หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 814-823
บทที่ 814 แปลงเป็นนก!
เมื่อผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายไล่ตามลงไปใต้ดิน ร่างสารัตถะของหวังเป่าเล่อที่แปรสภาพเป็นเศษฝุ่นก็เคลื่อนย้ายหนีไปไกลทันทีด้วยพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย เมื่อชายหนุ่มมาปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็แปลงกายเป็นนกแล้วส่งเสียงร้องไปยังฝูงนกที่บินสวนมาบนฟ้า ก่อนจะร่วมบินมุ่งตรงไปยังขอบฟ้ากับฝูงนกเหล่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อ ผู้ที่กลัวว่าจะถูกไล่ตามทันก็แปลงกายอีกครั้ง หลังจากสัมผัสได้ว่าสัมผัสเทพที่ลงลึกไปใต้ดินของเขาสลายไป อีกทั้งสัมผัสเทพอื่นๆ ที่ชายหนุ่มปล่อยออกไปก็ค่อยๆ จางหายไปตามๆ กัน หวังเป่าเล่อแปลงสภาพกลายเป็นขนนกเส้นหนึ่งที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงไปบนผิวของแม่น้ำ ก่อนจะกลายเป็นก้อนหิน ที่หลังจากจมลงไปยังก้นแม่น้ำแล้ว จึงค่อยแปรสภาพเป็นปลารีบว่ายหนีไปตามกระแสน้ำ
ผ่านไปสิบห้านาที เมื่อหวังเป่าเล่อออกมาจากฝูงนกแล้ว ร่างของนกทั้งฝูงก็สั่นเทาก่อนร่วงหล่นลงมาตายพร้อมๆ กัน ข้างๆ ซากนกเหล่านั้น ปรากฏใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเกรี้ยวกราดของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้น หลังจากที่กวาดตามองไปรอบๆ แล้วไม่พบหวังเป่าเล่อ โทสะในใจของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นก็พุ่งสูงถึงขีดสุด
ในฐานะผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่ไล่ตามผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ การถูกผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสลัดหลุดได้ถือเป็นการเสียหน้าครั้งใหญ่ สิ่งที่ทำให้ผู้อาวุโสยิ่งเกรี้ยวกราดก็คือเขาตกหลุมพลางเหยื่อล่อเมื่อครู่!
เจ้าคนนี้เชี่ยวชาญการแปลงกาย! ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นกัดกรามแน่น แม้ว่าเขาจะเฉลียวใจเรื่องนี้มาบ้าง แต่เมื่อเข้าใจวิธีการของหวังเป่าเล่อมากขึ้น ชายชราก็อดรู้สึกเสียท่าไม่ได้จนต้องส่งเสียงคำรามออกมา จากนั้นก็ปลดปล่อยสัมผัสเทพออกไปไกลร่วมสามร้อยกิโลเมตรโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา แล้วส่งคลื่นกระแทกออกไปพร้อมดวงจิตของตน ไม่ว่าดวงจิตจะเดินทางไปที่ใด ทุกสรรพชีวิตที่สัมผัสมันจะต้องสั่นสะท้านก่อนแหลกสลายไป
แต่ไม่รวมหวังเป่าเล่อ ก่อนที่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นจะปรากฏกาย ชายหนุ่มก็เคลื่อนย้ายหนีไปอีกครั้งในร่างปลา เมื่อมาปรากฏตัวอีกรอบ เขาก็อยู่ห่างออกมามาก ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังแปลงร่างอีกครั้ง กลายเป็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นก่อนจะออกวิ่งหนีต่อ
แต่นั่นยังไม่ใช่การแปลงกายครั้งสุดท้ายของหวังเป่าเล่อ ขณะที่หนีต่อไปนั้น บางครั้งชายหนุ่มก็แปลงร่างเป็นอสูรตัวจ้อยไร้พิษสงที่วิ่งอยู่บนดิน บางครั้งก็กลายเป็นแมลงไปซ่อนในซอกดิน มีกระทั่งแปลงร่างเป็นผู้มาจุติคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ ด้วยวิธีนี้เขาจึงเพิ่มระยะห่างระหว่างตนและผู้อาวุโสออกไปทีละน้อย และเมื่อสะสมไปเรื่อยๆ ระยะทางระหว่างทั้งคู่ก็ห่างไกลจนเกินกว่าจะไล่ตามไหว
ด้วยเหตุนี้ แม้ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะจะไล่ตามไปอีกหลายต่อหลายครั้ง ก็ยังไม่อาจตามหวังเป่าเล่อทัน กระทั่งแกะรอยหวังเป่าเล่อไม่ได้เลยในตอนท้าย จนสุดท้ายต้องออกคำสั่งและประกาศให้หน่วยย่อยของตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดร่วมกันค้นหาบุรุษสวมหน้ากากสุกรจนทั่ว
แม้วิธีนี้จะไม่ได้ผลมากนัก แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะก็คิดอยู่ในใจว่า หน่วยย่อยของตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดล้วนเป็นเพียงเหยื่อล่อ ทันทีที่บุรุษในหน้ากากสุกรปรากฏตัวขึ้นและสังหารใครสักคน เขาก็จะมีร่องรอยให้ติดตามอีกครั้ง!
ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดบนดาวเคราะห์ต่างก็เคลื่อนไหวตามคำสั่งของผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะ พวกเขาล้วนออกตามหาบุรุษในหน้ากากสุกรพร้อมจิตสังหารอันรุนแรง การออกตามล่าเช่นนั้นสร้างความวิบัติขนานใหญ่ให้บรรดาเหล่าผู้มาจุติชนิดที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดกำลังตามหาเพียงหน้ากากสุกรเท่านั้น แต่ขณะเดียวกัน เพราะคำสั่งของผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะ พวกเขาต่างก็ระแวดระวังกันและกัน ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคนต่างก็แบกรับความกดดันหนักอึ้งเอาไว้ในใจ จนถึงขนาดที่ว่าพุ่งเข้าจู่โจมผู้มาจุติทันทีที่มองเห็น พวกเขาจะรุมตีผู้มาจุติจนตาย หรือหากไม่สามารถสังหารได้ ก็จะจับมาสอบสวนว่าหน้ากากสุกรอยู่ที่ใดกันแน่!
ด้วยเหตุนี้ บรรดาผู้มาจุติทุกคนจึงรู้สึกคั่งแค้นอยู่ในใจ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าหน้ากากสุกรนั้นไปอยู่ที่ใด ดังนั้นจึงเกิดการบุกรุกและสังหารกันอยู่บ่อยครั้งในหลายๆ เขตบนดาวเคราะห์นี้ ทำให้บรรดาผู้มาจุติต่างรู้สึกขมขื่นใจ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมล้มเลิกภารกิจ พวกเขาเริ่มซ่อนตัวกันบ่อยขึ้นเพื่อซื้อเวลารอให้ภารกิจจบลง จะได้เคลื่อนย้ายออกไปจากสถานที่สุดอันตรายแห่งนี้ ในเวลาเดียวกัน ความเกลียดชังในใจก็เพิ่มพูนขึ้น พวกเขาทุกคนต่างก็คิดเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ…ต้องควานหาตัวหน้ากากสุกรและสังหารเขาทันทีที่กลับไป!
ปรมาจารย์แห่งไฟเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ในแง่หนึ่ง ชายชรารู้สึกว่าหวังเป่าเล่อที่ใช้ทักษะการปลอมแปลงกายในการหลบหนีนั้นหัวไวยิ่ง แต่อีกแง่ เมื่อได้เห็นความเกลียดชังที่ผู้มาจุติคนอื่นๆ รู้สึกต่อหวังเป่าเล่อ เขาก็รู้สึกสนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
และในขณะที่ดาวเคราะห์ทั้งดวงตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวายอย่างหนัก หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองก่อนที่จะแปลงกายเป็นนกอีกครั้ง ชายหนุ่มร่อนลงเกาะกิ่งไม้หนึ่งในป่าใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นซึ่งเหาะข้ามท้องฟ้าเบื้องบนไป
แย่แล้ว เหลือเวลาอีกเพียงสิบชั่วโมงก่อนที่เวลาจะหมด หวังเป่าเล่อปวดศีรษะยิ่ง เขาเข้าร่วมภารกิจนี้เพราะอยากได้ผลึกสีชาด แต่อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มก็อยากใช้วิชาดวงเนตรปีศาจสังหารผู้คนเพื่อบรรลุขั้นปราณ
ก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผน หวังเป่าเล่อได้ผลึกสีชาดจากการสังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น ควบคู่ไปกับการผลักดันวิชาดวงเนตรปีศาจให้ก้าวหน้าไปพร้อมกัน ชายหนุ่มรู้สึกลิงโลดใจเป็นอย่างยิ่ง วิชาดวงเนตรปีศาจเองก็มาถึงจุดที่เพิ่มพลังปราณของหวังเป่าเล่อได้อย่างมาก จนกระทั่งอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายในที่สุด
จากการคำนวณของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มคิดว่า หากเดินหน้าต่อไป ตัวเขาย่อมสามารถบรรลุขั้นปราณได้ก่อนที่ภารกิจจะจบลงแน่ เพราะระดับปราณของบรรดาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นช่างสูงส่งและให้ประโยชน์กับเขามากมาย
ตอนนี้ข้าซวยแล้ว! หวังเป่าเล่อเศร้าสร้อยเล็กน้อย ชายหนุ่มยืนจิกขนอยู่บนกิ่งไม้พลางคิดหาวิธีรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะกำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้นมาในศีรษะ
“ช่วยข้าด้วย… ช่วยข้าด้วย…”
เสียงนั้นทำเอาหวังเป่าเล่อสะดุ้งไปทั้งกาย นัยน์ตาเบิกโพลง ชายหนุ่มบินขึ้นฟ้าก่อนจะหันรีหันขวางอย่างตื่นตระหนก รีบใช้สัมผัสเทพกวาดสำรวจรอบกายตามสัญชาติญาณแต่ก็ไม่พบสิ่งใด จนสีหน้าของหวังเป่าเล่อบูดเบี้ยวไป
แม้ในตอนที่เสียงนั้นอ่อนแรงลงจนกระทั่งค่อยๆ จางหายไป หวังเป่าเล่อที่ระแวดระวังตัวเต็มที่ก็ยังไม่พบสิ่งแปลกปลอมในป่าบริเวณนี้ ในที่สุด นกหวังเป่าเล่อก็ลงเกาะกิ่งไม้อีกครั้งก่อนจะหรี่ตาลง
ครั้งที่สองแล้วนะ! หวังเป่าเล่อจำที่เสียงปรากฏขึ้นในหัวครั้งแรกได้ชัดเจน หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าเสียงนั้นชัดเจนกว่าครั้งแรก ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างประหลาดนัก ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับครั้งก่อน ความรู้สึกรางๆ บ่งบอกว่าเสียงนั้นมาจากตำแหน่งหนึ่งที่ลึกลงไปในดิน
นี่ข้าได้ยินคนเดียว…หรือทุกคนก็ได้ยินกันนะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังครุ่นคิด ชายหนุ่มก็เงยศีรษะขึ้นมองไปยังที่ที่ห่างไกลลึกเข้าไปในป่า
ตอนนั้นเองที่บริเวณชายป่า ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังมองไปยังทิศทางเดียวกัน บุรุษรูปร่างกำยำใส่หน้ากากกระทิงก็กำลังวิ่งเต็มฝีเท้าเข้ามาในป่า หลังจากที่เข้ามาได้ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง ชายหนุ่มหันกลับไปมองข้างหลังอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้ลดความเร็วลงแม้จะวิ่งลึกเข้ามาในป่าแล้วก็ตาม ขณะเดียวกัน ภายใต้พลังการปกปิดของหน้ากาก รัศมีของเขาก็ถูกสภาพแวดล้อมรอบข้างอำพรางไว้อย่างรวดเร็ว หากหวังเป่าเล่อไม่ได้เล็งเป้าชายหน้ากากกระทิงไว้ตั้งแต่แรก ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะตามตัวอีกฝ่ายพบพบ
เจ้านั่นนี่นา เมื่อมองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมา ชายหนุ่มยังเห็นอีกว่า มีหน่วยย่อยของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นสองหน่วยวิ่งไล่ตามมา ในกลุ่มนั้นมีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายอยู่สองคน และชั้นสมบูรณ์อีกหนึ่งคน
เจ้านี่คงไปแหย่รังแตนมาด้วยกระมัง ทำไมถึงมีคนตระกูลไม่รู้สิ้นไล่ตามมามากขนาดนั้น หลังจากที่เห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ตกใจเล็กน้อย ท่ามกลางความตื่นตะลึง บุรุษในหน้ากากกระทิงก็เข้าไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะใช้กระบวนท่าที่หวังเป่าเล่อไม่รู้จัก ตอนนั้นเองรัศมีที่ยากจะจับได้ในตอนแรกก็หายไปในพริบตา ยิ่งไปกว่านั้น แม้บุรุษหน้ากากกระทิงจะยืนอยู่ตรงนั้น แต่ดูเหมือนว่าบรรดาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นกลับมองไม่เห็นอีกฝ่ายเลย แม้จะกำลังเดินอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มก็ตาม
หวังเป่าเล่อตกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มหรี่ตาก่อนจะสะบัดปีกบินมุ่งตรงเข้าไป และร่อนไปเกาะบนกิ่งไม้เหนือศีรษะชายหนุ่มร่างกำยำเพื่อจะมองให้ชัดๆ
ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็เห็นว่าบุรุษร่างกำยำกำลังถือบางอย่างอยู่ในมือ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ไล่ตามมาต้องคว้าน้ำเหลว ก่อนจะวิ่งไล่ต่อไป เมื่อทุกคนจากไปแล้ว บุรุษร่างกำยำจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ราวกับว่าไม่สามารถจะรักษาสภาพนั้นไว้ได้นานนัก อึดใจถัดมา เขาก็เปิดฝ่ามือขึ้นเผยให้เห็นของที่ถืออยู่ในมือ เป็นใบไม้สีหยกใบหนึ่งนั่นเอง!
