องครักษ์เสื้อแพร 819-820
ตอนที่ 819
สำนึกได้ ไม่น่าเลย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนทุกคนในเมืองหลวงกำลังคิดว่าหวังทงเป็นตัวตลก รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถงถูกโบยในที่ทำการ จากนั้นถูกปลดจากตำแหน่ง ข่าวนี้ทำให้ทุกคนพากันเงียบกริบ
องครักษ์เสื้อแพรเป็นหน่วยงานสำคัญไม่อาจปล่อยให้อยู่ในมือคนๆ เดียว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร โดยมากมักจะทานอำนาจกัน ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรได้ชื่อว่าหัวหน้าสำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่ก็ไม่ได้มีอำนาจปลดอีกสองตำแหน่งดังกล่าว อำนาจนี้อยู่ในมือฮ่องเต้องค์เดียว ไม่เช่นนั้นจะทานอำนาจได้อย่างไร
หวังทงโบยรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถง จากนั้นก็ประกาศปลดจากตำแหน่ง ข่าวแพร่ไปทั่วเมืองหลวง คนไม่น้อยคิดว่าหวังทงทุบขวดตัวเอง ย่อมเป็นการทำลายตนเอง เจตนาก่อเรื่อง รอให้ในวังมีราชโองการตำหนิมา ก็จะได้ลาออกจากตำแหน่งขุนนาง
คิดไม่ถึงว่าในวังกลับมีท่าทีเช่นนี้ เหรินต้าถงถูกปลด และส่งตัวให้หน่วยงานตรวจสอบเรื่องกระทำผิด ไหนว่าตำแหน่งหวังทงไม่ได้หนักแน่นดังขุนเขาไท่ซาน
ลองคิดให้ดี ตอนนี้องครักษ์เสื้อแพร มีผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหนึ่งคน รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรสองคนว่างอยู่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งลาป่วย ตำแหน่งนี้ในวังยังไม่ส่งใครมาเป็น
เรื่องนี้ทำให้ทุกคนสับสนไม่เข้าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ องครักษ์เสื้อแพรย่อมตกอยู่ใต้อำนาจหวังทงคนเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นไยต้องมีราชโองการเช่นนั้นกัน
ยิ่งวิพากษ์วิจารณ์ก็ยิ่งแพร่ออกไป คิดให้ดีแล้ว หวังทงก็ไม่ได้เสียอะไรไป หญิงดีงดงามจากตระกูลดี อีกหญิงมีชื่อหอคณิกา รสชาติใดก็ล้วนได้ลิ้มลอง จะไปสนใจว่าข้างนอกพูดอะไรไปทำไม ล้วนแต่งเข้าจวนเขา
ทว่างานแต่งหวังทงใกล้เข้ามาแล้ว…….
************
“ฝ่าบาท สำนักรักษาความสงบวันนี้มีรายงาน”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตั้งแต่เดือนหกมา ไม่ว่าการประชุมราชสำนักหรือว่าส่วนพระองค์ ก็เหมือนเงียบไปผิดปกติ จางเฉิงวางเอกสารรายงานไว้ที่โต๊ะข้างที่ประทับ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ทรงหยิบไปพลิกทอดพระเนตรเหมือนปกติ เงียบไปพักหนึ่ง ก็เคาะกองเอกสารตรัสว่า
“ในเมืองเกิดเรื่องอันใด?”
“ทูลฝ่าบาท คนตระกูลสวีเมืองซงเจียงมาถึงเมืองหลวงแล้ว ใต้เท้ากรมพิธีการกับกรมอากรเตรียมยื่นฎีกาแก้ต่างให้ตระกูลสวี คนจากสำนักตรวจสอบกับสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วนก็เตรียมยื่นฎีกาทูลขอเช่นกัน กระหม่อมยังได้ยินว่า ขันทีในวังกับขันทีสำนักส่วนพระองค์ก็ได้รับการฝากฝังด้วย อาจจะหาโอกาสทูลฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้สนใจฟัง เพียงแค่เหลือบพระเนตรขึ้น ตรัสสุรเสียงเยียบเย็นว่า
“ในวังนอกวัง หรือแม้แต่เสด็จแม่ที่ทรงพักรักษาพระวรกายยังส่งคนมาพูด ว่าสวีเจี้ยเป็นขุนนางเก่าสองรัชสมัย ตอนนี้เพิ่งจากไปไม่นาน ให้เราทำการให้รอบคอบ”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มเยียบเย็นตรัสว่า
“พวกเขาจะรู้อะไร เอาแต่วิ่งร้องแรกแหกกระเซิงไปวันๆ”
จางเฉิงได้แต่คำนับ ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไป คิดจะเปิดเอกสารฎีกาอ่านหากก็ปิดลงอีก ลังเลเล็กน้อยก่อนตรัสถามขึ้น
“หวังทงทางนั้นเป็นไงบ้าง?”
จางเฉิงนิ่งไป ก่อนจะคำนับทูลตอบว่า
“ทูลฝ่าบาท หวังทงปกติดีทุกอย่าง กำลังเตรียมงานแต่ง รายงานทุกสายล้วนไม่พบอันใดผิดปกติ ทางเทียนจินการค้าทั้งหมดก็ปกติดี”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยกสองพระหัตถ์นวดใบหน้าไปมาก่อนยกลงดันโต๊ะอย่างร้อนพระทัย ทำให้เอกสารบนโต๊ะล้มกระจัดกระจายเต็มพื้น อึ้งไปพักหนึ่ง ก็ลังเลกล่าวว่า
“จางปั้นปั้น เราทำผิดไปใช่ไหม……”
จางเฉิงได้ยิน กลับไม่ได้สนใจไปเก็บของที่หล่นกระจาย หากคุกเข่าลงทันทีกราบทูลดังว่า
“ฝ่าบาทไม่ได้ทรงทำผิดอันใด ที่ฝ่าบาททรงทำก็เพื่อแผ่นดิน”
“แต่หวังทงไม่ได้คิดเป็นใหญ่ ไม่ได้ระแวงเราเหมือนที่เราระแวงเขา เราทำกับเขาเช่นนี้…….”
“ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ ฝ่าบาทเป็นนายของใต้หล้านี้ หวังทงสร้างความชอบเช่นนี้ เขาไม่มีใจคิดเป็นใหญ่ แต่ใช่ว่ารอบกายเขาจะไม่คิด หากฝ่าบาททรงโปรด หากหวังทงเลอะเลือน กลับเป็นการทำร้ายเขา ฝ่าทำเช่นนี้ก็แค่กำราบเตือนเท่านั้น หากหวังทงเข้าใจ ก็ควรจะรู้ว่าเป็นการปกป้องจากฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรสีหน้าจริงจังของจางเฉิง ยิ้มอย่างอดไม่ได้ ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า
“จางปั้นปั้น ท่านกล่าวเอาใจเราเกินไปแล้ว เรื่องเช่นนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ในใจหวังทงอย่างไรก็ย่อมต้องมีบาดแผล วันนั้นเขาขอบพระทัยเรามาก็อีกหลายชั่วยามถัดมา หรือว่าไม่ใช่กัน…….ก็ลำบากเขาจริง”
จางเฉิงคุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวว่า
“ฝ่าบาท หวังทงได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นติ้งเป่ยโหว ได้เลื่อนเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ยังมีพระราชทานใหญ่อย่างเมืองกุยฮว่าเฉิง ฝ่าบาททรงมีสมรสพระราชทาน ยังคงได้แต่งกับหานเสีย ยังเพิ่มจางหงอิงกับซ่งฉานฉาน ไม่ได้เสียหายอันใดต่ออำนาจและการงานของเขา กระหม่อมแม้เป็นขันทีก็รู้ว่าผู้ชายต้องการผู้หญิง ต้องการยิ่งมากยิ่งดี ทว่าก็แค่ชื่อเสียงได้รับผลกระทบ หากผลประโยชน์ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอันใด กลับได้กำไรแล้ว หวังทงหากจงรักภักดี เขาก็ควรจะซาบซึ้งใจพระมหากรุณาธิคุณฝ่าบาท ตั้งแต่ทรงมีราชโองการไปถึงตอนนี้ หวังทงก็ทำไปตามธรรมเนียม ไม่ได้เสียธรรมเนียม หรือไม่เคยรีรอชักช้า แสดงให้เห็นว่าหวังทงรับรู้ถึงพระเมตตาเอาพระทัยใส่ของฝ่าบาท”
ได้ยินว่า ‘กำไรแล้ว’ คำนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เอาแค่หน้าดำคล้ำก็ไม่ได้ฝืนต่อ หากทรงหัวเราะดังออกมา ชี้พระหัตถ์ไปยังจางเฉิงตรัสว่า
“จางปั้นปั้น คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล่าวเช่นนี้ได้ อย่าได้คุกเข่าเลย ยืนขึ้นๆ!”
จางเฉิงยืนขึ้น สีหน้าไม่ได้มีรอยยิ้มอันใด คำนับทูลต่อว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมเมื่อครู่พูดไปนั้นไม่ได้ล้อเล่น หวังทงไม่ได้เสียประโยชน์อันใด เขาตอนนี้มีสถานะเช่นนี้ ยังต้องการอันใดอีก ยังต้องการชื่อเสียงอันใดอีกกัน ทุกอย่างที่เขาได้มาล้วนเป็นเพราะทรงพระราชทานให้ เขาได้แต่ต้องจงรักภักดี วันหน้าย่อมได้ชื่อเสียงเกียรติยศ แต่หากเขาไม่จงรักภักดี ต้องการชื่อเสียงพวกนี้เพราะคิดอันใดกัน”
ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ สีพระพักตร์แปรเปลี่ยน จางเฉิงกระแอมไอ ทูลว่า
“ฝ่าบาทเป็นนายใต้หล้า ได้ชื่อว่า เจ้านายผู้โดดเดี่ยว ก็หมายถึงว่ามีได้เพียงหนึ่งเดียว ไม่มีผู้ใดเทียมทันได้ และก็ไม่สามารถมีผู้ใดใกล้ชิดได้ ฝ่าบาททรงคิดเพื่อใต้หล้า เพื่อแผ่นดินหมิง เพื่อผลลัพธ์เช่นนี้ สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องก็ต้องสละทิ้ง นี่จึงเป็นฮ่องเต้!!”
จางเฉิงปกติพูดแค่สามส่วน วันนี้กลับพูดจากใจออกมาหมด กระทบพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ ทรงประทับยืนขึ้นตรัสว่า
“จางปั้นปั้น เราได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ หลายเรื่องก็เข้าใจแล้ว!!”
จางเฉิงกล่าวถึงตรงนี้จึงได้ถวายคำนับกล่าวว่า
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาที่สุด กระหม่อมเพียงแค่เคยได้ยินฮ่องเต้ตรัสกับขันทีในสำนักขันที เรื่องใหญ่ยังคงต้องให้ทรงตัดสินพระทัยเอง”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ แต่ก็ยังถอนพระปัสสาสะตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“สุดท้ายก็ยังเป็นเราที่ผิดต่อหวังทง ไม่มีเรื่องก็ทำให้เป็นเรื่อง เราทำเรื่องเหลวไหลลงไป ต้องคิดหาทางชดเชยคืนให้ดีจางปั้นปั้น เจ้าออกไปก่อน เราอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ สักพัก”
จางเฉิงคำนับออกไป เรื่องเช่นนี้ในวังล้วนมีธรรมเนียม ฮ่องเต้อาจเรียกคนเข้ามาปรนนิบัติได้ตลอดเวลา จางเฉิงกับเจ้าจินเลี่ยงต้องรออยู่ที่ห้องทำงานข้างๆ
ขันทีในนั้นทั้งหมดไม่มีคุณสมบัติพอจะอยู่รวมกับจางเฉิงและเจ้าจินเลี่ยง ห้องที่จางเฉิงอยู่ที่จริงแล้วก็เรียกได้ว่าห้องทำงานสำนักส่วนพระองค์ ฎีกาสำคัญก็ต้องส่งมาให้จางเฉิงดูก่อน สามารถจัดการได้ก็จัดการไปทันที เรื่องสำคัญก็อาจเข้าไปกราบทูลของความเห็นจากฮ่องเต้
ห้องสำคัญเช่นนี้มีแต่เจ้าจินเลี่ยงเข้าไปได้ จางเฉิงนั่งอยู่ เริ่มลงชาด เจ้าจินเลี่ยงเดินเข้าไปด้านหน้า จัดฎีกาให้เป็นระเบียบ พลางถามขึ้นเบาๆ
“ท่านปู่จาง ท่านไม่ใช่บอกว่าหวังทงจงรักภักดีหรือ ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ใช่ว่า……”
กล่าวถึงตรงนี้ จางเฉิงที่ก้มหน้าอยู่ก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าอ่อนโยนอย่างมาก เจ้าจินเลี่ยงจึงกล้าพูดต่อว่า
“แต่ท่านทำไมจึงยังทูลเช่นนั้น?”
จางเฉิงวางพู่กันลง อึ้งไปก่อนจะถอนหายใจ เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“เสี่ยวเลี่ยง ในวังมีบางเรื่องต้องจำให้ดี ก็คือต้องระวังคำพูด ไม่พูดดีที่สุด ไม่เช่นนั้นย่อมนำภัยมาถึงตัวได้ เจ้ารู้ไหม?”
