ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 818-819
ตอนที่ 818 ตะวันมืด
สามคนที่เหลือสีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงเช่นเดียวกัน เห็นชัดว่าพวกเขาถูกไอเย็นประหลาดสายนี้แช่แข็งไม่ต่างกัน ชายหนุ่มรถเงินผู้มีร่างเนื้ออ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาถึงขั้นมีน้ำแข็งขาวโพลนชั้นหนึ่งปกคลุมนอกร่างในพริบตา
หลังหลิ่วหมิงเห็นว่าฝ่ามือยักษ์กลางอากาศกำลังจะตบลงมา สีหน้าก็เปลี่ยนไปมาหลายหน เขากัดฟันทันที ตั้งใจจะปลดปล่อยวิชาสายฟ้าสวรรค์บางส่วนที่ถูกผนึกอยู่ในร่างออกมาโจมตีสุดชีวิต
ส่วนหลัวเทียนเฉิงกับบุรุษผมม่วง คนหนึ่งร่างกายฉับพลันขยายพรวด รอบร่างแสงสีเงินสว่างจ้า ส่วนอีกคนหนึ่งบนผิวมีลวดลายจิตวิญญาณสีดำเหลืองนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา เส้นผมสีม่วงทั้งศีรษะส่งเสียงดัง “พรึ่บ” ทีหนึ่งก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีม่วงลุกโหม
เห็นชัดว่าทั้งสองคนนี้ก็ไม่มีทางเลือก คิดจะใช้วิชาดิ้นรนสุดชีวิตเช่นกัน
ทว่าในเวลานี้เอง เสียง “เปรี้ยง” ดังสั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น!
กลางอากาศเหนือฝ่ามือยักษ์ฉับพลันมีเส้นแสงสีขาวส่องสว่าง เสียงหวีดหวิวดั่งอสนีบาตคำรนพุ่งแล่นลงมา
“เกิดอะไรขึ้น!”
ตรีศูลโลหิตตกตะลึงเงยศีรษะขึ้นมองทันที
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นทีหนึ่ง
แสงสีขาวเจิดจ้าจับตาสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกมาจากในเส้นแสงสีขาวกลางท้องฟ้า โจมตีลงบนผ่ามือยักษ์สีเลือดประหนึ่งสายฟ้าแลบในทันใด
เสียงแผ่วเบาดังขึ้นทีหนึ่งก็เห็นฝ่ามือยักษ์สีเลือดที่ดูเหมือนทรงพลังไม่อาจหยั่งกลับถูกแสงสีขาวพุ่งทะลุ แตกกระจายส่งเสียงดังสนั่นกลายเป็นแสงสีขาวจุดแล้วจุดเล่าหายไปกลางอากาศ
พวกหลิ่วหมิงสี่คนรู้สึกเพียงไอเย็นเยียบในร่างสลายไป ร่างกายเบาโหวง ฟื้นกลับมาขยับได้อีกครั้ง
ทั้งสี่คนยังไม่ทันได้เผยสีหน้ายินดี แสงสีขาวกลางท้องฟ้าพริบตาก็แยกออกไปทางซ้ายขวากลายเป็นรูปบานประตูสีขาวขมุกขมัวบานหนึ่ง จากนั้นเงาคนพร่าเลือนสามร่างก็บินออกมาจากด้านใน
ปราณมหาศาลประหนึ่งจักรวาลสายหนึ่งฉับพลันโถมออกมาจากตัวทั้งสามคน กวาดแรงกดดันน่าหวาดกลัวที่แผ่ออกมาจาตรีศูลโลหิตไปเกลี้ยงแทบจะในพริบตา
หลังพวกหลิ่วหมิงรีบร้อนเพ่งสายตามองคนทั้งสามแล้วยินดีคลุ้มคลั่งในทันใด
พวกเขาเห็นสองคนในนั้นใบหน้าสวมหน้ากากทองแดงกับอาภรณ์ไหมทั้งร่าง ทูตแห่งวังสวรรค์ที่นำศิษย์แต่ละนิกายเข้ามาในงานประตูสวรรค์ก่อนหน้านี้นั่นเอง
ผู้เฒ่าชุดขาวผมขาวผู้นั้นตรงกลางระหว่างทั้งสองคนก็คือผู้เฒ่าเทียนเหอผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์จากวังสวรรค์ที่เคยเผยหน้าออกมาครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้
หลังสายตาของทั้งสามคนกวาดมองสถานการณ์เบื้องหน้า ในดวงตาของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีก็ฉายแววตกตะลึง ส่วนสองตาของผู้เฒ่าเทียนเหอประหนึ่งสายฟ้า กวาดพรึ่บเดียวจับจ้องพวกตรีศูลโลหิตสามตัวที่อยู่ไม่ไกลแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ หนึ่งประโยค
“ข้าว่าแล้วในแดนลึกลับจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร เป็นอย่างที่คิดพวกเจ้าสัตว์ประหลาดสามตัวก่อเรื่องจริงๆ พวกเจ้าสามตัวนี่ก็นะ ร่างต้นถูกวังสวรรค์สะกดไว้นานเช่นนี้กลับยังมีความสามารถสร้างร่างแปลงออกมาสร้างความวุ่นวายอีก!”