ใบไม้นั้นสุดแสนจะธรรมดา แทบไม่ต่างอะไรกับใบไม้ทั่วๆ ไป แต่เมื่อคิดว่ามันสามารถซ่อนรัศมีได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็ย่อมไม่ใช่ใบไม้ธรรมดาแน่ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนเมื่อเริ่มครุ่นคิดว่าจะขอยืมใบไม้นั้นจากบุรุษร่างกำยำดีหรือไม่ ทันใดนั้นเอง บุรุษร่างกำยำก็ขากเสลดลงบนพื้นใกล้ๆ เขากองใหญ่
“ไอ้หัวหมูบัดซบ ข้าทำภารกิจนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยมีครั้งไหนที่ตระกูลไม่รู้สิ้นคลั่งเท่านี้ เจ้าหัวหมูมันสมควรตายนัก ข้ากลับไปเมื่อใด จะฉีกเส้นเอ็นและขยี้กระดูกมันให้สิ้นเชียว!” บุรุษร่างกำยำพูดเสียงเบาด้วยนัยน์ตาอาฆาตและกรามที่กัดแน่นจนเป็นสัน ก่อนจะเตรียมพลิกตัวเพื่อจากไป…
ทว่าตอนนั้นเอง นกตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้เหนือศีรษะก็ส่งเสียงร้องออกมาดังลั่นก่อนจะจ้องเขาเขม็ง…
บทที่ 815 เจ้ากล้าด่าข้าหรือ
เสียงร้องนั้นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว นกตัวนั้นสยายปีกบินขึ้นบนฟ้า ทำทีเป็นว่าตกใจจนต้องผวาบินขึ้นไป หลังจากที่ผละออกจากต้นไม้ มันก็ทำให้นกตัวอื่นๆ ในบริเวณนั้นตกใจไปตามๆ กัน นกจำนวนนับไม่ถ้วนพากันบินหนีไปหมด
“บัดซบ!” สีหน้าของบุรุษร่างกำยำเปลี่ยนไปทันที นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขณะเงยหน้าไปมองนกหวังเป่าเล่อ แม้จะมีจิตสังหารอยู่ในดวงตา แต่หัวใจเขาก็เริ่มโอดโอย เห็นได้ชัดว่ากระบวนท่าหลบซ่อนของเขามีขีดจำกัด และไม่สามารถใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานได้ ตอนนั้นเอง บุรุษในหน้ากากกระทิงก็พลิกตัวก่อนจะเร่งความเร็วหนีไป
แต่ก็สายเกินไป…ทันทีที่เสียงร้องดังลั่นของนกหวังเป่าเล่อกระจายไปทั่ว ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ห่างออกไปก็ได้ยิน ก่อนจะรีบเร่งความเร็วมุ่งมาตามเสียงทันควัน
ไม่นานนัก กลุ่มตระกูลไม่รู้สิ้นก็ตามบุรุษร่างกำยำทันและเริ่มต่อสู้กันเสียงดัง ขณะนี้บุรุษในหน้ากากกระทิงที่ทำตัวโอหังอยู่ก่อนหน้านี้เพราะคิดว่าตัวเองก็มีฝีมือพอตัวกำลังรับมือกับการโจมตีจากขั้นเชื่อมวิญญาณสามคน เขาทำได้แค่ปล่อยกระแสรบกวนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ออกมาเท่านั้น แต่ฝีมือการต่อสู้ของเขาก็ไม่ใช่ย่อยๆ บุรุษในหน้ากากกระทิงเพียงเสียเปรียบเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถสังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นไปได้ห้าคนด้วยกัน
บุรุษร่างกำยำมีกลเม็ดเด็ดพรายมากมายและดูเหมือนว่าจะรอดชีวิตมาได้ด้วยการหยิบวัตถุเวทชิ้นเล็กชิ้นน้อยออกมาใช้ ในที่สุด เมื่อหยิบรูปปั้นออกมาและส่งให้มันระเบิดตัวเอง เขาก็หลุดออกจากวงล้อมและรีบหนีไปในทันที ต่อให้หวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่ด้วยลูกไม้ต่างๆ เหล่านี้ บุรุษในหน้ากากกระทิงก็คงหนีไปได้ด้วยตนเองอยู่ดี แต่เขาก็โชคไม่ดีนัก…
ขณะที่บุรุษร่างกำยำกำลังทิ้งห่างบรรดาผู้ที่ติดตามออกไปนั้น เขาก็ซ่อนตัวอีกครั้ง ทว่างูตัวหนึ่งกลับขู่ฟ่อไปยังตำแหน่งที่เขาซ่อนอยู่ราวกับมีใครสักคนไปรบกวนการหลับใหลของมัน
ผลของการที่งูส่งเสียงทำให้…กลุ่มผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นรู้ตัวอีกครั้งก่อนจะแห่กันมาในทันที
บุรุษร่างกำยำแทบจะสิ้นสติ เขารู้สึกว่าสถานการณ์นี้แปลกประหลาดเกินไป ดวงของเขาซวยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่าดาวเคราะห์ทั้งดวงต่อต้านเขา และทุกสิ่งทุกอย่างก็ต่อต้านเขาไปเสียหมด
บ้าบอสิ้นดี! บุรุษในหน้ากากกระทิงคำรามอยู่ในใจ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกัดฟันสู้ ในที่สุด หลังจากที่สังหารสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นไปจำนวนหนึ่ง ก็เหลือเพียงผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสามคนเดิมอีกครั้ง บุรุษร่างกำยำสู้สุดใจแม้จะบาดเจ็บหนัก และกระอักเลือดออกมาเป็นระยะ เขาทำกระทั่งยอมใช้คำสาปในหน้ากากเพื่อลดระดับปราณของคู่ต่อสู้ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ลง หลังจากนั้นพักหนึ่ง บุรุษในหน้ากากกระทิงก็โยนกระดูกสีขาวออกมากองหนึ่ง กระดูกเหล่านั้นประสานตัวกันเป็นผนึก บุรุษร่างกำยำพลิกกลับมาได้เปรียบในการต่อสู้ก่อนจะหนีไปได้อีกครั้ง
เมื่อเขาออกมาจากบริเวณนั้นได้สำเร็จก็เตรียมจะเคลื่อนย้ายหนี แต่ผืนแผ่นดินบริเวณนั้นก็ถูกผนึกเอาไว้โดยตระกูลไม่รู้สิ้นตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เมื่อเคลื่อนย้ายไม่ได้ บุรุษร่างกำยำก็เห็นหนองน้ำที่ไม่มีต้นไม้ปกคลุม จึงดึงผ้าคลุมออกมาคลุมตัวเพื่อพรางตัว
เจ้านี่มีของเล่นเยอะเสียจริง หวังเป่าเล่อผู้ยืนอยู่บนกิ่งไม้ห่างออกไปเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายเมื่อบินร่อนไปลงใกล้ๆ
ขณะเดียวกัน ผนึกที่บุรุษร่างกำยำใช้กระดูกสีขาวสร้างขึ้นก็ถูกผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งสามคนทำลาย พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าบุรุษในหน้ากากกระทิงนั้นรับมือยากเอาการ ต่างคนก็ต่างทำหน้าเหยเกก่อนจะพุ่งตัวออกไปตามหาอีกฝ่ายต่อ ดูจากสายตาที่ดุร้ายของพวกเขาแล้ว คงไม่ยอมให้เรื่องนี้จบง่ายๆ เป็นแน่
เมื่อทั้งสามออกควานหาตัวอีกฝ่ายอีกครั้ง บุรุษร่างกำยำก็กลั้นหายใจก่อนจะขยับร่างกายอย่างระมัดระวัง เขาหวังจะฉวยโอกาสหลบหนีออกไปจากบริเวณนี้เพื่อจะได้เคลื่อนย้ายหนีได้
บุรุษในหน้ากากกระทิงค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อหลบผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายของตระกูลไม่รู้สิ้นที่เพิ่งเหาะผ่านเขาไป แต่จู่ๆ เขาก็ยกขาขึ้นและหยุดค้างอยู่กลางอากาศเช่นนั้น… ที่ใต้เท้าเขานั้น มีกบสีดำคลานออกมาจากบึง ดวงตาเบิกโพลงของเจ้ากบจับจ้องไปที่บุรุษร่างกำยำไม่กะพริบ
บุรุษในหน้ากากกระทิงหัวใจแทบหยุดเต้น เขาอยากเหยียบเจ้ากบให้ตายคาเท้าไปเสีย แต่ก็ไม่กล้า เพราะผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามยังคงค้นหาตัวเขาไปทั่ว อันที่จริงแล้ว ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ที่เขาโจมตีจนบาดเจ็บไปนั้นอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสามสิบเมตร หากเขาตัดสินใจเหยียบกบก็ต้องถูกเจอตัวเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้บุรุษร่างกำยำก็บาดเจ็บหนักเสียจนไม่อาจต่อสู้ได้อีก ทันทีที่ถูกพบตัว เขาคงต้องตายอย่างแน่นอน
แต่หากไม่เหยียบมัน…หัวใจของบุรุษในหน้ากากกระทิงเต้นโครมครามขึ้นมาอีกครั้ง ความจริง…เขามองเห็นจากสายตาของกบว่ามันเป็นอสูรกลายพันธุ์ และมันเองก็สังเกตเห็นเขาเช่นกัน
ดังนั้นบุรุษร่างกำยำจึงประกบมือเข้าหากันเพื่อขอร้องไม่ให้กบส่งเสียง ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ หยั่งเท้าไปวางตรงจุดอื่น
ทันทีที่เท้าแตะพื้น เจ้ากบก็อ้าปากและส่งเสียงร้องดังลั่นดึงดูดสายตาจำนวนมากให้มุ่งมา ตอนนั้นเองการพรางตัวของบุรุษร่างกำยำก็เกิดใช้ไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น…
จึงเกิดการปะทะกันขึ้นอีกครา
“ว้ากกกกก!” บุรุษร่างกำยำส่งเสียงร้องดังลั่นไปถึงสวรรค์ เขาทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ และความรู้สึกไม่ชอบมาพากลนี้ทำให้เขาสงสัยจนแทบคลั่ง อันที่จริงแล้ว…ไม่ใช่เขาคนเดียวที่รู้สึกว่าสถานการณ์นี้น่าสงสัย ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบุรุษในหน้ากากกระทิงบ้าง แต่พวกเขาก็เห็นว่าบุรุษผู้นี้ถูกอสูรพบเข้าทุกครั้งที่พยายามจะซ่อนตัว หากฉุกคิดสักนิดก็จะเห็นว่ามีบางอย่างแปลกๆ
ดังนั้น…แม้จะเหมือนว่าพวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่ แต่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามต่างก็สู้ไประแวงสิ่งรอบข้างไป อันที่จริงแล้ว ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์เหล่านี้ได้เปิดแหวนสื่อสารและกำลังจะรายงานเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ
หวังเป่าเล่อมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ไม่สนุกอีกต่อไปแล้ว ขณะที่พึมพำอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อก็หมุนตัวก่อนจะแปรสภาพเป็นหมอกพร้อมเสียงดัง “ฟุ่บ” ชายหนุ่มแพร่กระจายปกคลุมสิ่งรอบข้างเอาไว้ทันที เขาเข้าล้อมรอบกายผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นสองคนที่หน้าถอดสีและพร้อมจะล่าถอยเอาไว้ ส่วนผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ที่ถูกสาปอีกคนก็เกือบจะหนีจากเงื้อมมือของหมอกไปได้ แต่จู่ๆ ก็มีดวงตาสีดำปรากฏขึ้นภายในหมอกหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์จากตระกูลไม่รู้สิ้นไม่มีเวลากระทั่งจะได้ส่งข้อความเสียงหรือวิ่งหนีด้วยซ้ำ
ดวงตานั้นคือดวงตาปีศาจนั่นเอง!
ทันทีที่มันปรากฏ ร่างของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้นก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ความคิดของเขาก็เหมือนจะหยุดนิ่งลงไป หากเขาไม่ได้บาดเจ็บมาก่อนหน้านี้ ก็คงสามารถต้านทานพลังนั้นและส่งข้อความเสียงหรือเคลื่อนย้ายหนีไปได้ แต่เพราะถูกสาปและบาดเจ็บหนัก เขาจึงไม่อาจต้านทานดวงตาปีศาจได้ ในขณะที่สายตาเริ่มพร่ามัวและความกลัวในใจระเบิดออกมา ร่างกายก็ถูกหมอกดูดซึมเข้าไป ก่อนที่โลกของเขาจะดำมืด แล้วเขาก็หลับใหลไปตลอดกาล
หลังจากที่สังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นได้ หมอกก็หดตัวลงกลับเป็นนกสีดำอีกครั้ง ก่อนจะบินมาเกาะศีรษะของบุรุษร่างกำยำ พลางจิกศีรษะเบาๆ แล้วกระแอมกระไอ
“เจ้าวัวน้อย เมื่อกี้นี้เจ้าด่าข้าหรือ”
ร่างกายของบุรุษร่างกำยำกระตุกเมื่อเข้าใจทุกอย่าง หลังจากที่ได้ยินเสียงของนกบนหัว ชายหนุ่มก็เข้าใจเหตุผลทุกอย่างและรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของนกตัวนี้
แม้เขาจะไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อแปลงกายได้อย่างไร แต่ฉากที่อีกฝ่ายกลายเป็นหมอกแล้วสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามก็ทำเอาบุรุษในหน้ากากกระทิงตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้น อาการบาดเจ็บของเขาก็สาหัสเสียจนไม่อาจต่อสู้ได้อีก จะอยู่หรือตายก็เรียกได้ว่าอยู่ที่การตัดสินใจของหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น
ผนวกกับความเจ็บปลาบตรงกะโหลก ทำให้บุรุษร่างกำยำถึงกับต้องก้มตัวร้องขอความเมตตา
“ศิษย์พี่ ข้าผิดไปแล้ว หากท่านยอมให้ข้ามีชีวิตรอด ข้าจะทำตามท่านทุกอย่าง ข้าจะยกทุกสิ่งที่มีให้ท่าน ขอเพียงท่านเมตตาข้าสักครั้ง!” บุรุษในหน้ากากกระทิงเองก็เป็นคนแน่วแน่ แม้ว่าจะตัวสั่นและตกใจกลัว แต่เขาก็โยนกระเป๋าคลังเก็บออกไปอย่างไม่รั้งรอ ตามมาด้วยกำไลคลังเก็บ กระทั่งเลิกเสื้อให้ดูว่าไม่ได้ซ่อนสิ่งใดไว้อีก
ความตรงไปตรงมาของอีกฝ่ายทำให้หวังเป่าเล่อค่อนข้างพอใจ ชายหนุ่มเดินไปดูกระเป๋าและกำไลคลังเก็บตรงหน้าของบุรุษหน้ากากกระทิง เมื่อเห็นวัตถุดิบจำนวนมากบวกกับวัตถุเวทเล็กน้อยภายใน เขาก็เริ่มสำรวจตรวจตราต่อ
สิ่งที่พบมีดังนี้ ใบไม้ที่ซ่อนรัศมีของผู้ใช้ได้อย่างสมบูรณ์แต่สามารถใช้ได้วันละครั้งเท่านั้น หวังเป่าเล่อถามเรื่องผ้าคลุมและสิ่งของอื่นๆ จนกระทั่งชายหนุ่มพบกล่องหยกกล่องหนึ่งในกำไลคลังเวท
กล่องหยกถูกผนึกอยู่และไม่สามารถเปิดได้ เมื่อหวังเป่าเล่อถาม บุรุษร่างกำยำก็ไม่กล้าปิดบัง จึงบอกทุกอย่างออกมาตามตรงว่า เขาได้กล่องนั้นมาโดยบังเอิญแต่เปิดไม่ออก บุรุษร่างกำยำคิดว่า มีเพียงพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะเท่านั้นที่จะเปิดกล่องได้
เมื่อเห็นว่าบุรุษร่างกำยำให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หวังเป่าเล่อจึงเก็บของทั้งหมดไว้อย่างรื่นรมย์ใจ พลางคิดว่า เขาไม่ได้ทำให้ชีวิตของบุรุษร่างกำยำในหน้ากากกระทิงยากลำบากขึ้นแต่อย่างใด ชายหนุ่มจิกศีรษะอีกฝ่ายหนึ่งครั้งก่อนจะบินจากไป
บทที่ 816 ร่างอวตารแขนหัก!
เหตุการณ์ทั้งหมดนั้น ปรมาจารย์แห่งไฟมองเห็นตั้งแต่ต้นจนจบ เขายิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมา
“ดูเขาแล้วสนุกจริงๆ ข้าควรจะตบรางวัลเจ้าเด็กแสบคนนี้สักหน่อย” ขณะที่พูดเขาก็หยิบผลไม้เพลิงออกมากัดกินอีกลูกอย่างออกรส ขณะนี้ชายชราเลิกดูคนอื่นไปโดยปริยายเพื่อตั้งใจดูหวังเป่าเล่อตั้งแต่ต้นจนจบ
ในภาพบนจอถ่ายทอดสดนั้น หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งบินหนีไปแล้ว จู่ๆ ก็หยุดแล้วหายตัวไปในชั่วพริบตา ก่อนจะกลับไปยังป่าอีกครั้ง
เมื่อเห็นดังนั้น ปรมาจารย์แห่งไฟก็สนใจขึ้นไปอีก ขณะจ้องมองอยู่นั้น ชายชราก็เห็นบุรุษร่างกำยำในหน้ากากกระทิงอยู่ในป่า…เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าหวังเป่าเล่อจากไปแล้วก็ทรงตัวขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล แต่โทสะที่ก่อตัวขึ้นในใจเพราะอาการบาดเจ็บสาหัสบวกกับการสูญเสียวัตถุเวทไปทั้งหมดทำให้เขารู้สึกไร้เรี่ยวแรง เขานั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นระยะหนึ่งก่อนที่ความเจ็บแค้นจะมาปรากฏขึ้นในแววตา ในที่สุด บุรุษในหน้ากากกระทิงก็ยกมือขวาขึ้นทุบดินข้างกายก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมา แต่ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร เสียงแผ่วๆ ของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้นด้านหลัง
“จากที่เจ้าได้แสดงความเคารพต่อท่านบิดาตามอย่างบุตรที่ดีควรจะเป็น โดยการให้สิ่งของกับข้ามากมาย ข้าจะพูดก่อนที่เจ้าจะมีโอกาสได้ด่าข้าอีก”
สีหน้าของบุรุษร่างกำยำเปลี่ยนไปทันที เขารีบหันศีรษะกลับมาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าอย่างฉับพลัน ชายหนุ่มจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างวิตกกังวลและหวาดกลัว เพราะอีกฝ่ายกลับมาด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ หวังเป่าเล่อขณะนี้แปลงร่างเป็นนกเกาะอยู่บนกิ่งไม้
“ศิษย์พี่ โปรดฟังข้าอธิบายก่อน…” บุรุษร่างกำยำในหน้ากากกระทิงทำท่าเหมือนจะร้องไห้ พยายามแก้ไขสถานการณ์ แต่หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในร่างนก ก็กลอกตไปมาก่อนจะพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายหรอก ข้ากลับมาเตือนเจ้าว่า ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะของตระกูลไม่รู้สิ้น…น่าจะใกล้มาถึงแล้ว ตาเฒ่าคนนั้นชอบทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าในระยะสามสิบกิโลเมตร หรืออาจจะสามร้อยกิโลเมตร ทันทีที่เขามาถึง ดังนั้นระวังตัวด้วยเล่า”
เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็จ้องบุรุษในหน้ากากกระทิงด้วยสายตาล้ำลึกเปี่ยมความหมาย ก่อนจะบินจากไปไกล
เมื่อเห็นอีกฝ่ายบินจากไป บุรุษร่างกำยำก็ไม่มีอารมณ์จะมานั่งวิเคราะห์ว่าเขาไปจริงๆ แล้วหรือไม่ ในใจชายหนุ่มตอนนี้มีเพียงคำเตือนสุดท้ายของหวังเป่าเล่อเท่านั้น ยิ่งคิดมากเท่าใด เขาก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่ากัน จนในที่สุด บุรุษในหน้ากากกระทิงก็กัดฟันร่ายคาถาปริศนาออกมา อาการบาดเจ็บบนร่างกายหายไปในชั่วเวลาไม่กี่ลมหายใจ
ทันทีที่หาย บุรุษร่างกำยำก็ผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่รอช้า ใบหน้าของเขาแดงก่ำเพราะต้องออกแรงเต็มที่เท่าที่สามารถออกได้ในเวลานั้น เขาออกวิ่งไปจนพ้นบริเวณนั้นแล้วจึงเคลื่อนย้ายตำแหน่งหนีไปทันที อันที่จริง เขายังกังวลใจอยู่ และแม้จะปรากฏตัวอีกครั้งในจุดที่ห่างไป เขาก็ยังวิ่งแล้วใช้วิชาเคลื่อนย้ายสลับกันอยู่ไปมาเช่นนี้หลายครั้ง และเมื่อออกมาไกลได้ราวสามร้อยกิโลเมตร บุรุษในหน้ากากกระทิงก็ได้ยินเสียงครั่นครืนทุ้มต่ำอยู่เบื้องหลัง รู้สึกราวกับว่าแผ่นดินกำลังสั่นคลอน วินาทีนั้นลมหายใจของเขาก็กระชั้นขาดช่วง ก่อนที่จะเริ่มหนีอีกครั้ง
พื้นที่เบื้องหลังชายหนุ่มที่เคยเป็นป่าทึบบัดนี้กลายมาเป็นหลุมขนาดใหญ่ ทุกสิ่งในรัศมีร่วมๆ ห้าสิบกิโลเมตรจากป่าถูกผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทำลายจนสิ้น ราวกับว่าเป็นการระบายความขึ้งโกรธของอีกฝ่ายกระนั้น
แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้เห็นทุกสิ่งด้วยตาตนเอง ชายหนุ่มก็สามารถเดาได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ขณะนั้น เขาอยู่ห่างออกมาจากบริเวณนั้นมาก และค้นพบถ้ำแห่งหนึ่ง จึงแทรกตัวเข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในก่อนจะเริ่มสำรวจสิ่งของที่ชิงมาได้ แค่ปริมาณสิ่งของจากบุรุษในหน้ากากกระทิงก็ทำให้หวังเป่าเล่อลิงโลดใจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนกล่องหยกที่ถูกผนึกเอาไว้นั้น เพราะระดับปราณของบุรุษในหน้ากากกระทิงไม่ถึงขั้น จึงไม่สามารถเปิดได้ แต่หวังเป่าเล่อมีเรือบินรบเวท แม้ว่าเรือบินรบเวทของเขาจะเสียหายอย่างหนัก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังมีต้นไผ่ศิลาอยู่อยู่ แถมขณะกำลังหนีเขาก็ได้ป้อนต้นไผ่ศิลาให้เรือบินรบไปจำนวนไม่น้อย ขณะนี้ แม้ว่าเรือบินรบจะยังไม่กลับมาสมบูรณ์ แต่ก็ไม่มีจุดที่เสียหายหนักหลงเหลืออยู่แล้ว
ดังนั้นด้วยพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นของเรือบินรบเวท หวังเป่าเล่อจึงเปิดกล่องได้สำเร็จ ชายหนุ่มมองไปด้านในและเห็น…กริชสีดำสี่เล่ม!
กริชทั้งสี่ดูธรรมดานัก แม้ว่าจะมีแสงสีฟ้าอ่อนสะท้อนออกมาจากใบมีดราวกับว่ามีพิษร้ายอาบเคลือบเอาไว้ แต่คนทั่วไปก็คงไม่คิดใส่ใจอะไรนักหากได้เห็น
แม้แต่ตอนที่หวังเป่าเล่อหยิบกริชขึ้นมาถือ มันก็ให้สัมผัสราวกับเป็นของเด็กเล่น ชายหนุ่มเกือบจะใช้นิ้วทดสอบความคมของมันแล้ว แต่ก่อนที่นิ้วจะสัมผัสโดนใบมีด สีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปเสียก่อน หลังจากควบคุมกริยาของตนเองได้ หวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ ตั้งสติก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าของชายหนุ่มจริงจังขึ้นมาในบัดดล
กริชเล่มนี้ประหลาดนัก!
