อยากกินไหมล่ะ 817-820
บทที่ 817 คืนนี้แอลกอฮอล์ไม่ทำให้รู้สึกมึนเมาได้เลย
หยวนโจวกระดกเบียร์ชนิดแก้วต่อแก้ว
ในเวลาเพียงไม่นาน หยวนโจวก็ดื่มเบียร์หมดไปสามแก้วแล้ว ยิ่งดื่มเขาก็ยิ่งรู้สึกขม แต่เขากลับไม่เมาเลยสักนิดเดียว
เขาไปที่บาร์แล้วเอามาอีกสองแก้ว เบียร์สดห้าแก้วคือขีดจำกัดสูงสุดที่เขากำหนดขึ้นมาเอง ถึงอย่างไรดื่มมากไปก็ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายสักเท่าไหร่นัก
สองแก้วใช้เวลาไม่นานนัก เพียงแค่ไม่กี่นาทีหยวนโจวก็ดื่มจนหมดเช่นกัน
“ฉันมีความสามารถในการดื่มเหล้าพอๆกับฝีมือการทำอาหารหรือยังนะ?” หยวนโจวบ่นพึมพำพลางจ้องมองแก้วเปล่าที่มีฟองชั้นหนึ่งเหลืออยู่ตรงก้นนิดหน่อย
เมื่อก่อนหลังจากดื่มไปห้าแก้ว เขาก็จะเริ่มเวียนหัวแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เมาจนไร้สติ แต่เขาก็หาใช่คนที่มีความสามารถในการดื่มเหล้าสักเท่าไหร่นัก
ดูเหมือนว่าหยวนโจวน่าจะไม่ได้รับสืบทอดพันธุกรรมชอบดื่มเหล้ามาจากบิดาของเขาเลย เมื่อนึกถึงบิดาขึ้นมา เขาก็จำได้ว่าบิดาของตนมักจะดื่มเพื่อความเพลิดเพลินหรือทุกสองวันหลังร้านปิด
วันนี้หยวนโจวรู้สึกราวกับว่าพรสวรรค์ในการดื่มเหล้าที่ซุกซ่อนเอาไว้ได้ถูกปลุกขึ้นมาเสียแล้ว เขายังคงมีสติอยู่แม้ว่าจะเมากว่าทุกทีที่เคย แถมยังรู้สึกว่าประสาทสัมผัสทุกส่วนของเขาจะเฉียบคมมากด้วย
เขาสามารถมองเห็นบิดากับบุตรสาวเตรียมเก็บแผงขายบาร์บีคิวของพวกเขาหลังการทำงานกลางคืนด้วยตาตนเอง
เขาสามารถได้ยินสามีภรรยาดุด่าบุตรชายที่มีผลการเรียนย่ำแย่ด้วยหูตนเอง
เขาสามารถได้กลิ่นเข้มข้นของเหล้าและใบไผ่ด้วยจมูกตนเอง
ข้อศอกของเขาเท้าอยู่บนโต๊ะหิน แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเย็นเฉียบของโต๊ะหินอย่างที่รู้สึกได้จากอุณหภูมิร่างกายที่ได้รับความอบอุ่นตรงบริเวณที่ข้อศอกของเขาเท้าอยู่
เมื่อนึกขึ้นได้เช่นนี้ หยวนโจวก็พลันยิ้มขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจในทันที ถึงแม้ว่าโต๊ะเก้าอี้จะเป็นเจ้าระบบที่จัดหามาให้ทั้งหมด แต่แผนผังการวางตำแหน่งก็ยังตกเป็นภาระของเขาอยู่ดี
หลังจากเขาดื่มเบียร์หมดไปห้าแก้วแล้ว เขาก็เดินไปเอามาอีกห้าแก้ว เหล้าคืนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ทำให้รู้สึกมึนเมาได้เลย
จากสิ่งนี้ไม่ว่าใครก็คงจะรู้ว่าการเป็นเจ้าของกิจการมันช่างแสนดีขนาดไหนกัน เขาสามารถดื่มได้มากเท่าที่อยากจะดื่มแถมยังไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ด้วย หยวนโจวก็แค่ต้องจ่ายเงินให้เจ้าระบบแล้วเจ้าระบบก็จะไม่ว่าอะไร
คราวนี้หยวนโจวดื่มช้าลงมาก ถึงแม้ว่าเบียร์จะไม่ทำให้รู้สึกมึนเมาเลยก็ตามที แต่ก็ยังทำให้จุกมากจริงๆ
เขากระดกเบียร์หมดหมดไปราวๆเจ็ดหรือแปดแก้ว แน่นอนว่าแค่ดื่มอย่างเดียวค่อนข้างน่าเบื่อทีเดียว ดังนั้นบางครั้งหยวนโจวก็จะอมเบียร์เอาไว้ในปากแล้วกลืนลงไปหลังจากเบียร์อุ่นแล้วเท่านั้น
และด้วยวิธีการที่เขาใช้ดื่มนั้นกลับทำให้เบียร์ขมยิ่งขึ้น
“นานเท่าไหร่แล้วนะที่ฉันไม่ได้มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากมายในเมือง” หยวนโจวเงยหน้าแล้วเหลือบมองท้องฟ้ายามค่ำคืนหลังจากเบียร์แก้วที่แปดของเขา ท้องฟ้าก็คือม่านสีดำที่แขวนดวงจันทร์เพียงดวงเดียวเอาไว้ตรงนั้น
ลำพังแค่เพียงดวงจันทร์อย่างเดียวหาได้ทำให้เกิดความรู้สึกอ้างว้างไม่ แต่กลับดูสวยมากกว่า แม้จะไม่มีดาวอยู่บนท้องฟ้าเลยแต่ก็ยังมีดวงจันทร์ให้เห็นอยู่นี่นา
สองสามวันต่อมา หยวนโจวก็ได้ข่าวมาว่าถนนเถ่าซือกำลังจะถูกรื้อถอน แต่เนื่องจากมีร้านหยวนโจวอยู่จึงต้องเปลี่ยนแผนไป
ทันใดนั้นเขาก็มีความคิดอันน่าขบขันขึ้นมา เจ้าระบบห่อหุ้มชั้นใต้ดินด้วยเหล็กกล้า เขาเลยสงสัยว่าทีมรื้อถอนจะสามารถทำอะไรกับมันได้จริงๆน่ะหรือ
ในขณะที่เขาครุ่นคิดไปทั่วอยู่นั้น หยวนโจวก็ดื่มเบียร์สองแก้วสุดท้ายหมดแล้ว
เขาคนเดียวดื่มเบียร์หมดไป 10 แก้วในคืนเดียว ในที่สุดเขาก็เข้าใจเรื่องหนึ่งแล้ว หลังดื่มแล้วจงอย่าได้กลัวว่าจะเมา แต่จงกลัวคนไร้สติมากกว่าคนเมาดีกว่า
หยวนโจวอยากดื่มต่ออีก แต่เขาทำเช่นนั้นไม่ได้ เขาพึมพำกับตัวเองว่า “ฉันคงดื่มต่อไม่ได้แล้วล่ะไม่งั้นพรุ่งนี้คงได้เมาค้างแน่ๆ ฉันยังต้องเปิดร้านในวันพรุ่งนี้อีกนะ”
เขาไม่สามารถดื่มได้อีกต่อไปแล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกอยากกลับเข้าห้องนอนของตัวเองเลยสักนิด ดังนั้นเขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เขารู้สึกเบื่อจะแย่และคิดจะโทรคุยกับใครสักคน
เขามีหมายเลขโทรศัพท์มากมายอยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อ แต่หลังจากเลื่อนขึ้นเลื่อนลงแล้ว เขาก็ยังหาคนที่เขาอยากคุยด้วยจริงๆไม่ได้เลย
