องครักษ์เสื้อแพร 816-818
ตอนที่ 816
หนึ่ง สอง สาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ใต้เท้าหวัง ถ่ายทอดราชโองการเรียบร้อย ข้าขอแสดงความยินดีกับใต้เท้าหวังก่อน!”
“กงกงเดินทางมายากลำบาก ไปดื่มน้ำชาก่อน!”
“มิน่าในวังล้วนอยากออกมาปฏิบัติงานที่จวนใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวังใจกว้างจริง ในวังมาถึงที่นี่ไม่ได้ไกลอันใด ไม่ลำบาก แต่น้ำใจนี้ย่อมรับไว้ ขอบคุณใต้เท้าๆ !”
ขันทีมาประกาศราชโองการที่จวนหวังทงล้วนย่อมต้องกล่าวสนทนากับหวังทงเช่นนี้ ทว่าเมื่อก่อนตอบรับอย่างนอบน้อมเกรงใจ แต่ขันทีถ่ายทอดราชโองวันนี้กลับเอาแต่จ้องดูสีหน้าหวังทง
หวังทงสุภาพเกรงใจนอบน้อมดังเดิม ไม่ได้ต่างอันใดกับเมื่อก่อน ขันทีมองดูสองสามที ก็ไม่มองต่อ หากยิ้มรับซองแดงติดไม้ติดมือตามคนไปดื่มน้ำชา
เทียบกับท่าทีหวังทงแล้ว ทุกคนในจวนหวังที่รับราชโองการพร้อมกัน สีหน้าตกตะลึงอึ้งไปสนิท พวกหม่าซานเปียวยังดี หากเป็นระดับล่างลงไปยิ่งอึ้งกว่า สบตากันไปมา สีหน้างุนงง
รอขันทีถ่ายทอดราชโองการกลับออกไป ก็ยังมีคนนั่งงงอยู่ไม่รู้จะแสดงท่าทีเช่นไร หม่าซานเปียวมองไปรอบๆ รู้สึกรำคาญ พวกขุนนางบู๊มาทำหน้าที่นี้ทำให้รู้สึกอนาถ ไม่รู้จริง ๆ ว่าตอนนั้นพวกถานเจียงทนมาได้อย่างไรตั้งนาน เขาแค่นเสียงสั่งเยียบเย็น
“อย่าเอาแต่ยืนเซ่ออยู่ สีหน้าบัดซบเช่นนั้นก็อย่าให้ข้าเห็นอีก ยิ้มกันเร็ว รับราชโองการแล้วก็ทำหน้าเหมือนกันหมด ทำสีหน้าให้ใครดูกัน!!”
ถูกหม่าซานเปียวตวาดไป ทหารติดตามในลานนั้นต่างก็ได้สติ หม่าซานเปียวตบท้ายทอยไปมา หันไปอีกทีหวังทงก็ออกไปแล้ว รีบจับคนหนึ่งมาถามว่า
“ใต้เท้าไปไหนแล้ว?”
“ใต้เท้ากลับห้องหนังสือไปแล้ว ยังให้ข้าน้อยชงชาไปด้วย”
หม่าซานเปียวมองไปทางห้องหนังสือสองสามที หันกลับไปตะโกนใส่อีกคนหนึ่งว่า
“หานกัง เจ้าจะไปไหน!!?”
หานกังที่เดินไปถึงประตูก็หยุดนิ่ง หันมากล่าวเย็นชาว่า
“ยังจะไปไหนได้ กลับบ้านสิ งานนี้ข้าไม่ทำแล้ว!”
“ไสหัวกลับมา!! ใต้เท้าไม่มีคำสั่ง เจ้าก็ยังเป็นหัวหน้าทหารติดตามใต้เท้า คิดจะไม่ทำ กฎทหารเจ้ารู้หรือไม่ ไปอยู่ลานด้านหลังเสียดีๆ อย่าให้ข้าต้องลงมือ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะจับเจ้าแขวนเฆี่ยนบนต้นไม้ ต้าหู่ เอ้อร์หู่พวกเจ้ารั้งเขาไว้!!”
ทหารติดตามอายุน้อยกว่าต่างกำลังอึ้งอยู่ ไม่ว่าหม่าซานเปียวหรือหานกังล้วนเป็นคนที่พวกเขาสนิทสนมกันทุกวันปกติ ตำแหน่งหม่าซานเปียวไม่เอ่ยถึง นับแล้วก็เป็นผู้อาวุโสของพวกเขาทุกคน ปกติวางตัวสบายๆ ก็แล้วไป หากในสถานการณ์เป็นทางการก็ย่อมต้องนอบน้อมมาก อยู่ ๆ เด็ดขาดเอาเรื่องขึ้นมา ทุกคนก็เข้าใจได้ ทว่าหานกังเสียมารยาท ทุกคนคิดให้ดี ก็รู้สึกว่าไม่ได้ผิดอันใด
พอถูกหม่าซานเปียวตวาด จึงได้สติกัน รีบเข้าไปรั้งไว้ หานกังถลึงตาใส่หม่าซานเปียว สุดท้ายก็คอตก ยอมตามทุกคนไปลานด้านหลัง
“ดูอะไรกัน ปิดประตูสิ ไปตามท่านหยางกลับมา จำไว้ว่าไปถึงที่ทำการให้บอกว่าวันนี้ใต้เท้าติดธุระ ไม่ไปที่ทำการแล้ว!!”
มีทหารติดตามรับคำวิ่งออกไป หม่าซานเปียวยืนอยู่หน้าประตูตบหน้าผากสองสามที ปากก็พึมพำไป
“คิดสิๆ คิดให้มากๆ อย่าให้หลุดอะไรไป”
ตอนทิ้งถานเจียงไว้ที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ตำแหน่งหน้าที่พ่อบ้านก็มอบให้หม่าซานเปียว ทุกคนรู้นิสัยหม่าซานเปียวดี จึงกำชับหลายคำ ทุกเรื่องให้คิดให้มาก ต้องนิ่งไว้ก่อน
ทางนั้นปิดประตู หม่าซานเปียวก็หันไปมอง เห็นพวกไม่มีงานมาเดินอยู่บนท้องถนนสองสามคนไปมา หวังทงเป็นเป้าข่าวหนึ่งในเมืองหลวง หม่าซานเปียวเองก็รู้ว่าคนพวกนี้ตั้งแต่หวังทงสร้างจวนมาก็มาเอ้อระเหยกันอยู่แถวนี้ เป็นพวกไหนกัน รำคาญใจจนอดด่าออกไปไม่ได้
“ไสหัวไปหาน้ำชาดื่มไป อย่ามาหาสร้างความวุ่นวายเพิ่มที่นี่!”