สีดำก็ล่อตาล่อใจอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น กล่องหยกที่อยู่ด้านนอกก็ต้องใช้ปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะในการเปิด แถมพิษบนใบมีดนั้น…ทุกสิ่งบ่งชี้ว่ากริชทั้งสี่นั้นทั้งพิเศษและอันตรายยิ่ง เหตุใดข้าจึงเมินเฉยมันไปได้…
นี่มันยิ่งกว่าการเมินเฉยด้วยซ้ำ…ตัวตนของกริชที่สัมผัสได้นั้นแผ่วบางลงไปมาก ทำให้กระทบกับการตัดสินใจของข้าไปด้วย จิตใต้สำนึกของข้าจึงเมินเฉยมันเสีย หรือต่อให้ข้าสังเกตเห็นมัน สัญชาติญาณของข้าก็คงบอกว่ามันไม่ใช่สิ่งอันตรายแต่อย่างใด! หลังจากที่หวังเป่าเล่อวิเคราะห์เสร็จ ลมหายใจของเขาก็เริ่มถี่เร็ว ขณะที่ชายหนุ่มพยายามกดข่มอารมณ์ในใจที่จะเมินเฉยกริช เขาก็ยกกริชขึ้นก่อนจะฟันใส่กำแพงข้างกายเบาๆ
เพียงสัมผัสเบาๆ ครั้งเดียว กำแพงหินก็ฉีกออกจากกันราวกับเป็นเต้าหู้อ่อน หากเพียงเท่านั้นก็คงไม่กระไรนัก แต่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึกก็คือ รอยแยกบนกำแพงนั้นเริ่มเน่าและมีรูเล็กๆ ปรากฏขึ้นเพราะฤทธิ์ของการกัดกร่อน!
หวังเป่าเล่อขนลุกขนชันไปหมด แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ค้นคว้าเรื่องยาพิษมาอย่างลึกซึ้ง แต่เขาก็รู้มาบ้างเล็กน้อย เขาเข้าใจดีว่าพิษที่สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตได้นั้นไม่เท่าไรนัก แต่พิษที่สามารถทำลายกระทั่งสิ่งไม่มีชีวิตได้นั้นต้องเป็นพิษที่ทรงพลังยิ่ง
ดังนั้นสิ่งนี้ไม่ควรถูกเรียกว่าพิษได้ด้วยซ้ำ แต่เป็นของเหลวที่มีพลังจักรวาล ซึ่งสามารถเปลี่ยนรูปร่างและแก่นแท้ของวัตถุได้ เป็นพลังยิ่งใหญ่ที่สามารถทะลวงการป้องกันได้ทุกประเภท
หวังเป่าเล่อตัวสั่น และหลังจากที่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ชายหนุ่มก็สัมผัสได้รางๆ ว่ากริชทั้งสี่เล่มนี้…ไม่เพียงเป็นอาวุธลอบสังหารที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่พลังของมันยังสามารถต่อกรกับพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะได้อีกด้วย มิเช่นนั้น พวกมันคงไม่ถูกผนึกอยู่ในกล่องที่ต้องใช้พลังขั้นจิตวิญญาณอมตะในการเปิดเท่านั้นเป็นแน่
หวังเป่าเล่อค่อยๆ วางกริชกลับลงไปในกล่องหยก หลังจากปิดกล่องแล้ว เขาก็เก็บกล่องเข้าไปในกำไลคลังเวทอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็นั่งตาเป็นประกายอยู่กับที่
เหลือเวลาไม่มากแล้วก่อนภารกิจจะจบลง…ข้าจะมาจมจ่อมอยู่เช่นนี้ต่อไปไม่ได้! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง มีประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ภายใน จิตสังหารเริ่มเข้มข้นขึ้นในใจของเขา
ข้าจะยอมให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเพียงคนเดียวทำแผนข้าพังไม่ได้ ตระกูลไม่รู้สิ้นยังสมควรตายอยู่…ข้าเพียงแต่ต้องคิดหาวิธีเข้าสังหารและวิธีหนีเมื่อถูกพบตัว ความจริงแล้ว…ข้ายังต้องคิดหาวิธีโต้กลับด้วย!
แม้ว่าจะแทบไม่มีโอกาสให้ข้าได้โต้กลับก็ตาม…หวังเป่าเล่อสัมผัสหน้ากากของตน แล้วจู่ๆ ก็มีสีหน้ามุ่งมั่นขึ้นมา หลังจากที่สังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของตระกูลไม่รู้สิ้นไปสามคน ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในมนต์สะกดของวิชาดวงเนตรปีศาจ พลังปราณของเขาขึ้นถึงจุดที่ตื่นตัวสูงสุด และตัวเขาเองก็ใกล้บรรลุขั้นเต็มแก่
จากการคำนวนของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกว่าหากสังหารคนได้มากพอ เขาจะสามารถบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ได้ที่นี่ ชายหนุ่มกัดฟันแน่น เปิดกำไลคลังเวท และเริ่มจัดแจงวัตถุเวทที่อยู่ภายใน
ของที่เขามีอยู่เยอะที่สุดในกำไลคลังเวทคือเรือบินรบระเบิดตัวเอง เรือบินรบเหล่านั้นส่งผลใหญ่หลวงในการต่อสู้กลางอวกาศ แต่หากเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตน พวกมันก็ไม่เหมาะเพราะเทอะทะเกินไป
ดังนั้นสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องทำคือแยกชิ้นส่วนราวร้อยละสามสิบของเรือบินรบทั้งหมด หยิบส่วนประกอบหลักออกมา จากนั้นก็หลอมวัตถุเวทที่คล้ายประคำระเบิดขึ้นมา และเพราะเรือบินรบทั้งหมดนั้นหวังเป่าเล่อเป็นคนหลอมเอง อีกทั้งเขายังมีหุ่นเชิดอยู่มากพอ การหลอมประคำจึงใช้เวลาไม่นานนัก หวังเป่าเล่อเสียเวลาไปพักหนึ่งเพื่อหลอมประคำระเบิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
น่าเสียดายที่ข้าหลอมวงแหวนปราณไม่เป็น! หวังเป่าเล่อคิดขณะเก็บประคำระเบิดทั้งหมดและคำนวณเวลาที่เหลือก่อนภารกิจจะจบ ชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจออกมา เขารู้สึกว่าคนเราจะรู้ตัวว่าตนเองไม่มีความรู้ก็ในเวลาที่ต้องใช้ความรู้นั้น หวังเป่าเล่อคิดกับตนเองว่าต้องเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้ต่อไปในอนาคต ชายหนุ่มไม่ได้ต้องการจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็อยากเรียนรู้วิธีหลอมวงแหวนปราณที่แข็งแกร่ง
เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มวางแผน แผนของเขานั้นง่ายดายมาก นั่นคือล่อผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะออกไป จากนั้นก็หาช่องทางลักลอบเข้าไปในค่ายทหารอีกครั้งเพื่อเริ่มการสังหาร
เพราะอย่างไรเสียสมาชิกในตระกูลไม่รู้สิ้นก็ไม่ได้ถูกเรียกตัวออกมาหมด ยังมีสำรองอยู่ภายในค่ายอีกจำนวนหนึ่ง เรื่องนี้หวังเป่าเล่อเห็นมากับตาตนเอง ชายหนุ่มจึงมีเป้าหมายค่อนข้างชัดเจน สิ่งที่ยากเพียงอย่างเดียวก็คือ…การหาวิธีทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายหลงเชื่อและตามเขาไป
อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ! แววดุร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของชายหนุ่ม ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นจับแขนซ้าย ก่อนจะกระชากอย่างแรงจนหลุดคามือ!
แม้ว่าจะเป็นเพียงร่างอวตาร แต่ความเจ็บปวดนั้นเป็นของจริง ชายหนุ่มกัดฟันอดทนความเจ็บปวดรุนแรง เขาใช้แขนซ้ายเป็นแก่น ก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อสร้างร่างอวตารอีกร่างขึ้นมา!
ร่างอวตารใหม่นั้นแตกต่างจากร่างที่ใช้สัมผัสเทพสร้างขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็สมจริงมากๆ หวังเป่าเล่อเองก็ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น เพราะชายหนุ่มวางแผนใช้ร่างนี้เป็นร่างอวตารของตัวเอง
บทที่ 817 เหมาะกับการเป็นขโมย!
หวังเป่าเล่อคิดเอาไว้เช่นนั้น ความคิดและการกระทำของร่างอวตารร่างใหม่ถูกเขาควบคุมทั้งหมด ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มก็ควบคุมให้ร่างอวตารหลอมหน้ากากสุกรขึ้นมา และพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วด้วยการพลิกกายเพียงครั้งเดียว ในขณะเดียวกัน ร่างสารัตถะของเขาก็ออกเดินทางไปยังทิศทางของค่ายทหารพลางใช้ผนึกฝ่ามือสร้างแขนใหม่ให้ตนเอง
ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็แบ่งสมาธิไปควบคุมร่างอวตารที่สร้างขึ้นจากแขนด้วย เพื่อให้มันไปปรากฏตัวอยู่ที่โลกภายนอก และเพราะร่างอวตารนั้นแตกต่างจากร่างสัมผัสเทพของเขา มันจึงคงอยู่ได้ไม่นานนัก แต่ถึงกระนั้นความสามารถด้านการต่อสู้ของมันก็ยังแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นการต่อสู้และการหลบหนีจากตระกูลไม่รู้สิ้นจึงสมจริงตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ ร่างอวตารจึงถูกผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเล็งเป้า และเร่งฝีเท้าเต็มที่เพื่อมุ่งไปหามันทันที
พอผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะเข้ามาใกล้ ร่างสารัตถะที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อที่ถือใบไม้และผ้าคลุมอยู่ก็ใช้ความเร็วเต็มที่มุ่งหน้าไปยังค่ายทหารทันที
หวังเป่าเล่อเข้าใจแจ่มแจ้งว่าร่างอวตารที่หลอมขึ้นจากแขนซ้ายของเขานั้นสามารถทิ้งได้ และเมื่อมันปล่อยพลังเต็มพิกัดออกมาแล้ว ก็จะอยู่ต่อไปได้ราวสองถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น
แต่สองถึงสี่ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว เพราะอย่างไรเสีย ภารกิจนี้ก็เหลือเวลาอยู่อีกไม่ถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงต้องใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีค่า
ดังนั้นทันทีที่เข้ามาใกล้ค่ายทหาร หวังเป่าเล่อก็ไม่รอช้า รีบพุ่งตัวเข้าไปก่อนจะแปลงกายเป็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทันที สำหรับคนที่เขาจะแปลงกายตามนั้น ชายหนุ่มเลือกมาอย่างดีหลังจากที่คิดอย่างหนัก
หวังเป่าเล่อไม่ได้แปลงกายเป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นทั่วๆ ไป ชายหนุ่มไม่ได้แปลงเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่พบก่อนหน้าเช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย ไม่ว่าเขาจะแปลงกายเป็นใคร ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นส่วนมากก็กำลังไล่ล่าอยู่ด้านนอก ดังนั้นใครก็ตามที่กลับมาก็ดูน่าสงสัยทั้งสิ้น อีกทั้งหวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าความสามารถในการแปลงกายของเขาถูกตระกูลไม่รู้สิ้นค้นพบเสียแล้ว
ดังนั้น…ชายหนุ่มจึงสามารถเลือกที่จะไม่แปลงกายและพุ่งตัวเข้าไปทั้งอย่างนี้ ซึ่งวิธีนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ยิ่งไปกว่านั้น หากผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้ถูกพบตัวเร็วขึ้นก็เป็นได้ อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ…แปลงกายและซื้อเวลาให้ตัวเองอีกสักหน่อยเพื่อเพิ่มโอกาสในการฉกชิงสิ่งของให้ได้มากที่สุด
หวังเป่าเล่อเลือกอย่างหลัง และคนที่เขาเลือกจะแปลงร่างก็คือ…ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย!
แม้การทำเช่นนี้จะเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากใครสักคนส่งข้อความไปถึงผู้อาวุโส พวกเขาก็จะรู้ความจริงในทันที แต่การซ่อนตัวในที่แจ้งนั้นย่อมแนบเนียนที่สุด ในแง่หนึ่ง การที่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจะกลับมาที่ค่ายก็ฟังดูสมเหตุสมผล และไม่มีใครกล้าถามแน่นอนว่ากลับมาทำไม ในอีกแง่หนึ่ง…มีผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นไม่มากนักที่สามารถติดต่อกับผู้อาวุโสเพื่อยืนยันตำแหน่งที่อยู่ของเขาผ่านข้อความเสียงได้
แม้ว่าพวกเขาอาจจะตรวจสอบกับสหายผู้ฝึกตนรอบกายแทนการส่งข้อความเสียงโดยตรงไปยังผู้อาวุโส แต่ก็มีผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นไม่มากนักที่สามารถยืนยันได้ เพราะตระกูลไม่รู้สิ้นมีระบบอาวุโสที่เข้มงวด ความรู้สึกสงสัยจึงแทบไม่เคยปรากฏขึ้นในจิตใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นชั้นผู้น้อยเลย
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่แน่นอน และการกระทำของหวังเป่าเล่อก็ยังไม่แน่นอน หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว หวังเป่าเล่อจึงแปลงกายเป็นผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น สีหน้าของเขาบิดเบี้ยว มีจิตสังหารแพร่กระจายออกมาจากกายอยู่จางๆ ชายหนุ่มทำหน้าดุร้ายพลางเหาะไปยังค่ายทหาร
แม้ค่ายทหารจะปกคลุมไปด้วยวงแหวนปราณ แต่หวังเป่าเล่อก็ทดสอบความแข็งแกร่งของกระบวนท่าสารัตถะมาหลายต่อหลายครั้ง เมื่อใดก็ตามที่แปลงกายเป็นใครสักคน ก็ดูเหมือนว่าจะปลอมรัศมีของคนๆ นั้นได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นหากวงแหวนปราณของค่ายยังไม่ถึงระดับดารานิรันดร์ วงแหวนปราณที่อาศัยการจับรัศมีของคนก็จะไม่มีผลกับเขาเลย
หวังเป่าเล่อเร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปยังค่ายทหารด้วยสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัว ทันทีที่ชายหนุ่มเข้าไปยังค่ายทหาร สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นหลายคนก็ผุดลุกขึ้นทำความเคารพ ทุกคนต่างสำรวมเป็นอย่างยิ่ง บ้างก็อยากจะพูด แต่หลังจากที่เห็นท่าทางเคร่งเครียดของหวังเป่าเล่อแล้ว ทุกคนต่างก็สูดลมหายใจและไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร
“ไอ้พวกขยะ!” หวังเป่าเล่อเลียนเสียงผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะและใช้ภาษาของตระกูลไม่รู้สิ้นในการสบถ ชายหนุ่มส่งเสียงฮึดฮัดและไม่สนใจผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ยืนรายล้อมอยู่ ก่อนจะเหาะไปยังตำหนักภายในค่ายทหารทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนต่างก็หลุบศีรษะลงต่ำ และเงยหน้าขึ้นเมื่อหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว ความวิตกกังวลในใจยิ่งหนักหน่วงเมื่อเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อเมื่อครู่
ขณะเดียวกัน เมื่อเข้าไปยังค่ายทหาร หวังเป่าเล่อก็แผ่สัมผัสเทพออกมา ชายหนุ่มกวาดดูเพียงครั้งเดียว ก็พบว่ามีผู้ฝึกตนเหลืออยู่ในค่ายเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่มีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณหลงเหลืออยู่สักคน ระดับปราณสูงสุดอยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์เท่านั้น
เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าตนเองลงทุนลงแรงไปมากแต่กลับได้รางวัลไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เพราะหวังเป่าเล่อขณะนี้ใกล้จะบรรลุขั้นปราณเต็มแก่ แม้การสังหารผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจะสามารถใช้เป็นอาหารให้วิชาดวงเนตรปีศาจได้เช่นกัน แต่ปริมาณของมันก็ยังน้อยมากเว้นเสียแต่ว่าเขาจะสังหารผู้ฝึกตนจำนวนมาก และต่อให้สังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดในค่ายก็อาจไม่ได้ผลมากมายนัก
เจ้าเฒ่านั่นให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว เขาส่งผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งหมดไปตามหาข้า…หวังเป่าเล่อปวดศีรษะเมื่อคิดว่าเขาต้องลงทุนไปมากมายเพียงใด เรื่องนี้ทำให้อารมณ์ของชายหนุ่มย่ำแย่เท่าเทียมกับสีหน้าที่เขาแสร้งทำเมื่อครู่ แต่ชายหนุ่มก็ยังทำตามแผนต่อไปอย่างระแวดระวัง เขาหักนิ้วออกมาห้านิ้วแล้วหลอมร่างอวตารขึ้นมาห้าร่าง ก่อนจะให้กริชสี่เล่มกับร่างสี่ร่างเพื่อไปสังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นและขโมยรูปลักษณ์มา จากนั้นก็ให้แต่ละคนถือประคำระเบิดเอาไว้คนละกำ เพื่อไปวางไว้ในค่ายทหารโดยรอบ
ส่วนร่างสารัตถะของหวังเป่าเล่อก็ยังครุ่นคิดต่อไปด้วยความรู้สึกที่ขุ่นมัว สุดท้ายแล้ว ชายหนุ่มก็เข้าไปในคลังอาวุธของค่ายทหาร สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์สูงและมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์เฝ้ายามอยู่สองคน คลังอาวุธนี้มีวงแหวนปราณครอบอยู่ด้วย พวกเขาจึงไม่มีความวิตกกังวลว่าจะถูกปล้น แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว แนวป้องกันเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
ชายหนุ่มเดินอาดๆ ไปยังคลังอาวุธด้วยรูปลักษณ์ของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ จึงไม่มีใครกล้าขวางทาง ในไม่ช้า ชายหนุ่มก็เข้าไปในคลังอาวุธด้วยพลังอันน่าทึ่งของร่างสารัตถะและมองเห็นวัตถุดิบจำนวนมากจนแทบไม่สิ้นสุดอยู่ภายใน!
เมื่อหวังเป่าเล่อมองเห็นวัตถุดิบเหล่านั้น ชายหนุ่มก็สูดลมหายใจลึก ก่อนจะทำตาเบิกโพลง หัวใจสั่นไหว
อันที่จริงแล้ว…หลังจากปรายตามอง หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจคาดคะเนปริมาณของทรัพยากรในคลังอาวุธและมูลค่าของพวกมันได้ นัยน์ตาของชายหนุ่มแดงก่ำ และเริ่มขโมยของทันที แม้กำไลคลังเวทและกระเป๋าคลังเก็บจะเต็มจนล้นปรี่ก็ไม่สำคัญ เพราะในคลังอาวุธมีวัตถุเวทคลังเก็บอื่นๆ ให้ใช้ ดังนั้นภายในสิบห้านาที หวังเป่าเล่อก็มีวัตถุเวทคลังเก็บนับร้อยชิ้นอยู่ในตัว ชายหนุ่มขโมยของหมดคลังอาวุธในพริบตา
ข้าคงเหมาะกับการเป็นขโมยจริงๆ…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ก่อนจะกวาดตามองคลังอาวุธที่ว่างเปล่า ในวินาทีนั้น ชายหนุ่มก็ไม่รู้สึกอยากสังหารคนอีกต่อไป เขาหันหลังกลับและกำลังจะเดินออกจากคลังอาวุธรวมถึงค่ายทหารไป
แต่ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะเดินออกจากคลังอาวุธนั่นเอง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป หนึ่งในร่างอวตารส่งข้อมูลกลับมา ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะตัวจริงกลับมาแล้ว!
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะที่พุ่งตัวออกจากคลังอาวุธอย่างรวดเร็ว ตอนนั้น มีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเพียงคนเดียวยืนอยู่หน้าคลังอาวุธ หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าอีกคนหนึ่งหายไปไหนและไม่มีเวลาตามหาความจริง นัยน์ตาของชายหนุ่มทอประกาย เขาแปลงกายเป็นหมอก สังหารผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัว
สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นผู้นั้นละลายหายไป เมื่อหมอกควบกายมาเป็นหวังเป่าเล่ออีกครั้ง เขาก็แปลงร่างมาเป็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่เพิ่งถูกกลืนเข้าไป ทันทีที่ชายหนุ่มเหาะออกจากค่าย สายรุ้งทอดยาวก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและพุ่งลงมายังค่าย พร้อมรัศมีรุนแรงที่สั่นคลอนจนถึงสวรรค์!