ซุนหมิงเป็นเพื่อนที่ดีทว่าเขากลับหาใช่คนที่ดีพอจะสนทนาด้วยได้ ส่วนเจียงฉางซี่เป็นคนที่ดีพอจะสนทนาด้วยได้แต่คืนนี้ดึกเกินไปแล้ว ในฐานที่เป็นผู้บริหารระดับสูง แน่นอนว่าเจียงฉางซี่ย่อมมีตารางงานแน่นอยู่แล้ว หยวนโจวจึงไม่อยากรบกวนเธอ
เนื่องจากเขาไม่พบคนที่จะคุยด้วย เขาก็เลยเปิดคลังภาพขึ้นมา ภายในนั้นมีมุขตลกอยู่เป็นจำนวนมากที่เขาที่เขาแอบขโมยมาเมื่อตอนที่เขาได้อ่านบทสนทนาของม่านม่านกับคนอื่นๆในกลุ่มแชท
สำหรับคอลเล็กชั่นรวมมุขตลกทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ หยวนโจวไม่ขาดตกบกพร่องไปเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่านั่นดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่น่าภาคภูมิใจเอาเสียเลย เพราะแบบนี้ขณะที่กำลังมองหาผ่านคอลเล็กชั่นรวมมุขตลกของเขา หยวนโจวก็หลับคาโต๊ะไปเสียแล้ว
พระจันทร์เสี้ยวแขวนลอยอยู่เบื้องบน ลมหนาวโบกพัดอย่างแผ่วเบา
ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเพียงเพราะมีคนหลับอุตุอยู่ที่นี่หรอก
ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง เจ้าระบบก็แสดงผลออกมาว่า “ติ๊งต่อง เจ้านาย ขอเตือนให้ทราบว่าท่าทางของคุณในตอนนี้มีความเป็นไปได้ถึงร้อยละ 90 ที่คุณจะเจ็บเอวในวันพรุ่งนี้และอาจจะส่งผลต่อคุณภาพการทำอาหารของคุณด้วย”
ถ้าหากเจ้าระบบพูดออกมาจริงๆแทนที่จะแสดงถ้อยคำออกมา สิ่งนี้อาจจะช่วยปลุกหยวนโจวให้ตื่นขึ้นมาก็ได้
แต่การแสดงถ้อยคำให้คนที่หลับสนิทดูก็ไม่ต่างอะไรกับการเต้นรำให้คนตาบอดดู ช่างเปล่าประโยชน์สิ้นดี
ดังนั้นไม่ว่าเจ้าระบบจะเตือนว่าอย่างไรบ้าง หยวนโจวก็ยังคงหลับสนิทอยู่ดี
ถึงแม้ว่าคืนนี้เหล้าจะไม่ทำให้รู้สึกมึนเมาได้เลย แต่ก็ยังช่วยให้หลับสบายแหละน่า ยามค่ำคืนของเมืองเฉิงตูอากาศหนาวเย็นมากทีเดียว แต่ไม่ว่าจะหนาวเย็นสักขนาดไหน หยวนโจวก็ยังหลับสนิทจนถึงวันรุ่งขึ้น
ตอนหกโมงเช้าหยวนโจวก็ตื่นเองโดยอัตโนมัติ เมื่อเขาลองยืดเส้นยืดสายดู ความรู้สึกเจ็บก็พุ่งเขาโจมตีลำคอและเอวของเขา
เขาเจ็บเสียจนไม่สามารถเหยียดได้เลย
“เกิดอะไรขึ้นกันนะ?” หยวนโจวอยากจะลุกขึ้นแต่จู่ๆความรู้สึกวิงเวียนก็พุ่งเข้าโจมตีสมอง เขารู้สึกราวกับหมุนอยู่กับที่เป็นหลายร้อยรอบพร้อมทั้งมีอาการปวดและวิงเวียนศีรษะร่วมด้วย
นอกเหนือไปจากอาการปวดและวิงเวียนศีรษะแล้ว เขายังรู้สึกหนักหัวมากเช่นกันราวกับว่าน้ำหนักสมองเพิ่มขึ้นอีกสักสี่หรือห้าเท่าเห็นจะได้ แถมยังรู้สึกเท้าเบาไปเลยอีกด้วยและเมื่อตอนที่เขาพูดก็ยังรู้สึกได้ถึงเสี่ยงหวี่ในหูของตัวเองได้อีกด้วย หยวนโจวพบว่าตัวเองชักจะเริ่มจับไข้ซ้ำยังเป็นไข้หวัดใหญ่อีกต่างหาก
“เมื่อคืนฉันเผลอหลับไปที่นี่งั้นหรือนี่?” หยวนโจวกล่าวพลางหันไปมองรอบตัว อากาศเย็นๆยามค่ำคืนประกอบกับลมยามค่ำคืนและเสื้อผ้าบางเบาที่เขาสวมใส่อยู่ก็พอเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เขาจับไข้ได้แล้วล่ะ
“ฉันแก่แล้วสินะ ถ้าเป็นตอนนั้นล่ะก็ถึงจะอาบน้ำเย็นดึกๆดื่นๆฉันก็ไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ” หยวนโจวบ่นพึมพำแล้วฝืนลุกขึ้นมา
เขาวางแผนที่จะทำความสะอาดก่อนที่จะเตรียมอาหารเช้า แต่พอเดินได้แค่สองก้าวเขาก็รู้สึกหนักหัวขณะที่เขาเริ่มทรงตัวไม่ได้จนเกือบล้มลงกับพื้น
“นิ่งไว้สิ… นิ่งไว้…” หยวนโจวรีบทรงตัวเพื่อเลี่ยงมิให้หกล้ม
ตามหลักแล้วเนื่องจากเขามักจะดูแลตัวเองยามป่วยอยู่เสมอ สิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดปัญหาแต่อย่างใด เขาค่อยๆบ่ายหน้าไปห้องนอนบนชั้นสองแล้วหยิบยาแก้ไข้หวัดออกมาจากลิ้นชัก
เขากินยาสามเม็ดพร้อมน้ำแร่ขวดหนึ่ง เขาไม่มีเวลาพอที่จะไปต้มน้ำอุ่นแล้วล่ะ
เขาวางแผนที่จะกินยาแล้วยกเลิกการออกกำลังกายในวันนี้ไปเพื่อพักสักครู่ก่อนที่เขาจะเริ่มเตรียมวัตถุดิบ
ทว่าความเป็นจริงช่างแสนโหดร้ายนัก หลังจากพักผ่อนอยู่สักครู่แทนที่จะดีขึ้น เขากลับรู้สึกแย่กว่าเดิมเสียอีก เขาเริ่มเวียนศีรษะมากขึ้นไปอีก ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้แม้แต่จะเตรียมวัตถุดิบก็คงยากแล้วยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการทำอาหารเลย
“เจ้าระบบ แกพอจะมียาวิเศษอะไรที่สามารถรักษาให้ฉันหายได้ด้วยการกินเพียงครั้งเดียวบ้างไหม?” หยวนโจวถามขึ้น เท่าที่เขาเข้าใจ ของแบบนี้น่าจะเป็นเรื่องง่ายมากๆสำหรับเจ้าระบบที่ชอบโกงอยู่แล้วแหละน่า
ไม่กี่วินาทีให้หลัง เจ้าระบบก็แสดงผลออกมาว่า “ขอแนะนำให้วันนี้เจ้านายลาหยุดสักวันนะ”
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เจ้าระบบแนะนำให้หยวนโจวลาหยุด แต่เนื่องจากเจ้าระบบให้คำแนะนำเช่นนั้นก็คงมีความหมายเพียงอย่างเดียวว่าเจ้าระบบเองก็ไม่มียาตัวนั้นเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้หยวนโจวรู้สึกดูถูกดูแคลนเจ้าระบบสำหรับการตกม้าตายในเรื่องง่ายๆ
หลังจากนึกได้เช่นนั้นแล้ว ทางแก้เพียงทางเดียวของเขาก็คือต้องขอลาหยุดเท่านั้นแล้ว เขารู้สึกหนักหัวจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยาที่กินก็ทำให้เขาง่วงนอนอีกด้วย