“ผู้เฒ่าเทียนเหอ!” ตรีศูลโลหิตเห็นผู้เฒ่าผมขาวก็ตวาดเสียงดังคำหนึ่ง ชั่วพริบตาสองตาแดงฉานประหนึ่งจะพ่นไฟ ทว่าต่อจากนั้นตรีศูลสีดำในมือมันก็เหวี่ยงใส่อากาศ แหวกช่องว่างช่องหนึ่งแล้วขยับร่างคิดจะหนีเข้าไปด้านใน
ชวีเหยากับหนอนประหลาดเผ่าหนอนผีเสื้อก็สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากด้วย ไม่พูดพร่ำหมุนตัวอยากจะหนีเข้าไปในรอยแยกเช่นกัน
ผู้เฒ่าเทียนเหอสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เห็นเขาขยับมือ เพียงแค่อ้าปากทีหนึ่ง แสงสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งออกมาประหนึ่งสายฟ้าแลบ ออกมาทีหลังแต่กลับจมลงในรอยแยกมิติที่ตรีศูลโลหิตแหวกออกก่อน
เสียง “ฟู่” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
บนรอยแยกมิติฉับพลันส่องแสงสีขาวสว่างจ้าประสานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เนื่องจากเหตุผลิกผันครั้งนี้เกิดขึ้นในเวลาชั่วสะเก็ดไฟแลบ พวกตรีศูลโลหิตสามตัวจึงโถมเข้าใส่ความว่างเปล่าในทันใด
ทั้งสามตัวตกตะลึง พุ่งเร็วรี่กลายเป็นลำแสงหนีไปยังทิศทางต่างๆ ทันที
ผู้เฒ่าเทียนเหอแค่นเสียงหยันทีหนึ่งแล้วม้วนแขนเสื้อยาว กระบี่บินทรงกระสวยสีขาวเล่มหนึ่งบินออกมาทันที
กระบี่นี้แบ่งเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นลวดลายยันต์โบราณ อีกด้านหนึ่งเป็นอักขระรูปนกแผ่อยู่เต็ม ส่วนปลายด้ามกระบี่เป็นหัวสัตว์หัวหนึ่ง ดูหน้าตาคล้ายมังกรแต่ไม่ใช่มังกร คล้ายกิเลนแต่ก็ไม่ใช่กิเลน แผ่ปราณมงคลออกมาแตกต่างจากกระบี่บินปกติ
เสียง “วิ้ง” ดังขึ้นทีหนึ่ง กระบี่บินรูปกระสวยก็ระเบิดแสงรัศมีสีขาวเกือบร้อยสายออกมา แสงสีขาวเหล่านี้ปรากฏขึ้นปุบก็โต้ลมขยายใหญ่ พริบตาเดียวกลายเป็นกระบี่บินสีขาวยาวหลายจั้งกว่านับร้อยเล่ม พร่าเลือนวูบหนึ่งหายไปไร้ร่องรอยจากที่เดิมในทันใด
ครู่ต่อมาอากาศใกล้ๆ พวกตรีศูลโลหิตสามตัวก็ไหวกระเพื่อม กระบี่บินมากมายถี่ยิบลอยออกมาเรียงเป็นแถวประหลาดขังทั้งสามตัวไว้ด้านใน
“ค่ายกลกระบี่!”
หลิ่วหมิงดูมาถึงตรงนี้ ในใจก็พรั่นพรึง
ผู้เฒ่าเทียนเหอผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่คนหนึ่งเช่นกัน นอกจากนี้ยังฝึกฝนพลังชนิดหนึ่งที่คล้ายกับเงากระบี่แยกแสง มิเช่นนั้นเขาคงไม่อาจอาศัยกระบี่บินวางค่ายกลกระบี่ใหญ่โตเช่นนี้ออกมาได้ในเฮือกเดียว
“ผู้เฒ่าเทียนเหอ ท่านรังแกกันมากเกินไปแล้ว!”
ในดวงตาตรีศูลโลหิตทอประกายดุดัน มันคำรามเสียงดังทีหนึ่ง ไอหมอกสีเลือดหนาทึบบนร่างก็ระเบิดแสงสีเลือดเส้นแล้วเส้นเล่าออกมา หลังจากนั้นโดมแสงสีเลือดขมุกขมัวอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ปกป้องทั้งสามตัวไว้ด้านใน
ผู้เฒ่าเทียนเหอแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง กระบี่บินทั้งหมดก็สั่นไหวพร้อมกัน ปราณกระบี่ยาวหนึ่งจั้งกว่านับร้อยสายพุ่งออกมาจากค่ายกลกระบี่กลายเป็นเงากระบี่มากมายพุ่งไปฝั่งตรงข้าม
เสียงเปรี้ยงสะเทือนฟ้าสะเทือนดินระลอกหนึ่งดังขึ้น!