ผู้ที่มาถึงก็คือผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะของตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง สีหน้าเขาเคร่งเครียดยิ่งกว่าหวังเป่าเล่อเสียอีก และดูเหมือนว่าโทสะของเขาจะพุ่งสูงถึงขีดสุด จนหากสัมผัสเข้าเพียงนิดเดียว เขคงจะระเบิดออกมาและสังหารทุกคนในทันใด
กระแสพลังรบกวนในพลังปราณของผู้อาวุโสก็ดูเหมือนจะไม่คงที่ แม้ว่ามันจะถูกกดเอาไว้อย่างรุนแรงก็ตาม เพราะหลังจากที่ชายชราไล่ล่าบุรุษในหน้ากากสุกรไป เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลและเมื่อสังหารมันได้ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองตกหลุมพรางเสียแล้ว ขณะที่เร่งฝีเท้ากลับมาอย่างโกรธเกรี้ยว ก็ถูกผู้มาจุติขั้นจิตวิญญาณอมตะสี่คนลอบโจมตี ชายชราสังหารไปสองคนในขณะที่อีกสองคนหนีรอดไปได้ ส่วนตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
อาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสไม่ได้รุนแรงอย่างที่เห็น เขายังควานหาบุรุษในหน้ากากสุกรต่อไปแต่ก็ไร้ผล จึงมุ่งหน้ากลับมายังค่ายทหารทันที
ชายชรารู้สึกได้ว่าไอ้หน้ากากสุกรผู้นี้อาจวางแผนล่อให้เขาออกไปเพื่อจะมาซ่อนตัวในค่ายทหารก็เป็นได้ แม้ว่าจะไม่ได้พบสิ่งแปลกปลอมหลังจากการใช้สัมผัสเทพกวาดดูทั่วค่าย แต่เพราะความสามารถด้านการแปลงกายของหวังเป่าเล่อ ชายชราจึงรู้ได้เองโดยสัญชาติญาณว่าอาจถูกหลอก
อันที่จริง ระหว่างทางกลับค่าย ชายชราก็ได้วิเคราะห์เอาไว้แล้ว หากชายหนุ่มในหน้ากากสุกรซ่อนอยู่ในค่ายจริง ก็ต้องอยากลอบสังหารเขามากกว่าที่จะฆ่าตรงๆ ดังนั้น…ชายชราจึงจงใจเปิดเผยอาการบาดเจ็บให้เห็น เพราะจากการคาดคะเนของเขาแล้ว หากเขากลับมาที่ค่ายด้วยสภาพบาดเจ็บ ใครก็ตามที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่!
บทที่ 818 ลอบโจมตี!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นก็เร่งความเร็วขึ้นจนกระทั่งมาถึงค่ายทหาร การกลับมาของเขาสร้างความมึนงง สับสน และวิตกไปทั่วกองทหารตระกูลไม่รู้สิ้น บรรดาผู้ฝึกตนต่างก็สับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น…ผู้บัญชาการคนก่อนเพิ่งจะกลับมา แล้วตอนนี้ก็ดันมีอีกคนมาปรากฏตัว
พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนเป็นตัวจริงกันแน่ คงไม่เป็นไรหากคนก่อนหน้านี้เป็นตัวจริง แต่หากคนนี้เป็นตัวจริงแล้วละก็ พวกเขาย่อมตกที่นั่งลำบากแน่นอน!
ความคิดเดียวกันนี้ปรากฏขึ้นในใจของทุกคน ทำให้พวกเขาต่างก็ทั้งกลุ้มใจทั้งกังวล ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนเหล่านี้ทันที จึงรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาด
“หรือว่า…” ชายชราหายใจเร็วแรง ก่อนจะใช้สัมผัสเทพและเปิดพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายออกมาเต็มที่ พลังวิญญาณไหลบ่าออกท่วมค่ายราวกับเป็นพายุคลั่งขณะที่เจ้าตัวส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราด
“เจ้าหน้ากากสุกรปลอมตัวเป็นข้าแล้วเข้ามาในค่ายใช่หรือไม่” การปล่อยพลังปราณออกมาอย่างปุบปับและน้ำเสียงที่ใช้ถามคำถามทำให้ทุกคนหมดความสงสัยในใจ พวกเขานึกขึ้นได้ว่าผู้บัญชาการคนก่อนไม่ได้แสดงท่าทีเช่นนี้แต่อย่างใด ความคิดนั้นทำเอาทุกคนสั่นไปทั้งสรรพางค์กาย
คลื่นพลังกระเพื่อมกระจายออกไปท่ามกลางฝูงชน ในหมู่คนเหล่านั้นมีร่างอวตารของหวังเป่าเล่อรวมอยู่ด้วย พวกมันต่างทำสีหน้าตื่นกลัวและไม่อยากจะเชื่อสายตา ส่วนร่างอวตารหลักที่สร้างขึ้นมาโดยใช้กระบวนท่าสารัตถะก็ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนด้วยเช่นกัน เขายืนอยู่ใกล้ชายชราขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนและชั่งใจ ดูราวกับว่ามีเรื่องอยากจะพูดกับผู้อาวุโสกระนั้น ร่างอวตารยกเท้าขวาขึ้น ตั้งใจจะเดินเข้าไปทำความเคารพผู้อาวุโส
แต่ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้ขยับตัว ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็เหมือนจะนึกบางสิ่งขึ้นมาได้หลังจากที่ได้สัมผัสการระเบิดพลังของผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายและได้ยินสิ่งที่ชายชราถาม สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น ก่อนจะส่งเสียงตะโกนออกมาแล้วรีบพุ่งเข้าไปหาผู้อาวุโสทันที เขาส่งเสียงร้องพลางเดินไปหาผู้อาวุโสด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผู้บัญชาการขอรับ เมื่อครู่นี้มีใครบางคนปลอมตัวเป็นท่านแล้วเข้าไปในคลังอาวุธ เขา…” ผู้อาวุโสหันขวับมาทันทีก่อนที่ผู้ฝึกตนคนนั้นจะพูดจบ มีประกายแห่งจิตสังหารสะท้อนอยู่ในแววตา ชายชรายกมือขวาขึ้นโจมตีอย่างรวดเร็วราวกับเป็นสายฟ้าฟาด!
พลังการโจมตีนั้นมากล้นจนเหลือเชื่อ การปล่อยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายออกมาอย่างฉับพลันทำให้ทั้งสวรรค์และพื้นพิภพต้องสั่นคลอน สายลมปั่นป่วน เมฆม้วนกลับ พลังที่สามารถทลายภูเขาได้ไหลบ่ามารวมกันเป็นรอยฝ่ามือที่ประทับลงไปบนอกของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นขั้นจุติวิญญาณคนนั้น
การโจมตีนั้นรวดเร็วและรุนแรงจนเหลือเชื่อ หวังเป่าเล่อเองก็ยังต้องดิ้นรนเพื่อหลบหลีก ส่วนผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนนั้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้ พวกเขายืนอยู่ใกล้กันมากเมื่อผู้อาวุโสโจมตีอย่างรวดเร็วและไร้เมตตา
เสียงกัมปนาทดังก้องสะท้อนไปในอากาศ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์ไม่ทันได้กรีดร้องด้วยซ้ำตอนที่ร่างกายของเขาแหลกสลาย เลือดเนื้อกลายเป็นฝุ่นไปสิ้น ทั้งร่างกายและวิญญาณถูกทำลายจนสิ้นซาก!
ขนาดเลือดยังสลายกลายเป็นฝุ่นไปเพราะความรุนแรงของการโจมตี!
ภาพนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคนที่รายล้อมอยู่ พวกเขารีบถอยห่างจากผู้อาวุโสทันที หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างก่อนจะส่งเสียงออกมา โชคยังดีที่เขาไม่ได้ไปถึงตัวผู้อาวุโสก่อน ร่างอวตารอื่นๆ เองก็ไม่ได้เข้าใกล้ผู้อาวุโสเช่นกัน แม้ว่าชายหนุ่มอาจจะรอดชีวิตจากการโจมตีของผู้อาวุโส แต่ก็คงบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่
เขาช่างไร้เมตตา ไม่สนใจเลยว่าจะเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ ไม่ว่าเป็นใครก็ถูกฆ่าได้เหมือนกันหมด! หวังเป่าเล่อตะลึง ชายชราขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายมีสีหน้าเคร่งขรึม เพราะเพิ่งจะรู้ตัวว่าผู้ฝึกตนที่สังหารไปนั้นไม่ใช่ร่างอวตารของหน้ากากสุกรหรือตัวหน้ากากสุกรแต่อย่างใด แต่เป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นคนหนึ่ง
ความขุ่นเคืองและรำคาญใจภายในเริ่มเพิ่มขึ้น โทสะก็พุ่งพล่าน แต่ตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ชายหนุ่มส่งร่างอวตารร่างหนึ่งมุ่งตรงไปหาผู้อาวุโสทันที ร่างอวตารวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเศร้าโศก ก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่าแล้วร้องห่มร้องไห้
“ผู้บัญชาการ โปรดใจเย็นๆ เถิดขอรับ สิ่งนี้ไม่ใช่ความเลินเล่อหรืออ่อนแอของพวกเราแม้แต่น้อย แต่เพราะไอ้หน้ากากสุกรบัดซบนั่นมันปลอมตัวเป็นท่านแล้วก็…เข้าไปขโมยของหมดคลังอาวุธเลยขอรับ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” นัยน์ตาของผู้อาวุโสเบิกโพลง ก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาทางร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ ดวงตาทั้งสองแทบจะถลนออกจากเบ้า เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินนั้นมีผลกับเขาอย่างยิ่ง
แค่คิดว่าพวกเขาถูกปล้นทรัพยากรทางการทหารไปจนเกลี้ยงก็ส่งเอาความเจ็บปวดเสียดแทงเข้าไปทั้งจิตใจ ชายชราส่งเสียงคำรามก่อนจะส่งสัมผัสเทพออกไปอีกครั้ง คราวนี้มุ่งหน้าไปยังคลังอาวุธ เขาจะต้องดูให้รู้แน่แก่ใจด้วยตนเอง
ตอนนั้นเอง ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้น กริชสีดำปรากฏอยู่ในมือ หากไม่ใช่เพราะทุกคนมองเห็นเหตุการณ์นั้นเต็มสองตา ก็คงไม่มีใครเชื่อ ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อปักกริชลงไปบนต้นขาของผู้อาวุโสอย่างจัง!
กริชประหลาดระเบิดตัวเอง แรงระเบิดทำให้การป้องกันรอบกายของผู้อาวุโสแตกสลาย ก่อนที่กริชจะปักลงไปบนกายเนื้อของเขา พิษไหลบ่าเข้าสู่กายของชายชราจากปากแผล ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสียจนไม่มีใครเตรียมการณ์รับมือได้ทัน นัยน์ตาของผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงและโกรธจัด โทสะทะลักล้นออกมาจากกายขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วส่งเสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยว เขาปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่ เรียกพายุหมุนมาล้อมร่างอวตารของหวังเป่าเล่อเอาไว้
การโจมตีดังกล่าวขยี้ร่างอวตารของชายหนุ่มเป็นผุยผง แล้วยังก่อความโกลาหลขึ้นในหมู่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบกายผู้อาวุโส ร่างอวตารหลักของหวังเป่าเล่อที่สร้างขึ้นจากกระบวนท่าสารัตถะยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น ผู้อาวุโสยังคงคำรามต่อไป พายุหมุนจากพลังปราณของเขายังกวาดโถงอยู่ไปมา ขณะที่ทุกคนกำลังโวยวายจนแทบเสียสติ จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นติดต่อกัน
แผ่นดินราวกับจะสั่นคลอน ค่ายทั้งค่ายก็สั่นไหว เสียงระเบิดดังขึ้นมาจากหลายต่อหลายจุด สัมผัสถึงความรุนแรงได้จากทั่วทั้งค่าย คลื่นพลังวิญญาณเข้าปะทะกันและไหลรวมกันกลายเป็นคลื่นพลังที่รุนแรงขึ้นจนสั่นสะเทือนถึงสวรรค์และผืนปฐพี ครอบวงกลมกองทัพสี่อันแตกเป็นเสี่ยงร่วงลงมาจากท้องฟ้า ก่อนจะกระทบพื้นแล้วสลายเป็นฝุ่นไป!
ค่ายทหารตกอยู่ในความโกลาหลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนหนึ่งรีบรุดเข้าไปหาผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในขณะที่ชายชรายังคงงุนงงจากความรุนแรงของแรงระเบิดรอบกายและความเสียหายของครอบวงกลมหลายต่อหลายอัน ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนนั้นชักกริชออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายทันที
“ลอบโจมตีอีกครั้งหรือ” ผู้อาวุโสหันขวับมาทันที ดวงตาฉาบเคลือบไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า ขณะที่เอื้อมมือขวาออกมาจับผู้โจมตีเอาไว้ ทันใดนั้น ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนก็โผล่มาจากด้านหลัง พุ่งเข้ามาพร้อมกริชสีดำอีกเล่มหนึ่ง!
ไม่เพียงเท่านั้น ไกลออกไปอีกหน่อย มีผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนจู่ๆ ก็คลุ้มคลั่ง แทนที่จะพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสเพื่อลอบสังหาร แต่กลับหันไปอีกด้านหนึ่งแล้วเริ่มออกวิ่ง เขาพยายามหลบหนีท่ามกลางความวุ่นวายในค่าย
เหตุการณ์ชวนตื่นตะลึงทั้งหมดทำเอาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นแตกตื่นกันไปหมด ทุกคนต่างนิ่งงันมึนงง พวกเขาเพิ่งได้เห็นความพยายามลอบสังหารซ้ำไปซ้ำมา ตามด้วยความพยายามที่จะหลบหนี ทั้งหมดส่งเสียงร้องด้วยความโกรธขึ้งและเริ่มวิ่งไล่ตามผู้ฝึกตนที่วิ่งหนีไปโดยไม่ทันได้คิดอะไร
ผู้อาวุโสทำลายร่างอวตารที่พุ่งเข้ามา เช่นเดียวกับร่างที่สามที่พยายามโจมตีจากด้านหลัง ก่อนจะเงยหน้ามองแผ่นหลังของผู้ฝึกตนที่กำลังวิ่งหนีไป…ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นจำนวนมากวิ่งไล่ตามเขาไป ทันใดนั้น ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนหนึ่งจากฝูงชนก็ชักกริชสีดำออกมาแทงผู้อาวุโส!
แม้จะระมัดระวังตัวมากเพียงใดก็ตาม แต่ผู้อาวุโสก็ไม่ทันตั้งตัวรับการลอบโจมตีนั้น กริชปักไปบนแขนของเขา ผู้อาวุโสเงยหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วส่งเสียงคำรามอย่างน่าสะพรึงกลัวขณะที่พิษหลั่งไหลเข้าไปในกาย
“ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทุกคน!” เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าจะสังหารพวกเดียวกันหรือไม่ พายุหมุนพวยพุ่งขึ้นรอบกายและสังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคนที่กล้าเข้ามาใกล้ ทุกสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในรัศมีสามร้อยกิโลเมตรมีเพียงเลือดและความตายเท่านั้น จากนั้นผู้อาวุโสก็ออกตัว วิ่งไล่ตามผู้ฝึกตนที่กำลังหลบหนีไป ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ ต่างก็ผงะด้วยความกลัวจากการทำลายล้างครั้งใหญ่ของผู้อาวุโส ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ชายชราแม้แต่คนเดียว
ร่างอวตารหลักของหวังเป่าเล่อยังคงซ่อนตัวอยู่ในหมู่ผู้ฝึกตนเหล่านั้น ร่างอวตารห้าร่างก่อนหน้านี้เป็นร่างย่อยที่สร้างขึ้นมาจากร่างอวตารหลัก ร่างอวตารหลักขณะนี้มีใบหน้าตื่นกลัว ตัวสั่นเทิ้มด้วยความตื่นตกใจไปพร้อมๆ เพื่อนร่วมตระกูลคนอื่นๆ แต่ภายในใจของหวังเป่าเล่อเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเหนือกว่า ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นอาจจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่ฉลาดนัก หวังเป่าเล่อแอบสร้างผนึกฝ่ามืออย่างลับๆ
ตอนนั้นเองประคำระเบิดตัวเองทั้งหมดที่เหลืออยู่ในค่าย…ก็ระเบิดขึ้นทันที แรงระเบิดสั่นคลอนทั้งท้องฟ้าและผืนดิน ครอบวงกลมกองทหารอีกสามอันสั่นคลอนก่อนจะร่วงลงกระแทกพื้น ดูคล้ายเป็นการพยายามหยุดยั้งผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายจากการไล่ล่า…
ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายยิ่งลุกลี้ลุกลนเมื่อมีอุปสรรคมาขวางหน้า เขายอมลดการป้องกันทุกอย่างลงเพื่อมุ่งหน้าไล่ล่าเต็มกำลัง สุดท้ายก็ตามทันในชั่วพริบตา!
“ตาย!”
บทที่ 819 ช่วยข้าด้วย ท่านพ่อตา!
ร่างอวตารหลักของหวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ทำตัวกลมกลืนเข้ากับผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบกายอย่างแนบเนียน ขณะที่ผู้ฝึกตนเหล่านั้นกระจายตัวออกไล่ตามหนึ่งในร่างอวตารของเขา ชายหนุ่มก็ค่อยๆ ถอยหนีอย่างเงียบเชียบ เฝ้ารอจังหวะเหมาะๆ ที่จะแปลงกายอีกครั้งและหนีออกจากที่แห่งนี้ไป
เขารู้ดีว่าแม้ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายจะได้รับบาดเจ็บและถูกพิษ แต่อาการบาดเจ็บเหล่านั้นก็ยังถือว่าน้อยนิดนัก อีกฝ่ายไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่จะเอาชนะได้โดยง่าย
ต่อให้หวังเป่าเล่อใช้คำสาปที่ปรมาจารย์แห่งไฟมอบให้ ก็ยังยากที่จะโค่นผู้อาวุโสผู้นี้ลงได้อยู่ดี ชายหนุ่มวิเคราะห์ทางหนีทีไล่ของตนเอง ก่อนจะหันไปมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวของศัตรูข้างกาย สีหน้าของผู้อาวุโสเหมือนจะกินเขาเข้าไปทั้งเป็น ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจไม่เสี่ยงจะดีกว่า แม้จะยังสังหารเป้าหมายไปได้ไม่มากพอกับจำนวนที่วิชาดวงเนตรปีศาจต้องการก็ตาม ทั้งยังมีทรัพยากรมหาศาลของของคลังอาวุธที่เขาเก็บไว้กับตัวให้ต้องคอยรักษาอีก สุดท้ายแล้ว หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจจากไปพร้อมสิ่งที่ตนเองมี ซึ่งเป็นทางออกที่ปลอดภัยที่สุด
“ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าแล้วกันคราวนี้!” ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าตนเองกำลังหนีการต่อสู้ ไม่ใช่เลย แต่ในตอนที่เขากำลังจะหนีไปนั้นเอง ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็ใช้สัมผัสสวรรค์สำรวจจากระยะไกล สัมผัสสวรรค์ไหลเข้าท่วมทั่วบริเวณ สร้างพลังกดดันท่วมท้นที่ทำให้หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ชั่วคราว
ผู้อาวุโสส่งหมัดกระแทกลงพื้น กระแทกร่างอวตารที่ห้าของหวังเป่าเล่อแหลกสลาย จากนั้นเขาก็เหลียวมองมาทางด้านหลังขณะลอยค้างอยู่กลางอากาศ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความต้องการสังหาร กวาดตามองกองทัพผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นของตนเอง
เหล่าทหารพากันตัวสั่นเมื่อเห็นประกายความบ้าคลั่งในดวงตาของผู้อาวุโส พวกเขาต่างคิดเหมือนกันว่าผู้บัญชาการของตนกำลังจะก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างความปกติกับความวิกลจริตไปเสียแล้ว ต่างคนต่างหายใจสะดุดกับสิ่งที่เห็น รู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังหายใจรดต้นคอ
ลางสังหรณ์ของพวกเขาถูกต้องเสียด้วย ผู้อาวุโสผู้นี้ไม่สามารถแยกระหว่างมิตรกับศัตรูได้อีกต่อไป เขาบอกไม่ได้ว่าใครคือผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่แท้จริง และใครคือตัวปลอมที่แฝงกายปะปนเข้ามา ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่ามีร่างอวตารกี่ร่างที่ไอ้หัวหมูทิ้งไว้ในกองทัพของเขา
แต่สัญชาตญาณก็บอกชายชราว่า ศัตรูตัวจริง…ซ่อนอยู่ในบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเอง!