บทที่ 818 ได้รับของขวัญ
อู๋ไห่หาได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่ร้านหยวนโจวแต่อย่างใดไม่ ถึงอย่างไรสัญญาณโทรศัพท์ในหุบเขาก็ย่ำแย่สุดจะทน ดังนั้นเขาจึงไม่ใช้โทรศัพท์และเอาแต่จดจ่ออยู่กับการเขียนภาพเท่านั้น
“ไห่น้อย วันที่สามแล้วนะ นายดื่มแค่น้ำผึ้งไปเมื่อสองสามวันก่อนเอง ถ้านายยังไม่กินอะไรอีก ฉันเกรงว่าร่างกายของนายจะรับไม่ไหวเอานะ” เจิ้งเจียเว่ยกล่าวด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันไม่ตายหรอก” อู๋ไห่เหลือบมองเจิ้งเจียเว่ยก่อนที่จะหันเหสายตาไปยังหุบเอาอันไกลโพ้นอีกครั้งพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“ทำไมพวกเราไม่กลับไปกันเสียตั้งแต่ตอนนี้แล้วกินอาหารของเถ้าแก่หยวนเพื่อเติมพลังให้ร่างกายของนายเสียหน่อยเล่า” เจิ้งเจียเว่ยเกลี้ยกล่อม
“ไม่ล่ะ ขอบใจ” อู๋ไห่ส่ายหน้า
แต่หลังจากอู๋ไห่ส่ายหน้าแล้ว ความมืดก็พลันบดบังทัศนวิสัยการมองเห็นของเขาก่อนที่จะหมดสติไป
“ไห่น้อย ไห่น้อย นายเป็นอะไรไปน่ะ? โอ้พระเจ้า นายเป็นลมไปแล้วงั้นรึ?” เจิ้งเจียเว่ยกดร่องริมฝีปากบนของอู๋ไห่เมื่อจู่ๆอู๋ไห่ก็ตาเบิกกว้างขึ้นมาทันทีสร้างความตื่นตกใจให้แก่เจิ้งเจียเว่ยเป็นอันมาก
“ฉันไม่เป็นไร” อู๋ไห่พึมพำ
“เอางี้นะ โจ๊กที่ครอบครัวของกวงน้อยทำอร่อยมากเลยนะ นายเองก็เคยกินมาก่อนแล้วนี่นา นายอยากกินไหมล่ะ?” เจิ้งเจียเว่ยยังคงเกลี้ยกล่อมต่อไป
“นายอยากจะวาดภาพเมื่อไหร่ก็ได้แล้วแต่นายเลย แต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับนาย หลินหลินก็คงจะเศร้ามากเลยล่ะ” เจิ้งเจียเว่ยยังเกลี้ยกล่อมต่อไปด้วยความรู้สึกยินดีเมื่อเขาเห็นว่าสีหน้าของอู๋ไห่ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
“พักนี้สิ่งต่างๆช่างเป็นเรื่องที่แสนยากเย็นสำหรับหลินหลิน ถ้าหากเธอต้องมาคอยกังวลใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายบ้างก็คงแย่แน่ๆ” เจิ้งเจียเว่ยกล่าว
“ก็ได้ๆ ฉันจะกินโจ๊กก็แล้วกัน ไปเอามาสิ” อู๋ไห่กล่าวหลังจากเงียบไปสักครู่
“โอเค ฉันจะไปเอามาเดี๋ยวนี้แหละ อย่าไปไหนเสียล่ะ ถ้ารู้สึกไม่สบายก็ดื่มน้ำผึ้งสักหน่อยนะ” เจิ้งเจียเว่ยกล่าวขึ้นทันทีที่ได้ยินคำตอบตกลงของอู๋ไห่ จากนั้นเขาก็หายตัวไป
“ถึงเวลากลับแล้วสินะ” อู๋ไห่พึมพำด้วยความเศร้าหมองพลางเหลือบมองไปทางเมฆหมอกอันไกลโพ้นและหมู่บ้านบนเขาที่ราวกับสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
หลังจากนั้นไม่นานนัก เจิ้งเจียเว่ยก็กลับมาพร้อมหม้อ ถ้วยกระเบื้องและช้อน
อู๋ไห่กินโจ๊กไปสามถ้วยภายใต้สายตาของเจิ้งเจียเว่ย
“วันนี้ไห่น้อยเป็นเด็กดีจังกินโจ๊กได้ตั้งหลายถ้วยเลยแน่ะ” เจิ้งเจียเว่ยเอ่ยปากชมราวกับเขากำลังชมเด็กน้อยคนหนึ่งเลย
“อืม” อู๋ไห่พยักหน้าโดยไม่แยแส
“งั้นไห่น้อย นายจะพักอยู่ที่นี่เพื่อแสวงหาแรงบันดาลใจหรือเที่ยวเล่นต่อไหมล่ะ?” เจิ้งเจียเว่ยถามขณะที่เก็บถ้วยออกไป
“ไม่อยู่แล้วล่ะ ไปกันเถอะ ไปกันตอนนี้เลย” อู๋ไห่ลุกขึ้นแล้วยกขากระดานวาดภาพไปด้วย
“เอาล่ะ ฉันจะไปซื้อตั๋วแล้วกัน พวกเราจะกลับเฉิงตูกันวันนี้แหละ” เจิ้งเจียเว่ยตอบตกลงโดยไม่ถามอะไรอีก
เจิ้งเจียเว่ยทราบว่าหลังจากออกเดินทางมาแล้ว อู๋ไห่ก็จะไม่กลับมาที่นี่อีก ถึงอย่างไรอู๋ไห่ก็เคยบอกว่าถ้าหากเขาไม่พบแรงบันดาลใจในครั้งแรก เขาก็จะไม่ค้นหาเป็นครั้งที่สองอีก ถึงแม้ว่าเขาจะพบมันก็คงไม่เหมือนกันอยู่ดีนั่นแหละ ดังนั้นถ้าหากอู๋ไห่ไม่สามารถหาแรงบันดาลใจจากทำเลที่ตั้งนั้นได้ เขาก็ย่อมไม่คิดจะกลับไปอีก
เจิ้งเจียเว่ยแน่ใจในเรื่องนี้มากทีเดียว
“อืม” อู๋ไห่พยักหน้า จากนั้นเขาก็หยิบอุปกรณ์วาดภาพของตัวเองขึ้นมาแล้วจากไปพร้อมเจิ้งเจียเว่ย
พวกเขาตัดสินใจที่จะออกเดินทางช่วงเที่ยงวัน แต่เมื่อพวกเขามาถึงเฉิงตูก็ปาเข้าไปเที่ยงวันถัดมาแล้ว
หมู่บ้านบนเขาอยู่ห่างไกลมากจึงทำให้เมื่อตอนที่พวกเขาเข้ามาใกล้ตัวเมืองก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรอจนถึงวันรุ่งขึ้น
ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น เจิ้งเจียเว่ยก็เลยพาอู๋ไห่ขึ้นเครื่องบินกลับเฉิงตูเสียเลย
“ไม่ ฉันนอนไม่ได้ ฉันต้องโทรศัพท์” หยวนโจวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันทีขณะที่กำลังหลับตานอนแล้วโทรหาโจวเจีย
“โจวเจีย ผมหยวนโจวเองนะ” หยวนโจวกล่าว น้ำเสียงของเขาแหบแห้งขณะที่พูดไปพลางไอไปพลาง
“เถ้าแก่หยวนไม่สบายเหรอคะ? ไปหาหมอหรือยังคะ?” โจวเจียถามเมื่อเธอได้ยินเสียงของหยวนโจว
“ไม่เป็นไร ช่วยติดหนังสือลาหยุดบอกทุกคนด้วยนะว่าวันนี้ผมขอลาหยุดน่ะ ยังไงเธอก็ยังได้รับค่าจ้างของวันนี้อยู่นะ” หยวนโจวสูดหายใจลึกๆก่อนที่จะพูดออกมา
“อืม อืม โอเคค่ะ ไปหาหมอหรือยังคะเนี่ย?” โจวเจียยังคงเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของหยวนโจว
“ไม่เป็นไร ผมกินยาแล้วล่ะ พรุ่งนี้ก็น่าจะดีขึ้นแล้ว เอาล่ะงั้นแค่นี้นะ” หยวนโจวพูดมากกว่าปกติ หลังจากตอบอย่างจริงจังไปแล้ว เขาก็วางสายลง
“ฉันล่ะสงสัยจริงๆเชียวว่าเถ้าแก่หยวนจะทำยังไง” โจวเจียรู้สึกเป็นห่วงขณะที่ออกมาปิดประกาศ
“ฉันน่าจะไปดูสักหน่อยเผื่อจะช่วยอะไรเขาได้บ้างนะ” โจวเจียตัดสินใจว่าเธอจะไปที่นั่นทันทีที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จแทนที่จะออกไปตอนแปดโมงอย่างที่เคย
ในขณะที่หยวนโจวกำลังนอนซมอยู่บนเตียงนั้น อู๋ไห่ก็มาถึงสนามบินเฉิงตูแล้ว
หยวนโจวมอบหนังสือลาหยุดเป็นพิเศษสองวันให้โจวเจียและเซินหมินนำกลับมาใช้ได้ในกรณีฉุกเฉิน เท่าที่หยวนโจวเข้าใจ หนังสือลาหยุดจะต้องเขียนด้วยตนเองเพื่อแสดงความจริงใจ
แต่เนื่องจากมีเพียงลายมืออยู่บนหนังสือลาหยุดที่เขาใช้ลาหยุดเพราะมีสิ่งที่ต้องทำ เขาจึงต้องการให้โจวเจียเป็นคนให้คำอธิบายแก่บรรดาลูกค้าด้วยตนเอง
โจวเจียจัดการเรื่องนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมเพื่อปลอบโยนบรรดาลูกค้าที่เพิ่งจะมาถึงแถมยังให้คำอธิบายที่เหมาะสมอีกต่างหาก
เป็นผลทำให้ได้รับของมาเป็นกองพะเนิน ของพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลไม้หรือของขวัญที่บรรดาลูกค้ามอบให้เธอมาเมื่อได้ยินว่าเถ้าแก่หยวนไม่สบาย
บรรดาเพื่อนบ้านละแวกข้างเคียงเองก็นำของขวัญเป็นกองพะเนินมาให้เช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรนี่ก็นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่หยวนโจวไม่สบาย ทุกคนจึงเป็นห่วงเขามากทีเดียว
จากสถานการณ์ในตอนเช้า น่าจะมีคนมาที่นี่เพื่อเยี่ยมหยวนโจวอีกในวันถัดมา
ตลอดช่วงเช้า โจวเจียรับของขวัญมาเป็นจำนวนมากแล้วจนถึงจุดที่เธอไม่สามารถรับไว้ได้อีกต่อไปแล้ว
“แม่สาวน้อย เอามาไว้ที่ร้านฉันก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวพอหยวนน้อยหายดีแล้วฉันจะช่วยขนเข้าร้านไปให้เอง” เถ้าแก่หวังจากร้านขายเครื่องเสนอตัว
เขาเองก็มาเยี่ยมหยวนโจวเพราะอยากรู้ว่าเมื่อไหร่เขาถึงจะมีโอกาสได้เห็นว่าร้านปิดสักที และเมื่อเขาได้ยินมาว่าหยวนโจวไม่สบาย เขาก็เลยตัดสินใจที่จะมาดูสักครั้ง
ทันทีที่เขามาถึง เขาก็เห็นโจวเจียกำลังจ้องมองของขวัญเป็นกองพะเนินด้วยท่าทีกังวลใจ นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเสนอตัวออกไปเช่นนั้น
“โอเค ขอบคุณเถ้าแก่หวังด้วยนะคะ ฉันคงต้องรบกวนคุณเสียแล้วสิ” โจวเจียรู้ว่าเถ้าแก่หวังเป็นคนอย่างไร ถึงอย่างไรเธอก็ทำงานมาที่นี่ได้สักระยะหนึ่งแล้ว
“ไม่เป็นไรเลย หยวนน้อยเป็นยังไงบ้างเล่า? เขาไปหาหมอแล้วหรือยัง?” เถ้าแก่หวังถามขณะช่วยยกของขวัญออกไป
“เถ้าแก่บอกว่าเขากินยาแล้วค่ะ ฉันคิดว่าตอนนี้เขาน่าจะนอนไปแล้วแถมยังไม่ได้ไปหาหมออีกต่างหากด้วยค่ะ” โจวเจียกล่าว เธอเองรู้สึกเป็นห่วงมากเช่นกัน
“หยวนน้อยก็ชอบทำเป็นเก๋าไปอย่างนั้นแหละ แค่กินยาเพียงอย่างเดียวจะไปพอได้ยังไงกันเล่า? อย่างน้อยเขาก็น่าจะไปหมอสักหน่อยนะ” เถ้าแก่หวังกล่าวพลางเหลือบมองไปทางหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท
“ฉันจะอยู่ที่นี่ทั้งวันเองค่ะ” โจวเจียกล่าว
“จริงด้วยสิ ยังไงมีคนคอยดูแลเขาอยู่ที่นี่ก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้วล่ะ” เถ้าแก่หวังกล่าว
อู๋ไห่มาถึงถนนเถ่าซือตอบสิบโมงเช้า แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารกลางวันดังนั้นอู๋ไห่จึงหาได้รีบร้อนแต่อย่างใดไม่ ทว่าแทนที่จะถือกระเป๋าใบใหญ่ เขากลับเดินไปทางถังขยะในตรอก
“ไห่น้อย นายกำลังจะไปไหนงั้นเหรอ?” เจิ้งเจียเว่ยถามพลางลากกระเป๋าเดินทางอยู่ข้างหลังเขา
“ฉีนจะไปเยี่ยมเจ้าบรอธน่ะสิ” อู๋ไห่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“โอเค งั้นฉันจะไปทำความสะอาดสตูดิโอก่อนนะ นายจะตรงไปสตูดิโอเลยหรือว่าจะไปร้านของเถ้าแก่หยวนดีล่ะ? ขอกุญแจฉันด้วยสิ” เจิ้งเจียเว่ยกล่าว
“แน่นอนว่าฉันต้องไปร้านของเจ้าเข็มทิศอยู่แล้วล่ะ” อู๋ไห่กล่าวโดยไม่คิดมากเลยสักนิด
เขาอยู่ในหุบเขามาสักระยะหนึ่งจึงทำให้อู๋ไห่ไม่มีอุปนิสัยชอบเช็คโทรศัพท์ ดังนั้นเขาก็เลยไม่รู้ว่าวันนี้ร้านหยวนโจวไม่เปิด
“โอเค” เจิ้งเจียเว่ยพยักหน้าแล้งมุ่งหน้าไปที่สตูดิโอ
ส่วนอู๋ไห่ เขาก็มุ่งหน้าไปหาเจ้าบรอธพร้อมกระเป๋าใบใหญ่
บทที่ 819 กินยาวันละหลายๆครั้ง
“ฮะ? วันนี้ทำไมเจ้าบรอธไม่อยู่ตรงนี้กันล่ะเนี่ย?” อู๋ไห่เดินวนไปวนมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ของเขา ทว่ากลับหาเจ้าบรอธไม่เจอ
“วันนี้อากาศค่อนข้างหนาว เจ้าบรอธน่าจะอยู่ในรังนอน ไปตรวจดูสักหน่อยดีกว่า” อู๋ไห่บ่นพึมพำขณะที่เดินลึกเข้าไปในตรอก
ผู้คนไม่ค่อยเข้ามาในตรอกนี้กันนักหรอกและนี่เป็นเพียงครั้งที่สามเท่านั้นที่อู๋ไห่มาที่นี่ ดังนั้นเขาจึงค่อยๆเดินเนื่องจากพื้นทั้งเปียกและลื่น