ปราณกระบี่สีขาวเต็มฟ้ากลบแสงสีเลือดไว้ด้านในจนมิด โดมแสงสีเลือดต้านทานได้เพียงสองลมหายใจก็แตกกระจุย พวกตรีศูลโลหิตสามตัวกรีดร้องทีหนึ่งก็ถูกปราณกระบี่ฟันจนสลายหายไป
“ผู้เฒ่าเทียนเหอพลังเวทลึกล้ำ ท่านผู้เฒ่าลงมือ พวกต่างเผ่ากระจอกๆ สามตัวก็อยู่ในกำมือ” บุรุษผน้ากากทองแดงเห็นเช่นนี้ก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อมทันที
ผู้เฒ่าเทียนเหอกลับสีหน้านิ่งสนิทประหนึ่งไม่ได้ยินคำพูดของบุรุษหน้ากากทองแดง สนใจเพียงมนตร์ที่ท่องออกจากปากตนเท่านั้น
บุรุษหน้ากากทองแดงถอยหลังกลับไปอย่างกระอักกระอ่วน ทูตสตรีอีกผู้หนึ่งมองผู้เฒ่าเทียนเหอแล้วในดวงตาก็เผยแววตากังวลออกมาเช่นกัน
ทันใดนั้นปากที่เอ่ยท่องมนตร์ของผู้เฒ่าเทียนเหอก็หยุด สองมือยกขึ้นขนานกันตรงหน้าอก ขยับสะบัดคล้ายช้าแต่ก็คล้ายเร็ว
นาทีต่อมาแสงรัศมีสีเทาขาวก็ส่องสว่างบนร่างเขา สองตาของเขาปกคลุมด้วยแสงสีขาวแวววาวชั้นหนึ่ง
ต่อจากนั้นเสียงเปรี้ยงดังประหนึ่งอสนีบาตคำรามก็ดังมาจากท้องฟ้า เริ่มแรกแผ่วเบาอย่างยิ่ง แต่ชั่วพริบตาเสียงก็ยิ่งดังขึ้นทุกที ราวกับอสนีบาตระเบิดกึกก้องเหนือศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า พาให้มิติรอบด้านสั่นสะเทือนตาม
บนหน้าพวกหลิ่วหมิงสี่คนเปลี่ยนสีหน้า ไม่ทราบว่าผู้เฒ่าเทียนเหอใช้วิชาลับอันใด ชั่วขณะทำอันใดไม่ถูกอยู่บ้าง
“ตะวันมืด!”
ผู้เฒ่าเทียนเหอมือข้างหนึ่งชี้ท้องฟ้า กลางท้องฟ้าพริบตาแยกออกเป็นรอยแยกร้อยพันเส้น แสงสีขาวแสบตาทะลุลงมา
แสงสีขาวเต็มไปด้วยความอบอุ่น ร้อนระอุและความรู้สึกมหาศาล
เลือดเนื้อบนพื้นดินถูกแสงสีขาวส่องก็ส่งเสียงดังชี่ออกมาในทันใด ควันสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าผุดออกมาคล้ายใกล้ถูกเผา
พวกหลิ่วหมิงสี่คนรีบยกมือปิดสองตา ไม่กล้าเงยศีรษะลืมตาสักนิด แสงสีขาวแสบตาอย่างที่สุด เงยศีรษะเวลานี้เกรงว่าครู่เดียวสองตาคงถูกแสงสีขาวเผาบอด
เปรี้ยง!
มิติสีเลือดทั้งหมดสั่นไหวอย่างรุนแรง ทุกหนทุกแห่งล้วนปรากฏรอยแยกมิตินับไม่ถ้วนคล้ายกำลังจะพังทลายเดี๋ยวนี้
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชาอย่างไม่รู้ตัว ปราณดำบนร่างลอยออกมาล้อมรอบร่างของเขาเป็นรูปลูกบอล
แสงสีเหลืองสว่างวูบหนึ่ง โล่ดินหนาก็ถูกเขาเรียกออกมาปกป้องรอบร่างไว้
สามคนที่เหลือเวลานี้ก็ใช้สิ้นวิธีการ ทยอยเรียกวิชาป้องกันออกมาปกป้องทั้งร่างไว้เช่นกัน
เวลานี้เองแถบแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งก็บินมา แสงสีน้ำเงินสว่างวาบล้อมคนทั้งสี่ไว้ตรงกลาง เมื่อสว่างขึ้นอีกครั้งก็ลากทั้งสี่คนไปอยู่หลังร่างคนทั้งสามจากวังสวรรค์
บุรุษหน้ากากทองแดงเหวี่ยงมือสลายแสงสีน้ำเงินบนมือไป เห็นชัดว่าเป็นคนผู้นี้เองที่ลงมือลากพวกหลิ่วหมิงสี่คนเข้ามา
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งที่ลงมือช่วยเหลือ” ชายหนุ่มรถเงินมองบุรุษหน้ากากทองแดงอย่างซาบซึ้งแล้วประสานมือคำนับ
พวกหลิ่วหมิงสามคนเห็นเช่นนี้ก็คำนับขอบคุณตามเช่นกัน
บุรุษหน้ากากทองแดงโบกมือ แต่ไม่เอ่ยวาจา
“ผู้อาวุโส ยังมีอีกเจ็ดคนที่ถูกพาเข้ามาในมิติสีเลือดแห่งนี้ด้วยกันกับพวกเราสี่คน พวกเขาถูกกลืนเข้าไปในรังไหมเนื้อด้านล่าง” ชายหนุ่มรถเงินเห็นเนื้อบนพื้นกร่อนลงอย่างรวดเร็วจากการสาดส่องของแสงสีเขาว สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใดเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค
“เรื่องนี้พวกเราทราบแล้ว ไม่ต้องกังวล ประเดี๋ยวก็ช่วยพวกเขาออกมาได้แล้ว” บุรุษหน้ากากทองแดงเอ่ยเรียบๆ
ได้ยินคำนี้ ชายหนุ่มรถเงินก็ถอนหายใจยาวออกมา
หลิ่วหมิงก็สีหน้าผ่อนคลายลงเช่นกัน
