หมอดูยอดอัจฉริยะ 816-823

ตอนที่ 816 ปฏิเสธ

 

“ฉันขอลองดูได้มั้ย?”


“เธอมองดูเหรียญนั้นด้วยความอยากลอง ความรู้ที่เยี่ยเทียนสอนให้เหมือนเป็นประตูบานใหม่ มันทำให้เธอได้พบกับสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน”


“ได้สิ ลองทำหกเหยาทำนายที่ฉันสอนเมื่อครู่!”


เยี่ยเทียนพยักหน้า และยื่นเหรียญให้เธอ กล่าวต่อว่า“เธอเพิ่งหัดเรียน สามารถทำเครื่องหมายขีดเส้นแนวนอนในสมุด เมื่อโยนเหรียญทั้งหกครั้งเสร็จแล้ว รูปนั้นจะปรากฏรูปแบบกว้าที่เธอต้องการทำนาย”


ด้วยระดับของเยี่ยเทียน เขาสามารถจำตำแหน่งเหรียญทั้งหกครั้งได้แม่นยำ พร้อมทั้งวิเคราะห์รูปแบบกว้าได้ทันที แต่เจียงซานยังทำไม่ได้ แม้เธอจะมีพรสวรรค์แค่ไหน เธอต้องทำเครื่องหมายขีดเส้นแนวนอนในสมุดก่อน


“หืม? ถนนตันสะพานขาด เป็นกว้าข่านเกิ้น วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ? ทำไมถึงเป็นกว้ามหันต์ภัย?”


ตอนที่เจียงซานโยนเหรียญ เยี่ยเทียนแอบทำนายอยู่ในใจ เมื่อทำการโยนแล้วหกครั้ง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันทีที่รูปแบบกว้าปรากฏขึ้นในสมอง เริ่มเกิดความสงสัยและความไม่แน่ใจ


ก่อนหน้าที่ทดสอบความรู้การทำนายกว้าของเจียงซาน รูปแบบกว้าที่เขาถามแต่ละอัน ล้วนเป็นกว้าไม่เป็นมงคล แล้วเหรียญที่เจียงซานโยนยังเป็นเช่นนั้นอีก โบราณกล่าวไว้ว่าหากมีสิ่งผิดปกติจักต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ผนวกกับความรู้สึกว้าวุ่นใจเมื่อตอนขึ้นเครื่อง เยี่ยเทียนเริ่มไม่สบายใจ


ขณะเดียวกันกับที่เยี่ยเทียนรู้ความหมายของกว้า เจียงซานเงยหน้าขึ้นมองกล่าวว่า


“คุณ…อาเยี่ย กว้านี้ไม่ค่อยดีเลยใช่มั้ยคะ?”


เยี่ยเทียนถามเธอว่า


“เจียงซาน เธอทำนายได้ว่าอย่างไร?”


การทำนายสามารถทำนายได้หลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องการแต่งงาน หรือการเงิน ความหมายของกว้าแต่ละรูปแบบก็จะแตกต่างกันไปตามความต้องการ


“ฉันทำนายว่าเมื่อไหร่จะถึงฮ่องกงค่ะ”


สีหน้าตึงเครียดของเยี่ยเทียนทำให้เจียงซานตกใจ เธอพูดด้วยเสียงโทนต่ำว่า


“ได้ยินว่าต้องนั่งเครื่องบิน 20 กว่าชั่วโมง ฉัน…ไม่เคยนั่งนานขนาดนี้มาก่อน ก็เลยอยากรู้ว่าจะถึงเร็วขึ้นไหม?”


“ท่านเยี่ย จะเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” เหลยหู่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าตกใจตาม ในความทรงจำของเขาเยี่ยเทียนเป็นคนนิ่งมาโดยตลอด แม้ตอนประลองกับพ่อของเขา ก็ไม่เคยเห็นเครียดขนาดนี้


“ไม่มีอะไร ไปพักต่อเถอะ” เยี่ยเทียนส่ายหัว กวักมือเรียกแอร์โฮสเตสตรงข้ามทางเดิน


“คุณเยี่ยคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” แอร์โฮสเตสเดินมาหา โน้มตัวลงราวกับว่า เพื่อความสะดวกในการสนทนา ความเว้าลึกนั่นปรากฏขึ้นต่อหน้าเยี่ยเทียนอีกครั้ง


เยี่ยเทียนชี้ไปที่โทรศัพท์ข้างที่นั่งถามว่า “ใช้โทรศัพท์บนเครื่องบินนี้ได้ใช่ไหม?”


ในฐานะเครื่องบินส่วนตัว การใช้โทรศัพท์ได้เป็นฟังก์ชั่นหนึ่งที่ต้องมี แอร์โฮสเตสยิ้มและตอบว่า


“ได้ค่ะ สามารถโทรได้ 127 ประเทศ ไม่ทราบว่าคุณต้องการโทรไปที่ไหนคะ?”


“ฮ่องกงครับ คุณช่วยกดเบอร์นี้ให้ผมหน่อยครับ!”


เยี่ยเทียนยื่นกระดาษเบอร์โทรให้กับเธอ ซึ่งเป็นเบอร์โทรบ้านที่ฮ่องกงของถังเหวินหย่วน ด้วยความหนาแน่นของปราณวิเศษ สัญญานสถานที่ตรงนั้นได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก มีเพียงโทรศัพท์บ้านเท่านั้นที่ใช้ติดต่อกับโลกภายนอกได้


“คุณเยี่ย ต่อสายติดแล้วค่ะ!”


หลังจากกดโทรออก แอร์โฮสเตสยื่นโทรศัพท์ให้เยี่ยเทียน เยี่ยเทียนไม่มองหน้าเธอเลย เธอจึงกลับไปที่นั่งด้วยความไม่พอใจ


“เหล่าถัง ผมคือเยี่ยเทียน”


เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นในสาย เยี่ยเทียนเปิดประเด็นทันที


“เล่าเรื่องที่โจฮันเนสเบิร์กให้ผมฟังหน่อย แล้วสมาชิกสมาคมหงเหมินที่ผมบอกให้คอยตามดูซ่งเสี่ยวหลงไปถึงไหนแล้ว?”


ตั้งแต่ขึ้นเครื่อง เยี่ยเทียนรู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลา แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ลิขิตเหมือนโดนบางอย่างปิดกั้นไว้ ทำนายกี่ครั้งก็ไม่มีผล จนไม่อาจรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจึงลองหาช่องโหว่จากเรื่องแอฟริกาใต้


ส่วนซ่งเสี่ยวหลง เยี่ยเทียนแค่เกลียดเข้าไส้ แม้ว่าซ่งเฮ่าเทียนบอกว่าจะจัดการให้ แต่เยี่ยเทียนให้ถังเหวินหย่วนช่วยสืบหาข้อมูลอีกทาง ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากไปจัดการไอ้ตัวก่อปัญหาด้วยตัวเขาเอง


“เยี่ยเทียน คุณอยู่บนเครื่องบินใช่ไหม?”


เสียงของถังเหวินหย่วนแก่ไม่เปลี่ยน แต่ปริมาณลมปราณมากขึ้นกว่าเดิม


“ผลการตรวจสอบเรื่องที่โจฮันเนสเบิร์ก คาดว่าเป็นการก่อการร้ายของกองทัพสาธารณรัฐคองโก…”


ด้วยสื่อที่มีการพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าเรื่องไหนจะเกิดขึ้นที่ใดในโลก ยากที่จะหนีพ้นนักข่าว แล้วเหตุการณ์เหมืองทองคำในโจฮันเนสเบิร์กเกิดขึ้นแล้วกว่าสิบชั่วโมง ตอนนี้ก็กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งของช่องข่าวแต่ละประเทศไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งล้วนแต่เป็นข่าวที่เกี่ยวกับแอฟริกาใต้


ในเหตุการณ์นองเลือดนี้ มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเสียชีวิตทั้งหมด 238 คน 67 คนถูกลูกหลงจากกระสุนปืนบาดเจ็บสาหัส ถูกนำส่งโรงพยาบาลเรียบร้อย มีสิบกว่าคนที่ประสบเหตุการณ์ในครั้งนี้จนเสียสติ และกำลังเข้ารักษาเฝ้าดูอาการอยู่ที่โรงพยาบาล หนึ่งในนั้นมีหญิงสาวชาวจีนโพ้นทะเลที่ถูกธงห่อไว้ทั้งตัว


จากการแถลงข่าวของรัฐบาลแอฟริกาใต้ กองกำลังจากสาธารณรัฐคองโกที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้จำนวน 410 คนมี 232 คนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุโดยกองกำลังที่กล้าหาญของแอฟริกาใต้ บ้างก็ถูกยิงตายคาที่ บ้างก็ถูกจับเป็น


รัฐบาลแอฟริกาใต้กล่าวโทษกองกำลังสาธารณรัฐคองโก ทางรัฐประกาศต่อว่าได้กำจัดกลุ่มก่อการร้ายที่เข้ามายังแอฟริกาใต้จนหมดสิ้น ไม่มีใครรอดไปได้ แสดงถึงความสามารถและความเฉียบขาดของหน่วยรักษาความปลอดภัยของประเทศแอฟริกาใต้


ขณะเดียวกันเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ทางการสั่งปิดล้อมสนามบินนานาชาติโจฮันเนสเบิร์ก ใช้เหตุผลเพื่อปลอบขวัญผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ด้วยการรวบรวมผู้รอดชีวิตให้มาอยู่รวมกันและให้แยกห่างจากนักข่าวของแต่ละประเทศ สร้างความไม่พอใจให้นักข่าวเป็นอย่างมาก


ขณะที่ไม่พอใจ มีนักข่าวอีกหลายคนไม่เข้าใจ ภาพนักท่องเที่ยวที่ถูกฉายออกมา ในนั้นมีภาพของทหารคองโกอยู่ด้วย แล้วการตายของพวกเขาแปลกประหลาดมาก ส่วนใหญ่หัวกับร่างแยกออกจากกันเป็นการตายที่โหดเหี้ยมมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เกิดจากการถูกยิง


ที่สำคัญในภาพเหล่านั้น ไม่มีแม้แต่เงาของกองกำลังจากทางการของแอฟริกาใต้เลย นักท่องเที่ยวที่ยังไม่ทันถูกกักตัว ได้เล่าเหตุการณ์ที่ผู้ก่อการร้ายตายโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงกองกำลังของรัฐบาลแอฟริกาใต้จึงเพิ่งไปถึงเหมืองทองคำ


นี่จึงเป็นเหตุให้นักข่าวทั่วโลกตั้งคำถามกับรัฐบาลแอฟริกาใต้ แต่ทางการยึดมั่นในคำอธิบายของตัวเอง และจะไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับความสงสัยใดๆ


“เยี่ยเทียน เรื่องนี้เธอเป็นคนทำหรือเปล่า?”


ถังเหวินหย่วนที่อยู่ฮ่องกง รู้สึกตะลึงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโจฮันเนสเบิร์กเช่นกัน นักท่องเที่ยวกับผู้ก่อการร้ายที่เสียชีวิต รวมแล้วเกือบ 700 คน แต่ระยะนี้นอกจาก “เหตุการณ์โศกนาฏกรรม 911” แล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้นับว่ารุนแรงที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้


“เหล่าถัง พูดอะไรอย่างนั้นเล่า เรื่องนี้จะเกี่ยวกับผมได้อย่างไร?”


เยี่ยเทียนปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ เรื่องบางเรื่องทำได้ แต่ห้ามพูด ยังไงเสีย เยี่ยเทียนก็ทำลายกล้องวงจรปิดเหมืองทองคำหมดแล้ว ไม่มีใครจับผิดเขาได้


“โอเค ฉันจะถือว่าไม่เกี่ยวกับเธอ”


ได้ยินเยี่ยเทียนตอบแบบนั้น ถังเหวินหย่วนก็พอเดาออก เขายิ้มอย่างขมขื่น กล่าวต่อว่า


“เยี่ยเทียน เธอพักสักหน่อยก็กลับมาที่ฮ่องกงก็แล้วกัน ท่านโก่วและคนอื่นรอเธออยู่นะ อย่าออกนอกลู่นอกทางอีก!”


นอกจากซ่งเฮ่าเทียน คงไม่มีใครรู้จักเยี่ยเทียนได้ดีเท่าถังเหวินหย่วนอีกแล้ว เหตุการณ์ที่รัสเซียเพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน เหตุการณ์ยังไม่ทันสงบ เยี่ยเทียนก็ก่อเรื่องที่แอฟริกาใต้อีก เรื่องแล้วเรื่องเล่าจนถังเหวินหย่วนไม่รู้จะพูดกับเยี่ยเทียนยังไงอีก


“ไว้ค่อยว่ากันอีกที”


เยี่ยเทียนเปลี่ยนประเด็นถามว่า “เหล่าถัง เรื่องกองกำลังแม่ม่ายดำสืบได้ความว่ายังไงบ้าง?”


“ได้ความว่า กองกำลังนี้เกิดขึ้นจากการก่อตั้งโดยคน 5 คน หัวหน้าชื่อเจอร์รี รับผิดชอบวางแผนและสั่งการ รองลงมาชื่อบรูกแมน เป็นผู้สั่งการกองกำลังกลุ่มนี้ ได้รับสมญานามว่าเป็นราชาของทหารรับจ้าง!”


ถังเหวินหย่วนไม่เคยชักช้ากับสิ่งที่เยี่ยเทียนสั่งให้ทำ มือหนึ่งถือโทรศัพท์ อีกมือหนึ่งอ่านข้อความในกระดาษต่อว่า


 “ในห้าคนนี้ เคลวินรับผิดชอบการดักฟังและการเจาะรหัสคอมพิวเตอร์ เขาคือแฮ็กเกอร์อันดับต้นๆ ที่เคยเจาะเข้าระบบของเพนตากอน ไคลด์เป็นผู้ผลิตระเบิด มีชื่อเสียงพอสมควร คนกลุ่มนี้ล้วนเป็นบุคคลอันดับต้นของวงการทหารรับจ้าง”


“สี่คน? แล้วอีกคนละ?”


เมื่อเห็นว่าถังเหวินหย่วนหยุดพูด เยี่ยเทียนรีบถามต่อ


“ใจเย็นสิ ให้ฉันได้หายใจหายคอหน่อย…”


ถังเหวินหย่วนไอเพื่อให้โล่งคอ และพูดต่อ


“คนสุดท้ายชื่อแคโรล รับผิดชอบข่าวกรองให้กับกองกำลัง คนๆนี้ไม่ค่อยโผล่หน้าออกมา และไม่เข้าร่วมกระบวนการโดยตรง แต่การเคลื่อนไหวต่างๆ ของเจอร์รีล้วนแต่มาจากข่าวกรองที่เขาหามาให้”


“แคโรล? มีคนคนนี้อยู่ด้วยเหรอ? ”


เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้น และมองเหลยหู่ที่กำลังแอบฟังอยู่ ถามไปว่า


“เหลยหู่ แกรู้จักกองกำลังแม่ม่ายดำแค่ไหน เคยได้ยินชื่อแคโรลบ้างไหม?”


“ท่านเยี่ย ผม…ผมไม่รู้แผนการของเหมียวจื่อหลง นอกจากเจียงซาน ที่ผมเป็นคนพาเธอมาเอง เรื่องอื่นผมไม่รู้เลยครับ!”


หลังจากได้ยินคำสนทนาของเยี่ยเทียน เหลยหู่แทบจะร้องไห้ เนื่องจากพูดสายผ่านสัญญาณดาวเทียม เสียงจากสายไม่ค่อยชัดเจนมากนัก แต่เหลยหู่ก็ได้ยินบทสนทนาของเยี่ยเทียนกับถังเหวินหย่วนทั้งหมด


เขาฟังจนถึงเมื่อครู่ เหลยหู่เพิ่งรู้ว่าเยี่ยเทียนทำอะไรไปบ้างที่แอฟริกาใต้ ใจของเขาชาไปหมด หลังของเขาเหงื่อไหลเปียกโชกจนเสื้อชุ่มไปทั้งตัว



 

 

 


ตอนที่ 817 สยองขวัญกลางอากาศ (1)

 

เหลยหู่ไม่รู้จักกลุ่มทหารรับจ้างแม่ม่ายดำ แต่เขารู้เรื่องที่เหมียวจื่อหลงใช้เงินมากมายจ้างทหารจากคองโก แม้จะเรียกว่าเป็นกลุ่ม แต่คนหกเจ็ดร้อยกว่าคนนี้ก็เป็นทหารที่เคยรบจริงมาก่อน


ทหารที่ฆ่าคนเป็นว่าเล่นกลุ่มนี้นี่แหละ ที่ถูกเยี่ยเทียนฆ่าเกือบสี่ร้อยคน และที่สำคัญข้อมูลที่รัฐบาลแอฟริกาใต้ประกาศออกมา อาจจะปิดบังบางอย่างเอาไว้ คนที่ตายด้วยฝีมือของเยี่ยเทียนอาจจะมีมากกว่านั้น


ถ้าไม่ใช่เพราะเขาโทรหาถังเหวินหย่วน เหลยหู่คิดไม่ถึงเลยว่า คนที่เขาพบเจอเมื่อวาน คนที่มีใบหน้าซีดขาวอย่างเยี่ยเทียน จะเป็นคนที่ก่อเหตุฆาตกรรมในครั้งนี้ ความนิ่งของเยี่ยเทียนมันยิ่งทำให้เขาเหมือนเป็นปีศาจ


เหลยหู่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดเป็นศัตรูกับเยี่ยเทียนอีกแล้ว เขาเข้าใจแล้วว่าระหว่างเขากับเยี่ยเทียนแตกต่างกันมากแค่ไหน ถ้าฝ่ายตรงข้ามอยากจะฆ่าเขาละก็ คงไม่ยากไปกว่าการฆ่ามดตัวหนึ่ง


“นั่งลงเถอะ ถ้าไม่รู้ ก็ไม่ต้องรู้เลยดีกว่า!”