ถ้าเกิดเขาลื่นไถลให้หยวนโจวเห็นเข้าคงได้ถูกหยวนโจวขำตายเลย
ร้านหยวนโจวอยู่ตรงกลางตึก ดังนั้นอู๋ไห่จึงมาถึงประตูหลังได้ในเวลาเพียงไม่นาน แค่มองแบเดียวก็เห็นเจ้าบรอธอยู่ที่นั่นแล้ว
“ทำไมแกมานอนตรงนี้แทนที่จะไปนอนในรังนอนของแกเล่า?” สิ่งแรกที่อู๋ไห่เห็นเมื่อมาถึงก็คือเจ้าบรอธที่กำลังนอนแผ่อยู่บนกระเบื้องสีเขียวตรงด้านหน้าของประตูหลัง
“แกไม่หนาวหรือไงนะ?” อู๋ไห่ลูบหนวดเคราตัวเองะลางวิเคราะห์ขนของเจ้าบรอธไปด้วย
เมื่อเจ้าบรอธได้ยินเสียงฝีเท้า มันก็ชะโงกหน้าขึ้นมามองอู๋ไห่ พออู๋ไห่เข้ามาใกล้ๆ มันก็พักส่วนหัวกลับไปอยู่บนอุ้งเท้าอีกครั้ง มันชำเลืองมองไปทางประตูหลังร้านหยวนโจวด้วยลูกตาดำขลับแล้วไม่สนใจอู๋ไห่โดยสิ้นเชิง
“เอาล่ะ ฉันรู้ว่าแกคุยไม่เก่งสักเท่าไหร่” อู๋ไห่บ่นพึมพำขณะที่วางกระเป๋าลงกับพื้น
เจ้าบรอธแหงนหน้าขึ้นมามอง ทีแรกมันมองอู๋ไห่แล้วค่อยมองไปที่กระเป๋า แต่มันก็เอาแต่เงียบและไม่ส่งเสียงแต่อย่างใด
“เห็นนี่มั้ย? ของพวกนี้เป็นของฝากของแก เป็นเนื้ออบแห้งแล้วก็มีอย่างอื่นด้วยนะ อร่อยๆทั้งนั้นเลย แกชอบไหมล่ะ?” อู๋ไห่หยิบของออกจากกระเป๋าแล้ววางเอาไว้ตรงหน้าเจ้าบรอธ
“ฉันเอาของพวกนี้มาไกลจากกุ้ยโจวเชียวนะ” อู๋ไห่เริ่มบอกให้เจ้าบรอธรู้ว่าลำบากลำบนกับการลากของทั้งหมดกลับมาขนาดไหน
เนื้ออบแห้งพวกนี้เอามาจากกุ้ยโจวจริงๆ แต่ที่จริงแล้วของพวกนี้ล้วนเป็นของเหลือที่เจิ้งเจียเว่ยซื้อมาให้เขาต่างหากเล่า
ทีแรกเจิ้งเจียเว่ยบอกว่าถ้าเขาอยากกินเนื้ออบแห้งอีกก็สามารถซื้อหาได้ในเฉิงตูเพราะยังไงก็ไม่ใช่สินค้าท้องถิ่นพิเศษของกุ้ยโจว แต่อู๋ไห่กลับรู้สึกว่าการเอาพวกมันกลับมาจากกุ้ยโจวจะแสดงให้เห็นความจริงใจของเขาได้ดีกว่า ดังนั้นเขาจึงพกมาบนเครื่องด้วยแม้จะเป็นสาเหตุที่ทำให้กระเป๋าเดินทางของเขาน้ำหนักเกินก็ตามที
“ไม่เป็นไร แกไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก พวกเราเป็นพี่น้องกันนี่นา ฉันจะวางเอาไว้ข้างรังนอนของแกก็แล้วกันนะ แกจะได้กินเมื่อไหร่ก็ได้ที่อยากกินยังไงเล่า” อู๋ไห่พูดอย่างอ่อนโยน
เมื่อเจ้าบรอธเห็นเนื้ออบแห้งที่วางเอาไว้ข้างรังนอนของมันแล้ว มันก็ชะโงกหน้าขึ้นมาแล้วเห่าเบาๆ
น้ำเสียงของเจ้าบรอธแผ่วเบาราวกับมันกำลังขอบคุณอู๋ไห่อยู่เลย
“แกเคยได้รับของพวกนี้บ้างไหมล่ะ? ดีล่ะ เฮ้ เป็นยังไงบ้างล่ะ” อู๋ไห่พูดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเห่าของเจ้าบรอธ
“คราวหน้าถ้าหากเถ้าแก่หยวนทำเนื้ออบแห้งหรือคุกกี้ก็จำไว้ด้วยว่าต้องเหลือให้พี่อู๋บ้างนะ ถึงยังไงแกก็เป็นน้องหมาส่วนฉันก็เป็นพี่อู๋ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ” อู๋ไห่เกลี่ยกล่อมอย่างจริงจังแล้ววางตัวพวกเขาในระดับเดียวกัน
แต่เขากลับหาได้รับการตอบสนองจากเจ้าบรอธเนื่องจากเจ้าบรอธกำลังจ้องมองไปที่ประตูหลังอีกครั้ง
แน่นอนว่าอู๋ไห่ไม่ได้ต้องการคำตอบแต่อย่างใด เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “ฉันจะถือว่าความเงียบของแกคือคำตอบตกลงนะ”
จากนั้นอู๋ไห่ก็หันหลังจากไป เขาคิดจะเล่าเรื่องนี้ให้หยวนโจวฟัง เท่าที่เขาเข้าใจเจ้าบรอธเองก็เห็นด้วยแล้ว
ในเมื่อเจ้าบรอธเห็นด้วยแล้ว เขาก็ต้องบอกให้หยวนโจวรู้
เมื่อเจ้าบรอธได้ยินเสียงฝีเท้าห่างไกลออกไปแล้ว มันก็หันไปมองอู๋ไห่ แววตาของมันดูเหมือนจะเปี่ยมไปด้วยความดูถูกดูแคลน
อนิจจา อู๋ไห่กลับไม่อยู่ตรงนี้เพื่อจะได้เห็นท่าทางดูถูกดูแคลน
“ดูเหมือนเจ้าบรอธจะพอใจมากทีเดียว การนำเนื้ออบแห้งพวกนั้นมาตั้งไกลนับว่าคุ้มค่าแล้วล่ะ” อู๋ไห่เดินไปที่ประตูหน้าพลางลูบหนวดเคราด้วยความพึงพอใจ
ไม่นานเขาก็มาถึงตรงหน้าทางเข้า นอกเหนือไปจากโจวเจียกับของขวัญเป็นกองพะเนินบนพื้นก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนอยู่แถวนี้
เมื่ออู๋ไห่กวาดตามองไปรอบๆ เขาก็พบว่าคนพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นลูกค้าของร้านหยวนโจวกันทั้งนั้น
“พวกนายมาต่อคิวกันไวขนาดนี้เชียวรึนี่?” อู๋ไห่ถามขึ้นอย่างจริงจัง เท่าที่เขาเข้าใจพวกเขาพยายามที่จะแข่งกันเข้าร้านเป็นคนแรก ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปทันที
“พี่อู๋ กลับมาแล้วเหรอคะ?” โจวเจียถามด้วยความยินดีแกมประหลาดใจ
ลูกค้าคนอื่นๆออกไปหลังจากทิ้งของขวัญของพวกเขาเอาไว้ให้เมื่อตอนที่พวกเขาเห็นโจวเจียกำลังคุยกับอู๋ไห่
“อืม ฉันกลับมาแล้ว เริ่มคิวแล้วเหรอ?” อู๋ไห่ถามขึ้นมา
“เปล่าค่ะ เถ้าแก่หยวนป่วย วันนี้ร้านก็เลยปิดน่ะค่ะ” โจวเจียกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ฉันนึกว่าหมอนั่นออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันเสียอีก? แถมเขายังมีกล้ามเนื้อหน้าท้องอีก! เขาจะป่วยได้อย่างไรกันเล่า?” อู๋ไห่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หรือบางทีกล้ามเนื้อพวกนั้นจะเป็นของปลอม?