ปกติหวังทงก็มอบเงินคนด้านนอกพวกนี้อยู่แล้ว ยังให้ทหารติดตามพาไปกินน้ำชาอยู่บ่อย ๆ คนพวกนี้รู้หนักเบาดี พอถูกหม่าซานเปียวด่าเช่นนี้ ชายหลายคนก็รีบยิ้มพยักหน้า มีคนหนึ่งมองซ้ายมองขวาวิ่งเข้ามากระซิบว่า
“ท่านสาม พี่น้องเราปฏิบัติหน้าที่ ท่านก็เพลาๆ หน่อย….ขอกล่าววาจาไม่ควรกล่าวสักหน่อย ฝ่าบาทส่งขันทีมาถ่ายทอดราชโองการเพิ่งกลับไป จวนก็ปิดประตูเงียบ ที่จับตาดูอยู่ใช่ว่ามีแค่พวกเราพี่น้อง เปิดประตูดีกว่า ไยต้องหาเรื่องให้เป็นที่ระแวง!”
หม่าซานเปียวสองตาถมึงทึงจะด่า แต่ก็ได้สติทันที หันไปคำรามสองสามทีก่อนจะเปิดประตู คลำหาก้อนเงินโยนให้ไป สบถเสียงดังไม่สุภาพนักว่า
“พรุ่งนี้ไปหอรุ่งเรือง ข้าเลี้ยงสุราพวกเจ้า ขอบใจ!”
ชายว่างงานผู้นั้นยิ้มร่าเข้ามารับเงิน วิ่งกลับไปเอ้อละเหยไปมาต่อ หม่าซานเปียวยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ก็หันไปเรียกเป้าเอ้อร์เสี่ยวบอกว่า
“สั่งการลงไป เรื่องราชโองการอย่าได้วิพากษ์วิจารณ์ ที่หน้าประตูกับคนนอกก็ห้ามทำหน้าสลดใส่ ต้องพยายามฉีกยิ้มร่าเริง เงินที่ต้องจ่ายก็จ่ายไป พวกเราตรงนี้มีเจ้าดูรู้เรื่องชำนาญการมากกว่า ที่ข้าพูดมา เจ้าเข้าใจไหม?”
เป้าเอ้อร์เสี่ยวพยักหน้าหงึก รีบวิ่งเข้าไปจัดการ หม่าซานเปียวยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก็ให้คนไปลากเก้าอี้มา นั่งหันหน้าออกประตูใหญ่
ขี่ม้าจากสำนักผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรมาจวนหวังทง ใช้เวลาไม่นาน เพราะวันนี้หวังทงอยู่บ้านรอรับราชโองการ ดังนั้นจึงให้หยางซือเฉินไปดูแลงานที่ที่ทำการ ครานี้ส่งคนไปตาม หยางซือเฉินก็กลับมาเร็วยิ่ง
พอเห็นหยางซือเฉินปรากฏตัวหน้าประตู ลงจากรถม้ามา หม่าซานเปียวก็รีบเข้าไปรับ สีหน้าหยางซือเฉินงุนงง พอเห็นหม่าซานเปียวรีบร้อนเข้ามารับ เขาก็ยิ่งงุนงงทวีคูณ ก้าวเดินอย่างเร็วเข้าไปหากล่าวเพียงว่า
“เดินเข้าไปคุยกันในจวน!”
หม่าซานเปียวเข้าใจ สองคนเดินเข้าไปในจวนได้สองสามก้าว หม่าซานเปียวก็กล่าวว่า
“วันนี้ฝ่าบาททรงมีราชโองการพระราชทานสมรสแก่ใต้เท้า ราชโองการว่าให้ใต้เท้าหวังแต่งสามนาง”
หยางซือเฉินยืนค้างนิ่งอึ้ง จ้องมองหม่าซานเปียว ราชโองการนี้ไม่น่าทำให้รู้สึกร้อนใจนี่ ยังไปตามตัวเองกลับมาจากที่ทำการอีก
“……ทรงให้ซ่งฉานฉานเป็นภรรยาเอก จางหงอิงกับหานเสียเป็นภรรยาน้อย แม้แต่ลำดับก็จัดมาให้เสร็จ จางหงอิงเป็นสอง หานเสียเป็นสาม”
“อะไรนะ!?”
ครั้งนี้หยางซือเฉินอึ้งไปจริงๆ หันไปมองซ้ายมองขวา โบกมือให้เข้ามาใกล้อีกนิด กระซิบถามว่า
“ซ่งฉานฉาน…….ก็คือแม่เล้าซ่งแห่งหอฉินก่วนหรือ?”
หม่าซานเปียวพยักหน้าหงึกๆ สีหน้าหยางซือเฉินก็ยิ่งประหลาดกล่าวว่า
“ซ่งฉานฉานอายุมากกว่าใต้เท้า 10 ปี …..และยังเป็นหญิงเช่นนั้น…..ใต้เท้าเราสถานะสูงส่งเช่นใดแล้ว เป็นถึงท่านโหวแล้ว แต่งสตรีเช่นนี้เป็นภรรยาเอก…เป็นฮูหยินพระราชทาน..เหลวไหล!”
หากกล่าวถึงสตรีพื้นเพไม่ดีได้รับสถานะฮูหยินพระราชทาน แผ่นดินหมิงใช่ว่าแปลก มักเป็นพระญาติห่างๆ หรือขุนนางบู๊ พระญาติห่างหรือขุนนางบู๊ที่ยังไม่ได้สร้างความชอบใหญ่ หญิงข้างกายเป็นหญิงหอคณิกา หรือพื้นเพต่ำต้อยก็ไม่น้อย
แต่พอสร้างความชอบใหญ่ ราชสำนักมอบบรรดาศักดิ์ให้ จากนั้นก็ไม่ถือชาติกำเนิด ย่อมมอบสถานะฮูหยินพระราชทานให้ เรื่องนี้ก็เห็นกันไม่น้อย มักเป็นที่ลือกันไปในด้านดี
ทว่าขุนนางระดับโหวที่สถานะสูงยังไม่แต่งงาน ฮ่องเต้มีสมรสพระราชทาน มอบนางคณิกาให้ และไม่มีสายสัมพันธ์ส่วนตัวใดๆ อีก เป็นหญิงคณิกามีชื่อเมืองหลวง พระราชทานให้ขุนนางคนสำคัญเป็นภรรยาเอก พระประสงค์นี้ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกน่าสนุก
จางหงอิงกับหานเสียเป็นน้อย แม้ว่าไม่ยุติธรรมกับสตรีทั้งสอง แต่หวังทงตอนนี้เป็นถึงติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร นางทั้งสองเป็นสตรีชาวบ้าน สามารถแต่งเป็นภรรยาน้อยเข้าตระกูลสูงเช่นนี้ก็เรียกได้ว่ามีวาสนาแล้ว แต่ภรรยาเอกเป็นสตรีหอคณิกา เรื่องนี้มันน่าอึดอัดไม่น้อย
เรื่องก่อนหน้าที่หวังทงกับหญิงตระกูลหานจะหมั้นหมายกันนั้น ชนชั้นสูงในเมืองหลวงกับขุนนางล้วนไม่มีผู้ใดรู้ ฮ่องเต้มีราชโองการเช่นนี้ ก็ไม่รู้จะกล่าวอันใด
หยางซือเฉินค่อยๆ ก้าวเดินไปกล่าวว่า
“ข้าไปพบใต้เท้า ซานเปียว เรื่องฮ่องเต้สมรสพระราชทานเป็นเรื่องมงคลใหญ่ เจ้าก็ไปจัดการงานมงคลตามประเพณี อย่าได้ทำท่าทางหดหู่เช่นนี้ …..อีกเรื่อง เจ้าส่งคนไปหอฉินก่วนแจ้งแม่นางซ่ง จางหงอิงกับหานเสียยังพูดง่ายๆ เจ้าค่อยไปหาน้าหม่า ให้น้าหม่าจัดการเรื่องของหมั้น รีบไป จำไว้ ยิ้มเข้าไว้ !”
