ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 816-817

 ตอนที่ 816 ศึกดุเดือดสุดท้าย

เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้น รุ้งสีทองยาวสิบกว่าจั้งสายหนึ่งแล่นผ่านไปอีกครั้ง ฉวยโอกาสทะลวงผ่านร่างชวีเหยาทิ้งรูเลือดขนาดเท่ากำปั้นรูหนึ่งไว้


หลังแสงสีทองดับลง ไม่ไกลนักหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งพร้อมด้วยมือที่กำกระบี่ว่างเปล่า การโจมตีของรุ้งสีทองเมื่อครู่ เห็นชัดว่าเขาใช้วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งทำร้ายมันบาดเจ็บหนักได้อีกครั้ง


“คนรุ่นหลังเผ่ามนุษย์ใจกล้านักนะ ข้าจะเอาชีวิตน้อยๆ ของเจ้า!” ร่างกายมหึมาของชวีเหยาส่ายสองสามกี่หน เสียงเคียดแค้นของสตรีก็ระเบิดโกรธเกรี้ยวออกมาจากปาก


เสียงพูดเพิ่งจบ หนอนยักษ์ก็อ้าปากพ่นลูกบอลกลมสีน้ำเงินเข้มขนาดเท่าศีรษะลูกหนึ่งออกมา ลูกบอลกลมหมุนติ้วกลางอากาศรอบหนึ่ง ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีน้ำเงินอ่อนวงหนึ่งก็สว่างขึ้นมา จุดที่แสงสีน้ำเงินผ่านไม่ว่าเงาผี ดวงไฟสีทองหรือเปลวเพลิงสีเงินล้วนถูกมันงัดลอย กระแทกกระจายออกไปสี่ด้านพร้อมเสียงดังสนั่น


“แก่นปีศาจหรือ?” หลิ่วหมิงตกใจ ขณะที่แสงเรืองรองสีน้ำเงินกวาดผ่านหน้าร่างตน เขาก็รีบกระตุ้นปีกทั้งคู่บนแผ่นหลังพุ่งรวดเร็วไปด้านหลัง


เวลานี้หัวอวบอ้วนของชวีเหยายกขึ้นท่ามกลางแสงสีน้ำเงินที่ห้อมล้อม ดวงตาแมลงสีแดงฉานที่เผยแววตาดุร้ายออกมาสองข้างกวาดผ่านบนร่างพวกหลิ่วหมิงอย่างเหี้ยมโหด


เวลานี้บนหัวของมันเลือดเนื้อปนกันเละเทะ เลือดสีเขียวไหลโชก เห็นชัดว่าการโจมตีเมื่อครู่ทำให้มันบาดเจ็บไม่น้อย


หลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยัน ตอนที่คิดจะลงมืออีกครั้ง ชวีเหยากลับอ้าปากอีกครั้งส่งเสียงคำรามแหลมแสบแก้วหู


ทันใดนั้นใยไหมแถบใหญ่ก็พ่นบ้าคลั่งออกมารวมตัวกันใกล้แก่นปีศาจเบื้องหน้าร่าง ไอหมอกสีเทาที่ลอยกระจายอยู่รอบด้านทยอยรวมตัวเข้ามาผสานเข้ากับใยไหมสีขาว


ใยไหมสีขาวกลายเป็นสีเทาในทันใด


“จงกลายเป็นผีเสื้อ!”


ชวีเหยาร้องเสียงแหลม ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีน้ำเงินอ่อนบนแก่นปีศาจก็ล้อมใยไหมสีเทาทั้งหมดไว้ด้านใน


ท่ามกลางแสงเรืองรองสีน้ำเงิน ใยไหมสีเทาพาดผ่านถักทอกันประหนึ่งสายฟ้าแลบ หลังตาพร่าลายวูบหนึ่ง ใยไหมก็หายไปแล้ว สิ่งที่มาแทนที่ก็คือผีเสื้อสีเทาขนาดเท่าฝ่ามือเกือบหนึ่งร้อยตัวบินร่อนระบำอยู่ใกล้ๆ


ชวีเหยายิ้มน่าขนลุกแล้วอ้าปากส่งเสียงร้องแผ่วเบาออกมาทีหนึ่ง ผีเสื้อสีเทาที่วนล้อมอยู่รอบตัวมันกระพือปีก บินโถมเข้าใส่พวกหลิ่วหมิงสี่คนอย่างมืดฟ้ามัวดินประหนึ่งเมฆสีเทาแถบหนึ่งทันที


“เหอะ! ก็แค่การดิ้นรนของสัตว์ที่จนมุมเท่านั้น!”


หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงหยันทีหนึ่งแล้วอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ลงไปในโคมไฟทองแดงโบราณในมือทันที


ไฟโคมสีเงินลุกโชนขึ้นสูงหลายฉื่อ ตามติดมาด้วยลูกบอลเพลิงสีเงินสิบกว่าลูกบินพุ่งออกมา


เสียง “ฟู่ๆ” ดังขึ้นหลายหน!