“ฉันก็ไม่รู้นะคะ แต่เมื่อตอนที่เถ้าแก่หยวนโทรมาเมื่อเช้านี้ เขาไอไม่หยุดแถมยังเสียงแหบแห้งด้วย ฉันคิดว่าอาการคงจะหนักน่าเลยค่ะ” โจวเจียกล่าว
“แย่ขนาดนั้นเชียว?” อู๋ไห่กล่าวพลางแหงนหน้ามองหน้าต่างชั้นบนที่ปิดสนิท
“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นแหละค่ะ แต่เถ้าแก่หยวนก็บอกว่าเขากินยาแล้วนะคะ” โจวเจียกล่าว
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ” อู๋ไห่ตอบ
“อีกอย่างของพวกนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นของขวัญของบรรดาลูกค้าที่มาเยี่ยมกันทั้งนั้นเลยค่ะ” โจวเจียกล่าวพลางชี้ไปทางของขวัญเป็นกองพะเนิน
“รู้งี้ฉันน่าจะเอาเนื้ออบแห้งมาให้หยวนโจวเป็นของขวัญแทนก็ดีหรอก” อู๋ไห่นึกถึงเนื้ออบแห้งที่เขาให้เจ้าบรอธไปขึ้นมาได้
“เนื้ออบแห้งเหรอคะ?” โจวเจียถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก” อู๋ไห่ส่ายหน้า
“พี่อู๋กินอะไรมาหรือยังคะ? วันนี้อย่าไปรบกวนเถ้าแก่หยวนเลยนะคะ” โจวเจียกล่าว
โจวเจียรู้ว่าแต่ละครั้งที่อู๋ไห่กลับมาจากการเดินทาง เขาก็จะมากินอาหารมากมายที่ร้านหยวนโจว กล่าวได้ว่าเขาทำเช่นนั้นก็เพื่อชดเชยที่ไม่ได้กินอาหารของเถ้าแก่หยวนมาสักระยะหนึ่งแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นที่รู้กันว่าอู๋ไห่น่าจะกินได้น้อยลงเมื่อไปที่อื่น
โจวเจียเป็นห่วงว่าอู๋ไห่จะรบกวนหยวนโจวเนื่องจากหิวมากเกินไป
“ฉันดูชั่วร้ายขนาดนั้นเลยหรือไง?” อู๋ไห่ถามขึ้นมา
“โอ้ แน่นอนว่าย่อมไม่เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วค่ะ” โจวเจียส่ายหน้าแม้จะอยากให้คำตอบยืนยันสักเพียงใดก็ตาม
“ในเมื่อเขาไม่สบาย งั้นฉันก็ขอตัวก่อนนะ” อู๋ไห่โบกมือแล้วมุ่งหน้าไปที่สตูดิโอ
“ไว้เจอกันนะคะพี่อู๋” โจวเจียกล่าวอย่างสุภาพ
“หายากที่เจ้าหมอนั่นจะล้มป่วยนะเนี่ย” อู๋ไห่บ่นพึมพำขณะเดินขึ้นบันได
“ใครไม่สบายงั้นเหรอ? นายรู้สึกไม่สบายเหรอ ไห่น้อย?” เจิ้งเจียเว่ยได้ยินคำว่าไม่สบายเมื่อตอนที่เดินลงบันไดแล้วเริ่มคาดเดาอาการของอู๋ไห่ด้วยความกังวลใจ
“ไม่ใช่ฉันหรอก เจ้าเข็มทิศต่างหากล่ะที่ไม่สบายน่ะ” อู๋ไห่กล่าว
“ทำไมเถ้าแก่หยวนถึงไม่สบายได้เล่า? ป่วยเป็นอะไรงั้นเหรอ? อาการหนักหรือเปล่า? ไม่สิ ฉันต้องเตรียมของขวัญไปเยี่ยมเขาเสียหน่อยแล้วล่ะ” เจิ้งเจียเว่ยรู้สึกเป็นกังวลเมื่อได้ยินว่าเถ้าแก่หยวนไม่สบาย
“ฉันคิดว่าเขาน่าจะจับไข้นะ” อู๋ไห่กล่าว
“นายคิดว่างั้นเหรอ? นายไปเยี่ยมเขามาแล้วรึ? เขาไปหาหมอหรือยัง? พักนี้อากาศยิ่งไม่ค่อยดีอยู่เสียด้วยสิ ทางที่ดีเขาน่าจะไปหาหมอบ้างนะ” เจิ้งเจียเว่ยเริ่มจู้จี้ขึ้นมาแล้ว
“ฉันยังไม่เจอเขาเลย เขาน่าจะพักผ่อนอยู่แหละ อีกอย่างพอกินยาแก้ไขหวัดเข้าไปจะออกฤทธิ์ได้นานขนาดไหนกันล่ะ?” อู๋ไห่ถามขึ้น
“โอ้ เขาพักผ่อนอยู่งั้นรึ? งั้นวันนี้ฉันคงไม่ไปรบกวนเขาหรอก พรุ่งนี้ค่อยไปเยี่ยมเขาก็แล้วกัน” เจิ้งเจียเว่ยบ่นพึมพำ
“นายถามว่าไงนะ ไห่น้อย?” เจิ้งเจียเว่ยเงยหน้าขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนอู๋ไห่จะถามอะไรสักอย่าง
“พอกินยาแก้ไขหวัดเข้าไปจะออกฤทธิ์ได้นานขนาดไหน?” อู๋ไห่พูดซ้ำด้วยความอดทน
“ปกติก็ทุกสี่ชั่วโมงครั้งแหละ” เจิ้งเจียเว่ยกล่าว
“โอ้ โอเค ฉันขึ้นไปล่ะ” อู๋ไห่พยักหน้าแล้วมุ่งหน้าขึ้นไปต่อ
“โอเค เดี๋ยวฉันจะเอาอาหารกลางวันมาให้นายนะ” เจิ้งเจียเว่ยกล่าว
“เอามาอีกสองชุดแล้วฉันก็อยากได้อาหารอ่อนๆด้วย” อู๋ไห่กล่าว
“ไห่น้อยโตแล้วจริงๆ เขารู้จักเป็นห่วงเรื่องอาหารการกินของฉันแล้ว” เจิ้งเจียเว่ยกล่าวด้วยความรู้สึกประทับใจอย่างเห็นได้ชัด
“เปล่าหรอก ชุดหนึ่งของฉัน ชุดหนึ่งของเจ้าเข็มทิศและอีกชุดก็ของโจวเจียน่ะ ส่วนนายไปหากินเอาเองสิ” อู๋ไห่กล่าว
บทที่ 820 ลุกขึ้นมากินยา
“ฉันต้องบอกให้หลินหลินรู้เสียแล้วสิว่าไห่น้อยอดอาหารเสียจนเวียนหัว เธอจะได้แสดงความเป็นห่วงเขาออกมาบ้าง” นี่ก็คือความคิดแรกที่เจิ้งเจียเว่ยเมื่อได้ยินสิ่งที่อู๋ไห่กล่าวออกมา
ถึงอย่างไรเจิ้งเจียเว่ยก็เป็นคนที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องกิจวัตรประจำวันและเรื่องงานของอู๋ไห่มาโดยตลอด เขาก็เลยนึกว่าอู๋ไห่จะเป็นห่วงตนเองขึ้นมา ไม่คาดว่าจะได้รับคำตอบแบบนั้นเสียได้
เจิ้งเจียเว่ยบอกตัวเองว่าการเล่าให้หลินหลินฟังย่อมไม่ใช่เพื่อแก้แค้นอู๋ไห่อย่างแน่นอน แต่เขาทำเพื่อสัมพันธภาพระหว่างอู๋ไห่กับหลินหลินต่างหากเล่า ในฐานที่เป็นพี่น้องกัน หาได้เป็นผลดีต่ออู๋ไห่ที่หวาดกลัวหลินหลินมากออกขนาดนั้นเลย
เมื่อโน้มน้าวใจตัวเองได้แล้ว เจิ้งเจียเว่ยก็ออกไปด้วยความรู้สึกพออกพอใจ
“เปิดประตู เปิดประตูหน่อย ฉันรู้ว่านายอยู่ข้างในนะ”
“เปิดประตูมากินยาของนายซะ สี่ชั่วโมงแล้วนะ”
“พี่อู๋ เถ้าแก่หยวนยังหลับอยู่เลยค่ะ ทำไมพี่ถึงมาเคาะประตูเสียเล่า?” โจวเจียยืนอยู่ข้างอู๋ไห่ด้วยความรู้สึกยุ่งยากใจยิ่ง เธออยากยับยั้งอู๋ไห่เอาไว้แต่กลับไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“ได้เวลาปลุกเขาขึ้นมากินยาแล้ว” อู๋ไห่กล่าวด้วยสีหน้าเจริงเอาจัง
“แต่มันยังไม่เที่ยงเลยนะคะ” โจวเจียตอบ