หม่าซานเปียวอึ้งไป ตามมาด้วยสีหน้าเข้าใจ รีบพยักหน้าวิ่งออกไปจัดการ หยางซือเฉินหันกลับไปมองทุกคนในลานด้านหน้า สีหน้าทุกคนดูย่ำแย่ หยางซือเฉินส่ายหน้าเดินไปยังห้องหนังสือ ปากก็บ่นพึมพำไป เข้าใกล้หน่อยจะได้ยินว่า ‘ความดีความชอบเหนือนาย’
มาถึงห้องหนังสือ ส่งเสียงรายงานด้านนอกก่อนผลักประตูเข้าไป ก็เห็นหวังทงนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ สงบนิ่งมาก มองไม่ออกว่าคิดอันใดอยู่
พอเห็นหยางซือเฉินเข้ามา หวังทงก็พยักหน้าให้เขานั่งลง หยางซือเฉินไม่ทันนั่งก็ประสานมือคำนับกล่าวว่า
“ใต้เท้า ฝ่าบาทมีราชโองการสมรสพระราชทาน นี่เป็นพระเมตตา ใต้เท้ารับราชโองการแล้ว เรื่องแรกก็คือขอบพระทัยในพระเมตตา หากมัวชักช้าคงมีคนฟ้อง”
หวังทงโยนหนังสือลงบนโต๊ะ เป็น ‘สามก๊กฉบับชาวบ้าน’ หวังทงบอกว่า อ่านหนังสืออ่านเล่นพวกนี้ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายลงได้ หวังทงเงยหน้ามองหยางซือเฉินกล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า
“ฝ่าบาทมีราชโองการมา ก็เพื่อส่งสัญญาณกำราบข้า หากข้าไร้ปฏิกิริยาและขอบพระทัยไปทันที เช่นนั้นก็ย่อมทำให้รู้สึกว่าทรงกำราบไม่สำเร็จ อย่างไรก็ต้องหาทางลงมือใหม่ รออีกสักครู่ค่อยถวายสารขอบพระทัย ในวังบางทีกำลังรออยู่ ท่านหยาง ตอนนี้ท่านไปร่างหนังสือกราบทูลขอบพระทัยในพระเมตตาก่อน”
หยางซือเฉินคำนับรับคำ กล่าวว่า
“ใต้เท้า เรื่องนี้……”
เขาคิดเอ่ยปลอบ หากหวังทงโบกมือ ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าไม่เป็นไร ก็แค่แต่งทีเดียวสาม ลำดับนั้นข้าไม่สนใจ อย่างไรก็ของข้าคนเดียว ท่านไปร่างหนังสือเถอะ!!”
เห็นหวังทงยิ้มแย้ม หยางซือเฉินก็ไม่อาจกล่าวอันใดอีก ได้แต่คำนับออกไปร่างฎีกา หยางซือเฉินออกไปแล้ว หวังทงก็หยิบหนังสือขึ้นมาแล้วก็วางลง สีหน้าไร้รอยยิ้ม มองไปนอกหน้าต่างพึมพำว่า
“ฮ่องเต้……อย่างไรก็เป็นฮ่องเต้!!”
ตอนที่ 817
ปล่อยคนอื่นหัวเราะเยาะไป
โดย
Ink Stone_Fantasy
“…….ความอัดอั้นในใจบัณฑิตถูกปลดปล่อยสิ้น……”
เดือนหก ปีที่ 12 ในรัชสมัยว่านลี่ เมืองหลวง มีคนบันทึกลงในบันทึกประจำวันเช่นนี้ ตั้งแต่เหยียนชิงถูกปลด ขุนนางบัณฑิตได้รับโทษจำคุกเพราะกุข่าวลือ แต่ละสมาคม แต่ละสำนักโคลง บัณฑิตต่างก็รวมตัวกันอย่างเงียบเหงามาก
ทว่าเรื่องพระราชทานสมรสแก่หวังทง ภรรยาเอกกลับเป็นหญิงหอคณิกา แม้ว่าซ่งฉานฉานเป็นเจ้าของหอคณิกาฉินก่วนที่มีชื่อเสียง แต่ก็ยังทำให้หวังทงเป็นที่หัวเราะเยาะอยู่ดี
“พี่ท่านมาจากที่ใด?”
“เมื่อครู่ไปหอฉินก่วนมาหรือ?”
“ยามนี้หอฉินก่วนไม่มีการแสดง ไปทำอันใดกัน?”
“ไปถามว่าแม้เล้าซ่งหายไปไหน คนงานที่นั่นบอกว่า แม่เล้าซ่งแต่งแล้ว ไม่อยู่หอฉินก่วนแล้ว”
จากนั้นทุกคนก็ฮาหัวเราะดังลั่น คำถามตอบเช่นนี้ทุกวันก็จะเกิดขึ้นที่รวมตัวของบัณฑิต รอบแล้วรอบเล่า ทุกคนล้วนไม่รู้สึกเบื่อ หากรู้สึกเป็นเรื่องตลกขบขันอย่างยิ่ง
“ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา รู้ว่าใต้หล้านี้ยังต้องพึ่งพาบัณฑิตเช่นพวกเรา ขุนนางบู๊เช่นนั้น แม้ว่าโชคดีได้รับพระราชทานความชอบมากมาย แต่ก็เป็นแค่คนชั้นต่ำ เหมาะที่จะแต่งกับดอกไม้กลีบโรยชื่อเสียงป่นปี้เช่นนั้น”
“กล่าวเช่นนี้ไม่ยุติธรรมกับแม่นางซ่งนะ หวังทงเจ้าขุนนางบู๊หยาบคาย ไหนเลยจะเหมาะสมกับหญิงมากสามารถเช่นนั้นได้”
“ก็จริงๆ !”