ระหว่างทางลูกบอลเพลิงสีเงินเหล่านี้ฉับพลันกลายเป็นอสรพิษเพลิงสีเงินที่ประหนึ่งมีชีวิตสิบกว่าตัว พุ่งประจันเข้าหาผีเสื้อสีเทาเต็มฟ้า


ทันใดนั้นเพลิงสีเงินก็หอบผีเสื้อจิตวิญญาณผืนใหญ่เข้าไปด้านใน ระหว่างที่เปลวเพลิงกลืนกินก็ส่งเสียงดังชี่ๆ ออกมา ผีเสื้อจิตวิญญาณคล้ายดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมานท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงิน ปีกกระพือช้าลงทุกทีๆ


เห็นสถานการณ์เช่นนี้ บนหน้าของหลัวเทียนเฉิงก็เผยสีหน้าได้ใจ


“ไม่ใช่ พลังงานในเปลวเพลิงสีเงินของเจ้ากำลังถูกผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านั้นดูดกลืนไปแล้ว”


ชายหนุ่มรถเงินฉับพลันสีหน้าเปลี่ยนไปพลางเอ่ยเตือนเสียงดัง


หลัวเทียนเฉิงสีหน้าแข็งทื่อ เพ่งสายตามองไป


เป็นดังว่าขนาดร่างของอสรพิษเพลิงสีเงินสิบกว่าตัวนั้นหดเล็กลงช้าๆ ตรงกันข้ามผีเสื้อจิตวิญญาณด้านในปรากฏเปลวเพลิงสีเงิน แม้เคลื่อนไหวช้าลงไม่น้อย แต่กลับมีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านี้เท่าหนึ่งอยู่เลือนราง


“ฮ่าๆ วิชาผีเสื้อจิตวิญญาณของข้า แม้จะถูกเพลิงจิตวิญญาณพลังมากหลายชนิดข่มได้ แต่อาศัยพวกเจ้าเด็กน้อยระดับผลึกไม่กี่คนคิดจะทำลายวิชาลับนี้เป็นคนบ้าเพ้อฝันโดยแท้!” ชวีเหยาหัวเราะเสียงแหลมน่าขนลุก


ในเวลาเดียวกันผีเสื้อสีเทาก็พลันโปรยผงสีเทาแถบใหญ่จากบนปีก ประหนึ่งเมฆประหนึ่งหมอกครอบลงมา เพียงชั่วครู่อสรพิษสีเงินทั้งหมดก็สลายไปสิ้น


ซ่า!


ผีเสื้อสีเทาซัดผงสายแล้วสายเล่าเข้าใส่ทั้งสี่คนต่อประหนึ่งคลื่นสมุทร พลังท่วมท้นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วน


“ทุกท่าน จะปล่อยให้ผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านี้ถ่วงมือเท้าไม่ได้ สังหารร่างต้นของชวีเหยาตัวนั้นเลย! ในเมื่อแก่นแท้ของมันออกมาย่อมบ่งบอกว่าปีศาจร้ายตัวนี้ทนอีกได้ไม่นานนักแล้ว!” บุรุษผมม่วงสายตาเปล่งประกายส่งกระแสจิตเอ่ยบอก


“แต่ผีเสื้อจิตวิญญาณเต็มฟ้านี่คงจัดการไม่ง่าย ข้าเหลือพลังเวทไม่เท่าไรแล้ว” หลิ่วหมิงกวาดสายตาผ่านผีเสื้อจิตวิญญาณเต็มฟ้าแล้วเอ่ยพึมพำ


“เหอะ เจ้าพวกนี้ยกให้ข้าเถิด” หลัวเทียนเฉิงด้านข้างเก็บโคมทองแดงโบราณในมือไป จากนั้นพลิกมือเรียกยันต์สีฟ้าแผ่นหนึ่งออกมา แสงรัศมีสีฟ้าเข้มฉายออกมาพร้อมนำพาความเย็นเยียบมาในทันใด


“ยันต์เหมันต์ปรโลก! ดีมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้ข้ากับสหายหลัวพยายามถ่วงเวลาผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านี้เอง สหายหลิ่วกับสหายหอเป๋ยโต่วพยายามสังหารชวีเหยาตัวนี้ให้เร็วที่สุดเถอะ!” ชายหนุ่มรถเงินมองหลัวเทียนเฉิงด้วยสีหน้าประหลาดเล็กน้อยจากนั้นเอ่ยอย่างเร็วไวเช่นกัน


คนอื่นย่อมไม่เห็นต่าง


เพียงครู่เดียวที่ทั้งสี่คนส่งกระแสจิตอย่างเร็วไว ผีเสื้อจิตวิญญาณเต็มฟ้าก็บินมาห่างทั้งสี่คนไม่กี่จั้งแล้ว มืดฟ้ามัวดินประหนึ่งเมฆสีเทามหึมาก้อนหนึ่ง กลืนทั้งสี่คนหายลงไปในครู่ต่อมา


หลัวเทียนเฉิงไม่พูดพร่ำยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงรัศมีสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา ล้อมผีเสื้อสีเทาเต็มฟ้า


“ระเบิด!”


