์ผู้นั้นใช้สิ ต่อให้ใช้วิญญาณระดับสูงในการหลอมสร้างก็ไม่ใหญ่ขนาดนี้ หรือว่าจะใช้วิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดหลอมสร้างขึ้นมา”
“วิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุด”
พอได้ยินคำนี้ อาจารย์จิตวิญญาณกว่าครึ่งหนึ่งต่างก็มองออกไปยังตำแหน่งที่อาจารย์จิตวิญญาณหวงจ้องมองอยู่ด้วยความตื่นตะลึง
บนลานประลองที่สอง ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ หัวล้าน ผิวสีน้ำตาลแก่ผู้หนึ่งกำลังยกมือปล่อยโซ่สีดำขนาดใหญ่ไปพันตัวคู่ต่อสู้ไว้ และยังค่อยๆ ตรึงโซ่ให้แน่นด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
ครู่เดียวคู่ต่อสู้ของเขาก็มีสีหน้าแดงก่ำ แล้วรีบเอ่ยปากยอมรับความพ่ายแพ้ออกมา
ดังนั้นเมื่ออาจารย์จิตวิญญาณประกาศชัยชนะแล้ว ชายฉกรรจ์หัวล้านก็เดินเชิดหน้าไปนั่งลงตรงใต้ธงเสาที่สิบเก้า
“ดูจากอานุภาพของโซ่ตรวนวิญญาณนี้แล้ว มันหลอมสร้างมาจากวิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดจริงๆ ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่ใช้วิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดฝึกฝนวิชาระดับต่ำเช่นนี้”
บนลานหยก ชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้กล่าวพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกที่เสียดายเป็นอย่างมาก
ประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ พากันละสายตากลับมาแล้วสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าเสียดายออกมาเช่นกัน
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น