พอกล่าวจบ ทุกคนก็ฮาหัวเราะฮาดังลั่นกันอีก
************
คิดถึงสมรสพระราชทานครั้งนี้ให้ดี นอกจากการจัดการเรื่องภรรยาเอกแล้ว ที่เหลือนั้นล้วนพระราชทานไม่น้อยหน้า เห็นได้ชัดว่าสมฐานะหวังทง
จวนผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรจัดการงานง่ายๆ ได้ เพราะอย่างไรก็กินเบี้ยหวัดปฏิบัติหน้าที่ แต่สถานะติ้งเป่ยโหว จวนที่พักไม่อาจละเลย ต้องจัดตามระเบียบแบบแผน เขตอุดรเลือกพื้นที่หนึ่งโดยเฉพาะ กำลังลงมือก่อสร้างใหญ่ เมืองหลวงไปทางตะวันออกห้าลี้ หวังทงส่งคนไปซื้อโรงบ้านเตรียมไว้
แต่ละเรื่องจัดเตรียมการอยู่ หวังทงไม่มีญาติผู้ใหญ่ มารดาหม่าซานเปียวจึงต้องรับหน้าที่นี้ไป นางผ่านมาก่อน และยังเคยเตรียมงานแต่งให้หม่าซานเปียวมาก่อน จึงได้ร่วมแรงกับภรรยาหยางซือเฉินสองคนเตรียมงานแต่งให้หวังทง
ส่งแม่สื่อไปก่อน ส่งของหมั้นหมาย หลายเรื่องหลายขั้นตอน เทียบกับการหัวเราะเยาะของเหล่าบัณฑิตแล้ว คนของหวังทงเรียกได้ว่างง แต่นางหม่ากลับคิดตก นางกล่าวว่า ‘อายุเท่านี้แล้ว ยังจะรีรอลำบากอันใด รีบแต่งงานมีลูกจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง’
หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนมาถึงจวนหวังทงหลังราชโองการมาได้สองวัน ที่จริงแล้วราชโองการเพิ่งมาถึง พวกเขาสองคนก็รู้ข่าวแล้ว
หลี่เหวินหย่วนมาหาในทันที หากระหว่างทางได้พบกับคนของหลี่ว์วั่นไฉที่ส่งมารั้งไว้ รอจนตอนนี้จึงค่อยมา เหตุผลก็ง่ายมาก
“หากพวกเรารีบมาพบใต้เท้า ใช่ว่าตกเป็นเป้านินทาหรือ ฝ่าบาทพระราชทานสมรสพระราชทาน ใต้เท้าก็รีบตามพวกเรามาหารืออันใด สมรสพระราชทานนี้ ใต้เท้าต้องวางแผนรับมืออันใด ต้องยินดีปรีดาถึงสมควร หรือว่ายังต้องหาทางรับมือกัน หากมากันจริง เกรงว่าคงเป็นการเติมเชื้อไฟ!”
หลี่ว์วั่นไฉกล่าวได้ถูก ทว่าจากนั้น หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนก็ต้องมาออกแรงช่วยงาน ในฐานะเพื่อนและลูกน้อง เจ้านายงานแต่งงาน มาช่วยงานให้มาก จึงเป็นน้ำใจในหน้าที่
แต่งานแต่งท่านโหว ยังเป็นสมรสพระราชทาน จึงมีงานให้ทุกคนทำกันไม่มาก คนในวังกับกรมพิธีการต้องมาจัดการแทน ดังนั้นทุกคนจึงยังคงยุ่งกับงานตนและงานหลวงเป็นหลัก
มีคนจัดงานไม่น้อย ทุกคนจัดเตรียมงานในส่วนของตนอย่างเต็มที่ เน้นงานในหน้าที่เป็นหลัก
ดังนั้นสองคนจึงมักมาหาหวังทงที่ห้องทำงานในที่ทำการ มีคนยกน้ำชาและขนมเข้ามา หลายคนคุยสัพเพเหระกันไป ผ่อนคลายยิ่ง
ก็ไม่รู้ว่ามีคนจ่ายเงินหาข่าวมากเท่าไร อยากจะเห็นท่าทางสิ้นหวังหมดท่าของหวังทง ทว่าท่าทีหวังทงที่พวกเขาได้เห็นกลับเป็นท่าทีปกติ ไม่เดือดร้อน
“พอแม่นางซ่งทราบข่าว ก็ตื่นตระหนกมาก พูดกลับไปกลับมาคำเดียวว่า ได้อย่างไรกัน ๆ จากรายงานสำนักรักษาความสงบที่มีสายที่นั่น บอกว่าหลายวันก่อนแม่นางซ่งคิดฆ่าตัวตาย กลับถูกช่วยไว้ มีคนกล่าวว่า เจ้าคิดว่าเจ้าไม่คู่ควรกับใต้เท้าหวัง อาจทำร้ายเขา แต่เจ้ามาตายอย่างนี้มีประโยชน์อันใด”
หลี่ว์วั่นไฉยกชาขึ้นจิบ กระซิบกล่าว ซ่งฉานฉานนับเป็นหัวหน้าหน่วยคนหนึ่งในสำนักรักษาความสงบ นางเป็นคนของหวังทง ย่อมรู้ว่าหวังทงเป็นคนเช่นไร ในใจเคารพนั้นย่อมไม่น้อยไปกว่าผู้ใด
พอรู้เรื่องราชโองการ ซ่งฉานฉานก็ตื่นตระหนกอย่างมาก ตนเองถูกใช้เป็นเครื่องมือจัดการหวังทง ฮ่องเต้ไม่อาจล่วงเกิน หวังทงก็ใช่ว่านางจะล่วงเกินได้ นางเป็นสตรีหอคณิกา เป็นสตรีที่เคยมีความผิดติดตัว ย่อมต้องปล่อยวางในเรื่องพวกนี้ได้ดีกว่าคนทั่วไป ย่อมรู้ว่าพัวกันเข้าไปกับเรื่องพวกนี้แล้วหมายถึงสิ่งใด ดังนั้นจึงได้ตื่นตระหนก
“ถึงกับฆ่าตัวตาย แต่งกับข้าเป็นเรื่องหนักใจเช่นนั้นเลยหรือ?”