ในเวลานี้เองแสงสีขาวกลางอากาศก็พลันสว่างขึ้นร้อยเท่า เบื้องหน้าหลิ่วหมิงฉับพลันสว่างแวววาวคล้ายทุกสิ่งมลายหายไป เพียงสัมผัสได้เลือนรางว่าเหนือศีรษะปรากฏดวงตะวันยักษ์ที่คล้ายจะคับเต็มท้องนภาดวงหนึ่ง แสงสีขาวสายแล้วสายเล่าวนเวียนอยู่บนตัวมัน พ่นเปลวไฟไม่หมดไม่สิ้นออกมาเป็นระยะ
กลิ่นอายของความสั่นคลอน อนันต์ เก่าแก่ โบราณ ยิ่งใหญ่ซึมเข้ามาในหัวใจของหลิ่วหมิง
ผู้เฒ่าเทียนเหอสะบัดมือทีหนึ่งคล้ายจะดึงดวงตะวันบนท้องฟ้าลงมาตรงๆ
เสียงเปรี้ยงดังขึ้น มิติสีเลือดกลายเป็นประกายแสงสีแดงนับไม่ถ้วนพังทลายออกทันที
หลังภาพรอบด้านพร่าเลือนไปชั่วครู่ ทุกคนก็ปรากฏตัวขึ้นในมิติสีเทาขมุกขมัวอีกแห่งหนึ่ง
ดวงตะวันใหญ่โตประหนึ่งเนินเขาลอยอยู่เหนือศีรษะทุกคน เทียบกันแล้วพวกหลิ่วหมิงเล็กกระจ้อยประหนึ่งมดปลวก
ผู้เฒ่าเทียนเหออาบอยู่กลางแสงสีขาว เสื้อบนร่างขยับไหวเองทั้งที่ไร้ลม ปราณมหาศาลของระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์แผ่ออกมาส่องสว่างประสานกับดวงตะวันยักษ์บนท้องฟ้า
เสวียนอิง เสวียนอู่สองทูตแห่งวังสวรรค์ มองเงาร่างของผู้เฒ่าเทียนเหอ ในดวงตาฉายแววเคารพและอิจฉาจางๆ
แต่สำหรับชนรุ่นหลังระดับผลึกสี่คนอย่างหลิ่วหมิง คลื่นน่าตะลึงที่ดวงตะวันเหนือศีรษะแผ่ออกมาแทบจะทำให้หัวใจของทั้งสี่คนสั่นสะท้าน
บุรุษหน้ากากทองแดงเหลือบตามองทั้งสี่คนทีหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อ แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งกระจายออกมาครอบทั้งสี่คนไว้
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าสมองเบาลงในทันใด ต่อจากนั้นหนอนพลังจิตบนร่างก็ส่งพลังจิตบริสุทธิ์สายหนึ่งมา แววตาจึงฟื้นกลับมากระจ่างใสเป็นคนแรก
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งที่ช่วยเหลือ” หลิ่วหมิงประดุจแรกตื่นจากฝัน เขาถอนหายใจยาวออกมา รีบค้อมกายคำนับไปทางบุรุษหน้ากากทองแดงอีกหน
บุรุษหน้ากากเห็นหลิ่วหมิงฟื้นกลับมาเป็นปกติเร็วเช่นนี้ก็พยักหน้าอย่างคิดไม่ถึงเล็กน้อย
หลังจากนั้นบุรุษผมม่วง หลัวเทียนเฉิง ชายหนุ่มรถเงินก็ได้สติตามกันมา
ตอนนี้เองอากาศเบื้องล่างของพวกเขาก็ขยับกระเพื่อม ก้อนแสงสีขาวเจ็ดก้อนที่ล้อมเงาร่างคนไว้ปรากฏขึ้น นั่นคือพวกโอวหยางเชี่ยนเจ็ดคนที่ถูกมิติสีเลือดกลืนไปนั่นเอง
เสวียนอิงทูตสตรีจากวังสวรรค์สะบัดมือ แสงสีเงินเรืองรองเจิดจ้าซัดออกมาติดกันเป็นพรวน รั้งทั้งเจ็ดคนเข้ามา
เจ็ดคนนี้อยู่ในสภาพหมดสติทุกคน สภาพปราณแผ่วเบา แต่ดีเลวก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิต
ผู้เฒ่าเทียนเหอก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง มองไปยังจุดหนึ่งในมิติสีเทา บนหน้าฉับพลันเผยรอยยิ้มหยันจางๆ
หลังจากนั้นแขนของเขาก็พร่าเลือนวูบหนึ่ง หนึ่งฝ่ามือฟันออกมาจากบนท้องฟ้าสูงอย่างไม่มีสัญญาเตือน
แสงแวววาวหนาอย่างที่สุดสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือ ปราณสีเทาไม่หมดสิ้นปั่นป่วน คลื่นกระแทกถูกส่งออกไป แหวกอุโมงค์มิติเส้นหนึ่งออกกว้าง
สุดปลายอุโมงค์มิติมองเห็นสิ่งก่อสร้างสีดำสูงใหญ่สามแห่งอยู่เลือนราง ด้านบนแหลมด้านล่างกลมประหนึ่งชามสีดำมหึมาใบหนึ่งคว่ำอยู่บนพื้น มองชั่วแวบคล้ายสุสานสามแห่ง อึมครึม ลึกลับวังเวง ทำให้คนรู้สึกประหลาดหยั่งไม่ถึงบางอย่าง
ตอนที่ 819 โซ่เพลิงลี้ลับพันธนาการสวรรค์
พลังสายตาของหลิ่วหมิงมองได้ไกลอย่างที่สุด บนสุสานทั้งสามเขามองเห็นอักษรยักษ์คำว่า “ผนึก” ตัวหนึ่งอยู่เลือนราง ทว่ามันหม่นแสงยิ่งนักดั่งเปลวเทียนกลางสายลม พร้อมจะดับตลอดเวลา
“ผนึกใกล้วิกฤติแล้วจริงๆ พวกเจ้าสามตัวรนหาที่ตายเอง อย่าได้โทษข้าเลย!”