เจ้าจินเลี่ยงพยักหน้าหงึก ๆ สีหน้ายังคงงุนงง จางเฉิงเอื้อมมือไปลูบศีรษะเจ้าจินเลี่ยง กล่าวว่า
“ไม่ทูลเช่นนี้ ยังจะให้ทูลเช่นไร!”
**************
วันที่ 4 เดือนเจ็ด วันนี้เป็นฤกษ์ดีสำหรับการแต่งงาน ทั่วเมืองหลวงล้วนเลือกจัดงานในวันนี้ ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงก็เช่นกัน
ฤกษ์แต่งมงคล ก็ย่อมจัดงานไปตามปกติ แต่หวังทงสถานะเช่นนี้ ตั้งแต่มีราชโองการพระราชทานสมรสมา ก็ไม่อาจจัดอย่างขอไปทีได้
พิธีการออกเทียบสาม พิธีหก ตั้งแต่ส่งแม่สื่อทาบทาม ส่งแม่สื่อขอชื่อและเวลาเกิดไปจนครบหกกระบวนการเสร็จสิ้น
ทว่าหานเสียกับจางหงอิงไม่มีผู้อาวุโสในครอบครัวออกหน้า ซ่งฉานฉานเองก็ตัวคนเดียว ล้วนให้ครอบครัวหม่าซานเปียวดำเนินการให้ทั้งหมด ของพวกนี้ล้วนเตรียมกันเป็นการภายใน จัดพิธีก็รวดเร็วมาก
จวนติ้งเป่ยโหวยังสร้างไม่เสร็จ งานแต่งจึงจัดเรียบง่าย ก็จัดที่จวนหวังทง ตั้งโต๊ะเลี้ยงรอบ ๆ จวน หอสุราอาหารต่างก็มาจัดเก้าอี้ชามตะเกียบรวมเบ็ดเสร็จ แม้แต่คนยกอาหารรินสุราก็จ้างมาครบ งานแต่งนี้ดังกระหึ่มทั่วเมืองหลวงเท่าใดไม่รู้ แต่พวกเขาก็ต้องดูแลอย่างรอบคอบระมัดระวัง
หวังทงตอนนี้เป็นผู้นำองครักษ์เสื้อแพร ยังมีสถานะติ้งเป่ยโหว เขาจัดงานแต่ง ชาวเมืองหลวงขอเพียงมีชนชั้นพอก็สามารถได้รับเทียบเชิญ
แต่งานเลี้ยงวันนั้น นอกจากองครักษ์เสื้อแพรแล้ว ก็มีแค่ขุนนางจากเทียนจินที่มา ไม่มีชนชั้นสูง ขุนนางบู๊ส่งคนมามอบของขวัญ ส่วนขุนนางบุ๋นไม่มีผู้ใดปรากฏตัว ท่าทีเรียกได้ว่าชัดเจน
งานแต่งขุนนางใหญ่ ถึงกับเงียบเหงาเช่นนี้ สีหน้าคนในจวนหวังทงไม่ดีนัก ไม่เพียงแต่เท่านี้ ด้านนอกมีคนแต่งกายแบบบัณฑิตธรรมดาทั่วไปมาปะปน ว่ากันว่าแต่ละตระกูลส่งมาดูลาดเลา ต้องจดบันทึกสถานการณ์กลับไปรายงานเจ้านายตน หากไม่ใช่วันมงคลใหญ่เช่นนี้ ทุกคนคงได้ถูกทหารออกไปขับไล่ไปนานแล้ว
**************
คนด้านนอกมองเข้ามางานแต่งด้านในไปก็หัวเราะวิพากษ์วิจารณ์ไป ส่วนใหญ่เป็นวาจาเยาะเย้ยหวังทง อยู่ ๆมีคนโพล่งขึ้นว่า
“นั่นใช่จางเฉิงจางกงกงสำนักส่วนพระองค์ไหม เดินตามรถมา ในรถเป็นผู้ใด?”
“ฝ่าบาทเสด็จมาร่วมงานแต่งหวังทง!!”
ทุกคนต่างมีปฏิกิริยาทันที
ตอนที่ 820
งานแต่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขลุกอยู่วงการขุนนางเมืองหลวงมานานปี เห็นอะไรมาก็มาก ทำงานใดก็ไม่เคยทำแบบสุดโต่ง แม้ฝ่าบาทพระราชทาน สมรสครั้งนี้แสดงให้เห็นอะไรมากมาย ทุกคนไม่มาก็ย่อมไม่รู้สึกเป็นภัยภายหลังแต่อย่างใด หากอย่างไรก็ต้องจัดส่งคนมาเฝ้าจับตาดูไว้ก่อน
ตนเองไม่มา ก็ต้องดูว่าคนอื่นมาไหม คนอื่นไม่มา ก็ย่อมต้องดูว่างานแต่งหวังทงเป็นเช่นไรกันแน่ จะต้องได้ข่าวเป็นคนแรก
การทำงานของหวังทง ชนชั้นสูงเมืองหลวงรู้ดี เกรงแต่ว่าส่งคนไม่รู้งานมาทำให้เขาจับเป็นเรื่องได้ จึงต้องส่งคนสนิทตนเองที่ฉลาดเฉลียวมาจับตาดู
คนพวกนี้ส่วนใหญ่เห็นโลกมามาก ติดตามนายตนในเมืองหลวงก็เห็นบุคคลยิ่งใหญ่มาไม่น้อย เคยท่องรายชื่อผู้มีชื่อเสียงในเมืองหลวงมาด้วย จางเฉิงสำนักส่วนพระองค์เป็นบุคคลในเมืองหลวงสำคัญอันดับหนึ่ง จะต้องจดจำได้อย่างแน่นอน
พอเห็นกงกงชราผู้นี้มาเดินบนท้องถนนในตอนนี้ คนที่จับตาดูอยู่หน้าประตูก็เคลื่อนไหวทันที สถานการณ์เช่นนี้ คนสนิทอันดับหนึ่งของฮ่องเต้ว่านลี่อย่างจางเฉิงย่อมไม่มีเหตุปรากฏตัวตอนนี้อย่างไร้เหตุผล คนมากมายพากันส่งเสียงตะโกนต่อๆ กัน
ต่อมาที่ทุกคนเห็นก็คือ จางเฉิงจางกงกงที่มีอิทธิพลถึงกับเดินตามรถม้ามา รอบ ๆ ยังเห็นการอารักขาของทหารม้ากับทหารราบไม่น้อย
แท้จริงแล้วเป็นบุคคลใดที่ทำให้ขันทีใหญ่แห่งสำนักส่วนพระองค์เดินตามได้เช่นนี้ ตนเองกลับนั่งในรถ ใต้หล้านี้มีเพียงสองคนเท่านั้น และสถานการณ์เช่นตอนนี้ เกรงว่าคงมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
“ฝ่าบาทเสด็จ!”