ทางออกดีที่สุดที่จะทำให้เขากำจัดมันได้ คือการสังหารทุกคนในที่แห่งนี้เสีย นั่นคือหนทางที่แน่นอนที่สุดในการกำจัดไอ้หัวหมูให้สิ้นซาก แต่การกระทำเช่นนั้น…ก็บ้าระห่ำเกินไป แม้เขาจะโกรธเลือดขึ้นหน้าจนแทบคลั่ง แต่การสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนเพียงเพื่อกำจัดศัตรูคนเดียว ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาพร้อมกระทำในตอนนี้
นอกจากนี้ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง ศัตรูของเขาสามารถแปลงกายเป็นคนตายได้ด้วย ซึ่งแปลว่า…ต่อให้ฆ่าทุกคนทิ้งเรียบร้อย เขาก็อาจจะจับมันไม่ได้อยู่ดี
นอกเสียจากว่า…เขาจะทำลายทุกอย่างทิ้งให้ไม่เหลือแม้แต่ศพ ทำลายมันทิ้งให้หมดทั้งฐานทัพและทุกสิ่งในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร เท่านี้ก็แน่ใจได้แล้วว่าไอ้หัวหมูนี่มันตายจริง!
ความคิดนี้ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างในสมองของผู้อาวุโส ประกายความโหดเหี้ยมลุกโชนในดวงตา รังสีสังหารรอบกายเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เป็นการตอบรับ ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นรอบกายเริ่มตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ต่างรู้สึกได้ว่าหายนะกำลังจะบังเกิด พวกเขาทั้งโกรธและรู้สึกอับจนหนทาง หวังเป่าเล่อยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศนี้ด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำอยู่ในอก
เป็นไปไม่ได้ ไอ้แก่นี่เป็นบ้าไปแล้วรึ มันคงไม่ฆ่าทหารตัวเองทิ้งทั้งกองทัพเพียงเพื่อจะกำจัดข้าหรอกกระมัง… ข้าไม่ได้ทำอะไรชั่วช้าถึงขนาดต้องทำเช่นนั้นสักหน่อย… แต่เขาก็เริ่มไม่มั่นใจการอ่านสถานการณ์ของตนเองเสียแล้ว ดวงตาของชายหนุ่มฉายความกลัวจับใจอย่างแท้จริง ฟันเฟืองในหัวหมุนอย่างบ้าคลั่งเพื่อหาทางหนีทีไล่ ว่าตนเองจะออกไปจากที่แห่งนี้ชนิดยังหายใจอยู่ได้อย่างไรดี
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังอกสั่นขวัญแขวน และขณะที่ผู้ฝึกตนรอบกายกำลังตัวสั่นด้วยความกลัว ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะก็กู่ร้องออกมาด้วยความบ้าคลั่ง พร้อมยื่นแขนขวาขึ้นด้านบน
ไม่นะ! ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสยดสยอง ทุกคนรอบกายมีสีหน้าตื่นกลัวถึงขีดสุด พวกเขาพากันถอยหนีในทันที หลายคนเริ่มร้องตะโกนเรียกสตินายตน
“ท่านผู้บังคับบัญชา ใจเย็นก่อนขอรับ!”
“ท่านผู้อาวุโส เราเพียงต้องรออีกสองชั่วโมงเท่านั้น เดี๋ยวผู้มาจุติก็จะจากไปแล้ว ได้โปรด…อย่าวู่วามเลยขอรับ!”
แต่คำพูดเหล่านั้นไม่อยู่ในการรับรู้ของผู้อาวุโสอีกต่อไป ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความบ้าคลั่ง ใบหน้าบูดเบี้ยวด้วยโทสะ สีหน้าบ่งบอกว่าความอดทนหมดลงแล้ว จนถึงขั้นที่ทำให้เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อประหัตประหารศัตรู ชายชรายกมือขึ้นวาดในอากาศ ส่งรอยประทับฝ่ามือให้กระแทกลงบนพื้นดิน
การโจมตีนั้นไม่ได้ส่งไปยังผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นโดยตรง หากแต่กระแทกลงไปยังใจกลางของค่ายทหาร ส่งผลให้พื้นดินปริแตก ลมพัดโหมกรรโชก ผู้ฝึกตนทั้งหมดเซถลาไปด้านหลังตามแรงปะทะ พื้นดินที่ยุบลงนั้นเผยให้เห็น…โลงศพโลงหนึ่ง!
โลงศพนั้นดูเป็นสีดำในคราแรก แต่เมื่อมองใกล้ๆ ก็พบว่าผิวของโลงไม่ได้เป็นสีดำแต่อย่างใด หากแต่เป็นสีของเลือดที่แห้งกรังจนม่วงดำคล้ำ ทั้งฝาและตัวโลงเริ่มมีรอยแยกที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็แตกสลายออกมาภายในชั่วอึดใจ!
เสียงสายฟ้าฟาดดังสนั่นสะท้อนก้องในอากาศ ตามมาด้วยซากศพไร้หนังหุ้มกายที่ค่อยๆ คลานออกจากโลง!
“พรแห่งเต๋าสวรรค์!”
“นั่นมัน…พรแห่งเต๋าสวรรค์ประจำค่ายทหารของเรามิใช่รึ!” เสียงอุทานด้วยความตกใจอุบัติขึ้นทันทีที่ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเห็นศพเดินได้ ผู้อาวุโสอาจจะเสียสติไปชั่วขณะ แต่ก็ยังไม่ได้คลั่งถึงขนาดสังหารหมู่กองทหารของตน เขารู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับขุดหลุมฝังตัวเอง
ตระกูลไม่รู้สิ้นย่อมตีตราว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอาชญากรรมที่ยากเกินให้อภัย ราคาที่เขาต้องจ่ายเมื่อเทียบกับการสังหารชายเพียงคนเดียวนั้นแน่นอนว่าไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย แต่ความเกลียดชังที่มีต่อหวังเป่าเล่อก็มากเกินกว่าที่จิตใจจะต้านทานไหวเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายผู้นี้จึงตัดสินใจทำลายพรแห่งเต๋าสวรรค์ของค่ายทหารตนเองแทน!
ค่ายทหารของตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ทุกฐานล้วนมีโลงศพเป็นของตนเอง การทำลายโลงศพในยามคับขันจะปล่อยพลังเวทที่มีผลต่อสมาชิกทุกคนในสำนักออกมา โดยจะมีอำนาจภายในรัศมีที่กำหนดเอาไว้ พลังเวทนี้เปรียบเสมือนพรที่คอยปกป้อง ทั้งยังเป็นพลังที่ช่วยในการเคลื่อนย้ายไปในตัว โดยจะส่งทุกคนไปยังอาณาเขตของตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อความปลอดภัย
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าพลังเวทนี้มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งใด มีเพียงนามของมันเท่านั้นที่เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน…พรแห่งเต๋าสวรรค์!
พลังนี้เป็นสิ่งที่ควรนำออกมาใช้เมื่อถึงยามจำเป็นจริงๆ เท่านั้น!
ผู้อาวุโสประจำกองทหารแน่ใจว่าสถานการณ์เช่นนี้ คือสถานการณ์คับขันที่เหมาะกับการนำอำนาจของสิ่งนี้ออกมาใช้ที่สุด ถึงอย่างไรเขาก็ต้องสังหารไอ้บ้าที่บังอาจมาขโมยทรัพยากรของกองทหารตน ทั้งยังทำลายค่ายทหารของเขาเสียย่อยยับถึงเพียงนี้ให้จงได้
เขาตั้งใจจะใช้พลังพิเศษของพรแห่งเต๋าสวรรค์ในการพลิกแผ่นดินตรวจตราทั้งบริเวณให้ราบคาบ…เพื่อหาคนที่พรแห่งเต๋าสวรรค์ไม่นับว่าเป็นสมาชิกสำนัก และผู้ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบของโลงศพ ก็ย่อมเป็นไอ้โจรชั่วที่แฝงตัวเป็นหนึ่งในพวกเขานั่นเอง สุดท้ายหากไม่มีใครตกการทดสอบ เขาก็จะทำลายทุกสิ่งให้หมดสิ้นเสีย หลังจากที่ใช้พลังของโลงศพเคลื่อนย้ายสมาชิกทุกคนไปยังจุดปลอดภัยแล้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ตั้งแต่ตอนที่ผู้อาวุโสวางหมากในหัว ตอนที่เขาเรียกโลงศพออกมา จนถึงตอนที่ศพคลานออกจากโลงและแตกตัวออก แสงสีแดงสาดส่องออกจากร่างศพที่แตกสลาย เข้าอาบร่างกายผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รายรอบทันที
ลำแสงสีแดงเคลื่อนที่เร็วมากจนไม่มีใครในหมู่ทหารหลบทัน ภายในไม่กี่วินาที ลำแสงก็ตกกระทบลงบนหน้าผากของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคน ลำแสงนั้นแปรสภาพกลายเป็นตราประทับบนหน้าผาก และปล่อยพลังเคลื่อนย้ายออกมาส่งทุกคนให้ออกไปจากที่แห่งนั้น
ปรากฏการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายด้วยเช่นกัน แต่เขาก็ใช้พลังของตนยับยั้งการเคลื่อนย้ายได้ทัน เขาปล่อยสัมผัสสวรรค์ให้ไหลท่วมทั่วบริเวณ ผนึกพื้นที่แห่งนั้นไว้ขณะตรวจหาผู้ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
ความตกใจเข้าเกาะกุมจิตใจของหวังเป่าเล่อทันที ชายหนุ่มไม่ได้คาดคิดว่าศัตรูจะมีพลังนี้ในครอบครอง เขาไม่มีเวลาคิดแม้แต่นิด ทำได้เพียงปลุกกระบวนท่าสารัตถะของตนเองขึ้น เพื่อสร้างตราประทับสีแดงบนหน้าผากเท่านั้น แต่คราวนี้…กระบวนท่าสารัตถะกลับไม่ทำตามคำสั่งของเจ้าของ จึงไม่เกิดสิ่งใดขึ้นตามที่ชายหนุ่มปรารถนา… วิชาของเขาเทียบกับอำนาจของศพนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย นับเป็นครั้งแรกที่มันช่วยอะไรเขาไม่ได้!
หวังเป่าเล่อถอยกรูดด้วยความตกใจ เขาไม่มีเวลาคิดกลยุทธ์ตอบโต้ จึงเริ่มท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจทันที!
พลันสายตาของผู้อาวุโสก็สบลงที่หวังเป่าเล่อพอดิบพอดี!
ดวงตาของทั้งสองประสานกัน หากสายตานั้นประหัตประหารคนได้ หวังเป่าเล่อคงสิ้นชีพลงแล้วในวินาทีนั้น พลังที่แผ่ออกจากร่างของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและความอำมหิต
“เจ้านี่เอง!” เสียงของเขากังวานไปในอากาศ ความเร็วจากการกระโจนเข้าใส่ชายหนุ่มก่อให้เกิดพายุที่อุบัติขึ้นเบื้องหลัง กวาดล้างพื้นดินทั้งหมดให้ราบเป็นหน้ากลอง เช่นเดียวกับความเกลียดชังแค้นเคืองเข้ากระดูกดำที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อ
ชายหนุ่มมีสีหน้าบูดบึ้ง แต่ก็ไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อยในยามที่ต้องเผชิญอันตรายใหญ่หลวง เขาถอยหนีศัตรูที่กำลังพุ่งเข้าใส่ตนในทันที เสี้ยววินาทีที่ถอยหนีนั้น พลังจากบทสวดแห่งเต๋า…ก็ตกลงบนดวงดาวแห่งนั้นพอดิบพอดี!
หวังเป่าเล่อหันไปมองผู้อาวุโส ดวงตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและไม่ยอมคน ชายหนุ่มตะโกนใส่ท้องฟ้า
“ช่วยข้าด้วย ท่านพ่อตา!”
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
ท้องฟ้าพลันแปรเปลี่ยน สายลมพัดกรรโชกแรง เมฆเคลื่อนหมุนย้อนกลับ ในวินาทีนั้น ดาวเคราะห์ทั้งดวงก็ถึงกับสั่นสะท้าน ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นถอยกรูดด้วยความตกใจ ปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังดูการต่อสู้นี้อยู่ในห้วงอวกาศไกลโพ้นเกือบสำลักผลไม้เพลิงจนติดคอ ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาผุดลุกขึ้นยืนทันที อุทานด้วยความตกใจ สายตาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
“พลังนี้มัน…”
บทที่ 820 รังสีสังหาร!
ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายตกใจแทบสิ้นสติ ส่วนปรมาจารย์แห่งไฟเองก็ประหลาดใจจนต้องลุกขึ้นจากที่นั่ง กระนั้นความตกใจของผู้อาวุโสที่พลังด้อยกว่าย่อมมีมากกว่าหลายเท่าตัวนัก เขาตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ จิตใจเอ่อท้นด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง อวัยวะภายในถูกกดทับด้วยพลังที่ทับโถมลงมาบนร่าง ดวงวิญญาณราวกับกำลังจะถูกฉีกทำลายได้ทุกวินาที
พลังที่ตกลงมาบนผิวดาวเคราะห์ทรงอำนาจมากเสียจนทำให้ดาวทั้งดวงสั่นไหว ราวกับมีบางสิ่งในส่วนลึกของจักรวาลที่ลืมตาตื่นขึ้น และพุ่งกระโจนเข้าหาพวกเขาในวินาทีนั้น นั่นคือความรู้สึกที่ผู้อาวุโสรับรู้ได้ และเป็นความรู้สึกที่หวังเป่าเล่อได้รับเช่นกัน
อย่าตื่นขึ้นจริงๆ เลย ได้โปรดเถิด… หวังเป่าเล่ออธิษฐานในใจคนเดียวไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขาท่องบทสวดในใจจนรู้สึกได้ว่าเจ้าของพลังใกล้จะตื่นขึ้นจริงๆ นั้น เขาก็ไม่กล้าใช้บทสวดนี้อีกเลย เนื่องด้วยกลัวว่าหากตนเองยังใช้กลเม็ดนี้ต่อไป เขาจะทำให้สิ่งที่อยู่ปลายสุดของจักรวาลตื่นขึ้นมาจริงๆ
แต่แน่นอนว่าครั้งนี้หวังเป่าเล่อไม่มีทางเลือกมากนัก ขณะที่ทุกคนยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ด้วยพลังของพ่อตาเขา ชายหนุ่มที่เป็นคนเรียกพลังมาก็พลันหันหลังกลับและพุ่งหนีไปด้วยความเร็วสูงสุดในทันที เขาก้าวเพียงครั้งเดียวก็หายไปจากสายตา ไปโผล่อีกครั้งที่หลายพันกิโลเมตรไกลออกไป จากนั้นเขาก็กระโจนด้วยความไวแสงไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุดพัก!
ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นตัวสั่นเทิ้มขณะมองหวังเป่าเล่อหนีไปต่อหน้าต่อตา เขาไม่กล้าตามต่อ พลังที่ตกลงใส่นั้นรุนแรงเกินไป จนรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นเพียงมดปลวกไร้ความหมายซึ่งอาจโดนเหยียบตายคาฝ่าเท้าได้ทุกเมื่อ ความกลัวและความทึ่งอุบัติขึ้นในใจพร้อมๆ กัน นอกจากนี้…ตัวเขายังได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดอีกด้วย
หมอนั่นเรียกพ่อตาให้มาช่วย ความกลัวจับขั้วหัวใจพุ่งผ่านทุกเส้นเลือดในร่างกายของผู้อาวุโส ขณะที่ชายชรายังคิดไม่ตกเสียทีว่าคำพูดนั้นหมายถึงสิ่งใด ตอนที่ผู้อาวุโสนิ่งงันอยู่กับที่นั้นเอง หวังเป่าเล่อก็กระโจนออกจากที่แห่งนั้นไปไกลแสนไกลหลายพันกิโลเมตรแล้ว
เหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ตอนที่หวังเป่าเล่อท่องบทสวด จนถึงตอนที่เขาหนีไป กินเวลาเพียงห้าวินาทีเท่านั้น พลังจากบทสวดค่อยๆ สลายหายไปจนราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผู้อาวุโสยังคงชะงักอยู่กับที่ ทั้งที่รู้สึกได้ว่าพลังนั้นจางหายไปหมดสิ้นแล้ว สีหน้าของเขามืดมน ความโกรธปะทุอยู่เบื้องหลังแววตาแดงฉาน เขาไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่ลืมตาดูโลกมา
“มันต้มข้า!” เขารู้สึกตัวแล้วว่าพลังเมื่อครู่เป็นเพียงมายาที่คู่ต่อสู้เรียกมาหลอกกัน ภาพหวังเป่าเล่อที่เปิดตูดหนีไปนั้นเป็นข้อพิสูจน์ชั้นดีว่าพลังนั้นไม่ใช่ของจริง
ความรู้สึกที่ถูกต้มนี้ทำให้ผู้อาวุโสคำรามใส่ท้องฟ้าด้วยความอาฆาต ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงยุ่งเหยิง เขากวาดมือเอาศพจากพลังเวทของพรแห่งเต๋าสวรรค์ออกมา และท่องกระบวนเวทที่หวังเป่าเล่อไม่เคยรู้จักมาก่อน ดวงตาของศพเบิกโพลง เปลวเพลิงเข้าล้อมกายและเผาไหม้มันจนเหลือเพียงด้ายแดงเส้นเดียว พลังเฮือกสุดท้ายของมันที่เหลืออยู่สลายหายไป ด้ายแดงหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่า ผู้อาวุโสก้าวไปข้างหน้าตามรอยด้ายแดงไป ดวงตาของชายชราวาวโรจน์ด้วยความต้องการสังหารพร้อมด้วยพลังงานอำมหิต เขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าตนเองจะเผลอไปฆ่าพวกเดียวกันเองหรือไม่ ในใจคิดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
นั่นก็คือ…การสับไอ้หัวหมูชั่วช้าให้แหลกเป็นเศษเนื้อ หากเขาทำไม่สำเร็จ ชีวิตนี้คงไม่สามารถปล่อยวางได้อีกแล้ว ประสบการณ์นี้จะหลอกหลอนเขาไปชั่วชีวิต จนทำให้เขาพัฒนาพลังปราณของตนเองไม่ได้อีกต่อไป!