ผู้เฒ่าเทียนเหอใบหน้าประหนึ่งน้ำแข็ง มือใหญ่คว้าทีหนึ่ง ดวงตะวันมหึมาเหนือศีรษะก็ระเบิดเปลวไฟหนาสามเส้นออกมาในทันใด มันเปลี่ยนรูปร่างหลายหนจนกลายเป็นมือยักษ์สีขาวค้ำฟ้าสามฝ่ามือ พริบตาเดียวตบลงบนสุสานทั้งสาม
“ป้าบ” เสียงแผ่วเบาสามครั้งแทบจะดังออกมาพร้อมกัน อักษรคำว่า “ผนึก” บนสุสานทั้งสามส่งเสียงดังกึกก้องแล้วสลายไป
ผู้เฒ่าเทียนเหอทำลายผนึกด้วยตนเอง!
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!
สุสานทั้งสามสั่นไหว เสียงปึงดังขึ้นแล้วระเบิดออก แต่ละแห่งระเบิดปราณดำหนาประหนึ่งภูเขาลูกหนึ่งออกมาต้านมือยักษ์ค้ำฟ้าที่ตบลงมา
“ก๊าก ก๊าก ก๊าก! ผู้เฒ่าเทียนเหอ เจ้าก็แค่ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ขั้นต้นคนหนึ่ง ถึงกับทำลายผนึกครรภธาตุด้วยตัวเอง ไม่มีผนึกเหนี่ยวรั้ง เจ้าคิดว่าจะหนึ่งสู้สาม กำจัดพวกเราสามตนได้หรือ”
เสียงเสียดหูประหนึ่งโลหะเสียดสีกันดังขึ้นท่ามกลางปราณสีดำ ฟังจากเสียงนี้เห็นชัดว่าคือตรีศูลโลหิต
ปราณดำสามสายเปลี่ยนไปมาอย่างต่อเนื่อง ฟันมือยักษ์สีขาวทั้งหมดจนกระจุย
ปราณดำกะพริบวูบหนึ่ง ร่างกายของพวกตรีศูลโลหิตสามตัวก็ปรากฏออกมา
หนอนสีน้ำเงินมหึมายาวร้อยจั้งตัวหนึ่งส่องแสงสีน้ำเงินวูบวาบรอบร่าง หัวอวบอ้วนมีรูอากาศแถวหนึ่ง สองตาแดงฉานดั่งเลือด ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวคล้ายจะเงอะงะอย่างยิ่ง แต่ความจริงเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ
ข้างกายมันคือตะขาบยักษ์ขนาดใกล้เคียงกันตัวหนึ่ง เปลือกแต่ละข้อมันวาวสะท้อนแสง แลดูแข็งแกร่งประหนึ่งหินผา คล้ายกับว่าใต้หล้าไม่มีสิ่งใดโจมตีทำลายมันได้
แล้วยังมีเงาร่างมนุษย์สีเลือดมหึมาที่มีปีกคู่หนึ่งบนแผ่นหลังอีกร่างหนึ่ง รอบร่างถูกไอหมอกสีเลือดหนาทึบครอบคลุมอยู่ หน้าตาพร่าเลือนเห็นไม่ชัดอยู่บ้าง หางมหึมาสะบัดไปมา จุดที่วาดผ่านอากาศส่งเสียงดังฟึ่บฟั่บพักหนึ่ง
ปราณบนร่างทั้งสามรวมเข้าด้วยกันทะลุผ่านอุโมงค์มิติมา กดดันประหนึ่งจะโค่นขุนเขาคว่ำมหาสมุทร
แม้พวกหลิ่วหมิงสี่คนมีบุรุษหน้ากากทองแดงขวางอยู่เบื้องหน้าก็ยังรู้สึกอึดอัดวูบหนึ่ง
ผู้เฒ่าเทียนเหอเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มหยัน มือข้างหนึ่งกำสบายๆ ทีหนึ่ง มิติสีเทาฉับพลันก็เริ่มบิดเบี้ยวสั่นสะเทือน
ทั้งมิติมีทีท่าว่าจะยุบถล่มโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง!
ต่อจากนั้นหลุมสีดำหลุมแล้วหลุมเล่าก็เปิดออกกลางฝ่ามือของเขา โซ่สีแดงหม่นเส้นแล้วเส้นเล่าฉับพลันพุ่งออกมาหลุมประหนึ่งตาข่ายฟ้า พริบตาพันธนาการพวกตรีศูลโลหิตสามตัวไว้
“โซ่เพลิงลี้ลับพันธนาการสวรรค์! ผู้เฒ่าเทียนเหอ เจ้าถึงกับใช้สมบัติแห่งจิตวิญญาณลี้ลับ!”