สองมือเขาทำท่าเคล็ดวิชา ปากตวาดแผ่วเบาคำหนึ่ง ยันต์สีฟ้าก็ระเบิดส่งเสียงดังกึกก้อง ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็ส่องวูบวาบ เสียงสายลมบ้าคลั่งดังขึ้นมา ลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งแหวกอากาศร่วงลงในหมู่ผีเสื้อจิตวิญญาณ ทั้งยังขยายออกไปหลายสิบจั้งรอบด้านในชั่วพริบตา


อากาศรอบด้านฉับพลันเย็นยะเยือก อากาศจับตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งสีฟ้าอ่อนจุดแล้วจุดเล่า บริเวณที่ลำแสงสีฟ้าร่วงลงมาหลายสิบจั้งรอบด้านล้วนถูกแช่แข็งจนเป็นชั้นน้ำแข็งหนา


ผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านั้นย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น ผีเสื้อจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งแทบจะถูกก้อนน้ำแข็งแช่แข็ง ทยอยร่วงลงมาบนพื้นประหนึ่งลูกเห็บ ส่งเสียงดัง “ปังๆ” เป็นระลอก


ทว่าผีเสื้อจิตวิญญาณที่เหลือกลับโถมเข้ามาหาทั้งสองคนจากสองด้านต่อ


“ทั้งสองท่านเตรียมตัว!”


ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้พลันตั้งท่าเคล็ดวิชา ชุดเกราะจักรกลบนร่างเปล่งแสงสีทองสว่างจ้า บนแผ่นหลังปรากฏปีกจักรกลสามคู่อีกครั้ง เขากระพือปีกครั้งหนึ่งกลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งประจันหน้าเข้าใส่ผีเสื้อจิตวิญญาณที่เหลือ


ขณะที่อยู่กลางอากาศ กระบอกกลมสีทองอ่อนหกแท่งที่อยู่บนสองแขนก็เปลี่ยนรูป กลายเป็นปลอกแขนติดดาบสีทองอ่อนคมกริบสองเล่มในทันใด ร่างกายเขาหมุนกลางอากาศ แขนเหวี่ยงเล็กน้อยทีหนึ่ง คมแสงสีทองอ่อนสายแล้วสายเล่าก็ฟันออกไปสี่ด้านแปดทิศประหนึ่งสายฟ้าแลบ


คมแสงเหล่านี้แล่นออกมาปุบก็พาดตัดสลับกันกลายเป็นคมตาข่ายผืนหนึ่ง พุ่งรวดเร็วเข้าใส่ผีเสื้อจิตวิญญาณแถบหนึ่งเบื้องหน้า ฉับพลังน่าตะลึงอย่างที่สุด


ทว่าผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านี้เผชิญหน้ากับคมแสง กลับประจันหน้าเข้ามาอย่างไม่หวาดกลัวสักนิด


เสียง “ฟึบๆ” ระลอกหนึ่งดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง!


ผีเสื้อสีเทาเหล่านี้สัมผัสถูกคมตาข่ายสีทองปุบก็ทยอยถูกกระแทกถอยหลังในพริบตา แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บ หลังกระพือปีกไม่กี่หนก็โถมมาข้างหน้าพร้อมกับผีเสื้อสีเทาที่อยู่ใกล้ๆ ประจันหน้ากับคมตาข่ายสีทองซึ่งอยู่กลางท้องฟ้า


ในเวลาเดียวกันนี้แสงสีเงินก็สว่างวูบหลังร่างหลิ่วหมิง ปีกเนื้อกางออก เขากลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งไปหาชวีเหยาอย่างรวดเร็ว


เงาผีหลังร่างของบุรุษผมม่วงขยับเคลื่อนตามไปในทันที ไม่ทราบว่าเขาใช้วิชาอันใด ขยับทีเดียวพุ่งออกไปไกลสิบจั้ง


เวลานี้มีผีเสื้อจิตวิญญาณจำนวนน้อยปกป้องอยู่หน้าร่างชวีเหยา ขอเพียงดึงพวกมันเอาไว้ได้ ชวีเหยาตัวนี้ก็ไม่มีกำลังสวนกลับอันใดแล้ว!


ผลปรากฏว่าขณะที่หลิ่วหมิงกับบุรุษผมม่วงเพิ่งจะอ้อมผ่านขอบของผีเสื้อจิตวิญญาณเต็มฟ้ามาได้นั่นเอง เหตุผลิกผันก็บังเกิดขึ้น!


ลูกเห็บสีฟ้าอ่อนบนพื้นเหล่านั้นฉับพลันสั่นไหว เมื่อพินิจมองก็เห็นผีเสื้อจิตวิญญาณสีเทาในนั้นเริ่มกระพือสองปีกบินขึ้นมาช้าๆ บนผิวของลูกเห็บเหล่านี้ปรากฏรอยร้าวไม่น้อย!


หลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนี้ใบหน้าพลันปรากฏสีหน้าเย็นชาจางๆ เขาตวาดเสียงเบาคำหนึ่ง เปลวเพลิงสีเงินรอบร่างก็พลุ่งพล่านลุกโชน ร่างกายขยับไหววูบหนึ่งพุ่งเข้าใส่ผีเสื้อจิตวิญญาณที่คิดจะทำลายน้ำแข็งออกมาเหล่านั้นบนพื้น


คมตาข่ายสีทองที่ฟันออกมากลางอากาศของชายหนุ่มรถเงินก็คล้ายจะถูกผีเสื้อจิตวิญญาณเต็มฟ้าพุ่งโจมตีไม่หยุดจนสภาพคล้ายจะทนไม่ไหวเช่นกัน!