ขณะที่ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังไล่ล่าหวังเป่าเล่อนั้น ปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังดูการต่อสู้ผ่านหน้ากากของชายหนุ่มก็ยังคงไม่หายจากอาการตกใจนัก สีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมแม้จะสัมผัสได้ว่าตัวตนยิ่งใหญ่ที่หวังเป่าเล่อเรียกมาได้หายไปแล้ว ชายชราไม่ได้คิดว่าตนเองถูกหลอก ดวงตาของเขาค่อยๆ มองขึ้นไปด้านบนอย่างช้าๆ ไม่ใช่มองไปยังทิศของดวงดาวที่หวังเป่าเล่ออยู่ หากแต่เป็นห้วงอวกาศอันไกลโพ้น
เขากำลังจ้องไปยังที่ที่พลังรุนแรงถูกปล่อยออกมา เป็นทิศทางที่สัมผัสได้จากสัญชาตญาณเบื้องลึก
“ที่แห่งนั้น…มีโลกที่ล้ำลึกกว่าจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นอยู่!” ปรมาจารย์แห่งไฟพึมพำกับตนเองก่อนเงียบลง
“การจะเรียกพลังจากจักรพิภพอื่นมาได้ ต้องมีพลังปราณระดับจักรวาลเป็นอย่างน้อย… นอกจากนี้ก็ห้ามลืมว่าเขายังมีกระบวนท่าสารัตถะจากเฉินชิงอยู่ด้วย เจ้าหนุ่มนี่…” ปรมาจารย์แห่งไฟเบือนสายตาจากจักรพิภพเบื้องลึกมามองหน้าจอเบื้องหน้าตนเอง และจ้องหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาพินิจพิเคราะห์
มีบางอย่างที่ตื่นขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มท่องบทสวดแห่งเต๋าเช่นกัน ที่ใต้ดินลึกลงไปในดาวเคราะห์เอกดวงเนตรสวรรค์ ภายในโลงศพยักษ์สีดำ หน้ากากที่แม่นางน้อยอาศัยอยู่บนร่างที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อเริ่มสั่นเล็กน้อย ราวกับกำลังตื่นขึ้น
แน่นอนชายหนุ่มไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับปรมาจารย์แห่งไฟและแม่นางน้อย เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาทิ้งระยะห่างจากผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีอันตรายกำลังตามติดมาไม่ห่าง ชายหนุ่มขยับตัวไปปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ระยะไกลออกไป เขาทำซ้ำๆ อยู่เช่นนี้โดยไม่หยุดพัก กระนั้นภัยอันตรายที่จ่อมานั้นก็ไม่ได้น้อยลงแต่อย่างใด และยังคงอยู่อย่างนั้นแม้เขาจะใช้กระบวนท่าสารัตถะเปลี่ยนรูปร่างของตนไปอีกครั้งก็ตาม หวังเป่าเล่อยังรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเป้า ความรู้สึกนั้นไม่ได้น้อยลงแม้แต่นิดเดียว แต่กลับเพิ่มมากขึ้นทุกที
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ชายหนุ่มเริ่มกระวนกระวาย เขาพุ่งพรวดไปข้างหน้า ดวงตาหรี่เล็ก สร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็โบกมือเรียกเสียงระเบิดจากท้องฟ้าเบื้องบนเพื่อปล่อยพลังของวิชาดวงเนตรปีศาจ ดวงตาสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ปล่อยไอเย็นเยียบออกมาไม่รู้จบ มันยืดขยายออกตามคำสั่งของชายหนุ่ม และกลายร่างเป็นเขาอีกคนหนึ่ง
ด้วยพลังอำนาจนี้ทำให้ชายหนุ่มสังเกตเห็นด้ายบางสีแดงที่ปรากฏขึ้นจากที่ใดไม่ทราบได้ และด้ายนั้นแปะติดตัวเขาอยู่!
ดูเหมือนว่าด้ายสีแดงจะงอกออกจากกายของเขา มันยืดยาวไม่มีที่สิ้นสุดไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น
หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก ฟันเฟืองในสมองหมุนวนบ้าคลั่ง เขารู้แล้วว่าตนเองไม่มีทางหนีพ้นไปได้ ตราบใดที่ด้ายแดงนี้ยังแปะติดอยู่กับตัว ไม่ช้าก็เร็วศัตรูก็จะตามมาทันในที่สุด เขามีทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้น
เขาจะหนีต่อไปก็ได้ และพยายามซื้อเวลาจนกว่าจะหมดสองชั่วโมงที่กำหนดไว้ ตอนนั้นภารกิจนี้ก็จะจบสิ้นลง และหน้ากากจะเคลื่อนย้ายเขาไปสู่ที่ปลอดภัย
หรือว่า…เขาจะรออยู่ตรงนี้เพื่อสู้จนตัวตาย หากชนะ…เขาก็รู้สึกได้ว่าการต่อสู้นี้จะทำให้ตนบรรลุขั้นปราณ แต่หากแพ้ ก็จะหมดสิ้นซึ่งลมหายใจ!
ชายหนุ่มไม่ได้ใช้เวลาตัดสินใจมากนัก แววความดุร้ายบ้าคลั่งสว่างวาบขึ้นในดวงตาทันที เขาเลือกทางเลือกที่สองโดยไม่ลังเลแม้แต่ร้อย ทางเลือกแรกนั้นมีโอกาสมากที่สุดท้ายแล้วเขาจะหนีไปไม่พ้น และเมื่อคู่ต่อสู้ไล่มาทัน เขาก็ต้องสู้อยู่ดี
หวังเป่าเล่ออยากต่อสู้ในสมรภูมิที่ตนเองยังไม่เหนื่อยล้าสิ้นแรงจากความพยายามหนีตายมากกว่า… เขายอมโจมตีตอนนี้และสู้จนตัวตายในขณะที่ยังพอมีกำลังต่อกรไหว!
ลองดูสักตั้งก็แล้วกัน! ความบ้าคลั่งเข้าครอบครองดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขาหยุดหนี หันหลังกลับ และปลดภาพมายาที่ครอบร่างของตนเองไว้ออกจนหมดสิ้น หน้ากากสุกรปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นวาดสร้างผนึกฝ่ามือ ก่อนทำตามวิธีปล่อยคำสาปซึ่งปรมาจารย์แห่งไฟสอนไว้ เพื่อปล่อยพลังคำสาปของหน้ากากออกมา!
แต่เขาต้องใช้เวลาในการตั้งคำสาป หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามากมายนัก แต่ก็มากพอที่จะปล่อยคำสาปออกไปได้ทัน เส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนหน้ากากขณะที่ชายภายใต้หน้ากากยังสร้างผนึกฝ่ามืออย่างไม่หยุดยั้ง เส้นเลือดค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนปกคลุมทั้งหน้ากาก กลายสภาพเป็นดอกไม้สีเลือด!
ดอกไม้นั้นมีทั้งหมดเจ็ดกลีบด้วยกัน แต่ละกลีบมีใบหน้ามนุษย์ประทับอยู่จางๆ ใบหน้าแต่ละหน้าแสดงอารมณ์ทั้งเจ็ดที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่สุข โกรธ เศร้า ไปจนถึงปีติยินดี ภาพดอกไม้ทั้งเจ็ดที่สร้างจากเส้นเลือดนี้ดูน่าสยดสยองเป็นอันมาก บนหน้ากากมีรูสองรูให้ตามองเห็นได้ เบื้องหลังรูคือดวงตาของหวังเป่าเล่อที่ลุกโชติช่วงเป็นประกาย
หวังเป่าเล่อจัดการให้แน่ใจว่าคำสาปพร้อมใช้งาน จากนั้นก็ยกมือซ้ายชูขึ้นในอากาศเพื่อสร้างผนึกฝ่ามืออีกครั้ง ดวงตาปีศาจปรากฏขึ้นเบื้องหลังชายหนุ่มตามคำสั่ง
แต่ยังไม่จบแค่นี้ ความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในสมอง พร้อมเปลวไฟสีดำที่สว่างเรืองจากร่างกายและพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน มันคือเปลวไฟสีดำของสำนักแห่งความมืดนั่นเอง!
ตอนนี้เขาพร้อมแล้ว หวังเป่าเล่อทำลมหายใจให้สงบมั่นคง ดวงตาสว่างวาบด้วยความต้องการสังหาร คำสาปนี้จะช่วยทำให้พลังปราณของคู่ต่อสู้อ่อนแอลง เปรียบเสมือนพลังเทพจากสวรรค์เบื้องบน พลังนี้จะทำให้เขาสามารถเคลื่อนย้ายได้แม้กระทั่งดาวเคราะห์และดาวฤกษ์!
พลังทำลายล้างจากวิชาดวงเนตรปีศาจเปรียบเสมือนพลังแห่งผืนดิน ทำให้เขาครอบครองอำนาจราวกับเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร!
ความบ้าคลั่งโหดเหี้ยมที่วิ่งพล่านอยู่ในกายของหวังเป่าเล่อคือเครื่องพิสูจน์ความมุ่งมั่นที่มนุษย์พึงมี ความมุ่งมั่นนี้ทำให้เขาสามารถทำให้มหาสมุทรเหือดแห้งจากพื้นโลก และบังคับให้น้ำทะเลไหลเข้าท่วมสวรรค์ได้!
แรงระเบิดไร้เสียงอุบัติขึ้นรอบกายเขา พลังจากแรงระเบิดกวาดเอาเมฆให้เคลื่อนกลับ ส่งแรงกระเพื่อมให้ไหลบ่าไปทั่วปฐพี ชายหนุ่ม…ได้สร้างสมรภูมิแห่งความตายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว!
พลังลึกลับไหลเข้าท่วมทั่วบริเวณสนามรบ พลังที่หวังเป่าเล่อไม่รู้สึกนี้ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่กำลังพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่ออาจรู้สึกได้ แต่ก็มีใครบางคนใช้อำนาจที่ตนเองมีปัดป้องมันออกจากประสาทสัมผัสของชายชรา ชายที่กำลังคลั่งด้วยความแค้นไม่ได้รู้สึกตัวแม้แต่น้อยว่าเบื้องหน้ามีอันตรายร้ายแรงรออยู่!
ผู้ที่เข้าแทรกแซงก็คือปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังมองดูชายหนุ่มผ่านหน้าจอนั่นเอง เขาเห็นแล้วว่าหวังเป่าเล่อเลือกทางเดินที่อาจทำให้ตัวเองตายได้ หลังจากที่ได้เห็นการกระทำทั้งหมดของชายหนุ่ม ปรมาจารย์แห่งไฟก็อดไม่ได้ที่จะชอบในตัวชายหนุ่มมากขึ้น ดวงตาของเขาสว่างไสวด้วยความชื่นชม
“ต่อให้ตัดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนุ่มนี่กับจักรพิภพอื่นและเฉินชิงออกไป…ความบ้าดีเดือดของหมอนี่ก็ควรค่าแก่การชื่นชมอยู่ดี เช่นนั้นแล้ว…ข้าจะช่วยเจ้าครั้งนี้ครั้งเดียวก็แล้วกัน มาดูกันว่าเจ้าจะใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ได้หรือเปล่า หากครั้งนี้เจ้าทำสำเร็จ อนาคตของเจ้าย่อมโรยไปด้วยกลีบกุหลาบแห่งโอกาสมากมายที่พร้อมจะเบ่งบานให้เจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
บทที่ 821 บุปผาโลหิตเบ่งบาน!
กับดักแห่งความตายนี้ทั้งประหลาดและลึกลับเกินกว่าจะเข้าใจ พลังปราณและจิตสำนึกของหวังเป่าเล่อผสานรวมกันเป็นหนึ่งพร้อมด้วยอำนาจแห่งดาวเคราะห์ ผลลัพธ์ที่ออกมาคือพลังยิ่งใหญ่รุนแรงที่มองไม่เห็น ซึ่งแทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของอากาศ หมายมั่นทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากลอง!
พลังนี้ไม่มีผู้ใดมองเห็นได้ แต่กลับสัมผัสได้โดยใช้สัมผัสสวรรค์ รอบกายของหวังเป่าเล่อไม่มีกำแพงใดกั้นอยู่ แต่ลมพายุรุนแรงกลับหยุดพัดพาทันทีที่พุ่งเข้าใส่ขอบเขตสนามรบที่ชายหนุ่มสร้างขึ้น เมื่อไม่มีลมเข้ามากล้ำกราย เม็ดฝุ่นก็ไม่สามารถลอยเข้ามาและตกลงสู่พื้นดินได้ สนามรบนี้ถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
กลายมาเป็นอีกโลกหนึ่งที่ตั้งอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง!
ลำพังหวังเป่าเล่อเองคงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ต่อให้โชคเข้าข้างก็ตามที แม้ความต้องการสังหารของเขาและอำนาจพลังเวทจะผสานรวมกันกลายเป็นปราณกังวาน แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดีที่ชายหนุ่มจะทรงพลังมากพอที่จะสร้างโลกจำลองใบนี้ขึ้นมาได้ ทว่า… หน้ากากสุกรที่เขาสวมอยู่นี้ไม่ใช่หน้ากากธรรมดา กับดักสังหารที่วางไว้บวกกับพลังอำมหิตที่ลอยล่องอยู่ในอากาศ…เกิดขึ้นเพราะอำนาจของหน้ากากเป็นส่วนมาก!
หากพลังอำมหิตในอากาศปล่อยความสามารถที่แท้จริงออกมาแล้วละก็ ทั้งสวรรค์และผืนดินคงสั่นสะเทือนไม่เหลือชิ้นดี สีฟ้าของท้องฟ้าคงเหือดแห้งกลายเป็นสีเทา ลมคงกรีดร้องหวีดหวิว และเมฆคงพัดย้อนกลับ ภาพเหล่านั้นคงทำให้ใครก็ตามที่เห็น รู้สึกได้ถึงความตายที่ไม่อาจหลีกหนีไปได้!
ปรมาจารย์แห่งไฟให้ความช่วยเหลือหวังเป่าเล่อตามที่เขาได้ว่าไว้ ความเอื้ออาทรไม่ได้เริ่มแค่ในตอนนี้เท่านั้น แต่มีมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นชายหนุ่ม ในความเป็นจริงแล้ว… ชายชราได้เข้าแทรกแซงสัมผัสสวรรค์ของผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้น ทำให้คนผู้นั้นไม่ได้รู้สึกถึงกับดักแห่งความตายที่รออยู่ จนกระทั่งเหยียบเข้าไปในบริเวณนี้ นอกจากนี้ปรมาจารย์แห่งไฟยังทำให้ผู้อาวุโสหลงลืมบางสิ่งที่ไม่ควรจะลืมอีกด้วย
ดวงตาปีศาจขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นเบื้องหลังหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของมันมองจ้องไปที่สนามรบรอบกาย เปลวไฟสีดำลุกโชติช่วงไหลเข้าท่วมสมรภูมิ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นทะเลเพลิงทมิฬ ชายหนุ่มทั้งดูประหลาดและน่ากลัวเกินกว่าจะเข้าใจ ราวกับเป็นเทพเจ้าแห่งความตายอย่างไรอย่างนั้น ดอกไม้ที่เลื้อยพันเกี่ยวบนหน้ากากดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมา กลีบแต่ละกลีบค่อยๆ บานออกตามธรรมชาติ!
บุปผาโลหิตคลี่แย้มเบ่งบาน หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นเฝ้ารอการมาเยือนของศัตรู อาวุธทุกอย่างที่มีถูกเตรียมการไว้ต่อกรเป็นที่เรียบร้อย กระบวนเวทและเคล็ดเวททั้งหมดเตรียมระเบิดใส่คู่ต่อสู้… อากาศว่างเปล่าพลันบิดเบี้ยวเหนือพื้นที่โล่งแจ้งราวสามสิบเมตรรอบกาย จู่ๆ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย ผู้บัญชาการแห่งกองทหารของตระกูลไม่รู้สิ้นก็กระโจนออกจากพายุหมุนเบื้องหน้า
ใบหน้าของเขาโผล่ออกจากพายุหมุนก่อน ตามมาด้วยร่างกายที่เหลือ โครงร่างทั้งหมดค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ก้าวขาออกจากพายุเตรียมโจมตีคู่ต่อสู้!
ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา ตั้งแต่ห้วงอากาศที่เริ่มบิดเบี้ยวจนกระทั่งผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นปรากฏตัวขึ้น
ด้วยความที่มีพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย ชายชราเองจึงมีกลเม็ดซ่อนไว้มากมายเช่นกัน ก่อนที่เท้าของเขาจะเหยียบลงบนพื้นดิน ดวงตาก็พลันเบิกกว้าง เขาสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อที่ดูประหลาดเหลือ เบื้องหลังชายหนุ่มมีดวงตาสีดำขนาดยักษ์ลอยอยู่ รอบกายมีเปลวไฟสีดำเผาไหม้โชติช่วงราวไฟอเวจี รวมถึงดอกไม้หน้าตาน่ากลัวส่องประกายอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่ม ทุกสิ่งที่ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นเห็น ล้วนทำให้หัวใจของเขาเต้นระส่ำอย่างควบคุมไม่ได้
ในตอนนั้นเองที่ความรู้สึกถึงภัยอันตรายใหญ่หลวงระเบิดขึ้นในจิตใจของชายชรา ราวกับสวรรค์ได้ถล่มลงทับกาย และปฐพียกตัวสูงขึ้นบีบอัดให้ร่างของเขากลายเป็นเพียงเศษซากท่ามกลางความกดดัน เหมือนมีฝ่ามือสองข้างที่ตบเข้าหากัน และบีบอัดร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วด้วยเสียงอันดัง
หัวใจของผู้อาวุโสเต้นไม่เป็นจังหวะ ความกลัวและความกระวนกระวายวาบผ่านใบหน้า ชายชราไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือเรื่องจริง สัมผัสสวรรค์บอกเขาว่าควรออกจากที่แห่งนี้โดยเร็ว แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจที่สุด คือความจริงที่ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงนี้เลยแม้แต่นิด
มีคนเข้าแทรกแซงสัมผัสสวรรค์ของข้าและควบคุมจิตใจข้าให้ไม่รู้สึกตัว ข้าลืมไปเสียสนิท…ว่าภายใต้หน้ากากของผู้มาจุติมีคำสาปซุกซ่อนอยู่!
ความรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงเข้าเกาะกุมจิตใจของชายชรา หัวใจเต้นรัวขณะร่างถอยหนีไปด้านหลัง แต่ก็สายเกินแก้ไปเสียแล้ว ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างวาบด้วยรอยเย็นเยียบ ทันทีที่เห็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายปรากฏตัวขึ้นในกับดักที่ตนเองสร้างไว้ บุปผาโลหิตบนใบหน้าของชายหนุ่มก็พลันระเบิด!
“ดวงเนตรปีศาจ จงรีดเอาความเจ็บปวดของเขาออกมา!” ชายหนุ่มตะโกนก้อง ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นสะเทือน ลมเริ่มพัดโหมกระหน่ำ เมฆเดือดพล่านอยู่บนท้องฟ้า ดวงตาสีดำขนาดยักษ์เบื้องหลังหวังเป่าเล่อที่ปิดอยู่ก่อนหน้านี้… พลันลืมตาตื่นโดยไม่ทันตั้งตัว!