เยี่ยเทียนโบกมือ เมื่อเห็นหน้าเหลยหู่ที่เกือบจะร้องไห้ จึงพูดผ่านไมโครโฟนโทรศัพท์ว่า


 “เหล่าถัง ผมไม่เห็นแคโรลเลย ตรวจสอบได้มั้ยว่าเขาอยู่ไหน? ”


“เยี่ยเทียน ทำไมเหลยหู่อยู่บนเครื่องบินด้วย? ”


ถังเหวินหย่วนไม่ตอบคำถามของเยี่ยเทียน แต่พูดว่า


“ฉันกับเหลยหู่รู้จักกันมานาน จะพูดว่าเลี้ยงดูเหลยหู่จนโตก็ว่าได้ แม้ว่าไอ้หมอนั่นจะทำสิ่งที่ไม่ดีกับเธอเอาไว้ แต่ช่วยเห็นแก่หน้าฉัน ไว้ชีวิตมันด้วยได้มั้ย? ”


การประชุมใหญ่สมาคมหงเหมินเมื่อหลายปีก่อน ถังเหวินหย่วนอยู่ในงานด้วย ทำให้เขาพอรู้เรื่องบาดหมางระหว่างเหลยหู่กับเยี่ยเทียนอยู่บ้าง แต่เขากับเหลยเจิ้นเทียนรู้จักกันมาหกสิบกว่าปี เขาทนดูลูกหลานคนนี้ตายในมือของเยี่ยเทียนไม่ได้หรอก


“ได้…”


เยี่ยเทียนเงยขึ้นมองเหลยหู่ที่อยู่ไม่สุข เขาพูดออกไปด้วยความลังเล


“เหล่าถัง ช่วงนี้ผมทำนายฟ้าดินไม่ได้ รู้สึกไม่ค่อยดี คุณรีบหาตำแหน่งที่อยู่ของแคโรลให้หน่อย ด่วนเลยนะ”


“ตกลง ฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย ! ”


ถังเหวินหย่วนฟังออกว่าเยี่ยเทียนจริงจังมาก เขาไม่ได้ถามอะไรต่อ พอรับปากเสร็จก็วางสายทันที


เหลยหู่เห็นเยี่ยเทียนวางสายไป เขายืนขึ้นเหมือนเด็กน้อยและพูดว่า


“ท่านเยี่ยครับ ท่าน…ท่าน…”


“ความผิดฐานความตายละไว้ได้ จะให้เว้นชีวิตคงยาก แต่แกมันโชคดี ! ”


เยี่ยเทียนทำเสียงไม่พอใจใส่ แม้ว่าเหลยเจิ้นเทียนจะออกจากสมาคมหงเหมินไปแล้ว แต่เขาก็มีลูกศิษย์มากมาย ถ้าเขาฆ่าเหลยหู่ มันอาจจะคลายความโกรธลงได้ แต่นั่นจะเป็นการทิ้งภัยแฝงไว้ให้คนในครอบครัว ซึ่งเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย


เยี่ยเทียนก็มองออกว่าเหลยหู่กับคนที่อยากจะฆ่าตนให้ตายอย่างซ่งเสี่ยวหลงไม่เหมือนกัน ครั้งนี้เหลยหู่ดูเหมือนจะยอมจำนนแล้วจริงๆ หากส่งให้เหลยเจิ้นเทียนเป็นคนจัดการต่อ ในภายภาคหน้าก็คงจะไม่ทำร้ายตนเองอีก


“เอ๊ะ แปลกมาก ทำไมเส้นโชคถึงปรากฏบนหน้าของเหลยหู่ ? ”


หลังจากที่เยี่ยเทียนพูดเสร็จ เขาพบว่า สีดำตรงหว่างคิ้วของเหลยหู่จางลงแล้ว ลมแห่งความตายอันนั้นก็หายไปแล้วเหมือนกัน แต่ตรงแก้มขวา มีเส้นสีเขียวแกมน้ำเงินปรากฏขึ้น


“นี่มันลักษณะของคนพิการนี่” เ


มื่อเห็นเส้นสีเขียวแกมน้ำเงินบนหน้าเหลยหู่เส้นนั้น เยี่ยเทียนก็เริ่มทำนาย นิ้วโป้ง นิ้วกลางและนิ้วชี ทั้งสามนิ้วแตะกัน แล้วเยี่ยเทียนก็ส่ายหัว เพราะภาพที่เกิดขึ้นมันหายไปเร็วมาก จนเขาไม่สามารถทำนายเรื่องราวอะไรได้เลย


เหลยหู่ขนลุกซู่เพราะถูกเยี่ยเทียนจ้องหน้าไม่หยุด เขากัดฟันพูดว่า


 “ท่านเยี่ย ท่านพูดมาตรงๆ เลยก็ได้ครับ จะลงโทษโทษสามมีดหกรู ผมก็ยอมรับครับ ! ”


ถึงแม้เหลยหู่จะถอนตัวตามพ่อแล้ว แต่พวกเขาก็ยังเป็นคนของสมาคมหงเหมิน คนสมาคมเดียวกัน ฆ่ากันเอง จะต้องรับโทษจากสภาตุลาการ บทลงโทษสามมีดหกรูถือว่าเบามากแล้ว ถ้าเยี่ยเทียนเคร่งครัดขึ้นมาจริง ๆ ตัดแขนและขาอย่างละข้างยังถือว่าเป็นบทลงโทษที่เบามากเช่นกัน


“โทษสามมีดหกรูเหรอ แกคิดว่าแกเป็นผู้อาวุโสของสมาคมหรือไง? ”


เยี่ยเทียนหัวเราะกับสิ่งที่ได้ยินและพูดว่า


“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฟ้าก็แล้วกัน ฉันจะไม่ทำอะไรแก แกไม่ต้องเป็นห่วง”


เยี่ยเทียนเขียนเบอร์โทรในกระดาษอีกครั้ง เขาเรียกแอร์โฮสเตสและพูดว่า


“ช่วยโทรเบอร์นี้อีกหน่อยครับ”


หลังจากมีคนรับสาย เยี่ยเทียนพูดเปิดประเด็นทันทีว่า


“เหล่าหม่า ช่วยผมเช็คหน่อย ว่าแคโรล ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”


“ครับ อีกห้านาทีเดี๋ยวจะแจ้งกลับครับ! ”


มาลาไกย์รู้ว่าแคโรลที่เยี่ยเทียนพูดถึงคือใคร หลังจากรับคำสั่งเสร็จ เขาพูดว่า


“บอสส์ เก่งมาก จัดการกลุ่มทหารรับจ้างแม่ม่ายดำจนหมด! ”


ในสายตาของทหารรับจ้างระหว่างประเทศอย่างมาลาไกย์ มีคนตายในเหมืองทองคำนับร้อยคนถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่การล่มสลายของกลุ่มทหารรับจ้างแม่ม่ายดำถือเป็นเรื่องใหญ่มาก และตอนนี้ทหารรับจ้างทั่วโลกก็กำลังวิจารณ์เรื่องนี้อยู่


“อย่าพูดมาก เช็คเสร็จแล้วรีบโทรมาหาผม! ”


เยี่ยเทียนพูดเสร็จก็วางสายทันที เขาก็รอคำตอบจากถังเหวินหย่วนเหมือนกัน


เยี่ยเทียนเพิ่งวางสาย เสียงสายเรียกเข้าจากถังเหวินหย่วนก็ดังขึ้น แต่เยี่ยเทียนต้องผิดหวังเพราะ             ถังเหวินหย่วนไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับแคโรลเลย เขาจึงทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับมาลาไกย์แทน


เวลาผ่านไปห้านาที เสียงมือถือของเยี่ยเทียนก็ดังขึ้นมา เสียงของมาลาไกย์ดังขึ้นในสายพูดว่า


“บอสส์ครับ เมื่อสามวันก่อน มีคนเห็นแคโรลที่เคปทาวน์ แต่หลังจากนั้นเขาไปไหนผมเช็คแล้วแต่ไม่พบครับ ! ”


แม้ว่ากองกำลังของมาลาไกย์จะสู้กลุ่มแม่ม่ายดำไม่ได้ แต่ก็อยู่ในอันดับที่ห้าของทหารรับจ้างนานาชาติ มาลาไกย์มีระบบข่าวกรองเฉพาะในแบบของเขา ซึ่งก็คือการติดสินบนเจ้าหน้าที่ในสนามบินสำคัญของประเทศต่างๆ ให้พวกเขาช่วยตรวจสอบเรื่องที่คนทั่วไปไม่ค่อยสนใจกัน


ที่สนามบินเคปทาวน์มีคนของมาลาไกย์อยู่ ที่บังเอิญไปกว่านั้นคือเจ้าหน้าที่คนนี้เคยเห็นแคโรล พอทราบเรื่องเขาก็แจ้งเรื่องของแคโรลให้กับมาลาไกย์ทันที แม้แต่มาลาไกย์ก็คิดไม่ถึงว่าจะหาข้อมูลที่เยี่ยเทียนต้องการได้เร็วขนาดนี้


“เคปทาวน์? ”


เยี่ยเทียนรู้สึกชาไปหมด เขาตอบว่า


“โอเค เหล่าหม่า ขอบคุณมาก! ”


พอวางสายเสร็จ เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นมองไปที่แอร์โฮสเตส เขาพูดว่า


“เครื่องบินลำนี้ลงจอดที่สนามบินเคปทาวน์ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ? ”


“วันนี้เป็นวันที่สี่แล้วค่ะคุณเยี่ย มีอะไรหรือเปล่าคะ? ”


สำหรับเจ้าหน้าที่บนเครื่องบินลำนี้ การบินในครั้งนี้เหมือนการพักร้อน หลังจากบินถึงเคปทาวน์พวกเขาก็บินไปที่ชายหาดของแอฟริกาใต้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนตัดสินใจบินวันนี้ สาวๆแอร์โฮสเตสอยากจะไปเที่ยวโจฮันเนสเบิร์กต่อ


“วันที่สี่? ”


เยี่ยเทียนตาลุกวาว เขาถามต่อว่า


“สี่วันนั้น ใครรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของเครื่องบิน? ”


“คนในสนามบินเคปทาวน์สิคะ การป้องกันและการบำรุงรักษา เจ้าหน้าที่สนามบินเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมดค่ะ”


แอร์โฮสเตสรู้สึกงงกับคำถามของเยี่ยเทียน เวลาที่พวกเธอบินไปถึงที่ไหน พวกเธอจะต้องจ่ายเงินจำนวนไม่น้อยให้กับสนามบิน เป็นค่าจอดท่า เติมน้ำมันและบำรุงซ่อมแซม


“ที่แท้มีช่องโหว่ตรงนี้นี่เอง! ”


เยี่ยเทียนตบที่วางมือของเก้าอี้อย่างแรง ที่วางมือทำด้วยโลหะผสมถูกตบจนยุบเข้าไป แม้แต่เครื่องบินก็เกือบเอียงไปข้างหนึ่ง ส่วนแอร์โฮสเตสก็ตกใจจนหน้าเสียไปทีเดียว


เมื่อเห็นที่วางมือถูกตบจนเปลี่ยนรูป สายตาแห่งความเย้ายวนของแอร์โฮสเตสก็หายไปทันที หล่อนพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า


“คุณเยี่ย ถ้า…มีอะไรที่ไม่พึงพอใจ บอกพวกเราได้เลยนะคะ ขอ…ความกรุณาอย่าทำลายสิ่งของบนเครื่องบินด้วยค่ะ”


“รบกวนติดต่อกัปตันให้ผมด่วน ให้เขาลงจอดที่สนามบินที่ใกล้ที่สุด! ”


เมื่อได้รับข้อมูลว่าแคโรลเคยหยุดอยู่ที่เคปทาวน์มาก่อน ใจของเยี่ยเทียนยิ่งรู้สึกว้าวุ่นขึ้นไปอีก เขาฟันธงได้ทันทีว่าแคโรลจะต้องทำอะไรบางอย่างกับเครื่องบินลำนี้เป็นแน่


ผนวกกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นก่อนตายของเจอร์รี ใจของเยี่ยเทียนยิ่งรู้สึกเย็นวูบ


เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเจอร์รีจะเช็คจนรู้ว่าเครื่องบินลำนี้ถูกยืมโดยเขา และยังเช็คจนรู้ถึงเวลาที่เครื่องบินลงจอด ความแยบยลของเจอร์รีหาใช่คนปกติจะเทียบได้


เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนที่จริงจังมาก แอร์โฮสเตสไม่รอช้า โทรแจ้งให้กัปตันรับทราบทันที จากนั้นเสียงประกาศของกัปตันก็ดังขึ้น


“คุณเยี่ยครับ เกิดอะไรขึ้นครับ? ตอนนี้เรากำลังบินผ่านเขตพายุ ขอให้ทุกท่านนั่งอยู่กับที่และอย่าลุกไปไหน! ”


เยี่ยเทียนใจเต้นตุบตับ เขาแย่งเครื่องมือติดต่อจากมือของแอร์โฮสเตสและตะโกนเข้าไปในสายว่า


“บัดซบ ผมขอสั่งให้คุณลงจอดที่สนามบินที่ใกล้ที่สุดเดี๋ยวนี้ ไม่เข้าใจที่ผมพูดหรือไง? ”


ในเวลานี้ เยี่ยเทียนรู้สึกไม่ต่างจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 911 ตอนที่กระโดดจากตึกสูงแล้วโดนแผ่นหินตกใส่ ความรู้สึกของการมีชีวิตใกล้ความตายแบบนั้น มันทำให้รูขุมขุนร้อยแปดพันเก้าเปิดออกทั้งหมด ลมเย็นเฉียบซึมเข้ารูขุมขนและส่งขึ้นไปยังสมอง


“ขออภัยครับคุณเยี่ย พวกเราบินเข้าเขตพายุแล้ว หลังจากผ่านเขตนี้ไป เราทำการบินอีกสองชั่วโมงก็จะลงจอดที่ลานจอดเครื่องบินของเกาะเล็กๆแถวมหาสมุทรอินเดียครับ! ”


แม้ว่าเยี่ยเทียนจะสบถคำหยาบออกไป แต่กัปตันผู้มีฐานะไม่ธรรมดาคนนี้ ก็ยังอธิบายให้เยี่ยเทียนฟังอย่างอดทน พวกเขาบินออกจากแอฟริกาใต้มาแล้วกว่าสี่ชั่วโมง ตอนนี้กำลังบินอยู่บนน่านน้ำมหาสมุทรอินเดีย และด้านล่างนี้ก็คือมหาสมุทร ซึ่งเครื่องบินไม่สามารถลงจอดได้


“เฮ้อ พระเจ้าล้อผมเล่นใช่มั้ย? ”


เยี่ยเทียนกำลังอยากพูดต่อ แต่ด้วยการสั่นของเครื่องบินที่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้เขาพูดต่อไม่ได้ ขณะเดียวกันเครื่องบินก็เริ่มสั่นรุนแรงขึ้น หากมองจากหน้าต่าง สามารถมองเห็นฟ้าแลบที่อยู่ด้านล่างได้อย่างชัดเจน


……-


“ได้เวลาแล้วมั้ง? ”


ในโรงแรมธรรมดาเล็กๆแห่งหนึ่งที่เคปทาวน์ ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่ากำลังมองเครื่องจับเวลาในมือ และแสดงสีหน้าที่เศร้าหมองออกมา


“เจอร์รี คุณเคยบอกว่าจะลากศัตรูคนสุดท้ายลงนรกด้วย สบายใจเถอะนะ ผมคิดว่าเขาคนนั้นกำลังจะได้เจอคุณในเร็วๆ นี้แหละ!”