แม้หลิ่วหมิงกับบุรุษผมม่วงสองคนเห็นเช่นนี้จะตะลึงอยู่บ้าง แต่พวกเขาขยับไหววูบไม่กี่ทีก็มาถึงหน้าร่างชวีเหยาซึ่งห่างไปไม่กี่จั้งพร้อมกัน


“มาก็ดี จะได้ให้ผีเสื้อจิตวิญญาณของข้าดูดพวกเจ้าให้แห้ง!” ชวีเหยาเห็นเช่นนี้ก็อ้าปากพ่นหมอกสีน้ำเงินก้อนหนึ่งออกมาจมลงไปในแก่นปีศาจที่ลอยอยู่หน้าร่าง


ผิวของแก่นปีศาจฉับพลันปรากฏลวดลายจิตวิญญาณสีน้ำเงินเข้มกะพริบวูบวาบ ผีเสื้อจิตวิญญาณที่เดิมปกป้องอยู่หน้าร่างมันกระพือปีกพรึ่บพรั่บประจันหน้าเข้าใส่พวกหลิ่วหมิง


“ถ้าข้าถ่วงเวลาผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านี้ด้านหน้าได้สองสามลมหายใจ เจ้ามั่นใจไหมว่าจะโจมตีสังหารชวีเหยาตัวนี้ได้?” สายตาของบุรุษผมม่วงกวาดผ่านบนผีเสื้อสีเทาที่เฝ้าปกป้องอยู่เบื้องหน้าร่างชวีเหยาพลางส่งกระแสจิตหาหลิ่วหมิง


“ลองดูสักหน!” หลิ่วหมิงคิดก็ไม่คิดตอบกลับอย่างเร็วไว


บุรุษผมม่วงได้ฟังก็ไม่พูดพร่ำ อ้าปากพ่นระฆังทองแดงน้อยขนาดหนึ่งชุ่นกว่าที่มีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงออกจางๆ แผ่อยู่เต็มบนผิวใบหนึ่งออกมา มือข้างหนึ่งยิงเคล็ดวิชาหลายสายเข้าไปในตัวมันอย่างรวดเร็ว


ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงบนผิวหน้าของระฆังทองแดงน้อยเคลื่อนไหวพักหนึ่ง มันก็โต้ลมขยายพรวดจนใหญ่หนึ่งจั้งกว่า


“ระฆังมุกสวรรค์! เจ้ามีสมบัติชิ้นนี้ได้อย่างไรน?” ชวีเหยาเห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึงในทันใด


ชายหนุ่มผมม่วงกลับทำประหนึ่งไม่ได้ยิน เขาท่องมนตร์แผ่วเบาไม่กี่ประโยคก็อ้าปากขึ้นอีกครั้ง พ่นโลหิตบริสุทธิ์สามคำใส่ระฆังทองแดงติดกัน สีหน้าซีดเผือดอย่างเร็วไว


หลังระฆังทองแดงดูดกลืนโลหิตบริสุทธิ์ไป ทันใดนั้นแสงจิตวิญญาณบนผิวหน้าก็สว่างจ้า มันแกว่งไกวตามลมส่งคลื่นสีม่วงอ่อนวงแล้ววงเล่าไปยังอากาศเบื้องหน้า!


ผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านั้นสัมผัสถูกคลื่นสีม่วงเหล่านี้ก็พากันสูญเสียทิศทาง บินหลงไปบนล่างซ้ายขวาในทันใด


ชวีเหยาดูแล้วค่อนข้างหวั่นเกรงต่อระฆังทองแดงใบนี้ ระหว่างที่ลวดลายจิตวิญญาณเคลื่อนไหวมันก็คิดหลบไปด้านหลัง จนใจที่ในเวลานี้มันเองก็ถึงขีดสุดเป็นโคมมอดหมดเชื้อไฟแล้ว ผนวกกับอาการบาดเจ็บที่ได้รับก่อนหน้านี้ ชั่วขณะร่างกายจึงหนีออกไปไม่พ้น


หลังคลื่นสีม่วงนี้ซัดออกมา ฉับพลันชวีเหยาก็รู้สึกมึนหัวตาลาย ร่างกายส่ายโงนเงน ในใจรู้ว่าท่าไม่ดีแล้วจึงกรีดร้องเสียงดัง คิดจะเรียกแก่นแท้กลับมา


“ฝันไปเถอะ!”


ในเวลานี้เองมือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงก็ทำท่าเคล็ดวิชา แสงสีน้ำเงินส่องสว่างออกมาจากเสื้อ เงาโคสีน้ำเงินที่ประหนึ่งมีชีวิตลอยออกมาพร้อมกับเสียงคำรามแผ่วเบา!


วิชาลับภาพสัญลักษณ์นั่นเอง!