เสียงคำรามเงียบเชียบสะท้อนสะเทือนไปในอากาศ ภาพเงาของผู้อาวุโสปรากฏขึ้นบนนัยน์ตาสีดำวาววับ ชายผู้เป็นเป้าหมายรู้สึกถึงสายฟ้านับแสนนับล้านที่ระเบิดอยู่ในศีรษะ
ชายชราตกใจกลัวเป็นอย่างมาก ร่างของเขาสั่นเทิ้ม…ถูกตรึงไว้กับพลังที่มองไม่เห็น ตัวขยับไปไหนไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว!
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น
ชายชรายืนอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง จิตใจถูกครอบงำด้วยความกลัว ความเจ็บปวดแสนสาหัสลามขึ้นมาที่ฝ่ามือขวาที่ถูกหวังเป่าเล่อสาปไว้ก่อนหน้านี้ แต่ได้รับการเยียวยาจนหายดีแล้วหลังจากการต่อสู้ ทว่าตอนนี้…เขากลับรู้สึกราวกับว่าความเจ็บปวดนั้นถูกดึงขึ้นมาสู่เส้นประสาทอีกครั้ง
นี่ไม่ใช่อำนาจซึ่งเป็นแก่นของวิชาดวงเนตรปีศาจ แต่เป็นหนึ่งในกระบวนเวทที่ทำให้ร่างกายของคู่ต่อสู้ได้รับผลกระทบ ดวงเนตรปีศาจดึงเอาอาการบาดเจ็บที่ถูกกดไว้และยังไม่หายดีให้เผยโฉมขึ้นมาอีกครั้ง!
“บัดซบสิ้นดี!” สีหน้าของผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นเต็มไปด้วยความทรมานและโทสะ เขาระเบิดพลังปราณของตนเองออกมา หมายปลดปล่อยร่างกายออกจากพันธนาการ ความรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงที่ครอบงำจิตใจมาตลอดนั้นค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นอีก ทำให้ชายชรากระวนกระวายใจหนักจนทำตัวไม่ถูกอีกต่อไป
ด้วยความแตกต่างด้านพลังปราณที่มากเกินไปของคนทั้งสอง วิชานี้จึงทำให้ผู้อาวุโสแน่นิ่งอยู่ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น กระนั้น…หวังเป่าเล่อก็ยินยอมพร้อมใจที่จะสู้จนตัวตาย ชายหนุ่มกู่ร้อง เส้นเลือดปูดโปนออกจากพื้นผิวของดวงตาปีศาจที่อยู่เบื้องหลัง ดวงตาสีดำขนาดยักษ์ปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่ตนเองมี เพื่อตรึงคู่ต่อสู้ให้นิ่งอยู่กับที่!
ขณะที่ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ตนเองเป็นอิสระอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็ฟาดมือขวาไปในอากาศ ก่อนจะชี้ไปที่ท้องฟ้าโดยไม่ลังเล
“เปลวไฟสีดำจงดูดพิษทั้งหมดออกไป!”
ทะเลเพลิงสีนิลรอบกายพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า คลื่นพลังโกรธเกรี้ยวเริ่มปั่นป่วนหมุนวนรอบกายผู้อาวุโสและแปรเปลี่ยนเป็นพายุคลั่ง ราวกับกำลังเฝ้าดูมังกรบินม้วนตัวขึ้นสู่อากาศเบื้องบน พร้อมทั้งเปิดปากคำรามพ่นเปลวไฟสีดำออกมา เปลวไฟนั้นดูทรงพลังเสียจนทำลายทุกสิ่งให้กลายเป็นเถ้าธุลีได้!
ด้วยขั้นปราณของหวังเป่าเล่อ เปลวไฟสีดำของเขาจึงยังไม่ทรงพลังมากพอที่จะฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายได้ แต่เปลวไฟสีดำที่ก่อเกิดมาจากพลังแห่งความตายก็ยังถือเป็นหัวใจหลักในการโจมตีของเขา พิษร้ายนี้คล้ายคลึงกับพิษที่อาบอยู่บนกริชสีดำของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจงใจหลอมรวมเปลวไฟสีดำเข้ากับกริชสีดำซึ่งร่างอวตารของเขาใช้ทำร้ายผู้อาวุโส
เปลวไฟสีดำที่ระเบิดออกมา ปลุกอำนาจของพิษร้ายที่ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นพยายามกดไว้มาตลอด!
พิษร้ายที่สำแดงพลังอยู่ในร่างกายทำให้ผิวของผู้อาวุโสกลายเป็นเส้นสีดำ เส้นสีดำเหล่านี้เต้นเร่าราวมีชีวิต พวกมันชอนไชอยู่ใต้ผิวหนังของเขา ทำให้เลือดและเนื้อเริ่มเน่าเฟะ เนื้อเน่าค่อยๆ กินวงกว้างภายในกาย หลายจุดบนร่างของผู้อาวุโสที่เคยถูกพิษนี้เข้าไปเริ่มรวมกันเป็นหนึ่งเดียว จนกลายเป็นผนึกพิษร้าย!
“ไม่นะ!” ความตกใจและความกลัววาบเข้ามาบนใบหน้าของผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้น ความรู้สึกถึงอันตรายอันหาที่สุดไม่ได้ระเบิดโพละอยู่ในหัว ทุกอณูในร่างกายของเขากำลังกรีดร้อง บอกเตือนให้เจ้าของร่างรีบพาตนเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้โดยเร็ว เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น…ก็คงหนีไม่พ้นความตายอย่างแน่นอน!
สัญญาณแห่งชีวิตที่ดับสูญนี้ไม่ได้มาจากความเจ็บปวดรุนแรงตรงมือขวา หรือพิษร้ายที่กำลังย่อยสลายเส้นเลือดของเขา หากแต่มาจาก…หน้ากากต้องคำสาปเบื้องหน้าและบุปผาโลหิตที่กำลังส่องประกายระยิบระยับอยู่บนหน้ากาก!
“ข้าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก!” ผู้อาวุโสกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เขาพยายามดิ้นหนี ศีรษะที่เหลือทั้งสองและแขนทั้งสี่ระเบิดออกจากร่างกาย เพื่อปลดปล่อยร่างที่แท้จริงให้โลกได้รับรู้!
แต่ก็…ไม่มีประโยชน์!
“ปลดปล่อยคำสาป!” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นฉับพลัน ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความอาฆาตมาดร้าย ชายหนุ่มคำรามพร้อมส่งพลังเทพที่จะเปลี่ยนผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้จากหน้ามือเป็นหลังมือออกจากกาย!
ดอกไม้สีเลือดบนหน้ากากแตกสลาย กลายร่างเป็นเส้นด้ายสีเลือดมากมายที่พุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายด้วยความเร็วเหลือเชื่อ กระจุกเส้นเลือดมาปรากฏเบื้องหน้าเขาในทันที ก่อนรวมร่างกลายเป็นดอกไม้อีกครั้ง และประทับตราลงบน…ใบหน้าของผู้อาวุโสผู้นั้น!
คำสาประเบิดแล้ว!
บทที่ 822 ต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับจิตวิ...
ความตื่นกลัวถึงขีดสุดเข้าครอบงำดวงตาของผู้อาวุโส ขณะดอกไม้สีเลือดประทับตราลงบนใบหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมาด้วยความกลัวและความเจ็บปวด หมอกสีแดงเริ่มลอยล่องออกจากรอยประทับบนใบหน้า ตามมาด้วยหมอกเลือดจำนวนมากที่หลั่งไหลออกจากมือขวา
ภาพนั้นช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน สายหมอกสีแดงไหลมารวมกัน และก่อร่างเป็นมังกรสีแดงหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว มังกรตัวนั้นไม่ได้ใหญ่มาก มันมีสามขากับหนึ่งเขา เค้าร่างและเกล็ดบนกายปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน มังกรสีแดงอ้าปาก เปลี่ยนร่างเป็นกระบี่สีแดงที่ตวัดวาดเข้าใส่หน้าผากของผู้อาวุโสแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น
ไม่ว่าชายชราจะมีเกราะป้องกันอันใด กระบี่สีแดงก็ทำลายได้หมดสิ้น คำสาปนี้ทำให้พลังปราณของเขาอ่อนแอลง ความสามารถในการป้องกันตนเองจึงถดถอยลงด้วย!
ขณะที่กระบี่สีแดงกำลังฟาดฟันผู้อาวุโส แขนขวาของเขาที่ถูกหวังเป่าเล่อทำร้ายไปก่อนหน้านี้ก็เริ่มเน่า ความเจ็บปวดทำให้ผู้อาวุโสกรีดร้องเสียงดังโหยหวน พลังปราณค่อยๆ ถดถอยลดความเสถียร กระบี่สีแดงตัดผ่านกายของเขาไป ส่งให้พลังปราณ…ลดลงจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเป็นชั้นกลาง!
ราวกับพลังปราณของเขาถูกกระชากปล้นชิงออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น ท้องฟ้าและพื้นดินเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่หากมองดูให้ชัดแล้วละก็ จะเห็นว่าคำสาปนั้นไม่ได้ทรงพลังอย่างที่คิด
แม้คำสาปจะดูมีฤทธิ์มาก แต่เหตุผลที่มันดูทรงอำนาจเป็นเพราะมือขวาที่อ่อนแอลงของผู้อาวุโส แขนขวาเคยถูกทำลายมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้จะงอกกลับมาใหม่อีกครั้ง แต่ชายชราก็ไม่มีเวลาพอที่จะเยียวยามันให้หายขาด ถึงมันจะดูเหมือนหายดีเป็นปลิดทิ้งแล้ว แต่ก็ยังได้รับผลกระทบจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้อยู่พอสมควร
อาการบาดเจ็บนี้อาจดูไม่สำคัญเท่าใดนัก แต่คำสาปที่ฝังลึกอยู่ภายในกัดกินทำลายแขนของชายชราเพื่อให้มันมีชีวิตรอดอยู่ในกายคนผู้นี้ต่อไป ผลคือพลังคำสาปที่ระเบิดออกมาจากแขนขวา ทำให้พลังปราณของผู้อาวุโสอ่อนแอลงจากขั้นปราณเดิม!
แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ บุปผาโลหิตบนใบหน้าของผู้อาวุโสระเบิดออกมาอีกครั้งท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส หมอกสีเลือดหนาแน่นไหลบ่าออกมาตามแรงระเบิด และเริ่มไหลออกจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายผู้อาวุโสด้วยเช่นกัน พวกมันเข้ารวมร่างกันกับหมอกที่หน้ากากปล่อยออกมา ก่อตัวขึ้นเป็นมังกรสีเลือดตัวที่สอง!
มังกรตัวที่สองหน้าตาสยดสยองกว่าตัวแรกเสียอีก มันกลายร่างเป็นกระบี่อีกเล่มพร้อมด้วยเสียงคำรามก้อง ก่อนตวัดผ่านศีรษะของชายชราอีกครั้ง!
ผู้อาวุโสตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ เขาไม่สามารถหนีหรือปัดป้องการโจมตีใดๆ ได้ทั้งสิ้น ทำได้เพียงมองดูกระบี่ฟาดร่างของตนเองไปอย่างไร้ทางสู้ อวัยวะภายในของผู้อาวุโสเริ่มเน่าไปพร้อมผิวหนังทั่วร่าง ร่างกายค่อยๆ เหี่ยวย่นลงไปกับตา เนื้อเน่าๆ หลุดร่วงออกจากกาย และระเบิดกลายเป็นหมอกสีดำ!
หมอกสีดำคือพิษร้ายที่อยู่ในกริชสีดำของหวังเป่าเล่อ ซึ่งก่อนหน้านี้ชายหนุ่มใช้โจมตีผู้อาวุโสอย่างไม่ยั้งมือ ผู้อาวุโสกดพิษไว้เพื่อหยุดยั้งไม่ให้มันลามไปทั่วร่างกาย แต่ก็ยังไม่มีเวลาพอที่จะรีดพิษออก คำสาปเข้าเสริมพิษที่อยู่ในกาย ก่อนระเบิดอีกครั้ง และออกฤทธิ์กดพลังปราณของเขา…ให้ตกลงอีกครา!
พลังปราณของเขาบัดนี้อยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นเรียบร้อยแล้ว กระแสความอ่อนแอไหลเข้าท่วมร่างอย่างไม่อาจควบคุมได้ ความรู้สึกที่ตนเองถูกช่วงชิงพลังกายและพลังชีวิตไปทำให้ผู้อาวุโสตัวสั่นสะท้าน ความกลัวและความหวาดหวั่นเข้าเกาะกุมดวงตา
ความตายที่ยากจะหลีกหนีทาบเงาทะมึนลงบนตัวชายชรา ร่างกายที่สั่นสะท้านล่าถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว เขาไม่สนใจสิ่งอื่นอีกแล้ว รู้เพียงว่าต้องหนีออกจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด หมดสิ้นซึ่งพลังจะต่อกรกับศัตรู
แต่นี่คือสนามรบที่หวังเป่าเล่อทุ่มเทพลังกายสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขาอุตส่าห์ปลดปล่อยคำสาปของหน้ากากให้ออกฤทธิ์ คำสาปซึ่งใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นตลอดภารกิจ ชายหนุ่มใช้ไพ่ตายเดียวที่ตนเองมีไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจะยอมปล่อยให้ศัตรูตัวร้ายหนีไปได้อย่างไรกัน หากคู่ต่อสู้ยังมีปราณอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย เขาอาจปล่อยอีกฝ่ายให้หนีไปโดยง่าย แต่ในเมื่อตอนนี้พลังปราณของผู้อาวุโสตกลงมาอยู่ที่ชั้นต้น… ชายหนุ่มก็รู้ว่าตนเองมีโอกาสชนะ!
เขาต้องสู้ และเขาจะต้องชนะการต่อสู้นี้ให้จงได้ หวังเป่าเล่อยอมใช้ทุกอย่างที่ตนเองมีเพื่อสังหารศัตรูคนนี้ให้สิ้นซาก นี่คือโอกาสเดียวที่มี ชายหนุ่มรู้ดีว่าแม้คำสาปจะถอนคืนไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าผลการต่อสู้นี้จะแน่นอนตายตัวแล้ว เนื่องจากฤทธิ์ของคำสาปอยู่ได้เพียงสิบห้านาทีเท่านั้น
หวังเป่าเล่อไม่มั่นใจว่าคำสาปจะกดพลังปราณที่แข็งแกร่งมากของผู้อาวุโสไว้ได้ถึงสิบห้านาทีหรือไม่ แต่สิ่งที่เขามั่นใจก็คือ… ทันทีที่คู่ต่อสู้หลุดออกจากอำนาจของคำสาปนี้แล้ว เขาจะต้องเผชิญศึกหนักกว่าเดิมแน่นอน หวังเป่าเล่อไม่ยอมตกเป็นรองโดยเด็ดขาด เขารู้ดีว่าตนเองไม่มีทางหนีศัตรูผู้นี้ได้ และไม่มีทางเลยที่จะเอาชีวิตรอดไปได้ก่อนที่การเคลื่อนย้ายจะเกิดขึ้น
ก็เพราะเช่นนี้อย่างไรเล่า… ข้าถึงต้องฆ่าไอ้แก่นี่ให้ได้! ดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงก่ำ ความบ้าคลั่งและความต้องการสังหารระเบิดออกจากกาย พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน เขาปล่อยพลังปราณของตนออกมาเต็มพิกัด ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าจะใช้พลังหมดไปในเวลาอันสั้น พลังเต็มขั้นของหวังเป่าเล่อทำให้ลมพัดกรรโชกในอากาศ ชายหนุ่มกระโจนออกจากพื้นดิน พุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด
หวังเป่าเล่อเคลื่อนที่เร็วมากจนทำให้เกิดเสียงระเบิดจากความไวเหนือแสง ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาให้คู่ต่อสู้ได้เห็น ร่างอวตารมากมายของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้นในอากาศ จากนั้นก็หลอมรวมเข้าเป็นชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวที่มายืนอยู่เบื้องหน้าผู้อาวุโสแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น ก่อนส่งหมัดลุ่นๆ ใส่คู่ต่อสู้
ชายหนุ่มใส่พลังปราณทั้งหมดที่ตนเองมีไว้ในหมัดนั้น ซึ่งถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีแล้ว พลังนั้นรุนแรงพอที่จะทำให้ทั้งสวรรค์และพื้นดินสั่นสะเทือน ลมกรีดร้องเกรี้ยวกราด เมฆหมุนย้อนกลับ ทว่า…คู่ต่อสู้ของเขาก็หาใช่ผู้ฝึกตนธรรมดาดาษดื่นไม่ แม้พลังปราณของผู้อาวุโสจะถูกกดให้ต่ำลงจนกลายเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น แต่พลังปราณที่แท้จริงของเขาก็ยังคงเป็นชั้นปลายอยู่วันยังค่ำ ด้วยเหตุนี้ชายชราจึงมีพลังมากมายสะสมไว้ให้ได้ใช้สอย
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่มากด้วยประสบการณ์ หลังจากที่ตกใจกับการโจมตีโดยฉับพลันของหวังเป่าเล่อเพียงเสี้ยววินาที ชายชราก็วาดมือซ้ายขึ้นไปในอากาศ เขามองจ้องหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงก่ำ เปลี่ยนฝ่ามือซ้ายให้หันเข้าหาตนเอง และกระแทกลงบนหน้าผากเข้าอย่างจัง
แสงสว่างสีเขียวระเบิดออกมาจากหน้าผากของผู้อาวุโส หลังไหลเข้าท่วมร่างกายของเขา และแปรเปลี่ยนเป็น…ต้นไม้ยักษ์!
ลำต้นของต้นไม้ยักษ์หนาใหญ่ กิ่งก้านใบดกเขียว หน้าตาคล้ายต้นไทรญี่ปุ่น ต้นไม้ยักษ์อัดแน่นด้วยกลิ่นอายแห่งความเก่าแก่ สัมผัสของหวังเป่าเล่อบอกเขาว่า ต้นไม้ยักษ์นี้คือเรือบินรบเวทที่ผู้อาวุโสซุกซ่อนเอาไว้ในกายตลอดเวลา
ทันทีที่เรือบินรบเวทของผู้อาวุโสปรากฏขึ้น เกราะป้องกันแข็งแกร่งที่แม้แต่คำสาปก็แทรกซึมเข้าไปไม่ได้ก็พลันเข้าครอบกายของชายชราในทันที หมัดของชายหนุ่มกระแทกเข้ากับอากาศ ตามมาด้วยเสียงดังลั่นจากแรงปะทะ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดขยับเขยื้อน
“ไอ้โง่ชั่วช้า การที่เจ้าอัดพลังทั้งหมดใส่ข้า ทำให้ข้าจำได้ว่าคำสาปที่พวกจุติอย่างเจ้าครอบครองนั้นมีเวลาจำกัด!”