ทันใดนั้นตรีศูลโลหิตตวาดเสียงดุดัน แสงสีเลือดบนร่างสว่างจ้า ดิ้นรนไม่หยุด
อีกสองตัวที่เหลือก็กรีดร้องไม่หยุดเช่นกัน ทว่าแสงสีแดงอ่อนที่โซ่สีแดงหม่นเปล่งออกมาทำให้ทั้งสามตัวดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจหลุดเป็นอิสระได้
มือผู้เฒ่าเทียนเหอตั้งท่าเคล็ดวิชาจากนั้นก็สะบัดทีหนึ่ง แสงสีแดงฉานเส้นหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกจากมือร่วงลงบนโซ่สีแดงหม่นที่มัดทั้งสามตัวอยู่ ทันใดนั้นโซ่ทั้งเส้นก็ส่องสว่าง
ต่อจากนั้นเสียงท่องมนตร์งึมงำยากเข้าใจก็ดังออกมาจากปากของผู้เฒ่าเทียนเหอช้าๆ
โซ่สีแดงหม่นฉับพลันฉายแสงเปลวไฟสว่างจ้า พร้อมกันนั้นคลื่นเปลวเพลิงประหนึ่งท่วมฟ้าสายแล้วสายเล่าก็บินพุ่งออกมาจากด้านในโซ่ รอบร่างพวกตรีศูลโลหิตสามตัวเกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ เสียงคำรามโหยหวนดังออกมาไม่หยุด
เดิมทีทั้งสามตัวยังดิ้นรนได้อยู่บ้าง ทว่าเมื่อคลื่นเปลวเพลิงนี้แผดเผา ทันใดนั้นกระทั่งกระดิกสักนิดก็ไม่อาจทำได้แล้ว
“มา!”
มือใหญ่ของผู้เฒ่าเทียนเหอยื่นออกมาจากในแขนเสื้อแล้วคว้ารุนแรงไปยังอากาศด้านหน้า
โซ่สีแดงหม่นลากดึงทีหนึ่ง ร่างต้นของพวกตรีศูลโลหิตสามตัวก็ถูกลากเข้ามาในมิติสีเทา ร่วงตรงดิ่งลงบนพื้นที่ว่างห่างจากหน้าร่างผู้เฒ่าเทียนเหอไปสิบกว่าจั้งทันที
“จงดับสูญ!”
ยังไม่ทันที่พวกตรีศูลโลหิตสามตัวจะเอ่ยปาก ผู้เฒ่าเทียนเหอก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง เสื้อสีขาวสะบัดจนเกิดเสียง หนวดเคราสีขาวอ้าออกตวาดเบาๆ อย่างโกรธเกรี้ยว แสงสีขาวก้อนหนึ่งในมือฉับพลันลอยหลุดออกจากมือ หมุนติ้วก่อตัวเป็นวังน้ำวนสีขาวขยายหดไม่หยุด พุ่งเร็วรี่ไปยังดวงตะวันสีขาวเบื้องบน
ดวงตะวันยักษ์เหนือศีรษะก็หมุนวนตามมัน ทั้งยังพ่นลำแสงยักษ์เส้นผ่านศูนย์กลางหลายจั้งสายหนึ่งลงมาเบื้องล่าง โจมตีเข้าใส่พวกตรีศูลโลหิตสามตัวในทันใด
พลังจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินอันมหาศาลอย่างยิ่งสายหนึ่งสาดลงมาจากดวงตะวันบนท้องฟ้า นอกจากนี้ยังซัดออกมาสี่ด้านแปดทิศโดยมีลำแสงสีขาวเป็นศูนย์กลาง
เวลานี้ราวกับว่าดวงตะวันดวงนี้บนท้องฟ้าเป็นศูนย์กลางของโลก ผู้ครอบครองสรรพชีวิต
แม้ผู้เฒ่าเทียนเหอจะเล็กกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับดวงตะวันยักษ์ดวงนี้ ทว่ากลับทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกวาเขาควบคุมดวงตะวันดวงนี้ได้อย่างสิ้นเชิง!
ไม่ว่าพวกหลิ่วหมิงสี่คนหรือทูตทั้งสองจากวังสวรรค์ เวลานี้ล้วนอดไม่ได้เกิดความรู้สึกต้องการจะคุกเข่าหมอบกราบขึ้นมา
“เปรี้ยง” เสียงดังสนั่นสะเทือนแก้วหูแทบดับดังขึ้น!
ในที่สุดลำแสงสีขาวก็ร่วงลงบนร่างของพวกตรีศูลโลหิตทั้งสามตัว ดวงตะวันเจิดจ้าสีขาวเส้นผ่านศูนย์กลางหลายจั้งอีกดวงหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็กลืนพวกตรีศูลโลหิตสามตัวไปด้านใน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างถึงสิบกว่าจั้งแล้ว
หลิ่วหมิงหรี่สองตาลงเล็กน้อย มองเห็นลางๆ ว่าใจกลางดวงตะวันเจิดจ้ามีเงาร่างสามร่างขยับไหวอยู่ พอมองออกว่าเป็นพวกตรีศูลโลหิตสามคน แต่เวลานี้พวกมันคล้ายถูกพลังมหาศาลบางอย่างบีบอัด ร่างกายหดเล็กบิดเบี้ยวผิดรูปไม่หยุด!