ทุกคนย่อมคิดได้ ทุกคนมองไปอีกที ก็เห็นรถพระที่นั่งของฮ่องเต้มา ด้านหลังยังมีรถใหญ่แบกหีบมาอีก ด้านบนมีผ้าแพรปิดคลุมไว้ ทุกคนล้วนรู้ดี ฝ่าบาทมาทรงร่วมอวยพรให้หวังทง
“หลีกทาง ๆ อย่าได้ขวางทางเดินรถพระที่นั่ง!”
ขณะส่งเสียงก็มีคนขี่ม้าเข้ามา ตะโกนขับไล่อยู่บนหลังม้า ฮ่องเต้เสด็จออกมา แม้ว่าในวังจะห่างจากจวนหวังทงไม่ไกล แต่ก็ควรแสดงถึงพระเกียรติ การเสด็จเช่นนี้เรียกว่าพิธีการน้อยแล้ว
คนที่จับตามองอยู่ก็ตะโกนแตกตื่น พากันวิ่งกลับไปยังม้าที่ตนผูกไว้ด้านนอก รีบกลับไปรายงาน รายงานเจ้านายว่าฝ่าบาทเสด็จมาทรงร่วมอวยพรงานมงคลสมรสของหวังทง
อีกราวหนึ่งชั่วยามจึงจะเริ่มพิธี เหตุใดทรงมาเช้าเช่นนี้กัน…
คนไม่น้อยวิ่งออกไป แต่ก็ยังได้ยินคนตะโกนขึ้นว่า
“ฝ่าบาทเสด็จมาทรงร่วมอวยพรหวังทง~~~~”
ช่างไม่เหมือนธรรมเนียมที่เป็นมา ดูประหลาดยิ่ง แต่ผู้ใดจะไปสนใจกัน
************
ปากทางถนนสองสายที่ห่างจากจวนหวังทงไม่ไกล มีคนอยู่ในร้านน้ำชา วันนี้มีคนจองไว้หมดทั้งร้าน แต่เช้ามาก็ปิดประตูไม่รับแขก
ด้านในมีตระกูลเซียงเฉิงป๋อ เฉินจินเซิ่งกำลังจิบชาอย่างสบายอารมณ์ ราวกับกำลังรอคอยอันใด ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก มีคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา เข้ามาถึงก็รายงานทันทีว่า
“นายท่าน นายน้อย ฝ่าบาทเสด็จไปร่วมอวยพรที่จวนหวังแล้ว!”
เซียงเฉิงป๋อเฉินจินเซิ่งยกมือตบโต๊ะ ดีใจกล่าวว่า
“ครั้งนี้พนันถูกข้างแล้ว!”
เฉินซือเป่าที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบสั่งการไปว่า
“ไปเตรียมของแสดงความยินดี รีบไปหยิบชุดมาเปลี่ยน เปลี่ยนชุดให้ท่านโหว รีบไปเร็ว ๆ อย่าได้ชักช้า เสี่ยวซื่อ ไปบอกตระกูลถัง ให้พวกเขาเร็วหน่อย!!”
**************
ณ หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ มหาอำมาตย์เซินสือหังถามขึ้นน้ำเสียงนิ่ง
“ใต้เท้าหวัง กรมอากรจัดการที่นาในเมืองซงเจียงไปถึงไหนแล้ว เราเป็นขุนนางในพระองค์ย่อมต้องทรงแบ่งเบาพระราชภาระฮ่องเต้ อย่าให้ทรงต้องเร่งมาครั้งแล้วครั้งแล้วแล้วก็ไม่ได้คำตอบใด”
เสนาบดีกรมอากรหวังหลินสีหน้าดำคล้ำ มองซ้ายมองขวา ตอบอย่างหมดแรงว่า
“ท่านอำมาตย์ กรมอากรเร่งตรวจสอบอยู่ แต่ที่นา 10 ปี 20 ปีมาแล้ว ยังต้องส่งคนไปตรวจสอบที่เมืองซงเจียงอีก ต้องใช้เวลา!”
“ตอนนั้นจางจวีเจิ้งตรวจสอบที่ดินใต้หล้า เรื่องเช่นนี้ครึ่งเดือนก็เห็นผล เหตุใดวันนี้กรมอากรกลับต้องการเวลานานเพียงนี้ หรือว่ามีเรื่องใดปิดบังอยู่?”
หวังหลินโยนสมุดเล่มหนึ่งลงบนโต๊ะ น้ำเสียงเยียบเย็นกล่าวว่า
“ท่านอำมาตย์ ฝ่าบาทต้องการตรวจสอบ ที่ต้องการตรวจสอบนั้นคือตระกูลสวีเมืองซงเจียง แต่ไม่ได้ทรงเอาเรื่องกรมอากรเรา พูดถึงตระกูลสวี เมืองซงเจียงตอนนั้นทำไมจางจวีเจิ้งไม่ไปสอบ ข้าจำได้นะ ตอนนั้นท่านอำมาตย์เหมือนอยู่ในคณะเสนาบดีใหญ่ด้วย ทำไมไม่ยืนหยัดว่าจะตรวจสอบเล่า!?”
บรรยากาศคณะเสนาบดีใหญ่ตึงเครียด เสนาบดีหกกรมกอง นอกจากจางเสวียเหยียน ก็ล้วนเป็นพรรคพวกเดียวกัน และในคณะเสนาบดีใหญ่ที่มีเซินสือหังเป็นหัวหน้า สองฝ่ายกลับไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร ครั้งนี้ฮ่องเต้ว่านลี่จะทรงตรวจสอบตระกูลสวีเมืองซงเจียงรุกครองที่นาให้ได้ กรมอากรรับผิดชอบ เซินสือหังจึงอาศัยจังหวะนี้จัดการ เสนาบดีกรมอากรหวังหลินกลับไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย
ขณะพูดอยู่นั้น ก็ได้ยินขันทีน้อยหน้าประตูร้องเรียกขึ้นเบา ๆ ขุนนางท่านหนึ่งในคณะเสนาบดีใหญ่รีบเดินออกไป สองฝ่ายกระซิบกระซาบกันเบา ๆ จากนั้นการโต้แย้งในห้องก็เงียบไป รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ ส่วนใหญ่ในวังหรือนอกวังส่งข่าวมา และไม่รายงานก็เพราะไม่ใช่งานหลวง ขุนนางคนที่ออกไปกระซิบกระซาบเป็นคนที่เซินสือหังวางสายไว้ในคณะเสนาบดีใหญ่
ดังคาด พอพูดกันเสร็จ ขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่ท่านนี้ก็รีบวิ่งเข้าไปกระซิบข้างหูเซินสือหัง มาถึงตำแหน่งมหาอำมาตย์นี้ได้ล้วนไม่แสดงอาการทางสีหน้า
ทุกคนไม่ได้ข้อมูลอันใดจากสีหน้าเซินสือหัง ทว่าพอขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่ท่านนั้นพูดจบ เซินสือหังก็ยืนขึ้น กล่าวว่า
“ทุกท่าน ข้ามีเรื่องต้องจัดการ วันนี้ขอตัวก่อน!”