หวังทงเยาะตนเอง หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนอึ้งไป ตามมาด้วยหัวเราะดัง หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“จางหงอิงพอรู้ข่าว ยังคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าน้าหม่า บอกว่าอย่างไรก็อยากขอรับใช้น้าหม่าไปชั่วชีวิต ไม่อาจจากไปได้ จากนั้นทั้งคืนก็เอาแต่ฝันไปหัวเราะไป ทำให้นางหม่าไม่ได้นอนทั้งคืน นางก็คงดีใจมาก”
“ใต้เท้า หญิงชาวบ้านธรรมดาไม่อาจสู้สาวใช้ในตระกูลสูง จางหงอิงผู้นี้รู้ดี!”
หลี่ว์วั่นไฉกล่าวสัพยอก หลี่เหวินหย่วนก็หัวเราะขำตาม หวังทงยิ้มอย่างอดไม่ได้ กล่าวว่า
“หานกังแกล้งป่วยไปสามวัน จากนั้นก็พาน้องชายสองคนมา บอกว่าหานเถี่ยกับหานสือจะมาทำงานกับข้าด้วย ยังบอกว่าของหมั้นไม่มาก ขอใต้เท้าอย่าได้ตำหนิ”
กล่าวถึงตรงนี้ หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนสองคนก็พยักหน้า หลี่เหวินหย่วนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“หานเสียผู้นี้เป็นสตรีรู้หน้าที่ ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้มาก สตรีแต่งเข้ามาแล้ว สถานะสูงต่ำก็ย่อมขึ้นกับใจใต้เท้า”
คุยเรื่องครอบครัวไปสักพัก ก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องงาน ฮ่องเต้ว่านลี่ให้หกกรมกองสอบการครองที่นาของตระกูลสวี หกกรมกองกำลังระส่ำระสาย
การครองที่นาก็ต้องมีเกณฑ์วัด เดิมมีเท่าไร ตอนนี้มีเท่าไร ที่นาเป็นของผู้ใด จึงเรียกได้ว่าตรวจสอบกระจ่าง ตอนนี้แผ่นดินหมิงตั้งเกณฑ์วัดที่ตอนจางจวีเจิ้งดำเนินนโยบายตรวจสอบที่นาใต้หล้า
ตอนนั้นตรวจสอบชัดเจน ไม่มีซ่อนเร้น แต่ตอนนั้นเมืองซงเจียงเป็นพื้นที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ ตระกูลสวีตอนนั้นมีที่นาเท่าไรก็ได้รับการยอมรับจากทางการแล้ว หรืออาจกล่าวได้ว่า ขั้นตอนทางการตอนนี้ ตระกูลสวีมิได้รุกครองที่นาผู้ใดผิดกฎหมาย ล้วนถูกต้องตามกฎหมาย
ในเมื่อมีความชอบธรรมทางกฎหมาย เช่นนั้นจะมาพูดเรื่องรุกครองอันใดอีก ยิ่งไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ หัวหน้าผู้นำตระกูลใหญ่แดนใต้อย่างตระกูลสวี ผู้ใดกล้าล่วงเกิน
ฮ่องเต้ว่านลี่ทิ้งค้างไว้สองสามวัน ทางหนานจิงก็มีคนไม่น้อยยื่นฎีกา ว่าฝ่าบาทอย่าได้ฟังคำลวงโลก ทำให้คนใต้หล้าหนาวเหน็บใจ
สิ่งที่หกกรมกองหนานจิงเขียนลงมาได้ก็เขียนมาหมด ถึงกับแม้แต่เว่ยกั๋วกงแซ่สวียังส่งคนมาเมืองหลวงเพื่อพูดแทนตระกูลสวีเมืองซงเจียง แน่นอน เว่ยกั๋วกงแซ่สวีกับสวีเจี้ยไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกัน
บัณฑิตเมืองหลวงมีคนเขียนบทความ เริ่มสรรเสริญสวีเจี้ยตอนนั้นที่ต่อสู้กับเหยียนซง ประคองอดีตฮ่องเต้ให้เริ่มปกครองสถานการณ์ใต้หล้าให้สงบสุข ยังมีคนสรรเสริญสวีเจี้ยว่ารีบลาออกเพราะไม่หลงในอำนาจ ยังมีคนออกหน้าพูดว่า ตระกูลสวีแดนใต้ดูแลคนยากคนจนอย่างไร
อย่าว่าแต่เมืองหลวง แดนใต้แต่ละแห่งก็มีบทความแพร่มา ล้วนพูดไปทำนองเดียวกัน จากแดนใต้ถึงเมืองหลวง ม้าเร็วไปถ่ายทอดราชโองการก็ต้องราวสิบวันได้ บทความพวกนี้กลับมาเร็วเช่นนี้ ไม่ถามก็รู้ ย่อมมีคนผลักดันอยู่เบื้องหลัง
อย่าว่าแต่บัณฑิตทั้งหลายเลย แม้แต่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักเองก็ออกมาสร้างกระแส ว่าหากต้องการตรวจสอบตระกูลใหญ่ ความสงบเรียบร้อยของแผ่นดินหมิงใช่ว่าสูญสิ้นหรือ
นอกจากนี้ ขุนนางในราชสำนักหลายกรม หรือแม้แต่ตำแหน่งเจ้ากรมสำคัญหลายตำแหน่งมีผู้ใดบ้างไม่มีที่นาพันฉิ่งกัน หากไร้สมบัติที่นา เจ้าคงไม่กล้ามาเป็นขุนนาง กลับบ้านไปให้คนขุดคุ้ยหัวเราะเยาะ
เรื่องตรวจสอบตระกูลสวี ทำให้ทุกคนอึดอัด ตรวจสอบอันนี้เสร็จ ต่อไปจะตรวจผู้ใดอีก หรือว่าจะมาตรวจตัวพวกข้ากัน ผู้ใดจะไม่มีวันกลับบ้านเกิดไปใช้ชีวิตบั้นปลายกันบ้าง
ความคิดขุนนางใหญ่เบื้องบนกระจ่างแล้ว เบื้องล่างก็รู้ว่าควรจะทำเช่นไร กลเม็ดอุบายเฉไฉอันใดก็เอามาใช้หมด เพื่อให้คำตอบแก่เบื้องบน คงแค่ถูกตำหนิที่ไม่เจ็บไม่คันเท่าไร
ขุนนางใหญ่ถวายผลการสอบที่พยายามเฉไฉแด่ฮ่องเต้ว่านลี่ ประเด็นปัญหาก็อยู่ที่ตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ย่อมตำหนิไม่เจ็บไม่คันเท่าไร จากนั้นก็รับสั่งให้ตรวจสอบต่อ
หากไม่คิดสอบก็คงไม่เกิดเรื่องการดำเนินการที่ไร้ประสิทธิภาพเช่นนี้ หากคิดสอบจริงย่อมเกิดเรื่องวุ่นวายในเมือง อย่างไรต้องส่งคนไป
ฮ่องเต้ว่านลี่เป็นเช่นนี้ ทุกคนก็งง มีคนเดาไปอีกว่า ทำเช่นนี้มีพระประสงค์ใดกันแน่ แต่เดาไปเดามาก็ยิ่งสับสน ไม่รู้ว่าทรงพระประสงค์สิ่งใด
“ตอนเริ่มต้นเพราะคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้า ตอนนี้ดูแล้วน่าจะมีจุดหมายอื่น ไม่สนแล้ว แต่งงานก่อน แต่งภรรยาหลวงภรรยาน้อยเข้ามาก่อนค่อยว่ากัน!”