“ปัง ปัง ปัง” เสียงแผ่วเบาสามครั้งดังออกมา!
ร่างกายของพวกตรีศูลโลหิตสามตัวในที่สุดก็ทนรับแรงกดดันของพลังมหาศาลสายนี้ไม่ได้ ถูกบีบอัดจนระเบิดตามต่อกัน กลายเป็นเลือดเนื้อปลิวว่อนขนาดไม่เท่ากันนับไม่ถ้วน
เลือดเนื้อเหล่านี้ถูกพลังมหาศาลบีบอัดต่อเนื่องท่ามกลางแสงสีขาวจนระเบิดไม่หยุด ท้ายที่สุดจึงกลายเป็นควันสีเขียวสายแล้วสายเล่า มลายหายไปไร้ร่องรอย
สัตว์ประหลาดต่างโลกที่พลังลึกล้ำไม่อาจหยั่งสามตัว หายไปจากโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ในเวลาเพียงชั่วครู่
พวกหลิ่วหมิงด้านหลังร่างผู้เฒ่าเทียนเหอประจักษ์การลงมือของผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ครั้งนี้กับตาตนเอง มองดูจนตระหนกขวัญสะท้าน เปิดหูเปิดตาอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เฒ่าชุดขาวผู้น่าเกรงขามโดยไม่ต้องมีโทสะ สองสามท่าก็สังหารพวกต่างเผ่าระดับเดียวกันสามตัวได้ทันที แม้หยิบยืมพลังจากโซ่สีแดงหม่นเส้นนั้น แต่ความยิ่งใหญ่ของพลังของเขาก็ยังเหนือกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้ไปมากมายนัก
ผู้เฒ่าเทียนเหอกวาดสายตามอง หลังแน่ใจว่าศพและวิญญาณของพวกต่างเผ่าสามตัวกลับคืนสู่ความว่างเปล่าหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้ถึงถอนหายใจแผ่วเบา
เขาสะบัดมือข้างหนึ่ง ดวงตะวันเจิดจ้าสีขาวเบื้องหน้าพลันสลายตัวกลายเป็นแสงสีขาวจุดแล้วจุดเล่า โซ่สีแดงหม่นส่งเสียงดัง “ฟึบ” ทีหนึ่งก็พุ่งมุดเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
นาทีต่อมาดวงตะวันยักษ์ที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าก็กลายเป็นแสงสีขาวนับหมื่นสายกระจายไปรอบด้าน ครู่เดียวก็หายไปจากกลางท้องฟ้า
มือข้างหนึ่งของผู้เฒ่าเทียนเหอกวักขึ้นข้างบนอย่างสบายๆ แสงสีขาวเส้นหนึ่งก็จมลงในมือของเขา หลังแสงสีขาวดับหายไปจึงปรากฏกระจกผลึกสีขาวดูผุผังบานหนึ่ง
สายตาหลิ่วหมิงมองไปทางกระจกผลึกบนมือของผู้เฒ่าเทียนเหอแวบหนึ่ง เห็นด้านบนวาดภาพดวงตะวันที่ค่อนข้างโบราณดวงหนึ่งไว้คล้ายภาพสัญลักษณ์บางอย่าง นอกจากนี้ก็ไม่มีจุดใดประหลาดอีก
เขากำลังจะพินิจให้ละเอียดอีกหน ผู้เฒ่าเทียนเหอก็พลิกมือเก็บกระจกบานนี้ไปเสียแล้ว
“ยินดีกับผู้อาวุโสที่ประหัตประหารปีศาจสามตัวนี้ได้!” เสวียนอู่กับเสวียนอิงสองคนสบตากันแล้วก้าวสองก้าวไปข้างหน้า ประสานมือให้ผู้เฒ่าเทียนเหอจากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนอบน้อมทันที
บนหน้าผู้เฒ่าเทียนเหอกลับไม่มีสีหน้ายินดีแม้แต่น้อย หลังโบกมือให้ทั้งสองคนก็หมุนตัวมองมาหาพวกหลิ่วเหอสี่คนแล้วเอ่ยเรียบๆ
“ครั้งนี้ในแดนลึกลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น งานประตูสวรรค์จะสิ้นสุดเท่านี้ เสวียนอู่ เรื่องต่อจากนี้ยกให้เจ้าจัดการ!”