แคโรลรู้เรื่องกลุ่มทหารรับจ้างแม่ม่ายดำตั้งนานแล้ว สาเหตุที่เขายังอยู่เคปทาวน์ต่อ ก็เพื่อรอฟังข่าวเครื่องบินตกนั่นเอง



 

 

 


ตอนที่ 818 สยองขวัญกลางอากาศ (2)

 

ความรอบคอบของเจอร์รี เกินความคาดหมายของเยี่ยเทียนมาก ตั้งแต่วันแรกที่เยี่ยเทียนเข้าพักในโรงแรม เขาก็สั่งให้แคลวินเจาะระบบคอมพิวเตอร์ของโรงแรมทำให้เขาควบคุมข้อมูลการติดต่อกับภายนอกทั้งหมดของเยี่ยเทียนไว้ได้


ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อระหว่างเยี่ยเทียนกับถังเหวินหย่วน และการยืมเครื่องบินส่วนตัวของหลี่เชาเหริน ข้อมูลทุกอย่างถูกบันทึกและเป็นที่รับรู้ของเจอร์รี แม้แต่เครื่องบินจะลงจอดที่เคปทาวน์เมื่อไหร่ก็ด้วยเช่นกัน


แคโรลไม่มีความสามารถเรื่องการต่อสู้เลย แต่ความสามารถในการหาข้อมูลและการสอดแนม เขามีพรสวรรค์ที่คนทั่วไปเทียบไม่ได้


ในวันที่เครื่องบินลงจอดที่เคปทาวน์วันแรก เพื่อเข้าใกล้เครื่องบินส่วนตัวลำนี้ แคโรลปลอมตัวเป็นพนักงานซ่อมบำรุงของสนามบิน และนำระเบิดพลาสติก C4 แท่งหนึ่งใส่เข้าไปตรงจุดที่ใกล้เครื่องยนต์


ระเบิดที่แคโรลใส่ไว้ในเครื่องบิน ถูกคิดค้นและผลิตเองกับมือโดยไคลด์ มันคือระเบิด C4 ที่หุ้มด้วยยางไม้ละลายได้ เมื่อถูกลมแรงพัดใส่ ยางไม้จะละลายทีละนิด


หลังจากยางไม้ชั้นนอกละลายหมด ระเบิดก็จะทำงานทันที เวลาที่ไคลด์ตั้งเวลาไว้คือห้านาที ถ้าผ่านไปสามร้อยวินาที เครื่องบินส่วนตัวที่เยี่ยเทียนนั่งอยู่ก็จะระเบิดกลางอากาศ


พูดได้เลยว่าการลอบฆ่าแบบนี้จะป้องกันล่วงหน้ายากมาก เพราะยางไม้ละลายได้ที่ไคลด์นำมาใช้ เทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถตรวจจับได้ เยี่ยเทียนจึงรู้สึกไม่ดีมาโดยตลอด แต่ก็ไม่พบสาเหตุที่แท้จริง


“สามชั่วโมงแล้วนะเจอร์รี กลุ่มทหารรับจ้างแม่ม่ายดำของพวกเรา ยังคงเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และเป็นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น! ”


แคร์โรลคว้าเหล้าจากบนโต๊ะและเริ่มดื่ม  การล่มสลายของกลุ่มทหารรับจ้างแม่ม่ายดำ เป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดเส้นทางชีวิตทหารรับจ้างของเขาเช่นกัน เขาต้องการทำความหวังสุดท้ายของเจอร์รีให้สำเร็จ


จากการออกแบบของไคลด์ ยางไม้อยู่ได้ประมาณสามชั่วโมง นั่นเท่ากับว่า ดาบของเทพแห่งความตายได้ชูขึ้นเหนือเครื่องบินลำนั้นแล้ว และชีวิตของคนในเครื่องบินทั้งหมดกำลังนับถอยหลัง


…………


“คุณเยี่ยครับ แม้ว่าคุณจะเป็นแขกพิเศษของคุณหลี่ แต่ในฐานะกัปตันของเครื่องบินลำนี้ ผมไม่สามารถทำตามคำขอของคุณได้ครับ! ”


เดินทางมาหลายพันไมล์ กัปตันเครื่องบินส่วนตัวของคุณหลี่ ได้ปรากฏตัวขึ้นในห้องผู้โดยสาร เครื่องบินกำลังบินผ่านเขตฟ้าผ่าซึ่งควบคุมโดยผู้ช่วยกัปตัน


ในสายตาของกัปตัน คำขอของเยี่ยเทียนเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเลย แล้วระยะห่างจากตรงนี้กับจุดลงจอดที่ใกล้ที่สุดจะต้องใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง แต่เยี่ยเทียนสั่งให้ลงจอดเดี๋ยวนี้ ยังไม่พูดถึงเรื่องฟ้าร้องกับฟ้าผ่า ด้านล่างก็เป็นผืนน้ำกลางมหาสมุทร เครื่องบินไม่สามารถลงจอดได้ด้วยซ้ำ


“กัปตัน ผมสงสัยว่ามีคนวางระเบิดบนเครื่องบินลำนี้ และมันใกล้จะระเบิดแล้วด้วย ถ้าไม่ลงจอด พวกเราทุกคนจะตายกันหมด! ”


 เยี่ยเทียนแสดงสีหน้าวิตกกังวลมากที่สุดออกมา แม้จะเป็นเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 911 เขาก็ไม่มีความรู้สึกว่ามีความสามารถแต่ทำอะไรไม่ได้แบบนี้ สุดท้ายแล้วที่ความสูงถึงหมื่นเมตร แม้ว่าเยี่ยเทียนจะสามารถหนีออกจากเครื่องบินได้ แต่คนอื่นๆ ที่อยู่บนเครื่องบินก็คงไม่มีใครรอด


เหลยหู่กับแอร์โฮสเตสจะไม่สนใจก็ได้ แต่เจียงซานเยี่ยเทียนปล่อยไว้ไม่ได้ คนที่มีพรสวรรค์ด้านการทำนายอย่างหล่อนคงหาเจอได้ยาก ฉะนั้นไม่ว่าจะต้องทำยังไงเยี่ยเทียนก็จะรักษาเด็กสาวคนนี้ไว้ให้ได้


“คุณเยี่ย เป็นไปไม่ได้ครับ! ”


กัปตันไม่เชื่อสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด เขาพูดว่า


“เครื่องบินของเรา ก่อนทำการบินขึ้น จะต้องได้รับการตรวจเช็คความปลอดภัยถึงสองครั้ง ผมยืนยันได้ว่าบนเครื่องบินไม่มีทางมีระเบิดอย่างแน่นอน…”


ในฐานะมหาเศรษฐีชาวจีนอันดับต้นๆ หลี่เชาเหรินจะต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตัวเองอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่เขานั่งหรือเครื่องบินส่วนตัว ทุกอย่างจะต้องได้รับการตรวจเช็คความปลอดภัยด้วยชุดตรวจเฉพาะก่อนใช้งานทุกครั้ง


เดิมทีบอดี้การ์ดของหลี่เชาเหรินจะเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ครั้งนี้เป็นการให้ผู้อื่นยืมใช้เครื่องบิน งานตรวจเช็คความปลอดภัยจึงเป็นหน้าที่ของกัปตันแทน อุปกรณ์ที่กัปตันใช้เป็นอุปกรณ์ใหม่ล่าสุด แม้แต่วัตถุโลหะขนาดเล็กเท่าเส้นผม ก็สามารถตรวจเจอได้


เครื่องบินลำนี้ก็เหมือนชีวิตของกัปตัน เขารักเครื่องบินลำนี้มากกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก และเขามั่นใจว่าได้ตรวจเช็คแล้วทุกซอกทุกมุม ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกว่าเยี่ยเทียนกำลังทำสิ่งที่ไร้เหตุผลอยู่


“คุณมั่นใจ? ”


เมื่อเห็นท่าทีอันหนักแน่นของกัปตัน เยี่ยเทียนส่ายหัวและพูดว่า


“คุณรู้จักจั่วเจียจวิ้นมั้ย? ”


“จั่วเจียจวิ้น? ”


กัปตันชะงักไปครู่หนึ่ง และถามว่า


“คุณหมายถึงอาจารย์จั่วแห่งฮ่องกงเหรอครับ? ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของอาจารย์อยู่แล้ว”


ที่ฮ่องกง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง หรือประชาชนทั่วไป ไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของจั่วเจียจวิ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนสังคมชั้นสูง ชื่อเสียงของจั่วเจียจวิ้นดังกว่าพวกดาราของเกาะฮ่องกงเสียอีก


“ผมเป็นศิษย์น้องของจั่วเจียจวิ้น และผมทำนายได้ว่าเครื่องบินลำนี้มีระเบิด คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อล่ะ? ”


เยี่ยเทียนไม่รอให้กัปตันตอบ พูดต่ออีกว่า


“ผมรู้ว่าเครื่องบินลำนี้สามารถลงจอดที่เซี่ยงไฮ้ได้ เราทำการลงจอดและออกจากเครื่องบินก่อน ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ค่อยบินขึ้นอีกครั้งก็ไม่สายนี่ กัปตัน ผมคิดว่าเราต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเองก่อนหรือเปล่า? ”


คนอย่างหลี่เชาเหริน ต้องมีการป้องกันเรื่องเหตุฉุกเฉินอยู่แล้ว ตอนที่ขึ้นเครื่อง เยี่ยเทียนสังเกตุเห็นแล้วว่าใต้ท้องเครื่อง บริเวณใกล้กับล้อยาง มีแลนดิ้งเกียร์อยู่ น่าจะใช้กับการบินขึ้นและร่อนลงบนน่านน้ำได้


“คุณเป็นศิษย์น้องของอาจารย์จั่ว? ”


สีหน้าของกัปตันดูไม่เชื่อ ความสามารถการทำนายของอาจารย์จั่วเป็นที่รู้กันในฮ่องกง แล้วศิษย์น้องของอาจารย์เป็นคนพูดออกมา ก็คงมีน้ำหนักอยู่บ้างแหละ


“ช่วยผมโทรไปที่เบอร์นี้หน่อยครับ! ”


เยี่ยเทียนเขียนเบอร์โทรเบอร์หนึ่งอย่างรวดเร็ว และยื่นให้กับแอร์โฮสเตสที่กำลังงุนงงอยู่


“เยี่ยเทียน ฉันเพิ่งรู้จากเหล่าถังว่าเธอโทรมา ฉันกำลังจะโทรหาเธออยู่พอดี!”


เสียงของจั่วเจียจวิ้นดังขึ้นในสาย


“ศิษย์พี่ใหญ่ทำนายเมื่อเช้า รู้สึกจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับเธอ เธอต้องระวังตัวหน่อยนะ ลมพัดคลื่นใหญ่ก็ผ่านมาหมดแล้ว อย่าให้เรือพลิกคว่ำที่คูน้ำเชียวล่ะ! ”


“ศิษย์พี่ใหญ่รู้แล้วเหรอ? ”


เยี่ยเทียนอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินแต่มันก็ยิ่งทำให้เขาเชื่อในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก โบราณเคยกล่าวไว้ว่าการทำนายไม่สามารถหยั่งรู้เรื่องของตนได้ เยี่ยเทียนไม่สามารถทำนายตัวเองและคนรอบตัวได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความโก่วซินเจียจะทำนายออกมาไม่ได้ พลังฝีมือของโก่วซินเจียอาจสู้เยี่ยเทียนไม่ได้ แต่ความเชี่ยวชาญของศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเสื้อป่านก็แกร่งกว่าเยี่ยเทียนที่ไม่เอาถ่านมาก


“ตอนนี้เธออยู่บนเครื่องบินใช่มั้ย? ศิษย์พี่ใหญ่ฝากบอกว่าให้เธอรีบออกมาจากตรงนั้น! ”


จั่วเจียจวิ้นพูดอีกครั้ง ข้างๆ มีเสียงของถังเหวินหย่วนกับโก่วเซินเจียด้วย


เยี่ยเทียนยิ้มอย่างหดหู่พูดว่า


“ศิษย์พี่จั่ว ผมก็รู้สึกแปลกๆ และสงสัยว่ามีคนวางระเบิดบนเครื่องบินลำนี้ แต่กัปตันที่เป็นคนฮ่องกง ผมสั่งให้เขาเอาเครื่องลงจอดบนมหาสมุทรแล้ว เขาไม่เชื่อผมครับ! ”


“ฉันคือถังเหวินหย่วน นำเครื่องลงด่วน ถ้ามีอะไรเดี๋ยวฉันจะคุยกับคุณหลี่เอง จะต้องทิ้งเครื่องบินก็ไม่เป็นไร! ”


จั่วเจียจวิ้นยังไม่ทันพูด แต่กลับเป็นถังเหวินหย่วนที่เริ่มกังวล แม้ว่าเครื่องบินลำนี้มีมูลค่าสูงมาก แต่เครื่องบินหนึ่งร้อยลำก็เทียบกับชีวิตของเยี่ยเทียนไม่ได้


“คุณถัง? ”


เสียงในสายพูดดังมาก กัปตันเองก็ได้ยินอย่างชัดเจน เขารู้ว่าเครื่องบินลำนี้ ถังเหวินหย่วนเป็นคนไปยืมกับเถ้าแก่ของตน เขาเริ่มลังเลและไม่แน่ใจว่าจะฟังคำสั่งของเยี่ยเทียนดีหรือไม่


“เดี๋ยวฉันจะโทรหาคุณหลี่ เยี่ยเทียน บอกตำแหน่งของพวกเธอมาหน่อย ฉันจะหาคนในแอฟริกาไปรับพวกเธอเอง”


ถังเหวินหย่วนไม่สงสัยในความสามารถของเยี่ยเทียน ในเมื่อเขาบอกว่ามีระเบิดอยู่บนเครื่องบิน แปลว่ามีมูลความจริง คนทำงานแบบไม่รีรออย่างถังเหวินหย่วน พอทราบเรื่อง เขาก็เริ่มจัดการวางแผนต่อทันที


“ครับ รอให้ผ่านเขตพายุไปแล้ว ผมจะบินลงทันที! ”


สุดท้ายกัปตันก็กัดฟันรับปาก เขาเป็นเพียงพนักงานรับจ้าง ไม่ว่าจะเป็นสถานะหรือฐานะก็ไม่อาจเทียบเทียมกับเยี่ยเทียนและคนอื่น ในเมื่อมีถังเหวินหย่วนอยู่ด้วย แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเถ้าแก่ก็คงไม่ตำหนิเขาหรอก


“ครับศิษย์พี่จั่ว งั้นผมขอวางสายก่อน ศิษย์พี่รองรีบให้เหล่าถังจัดการเลยนะครับ! ”


เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปแล้วของกัปตัน เยี่ยเทียนรู้สึกโล่งใจมากขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะโหดเหี้ยมกับศัตรู แต่เจ้าพนักงานบนเครื่องบินเหล่านี้เป็นแค่คนทั่วไป เยี่ยเทียนมีเคารพต่อชีวิตของทุกคน และเขาเองก็ไม่อยากให้คนเหล่านี้ต้องเสียชีวิตเพราะเขา


กัปตันเชื่อในสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมากขึ้น หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างเยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้น แล้วคนที่อ้าปากก็เรียกถังเหวินหย่วนว่าเหล่าถัง บนโลกนี้มีไม่กี่คน ดังนั้นสถานะของเยี่ยเทียนจึงไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน


“ท่านเยี่ย มีระเบิดอยู่บนเครื่องจริงเหรอ? ”


พอเยี่ยเทียนพูดกับกัปตันเสร็จ เหลยหู่ก็ถามออกไป บทสนทนาเมื่อครู่ทำให้เขาเหงื่อแตกไปหมด


“อืม แปดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ไอ้พวกนั่นจัดการยากจริงๆ”


เยี่ยเทียนพยักหน้า หันไปมองเจียงซาน และพูดว่า “เหลยหู่ แกมันเก่งมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กผู้หญิงคนนี้ได้เจอฉัน แล้วเปลี่ยนเป็นคนอื่นแทน หล่อนคงตายคามือพวกแกแล้วมั้ง”


ความสามารถของเจียงซานแปลกมาก คลื่นความคิดที่กระจายออกมาจากตัวของหล่อน สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของคนทั่วไปได้ด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะพลังของเยี่ยเทียนที่แกร่งเกินไป เยี่ยเทียนอาจจะกลายเป็นเป้ายิงของกองกำลังกลุ่มนั้นแล้วก็ได้


“แฮะๆ ท่านเยี่ย นั่นเพราะเหลยหู่ไม่รู้ประสีประสา ผมรู้ว่าท่านเป็นคนใจกว้าง ท่านปล่อยผมไปเถอะครับ ! ”


หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เหลยหู่ไม่กล้าคิดต่อต้านเยี่ยเทียนอีกเลย ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น อาจจะไม่เชื่อว่าคนที่จะพูดคำนี้ออกมาคือผู้อาวุโสแห่งตำหนักอาญา


“แก…แกนี่มันปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ได้จริงๆ นะ”


คำพูดของเหลยหู่ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกจะหัวเราะก็ไม่ใช่จะร้องไห้ก็ไม่เชิง คนตรงข้ามเยี่ยเทียนเป็นคนอายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่ยังกล้าพูดแบบนี้ออกมาอีก


“หืม ไม่สิ!” ตอนที่เยี่ยเทียนอยากจะพูดต่อ จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นอย่างรุนแรง สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนไปทันที



 

 

 


ตอนที่ 819 สยองขวัญกลางอากาศ (3)

 

“เกิดอะไรขึ้น? โอ้ย! ”


แอร์โฮสเตสที่ยืนอยู่ข้างหน้าเยี่ยเทียนเซตามการสั่นสะเทือนของเครื่องบินจนล้มลงที่อกของเขา ครั้งนี้หล่อนไม่ได้แกล้งทำ แต่ล้มลงเพราะการสั่นที่รุนแรงมาก ราวกับว่าเครื่องบินกำลังพลิกไปพลิกมาอยู่กลางอากาศ


เยี่ยเทียนไม่มีอารมณ์มานั่งสงสารเอ็นดู เขาคว้าไหล่ของหญิงสาวไว้และดึงให้เธอนั่งลงที่เก้าอี้ คาดเข็มขัดนิรภัยล็อกเธอเอาไว้


ตอนนี้เยี่ยเทียนเครียดมาก สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่พายุกับหลุมอากาศที่กำลังบินผ่าน แต่เมื่อสักครู่ เขารู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัวและหัวใจก็เต้นเร็วขึ้น


“ไม่สิ มันกำลังจะระเบิดแล้ว! ”


สายตาของเยี่ยเทียนมองทะลุเครื่องบินและพบว่ายางไม้ของระเบิด C4 ละลายหมดแล้ว และตรงกลางของระเบิดพลาสติกนั่น มีเครื่องจับเวลาเล็กเท่าเล็บมือเริ่มนับถอยหลัง


“บัดซบ นี่มันพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกเหรอว่ะ! ”


เยี่ยเทียนลุกพรวดขึ้น เข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้ยังต้านแรงไม่อยู่ เขาหันไปคว้าเครื่องติดต่อที่ติดอยู่ข้างหูของแอร์โฮสเตสและตะโกนเสียงดังว่า


“นำเครื่องลงเดี๋ยวนี้ คุณมีเวลาแค่สามนาทีเท่านั้น! ”


“คุณเยี่ย คุณจะทำอะไร? นั่งลงครับ เครื่องบินสั่นมาก! ”


แอร์โฮสเตสจ้องมองเยี่ยเทียนอ้าปากตาค้าง เธอก็ไม่เข้าใจว่าเยี่ยเทียนสลัดหลุดจากเข็มขัดนิรภัยที่รองรับแรงดึงที่มากถึงหนึ่งพันกิโลนี้ได้อย่างไร?