ทุกคนย่อมลุกขึ้นส่ง เซินสือหังรีบเดินออกจากหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ ขันทีหนึ่งมาตามขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่ ข่าวด้านนอกเริ่มส่งเข้ามาแล้ว
***************
“…….อู่ชิงโหวมา…….”
“…….หวงเซินเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนมา…….”
เสียงรายงานรายชื่อแขกเหรื่อด้านนอกดัง เสียงคนรายงานแหบพร่าอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าเพราะตะโกนมาก แต่เพราะตื่นเต้นเกินไป เขาจัดงานมงคลมาหลายปี เดาว่าไม่เคยพบเห็นขุนนางและชนชั้นสูงมากมายเพียงนี้ ที่ยิ่งทำให้ตื่นเต้นยิ่งขึ้นก็คือ เขาเพิ่งได้ตะโกน ‘ฝ่าบาทเสด็จ’ ว่ากันว่าคนนอกวังไม่ควรเอ่ยพระนามเช่นนี้
“เราส่งขุนนางกรมพิธีการมาช่วยเจ้าจัดการงานไม่ใช่หรือ? ทว่างานแบบชาวบ้านเช่นนี้ก็ดูครึกครื้นกว่า!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมประทับในโถงกลาง หวังทงในชุดมงคลสีแดงยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัส ก็ยิ้มกล่าวว่า
“ภรรยากระหม่อมล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดา วุ่นวายหลายขั้นตอนมากไปเกรงว่าจะผิดพลาดให้เป็นที่ขบขันได้”
“ฮ่าๆ งานแต่งนี้เป็นงานเจ้า เจ้ากับบรรดาภรรยาเจ้าดีใจก็พอ พิธีการก็ไม่ต้องไปสนใจก็แล้วกัน”
ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลพยักหน้าตรัส ขณะตรัสอยู่ ด้านนอกมีคนตะโกนขึ้นว่า
“กระหม่อมหวงเซินถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี…….”
“พอแล้ว ๆ นี่เป็นงานแต่งหวังทง พวกเจ้าไม่ต้องทำให้เรากลายพระเอกไปแทน ไปหาที่นั่งกันก่อน!”
ทรงพูดนุ่มนวล เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนหวงเซินย่อมต้องรับพระบัญชาถอยกลับไป ทว่ากลับเห็นภาพฮ่องเต้ว่านลี่สนิทกับหวังทงเต็มตา สองฝ่ายหัวเราะพูดคุย สนิทสนมอย่างยิ่ง มองไม่ออกเลยว่าหลายวันนี้ข่าวแพร่กระพือในเมืองหลวงได้อย่างไร ขุนนางคนสนิทแต่งงาน แม้ว่าเป็นตระกูลกั๋วกง ในวังอย่างมากก็ส่งขันทีมาอวยพร ให้ของขวัญพอเป็นสัญลักษณ์ก็พอ อ่านๆ คำอวยพรก็เท่านั้น แต่หวังทงมีความดีความชอบอันใดกัน เหตุใดจึงต้องให้ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จมาด้วยพระองค์เอง
และฝ่าบาทไม่ใช่ว่าพระราชทานสตรีหอคณิกาให้สมรสกับหวังทงหรือ? พระราชทานพระราชโองการที่ทำให้หวังทงต้องขายหน้าเช่นนี้ ฝ่าบาทยังเสด็จมาอีก หากฮ่องเต้เป็นประธานจัดพิธีสมรสหวังทงกับสตรีคณิกา ก็ไม่ใช่หวังทงขายหน้าแล้ว แต่เป็นพระเกียรติต่างหากที่หมดสิ้นกัน นี่มันอะไรกันแน่
อย่างอื่นไม่เข้าใจ แต่ฝ่าบาททรงสนทนายิ้มแย้มกับหวังทงราวกับสหายสนิท ทุกคนล้วนเห็นด้วยตาตนเอง เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนหวงเซินก็เห็น คนอื่นมาอวยพรก็ย่อมเห็น
ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จมาจวนหวังทง ราวครึ่งชั่วยาม ใครที่มากได้เร็วที่สุดก็มากันอย่างเร็วที่สุด คนที่มาที่หลังก็ค่อยๆ ทยอยมา มาถึงจวนหวังทง ในเมื่อฮ่องเต้ประทับอยู่ที่นี่ ก็ย่อมมาถวายบังคมก่อน ทุกคนก็มาถวายบังคม ต่างได้เห็นภาพฮ่องเต้ว่านลี่สนิทสนมกับหวังทงอย่างยิ่ง
**************
“กระหม่อมเซินสือหังถวายบังคมฝ่าบาท …….”
“ท่านอำมาตย์ไม่ต้องมากพิธี มาทางนี้ ท่านดูหวังทงแต่งกายเช่นนี้ตลกไหม มักเห็นแต่งชุดเกราะทหาร หรือชุดมัจฉาเวหา ตอนนี้สวมชุดขุนนางบุ๋นเช่นนี้ ดูแล้วขัดตาจริง!”
ชุดมงคลเจ้าบ่าวก็ดัดแปลงมาจากชุดทางการของขุนนางบุ๋น ดังนั้นฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้ตรัสเช่นนี้ เซินสือหังยิ้ม ทูลว่า
“ฝ่าบาทล้อเล่นแล้ว ใต้เท้าหวังสง่างามยิ่ง สวมชุดมงคลแล้วก็ยิ่งหล่อเหลา ใต้เท้าหวัง คนมักกล่าวว่าสร้างครอบครัวแล้วตั้งใจทำงาน แต่ท่านทำงานสำเร็จแล้ว วันนี้จึงได้สร้างครอบครัว ยังมีฝ่าบาททรงอวยพร นี่เป็นมหามงคลหลายชั้นเสียจริง ยินดีด้วยๆ!!”
หวังทงรีบขอบคุณ เซินสือหังสถานะเช่นนี้ แม้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ย่อมมีที่นั่ง พอเซินสือหังนั่งลง เสิ่นหลี หยางเหว่ยและเสนาบดีหลายท่านก็เข้ามามอบของขวัญเสร็จ ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้น
“หวังทง เราอยากให้เจ้าลงใต้ไปทำคดี เจ้าอยากไปไหม?”