“ให้เขากินยาแก้ไข้หวัดทุกสี่ชั่วโมงจะดีกว่านะ” อู๋ไห่บอก
“อย่างนี้นี่เอง? สี่ชั่วโมงสินะคะ?” โจวเจียถามอย่างเหม่อลอย
“ใช่แล้วล่ะ เจ้าเข็มทิศมักจะลุกขึ้นมาออกกำลังกายตอนหกโมงเช้าอยู่เสมอ เธอบอกว่าวันนี้มาเร็วแล้วตอนนั้นเขาก็กินยาไปแล้วนี่นา ตอนนั้นก็น่าจะราวๆหกโมงครึ่งแหละนะ ตอนนี้สิบโมงครึ่งแล้วได้เวลากินยาของเขาแล้วล่ะ” อู๋ไห่อธิบายขณะที่ตรวจสอบเวลาบนโทรศัพท์ของตนเอง
“ใช่ สี่ชั่วโมงจริงๆด้วย” โจวเจียกล่าวขึ้นหลังจากตรวจสอบจากประวัติการโทรของเธอ เมื่อตอนที่หยวนโจวโทรหาเธอก็ราวๆหกโมงครึ่งนี่แหละ
ปัง! ปัง! ปัง! อู๋ไห่เริ่มเคาะประตูอีกครั้ง แต่กลับไม่มีการตอบสนองกลับมาแต่อย่างใด
“พี่อู๋ ยังไงกินยาวันละสามครั้งก็เป็นเรื่องดีนะคะ” โจวเจียกล่าว
“ไม่มีทางเสียหรอก ให้เขากินยาบ่อยๆต่างหากถึงจะหายเร็วขึ้น” อู๋ไห่ยังเคาะต่อไปแถมยังไม่สนใจคำแนะนำของโจวเจียอีกต่างหาก
อู๋ไห่ออกแรงตอนที่เคาะมากขึ้นจนรู้สึกได้ว่าประตูกำลังเขย่า
“พี่อู๋ ทำแบบนี้พี่จะเจ็บมือเอาได้นะคะ แถมยังอาจจะส่งผลต่อการเขียนภาพของพี่ด้วย” โจวเจียเปลี่ยนมาเกลี้ยกล่อมดู
“ก็ถูกของเธอนะ” อู๋ไห่หยุดเคาะในที่สุด
“ใช่ ใช่ ใช่ นั่นแหละถูกต้องแล้วค่ะ แค่โทรหาเถ้าแก่หยวนอีกทีตอนเที่ยงก็ใช้ได้แล้วล่ะค่ะ” โจวเจียกล่าวด้วยความโล่งอกโล่งใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะโทรไปเดี๋ยวนี่แหละ” อู๋ไห่หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเริ่มโทรออก
สายถูกรับหลังจากดังขึ้นเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น
“อู๋ไห่งั้นรึ?” เสียงแหบแห้งของหยวนโจวดังขึ้น
“ฉันเอง ได้เวลาลุกขึ้นมากินยาแล้วนะ” อู๋ไห่สั่งขึ้นมาง่ายๆ
“อะไรนะ?” หยวนโจวพึมพำอย่างเหม่อลอย
“สี่ชั่วโมงแล้ว ได้เวลากินยาแล้ว” อู๋ไห่พูดซ้ำ
“เอาล่ะ ฉันรู้แล้ว ลาก่อนนะ” หยวนโจวอยากกลับไปนอนต่อจึงตอบตกลงไปเพราะเขาไม่อยากคุยโทรศัพท์อีก
“ฉันจะส่งอาหารกลางวันไปให้นายภายในสองชั่วโมง แล้วสี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ฉันจะโทรไปเตือนให้นายกินยานะ” อู๋ไห่กล่าวแล้ววางสายไป
“อืม” หยวนโจวครางขณะที่ตอบก่อนที่จะวางสายไป จากนั้นเขาก็ม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มแล้วนอนต่อ
“เป็นไปได้ยังไงที่โทรศัพท์ของเถ้าแก่หยวนยังเปิดอยู่เลย?” โจวเจียรู้สึกสงสัย ปกติโทรศัพท์ของเถ้าแก่หยวนจะตั้งโหมดสั่นเอาไว้ เขาจะลบโหมดสั้นออกก็ต่อเมื่อกำลังพักผ่อนอยู่เท่านั้น
“ในกรณีฉุกเฉินอย่างไรเล่า” อู๋ไห่กล่าวก่อนที่จะกลับไปที่สตูดิโอของตัวเอง
โจวเจียที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังพยักหน้าด้วยความเป็นห่วงขณะที่เฝ้าประตูต่อไป
วันนี้เป็นวันที่หยวนโจวไม่สบาย ส่วนอู๋ไห่ วันนี้เป็นวันที่ทำตัวเป็นนาฬิกาปลุกมนุษย์ ส่วนจี้อี้ วันนี้เป็นวันพิเศษวันหนึ่งเลยล่ะ การที่เขานั่งลงหน้าโทรทัศน์เป็นเรื่องที่เขาแทบจะไม่เคยทำเลยเสียด้วยซ้ำไป เขาเปิดโทรทัศน์ไปที่ช่องหมายเลขหกด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม
ช่องหมายเลขหกเป็นช่องจะฉายเฉพาะภาพยนตร์เท่านั้น ตอนนี้กำลังฉายเรื่อง Eat Drink Man Woman อยู่เลย นี่เป็นภาคสามที่ถ่ายทำโดยผู้กำกับหลี่ผู้มีชื่อเสียง
ภาพยนตร์ก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ความสนใจของจี้อี้กลับหาได้อยู่ที่ภาพยนตร์ เขากำลังรอโฆษณาที่จะฉายหลังภาพยนตร์ต่างหากล่ะ
ใช่แล้วล่ะ วิดีโอโปรโมตอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีที่แสดงให้เห็นเชฟทั้งห้าคนเสร็จสมบูรณ์แล้ว
วิดีโอโปรโมตจะเริ่มออกอากาศวันนี้ ส่วนช่องที่ออกอากาศนั้น จี้อี้ต้องทุ่มเทอย่างหนักทีเดียว วิดีโอโปรโมตจะฉายทางซีซีทีวีและเว็บไซต์วิดีโอทั้งหลายทางอินเตอร์เน็ต
อันที่จริงแล้วจี้อี้หาได้ทำอะไรในชุมชนออนไลน์มากนัก บุตรสาวของเขาต่างหากที่เป็นคนรับผิดชอบเรื่องนั้น แต่เรื่องการเจรจาต่อรองกับซีซีทีวี เขาได้มีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วยตนเอง ถึงอย่างไรเขาก็ขอร้องภรรยาของตนมาตั้งนานกว่าจะได้รับโอกาสนี้
นอกจากนี้ภรรยาของจี้อี้ก็เป็นรุ่นพี่ของเขากับหลิวจาง ทั้งยังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของซีซีทีวีในปัจจุบันอีกต่างหาก
คนที่ทำแบบเดียวกันก็คือต้าไห่และสมาชิกในทีมของเขา ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ภาพยนตร์ แต่พวกเขาก็ยังให้ความสนใจกับวิดีโอโปรโมตเป็นอันมากเนื่องจากพวกเขาเป็นฝ่ายถ่ายทำขึ้นมาเอง
อันที่จริงแล้วตาเฒ่าจี้อี้ค่อนข้างหัวโบราณทีเดียว เขาต้องใส่ความพยายามเป็นอย่างมากเมื่อได้รับวิดีโอโปรโมตของซีซีทีวีมาแล้วเอฟเฟกต์ไม่ดีพอที่จะใส่ลงอินเตอร์เน็ตได้ ทุกวันนี้โฆษณามักจะฉายคั่นรายการโทรทัศน์ ไม่มีใครสนใจวิดีโอโปรโมตกันนักหรอก
คนส่วนใหญ่จะดูวิดีโอโปรโมตเฉพาะในอินเตอร์เน็ตเท่านั้นแหละ
ถึงอย่างไรในบางเว็บไซต์ สิ่งแรกที่จะเห็นบนโฮมเพจก็คือแบนเนอร์โปรโมตขนาดใหญ่นั่นเอง
[การรวมตัวกันของสุดยอดเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีทั้งห้า! เรื่องสำคัญเชียวนะ!]