“ถ้ารอจนนิ่ง ชีวิตเธอก็จบเห่แล้ว”


ไม่ว่าเครื่องบินจะเอียงไปทางไหน เยี่ยเทียนก็สามารถยืนทรงตัวอยู่บนเครื่องบินได้โดยไม่ขยับ ราวกับตอกตะปูลงพื้นไปเรียบร้อย


“บ้าเอ้ย รอให้เครื่องลงจอดก็ไม่ทันแล้ว! ”


เยี่ยเทียนปล่อยญาณสัมผัสออกมาพบว่าเหลือเวลาอีกแค่สองร้อยกว่าวินาที เขารีบหันไปหาแอร์โฮสเตสและถามว่า “มีร่มชูชีพอยู่บนครื่องมั้ย? มีครบทุกคนมั้ย? ”


เยี่ยเทียนรู้ว่าสายการบินทั่วไปไม่มีร่มชูชีพ เพราะร่มชูชีพมีน้ำหนักที่หนักมาก ถ้าร่มชูชีพจำนวนเป็นร้อยวางอยู่บนเครื่องบิน ก็จะไม่สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากเท่าไหร่ แล้วอีกอย่าง สายการบินทั่วไปมักจะบินอยู่บนความสูงระดับหมื่นเมตรขึ้นไป


แล้วความสูงระดับนั้น มีความแตกต่างของแรงดันอากาศที่ค่อนข้างมาก  ห้องโดยสารจะเปิดไม่ได้เลย หรือหากเปิดได้ อุณหภูมิติดลบสี่สิบองศาก็หนาวพอที่จะทำให้คนที่กระโดดออกมาจากเครื่องบินแข็งตายทั้งเป็น เมื่อลงมาถึงระดับที่พอเหมาะ เกรงว่าคนๆ นั้นก็คงกลายเป็นศพที่แข็งตัวไปแล้ว


แต่เครื่องบินส่วนตัวแบบนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความปลอดภัย เยี่ยเทียนเชื่อว่า บนเครื่องบินลำนี้จะต้องมีร่มชูชีพที่เพียงพอต่อทุกคนแน่ๆ ขอแค่เครื่องบินเริ่มลดระดับ ทุกอย่างก็ยังไม่สายเกินไป


“คุณเยี่ย คุณจะทำอะไร? ผมขอให้คุณกลับไปที่นั่งคุณเดี๋ยวนี้…”


ห้องคนขับถูกเปิดออก กัปตันมองมาที่เยี่ยเทียนด้วยความโกรธสุดขีด ก็เขารับปากแล้วว่าถ้าบินผ่านเขตพายุไปแล้วเขาจะลดระดับนำเครื่องลงบนผิวน้ำทันที แต่ไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะโวยวายในเวลานี้


แม้จะเป็นพนักงานใช้แรงงาน แต่กัปตันก็มีจรรยาบรรณในวีชาชีพของตน เขาไม่อนุญาตให้คนที่ไม่รู้เรื่องการบิน มาชี้หน้าสั่งให้เขาทำอะไรเด็ดขาด


“เครื่องบินจะระเบิดแล้ว ลดระดับการบินเร็ว หยิบร่มชูชีพให้พวกเขา! ”


น้ำเสียงของเยี่ยเทียนจริงจังมาก ตอนนี้เครื่องบิน บินอยู่บนระดับหมื่นเมตร ถ้ากระโดดจากความสูงระดับนี้ เกรงว่าคงมีแต่เยี่ยเทียนกับเหลยหู่ที่ถึงแม้จะมีพลังไม่มากเท่าไหร่คงอยู่รอด ส่วนคนอื่นๆ ต้องแข็งเป็นไอติมแน่ๆ


“คุณบ้าไปแล้วเหรอ? ด้านล่างฟ้าผ่าอยู่นะ ถ้าลดระดับตอนนี้ พวกเราจะตายกันหมด! ”


กัปตันเบิกตากว้าง จ้องมองเยี่ยเทียนเหมือนเห็นมนุษย์ต่างดาว เขาไม่เคยพบเจอเรื่องบ้าบอแบบนี้มาก่อน


“อย่าพูดมาก ผิวชั้นนอกของเครื่องบินเป็นฉนวนไฟฟ้า อย่าคิดว่าผมไม่รู้! ”


เยี่ยเทียนโน้มตัวมองที่หัวของเจียงซานแล้วยื่นมือไปกด กระเป๋าชูชีพหนึ่งห่อเด้งออกมาจากใต้เก้าอี้


“อย่าขยับ ใส่ซะ ตอนกระโดด กดตรงนี้”


เยี่ยเทียนใส่ร่มชูชีพให้เจียงซาน และหันไปมองเหลยหู่ พูดกับเขาว่า


“เหลยหู่ แกใส่เองก็แล้วกัน พวกเขาจะอยู่ก็ปล่อยเขาไปเถอะ ถ้าแกเชื่อฉันก็กระโดดไปกับฉัน! ”


“ท่านเยี่ย ผมเชื่อท่านครับ! ”


หลังจากเยี่ยเทียนพูดจบ เหลยหู่ก็รีบนำร่มชูชีพออกมา เหลยหู่เคยใช้เจ้าสิ่งนี่มาก่อน เขาจึงใช้เวลาสวมใส่ร่มชูชีพเพียงสิบวินาทีเท่านั้น


“คุณเยี่ย สิ่งที่คุณทำอยู่อันตรายต่อความปลอดภัยของเครื่องบิน ผมขอสั่งให้คุณกลับไปนั่งที่ตัวเองครับ”


ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังใส่ร่มชูชีพให้เจียงซาน กัปตันหยิบปืนออกมากระบอกหนึ่ง ปากกระบอกปืนจ่ออยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนแล้ว


“ยังทำตัวไร้สาระอีก กลับไปและลดระดับเครื่องบินลงเดี๋ยวนี้! ”


เวลาที่เห็นจากญาณสัมผัสน้อยลงทุกที เยี่ยเทียนไม่มีเวลาไร้สาระกับกัปตัน สองขาขยับ ตัวของเยี่ยเทียนก็อยู่ข้างกัปตันแล้ว ตอนที่กัปตันยังไม่ทันตั้งตัว ปืนกระบอกนั้นก็ได้เปลี่ยนเจ้าของและปากกระบอกปืนที่เย็นเฉียบก็จ่ออยู่กลางขมับของกัปตันเรียบร้อย


“ใจเย็นครับคุณเยี่ย คุณต้องใจเย็นก่อน ผมจะลดระดับลงเดี๋ยวนี้! ”


สิ่งที่เยี่ยเทียนกำลังทำ ทำให้กัปตันตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เขาไม่กล้าสงสัยสิ่งใดอีก แล้วถ้าเขายังไม่ทำตามคำสั่งของเยี่ยเทียน วินาทีต่อไปก็คงจะเป็นสมองเขานั่นแหละที่จะระเบิด


กัปตันกลับมาถึงห้องคนขับภายใต้การคุมตัวของเยี่ยเทียน ผู้ช่วยกัปตันเห็นท่าทีไม่ดีอยากจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกกัปตันห้ามเอาไว้ เพราะการต่อสู้กันในห้องควบคุมก็เหมือนการเร่งความตายให้เร็วขึ้น


“ไม่ได้ ช้าเกินไป! ”


เมื่อเห็นกัปตันกดคันบังคับลงช้าๆ เยี่ยเทียนทนไม่ไหวจึงเอื้อมมือไปกดคันบังคับลงต่ำสุด ทันใดนั้นหัวเครื่องบินก็เอียงจนแทบดิ่งลง จากนั้นเครื่องบินก็พุ่งลงไปผ่านกลุ่มเมฆดำเหมือนลูกศร


ความรู้สึกของการสูญเสียน้ำหนักที่เกิดจากการลดระดับลงอย่างฉับพลันแบบนี้ สร้างความตกใจและความหวาดกลัวให้กับคนในห้องโดยสารเป็นอย่างมาก แม้แต่กัปตันเองก็ยังล้มจนกลิ้งไปกับพื้น มีแค่เยี่ยเทียนคนเดียวที่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สองขาของเยี่ยเทียนติดกับพื้นไว้แน่นราวกับมีจานดูด ดูดเอาไว้


เมื่อเครื่องบินบินเข้าสู่ชั้นเมฆ น้ำฝนก็เทลงบนเครื่องบินอย่างรุนแรง ความสามารถในการมองเห็นตอนนี้แทบจะเป็นศูนย์ และเป็นดั่งที่เยี่ยเทียนกล่าว ฟ้าร้องและฟ้าผ่าที่โหมกระหน่ำไม่มีผลกระทบต่อเครื่องบินจริงๆ มีเพียงแสงฟ้าผ่าที่กระพริบอย่างรวดเร็วที่ทำให้รู้สึกตกใจ


“ยังดีที่บินลงมาทัน! ”


เมื่อเห็นตัวเลขบนแผงควบคุมเปลี่ยนเป็นสามพันแล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกโล่งใจมากขึ้น เพราะระเบิดที่อยู่ใกล้เครื่องยนต์อันนั้น ยังเหลือเวลาอีกห้าสิบวินาทีถึงจะระเบิด


“เตรียมเปิดประตู! ” เยี่ยเทียนหันไปหากัปตัน


เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนต้องการกระโดดร่มชูชีพจริงจัง กัปตันยิ้มอย่างหมดหวังพูดว่า


“คุณเยี่ยครับ ที่จริงไม่ต้องเปิดประตูก็ได้ครับ ที่นั่งทุกตัวมาพร้อมกับอุปกรณ์ดีดตัว! ”


อุปกรณ์ดีดตัวส่วนใหญ่จะถูกติดตั้งไว้กับเครื่องบินรบ เพื่อให้ผู้ขับเครื่องบินรบสามารถหลบหนีได้ทันท่วงที เครื่องบินที่ออกแบบโดยเฉพาะของหลี่เชาเหรินก็มีฟังก์ชั่นนี้เหมือนกัน


ตอนที่คนและเก้าอี้ดีดออกไป ห่วงชูชีพที่อยู่ใต้เก้าอี้จะพองขึ้นอัตโนมัติ และยังมีชุดอุปกรณ์ช่วยชีวิตฉุกเฉินกับน้ำดื่มด้วย


ยิ่งไปกว่านั้น ร่มชูชีพแต่ละตัวจะมีการติดตั้งสัญญาณขอความช่วยเหลือแบบไร้สายเอาไว้ เพื่อให้ทีมช่วยเหลือสามารถค้นหาตัวเองเจอได้เร็วที่สุด และในฐานะมหาเศรษฐีชาวจีนที่มีชื่อเสียงระดับโลก คนอย่าง หลี่เชาเหรินจะต้องให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในชีวิตอยู่แล้ว


“บัดซบ ทำไมไม่บอกแต่แรก? ”


เยี่ยเทียนสบถคำด่าออกไปและพูดว่า


“รอผมกลับไปถึงตรงที่นั่ง คุณดีดเก้าอี้ออกไปทันทีนะ ผมขอเตือน อย่าเล่นตุกติกอะไรเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นผมไม่สนหรอกนะ ถ้าจะต้องแยกชิ้นส่วนของเครื่องบินลำนี้”


ตอนที่พูดอยู่ เยี่ยเทียนกำปืนในมือไว้แน่น ทันใดนั้นปืนกระบอกนั้นก็กลายเป็นเศษโลหะและฟุ้งกระจายผ่านซอกนิ้วของเขา กัปตันเครื่องบินทั้งสองคนตะลึงจนพูดไม่ออก ถ้าไม่ใช่เพราะด้านนอกฟ้าร้องฟ้าผ่าอยู่ บางทีพวกเขาอาจคิดว่ากำลังฝันไป


“ถ้าพวกคุณสองคนไม่อยากตาย ผมขอแนะนำให้พวกคุณกระโดดนะ! ”


สัญญาณอันตรายชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยเทียนโบกมือ เดินออกจากห้องควบคุม และนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเอง และคิดไม่ถึงเลยว่าแอร์โฮสเตสคนสวยแต่หน้าซีดขาวสามคน จะสวมใส่ร่มชูชีพและนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเองเรียบร้อย


“บัดซบ เร็วๆสิ! ”


เมื่อนั่งลงที่เก้าอี้แล้ว เยี่ยเทียนพบว่าเก้าอี้ไม่ดีดออกไปซักที แต่พอยกมือขวาขึ้น ปราณแท้ที่พุ่งออกมาทำให้พื้นที่ผลิตจากโลหะเกิดประกายไฟแตกเป็นรอยร้าวลึก


ตอนที่เยี่ยเทียนเพิ่งพูดจบ จู่ๆ เหล็กบนหัวก็แยกออกจากกัน ลมกระโชกพัดแรงจนใบหน้าของทุกคนรู้สึกตึงและเปลี่ยนรูปไปหมด ตรงข้างหูก็ได้ยินแต่เสียงลมพัดกับฟ้าร้อง เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็เปียกโชกเพราะโดนฝนสาดใส่


ขณะเดียวกัน เยี่ยเทียนรู้สึกแรงมหาศาลแรงหนึ่งกำลังทำอะไรบางอย่างกับร่างกายของตน เก้าอี้ที่นั่งอยู่แยกออกจากเครื่องบินแล้วแรงนั้นก็ทำให้ตัวของเยี่ยเทียนดีดออกไปไกลมาก


เพราะแสงไฟจากฟ้าผ่าเส้นนั้น ทำให้เยี่ยเทียนเห็นเจียงซานกับคนอื่นๆ ถูกดีดออกจากห้องโดยสารแล้วเช่นกัน ส่วนกัปตันสองคนที่ดูเหมือนต้องการอยู่กับเครื่องบินในตอนแรก ก็สวมใส่อุปกรณ์และดีดตัวออกจากห้องนักบินแล้วด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดแล้วว่าการบอกว่าเป็นศิษย์น้องของอาจารย์จั่วนั้นมีผลจริงๆ


“บัดซบ เรายังไม่ได้ใส่ร่มชูชีพเลย! ”


จนดีดตัวออกจากเครื่องบินแล้ว เยี่ยเทียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า หลังจากที่นั่งลงตรงเก้าอี้แล้ว ดูเหมือนว่าเขายังไม่ทันได้ใส่ร่มชูชีพเลย พอนึกขึ้นได้ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ถึงเขาจะมีวิชาและอิทธิฤทธิ์ที่สูงมากจนเหมือนกับพระเจ้าในสมัยโบราณ แต่นี่มันความสูงตั้งหลายพันเมตร ทำให้อดตะโกนร้องออกมาไม่ได้



 

 

 


ตอนที่ 820 สยองขวัญกลางอากาศ (4)

 

“ไอ้เหี้ย นี่มันฟ้าผ่าตายของจริงนิหว่า ?! ”


หลังจากดีดออกไปตัวก็ห่างออกจากเก้าอี้ แม้ไม่มีร่มชูชีพ ไม่มีเข็มขัดนิรภัยรัดไว้  แต่เยี่ยเทียนก็ไม่เป็นกังวลเท่าไหร่ แม้ความสูงระดับสามพันเมตรจะใช้ปราณแท้ช่วยบินไม่ได้ แต่เมื่อถึงระดับพันเมตรแล้ว เยี่ยเทียนก็จะควบคุมร่างกายได้ แล้วยังมีเวลาไปสำรวจสถานการณ์รอบๆ ตัวได้อีกด้วย


ตั้งแต่ดีดออกไปจนถึงตอนนี้ ทุกคนร่วงถึงระดับใต้เมฆแล้ว การชนกันของกลุ่มเมฆจนเกิดเป็นสายฟ้าแลบเป็นปรากฏการณ์ที่เยี่ยเทียนเห็นแล้วก็ยังรู้สึกกลัว แม้แต่ผู้ฝึกวิชาที่อยู่ระดับเซียนเทียนปลาย ถ้าโดนฟ้าผ่าก็คงหายวับไปกับตาเหมือนกัน


แต่โชคดีที่เครื่องบินใกล้จะบินออกจากเขตพายุ กลุ่มเมฆที่อยู่บนหัวของเยี่ยเทียนและคนอื่นๆก็ไม่หนาแน่นมาก ถึงแม้ที่ด้านหลังยังมีฟ้าผ่ากับฟ้าร้อง แต่มันก็ไม่ผ่าโดนใคร และเยี่ยเทียนมองเห็นทุกคนอย่างชัดเจนผ่านแสงไฟของฟ้าผ่า