หวังทงอึ้งไป ทว่ารีบคุกเข่าทูลว่า
“ราชโองการฝ่าบาท กระหม่อมย่อมปฏิบัติตามรับสั่ง”
หวังทงคุกเข่าหมอบลง ท่าทีนิ่งเรียบ แต่กลับมีไฟโทสะแวบหนึ่งพาดผ่าน เขาเพิ่งเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ทุกอย่างยังไม่เรียบร้อยดี จะไล่เขาออกจากเมืองหลวงอีกแล้ว ทรงระแวงถึงขั้นนี้เลยหรือนี่? แรกก็สมรสพระราชทานมาหลู่เกียรติเป็นการกำราบเตือน จากนั้นก็ให้ตนไม่อาจอยู่ทำหน้าที่ต่อในสำนักองครักษ์เสื้อแพร ตนเองทำอันใดผิดกัน……
เห็นหวังทงคุกเข่าลงทันที ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เริ่มวุ่นวายพระทัย มองไปยังเซินสือหังข้างๆ สีหน้าเซินสือหังไม่แปรเปลี่ยน กลับทำเหมือนคนมาอวยพรงานแต่งทั่วไปที่มองซ้ายทีขวาที และยังคุยเฮฮากับบรรดาขุนนางใหญ่ด้วยกัน ผู้ใดไม่ใช่คนโง่ สถานการณ์นี้หากตั้งใจดูตั้งใจฟัง ก็เท่ากับหาภัยให้ตนเอง ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงหันไปมองจางเฉิง จางเฉิงก็เหมือนกัน
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงหันไปกลับทางหวังทง หวังทงรับพระบัญชาอย่างไม่ลังเล ตอนนี้เขาเพิ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ทุกอย่างยังไม่มั่นคง ก่อนหน้าก็เกิดเหตุเรื่องรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรมีเรื่องกับเขาที่สำนักที่ทำการ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องก่อนหน้าที่มีคนไม่น้อยบ้างก็พูดกัน บ้างก็ยื่นฎีกาว่าหวังทงผิดนั่นนี่มากมาย แม้เขาได้ชื่อว่าหัวหน้าแห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่ก็ยังคุมอำนาจไม่ได้เบ็ดเสร็จนัก
ในยามนี้ส่งเขาลงใต้ ก็เท่ากับให้เขาไม่มีโอกาสได้จัดการคุมอำนาจสำนักองครักษ์เสื้อแพรให้เด็ดขาด เหตุผลเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงเข้าใจดี หวังทงย่อมไม่อาจไม่เข้าใจ แต่หวังทงรับคำไม่ลังเล
ฮ่องเต้ว่านลี่หลับพระเนตรแน่น ถอนพระปัสสาสะ ในฐานะที่ทรงเป็นฮ่องเต้ เป็นเจ้าผู้ปกครองแผ่นดินหมิง อย่างไรก็ต้องสมดุลอำนาจ ไม่อาจเกิดเหตุการณ์ที่ขุนนางโดดเด่นกว่าฮ่องเต้ วาจาเหล่านี้ ไทเฮาฉือเซิ่งเคยตรัสกับพระองค์มาก่อน เฝิงเป่าก็เคยทูล จางจวีเจิ้งก็เคยทูล พระองค์ทรงรู้ดี
แต่พอเห็นท่าทางหวังทง ก็รู้สึกว่าหรือทรงทำเกินไป หวังทงจงรักภักดีเช่นนี้ ทำอะไรให้พระองค์เกิดเสถียรภาพตั้งมากมาย ทรงทำเช่นนี้ หรือว่าไม่เป็นการสมดุลอำนาจ แต่ทำให้ขุนนางหนาวเหน็บใจแทน
“ลุกขึ้นเถิด วันนี้เป็นวันมงคลเจ้า อย่าได้ทำจนเคร่งเครียดไป!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัส หวังทงรับคำยืนขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับยืนขึ้นตบบ่าหวังทง ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“เราคิดมากไปแล้ว”
ตรัสถึงตรงนี้ กลับไม่ตรัสต่อ ประทับนั่งกับขุนนาง บรรยากาศเงียบไปสักหน่อย เซินสือหังกลับเข้าใจได้ทันที ฮ่องเต้ว่านลี่ระยะหลังจับตาเรื่องตระกูลสวีเมืองซงเจียงไม่ปล่อย แท้จริงแล้วเพราะเหตุใด
ในตอนนั้นเอง หม่าซานเปียวในชุดพิธีการก็เดินเข้ามา ถวายคำนับฮ่องเต้ว่านลี่ จากนั้นลุกขึ้นไปกล่าวกับหวังทงว่า
“ใต้เท้า ใกล้ฤกษ์มงคลแล้ว อันนี้…….”
แม้ว่าถามหวังทง ทว่าน้ำเสียงกลับได้ยินกันทั่ว หม่าซานเปียวในความกระด้างก็มีความละเอียด ยามนี้กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อบอกแก่ฮ่องเต้ว่านลี่และเซินสือหังไปด้วย ว่าอย่าได้ทำให้เสียฤกษ์แต่งงาน!
ฮ่องเต้ว่านลี่จะไม่เข้าใจได้อย่างไร ทรงนิ่งไป แย้มสรวลตรัสว่า
“หวังทง ใกล้ฤกษ์มงคลของเจ้าแล้ว เรามอบซองแดงมงคลก่อน ทว่าเอาออกมาตอนนี้ไม่น่าสนใจเท่าไร ไม่สู้อ่านราชโองการพระราชทานสมรสเราก่อนดีกว่า!!”
สีหน้าหวังทงในที่สุดก็เก็บไม่อยู่ หม่าซานเปียวตาโต ทว่าหวังทงปฏิกิริยาไว หันไปบอกหม่าซานเปียวว่า
“ซานเปียว ฝ่าบาทรับสั่ง ยังไม่รีบไปเอามา!”
หม่าซานเปียวยังคิดกล่าวอันใด แต่กลับถูกสายตาเฉียบขาดหวังทงบีบให้กลับไป หลังหม่าซานเปียวเป็นพ่อบ้านหวังทงนิสัยก็ไม่มุทะลุเหมือนก่อน ลังเลครู่หนึ่ง ก็คำนับกล่าวว่า
“ฝ่าบาท ทรงรอสักครู่!”
ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จมา ขุนนางกับชนชั้นสูงเมืองหลวงไม่ว่าคิดเช่นไร ก็ล้วนต้องการแสดงท่าทีด้วยเช่นกัน พอมาแล้ว ไม่ต้องสนใจหวังทงก็ได้ แต่ต้องให้ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเห็น เพื่อบอกว่าตนเองอยู่ข้างฮ่องเต้มาโดยตลอด ดังนั้นขุนนางมากมาย ส่วนใหญ่จึงหาที่นั่งหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่
เบียดเสียดกันมากขึ้นเรื่อยๆ ที่นั่งในตำแหน่งนี้ได้ก็มีแต่ระดับสามขึ้นไปเท่านั้น ระดับบรรดาศักดิ์ป๋อขึ้นไปเท่านั้น ไม่มีสถานะอื่น ตอนรายงานของขวัญอวยพรก็จะตะโกนเสียงดัง ตอนนี้ที่นั่งไม่มีแล้ว ระดับสี่ลงไป หวังทงไม่ส่งเทียบเชิญ
ฮ่องเต้ว่านลี่เมื่อครู่ที่ตรัสสุรเสียงดัง ทุกคนได้ยินชัด หลายคนรีบตั้งใจรอฟัง หรือว่าฮ่องเต้พระราชทานสมรสพระราชทานตบหน้าไม่พอ ยังต้องลงมือต่อหน้าทุกคนอีก เห็นหวังทงเหิมเกริม วันนี้จะได้รู้สึกสำนึกในความเหิมเกริมบ้างหรือยัง มีคนครุ่นคิดไปอีกว่า ที่หวังทงสร้างไว้จะแบ่งอย่างไร ตนเองจะได้แบ่งเท่าไร
หม่าซานเปียวรีบประคองราชโองการมา ฮ่องเต้มีราชโองการถึงผู้ใด ราชโองการก็ต้องประกาศในห้องโถง เพื่อแสดงความเคารพ หม่าซานเปียวสองมือประคองมา
ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งมองซ้ายมองขวา ยิ้มตรัสว่า
“หวังทง ได้ฤกษ์แล้ว พาภรรยาสามคนของเจ้าออกไปได้ ไปรับราชโองการเรา ก็เสร็จพิธี!”
หวังทงสีหน้าไม่ยินดียินร้าย ได้แต่รับคำพระบัญชาเงียบๆ สั่งการให้คนพาซ่งฉานฉาน กับหานเสียและจางหงอิงออกไป ฮ่องเต้ว่านลี่ยกพระหัตถ์ให้ทุกคนตะโกนขึ้นว่า
“ขุนนางที่รักทุกท่าน อย่าไปไกลนัก เข้ามาใกล้อีกหน่อยๆ!”
ท่านโหว ท่านป๋อ และเสนาบดีใหญ่ ขุนนางใหญ่ ราชบัณฑิตด้นนอกต่างพากันยืนขึ้นเดินเข้ามาใกล้ หยางซือเฉินยืนอยู่กับพวกซาตงหนิง กระซิบว่าว่า
“หากหานกังมีการเคลื่อนไหวใด พวกเจ้าต้องจับตัวเข้าไว้ให้ดี ลากออกไปด้านหลังมัดไว้ก่อน สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่ที่ที่เขาจะมาระเบิดอารมณ์ เข้าใจไหม?”
ทหารติดตามหวังทงหลายคนพยักหน้า บรรยากาศไม่เลว สีหน้าทุกคนยิ้มแย้ม มีแต่มิตรสหายสนิทของหวังทงที่สีหน้าไม่ถูกต้องนัก ราชโองการมาถึง ฮ่องเต้ว่านลี่กลับเอื้อมไปหยิบมาอย่างไม่คิดอันใด อีกทางหนึ่งมีสาวใช้เดินเข้ามา นำภรรยาทั้งหมดมาครบแล้ว เจ้าสาวสามคนในชุดมงคลผ้าแดงคลุมหน้าพร้อมมงกุฎหงส์
ขันทีน้อยข้างๆ คอยกำชับ พอเข้ามาในโถงกลาง ถวายคำนับฮ่องเต้ว่านลี่ก่อน เสร็จแล้วก็ถอยไปยืนข้างๆ
ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลพยักหน้ารับการถวายบังคมจากสามเจ้าสาว ตรัสสุรเสียงดังว่า
“ได้ฤกษ์มงคลแล้ว จางปั้นปั้น อ่านราชโองการอวยพรบ่าวสาวได้แล้ว!”
จางเฉิงคำนับพยักหน้า เสียงดังขึ้นว่า
“รับราชโองการ!!”
หวังทงประสานมือแน่น แต่ก็ยังคุกเข่าลงตามทำเนียม ทุกคนในจวนนอกจากฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงแล้ว ก็ล้วนคุกเข่าลง
“จางปั้นปั้น อ่านได้!”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักหน้า หันไปประทับนั่งลงตามเดิม ด้านล่างมีคนเงยหน้ามองไปรอบๆ กลับเห็นว่าฮ่องเต้ว่านลี่ถือราชโองการไว้ในพระหัตถ์ ไม่ได้ส่งให้จางเฉิง
ขันทีสำนักส่วนพระองค์มีความสามารถที่พอผ่านตาแล้วไม่ลืม ราชโองการที่ผ่านมือย่อมท่องได้ราวอ่านปกติ แต่ในฐานะขันทีฝ่ายใน ประกาศราชโองการเป็นพิธีการ ไม่เปิดราชโองการออกอ่าน ก็ย่อมไม่เป็นการเคารพ จางเฉิงปฏิบัติหน้าที่มานานปี จะไม่รู้ธรรมเนียมนี้ได้อย่างไร
การพบเห็นอันนี้ก็แพร่ออกไปทันที หลายคนพากันเงยหน้าเล็กน้อย จากนั้นที่ทุกคนได้เห็นก็พากันตกตะลึง จางเฉิงสำนักส่วนพระองค์ควักราชโองการออกมาอ่าน
หรือว่าฮ่องเต้ว่านลี่ไม่รู้ แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังแย้มสรวลทอดพระเนตร ราชโองการเริ่มอ่านแล้ว ทุกคนรีบก้มหน้าลง ยามนี้หากถูกฮ่องเต้กับจางเฉิงเห็นเข้า ย่อมมีโทษล่วงเกินหน้าพระพักตร์
“…….หานเสีย น้องสาวนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรหานกัง งดงามมีคุณธรรม เป็นคู่ครองที่ดี มีสัญญาหมั้นหมายกับหวังทง แต่งตั้งให้เป็นฮูหยินติ้งเป่ยโหว…….”