ตอนนี้เมืองหลวงร้อนใจกันด้วยเรื่องตระกูลสวี หวังทงโบกมืออย่างไม่ยี่หระ หลี่ว์วั่นไฉกางพัดโบกพัดไปมา ยิ้มกล่าวว่า
“แม้กล่าวว่าใต้เท้าอายุขนาดนี้ควรตั้งครอบครัวได้แล้ว แต่ทว่า แต่งภรรยาหลวงน้อยเข้ามา คำนี้ฟังแล้วแปลกๆ ”
กล่าวจบ ทุกคนในห้องก็หัวเราะ พอเสียงหัวเราะเงียบลง หลี่เหวินหย่วนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ใต้เท้า ในวังทางนั้นอย่าได้เสียมารยาทชักช้า ฮ่องเต้สมรสพระราชทาน ใต้เท้าย่อมมีคนมาจับตาดูตั้งแต่ต้นจนจบ
ยามนี้ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้แม้แต่น้อย!”
หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า
“อันนี้เข้าใจ ทุกอย่างเหมือนเดิมๆ”
กำลังคุยกันอยู่ ด้านนอก็มีองครักษ์เสื้อแพรนายกองธงเล็กสิบกว่านายรายงานตัวก่อนจะเข้ามาคำนับรายงานว่า
“ท่านผู้บัญชาการ ตอนนี้รองผู้บัญชาการเหรินกำลังตำหนิสั่งสอนนายกองพันหลิวกองลาดตระเวน ยังว่าจะปลดตำแหน่งนายกองพันหลิวด้วย”
หวังทงพยักหน้าว่ารู้แล้ว โบกมือให้นายกองธงเล็กออกไป พอคนออกไป กลับถามขึ้น
“พวกท่านรู้ไหมว่านายกองธงเล็กผู้นี้คือใคร?”
สองคนย่อมบอกไม่รู้ หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“เขาเป็นลูกชายอดีตผู้บัญชาการลั่วซือกง ลั่วหย่างซิ่ง ตอนนี้ก็เป็นทหารติดตามข้า”
ตอนที่ 818
เฆี่ยนโบย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ลั่วหย่างซิ่งชื่อนี้ ทั่งหลี่ว์วั่นไฉและหลี่เหวินหย่วนล้วนเคยได้ยินชื่อ บุตรชายผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรลั่วซือกง คิดไม่ถึงว่ามาเป็นทหารติดตามหวังทง
หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนย่อมรู้เรื่องที่ลั่วซือกงทำตอนหวังทงไม่อยู่เมืองหลวง เคยแอบเล่นลูกไม้ลับหลัง พอหวังทงกลับมาก็ตกใจจนลาออกจากตำแหน่งไปเสียอย่างนั้น เคยมีความหลังเช่นนี้กับหวังทง คิดไม่ถึงว่าเขาจะส่งบุตรชายมาไว้ข้างกายหวังทง
“ใต้เท้า อันนี้คือ…?”
หลี่ว์วั่นไฉพัดไปมา ถามอย่างสงสัย หวังทงยิ้มตอบ
“ถือเป็นการชดเชยมั้ง!”
คำตอบนี้ทำเอาหลี่ว์วั่นไฉอึ้งไป อดีตผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรลั่วซือกงแอบเล่นลูกไม้ ตอนนี้ลาออกจากตำแหน่งไปใช้ชีวิตบั้นปลาย ตอนหวังทงมีอำนาจล้นฟ้า ลั่วซือกงไม่อาจไม่กลัว ส่งลูกชายมาเป็นผู้คุ้มกันข้างกายหวังทง ก็นับว่าได้แสดงความสำนึกของเขา เขาได้เดินแต้มผิดไป บางทีอาจให้รุ่นลูกมาแก้ไข
หวังทงกล่าวจบก็ยืนขึ้น กล่าวว่า
“สองท่านกลับไปก่อน วันนี้ยังมีงานราชการที่ต้องดำเนินการ!”
หลี่ว์วั่นไฉกับหลี่เหวินหย่วนลุกขึ้นกล่าวอำลา หวังทงยิ้มเดินออกไปด้านนอก กล่าวว่า
“ลั่วซือกงสืบทอดตำแหน่งจากวงศ์ตระกูลมาหลายรุ่น รู้ว่าตอนนี้คลื่นลมแรง แต่ยังมีบางคนไร้สมองสิ้นดี!”
คนด้านหลังพากันงง ไม่รู้ว่าหวังทงหมายถึงผู้ใด
***********
กองลาดตระเวนมีภาระหน้าที่มาก มีทั้งรักษาความสงบ มีทั้งแก้ไขปัญหาทะเลาะวิวาท มีหน้าที่สอดแนมชาวบ้าน แต่ลาดตระเวนบนถนนทั้งวัน หน้าที่ที่สำคัญที่สุดก็คือรักษาความสงบ
นายกองพันหลิวเขตปัจจิมกำลังถูกรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถงสั่งสอน เขตปัจจิมเดิมเป็นพื้นที่พักของคหบดีเมืองหลวง พอเทียนจินรุ่งเรือง ร้านค้าที่นี่ก็เริ่มมีมากขึ้นกว่าก่อน อย่างไรเขตเขตปัจจิมก็ติดกับเส้นทางหลวงจากเทียนจินไปมาเมืองหลวง
ตั้งร้านค้าที่นี่ นำของจากนอกเมืองเข้ามา ส่งของจากในเมืองออกไป ล้วนประหยัดค่าขนส่ง อย่างไรเมืองหลวงก็ไม่ได้เล็กๆ ประหยัดได้ก็ประหยัด
เทียนจินสินค้ามากมาย ชนชั้นสูงเมืองหลวงก็มีมากมาย ร้านค้าเทียนจินก็ทยอยมาเปิดร้านสาขาที่นี่ ทำให้พื้นที่การค้าเขตปัจจิมเริ่มขยายใหญ่ขึ้น
ถนนหลายสายเริ่มเป็นถนนการค้า ค่าน้ำร้อนน้ำชาก็ยิ่งมาก อย่างไรก็ต้องมีเจ้าถิ่นออกมายื้อแย่งกัน
สำนักรักษาความสงบเก็บค่าป้ายสงบสุขไปแล้ว ส่งมอบให้ศาลซุ่นเทียน ตามธรรมเนียม ก็ไม่ควรมีผู้ใดมาเก็บเงินอีก ไม่เช่นนั้น ทหารกองลาดตระเวนก็จะไปดูและส่งรายงานขึ้นมา ย่อมส่งคนไปจัดการ
แต่เมืองหลวงก็มีความซับซ้อนบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปมา เช่นว่า ข่าวหวังทงออกรบตอนเหนือขาดการติดต่อ เช่นว่า ข่าวราชโองการพระราชทานงานสมรส
“เจ้าก็ปฏิบัติหน้าที่ทหารในพระองค์กับหน่วยงานเรามานาน พี่น้องเราเก็บเงินนิดหน่อย ไม่ได้เอาชีวิตพวกเขาเสียหน่อย เรื่องใหญ่อันใด เจ้าถึงกับส่งคนไปจัดการ น้ำใจพี่น้องเราเจ้ายังจะเอาไว้ไหม!”