คนขับเครื่องบินสองคนกับแอร์โฮสเตสอีกสามคนผ่านการฝึกอบรมอย่างมืออาชีพมาก่อน พวกเขาไม่รีบดึงร่มชูชีพทันที แต่ปล่อยให้ร่วงลงตามแรงโน้มถ่วง เพื่อให้อยู่ไกลจากเขตพายุให้ได้มากที่สุด เหลยหู่ก็ด้วยเช่นกัน เพราะว่าเขาคยมีประสบการณ์การกระโดดจากที่สูงมาก่อน


มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่รู้จะทำยังไง ก็คือเจียงซาน แม้ว่าหล่อนจะเป็นคนที่ใจกล้ามาก แต่ก็ตกใจอยู่ไม่น้อยกับพลังฟ้าอันน่ากลัวนี้ เธอไม่มีประสบการณ์ แต่เธอลืมดึงเชือกร่มชูชีพตรงหน้าอก


“ใจเย็นนะ นับถึง 20 แล้วดึงร่มชูชีพนะ! ”


เยี่ยเทียนส่งสติไปหาเจียงซาน ทันใดนั้นหญิงสาวก็ลืมตาที่ปิดอยู่และพยายามพยักหน้า หล่อนเริ่มนับในใจ ขณะเดียวกันมือขวาจับเชือกเส้นไว้แน่นหนา


“บึ้ม! ”


ตอนที่ทุกคนกำลังร่วงลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว เครื่องบินยังคงบินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่ทันบินออกจากระยะสายตาของเยี่ยเทียนกับคนอื่นๆ เสียงบึ้มดังขึ้นจนกลบเสียงฟ้าผ่าทั้งหมด เครื่องบินกลายเป็นลูกบอลไฟขนาดใหญ่อยู่กลางอากาศ


เศษเครื่องบินที่เกิดจากการระเบิดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ เศษเหล็กบางชิ้นถึงกับบินเฉียดเยี่ยเทียนผ่านไป บางชิ้นเกือบจะทิ่มโดนตัวจนเหงื่อแตกไปหมด


“ระ…เบิดจริงด้วย? ”


กลุ่มแสงที่อยู่บนฟ้าอันมืดมัว สว่างจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ เมื่อเสียงระเบิดดังขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแอร์โฮสเตสหรือคนขับทั้งสองคน ต่างก็มองจุดที่มีแสงไฟส่องสว่างจนอ้าปากตาค้าง ถึงแม้จะอยู่กลางอากาศที่หนาวเย็น แต่พวกเขาก็ตกใจจนเหงื่อแตก


ถ้าเยี่ยเทียนไม่บังคับ ใครก็ตามที่อยู่ต่อบนเครื่องบินในเวลานี้ ก็คงตายเพราะระเบิดแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากปัญหาของเครื่องยนต์ที่ยังพอมีเวลาให้แก้ไข ด้วยความร้อนของไฟที่สูงมากจนทำให้อุณหภูมิพุ่งสูง เกรงว่าเหล็กกล้าอย่างดีก็ยังละลายได้เลย


แสงจ้าทำให้ฟ้าและดินสว่างขึ้นมาทันที คนที่อยู่กลางอากาศลืมตาขึ้นมาดูได้แปปเดียว น้ำตาก็ไหลเต็มหน้าเพราะลมกระโชกพัดใส่หน้า มีแค่เยี่ยเทียนที่มองไฟก้อนนั้นร่วงลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วจนร่วงไปถึงมหาสมุทร


ความรุนแรงของพายุแผ่ขยายกว้างพอสมควร ในเวลาไร่เรี่ยกับเสียงระเบิด คนที่ถูกดีดออกจากเครื่องบิน ก็ถูกลมพัดไปคนละทิศคนละทาง โดยเฉพาะคนผอมที่สุดอย่างเจียงซาน ผ่านไปแปปเดียวก็หายไปแล้ว


เยี่ยเทียนเองก็เซไปเซมา แม้จะมีพลังวิชาระดับเซียนเทียนแล้วก็ตาม แต่ถ้าเผชิญกับพลังธรรมชาติที่เหนือกว่า เขาจะกลายเป็นสิ่งที่เล็กมาก ปราณแท้ที่ปล่อยออกมาด้วยการบีบคั้น จะไม่สามารถรวบรวมได้ และจะถูกลมกระโชกพัดจนกระจายทั้งหมด


“แม่ง ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป จะไม่ตายทั้งเป็นเหรอ? ”


จู่ๆ เยี่ยเทียนก็พบว่าความเร็วการร่วงของเขาเร็วขึ้น ไม่ใช่แค่ลม ที่พัดปราณแท้จนกระจาย แค่การร่วงด้วยความเร็วแบบนี้ ก็ทำให้เขาไม่สามารถรวมปราณแท้ได้เหมือนกัน และถึงแม้จะร่วงมาถึงบริเวณที่ลมพัดไม่แรงมาก เกรงว่าเยี่ยเทียนก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้


จนถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนเพิ่งจะรู้สึกกระวนกระวาย ตอนนี้ห่างจากพื้นดินอีกแค่หนึ่งพันเมตรเท่านั้น แล้วก็มองเห็นชัดขึ้นกว่าเมื่อกี้ ตรงที่ห่างออกไปร้อยกว่าเมตร เขาเห็นร่มชูชีพแล้วหลายอันแบบลางๆ


“หืม เหลยหู่อยู่ด้านล่าง? ”


ถึงแม้เยี่ยเทียนจะใช้ปราณแท้ไม่ได้ แต่ยังดีที่สติของเยี่ยเทียนไม่ได้รับผลกระทบจากลมแรง เมื่อเขาห่างจากพื้นดินอีกแปดเก้าร้อยเมตร เขาพบว่าข้างขวาล่างที่ห่างออกไปไม่กี่สิบมตร มีร่มชูชีพของเหลยหู่กำลังลอยอยู่


“ไม่โดดเดี่ยวแล้วโว้ย ! ”


ตอนก้มหัวลง เยี่ยเทียนดีใจมาก เขาพยายามเปลี่ยนทิศทางเพื่อให้ตัวลอยไปหาเหลยหู่ และตอนนี้เขาต้องการแรงผ่อนเพียงนิดเดียวเพื่อหยุดการร่วงลงล่าง ถ้าหากหยุดได้เขาก็จะใช้ปราณแท้ลดความอันตรายลงได้


“โอ้ย เกิดอะไรขึ้น? ”


เมื่อกี้เยี่ยเทียนอยู่ข้างบนของเหลยหู่ เหลยหู่จึงมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่บนหัว แต่ตอนที่เยี่ยเทียนดิ่งลงมาจนถึงข้างๆ เขาใช้มือขวาจับขาขวาของเหลยหู่เอาไว้ จนทำให้ร่างกายของเหลยหู่ดิ่งลงฮวบ แล้วร่มชูชีพก็เริ่มหมุนกลางอากาศ


“ไม่ต้องกลัว ผมจะปล่อยมือเดี๋ยวนี้แหละ! ” ตอนที่เหลยหู่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงของเยี่ยเทียนดังก้องอยู่ในหัว เขาถึงรู้ว่าคนที่จับขาเขาอยู่คือใครและก็รู้สึกโล่งใจไปที


และเป็นดั่งที่เยี่ยเทียนพูดไว้จริงๆ หลังจากที่ความตกใจของเหลยหู่แผ่วลง มีหมอกสีขาวกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มช่วงล่างของเยี่ยเทียนเอาไว้ ร่างของเยี่ยเทียนหยุดกลางอากาศในทันใด ราวกับเหยียบอยู่บนเมฆอย่างนั้น


“นี่…นี่มันลอยตัวบนเมฆนิ?”


เยี่ยเทียนที่อยู่ห่างจากตนออกไปไม่กี่เมตร เหลยหู่ขยี้ตาด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่มองเห็น เขาอยากจะยื่นมือออกไปลองจับหมอกสีขาวกลุ่มนั้น ไอ้ของสิ่งนี้มันทำให้คนยืนได้จริงๆ เหรอ?


“ลอยตัวบนเมฆ?”


เสียงงึมงำของเหลยหู่หนีไม่พ้นการได้ยินของเยี่ยเทียน เมื่อผ่านพ้นอันตรายถึงชีวิตแล้ว เยี่ยเทียนย่อมดีใจและพูดว่า “จะว่าลอยตัวบนเมฆก็ได้ แต่ความสามารถร้อยแปดพันอย่างเหมือนไซอิ๊วแบบนั้น ผมทำไม่ได้หรอกนะ! ”


แม้ครั้งนี้จะอันตรายมาก แต่มันทำให้เยี่ยเทียนรู้ขีดจำกัดของความสูงในการบินของตัวเอง ก็เหมือนกับความสูงเจ็ดแปดร้อยเมตรในตอนนี้ สิ่งที่เยี่ยเทียนสามารถทำได้ก็คือใช้ปราณแท้ควบคุมความเร็วในการร่วงของร่างกาย แต่จะไม่สามารถควบคุมได้อย่างราบรื่นเหมือนกับตอนบินในระยะต่ำ


“เทพ…เทพเจ้า!”


สิ่งที่เยี่ยเทียนกำลังทำอยู่ ทำให้เหลยหู่ตกตะลึงอ้าปากตาค้าง และความรู้ที่มีอยู่แล้วในสี่สิบปีที่ผ่านมันกลับพลิกแพลงไปหมด ไม่ว่าจะตำนานหรือนิยายโบราณต่าง ๆ ล้วนพรั่งพรูเข้าสมองของเหลยหู่ทั้งหมด


“แม่งเอ้ย เมื่อ…เมื่อก่อน ฉันหาที่ตายจริงๆ ”


เยี่ยเทียนคนที่เป็นเสี้ยนหนามตำใจตนมาตลอด สามารถลอยบนเมฆได้ เมื่อคิดถึงการกระทำต่างๆนานาของตัวเอง เหลยหู่ตบที่หน้าอย่างรุนแรง และตอนนี้เขาก็เพิ่งจะรู้ว่าสาเหตุที่เยี่ยเทียนไม่ฆ่าเขา ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวเหลยเจิ้นเทียน แต่มันเป็นขี้ปะติ๋วมากต่างหาก


“หืม? เกิดอะไรขึ้น ทำไมร่วงเร็วขนาดนี้ล่ะ ? ”


จู่ ๆ ความสนใจของเหลยหู่ก็ดึงกลับมาจากเยี่ยเทียนและสนใจความเร็วที่เพิ่มขึ้นของตัวเองแทน เขาพบว่าร่างของเขาร่วงลงไปเร็วกกว่าเดิม จึงได้เงยขึ้นมองร่มชูชีพ


สิ่งที่เขาเห็นทำให้เขาหัวใจแทบแหลกสลาย เพราะเชือกตรงกลางหลายเส้นพันกัน ทำให้ร่มชูชีพจับกลุ่มเป็นก้อนทรงตัวไม่อยู่


เมื่อไม่มีร่มชูชีพต้านแรงลม ร่างของเหลยหู่จึงม้วนตัวและร่วงลงไปอย่างรวดเร็ว เหลยหู่เคยคิดว่าชีวิตนี้อาจตายด้วยดาบกับปืน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าตนกำลังจะตายเพราะฟาดกับพื้น


แม้ด้านล่างนี้จะเป็นมหาสมุทร แต่เขาไม่คิดว่าจะมีโอกาสรอดชีวิตแล้ว เพราะแรงพุ่งที่มาจากที่สูงเจ็ดแปดร้อยเมตรขนาดนี้ มันสามารถทำให้อวัยวะภายในทั้งหมดของเขาแหลกสลายได้ทีเดียว และไม่มีความหวังว่าจะมีชีวิตรอดเลย


“มีผมอยู่ คุณไม่ตายหรอก! ”


ความหมดหวังพุ่งปรี๊ดขึ้นสมอง และตอนที่เหลืออีกแค่สามสี่ร้อยเมตร ความจริงก็ใกล้เข้ามาทุกที จู่ๆ ร่างของเหลยหู่ก็ตึง และเสียงของเยี่ยเทียนก็ดังขึ้นในหู


“แม่ง หนักโคตร! ”


การดึงร่มชูชีพของเหลยหู่ก็ใช้แรงของเยี่ยเทียนมากพอสมควร เหลยหู่นอกจากตัวจะหนักแล้ว ถุงยังชีพใต้เก้าอี้ถุงนั้นก็น่าจะหนักหลายกิโลเหมือนกัน ปราณแท้ที่ห่อหุ้มเยี่ยเทียนเกือบจะกระจายเพราะดิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว


บนโลกนี้นอกจากคนที่อยากฆ่าตัวตายแล้ว ไม่มีใครอยากตายหรอก โดยเฉพาะคนอย่างเหลยหู่ที่อายุเพิ่งจะสี่สิบ มันเป็นช่วงเวลาทองของผู้ชาย การยื่นมือเข้าช่วยของเยี่ยเทียน ทำให้ความขุ่นแค้นใจของเหลยหู่หายเป็นปลิดทิ้ง


“ท่านเยี่ย ขอบคุณครับ ผม…ขอโทษจริงๆ ครับ! ”


เหลยหู่ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนได้ยินหรือไม่ หลังจากพูดจบ เขาเงยหน้าขึ้นมอง เบิกตากว้างและตะโกนว่า “ท่านเยี่ย ระวังฟ้าผ่า ! ”


ในเวลาเดียวกัน เยี่ยเทียนรู้สึกชาที่หัว ตอนที่ฟ้าผ่าที่ยังห่างจากเขาพันเมตร เขาก็รู้สึกถึงอำนาจของฟ้าแล้ว เขารู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตตั้งแต่ผมจรดเท้า


“แม่ง กูยังไม่ถึงเวลาต้องมารับกรรมฟ้าผ่าโว้ย พระเจ้าจะล้อเล่นกับผมเหรอ? ”


เยี่ยเทียนเปล่งเสียงร้องโห่ และรวบรวมปราณแท้ทั้งหมดในร่างกายไว้บนหัวที่เอียงไปเล็กน้อย เขารู้วว่าพลังวิชาของตนไม่อาจต้านฟ้าผ่านี้ได้ แต่หวังแค่มันจะเอียงเล็กน้อย และไม่โดนร่างกายของตัวเองตรงๆ


“เปรี้ยง! ”


ความเร็วแสงไวกว่าความเร็วเสียง ตอนที่เยี่ยเทียนได้ยินเสียงฟ้าผ่า แสงไฟเส้นนั้นได้มาถึงหัวของเขาแล้ว หลังจากปะทะกับปราณแท้ มันก็เอียงไปนิดนึง


ความรุนแรงของฟ้าผ่าที่ดูเหมือนจะเบามาก กลับช็อตเยี่ยเทียนจนสั่นกระตุกไปหมด และเขาไม่สามารถควบคุมปราณแท้ได้อีก แล้วเยี่ยเทียนและเหลยหู่ก็ร่วงลงมหาสมุทรไปพร้อมกัน


ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากพื้นผิวมหาสมุทรไม่ถึงสองร้อยเมตร เยี่ยเทียนกำลังจะปล่อยปราณแท้ออกมาอีกครั้ง แต่แสงฟ้าผ่าที่เอียงเมื่อกี้ มันผ่ากลางอากาศ จู่ๆ ด้านล่างของเยี่ยเทียนก็ปรากฏรอยร้าวขึ้นมาหนึ่งแถว



 

 

 


ตอนที่ 821 กู้ภัย

 

“เกิดอะไรขึ้น? ”


สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนไปกะทันหัน เขารวบรวมปราณแท้ทั้งหมดเพื่อควบคุมร่างกายให้อยู่ แต่รอยร้าวนั่นกลับมีแรงดึงดูดที่เขาต้านไม่ไหว จนทำให้เยี่ยเทียนกับเหลยหู่ถูกดูดเข้าไปข้างในทั้งคู่


หลังจากที่เยี่ยเทียนกับเหลยหู่หายเข้าไปในร่องลึก รอยร้าวแปลกประหลาดนั่นก็ปิดลง แล้วมันก็หายไปในเวลาไม่กี่วินาที ท้องฟ้ากลับสู่ปกติ เมฆดำสลาย ฟ้าผ่าฟ้าร้องที่โหมกระหน่ำก็เงียบสงบลง ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


“เกิดอะไรขึ้น? คุณเยี่ยโดนฟ้าผ่าเหรอ? ”


ฟ้าผ่าเมื่อกี้ ทั้งคนขับและแอร์โฮสเตสเห็นเต็มสองตาแม้จะอยู่ห่างออกไปเกือบร้อยเมตร แต่พวกเขาไม่เห็นรอยร้าวกลางอากาศนั่น มันปรากฏขึ้นในเวลาที่สั้นเกินไป พวกเขาไม่เห็นการหายตัวไปของเยี่ยเทียนกับเหลยหู่ นึกว่าสองคนนั้นถูกฟ้าผ่าเข้าแล้ว


ผ่านไปไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เริ่มเห็นร่มชูชีพลอยอยู่ตามพื้นผิวน้ำ แพชูชีพใต้เก้าอี้ก็พองขึ้นอัตโนมัติ ทำให้คนที่ลงมาถึงผิวน้ำลอยตัวขึ้นมา มหาสมุทรที่เพิ่งประสบฟ้าฝนเทกระหน่ำมันจะไม่ค่อยนิ่งมากนัก มีคลื่นลูกใหญ่สูงราวหนึ่งเมตรมักจะปกคลุมแพชูชีพให้จมอยู่ใต้น้ำ


หนึ่งชั่วโมงผ่านไป คลื่นในทะเลเริ่มเล็กลง กัปตันหวงหมิงเต๋อหาผู้ช่วยและแอร์โฮสเตสเจอและผูกแพชูชีพทุกอันไว้ด้วยกัน


แต่เยี่ยเทียนกับคนอื่นหายไปอย่างไร้ร่องรอย หวงหมิงเต๋อรู้สึกใจคอไม่ดี การตกของเครื่องบินตกมีสาเหตุมาจากคน กัปตันรอดชีวิต แต่ผู้โดยสารกลับไม่รู้เป็นตายร้ายดี เขาไม่รู้จะรายงานให้เถ้าแก่อย่างไร


“ดูนั่น ตรงนั้นมีร่มชูชีพ! ”


แอร์โฮสเตสตาแหลมตะโกนขึ้นมา ทุกคนบนแพชูชีพมองตามที่หล่อนชี้และพบว่าห่างออกไประยะสามสิบกว่าเมตรบนผิวน้ำ มีร่มชูชีพลอยอยู่บนน้ำทะเล


“ไปตรงนั้น เร็ว! ”


หวงหมิงเต๋อหยิบไม้พายพลาสติกและเริ่มพายจนใกล้ร่มชูชีพนั่น เขาพลิกร่มชูชีพอันนั้น


“เจียงซาน!”