“อีกไม่นานพลังของคำสาปก็จะสลายหายไปแล้ว พอถึงตอนนั้นเจ้าก็จะต้องมากราบกรานขอให้ข้าสังหารเจ้าเสีย ข้าจะถลกหนังเจ้า แล่เนื้อออกจากกระดูก เผาวิญญาณของเจ้าให้กลายเป็นจุณ ทำให้ชะตากรรมของเจ้าต้องพบกับความทรมานไม่มีที่สิ้นสุด ข้าจะทำลายบ้านเกิดของเจ้า ทำให้เจ้ารู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของการสูญเสียต้นกำเนิดของตนเองไป!” ดวงตาของผู้อาวุโสวาวโรจน์ด้วยความแค้นเคืองเข้ากระดูกดำ ร่างของเขาซ่อนอยู่เบื้องหลังพลังการปกป้องของต้นไม้ยักษ์ เขาไม่เคยประสบกับความพ่ายแพ้อันน่าอับอายเช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่ก้าวขึ้นมามีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะ
หวังเป่าเล่อตอนเขาให้จนมุม จนต้องนำเรือบินรบเวทที่พยายามหลอมมานาน 30 ปีที่อยํในร่างกายออกมาใช้ กระบวนเวทที่เขาใช้ในการหลอมเรือบินรบเวทนี้ ทำให้เหลือเวลาอีกเพียง 30 ปีเท่านั้นเขาก็จะพัฒนามันให้ก้าวขึ้นสู่ระดับต่อไปได้ เรือบินรบเวทในระดับต่อจากนี้จะช่วยให้เขาบรรลุสู่ขั้นดาวพระเคราะห์ได้โดยง่าย แต่ในเมื่อตอนนี้ชายชราได้นำเรือบินรบเวทออกมาใช้เป็นที่เรียบร้อย ก็แปลว่าความพยายามตลอด 30 ปีที่ผ่านมานั้นสูญเปล่า แล้วจะให้เขาใจเย็นอยู่ได้อย่างไร
แต่การตัดสินใจเอาเรือบินรบเวทออกมาใช้ก็เป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง ตัวเขาเองมีสมบัติเวทอยู่มากมายให้เลือกใช้ แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดทรงพลังเท่าเรือบินรบเวทอีกแล้ว เขาอยากมั่นใจว่าตนเองจะชนะในศึกนี้!
“ไอ้โง่ชั่วช้า ทีนี้ลองมาทำลายข้าดูสิ!” ผู้อาวุโสมองดูการโจมตีของหวังเป่าเล่อถูกสะท้อนกลับไปด้านหลัง ในขณะที่ลำต้นของต้นไม้ที่ปกป้องร่างกายของเขาอยู่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ เขาลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความโกรธเกลียดในดวงตาหยั่งรากลึกยิ่งขึ้น ชายชราเริ่มปลุกพลังปราณในกายของตนให้เดินหน้าเต็มที่ หมายใช้การโจมตีทำลายคำสาปให้หมดฤทธิ์เร็วกว่าปกติ
แต่เขาก็ประเมินความมุ่งมั่นของหวังเป่าเล่อต่ำไป ดวงตาของชายหนุ่มวาววับด้วยความโหดเหี้ยมรุนแรงทันทีที่ได้ยินคำเย้ยหยันจากปากของคู่ต่อสู้ตรงหน้า
“เจ้าอยากรู้ว่าข้าจะทำลายไอ้สิ่งนี้ได้อย่างไรหรือ เช่นนั้นมาดูกันดีกว่าว่าบิดาเจ้าคนนี้จะทำอย่างไร!” หวังเป่าเล่อคำรามก้อง ร่างกายเซถลาไปด้านหลังจะแรงสะท้อนของการโจมตี ชายหนุ่มกดเท้าลงบนพื้นให้มั่นคง ยกมือขวาขึ้นชี้ไปบนท้องฟ้า ก่อนตะโกนก้องอีกครั้ง
“เรือบินรบเวท!”
ความตกใจวาบเข้ามาบนใบหน้าของผู้อาวุโสทันทีที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เรือบินรบเวทแมลงปอสีเลือดของหวังเป่าเล่อ ลดระดับลงมาจากท้องฟ้ามาปรากฏอยู่เหนือต้นไม้ยักษ์ เสียงของชายหนุ่มที่เจือด้วยความบ้าคลั่งดังอีกครั้งเพื่อออกคำสั่ง
“จงระเบิดให้สิ้นซาก!”
ท้องฟ้าสั่นสะเทือนอีกครั้ง พื้นดินเคลื่อนตัวดังลั่นไปทั่วบริเวณ เรือบินรบเวทของหวังเป่าเล่อระเบิดเป็นไฟบรรลัยกัลป์ ส่งกระแสปราณให้พวยพุ่งออกสู่บรรยากาศโดยรอบ ราวกับเป็นดาวหางที่พุ่งตัดอวกาศเข้ามาสู่ชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ และกำลังจะตกใส่ต้นไม้ยักษ์พอดิบพอดี!
พลังการโจมตีนี้ทำให้ทุกอย่างรอบตัวสั่นสะท้าน หมู่เมฆเดือดพล่านดาวเคราะห์สั่นไหว ผู้ฝึกตนจากทุกซอกทุกมุมของดาวพากันตกใจ ขณะหันหน้าไปมองบริเวณที่หวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสกำลังต่อสู้กันเป็นตาเดียว!
บทที่ 823 สู้ยิบตา!
“เป็นไปไม่ได้!” ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังตะโกนสั่งให้เรือบินรบเวทของตนเองระเบิดนั้น สีหน้าของผู้อาวุโสก็เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เขาจำได้ว่าเรือบินรบเวทของอีกฝ่ายถูกทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดีไปแล้ว แต่บัดนี้มันกลับเกือบอยู่ในสภาพเดิมอีกครั้ง แม้ไม่ใช่ว่าจะซ่อมแซมไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่เขาก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะสามารถทำได้
การจะซ่อมสิ่งนี้… ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล และยังเป็นทรัพยากรหายากที่แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจหามาไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็เกิดขึ้นมาแล้ว ขณะที่สีหน้าของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยความตกใจ เรือบินรบเวทของหวังเป่าเล่อก็ลดระดับลงกระแทกเรือบินรบเวทต้นไม้ยักษ์ของชายชราเข้าอย่างจัง
ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นสะเทือนอีกครั้งจนดูเหมือนจะถล่มทลายลงมาต่อหน้า เรือบินรบเวทของหวังเป่าเล่อพังทลายลงเกือบหมด ทว่าการเสียสละนี้ทำให้ต้นไม้ยักษ์มีรูขนาดใหญ่ รูนี้ทำให้เกิดรอยแตกมากมายที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้น จนกระทั่งมีร่างหนึ่งกระโจนออกมา
ร่างดังกล่าวคือผู้อาวุโสของตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง ความจริงที่ว่าแนวป้องกันของเรือบินรบเวทของเขาพังทลายลงด้วยวิธีเหนือจินตนาการเช่นนี้ทำให้ชายชราหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เขาตระหนักแล้วว่าตนเองต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อเอาชนะศึกนี้ให้ได้ ความต้องการกำชัยของหวังเป่าเล่อทำให้หนังศีรษะของเขาชายิบๆ
ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นกระโจนออกมาจากต้นไม้ยักษ์ ในตอนนั้นเองดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายประกายเย็นเยียบ ชุดเกราะจักรพรรดิของชายหนุ่มเปลี่ยนสภาพไปพร้อมกับที่เขาปลดปล่อยโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาทั้งหมดออกมา ชายหนุ่มกระโจนไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นลูกไฟจำนวนมากจากเปลวไฟสีดำก็ระเบิดออกมารอบบริเวณ พวกมันรวมกันเป็นหนึ่งเดียวและไหลเข้าท่วมบริเวณนั้นทั้งหมด ส่งผลให้อุณหภูมิพุ่งขึ้นสูงพร้อมด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่เข้าครอบงำ ทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันท่ามกลางทะเลเพลิงสีดำ
คนทั้งคู่โจมตีใส่กันไม่หยุดบนทะเลเพลิงพร้อมด้วยเสียงดังกึกก้อง ต่างก็เข้าปะทะกันไปแล้วกว่าร้อยครั้งในระยะเวลาอันสั้น แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้มีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่เขาก็มีเกราะจักรพรรดิและโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่คอยสะท้อนการโจมตีออกไป ยิ่งไปกว่านั้นชายหนุ่มในตอนนี้ก็กำลังบ้าคลั่งด้วยความกระหายเลือด เขาต้องการฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะให้ได้ แม้ว่าตนเองจะต้องบาดเจ็บปางตายก็ตาม ความคลั่งนี้ทำให้ชายหนุ่มต่อกรกับผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
แรงปะทะทำให้พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือน การระเบิดทำลายตนเองของเรือบินรบเวทเมื่อครู่ส่งผลให้ผืนดินสั่นไหว และทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่ในบริเวณนั้นตัวสั่นด้วยความกลัว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรีบพุ่งเข้ามาดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
ขณะที่ทั้งสองกำลังปะทะกันอย่างเอาเป็นเอาตายกลางทะเลเพลิง ก็มีร่างหลายร้อยร่างปรากฏขึ้นรอบบริเวณและยังคงเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ ทำได้เพียงมองการต่อสู้ที่ทำให้ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นสะท้านด้วยแววตาที่ไม่อยากเชื่อแม้แต่นิด
“นั่นมันผู้บัญชาการกองทหารนี่!”
“ให้ตายเถิด ไอ้หน้ากากหมูนั่น…มันต่อกรกับผู้บัญชาการได้เสียด้วย!”
“แล้วเหตุใดพลังปราณของท่านถึงลดลงมากเช่นนี้!”
“เจ้าเห็นหรือไม่ รอบกายพวกเขามีซากเรือบินรบเวทกระจายอยู่เต็มไปหมด!” ขณะที่ผู้สังเกตการณ์พากันอุทานด้วยความตกใจนั้น พวกเขาก็ต้องตะลึงมากขึ้นไปอีกเมื่อสังเกตเห็นรายละเอียดโดยรอบ นอกจากนี้ผู้มาจุติหลายคนก็รีบมาดูเหตุการณ์ด้วยความระแวดระวัง พวกเขาแอบซ่อนอยู่ คอยมองการต่อสู้จากระยะไกล หลังจากที่เห็นหวังเป่าเล่อ หัวใจของทุกคนก็สั่นสะท้าน
แม้ทุกคนจะเกลียดหวังเป่าเล่อเข้าไส้ เนื่องจากการพลิกแผ่นดินตามหาตัวชายหนุ่มของตระกูลไม่รู้สิ้นทำให้พวกเขาเดือดร้อนต้องหนีหัวซุกหัวซุน แต่การที่หวังเป่าเล่อสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ ก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงมากเช่นกัน
ปรมาจารย์แห่งไฟเองก็จับตาดูอยู่ด้วย ชายชราคอยสังเกตการณ์มาตั้งแต่ต้น และกำลังดูการต่อสู้ด้วยความเพลิดเพลินจนไม่กล้าละสายตา
แต่หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามาสนใจผู้ชมโดยรอบไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักกันก็ตาม ตอนนี้จิตทั้งหมดของเขาเพ่งอยู่ที่ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นเพียงเท่านั้น ความต้องการสังหารทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ส่งการโจมตีออกไปประหัตประหารศัตรู
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ผู้อาวุโสแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นจะต้องพลิกกลับมาเป็นต่ออย่างแน่นอน ทว่านี่เป็นสนามรบที่หวังเป่าเล่อสร้างขึ้นเอง ดังนั้นเปลวไฟสีดำที่เผาไหม้ทั่วบริเวณจึงทวีความรุนแรงขึ้นอีก มันกระจายตัวออกมา เพิ่มอุณหภูมิขึ้นแผดเผาผู้อาวุโสแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นมากขึ้น และส่งผลต่อสภาพในการรบของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็สร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ เพื่อสั่งให้เปลวไฟสีดำระเบิด เปลี่ยนสภาพไปเป็นหมัดเพลิงสีดำ ที่พุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้น
รูปร่างของเปลวเพลิงก็เปลี่ยนไปเช่นกัน มันคอยไหลวนไปรอบๆ บริเวณอย่างต่อเนื่อง ดวงตาปีศาจเบื้องหลังชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าพลังในการตรึงคู่ต่อสู้ให้หยุดนิ่งอยู่กับที่จะถูกเรียกใช้งานอีกครา
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทำให้ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นตกใจและกระวนกระวายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกได้ว่าคำสาปในกายยังไม่จางหายไปไหน นอกจากนี้พลังที่เข้ามาแทรกแซงก็ทวีความรุนแรงขึ้นอีก จนดูราวกับว่าพลังปราณของเขากำลังจะถดถอยลงอีกครั้ง ผู้อาวุโสรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า เขาไม่อยากต่อสู้กับชายหนุ่มอีกต่อไปแล้ว อยากแต่จะหนีเอาชีวิตรอดไปให้ไกลเท่านั้น
เมื่อภาพนี้ปรากฏต่อสายตาทุกคน พวกเขาก็ตกใจมากขึ้นไปอีก การที่หวังเป่าเล่อต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะท่ามกลางซากเรือบินรบเวทก็มากพอที่จะทำให้วิญญาณของพวกเขาสั่นสะท้านแล้ว แต่ตอนนี้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะผู้นี้กลับทำท่าเหมือนอยากถอยหนี เรื่องนี้ยิ่งทำให้พวกเขาทึ่งและตกใจมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
ขณะที่ผู้สังเกตการณ์โดยรอบกำลังหวาดกลัวอยู่นั้น ผู้อาวุโสก็เริ่มหนีพร้อมส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไปด้วย
“จะหนีรึ” เมื่อชายชราล่าถอย หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาและกระโจนตามไป ทันทีที่ชายหนุ่มพุ่งออกไป ประกายเย็นเยียบก็วาบเข้ามาในดวงตาของผู้อาวุโสผู้ที่กำลังหลบหลีก ความหวาดกลัวสลายหายไป ความอำมหิตพลันเข้ามาแทนที่ ร่างกายของเขาส่งเสียงระเบิดออกมา ก่อนที่ศีรษะที่สองและสามจะโผล่พ้นจากคอ ตามมาด้วยแขนอีกสี่ที่แทงทะลุจากลำตัว
เขากำลัง… เปิดเผยร่างที่แท้จริงของตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง ความจริงแล้วร่างนี้ควรมีสามหัวและหกแขน แต่แขนข้างหนึ่งเพิ่งถูกทำลายไป จึงทำให้ตอนนี้เขามีอยู่เพียงสามหัวและห้าแขนเท่านั้น!
“ผนึกไม่รู้สิ้น!” ทันทีที่ร่างที่แท้จริงปรากฏ ผู้อาวุโสก็หยุดอยู่กับที่ เขาสร้างผนึกฝ่ามือด้วยแขนห้าข้างที่เหลือ ศีรษะทั้งสามร้องคำรามก่อนชี้มือทั้งหมดไปยังหวังเป่าเล่อ ตอนนั้นเองแผนที่ดวงดาวก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้อาวุโส แขนทั้งห้ากลายสภาพเป็นจักรภพ ศีรษะทั้งสามกลายเป็นดารานิรันดร์ จักรวาลขนาดย่อมที่อุบัติขึ้นนี้ทำให้สวรรค์และพิภพบิดเบี้ยว พลังการผนึกพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อในทันที!
ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมาก ภายในพริบตาผนึกก็ประทับลงบนกายหวังเป่าเล่อ แต่ในตอนที่พลังจากผนึกกำลังจะระเบิดนั้น ร่างของชายหนุ่มก็พลันหายไปเสียก่อน ร่างที่ถูกจองจำไว้เป็นเพียงร่างอวตารของเขา หาใช่ร่างจริงไม่!
ภาพที่เห็นทำให้ดวงตาของผู้อาวุโสหรี่ลง ร่างของเขาถอยหนีโดยฉับพลันแต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว หมอกพลันอุบัติขึ้นจากความว่างเปล่าทางด้านขวาของชายชรา และร่างที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อก็ก้าวออกจากความว่างเปล่าดังกล่าว ดวงตาของชายหนุ่มเอ่อท้นด้วยความต้องการสั่งหาร เกราะจักรพรรดิฉายแสงสว่างเรืองรองออกมา ขณะที่ชายหนุ่มพุ่งหมัดใส่ชายชรา
ความเร็วของเขาบวกกับการปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นไม่มีเวลาพอจะเปลี่ยนเป้าหมายของผนึก เขาทำได้เพียงกู่ร้องขณะหันไปสร้างผนึกฝ่ามือด้วยแขนทั้งห้าเพื่อส่งพลังเทพออกไป มือสีดำปรากฏขึ้นและพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ หมายจะจับตัวชายหนุ่ม
“สลายไปเสีย!” หวังเป่าเล่อร้อง เขาไม่ได้ลดความเร็วลงแต่อย่างใด แต่กลับเร่งความเร็วขึ้นอีกเพื่อพุ่งเข้าปะทะ ทันทีที่ทั้งสองพุ่งเข้าชนกัน ชายหนุ่มก็สั่งให้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกายุบตัวลง เพื่อแลกกับพลังสะท้อนกลับเต็มพิกัด
ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นสะท้าน เสียงดังกึกก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ทันทีที่โล่ยุบตัว พลังสะท้อนกลับทั้งหมดก็สาดใส่ร่างทั้งร่างของผู้อาวุโส ชายชราตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ กระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ ร่างกายเซถลาไปด้านหลังอย่างรุนแรง ใบหน้าซีดเผือด แต่หวังเป่าเล่อก็ยังคงกระโจนใส่อย่างไม่ลดละ เมื่อเห็นดังนั้นชายชราก็กัดลิ้นเพื่อให้ตนเองกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เลือดนั้นเปลี่ยนไปเป็นหมอกโลหิตที่กลายสภาพเป็นกระบี่สีแดงจำนวนมาก กระบี่โลหิตเข้าปัดป้องตัวเขาออกจากการโจมตีของหวังเป่าเล่อ จึงทำให้ผู้อาวุโสสามารถหนีออกไปได้รวดเร็วขึ้น
แต่คู่ต่อสู้ของเขาเป็นชายที่โหดเหี้ยมทั้งกับศัตรูและตนเอง แม้กระบี่โลหิตจะทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายมหาศาล แต่ชายหนุ่มก็ยังกัดฟันพุ่งทะลุผ่านไป ปล่อยให้คมกระบี่เหล่านั้นกรีดแทงเนื้อของตนเองอย่างอิสระ ร่างของเขาถูกแทงเป็นแผลหลายจุดแม้จะมีเกราะจักรพรรดิปกป้องอยู่ก็ตาม ชายหนุ่มทะยานทะลุโล่กระบี่ พุ่งหมัดเข้าใส่หัวใจของผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้น
พลังของหมัดเมื่อรวมเข้ากับเกราะจักรพรรดิและพลังปราณของหวังเป่าเล่อ นั้นมากพอที่จะทำให้ผู้อาวุโสหัวใจล้มเหลวได้ แต่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มก็ปล่อยพลังเทพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนออกมา และทำเพียงอุทานเบาๆ ดูเหมือนว่าชายชราจะสับเปลี่ยนความเสียหายที่หัวใจไปยังส่วนอื่นของร่างกาย ศีรษะข้างหนึ่งของเขาระเบิดออกมา ชายชราใช้แรงระเบิดนั้นในการพุ่งตัวหนีออกไปให้ไกลมากขึ้นอีก
เมื่อออกจากรัศมีการโจมตีได้เรียบร้อย ชายชราก็กระอักเลือดออกมายกใหญ่ พลังปราณลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเขาอาบเคลือบด้วยความตกใจ ขณะที่ปากส่งเสียงตะโกนก้องไปทั่วบริเวณ
“รอบ้าอะไรอยู่ มาช่วยข้าหนีเร็วเข้า!” ผู้อาวุโสยังคงถอยหนีอย่างไม่ลดละ
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงเมื่อได้ยิน แต่ก็รีบสะกดความไม่พอใจไว้ และปล่อยความกระหายเลือดเข้ามาแทนที่ ชายหนุ่มไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตน แต่กลับพุ่งตามคู่ต่อสู้ไปโดยหมายเอาชีวิต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น