หวังทงนำทหารติดตามมาถึงหน้าห้องทำงานเหรินต้าถง ก็ได้ยินเสียงคนกำลังตำหนิรุนแรง เป็นเสียงเหรินต้าถง ยังได้ยินคนหนึ่งพูดตอบเบาๆ ว่า
“ใต้เท้า นี่ไม่ใช่ธรรมเนียมของผู้บัญชาการหรอกหรือ เรื่องนี้ข้าน้อยไปจัดการ อย่างไรข่าวก็ย่อมดีกว่าไปถึงหูผู้บัญชาการ !”
“สมองพังไปหรือเจ้านี่ เสียแรงที่เป็นองครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวง ทิศทางลมตอนนี้เจ้าดูไม่ออกหรือ เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นจะเป็นผู้บัญชาการได้อีกกี่วัน เจ้ายังเอ่ยถึงมันอีก ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่ออะไร มิใช่เพื่อพวกเจ้าที่สมองยังโง่งมอยู่หรือ รอให้เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นล้มก่อน ถนนสายนี้ก็ราวกับเนื้อก้อนโต ผู้ใดก็อยากมากัดสักคำ ข้าส่งคนไป ก็เพื่อไปจองที่ไว้ก่อน”
กล่าวอยู่นั้น หวังทงมาอยู่หน้าประตูแล้ว ทหารหน้าประตูเหรินต้าถงกำลังจะรายงาน ก็ถูกหวังทงสั่งให้ปิดปาก หวังทงเข้าไปผลักประตูออก ก็เห็นด้านในมีสองคน
นายกองพันหลิวกำลังหน้าดำคล้ำเครียดยืนอยู่ ส่วนเหรินต้าถงนั่งด่าอยู่ เหมือนว่ากำลังจะตบโต๊ะ แต่พอเห็นหวังทงเข้ามา มือก็ค้างเติ่งไม่ทันได้ยกลง
หวังทงก้าวเท้ายาวเข้ามาในห้อง นายกองพันหลิวรีบลนลานคำนับ เหรินต้าถงที่นั่งอยู่ลังเลครู่หนึ่ง ก็ลุกขึ้นยืนขึ้นคำนับ หวังทงไม่เกรงใจ ถามขึ้น
“จำได้ว่าตอนข้ากลับมาวันนั้น ท่านว่าป่วยนี่ หายเร็วเพียงนี้เลยหรือ?”
“ขอบคุณที่เป็นห่วง ข้าน้อยหายดีแล้ว!”
เหรินต้าถงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจวาจาเสียดสีของหวังทง เสแสร้งไม่รู้เรื่องอันใดจากนั้นก็นั่งลง หวังทงยืนกล่าวว่า
“หลายวันก่อน เขตปัจจิมกับเขตทักษิณมีทหารในพระองค์กับพวกว่างงานไปรีดไถ ได้ยินที่ใต้เท้าว่ามาเมื่อครู่ เป็นคนของท่านส่งไปสินะ?”
“ใต้เท้า อย่าได้ฟังผู้อื่นใส่ร้าย ข้าน้อยส่งคนไปก็เพื่อรักษาความสงบ……”
หวังทงกลับไม่สนใจ หันไปถามนายกองพันหลิวกล่าวว่า
“เจ้ารายงานเรื่องที่เจ้าสืบความได้มาหน่อย!”
นายกองพันหลิวหรี่ตามองเหรินต้าถงและหันไปมองหวังทงที่ยืนสบายๆ รีบคำนับกล่าวว่า
“เรียนผู้บัญชาการ หลายวันก่อนในเขตดูแลข้าน้อยมีเรื่องขูดรีดเกิดขึ้นกับหลายร้าน ยังถึงขั้นมีเรื่องลวนลามหญิงในร้าน ข้าน้อยส่งคนไปจัดการ กลับพบกว่า……เป็นนายกองร้อยหนึ่งในหน่วยทหารในพระองค์เรา พวกนักเลงที่เป็นพวกเดียวกันบอกว่าวันนี้ กองลาดตระเวนจะถูกปลดแล้ว วันหน้าหกคิดจะสงบสุขก็ให้พวกเขาจ่ายเงินอะไรพวกนี้ ทหารเราจึงโมโหมีเรื่องลงมือกันขึ้น”
“อย่าได้อ้อมค้อม เป็นผู้ใด?”
ถูกหวังทงเค้นถาม นายกองพันหลิวก้มหน้ากล่าวว่า
“เป็นคนใต้เท้าเหริน”
หวังทงพยักหน้า ยิ้มหันไปทางเหรินต้าถง กล่าวว่า
“ใครอยู่ข้างนอก จับตัวเหรินต้าถงโบยแส้ 50”
เพราะเขายิ้มกล่าว เหรินต้าถงจึงไม่ทันตั้งสติ พอตั้งสติได้ ก็แทบโดดข้ามโต๊ะมา ตวาดด่าว่า
“หวังทง เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาจับข้า เจ้ามีสิทธิ์อันใดโบยข้า เจ้าไม่ดูเสียบ้างว่ามาประจำตำแหน่งนี้ได้นานเท่าไรเอง ข้าเตือนเจ้า…….ปล่อยข้า พวกเจ้าคิดจะทำอะไร!!”