เป็นร่างน้อยของหญิงสาวที่อยู่บนแพและถูกร่มชูชีพคลุมเอาไว้ ด้วยแรงดิ่งลงทะเลที่ค่อนข้างแรง เลยทำให้เจียงซานสลบไม่ได้สติ ร่างน้อยของเธอม้วนงอเป็นก้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


“อุ้มเธอขึ้นมา! ”


หวงหมิงเต๋อหยิบเชือกออกมาและผูกแพของเจียงซานไว้กับแพของตนและคนอื่น ส่วนผู้ช่วยยื่นมือไปอุ้มเจียงซานขึ้นมา เขาลูบที่หัวของเธอและพูดว่า “เธอเป็นไข้ น่าจะไข้สูง! ”


แม้ว่าเจียงซานมีความสามารถพิเศษที่คนทั่วไปไม่มี แต่ร่างกายของเธอก็ยังเป็นร่างกายของคนธรรมดา ความหวาดกลัวกลางอากาศผนวกกับน้ำเย็นเฉียบของมหาสมุทร ก็ยังทำให้เธอไม่สบาย


“พี่คะ คุณลุงเยี่ยอยู่ไหน? ”


หลังจากกินยาลดไข้เจียงซานก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือ มองซ้ายมองขวาและรู้สึกผิดหวัง


ช่วงเวลาที่เธอกลัวมากที่สุด เพราะคำพูดของเยี่ยเทียนทำให้เธอมีสติ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกของเจียงซานที่มีต่อเยี่ยเทียนได้เปลี่ยนไปแล้ว จากคนดุร้ายดุจปีศาจกลายเป็นคนที่เธอไว้ใจมาก


“ยังไม่เจอคุณเยี่ยกับคุณเหลยเลยค่ะ แต่ฉันเชื่อว่าพวกเขาต้องอยู่แถวนี้แหละ…”


แอร์โฮสเตสลูบหัวเจียงซานและกล่าวว่า “ไข้เธอเพิ่งลด พักก่อนนะ ไม่นานเดี๋ยวหน่วยกู้ภัยก็มาถึงแล้ว! ”


เก้าอี้ทุกตัวที่ดีดออกจากเครื่องบิน มีการติดตั้งระบบระบุตำแหน่งดาวเทียม GPRS ไว้ทั้งหมด มันสามารถส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือฉุกเฉินออกไปโลกภายนอกอัตโนมัติ นอกจากนี้พวกเขายังมีถุงยังชีพอาหารและน้ำดื่มเพียงพอที่อยู่รอดได้อีกสามวัน เพราะฉะนั้นแม้ตัวจะลอยอยู่กลางทะเล แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองสักเท่าไหร่


หญิงสาวหลับตาลงอีกครั้งหลังจากได้ยินแอร์โฮสเตสพูดแบบนั้น เด็กอายุเท่านี้ ต้องพบเจอกับเรื่องอันหนักอึ้งถึงเพียงนี้ หล่อนรับไว้ไม่ไหวหรอก สภาพร่างกายของหล่อนมันถึงขีดสูงสุดแล้ว


“กัปตัน คุณเยี่ยคง…”


หลังจากที่เจียงซานหลับ แอร์โฮสเตสที่เสื้อผ้าเปียกโชกเพราะน้ำทะเล ผ้าที่แนบไปกับตัวจนเผยให้เห็นเรือนร่างอันผอมเพรียว เธอหันไปหาหวงหมิงเต๋อ ฟ้าผ่ากลางฟ้าเมื่อกี้ พวกหล่อนเห็นเต็มสองตา ด้วยแรงฟ้าอันแรงสูงแบบนั้น โอกาสรอดชีวิตคงเป็นศูนย์


“ไว้ค่อยว่ากัน รอหน่วยกู้ภัยก่อนแล้วกัน”


หวงหมิงเต๋อปัดมือ และเริ่มเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกผิดที่ไม่ฟังเยี่ยเทียน ไม่ลดระดับให้เร็วกว่านี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นมลทินที่ใหญ่ที่สุดในเส้นทางอาชีพการบินของเขา หรือบางที หลังจากพ้นวันนี้ไป เขาอาจจะไม่ได้ขับเครื่องบินท่องฟ้าอีกแล้ว


ผืนมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต ไม่มีที่หลบแดด เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง คนที่อยู่บนแพชูชีพถูกแดดจ้าแผดเผาและปากแห้ง หวงหมิงเต๋อเริ่มเป็นกังวล ถ้าค่ำแล้ว การกู้ภัยจะดำเนินการได้ยากขึ้น


“กัปตัน เฮลิคอปเตอร์! ”


บนท้องฟ้า มีเฮลิคอปเตอร์ลำนึงบินอยู่ไกลๆ การปรากฏของเฮลิคอปเตอร์เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าจะต้องมีเรือกู้ภัยอยู่ในระยะใกล้เป็นแน่ หรือเข้าใจได้ว่า คนบนแพชูชีพทั้งหมดกำลังจะหลุดพ้นความอันตรายนี้แล้ว


หวงหมิงเต๋อดึงปล่องควันในมือ แล้วควันสีเหลืองก็พุ่งขึ้นฟ้า เพื่อชี้จุดเป้าหมายให้กับเฮลิคอปเตอร์ ทุกคนรู้สึกโล่งใจมากที่เห็นเฮลิคอปเตอร์บินเข้ามาใกล้


หนึ่งชั่วโมงผ่านไป นอกจากเยี่ยเทียนกับเหลยหู่ พนักงานบนเครื่องทุกคนได้ขึ้นเรือกู้ภัยเรียบร้อย ส่วนเฮลิคอปเตอร์ยังคงปฏิบัติภารกิจค้นหาเยี่ยเทียนกับเหลยหู่ต่อไป และเยี่ยเทียนก็เป็นเป้าหมายหลักของการค้นหาครั้งนี้


แต่ทุกคนก็ผิดหวัง ภารกิจการค้นหาผ่านไปช่วงบ่ายจนถึงช่วงดึก ในระยะสิบกิโลเมตรของน่านน้ำ ไม่พบร่องรอยของเยี่ยเทียนกับเหลยหู่เลย สองคนนี้เหมือนหายไปในทะเลแล้ว


เช้าวันที่สอง มีทีมกู้ภัยนานาชาติอีกสามทีมเดินทางมาถึงน่านน้ำที่เกิดอุบัติเหตุ และขยายขอบเขตการค้นหาที่กว้างมากขึ้น ขณะเดียวกัน เรือสำราญหรูที่จอดอยู่ที่ท่าเรือออสเตรเลียได้มุ่งหน้าสู่มหาสมุทรอินเดียแล้ว


ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน ตอนที่เรือสำราญแล่นมาถึงจุดเกิดเหตุ เครื่องบินลอยน้ำลำเล็กล่องอยู่บนพื้นผิวน้ำได้ประมาณร้อยเมตร มันแล่นไปหยุดอยู่ข้างเรือกู้ภัย และคนสี่คนถูกรับจากเครื่องบินและส่งขึ้นไปยังเรือสำราญด้วยเรือยนต์ลำนึง


“เรียกกัปตันมาหน่อย ผมต้องการทราบรายละเอียด”


คนที่อยู่บนเรือสำราญก็คือโก่วซินเจีย จั่วเจียจวิ้นและถังเหวินหย่วนนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีโจวเซี่ยวเทียนที่ไปเยี่ยมอาจารย์ลุงที่ฮ่องกงแล้วเจอเรื่องนี้พอดี พอทราบข่าวของอาจารย์ เขาก็ขอตามมาด้วย


“อาจารย์ลุง อาจารย์ของผม?”


สีหน้าของโจวเซี่ยวเทียนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล แม้เขาจะรู้ว่าพลังวิชาของอาจารย์ของตนนั้นสูงกว่าคนทั่วไปมาก แต่อำนาจของฟ้าไม่มีใครคาดเดาได้ คนที่โดนฟ้าผ่า โอกาสรอดชีวิตนั้นน้อยมาก


“กังวลอะไร? ” โก่วซินเจียมองโจงเซี่ยวเทียนและพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “น้องเล็กไม่ใช่คนอายุสั้น แม้ว่าฉันจะทำนายชะตาชีวิตของเขาไม่ได้ แต่เขาไม่มีทางตายที่นี่แน่นอน สบายใจเถอะ!”


แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่สายตาของโก่วซินเจียที่เผยให้เห็นความเหนื่อยล้า มันเผยความกังวลไว้ด้วยเช่นกัน แต่คำพูดของเขาช่วยปลอบใจโจวเซี่ยวเทียนได้มากทีเดียว


โก่วซินเจียทำนายกว้าไปหนึ่งครั้ง หลังจากที่เยี่ยเทียนเกิดเรื่องแล้วครึ่งชั่วโมง ครั้งนี้เขาเลือกวิธีการเรียงกว้าที่ซับซ้อนและโบราณด้วยการใช้ดอกยาร์โรว เพื่อทำนายโชคดีและโชคร้ายของเยี่ยเทียน แต่เขาใช้พลังไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำนายอะไรออกมาได้เลย


มันยิ่งทำให้โก่วซินเจียแปลกใจ เพราะตั้งแต่เรียนวิชาทำนายจากการเรียงกว้าเขาใช้เวลาเรียนไปแล้วกว่าเจ็ดแปดสิบปี ระหว่างนี้เคยทำนายพลาดบ้าง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เหมือนครั้งนี้มาก่อน ราวกับว่าเยี่ยเทียนไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วซะอย่างนั้น


ไม่เพียงแต่ชะตาของเยี่ยเทียนที่เป็นแบบนี้คนเดียว ชะตาของเหลยหู่ก็ด้วยเช่นกัน แม้ว่าเหลยหู่ไม่ใช่คนที่ฝึกวิชามาก่อน แต่ชะตาชีวิตก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับฟ้าสวรรค์ และไม่ว่าจะเป็นโก่วซินเจียหรือจั่วเจียจวิ้นเอง ทั้งสองคนไม่มีใครทำนายความโชคดีและความโชคร้ายของเหลยหู่ได้เลยสักคน


ด้วยเหตุนี้โก่วซินเจียกับจัวเจียจวิ้นจึงต้องเดินมาด้วยตัวเอง โก่วซินเจียจะใช้จิตดั้งเดิมที่แผ่วเบาของเขากับทิศทางการเคลื่อนที่ของชี่ ในการค้นหาร่องรอยที่เยี่ยเทียนได้ทิ้งเอาไว้


“คุณถัง อา…อาจารย์จั่ว? ”


ลูกเรือที่ประสบอุบัติเหตุไม่มีใครออกจากมหาสมุทรผืนนี้ หลังจากที่เรือสำราญแล่นมาถึง พวกเขาก็ถูกย้ายและเข้ามาอยู่ในห้องโดยสารของบนเรือเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าถังเหวินหย่วนและจั่วเจียจวิ้นเดินทางมาด้วยตัวเอง หวงหมิงเต๋อที่คุ้นเคยกับทั้งสองท่านเป็นอย่างดี ถึงกับทำอะไรไม่ถูก


เพราะอุบัติเหตุเครื่องบินในครั้งนี้ หวงหมิงเต๋ออาจต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่ง เยี่ยเทียนเตือนเขาก่อนหน้านี้แล้วหลายครั้ง แต่เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจ และเขาตัดสินใจปล่อยเก้าอี้ออกไปในวินาทีสุดท้าย ซึ่งถ้าเขาตัดสินใจเร็วกว่านี้ เรื่องนี้คงจะไม่เลวร้ายถึงเพียงนี้


“กัปตันหวงใช่มั้ย คุณไม่ต้องกลัว คุณเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังหน่อย ห้ามพลาดแม้แต่รายละเอียดเพียงนิดเดียว! ”


เมื่อเห็นอาการตื่นตระหนกของหวงหมิงเต๋อ ถังเหวินหย่วนจึงเอ่ยปากพูดด้วยก่อน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นห่วงเยี่ยเทียนมาก แต่ทุกคนก็เป็นตาแก่อายุกว่าเจ็ดแปดสิบปี แค่ออกซิเจนที่หล่อเลี้ยงพลัง ก็ใช่ว่าไอ้หนุ่มอย่างโจวเซี่ยวเทียนจะเทียบเทียมได้


“เพราะผมไม่ฟังคำสั่งของคุณเยี่ย…”


หวงหมิงเต๋อยิ้มอย่างขมขื่น และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบิน กระโดดออกจากเครื่องบิน และเหตุการณ์ฟ้าผ่าที่ผ่าใส่เยี่ยเทียน


“ผม…ผมเหมือนจะเห็น ตอนที่คุณเยี่ยดีดอออกจากห้องโดยสาร เขาไม่ได้ใส่ร่มชูชีพ!”


แอร์โฮสเตสที่อ่อยเยี่ยเทียน เผลอหลุดข้อมูลที่ทำให้สีหน้าของหวงหมิงเต๋อถึงกับทำหน้าตายออกไป สาเหตุที่เยี่ยเทียนไม่ได้ใส่ร่มชูชีพก็เพราะกำลังต่อล้อต่อเถียงกับตนจนไม่ทันใส่


“ยังไม่พูดถึงเรื่องร่มชูชีพ พวกคุณแน่ใจว่าฟ้าผ่าใส่เยี่ยเทียนจริง? ”


สายตาของโก่วซินเจียจ้องเขม้นที่หวงหมิงเต๋อ เขาไม่สนใจว่าเยี่ยเทียนใส่ร่มชูชีพหรือไม่ เพราะโก่วซินเจียรู้ว่าเยี่ยเทียนลอยบนเมฆได้ ตกน้ำทะเลอาจจมน้ำตายได้ แต่ถ้าร่วงกระแทกพื้นตายมันเป็นไปไม่ได้แน่นอน



 

 

 


ตอนที่ 822 ความเป็นและความตาย

 

“ผม…ผมเห็นฟ้าผ่าคุณเยี่ยจริงครับ! ”


โก่วซินเจียแม้จะตัวเล็ก แต่พอยืนตรงนั้น กลับทำให้หวงเต๋อหมิงรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่น่านับถือมาก หวงหมิงเต๋อชะงักไปครู่นึง และหันหลังพูดกับแอร์โฮสเตสว่า “อาลี่ ตอนนั้นเธอห่างจากตรงนั้นไม่ไกลมาก เธอเห็นใช่มั้ย?”