เงาโคสีน้ำเงินปรากฏตัวปุบก็อ้าปากพ่นแสงสีเหลืองสายหนึ่งออกมาซัดเข้าใส่แก่นแท้


แก่นแท้ส่ายไหวเล็กน้อย แม้ไม่ได้ถูกมันหอบกลับไปทันที แต่อยู่ท่ามกลางแสงสีเหลืองก็ทำให้การเหาะกลับฉับพลันเชื่องช้าลง แสงรัศมีก็หม่นหมองไร้ประกายลงด้วย


หลิ่วหมิงสะบัดข้อมืออีกหน กระบี่ว่างเปล่าพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางแสงสีทองฉายวูบหนึ่ง แสงกระบี่สายหนึ่งก็พลันกลายเป็นสี่สาย ฟันเข้าใส่แก่นแท้สีน้ำเงินเข้มที่อยู่เหนือศีรษะร่างต้นของชวีเหยา


เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นทีหนึ่ง


แสงสว่างสีดำกับน้ำเงินสองสายประสานเข้ากับแสงกระบี่สีทองสี่สายจากนั้นก็ระเบิดเสียงดังกึกก้อง


ตอนที่ 817 ตรีศูลโลหิตปรากฏตัวอีกครั้ง

“ไม่!”


ชวีเหยากรีดร้อง เมื่อแก่นแท้ถูกทำลาย ปราณของมันก็สลายไปในพริบตากลับมาเป็นระดับผลึกเท่านั้น


หลิ่วหมิงสะบัดฝ่ามืออีกข้าง ปราณสีดำสนิทประหนึ่งหมึกก่อตัวขึ้น ประกายแสงสีแดงดำสองสายพุ่งพรวดออกมาประหนึ่งสายฟ้าแลบ


เสียงเปรี๊ยะดังขึ้นสองหน


ปราณแกร่งคุ้มร่างของชวีเหยาก็ถูกประกายแสงโจมตีทีเดียวทะลุ แสงสีแดงพุ่งวูบทะลุดวงตาสองข้างไป


“กรี๊ด!”


สองตาของชวีเหยาพริบตาเดียวกลายเป็นรูเลือดขนาดเท่ากำปั้นสองรู พร้อมกันนั้นปากก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาในทันใด


กระบี่ว่างเปล่าพร่าเลือนวูบหนึ่งก็แล่นมาถึง มันกลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งวนรอบหัวของหนอนไหมยักษ์


เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง หัวใหญ่โตก็กลิ้งหลุนๆ ร่วงลงมาจากบนร่าง ร่างกายหนอนไหมยักษ์กระตุกไม่กี่หนก็ร่วงลงมาจากฟ้าด้วย


ตอนนี้เองกระบี่ว่างเปล่าก็หมุนติ้วอีกหน ซัดแสงกระบี่เย็นเยียบแถบแล้วแถบเล่าออกมา ชั่วพริบตากลบหัวและร่างของชวีเหยาไว้ด้านใน ทำให้พวกมันทั้งหมดกลายเป็นเนื้อแหลกเละกองใหญ่


ปราณดำบนมือหลิ่วหมิงค่อยๆ สลายไป เกล็ดมังกรเจ็ดแปดเกล็ดบนกำปั้นจมหายเข้าไปในร่าง


ประกายแสงสีแดงดำสองจุดนั่นก็คือเกล็ดมังกรที่เขาอาศัยโลหิตปีศาจสวรรค์หลอมขึ้นมาใหม่อย่างยากลำบาก เมื่อหลุดออกจากร่างพุ่งพรวดออกไปทรงพลังอย่างที่สุด ทว่าเป็นของใช้แล้วหมดไป ใช้หนึ่งเกล็ดก็น้อยลงหนึ่งเกล็ด


พริบตานั้นที่ชวีเหยาถูกสังหาร ผีเสื้อจิตวิญญาณสีเทาที่สู้อยู่กับสามคนที่เหลือเหล่านั้นก็พากันระเบิดกลายเป็นไอหมอก


หลังหลิ่วหมิงเรียกเงาโคสีน้ำเงินกับกระบี่ว่างเปล่ากลับมาแล้วก็พลิกมือเอาโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งออกมากลืนลงไป จากนั้นเหลียวกลับไปมองคนที่เหลือ


ศึกดุเดือดต่อเนื่องครั้งนี้ แม้พลังเวทในร่างของเขาจะบริสุทธิ์เหนือกว่าคนธรรมดามาก แต่ตอนนี้ก็ผลาญไปเจ็ดแปดส่วนในสิบส่วนแล้ว


บุรุษผมม่วงใกล้ๆ กวักมือข้างหนึ่ง ระฆังทองแดงยักษ์กลางอากาศก็หมุนติ้วกลับคืนขนาดเดิมพุ่งลงมาในมือ จากนั้นร่างกายของเขาก็ขยับว่องไวเหาะร่อนลงบนพื้น หยิบโอสถขวดหนึ่งออกมากลืนลงไปแล้วเริ่มนั่งสมาธิ


ชายหนุ่มรถเงินกับหลัวเทียนเฉิงก็ไม่ได้ดีไปกว่า หลังเก็บอาวุธจิตวิญญาณและพลังไปก็พากันร่อนลงบนพื้นนั่งสมาธิโคจรปราณเช่นกัน


เห็นชัดว่าศึกเมื่อครู่ พวกเขาก็ใกล้เป็นโคมไฟหมดเชื้อแล้วเช่นกัน


หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างกับทั้งสามคน ทันใดนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ร่างกายพร่าเลือนหายไปกะทันหันแล้วปรากฏตัวขึ้นไกลออกไป


หลังจากนั้นเสียง “ฟึบ” ทีหนึ่งก็ดังขึ้น ตรีศูลสีดำเล่มหนึ่งพุ่งโจมตีผ่านจุดที่เขาเคยยืนอยู่ประหนึ่งสายฟ้าแลบ แต่แน่นอนว่าพลาดเป้า