พูดไม่ทันจบ ก็ถูกถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่เข้ามาล็อคตัวไว้ซ้ายขวา เหรินต้าถงตำแหน่งสูง ปกติเพื่อประหยัดแรงจึงไม่พกดาบติดตัวไว้ จะเทียบกับทหารติดตามหวังทงที่เพิ่งกลับจากสนามรบได้อย่างไร ได้แต่ตะโกนส่งเสียงร้องดัง หากไม่มีแรงขัดขืน
“ข้าคือติ้งเป่ยโหว ข้าเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร เป็นเจ้านายเจ้า เจ้าฝ่าฝืนระเบียบองครักษ์เสื้อแพร จะไม่โบยได้อย่างไร ลงแส้ 50 โบย!”
จับกดพื้นกำลังจะโบย ก็ถูกหวังทงเรียกไว้ ยิ้มเยียบเย็นว่า
“ระยะนี้ที่ทำการเราเริ่มไม่มีตาดูให้ดี ลากออกไปพื้นที่ว่างด้านนอก ถอดกางเกงโบย!!”
ทหารรับคำ เหรินต้าถงปากก็ด่าไม่หยุด ‘หวังทงเจ้าบัดซบ เจ้ากำลังเสียอำนาจแล้ว เจ้ายังกล้า…….’ เสียงด่าออกไปไกล หวังทงหันไปมองนายกองพันหลิว นายกองพันหลิวยกมือปาดเหงื่อ ไม่กล้าเงยหน้า หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า
“หลิวอวิ๋นเชา เจ้าปฏิบัติหน้าที่ตั้งใจดี อีกสักครู่รับคำสั่งจากข้าไปร่วมกับหน่วยวินัยทหารจับกุมพวกนักเลงที่ไปก่อเรื่องข่มขู่รีดไถร้านค้า จับมาได้ก็ให้สอบสวนให้หนัก แล้วลงโทษทันที !!”
นายกองพันหลิวตัวสั่นไปทั้งตัว รีบคำนับรับคำสั่ง หวังทงเดินออกไปยังพื้นที่ว่างด้านนอก ห้องทำงานองครักษ์เสื้อแพรด้านหน้าล้วนมีลานกว้าง ตอนนี้หน้าประตูห้องทำงานนี้ก็มีคนโผล่หัวออกมาดูตามหน้าต่าง ดูเหรินต้าถงที่ถูกจับตัวกดอยู่ที่พื้น
องครักษ์เสื้อแพรเป็นทหารในพระองค์ เป็นพวกไวต่อการเมืองมากที่สุด ฮ่องเต้ว่านลี่พระราชทานราชโองการสมรสพระราชทาน แม้ว่าหวังทงจะทำตัวปกติ ดูไม่เห็นความผิดปกติ ทุกคนก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน แต่ลับหลังกลับแอบด่าสาดเสียกัน ไม่รู้ว่าคนมากมายเท่าไรดูอยู่ ไม่รู้ว่าคนมากมายเท่าไรคิดจะหาเรื่องให้เป็นเรื่องใหญ่
วันนี้ได้เห็นเหรินต้าถงถูกถอดเสื้อผ้ากดตัวไปกับพื้น เป็นถึงอันดับสองในสำนักองครักษ์เสื้อแพร ทุกคนพากันหวาดกลัว หวังทงวันหน้าไม่ว่าเป็นเช่นไร แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจล่วงเกิน
‘เผี๊ยะ’ ฟาดดังชัด ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวน เหรินต้าถงเนื้อตัวเริ่มมีรอยปื้นแดงขึ้นมาสายหนึ่ง สองคนถือแส้ ผลัดกันเฆี่ยน เฆี่ยนจนเหรินต้าถงกลิ้งไปมา ส่งเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดไม่หยุด
การโบยเช่นนี้ไม่แน่ว่าจะทำให้บาดเจ็บหนัก แต่ย่อมทำให้ขายหน้าหมดสิ้นอย่างที่สุด ร่างเปลือยกลิ้งไปมาน่าอนาถวันหน้าย่อมไม่อาจสู้หน้าผู้ใด
หวังทงไพล่มือเดินไปตามระเบียงทางเดิน รอบๆ ห้องทำงานเดิมมีเจ้าหน้าที่แอบดูอยู่ ก็รีบหดหัวกลับไป ไม่มีผู้ใดกล้าสบตา
ลงแส้เฆี่ยนไปได้หลายสิบที เหรินต้าถงถึงกับยังมีแรงพูดอีก ชี้หน้าหวังทงกล่าวว่า
“หวังทง เจ้าบัดซบ วันนี้เหิมเกริม วันหน้า……”
“ลงแส้เฆี่ยนอีก 20 คน ๆ นี้จากนี้ไปข้าขอปลดออกจากทหารองครักษ์เสื้อแพรในพระองค์ ผู้ใดกล้าปล่อยให้เข้ามาอีก ให้ไล่ออกไปด้วย!!”
ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรสามารถเสนอแต่งตั้งรองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่ไม่มีอำนาจสั่งปลด หวังทงกล่าวเช่นนี้ กลับไม่มีผู้ใดค้าน ทุกคนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะรับคำพร้อมเพรียง
เหรินต้าถงถูกโบยจนหายใจไม่ทันแล้ว
************
พื้นที่เมืองหลวงแต่ละแห่งเพิ่งมีเรื่องวุ่นวายปรากฏ ก็ถูกปราบอย่างรวดเร็ว เวลาไม่ถึงสองวัน ราษฎรเมืองหลวงก็ได้เห็นพวกนักเลงท้องถิ่นถูกจับมัดด้วยเชือกโยงต่อกัน มีทหารองครักษ์เสื้อแพรคอยไล่ ให้ออกนอกเมืองไป ว่ากันว่าให้ไปใช้แรงงานหนักที่โรงนาตอนเหนือ
โรงหมอหลายแห่งในเมืองหลวงก็ยุ่งกันไม่หยุด มีทหารองครักษ์เสื้อแพรไม่น้อยถูกโบย บาดเจ็บถึงกระดูก น่าอนาถยิ่ง แต่ความวุ่นวายที่เพิ่งเกิดก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหรินต้าถงถูกโบย วันรุ่งขึ้นก็มีขุนนางใหญ่คนหนึ่งกราบทูลฮ่องเต้ว่านลี่ เล่าถึงพฤติกรรมหวังทง เกรงว่าจะมุทะลุไปหน่อย ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงตอบง่ายดายอย่างยิ่งว่า
“หวังทงไม่ใช่ติ้งเป่ยโหวหรือ? หวังทงไม่ใช่ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหรือ หรือว่าโบยไม่ได้ รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่รักษาธรรมเนียม เก็บไว้ทำไม ปลดไปๆ !!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น