“ใช่ค่ะ ฟ้าผ่ากลางหัวของคุณเยี่ยเทียนเลยค่ะ…”


แอร์โฮสเตสที่ชื่ออาลี่พูดประโยคนี้เสร็จ อุณหภูมิของห้องโดยสารลดลงทันทีทันใด เพราะอาวุโสที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เธอรู้สึกขนลุกซู่ เธอกัดริมฝีปากล่างเอาไว้และพูดด้วยความติดอ่างว่า “ฉัน…ฉันเห็นกับตานะคะ! ”


ตอนนั้นฟ้าร้องฟ้าผ่ายังไม่หายไปทั้งหมด ฟ้าก็ยังสลัวไม่มืด ใครที่อยู่ในระยะไม่กี่กิโลก็สามารถเห็นฟ้าผ่านั่นได้อย่างชัดเจน แล้วนับปรสาอะไรกับพวกเขาที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร เกือบทุกคนที่หันไปทางเยี่ยเทียน ต่างก็เห็นภาพนั้นชัดเจน


“เป็นไปไม่ได้ ด้วยพลังวิชาของน้องเล็ก เขาจะตายเพราะฟ้าผ่าได้อย่างไร? ”


เสียงของแอร์โฮสเตสยังไม่ทันสิ้น จั่วเจียจวิ้นพูดแทรกขึ้นมาด้วยความโมโห แม้แต่อาจารย์จั่วที่เคยอ่อนน้อมเรียบร้อยเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คน ตอนนี้เขาไม่ต่างจากสัตว์ป่าที่มีแผลฉกรรจ์ เขาจ้องแอร์โฮสเตสเขม่น ฝ่ายตรงข้ามกลัวจนถอยไปหลายก้าว


“น้องจั่ว ใจเย็นก่อน ความวู่วามไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ฉันเชื่อว่าน้องเล็กต้องไม่เป็นอะไร! ”


โก่วซินเจียคว้าจั่วเจียจวิ้นเอาไว้ ลมหายใจอันเย็นเยือกที่จั่วเจียจวิ้นปล่อยออกมา ไม่มีวี่แววว่าจะลดลงมีแต่จะเพิ่มขึ้น จนแอร์โฮสเตสที่ใส่เสื้อน้อยชิ้นแต่เดิมอยู่แล้ว ถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว


“น้องถัง ต้องรบกวนช่วยเชิญผู้รับผิดชอบของทีมการค้นหามาหน่อย! ”


มีชีวิตเกือบจะร้อยปี ผ่านเรื่องราวใหญ่โตมากมาย กำลังลมปราณของโก่วซินเจียหาใช่คนทั่วไปจะเทียมได้ไม่ แต่จั่วเจียจวิ้นกับโจวเซี่ยวเทียนที่รู้โก่วซินเจียเป็นอย่างดี สัมผัสได้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ (ศิษย์ลุง) ดูเหมือนใกล้จะโมโหเข้าไปทุกที


“ครับคุณโก่ว เยี่ยเทียนเป็นคนที่โชคดี ต้องไม่เป็นอะไร ท่านอย่ากังวลไปเลย”


โก่วซินเจียสามารถเรียกถังเหวินหย่วนว่าน้อง แต่ถังเหวินหย่วนไม่กล้าเรียกเขาว่าพี่ หลังจากที่รู้ว่าโก่วซินเจียเคยเป็นคนเบื้องหลังของคุณเจียง เขาจะใช้คำนำหน้าว่าคุณตลอด จะต่อหน้าหรือลับหลังเขาจะให้ความเคารพมากเป็นพิเศษ


“ผมใจร้อนไปหน่อย น้องถัง รีบให้คนไปเรียกเขาเข้ามาเถอะ! ”


โก่วซินเจียยิ้มที่เห็นหญิงสาวพวกนั้นมีอาการปากสั่นตัวสั่น ลมหายใจอันเย็นเยือกเมื่อกี้ก็จางหายไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา แล้วอุณหภูมิในห้องโดยสารก็กลับมาสู่ปกติ


จนถึงตอนนี้ แม้แต่คนที่ตอบสนองช้า ก็มองออกว่าความไม่ธรรมดาของโก่วซินเจียเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันในใจของทุกคนรับรู้แล้วว่าเยี่ยเทียนมีความสำคัญมากแค่ไหน เวลาที่โก่วซินเจียไม่ออกเสียง คนอื่นอยากจะหายใจยังต้องระมัดระวัง กลัวไปรบกวนอาวุโสที่น่ากลัวท่านนั้น


“คุณโก่ว คนนี้คือคุณบาเดอค็อกสหพันธรัฐใหม่และบริษัทค้นหาครับ บริษัทของพวกเขาเป็นบริษัทที่ทันสมัยที่สุดในโลก และยังมีอัตราการค้นหาสำเร็จบนน่านน้ำสูงที่สุด! ”


เวลาผ่านไปไม่กี่นาที ถังเหวินหย่วนพาผู้ชายผิวขาวคนหนึ่งเดินเข้า บรรยากาศในห้องอบอุ่นขึ้น หวงหมิงเต๋อและคนอื่นต่างก็แอบสบายใจขึ้น


“ทันสมัยที่สุดในโลก อัตราการค้นหาสำเร็จบนน่านน้ำสูงที่สุด? ”


โก่วซินเจียขมวดคิ้ว มองบาเดอค็อก และพูดกับเขาด้วยภาษาเยอระมันว่า “เยี่ยเทียนหายไปเกือบ 24 ชั่วโมงแล้ว ทำไมถึงยังไม่พบร่องรอยใดๆ? นี่หรือคือประสิทธิภาพการทำงานของพวกคุณ? ”


แม้ว่าโก่วซินเจียจะอายุมาก แล้วหลายสิบที่ผ่านมานี้เขาหลบซ่อนอยู่แต่ในป่า แต่เขาเป็นคนที่ผ่านเหตุการณ์สำคัญมาก่อน ตอนนั้นแม้แต่นายพลดอนัลด์ที่มีชื่อเสียงไม่นานท่านนั้น ก็ยังต้องตรงไปตรงมาต่อโก่วซินเจีย สำหรับโก่วซินเจียการพูดคุยกับชาวต่างชาติ โก่วซินเจียไม่เคยประณีประนอม


“โอ้ว อาวุโสท่านนี้ ท่านพูดภาษาเยอรมันเก่งมาก! ” ชาวต่างชาติชอบแบบนี้ การที่ผู้อื่นจ้างเขาด้วยเงินมหาศาลเพื่อค้นหาผู้สาบสูญ ผู้ว่าจ้างมีสิทธิที่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับงานของเขาอยู่แล้ว


“คุณไม่ต้องชมหรอก ผมแค่อยากรู้ว่างานของพวกคุณดำเนินการไปถึงไหนแล้ว! ” โก่วซินเจียส่ายหัวและพูดแทรกคำชมของช่าวต่างชาติ


ช่วงครึ่งศตวรรษที่แล้วก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง โก่วซินเจียมีหน้าที่รับผิดชอบข่าวกรองของต่างประเทศเป็นหลัก เขาใช้เวลาครึ่งค่อนปีในการฝึกภาษาเยอะรมัน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษและภาษาสเปน แม้จะพูดตอนนี้ก็ไม่ได้ติดขัดตรงไหน พูดคล่องราวกับใช้ชีวิตที่เยอรมันมาหลายปี


“ครับท่าน เรื่องนี้คงจะโทษพวกเราไม่ได้”


บาเดอค็อกหยักไหล่และพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “เมื่อวานน่านน้ำแห่งนี้เกิดพายุลูกใหญ่ แม้อุบัติเหตุทางเครื่องบินจะเกิดขึ้นตรงขอบของพายุ แต่มีความเป็นไปได้ที่ทำให้เกิดพายุเฮริเคน ถ้าเป็นเช่นนั้น คนที่พวกคุณต้องการหา อาจจะปรากฏตัวอยู่น่านน้ำที่ห่างออกไปหลายร้อยหรือหลายพันไมล์! ”


เขาชะงักไปครู่หนึ่งและพูดต่อว่า “การทำงานการค้นหาบนทะเล ไม่สามารถทำให้แล้วเสร็จในวันสองวัน บริษัทของเราเคยค้นหาคนๆเดียวที่หายไปนานสิบสี่วันจนสำเร็จ และเรื่องนั้นก็เกิดที่มหาสมุทรอินเดีย เพราะฉะนั้นผมกล้าพูดได้เลยว่า ไม่มีบริษัทไหนในโลกที่เชี่ยวชาญเท่าบริษัทของเราอีกแล้วครับ! ”


“คุณโก่ว เป็นความจริงครับ! ” เมื่อเห็นว่าโก่วซินเจียไม่ค่อยรู้จักอาชีพนี้สักเท่าไหร่ ถังเหวินหย่วนที่ยืนด้านข้างจึงใช้ภาษาจีนขยายความอีกครั้งด้วยเสียงแผ่วเบา


บาเดอค็อกไม่ได้พูดโอ้อ้วด แต่เนื่องจากลักษณะเฉพาะของงานกู้ภัยทางทะเล โดยทั่วไปจะดำเนินการร่วมกันโดยหน่วยงานการกุศลทางทหารและหน่วยงานเอกชนของประเทศต่างๆ


ตัวอย่างเช่นพลังกู้ภัยและการค้นหาทางทะเลของอังกฤษประกอบด้วยหน่วยยามฝั่ง ทหารและหน่วยงานตำรวจเป็นต้น พลังประชาชนประกอบด้วย องค์กรการกุศลที่ช่วยชีวิตในทะเลโดยเรือ องค์กรการกุศลที่ช่วยชีวิตในทะเลและประชาชนอาสาสมัครเป็นต้น


แต่หน่วยงานกึ่งราชการเหล่านี้ ยังมีข้อบกพร่องต่างๆ นานา ในการค้นหาบางครั้งที่ต้องใช้เงินหรือเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก การค้นหาในครั้งนั้นมักจะปฏิบัติภารกิจแบบพอเป็นพิธี เรือไททานิกที่จมลงใต้มหาสมุทรในตอนนั้น จึงมีคนเคยประนามว่ารัฐบาลช่วยเหลือไม่เต็มที่


ด้วยเหตุนี้เอง หน่วยงานการกู้ภัยทางทะเลของประชาชนทั่วไปจึงเริ่มก่อตัวขึ้น บริษัทสหพันธรัฐใหม่ก็คือหนึ่งในบริษัทที่โดดเด่น ความระมัดระวังและความตั้งใจในการทำงานของคนเยอรมัน ทำให้พวกเขากลายเป็นแกะนำของวงการนี้


พวกเขาไม่เพียงแต่ปฏิบัติภารกิจกู้ภัยทางทะเล แต่ยังเข้าร่วมโครงการกู้ซากเรือด้วยความกระตือรือร้น กำลังของพวกเขาแข็งแกร่งมาก และการที่ถังเหวินหย่วนเชิญพวกเขาเข้าร่วมการค้นหาเยี่ยเทียน เขาใช้เงินไปเยอะมาก


“แบบนี้เองเหรอ? ”


หลังจากฟังถังเหวินหย่วนอธิบายเสร็จ โก่วซินเจียพยักหน้าและพูดว่า “ผมหวังว่าพวกคุณจะเพิ่มกำลังคน ห้าวัน ภายในห้าวันต้องหาคนให้เจอ…”


“สามวัน พระเจ้า เป็นไปไม่ได้ เพราะคน…คนที่ท่านตามหา อาจจะไปพบพระเจ้าแล้วก็ได้! ”


บาเดอค็อกยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อได้ยินแบบนั้น เนื่องจากตรวจจับสัญญาณตำแหน่ง GPRS ใต้เก้าอี้ของเหลยหู่ไม่เจอ พวกเขาสันนิษฐานว่าเก้าอี้อาจจะเสียหายตอนที่ถูกฟ้าผ่า และทั้งคู่อาจจะเสียชีวิตแล้ว


ดั่งเช่นเหตุการณ์แบบนี้ หน่วยค้นหาทั้งหมดทำได้เพียงวิธีเดียว นั่นก็คือค้นหาตามเส้นทางกระแสของน้ำ หากโชคดี ก็จะพบศพของผู้ตาย แต่สิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดกลับเป็นซากกระดูกขาวที่เหลือจากการถูกกัดกินของปลาต่างๆ


“เยี่ยเทียนต้องไม่ตาย แม้ว่าเขาตาย ผมก็ต้องเห็นคน ตายก็ต้องเห็นศพ! ”


โก่วซินเจียชี้นิ้วและพูดว่า “ถึงแม้สิ่งที่หาเจอคือศพของเยี่ยเทียน ผมก็จะเพิ่มเงินให้อีกสิบล้านดอลล่าร์ โอเคหรือยัง? ”


ถังเหวินหย่วนได้ยินสิ่งที่โก่วซินเจียพูด เขารีบพูดออกไปว่า “บาเดอค็อก เงินก้อนนี้ผมจะโอนเข้าบัญชีของบริษัทคุณครับ”


“ครับ ผมจะนำทรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่มาใช้ และจะปฏิบัติให้เต็มที่ครับ! ”


คิ้วที่ขมวดอยู่ของบาเดอค็อกคลายออกทันทีที่ได้ยินเงื่อนไขใหม่ของโก่วซินเจีย ด้วยคอนเนคชั่นต่างๆ ของบริษัท พวกเขาสามารถระดมทีมกู้ภัยของรัฐบาลจากหลายประเทศมาเข้าร่วมได้ แม้ว่านี่จะเป็นมหาสมุทรผืนใหญ่ แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะพบศพของเยี่ยเทียน


“คุณถัง งั้นผมไปจัดการเลยนะครับ! ”


สำหรับการกู้ภัยช่วยชีวิต เวลาทุกวินาทีนั้นมีค่ามาก บาเดอค็อกร่ำลาถังเหวินหย่วนเสร็จ เขารีบออกจากห้องโดยสารและจะนำข้อตกลงใหม่นี้แจ้งให้กับบริษัทรับทราบ เพื่อเพิ่มกำลังการกู้ภัย


“อาจารย์ปู่ อา…อาจารย์ของผม? ” หลังจากบาเดอค็อกออกไปแล้ว ตาของโจวเซี่ยวเทียนเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา จนเกือบจะร้องออกมา


โจวเซี่ยวเทียนจากการเป็นโจรขโมยสุสานจนมีชีวิตทุกวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะเยี่ยเทียนเป็นคนให้เขา ในใจของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนไม่ได้เป็นแค่อาจารย์ แต่เป็นเหมือนดั่งพ่อคนนึง ที่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อกัน ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจินตนาการได้


“พูดพร่อยๆ! ”


โก่วซินเจียผู้ไม่เคยหยาบคายต่อหน้าเด็กรุ่นหลัง โมโหขึ้นมากะทันหัน พลังชี่อันแรงกล้าแผ่ออกมาจากร่างอันบางของเขา ชี่แท้ที่ใกล้เคียงกับแก่นแท้นั่น เหมือนพายุทอร์นาโด มันพัดแรงจนคนในห้องโดยสารเซไปเซมา


เยี่ยเทียนเป็นความหวังเดียวที่จะฟื้นฟูสำนักเสื้อป่าน เขายอมตายแต่ไม่ยอมให้ศิษย์น้องเล็กได้รับอันตรายใดๆ คำพูดของโจวเซี่ยวเทียนทำให้ความกดดันที่เก็บไว้มานานระเบิดออกมา


“ศิษย์พี่ใหญ่ ระงับความโกรธ! ”


แม้ว่าในใจของจั่วเจียจวิ้นจะเป็นทุกข์ แต่เขายังมีสติ เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดีเขาจึงรีบห้ามโก่วซินเจีย เพราะถ้าปล่อยให้เขาโกรธต่อไป เกรงว่าเรือลำนี้อาจจะถูกโก่วซินเจียรื้อถอนทั้งหมด


พอโก่วซินเจียได้สติแล้ว เขาก็รีบดึงชี่แท้กลับมา จากนั้นก็จ้องเขม่นโจวเซียวเทียนและพูดว่า “ศิษย์น้องเล็กไม่เป็นอะไร ถ้าแกกล้าแช่งอาจารย์แกอีก ฉันจะหักขาแก! ”


“ที่…ที่จริง คุณ…คุณลุงเยี่ยไม่ตาย! ”


และในตอนที่ห้องโดยสารเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึมจนแทบหายใจไม่ออก เสียงของสาวน้อยคนนึงดังขึ้น ทุกคนหันไปตามเสียง และพบกับเด็กสาวรูปร่างผอมบางนั่งอยู่ตรงมุมนึงของห้องนี้


“หล่อนเป็นใคร? ”


โก่วซินเจียมองกัปตันด้วยความสงสัย แต่เขาไม่รอให้หวงหมิงเต๋อตอบ เขาเดินเข้าไปเจียงซานและพูดกับหล่อนว่า “เด็กน้อย หนูรู้ได้อย่างไรว่าเยี่ยเทียนยังไม่ตาย? ”



 

 

 


ตอนที่ 823 หายตัวไป

 

หญิงสาวเอียงศีรษะพลางคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดเสียงดังฟังชัดว่า “ฉันชื่อเจียงซาน เป็น…เป็นศัตรูกับลุงเยี่ย!”


เจียงซานก็ไม่รู้ว่าตัวเองกับเยี่ยเทียนเป็นอะไรกันแน่ ถึงแม้เยี่ยเทียนจะสอนวิชาการทำนายโชคชะตาให้เธอ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะรับเธอเป็นศิษย์โดยตรง ถ้าดูจากเรื่องที่เกิดเรื่องที่โจฮันเนสเบิร์กแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็คือศัตรูกันจริงๆ


“ศัตรู? เธอเป็นศัตรูกับเขาได้เหรอ?!”


หลังจากได้ฟังคำพูดของหญิงสาวแล้ว ทุกคนที่อยู่ในท้องเรือจึงกลั้นหัวเราะไม่อยู่ อย่าว่าแต่โก่วซินเจียและคนอื่น ที่ไม่เชื่อ แค่พวกลูกเรือสองสามคนนี้ก็ยังส่ายหน้าไม่หยุด การปกป้องของเยี่ยเทียนที่มีต่อเจียงซานนั้น ทุกคนก็ประจักษ์แก่สายตา แล้วจะเป็นศัตรูได้อย่างไรเล่า?


เมื่อเห็นคนอื่นต่างขำขันตัวเอง เจียงซานจึงอดกำหมัดแน่นไม่ได้ แล้วพูดว่า “จริงๆ นะ ลุงเหลยหู่ให้ฉันมาช่วยสู้กับเยี่ยเทียน แต่ว่า…แต่ว่าลุงเยี่ยเทียนเก่งมาก ฉันจึงสู้เขาไม่ไหว!”


“เหลยหู่? ไอ้เด็กไม่รู้จักสำนึกผิดคนนี้”


เมื่อได้ยินชื่อของเหลยหู่ ถังเหวินหย่วนจึงสบถด่าอย่างไม่พอใจ แล้วจึงหันหน้าไปพูดกับลูกเรือสองสามคนว่า “ตรงนี้ไม่มีธุระของพวกคุณแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ เรื่องของเครื่องบินฉันได้คุยกับหลี่เซิงแล้ว จะไม่มีการโทษพวกคุณอย่างแน่นอน!”