และเมื่อคลิกลงไปครั้งหนึ่งก็จะเห็นตัวเลือกในการลงคะแนนของเชฟทั้งห้าคน บัญชีหนึ่งจะอนุญาตให้โหวตได้หนึ่งครั้งและถ้าหากดูวิดีโอโปรโมตทั้งหมดแล้วก็จะได้รับอนุญาตให้ลงคะแนนเพิ่มได้อีก
แน่นอนว่าการแชร์ลงบนวีแชท โมเมนต์หรือเว่ยป๋อย่อมได้รับอนุญาตให้ลงคะแนนเพิ่มได้อีกครั้งเช่นกัน
นี่คือกลยุทธ์การโฆษณาที่พบเห็นกันได้บ่อยๆ บัญชีหนึ่งสามารถลงคะแนนได้สูงสุดถึงสามครั้งเชียวล่ะ
แน่นอนว่าเพื่อให้จูงใจผู้คนได้มากจึงเสนอให้มีการจับรางวัล ด้วยการแชร์วิดีโอและติดแท็กบัญชีอย่างเป็นทางการของสมาพันธ์เชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีแห่งประเทศจีน พวกเขาก็จะมีสิทธิ์ได้จับรางวัล
รางวัลก็คือทริปเดินทางเพื่อเพลิดเพลินไปกับอาหารที่แสดงเอาไว้ในวิดีโอ
อาจกล่าวได้ว่าจอมตะกละช่างมีพลังอำนาจที่ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยพลังอำนาจของจอมตะกละ โพสต์นี้ถูกผลักดันจนขึ้นไปสู่โพสต์ติดเทรนด์ความนิยม 50 อันดับแรกแล้ว
ช่างเป็นพลังอำนาจอันน่ากลัวเหลือเกิน
ด้วยความพยายามในการโปรโมตเว็บไซต์อย่างหนัก ผลลัพธ์ทางการตลาดจึงออกมาดีมากทีเดียว บนเว็บไซต์ วิดีโอได้รับยอดเข้าชมกว่าสามล้านครั้งเข้าไปแล้ว
ทั้งๆที่วิดีโอนี้เพิ่งจะปล่อยออกมาเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น แต่ก็ยังไม่มีละครโทรทัศน์ยอดนิยมในปัจจุบันเรื่องใดที่จะทำยอดความนิยมได้มากกว่านี้เลย
วิดีโอมีคุณภาพระดับเอชดีแสดงให้เห็นถึงฝีมือการทำบะหมี่ไหมฟ้าและการนวดแป้งอันละเอียดละออ
ฝีมือด้านต่างๆที่แสดงในวิดีโอสร้างความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรก็มีเพียงแค่เชฟเท่านั้นแหละที่จะสามารถทำได้
ทำไมเชฟถึงเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่ายอดฝีมืองั้นเหรอ? ก็เพราะยอดฝีมือสามารถทำสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถทำได้น่ะสิ เมื่อสิ่งนั้นรวมเข้ากับฝีมือในการถ่ายทำของต้าไห่และขั้นตอนการพากย์เสียงแล้วก็จะทำให้ได้วิดีโอที่ยอดเยี่ยมขึ้นมา
ยกตัวอย่างเช่น บางฉากในวิดีโอที่มีการนวดแป้งแทนที่จะให้ความรู้สึกของแป้งที่พบได้ทั่วไป แต่คล้ายกับว่าเป็นกำลังนวดแป้งแห่งความเป็นอมตะอยู่ตรงนั้นเลย
ผู้คนมากมายแสดงความคิดเห็นไปพลางน้ำลายสอไปพลาง:
“ฉันรู้สึกว่าบะหมี่ไหมฟ้าที่เคยกินมากลายเป็นบะหมี่ของปลอมไปเลยล่ะ”
“ฉันรู้ว่าเชฟอู๋หันมานวดแป้งให้กลายเป็นแบบงานศิลป์ เขาเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในมณฑลส่านซีแถมยังเป็นเถ้าแก่ร้านขนมปังอีกต่างหากแน่ะ ฉันเคยไปร้านนั้นมาก่อนนะ น่าเสียดายที่คนที่ทำอยู่ที่นั้นกลับเป็นลูกศิษย์ของเขาซะงั้นไป เขาไม่มีลักษณะท่าทางอันสง่าผ่าเผยอย่างเชฟอู๋ที่อยู่ในวิดีโอเลยสักนิดเดียว”
“นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นเชฟอันดับหนึ่งเลยไงล่ะ”
“มาแสดงวิดีโอเอาตอนเที่ยงนี่โหดร้ายชะมัดเลย ตอนนี้ฉันหิวมากเลยอ่ะ”
การโต้แย้งของหลายๆความคิดเห็นต่างบ่นเรื่องวิดีโอทำให้พวกเขาหิวช่วงพักเที่ยง หลายๆคนก็พากันแสดงความคิดเห็นว่าเป็นเพราะวิดีโอนั่นแหละที่ทำให้พวกเขาต้องไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาเป็นก่ายเป็นกอง
แน่นอนว่ายังมีอีกหลายโพสต์ที่ไม่เกี่ยวกับอาหารเลย อย่างเช่นมีบางคนถามเรื่องดนตรีประกอบฉากที่ใช้ในวิดีโอบ้างล่ะ
แม้กระนั้นก็ยังมีความคิดเห็นส่วนใหญ่ที่กำลังชื่นชมอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลี อย่างไรเสียสิ่งดีๆก็ย่อมต้องได้รับการยอมรับอยู่แล้วล่ะ
“อาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีในประเทศก็สามารถละเอียดประณีตได้เช่นกัน”
“ไลค์! ไลค์! ไลค์! ฉันรู้สึกหิวชะมัดเลย!”
“นี่คือวิดีโอโปรโมตอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ฉันเคยดูมาเชียวล่ะ”
จนถึงตอนนี้ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น ความคิดเห็นทั้งหลายต่างเป็นไปในด้านที่ดี แต่กลับไม่มีใครเห็นความคิดเห็นของหยวนโจวเลย
และหลังจากพวกเขาได้เห็นความคิดเห็นของเขาแล้ว ทิศทางของความคิดเห็นทั้งหลายก็เปลี่ยนไปในทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น