“ศิษย์รับคำสั่ง!” บุรุษหน้ากากทองแดงได้ยินก็รีบร้อนเอ่ยตอบ
ผู้เฒ่าเทียนเหอพยักหน้า บนใบหน้าฉับพลันเผยสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาไม่พูดคำใดอีก มือข้างหนึ่งที่มีประกายแสงสีขาววิบวับก็ยกขึ้นเบาๆ
ทันใดนั้นกลางอากาศด้านข้างก็ปรากฏเส้นสีขาวยาวหนึ่งจั้งกว่าเส้นหนึ่ง เส้นสีขาวฉับพลันแยกออกซ้ายขวาเผยเส้นทางเส้นหนึ่งออกมา สิ่งที่เข้าสู่สายตาล้วนเป็นแสงสีขาวแถบหนึ่ง
ร่างกายของผู้เฒ่าเทียนเหอโฉบจมเข้าไปในทางเส้นนี้ หายไปไร้ร่องรอย
พร้อมกับที่ผู้เฒ่าเทียนเหอเข้าไป ทันใดนั้นเส้นสีขาวก็ปิดลงต่อหน้าทุกคน
เสวียนอู่กับเสวียนอิงยังคงรักษาท่าทางนอบน้อมอยู่ตลอด หลังรอจนผู้เฒ่าเทียนเหอจากไปแล้วถึงยืดกายขึ้น
เสวียนอู่สะบัดมือข้างหนึ่ง แสงเรืองรองสีขาวแถบหนึ่งม้วนออกมาครอบพวกหลิ่วหมิงสิบเอ็ดคนที่เข้ามาในแดนแห่งมรดกไว้ด้านในทั้งหมดทันที
ในเวลาเดียวกันนี้ นอกจากพวกหลิ่วหมิงสี่คน เจ็ดคนที่เหลือซึ่งหมดสติไปเวลานี้ก็ทยอยได้สติขึ้นมาแล้ว มีหลายคนได้เห็นภาพผู้เฒ่าเทียนเหอสังหารพวกต่างเผ่าตอนสุดท้ายด้วยตาตนเอง บนใบหน้ายังคงมีสีหน้าตกตะลึงจางๆ ไม่หาย
แต่ใครก็ไม่ทันสังเกตว่าตรงหน้าอกที่ถูกเสื้อผ้าปกปิดอยู่ของศิษย์อัปลักษณ์แห่งนิกายปีศาจลี้ลับ มีหนอนน้อยสีแดงสดยาวไม่กี่ชุ่นตัวหนึ่งเกาะอยู่
หนอนตัวนี้ร่างกายยาวเรียว มีกรงเล็บหน้าตาคล้ายหนวดแปดเส้น ครึ่งค่อนร่างฝังลงไปใต้ผิวหนังของบุรุษอัปลักษณ์แล้วเผยออกมาเพียงส่วนหัว สองตาทอประกายสีเขียวลึกลับอย่างที่สุด
หลังจากนั้นหนอนน้อยสีแดงสดก็บิดร่างกาย มุดลงไปในผิวหนังอย่างช้าๆ
ศิษย์อัปลักษณ์แห่งนิกายปีศาจลี้ลับชะเง้อมองรอบด้าน ดูไปแล้วบนหน้ายังคงมีสีหน้าหงุดหงิดจางๆ แต่ไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบนหน้าอกของตนแม้แต่น้อย
ในเวลานี้เองหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปอยางเร็วไว หลังตรงหน้าพร่าเลือนไปวูบหนึ่ง พวกเขาก็หายไปจากในมิติสีเทาพร้อมกัน
ยอดเขาหิมะนอกแดนลึกลับประตูสวรรค์
เกาะยักษ์แห่งนั้นยังคงลอยตั้งตระหง่านอยู่กลางโดมแสงสีทองชั้นหนึ่งและหมุนวนเชื่องช้าไม่หยุด
กลางอากาศเบื้องหน้าเกาะ ก้อนแสงขนาดยักษ์ที่มีสีดำกับขาวเคียงคู่กันอยู่ก้อนนั้นก็หมุนวนเชื่องช้ากลางอากาศเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นแสงสีขาวเจิดจ้าแสบตาจุดหนึ่งก็สว่างขึ้นในก้อนแสงยักษ์
ครู่ต่อมาแสงสีขาวแถบหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านใน ร่อนลงบนพื้นที่ว่างบนเวทีตรงยอดเขาหิมะ
หลังแสงสีขาวดับลงก็เผยคนสิบกว่าคนด้านในออกมา คนที่นำหน้าสองคนก็คือเสวียนอู่กับเสวียนอิงสองทูตจากวังสวรรค์
ด้านหลังร่างทั้งสองคนคือพวกหลิ่วหมิงและบุรุษผมม่วง
เวลานี้รอบเวทีเหนือยอดเขาหิมะ ผู้คนจากนิกายต่างๆ ไม่น้อยรายล้อมอยู่มากมาย หลังเห็นพวกหลิ่วหมิงปรากฏตัวขึ้นก็ส่งเสียงฮือฮาในทันใด
เสวียนอู่กับเสวียนอิงปล่อยพวกหลิ่วหมิงลงแล้วก็ไม่รั้งรอขยับร่างวูบหนึ่ง แยกย้ายกันปรากฏตัวเบื้องหน้าป้ายศิลาโชคชะตา
ทั้งสองนั่งขัดสมาธิประจันหน้ากัน พร้อมกันนั้นมือข้างหนึ่งก็พลิกทีหนึ่ง ในมือมีของสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมา อาวุธจิตวิญญาณรูปแผ่นกลมในวันเปิดแดนลึกลับประตูสวรรค์ชิ้นนั้นนั่นเอง ลวดลายจิตวิญญาณโบราณมากมายด้านบนกำลังส่องแสงเรืองๆ อยู่
ในเวลาเดียวกับที่เสียงท่องมนตร์แผ่วต่ำดังออกมาจากริมฝีปากที่ขยับขมุบขมิบของทั้งสองคน นิ้วทั้งสิบที่สองมือก็ขยับทำท่าเคล็ดวิชาไม่หยุดประหนึ่งวงล้อ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น