แม้รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ต้องเคร่งครัด แต่ทุกคนพอได้ยินก็ยังอึ้งไป ราชโองการเริ่มแรกก็อ่านชื่อหานเสีย และยังชัดเจนว่าเป็นฮูหยินติ้งเป่ยโหว ของเดิมทุกคนล้วนได้รู้รายละเอียดชัด ถึงกับมีคนที่รู้ทุกคำในราชโองการ เอาไปล้อเล่นกันในหลายที่
แต่ที่แพร่กันด้านนอกกับที่อ่านตอนนี้กลับไม่เหมือนกันเลย ฝ่าบาทช่างทรงรู้จักทรมานจิตใจคน ถึงกับเปลี่ยนราชโองการ แต่ผู้ใดกล้าพูดว่าเปลี่ยนราชโองการกัน ผู้ใดกล้าพูด ราชโองการนั่นอ่านต่อหน้าหวังทง แต่ราชโองการนี่อ่านต่อหน้าทุกคน ผู้ใดจริง อันนี้สิของจริง!
ตอนนี้ในราชโองการประกาศว่า หานเสียเป็นฮูหยินติ้งเป่ยโหว ก็ย่อมเป็นภรรยาเอก ทุกคนพากันเงยหน้า มองไปยังสตรีทั้งสามใต้ผ้าคลุมหน้า พากันขอบพระทัย
ขันทีอีกสองสามคนก็ประคองเครื่องบรรดาศักดิ์ฮูหยินโหวมา คนของหวังทงยังไม่ทันได้สติ เป็นหยางซือเฉินที่เข้าไปเร่งเบา ๆ ทหารหลายคนจึงได้รีบก้าวขึ้นหน้าไป จางเฉิงอ่านต่อว่า
“…….จางหงอิง……หญิงดีตามครรลอง…….”
จางหงอิงยังคงเป็นภรรยารอง ไม่เปลี่ยน จางหงอิงรับพระบัญชา จากนั้นจางเฉิงก็อ่านต่อ
“……..บิดาซ่งฉานฉาน……หลังจากตรวจสอบแล้ว ถูกให้ร้าย ตอนนี้พ้นมลทินแล้ว……ซ่งฉานฉานเป็นผู้มีปัญญา เป็นคู่ครองที่ดี…..”
ซ่งฉานฉานเป็นภรรยาสาม และตระกูลยังได้พระราชทานอภัยโทษ เสียงดังจอกแจกไปทั่วบริเวณ จางเฉิงกวาดตามองเยียบเย็น กล่าวว่า
“ทุกท่านรู้ธรรมเนียมบ้างแล้ว อย่างไรก็รักษาธรรมเนียมไว้บ้างก็ดี”
ถูกตำหนิเช่นนี้ ทุกคนก็เงียบลงไม่น้อย ยามนี้ทุกคนกลับได้ยินเสียงร้องไห้ ฮ่องเต้มีราชโองการให้พ้นผิด ก็เท่ากับซ่งฉานฉานพ้นมลทิน เมื่อก่อนแม้ว่ามีมลทิน แต่ตอนนี้ตามกฎหมาย ซ่งฉานฉานเป็นหญิงตระกูลดีแล้ว ตระกูลซ่งฉานฉานมีความผิด ตอนนี้พ้นโทษแล้ว ย่อมดีใจจนร่ำไห้
ทว่าคนที่ฉลาดสักหน่อยก็เดาได้ ความดีใจซ่งฉานฉานไม่เพียงแค่เรื่องนี้ หากนางเป็นภรรยาหลวง ก็ย่อมตกเป็นขี้ปาก ถูกทุกคนจับจ้อง ไม่รู้ว่าเสี่ยงเพียงใด หวังทงยังมีบุญคุณกับนาง นางเป็นฮูหยินท่านโหว ย่อมเป็นการทำให้หวังทงตกต่ำ นานวันเข้า เกรงว่าคงได้แต่ตายสถานเดียว
ตอนนี้ให้นางเป็นภรรยาสาม เป็นสถานะภรรยาน้อย แต่ก็เรียกได้ว่าได้ที่พักพิงแท้จริง หวังทงเป็นคู่ครองที่ดี ตนเองไม่ต้องตกเป็นขี้ปาก หญิงคณิกาได้เป็นภรรยาน้อย เป็นเรื่องปกติ
“กระหม่อมหวังทงและภรรยาขอบพระทัย ขอจงทรงพระเจิรญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !”
ราชโองการแก้ไข งานแต่งหวังทงก็ไม่เป็นเรื่องตลกอีก หานเสียกับจางหงอิงเป็นหญิงที่ดี บริสุทธิ์ เป็นภรรยาเอกและภรรยารอง ก็เหมาะสมอยู่ แผ่นดินหมิงก็มีชนชั้นสูงแต่งสตรีดียากจน ก็ไม่แปลก แล้วก็แต่งภรรยาน้อยคนงาม ซ่งฉานฉานอายุมากสักหน่อย แต่ก็งดงาม และยังมีความสามารถเฉลียวฉลาด เป็นผู้สามารถปกครองบ้านได้ เข้าใจเรื่องเมืองหลวงดี ย่อมเป็นกำลังช่วยเหลือหวังทงไม่น้อย
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มพยักหน้า ตรัสสุรเสียงดังว่า
“สร้างครอบครัว ตั้งใจทำงาน หวังทงวันนี้เจ้าสร้างครอบครัวแล้ว วันหน้าสามารถสร้างความชอบใหญ่ให้ได้อีกจึงจะดี!”
ประทัดจุดดังพร้อมกัน เสียงกลองฆ้องดังกระหึ่ม งานมงคลเริ่มแล้ว
*************
หากไม่พูดถึงฮ่องเต้ ไม่พูดถึงพวกหลี่หู่โถว ขุนนางชนชั้นสูงเมืองหลวงที่มีสถานะพอจะมาดื่มสุรามงคลอวยพรหวังทงได้ ก็มากันหมด รอจนงานเลี้ยงเสร็จถึงตอนเข้าหอ หวังทงก็เริ่มเดินโงนเงนไปมา
ภรรยาทั้งหมดไปรออยู่ที่ห้องแล้ว หวังทงกลับเดินไปส่งแขก ทนจนใกล้จะจบ ฟ้าก็มืดแล้ว หวังทงบอกว่าต้องไปห้องหนังสือรอให้สร่างเมาก่อน หยางซือเฉินประคองไป
เดินได้ครึ่งทาง หยางซือเฉินก็โบกมือให้พวกผู้คุ้มกันออกไปไกลสักหน่อย ก่อนจะลังเลครู่หนึ่ง กระซิบว่า
“ใต้เท้า แม้วันนี้มีราชโองการเช่นนี้ แต่ความคิดระแวงป้องกัน…”
สองตาหวังทงแดงก่ำ ปากยังเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา เสียงแหบพร่าตัดบทหยางซือเฉินว่า
“ฝ่าบาททรงกำราบตึงแล้วผ่อน ฟ้าฟาดเปรี้ยงใส่ ล้วนเป็นพระเมตตา ใช่หรือไม่…….ข้าทำมามากมายเพียงนี้ เหลือเกินจริง….. ”
หวังทงยิ้มออก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น