หลังจากนั้นบนอากาศว่างเปล่าใกล้ๆ แสงโลหิตเจิดจ้าแสบตาก้อนหนึ่งก็ระเบิดออกมา พร้อมกันนั้นไอหมอกสีแดงแถบใหญ่ก็โถมออกมาจากความว่างเปล่า


กลางไอหมอกสีแดงเงาคนมหึมาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น บนศีรษะมีเขาคู่หนึ่ง บนแผ่นหลังก็มีปีกเนื้อสีเลือดขมุกขมัวคู่หนึ่ง


ดูจากสภาพแล้ว มันก็คือตรีศูลโลหิตที่เร้นกายหายไปตลอดก่อนหน้านี้นั่นเอง ทว่าเวลานี้ขนาดร่างของมันใหญ่ขึ้นมากกว่าสิบเท่า มีขนาดสิบกว่าจั้งประหนึ่งยักษ์ตนหนึ่ง


สองตาของหลิ่วหมิงหรี่ลง ไม่พูดพร่ำเป็นคำที่สองก็สะบัดแขนเสื้อ กระบี่ว่างเปล่าออกมาขวางหน้าร่าง


พวกหลัวเทียนเฉิงที่เดิมนั่งขัดสมาธิอยู่ก็หน้าถอดสีกระโดดลุกขึ้นทันที บ้างกระตุ้นวิชา บ้างปล่อยอาวุธจิตวิญญาณป้องกันออกมา ท่าทางของทุกคนประหนึ่งศัตรูตัวฉกาจมาเยือน


ตรีศูลโลหิตยักษ์กลับไม่มองคนทั้งหลายเบื้องล่าง มันอ้าปากกว้าง แสงสีแดงผืนหนึ่งซัดออกมา หอบศพของชวีเหยาที่เป็นเนื้อแหลกเละเบื้องล่างพุ่งกลับเข้าไปในปาก เคี้ยวสองคำก็กลืนลงไปหมดสิ้น


“ฮิฮิ…”


ตรีศูลโลหิตแหงนหน้าส่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมาพักหนึ่ง ในที่สุดก็มองมาทางพวกหลิ่วหมิง ดวงตาใหญ่ยักษ์คู่หนึ่งคล้ายมีแววตาลังเลปรากฏขึ้น ทว่าครู่ต่อมาบนร่างก็เปล่งแสงสีแดง รอบร่างหมอกโลหิตถาโถมพลุ่งพล่านออกมา เงาร่างใหญ่ยักษ์เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ด้านใน


พวกหลิ่วหมิงอดไม่ได้มองหน้ากัน


“สัตว์ประหลาดตัวนี้คิดจะทำอะไร?” ชายหนุ่มรถเงินอดไม่ได้อ้าปากเอ่ยขึ้น


“ไม่ทราบ แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเรา” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นช้าๆ


“ไม่ว่าอย่างไรสามตนก็กำจัดไปแล้วสอง พวกเราสู้อีกสักตั้งเถอะ จัดการสัตว์ประหลาดตัวสุดท้ายนี่น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอันใดกระมัง?” หลัวเทียนเฉิงสูดหายใจลึกทีหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา


“ศิษย์น้องหลัวอย่าได้ลืม สัตว์ประหลาดสามตัวนี้ล้วนเป็นเพียงร่างแปลงชั่วคราวเท่านั้น ใครจะรู้ว่าร่างต้นของพวกมันอยู่ใกล้ๆ หรือไม่” หลิ่วหมิงกลับเอ่ยตอบเรียบๆ


“เจ้าบอกว่าร่างต้นของพวกมันอยู่ในแดนลึกลับ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?” หลัวเทียนเฉิงท่าทางไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิง


“ฮึฮึ นี่ก็ไม่แน่ เจ้าคิดว่ามิติที่ขังพวกเราไว้พร้อมกันได้เช่นนี้ ร่างแปลงระดับแก่นแท้ไม่กี่ตนนี่จะสร้างออกมาได้หรือ” เวลานี้บุรุษผมม่วงกลับหัวเราะเอ่ยขึ้น


หลัวเทียนเฉิงได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปมาหลายครั้ง ขณะที่กำลังคิดจะพูดอะไร ทันใดนั้นแผ่นดินเลือดเนื้อใต้เท้าพวกเขาก็ส่งเสียงอื้ออึงออกมาจากข้างใต้ นอกจากนี้เสียงจากเบากลายเป็นดัง จากช้ากลายเป็นเร็ว ยิ่งดังสนั่นขึ้นทุกที ยิ่งถี่ขึ้นทุกที


หลิ่วหมิงสองคิ้วขมวดเล็กน้อย ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่นิดๆ


ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าใต้เท้ายุบลง ผืนเนื้อบนพื้นฉับพลันเกิดแรงดูดสายหนึ่งคล้ายหมายจะบังคับลากพวกเขาเข้าไปในผืนเนื้อ


ทว่าแรงสายนี้ไม่เพียงพอให้พวกหลิ่วหมิงสี่คนต้องกลัว


ทั้งสี่คนกระตุ้นเคล็ดวิชาแทบจะพร้อมกัน ดิ้นหลุดจากแรงดูดบินขึ้นไปกลางท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียง


ครู่ต่อมากำแพงเนื้อทั้งมิติก็คล้ายจะขยับไม่หยุด ทั้งยังส่งเสียงลื่นพรวดๆ ออกมาพักหนึ่งเป็นระยะ กลิ่นคาวเลือดแสบจมูกสายหนึ่งฟุ้งออกมาจากเบื้องล่าง


“แย่แล้ว!” หลิ่วหมิงร้องตะโกนขึ้นกะทันหัน


สามคนที่เหลือต่างตกใจมองตามสายตาของหลิ่วหมิงไป เห็นเพียงรังไหมเนื้อสีเลือดของคนอื่นบนพื้นจมลงไปกว่าครึ่งตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ กำลังจะถูกผืนเนื้อกลืนเข้าไปโดยสมบูรณ์แล้ว


“ทำอย่างไรดี? จะลงมือช่วยพวกเขาไหม?” บนหน้าชายหนุ่มรถเงินปรากฏสีหน้าลังเล เผิงเยวี่ยอยู่ในก้อนเนื้อข้างล่างเหมือนกัน


ถ้อยคำของเขาแทนที่จะเรียกว่าเอ่ยถาม คล้ายพึมพำกับตนเองมากกว่า


“ไม่ทันแล้ว!” บุรุษผมม่วงกวาดมองผืนดินเลือดเนื้อเบื้องล่างที่เผยปากมหึมานับไม่ถ้วนออกมาแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา


หลิ่วหมิงเงียบงัน จ้องตรีศูลโลหิตฝั่งตรงข้ามอย่างมาดร้าย ในสภาพที่พลังเวทส่วนใหญ่ของพวกเขาสี่คนใช้ไปแล้วค่อนครึ่ง เป็นไปไม่ได้นักที่จะมีโอกาสสนใจคนที่ถูกขังอยู่ข้างล่าง


ผ่านไปเพียงสองสามลมหายใจ ก้อนเนื้อทั้งหมดก็แทบจะจมมิดลงไปใต้พื้นอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงส่วนยอดครึ่งวงกลมนิดเดียวเท่านั้นที่ยังโผล่ออกมาจากพื้นขยับขยุกขยิกต่อ


เสียงเปรี้ยงดังสนั่น มิติทั้งหมดเริ่มสั่นอย่างรุนแรง คลื่นปราณวงแล้ววงเล่าที่มีแสงสีแดงจุดแล้วจุดเล่าแทรกอยู่ไม่ทราบพัดมาจากที่ใด พัดพวกหลิ่วหมิงจนเสื้อผ้าลอยสะเปะสะปะไม่หยุด


“ฮ่าฮ่าฮ่า…”


เสียงหัวเราะคลุ้มคลั่งดังกังวานในมิติสีเลือด สะเทือนอากาศจนส่งเสียงอื้ออึง ทำให้คนฟังเลือดลมปั่นป่วน ในใจรู้สึกยากทนรับ แสงสีเลือดแสบตากลางอากาศกะพริบวูบวาบไม่หยุด


พร้อมกับที่แรงสั่นสะเทือนในมิติค่อยๆ สงบลง แสงสีเลือดก็ดับลงด้วย ร่างกายของตรีศูลโลหิตปรากฏขึ้นในลานสายตาของพวกหลิ่วหมิงอีกครั้ง


มันในตอนนี้ร่างกายคืนกลับมาขนาดเท่าปกติแล้วแต่กลับแผ่ปราณน่าหวาดกลัวอย่างที่สุดสายหนึ่งออกมา ในมือยังคงกำตรีศูลสีดำเล่มนั้นไว้เช่นเดิม เมื่อสายตากวาดมา พวกเขาพลันรู้สึกกระแสเย็นเยียบสายหนึ่งพุ่งขึ้นมา บนผิวหนังรู้สึกว่ามีบางอย่างทิ่มแทง


หลิ่วหมิงสีหน้าย่ำแย่อย่างที่สุดในทันใด!


แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากบนร่างตรีศูลโลหิตสูงกว่าระดับแก่นแท้อย่างเห็นได้ชัด ไปถึงขั้นดาราพยากรณ์แล้ว นอกจากนี้ในแรงกดดันยังมีกลิ่นอายที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้เฒ่าเทียนเหอกับประมุขหอเป๋ยโต่วที่เขาเคยเห็นมาอยู่นิดหน่อยอีกด้วย


“เป็นไปไม่ได้ พลังของมันเพิ่มขึ้นมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ห่างจากระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์แค่ก้าวเดียวแล้ว” หลังบุรุษผมม่วงมองสำรวจตรีศูลโลหิตอย่างละเอียดหลายหนก็หลุดปากออกมา


หลังหลัวเทียนเฉิงกับชายหนุ่มรถเงินสัมผัสได้ถึงแรงกดดันประหนึ่งจะทลายฟ้าทลายดินจากฝั่งตรงข้าม สีหน้าก็ซีดเผือดอย่างยิ่งในพริบตาเช่นกัน


จากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ พวกเขาสี่คนต่างฝ่ายต่างรู้จักพลังของกันและกันคร่าวๆ แล้ว พวกเขาเรียกได้ว่าเป็นผู้โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกันทั้งสิ้น หากร่วมมือกันต่อให้คู่ต่อสู้ร้ายกาจอีกเท่าใดก็สมควรมีพลังสู้ได้ศึกหนึ่ง


ทว่าทุกสิ่งนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวตนอันน่าหวาดกลัวของผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ย่อมไร้ประโยชน์


“ไม่ผิด ไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนี้มานานนักแล้ว แม้ยังไม่เท่ากับพลังยามสูงสุด ทว่าจัดการมดปลวกไม่กี่ตัวนี้น่าจะไม่มีปัญหาอย่างสิ้นเชิง…”ตรีศูลโลหิตยืดร่าง ขณะที่สัมผัสพลังงานอันท่วมท้นบนร่างก็เอ่ยกับตนเองอย่างพออกพอใจ


“ตรีศูลโลหิต เจ้าถึงกับกล้ากินร่างแยกของข้าตามใจ!” ในมิติสีเลือดเสียงด่าทอกรีดแหลมของสตรีเสียงหนึ่งดังขึ้นประหนึ่งลอยมาจากที่ไกลอย่างที่สุด สะเทือนมิติทั้งหมดจนดังอื้ออึง


“สหายชวีเหยาไม่ต้องโกรธไป เจ้าเด็กเผ่ามนุษย์สี่คนนี้ไม่ธรรมดา กระทั่งร่างแยกของพวกเจ้ายังพ่ายแพ้ให้แก่พวกเขา ข้าจึงได้แต่ยืมพลังแห่งสายเลือดจากร่างแยกของพวกเจ้า ฝืนปลดปล่อยพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์เล็กน้อยออกมาจากร่างต้นที่ถูกผนึกกรอกเข้ามาในร่างแยกร่างนี้ อีกประการชีวิตในร่างแยกของพวกเจ้าก็ดับสิ้นลงแล้ว สิ่งนี้สำหรับเจ้าก็ไม่น่ามีประโยชน์มากนักแล้วกระมัง!”


“เหอะ! เจ้าพูดเสียดิบดีเชียวนะ ร่างแยกเหล่านี้พวกเราใช้เวลานับหมื่นปีถึงฝืนสร้างออกมาได้ บรรจุพลังดั้งเดิมของพวกเราไว้อยู่ ถูกเจ้ากลืนกินลงไป ไยไม่ใช่เอากลับมาไม่ได้จริงๆ แล้ว”


พร้อมกับเสียงแค่นหยัน อากาศข้างกายตรีศูลโลหิตก็บิดเบี้ยวพักหนึ่ง ไอหมอกสองก้อนสีเขียวกับสีเทาปรากฏออกมา หลังหมอกกระจายออกเงาสองร่างก็ลอยออกมาจากด้านใน


ชวีเหยากับบุรุษเผ่าหนอนผีเสื้อที่ถูกสังหารไปแล้วนั่นเอง


เวลานี้ทั้งสองตัวฟื้นกลับมาเป็นสภาพสตรีเสื้อเหลืองครึ่งคนครึ่งหนอนไหมกับสภาพหนอนยักษ์หน้าตาเหมือนตะขาบอีกครั้ง ทว่ากลิ่นอายบนร่างอ่อนแอลงกว่าก่อนหน้านี้มากนัก


ภาพนี้ทำให้หางตาหลิ่วหมิงกระตุก หลังจากนั้นเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา


พวกบุรุษผมม่วงกับหลัวเทียนเฉิงยิ่งหน้าเขียวไปแล้ว


“เอาล่ะ อย่างมากที่สุดหลังหลุดออกมาได้จริงๆ ข้าก็แค่ชดเชยให้พวกเจ้าสักหน่อยเท่านั้น เวลาไม่มากแล้ว ข้าจะสังหารเจ้าเด็กเผ่ามนุษย์เหล่านี้ก่อน หลังจากนั้นยังมีเรื่องอีกมากที่พวกเราต้องไปทำ” ตรีศูลโลหิตเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ แขนยกขึ้นทีหนึ่ง ไอหมอกสีเลือดขมุกขมัวก็ถาโถมรวมตัวกันด้านบนมิติทั้งหมด


เสียง “ฟึบ” ดังขึ้น ฝ่ามือยักษ์ขนาดร้อยจั้งข้างหนึ่งก่อตัวขึ้นจากโลหิตจากนั้นร่วงลงมาเบื้องล่าง ทับพวกหลิ่วหมิงทั้งสี่คนไว้ด้านใน


ฝ่ามือยักษ์ยังไม่ทันกระแทกลงมา พวกหลิ่วหมิงสี่คนก็รู้สึกถึงสายลมรุนแรงดุดันที่โถมเข้าใส่ใบหน้า พร้อมกันนั้นพลังเย็นยะเยือกสายแล้วสายเล่าก็รุกรานเข้ามาในร่างพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าปราณแกร่งคุ้มร่างหรืออาวุธจิตวิญญาณปกป้องกายล้วนไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงร่างกายเย็นเยียบ เลือดเนื้อทั้งร่างคล้ายถูกแช่แข็ง ไม่ต้องพูดถึงโคจรพลังเวท กระทั่งขยับร่างก็ทำไม่ได้ ในใจตกตะลึงอย่างยิ่งยวด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)