หลังจากที่ได้รับข่าวว่าเครื่องบินตกนั้น ถังเหวินหย่วนก็รีบต่อสายถึงหลี่เชาเหรินทันที เดิมทีเขาอยากจะขอชดเชยค่าเสียหายเครื่องบินทั้งลำให้อีกฝ่าย แต่หลี่เชาเหรินกลับพูดว่าเป็นเพราะเขาที่ไม่ตรวจสอบความปลอดภัยให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็ไม่ต้องการค่าชดเชยจากถังเหวินหย่วน


“ขอบคุณคุณถังครับ อย่างนั้นพวกเราขอลงไปก่อนนะครับ!”


คำพูดของถังเหวินหย่วนทำให้หวงหมิงเต๋อและคนอื่นๆ ถอนหายใจโล่งอก และเหมือนกับที่หลี่เชาเหรินได้พูดไว้ การที่ไม่สามารถตรวจพบระเบิดที่อยู่บนเครื่องบินนั้นเป็นความผิดพลาดของพวกเขาจริงๆ และสองสามวันที่ผ่านมาพวกเขาต่างก็พากันอกสั่นขวัญแขวนตลอด จนกระทั่งวินาทีนี้ถึงได้โล่งใจ


หลังจากรอให้หวงหมิงเต๋อและคนอื่นออกไปแล้ว โก่วซินเจียจึงมองไปที่หญิงสาวแล้วพูดว่า “แม่หนู ลองพูดมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น?”


“คืออย่างนี้ค่ะ ลุงเหลย…”


เจียงซานอยู่กับแม่บุญธรรมชาวยิปซีมาตั้งแต่เด็ก เดินทางไปหลายสถานที่ ดังนั้นการสังเกตลักษณะสีหน้าท่าทางของคนจึงไม่ต้องพูดถึง เธอมองโก่วซินเจียและคนอื่นก็รู้แล้วว่าล้วนเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาทั้งนั้น จากนั้นเธอจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองประสบพบเจอรวมทั้งการรู้จักเยี่ยเทียนให้ฟังอีกรอบ


“สามารถอ่านใจคนได้ แถมยังควบคุมการเคลื่อนไหวของคนได้?”


เจียงซานพูดสิ่งเหล่านี้ออกมา โก่วซินเจียและคนอื่นๆ จึงอดมองหน้ากันไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะหญิงสาวคนนี้ทำสีหน้าจริงจังล่ะก็ พวกเขาคงจะคิดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้กำลังล้อเล่นกับตัวเองอยู่เป็นแน่


“น้องสาว อย่างนั้นเธอรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันคิดอะไรอยู่?” คนที่อยู่ท้องเรือนอกจากโจวเซี่ยวเทียนแล้ว ล้วนแต่เป็นชายชราอายุเจ็ดสิบแปดสิบปี จึงไม่มีใครอยากถือสาหญิงสาวคนนี้ ดังนั้นจึงมีแต่โจวเซี่ยวเทียนเท่านั้นที่ถามออกมา


“นาย?” เจียงซานมองโจวเซี่ยวเทียนหนึ่งที แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดอย่างฉับพลันพลางพูดว่า “ฉันมองนายไม่ออก นายกับลุงเยี่ยเหมือนกัน เหมือนภายในร่างกายจะมีม่านพลังบางอย่าง ที่สามารถปิดกั้นพลังจิตของฉันได้!”


เมื่อครู่เจียงซานปล่อยพลังจิตของตัวเองไปที่โจวเซี่ยวเทียน แต่กลับถูกพลังชี่กลุ่มหนึ่งตีกลับมา เนื่องจากพลังยุทธของโจวเซี่ยวเทียนกับเยี่ยเทียนนั้นห่างกันไม่มากนัก เขาจึงไม่อาจควบคุมการโจมตีกลับของตัวเองได้อย่างสิ้นเชิง ทำให้เจียงซานต้องเสียพลังอยู่บ้าง


พอหยุดไปสักพัก จู่ๆ เจียงซานจึงชี้ไปที่ถังเหวินหย่วนแล้วพูดว่า “คุณปู่ท่านนี้กำลังคิดว่าเยี่ยเทียนฆ่าคนเยอะเกินไปหรือเปล่า ถึงได้ถูกสายฟ้าฟาดเช่นนี้?”


เจียงซานพูดคำเหล่านี้ออกไปอย่างไม่ต้องกังวล ทันใดนั้นความสนใจของคนที่อยู่ในชั้นนี้ก็มองไปที่ถังเหวินหย่วน โดยเฉพาะโจวเซี่ยวเทียนที่มองตาแก่คนนี้ด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร ถ้าหากไม่ใช่เพราะถังเหวินหย่วนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเยี่ยเทียนมาตลอด เขาอาจจะมีความอยากจะซัดตาแก่คนนี้ก็เป็นได้


“เห้ย เธอ…อย่าพูดมั่วสิ!”


ถังเหวินหย่วนหน้าแดงก่ำเพราะคำพูดของเจียงซาน แล้วจึงรีบโบกมือเป็นพัลวันพลางพูด “ทุกคนก็รู้ความสัม พันธ์ของฉันกับเยี่ยเทียน ฉันไม่ได้สาปแช่งเขา แต่เรื่องนี้…มันก็น่าแปลกจริงๆ ตอนที่คนมากมายกระโดดลงมาจากเครื่องบิน แต่ทำไมสายฟ้าที่ถึงฟาดลงไปที่เยี่ยเทียนคนเดียว?”


“ที่น้องถังพูดก็ถูก แต่ฉันเชื่อว่าศิษย์น้องเยี่ยต้องไม่เป็นไร” โก่วซินเจียพยักหน้า พร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย เขาเคยได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงเรื่องที่ติงหงถูกลงทัณฑ์จากสวรรค์ตอนที่อยู่ไซบีเรีย ไม่แน่ถังเหวินหย่วนอาจจะทายถูกก็ได้


“เอ๋ เธอทายแม่นจริงๆ ใช่ไหม?” ถังเหวินหย่วนได้สติกลับมา แล้วจึงมองไปที่เจียงซานด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“เธอไม่ได้เดา บางทีอาจจะมีพลังงานบางอย่างกระมัง?”


เมื่อเห็นความสามารถที่ผิดแผกไม่เหมือนใครของเยี่ยเทียนจนชิน โก่วซินเจียจึงรู้ว่า บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องที่มหัศ จรรย์อีกมาก ถึงแม้เจียงซานจะอายุน้อย แต่ไม่แน่เธออาจจะมีดวงชะตาอะไรบางอย่างก็เป็นได้


“ไหนลองเล่ามา เธอรู้ได้ยังไงว่าศิษย์น้องเยี่ยไม่เป็นอะไร?”


จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อ โก่วซินเจียจึงมองไปที่เจียงซานอีกครั้ง ความสามารถในการอ่านใจคนของเธอเมื่อครู่ ทำให้ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของเธอมากขึ้น


“ฉันพอจะทำนายเรื่องบางอย่างได้ ถึงแม้จะหาลุงเยี่ยไม่เจอ แต่เขาไม่น่าจะเป็นอะไรค่ะ…”


เจียงซานคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดถึงความสามารถในการทำนายอนาคตจากความฝันของตัวเองออกมา เมื่อวานเธอฝันเห็นเยี่ยเทียนรับเธอเป็นศิษย์ ดังนั้นจึงเชื่อมั่นว่าเยี่ยเทียนยังไม่ตายอย่างแน่นอน


“มีเรื่องแบบนี้ด้วย?” โจวเซี่ยวเทียนได้ยินจนอึ้งอ้าปากค้าง แล้วพูดพึมพำว่า “นี่…นี่เชื่อถือได้ใช่ไหม?”


โก่วซินเจียส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฉันเชื่อที่เธอพูด ศิษย์น้องเล็กไม่น่าจะเป็นอะไร บางทีอาจจะถูกคลื่นซัดไปก็ได้?”


ผู้สืบทอดของสำนักเสื้อป่าน นอกจากเยี่ยเทีนแล้ว ก็นับว่าพลังยุทธของโก่วซินเจียนั้นบริสุทธิ์ที่สุดแล้ว แม้แต่หนานไหวจิ่นก็ยังด้อยกว่าเขาเล็กน้อย ถ้าหากไม่ใช่เพราะไม่มีพลอยวิเศษที่เหมาะสมในการฝึกวรยุทธของเขา เกรงว่าโก่วซินเจียคงจะบรรลุระดับเซียนเทียนไปนานแล้ว


ตอนที่เจียงซานพูดนั้น โก่วซินเจียได้ปล่อยกระแสพลังชี่ไปในร่างกายของหญิงสาว แล้วจึงพบพลังงานลึกลับบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว หลอมรวมกับคำพูดของเจียงซาน ทำให้โก่วซินเจียเข้าใจอย่างฉับพลัน การที่เยี่ยเทียนพาผู้หญิงคนนี้กลับมาฮ่องกง คงอยากจะรับเธอไว้เป็นลูกศิษย์กระมัง


“อาจารย์ลุง คำพูดพวกนี้ท่านก็เชื่อ?” ด้วยความเป็นเด็กของโจวเซี่ยวเทียนและยังคิดถึงอาจารย์เป็นอย่างมาก พอได้ยินแล้วจึงพูดออกมาทันควัน


“แกนี่ วันๆ เอาแต่ฝึกกำลังถือแต่ทวน เคล็ดวิชาลับของอาจารย์ไม่รู้จักเรียนเลยสักนิด…” สายตาของโก่วซินเจียนั้นเฉียบแหลม สิ่งที่เยี่ยเทียนมองออก เขาก็ต้องมองออกเป็นธรรมดา แล้วจึงพูดอย่างทอดถอนใจว่า “ต่อไปวิชาของศิษย์น้องเล็ก ไม่แน่อาจจะตกอยู่ที่ตัวของเจียงซานก็เป็นได้”


“อาจารย์ลุง ท่านหมายความว่า อาจารย์จะรับเธอเป็นศิษย์เหรอ?” โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ได้โง่ จึงรีบตอบสนองกลับทันที พลางมองไปที่หญิงสาวด้วยใบหน้าที่เหลือเชื่อ


ถึงแม้เจียงซานจะมีอายุสิบห้าสิบหกปี แต่หน้าตาและรูปร่างผอมแห้ง ดูแล้วไม่ต่างจากเด็กอายุสิบสองสิบสามปี ยกเว้นแววตาที่ดูฉลาดหลักแหลมแล้ว ก็มองไม่เห็นถึงความแตกต่างจากคนอื่น


“เรื่องของศิษย์น้องเล็กคงต้องรอไปก่อน แม่หนู เธอยินดีที่จะอยู่กับพวกเราไหม?”


ผู้สืบทอดสำนักเสื้อป่านมีน้อย เมื่อได้เจอต้นกล้าที่ดี หากไม่ได้กลัวว่าเยี่ยเทียนคิดจะทำอย่างอื่นล่ะก็ โก่วซินเจียก็เกิดความคิดอยากจะรับเธอเป็นลูกศิษย์เช่นกัน


“ฉันยินดีค่ะ!” เจียงซานพยักหน้าอย่างแรง แม่บุญธรรมชาวยิปซีคนนั้นของเธอปีนี้ก็อายุสี่สิบกว่าแล้ว ช่วงนี้เธอเจอผู้ชายคนหนึ่งในฝรั่งเศส ทั้งสองคนต่างรักกันอย่างดูดดื่ม เจียงซานจึงไม่อยากเป็นก้างขวางคอของพวกเขา


“โอเค งั้นพวกเราก็รอเยี่ยเทียนอยู่ที่นี่อีกหนึ่งเดือน ถ้ายังไม่มีข่าวคราวของเขาอีก ก็ค่อยกลับฮ่องกง!” ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ใบหน้าของโก่วซินเจียเพิ่งจะเผยรอยยิ้มเป็นครั้งแรก


“อาจารย์ลุง ถ้าหากหนึ่งเดือนแล้วยังหาอาจารย์ไม่เจอล่ะครับ?” โจวเซี่ยวเทียนร้อนใจมาก แม้ว่าจะไม่พูดถึงความรู้สึกที่เขามีต่ออาจารย์ แต่ถ้าหากตามหาเยี่ยเทียนไม่พบ เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับไปบอกกับคนที่บ้านอย่างไร


โก่วซินเจียเข้าใจอารมณ์ของโจวเซี่ยวเทียน เขาจึงโบกมือแล้วพูดว่า “ฉันจะไปพูดกับทางนั้นเอง ชีวิตและความตายถูกกำหนดโดยโชคชะตา และฉันเชื่อว่าศิษย์น้องเล็กจะต้องไม่เป็นไรแน่นอน!”


ดูเหมือนโก่วซินเจียจะปล่อยวางแล้ว เนื่องจากโหง่วเฮ้งของเยี่ยเทียนไม่ใช่คนอายุสั้น ยิ่งมีวรยุทธลึกล้ำก็ยิ่งทำให้ธาตุทั้งห้าแห่งฟ้าดินยิ่งโดดเด่น ดวงชะตาของเขาไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองจะมองได้อย่างแจ่มชัด ดังนั้นตัวเขาเองและคนอื่นๆ จึงพยายามช่วยกันตามหา ถ้าหากตามหาไม่เจอจริงๆ อย่างนั้นก็ต้องรอให้เยี่ยเทียนโผล่หน้าออกมาเอง


พอพูดกันรู้เรื่องแล้ว โก่วซินเจียจึงเป็นฝ่ายโทรหาซ่งเวยหลันกับเยี่ยตงผิง บอกว่าเยี่ยเทียนจะไม่มีเวลาติดต่อพวกเขาระยะหนึ่ง ทว่าซ่งเวยหลันรวมทั้งอวี๋ชิงหย่า ต่างก็เคยชินแล้ว ถึงแม้จะหงุดหงิดใจไปบ้าง แต่ก็ทำได้เพียงเท่านี้


วันเวลาผ่านไปทุกวัน สุดท้ายก็ไม่มีใครตามหาร่องรอยของเยี่ยเทียนกับเหลยหู่เจอ แม้แต่ร่มชูชีพกับเก้าอี้ดีดตัวก็หายไป เหมือนดังที่เจียงซานพูดไว้ก่อนหน้า ถึงแม้ทุกคนจะร้อนใจ แต่ก็ไม่ได้เป็นห่วงอะไรมาก



ย้อนกลับไปวันที่เครื่องบินตก จู่ๆ ร่างกายท่อนล่างก็ปรากฏช่องว่างแยกออกมา ทำให้เยี่ยเทียนตอบสนองไม่ทัน แล้วจึงเผลอเอาตัวเหลยหู่ติดเข้าไปด้วย


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หืม? ทะ..ทำไมที่นี่ถึงอัดแน่นไปด้วยปราณวิเศษขนาดนี้?”


เมื่อครู่ตอนที่ถูกสายฟ้าฟาดจนเปิดทางนั้น เยี่ยเทียนเกือบสูญเสียปราณแท้ที่อยู่ภายในร่างกายไปทั้งหมด แต่หลังจากที่เขาหลุดเข้ามาอยู่ในอากาศ พลังเข้มข้นอันแข็งแกร่งเกือบจะเหมือนกับการดูดซับพลังปราณจากพลอยวิเศษเข้าไปโดยตรงนั้น ได้แทรกซึมเข้าไปในรูขุมขนนับหมื่นทั่วร่างของเขา ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกสบายจนอดร้องครวญครางออกมาโดยไม่รู้ตัว


ทว่าระยะเวลาสั้นๆ เพียงชั่วพริบตาเดียว ปราณวิเศษที่หมดไปเมื่อครู่ได้รับการเติมเต็มกลับมาแล้ว กระทั่งจุดตันเถียนของเยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนจะพองโต ทำให้ตันเถียนหยินหยางกำลังเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง แปลงพลังปราณที่อยู่ภายในร่างกายให้เป็นปราณแท้


“เอ๊ะ เหลยหู่เป็นอะไร?”


เมื่อรู้สึกว่าร่างกายยังคงหล่นลงไปข้างล่างเรื่อยๆ เยี่ยเทียนจึงมองไปรอบๆ ตอนที่มองเห็นด้านล่างของร่างกาย เขาจึงอดตกตะลึงไม่ได้ เพราะข้างล่างนั้นคือใบหน้าที่แดงก่ำของเหลยหู่ ดูเหมือนร่างกายของเขาจะยืดขยายออกมา จากคนที่สูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรกว่าๆ ตอนนี้เหมือนจะสูงถึงสองเมตรแล้ว


“โอ้โหนี่คือร่างกายยังดูดซับอาหารไม่พอใช่ไหม?!”


เยี่ยเทียนจึงรู้สึกได้ทันที ปราณวิเศษของที่นี่ สำหรับเขาแล้วคือการบำรุงขั้นสูง แต่สำหรับเหลยหู่ที่มีพลังยุทธระดับพลังแฝงนั้น คือยาพิษที่เร่งให้ตายเร็ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ถึงสามนาที เหลยหู่จะต้องถูกปราณวิเศษพวกนี้อัดแน่นจนตัวระเบิดตายได้


จากนั้นเยี่ยเทียนจึงยื่นมือไปคว้าร่างที่สูงใหญ่ของเหลยหู่มาอยู่ตรงหน้า ปล่อยเกราะพลังของปราณแท้ออกมากลุ่มหนึ่งเพื่อห่อหุ้มทั่วร่างของเหลยหู่เอาไว้ ขณะเดียวกักระแสของปราณวิเศษก็ล้นออกมาจากตัวของเหลยหู่ มุดเข้าไปอยู่ในเกราะพลังเช่นกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)