อยากกินไหมล่ะ 812-813
บทที่ 812 ผลงานแกะสลักน้ำแข็งกลายเป็นที่นิยม
ใช่แล้วล่ะ คนแรกที่ได้กลิ่นก็คือเฉินเว่ยนั่นเอง ถึงอย่างไรในเรื่องของการดมกลิ่นเหล้าแล้ว เฉินเว่ยที่มีจมูกสุนัขก็นับว่าเก่งกว่าอู๋ไห่ทีเดียว
“อืม กลิ่นหอมจัง” นักเขียนนิยายพยักหน้าเห็นด้วย
ฟองยังคงอยู่และกลิ่นของเบียร์ก็ชัดจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว การผสมผสานของกลิ่นและอุณหภูมิเย็นเฉียบให้ความรู้สึกมึนเมา
อึก นักเขียนนิยายกระดกเบียร์เข้าไปอึกใหญ่
เมื่อเบียร์เข้าปากยังคงเย็นเฉียบอยู่เลยแต่ทันทีที่เบียร์ไหลลงคอไปแล้วก็อุ่นขึ้นก่อนที่ทั้งคอจะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของข้าวสาลีสีทอง
“ฟู่ ไม่เลวเลยทีเดียว” นักเขียนนิยายกล่าวพลางยิ้มบาง
จากนั้น นักเขียนนิยายก็กระดกเข้าไปอีกอึกหนึ่ง
คราวนี้รู้สึกเหมือนเบียร์จะกลมกล่อมขึ้นราวกับว่ามีสวิตช์บางอย่างกดเปิดอยู่ในร่างของเขาอย่างไรอย่างนั้นแหละ ทันทีที่เบียร์เข้าปาก กลิ่นหอมอันน่าพึงพอใจก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากปากของเขา
เบียร์เย็นเฉียบในขณะที่ร่างของเขาอบอุ่น เพียงไม่นานใบหน้าของนักเขียนนิยายก็พลันแดงก่ำและรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในกะโหลกศีรษะอันเป็นความอบอุ่นที่กระจายไปทั่วร่างของเขา
นี่ก็คือความอบอุ่นที่แสนนุ่มละมุนอันเป็นความอบอุ่นที่กระจายจากภายในสู่ภายนอกนั่นเอง
“อร่อยดีนะ แถมยังต่างไปจากเบียร์หมักยีสต์นอนก้นที่มีรสชาติร้อนแรงลอยอวลอยู่ไม่ขาดสาย” เฉินเว่ยพยักหน้าแล้วกล่าวไปพลางดื่มไปพลาง เพียงแค่สูดหายใจไปเฮิอกเดียวเขาดื่มเบียร์หมดไปครึ่งแก้วแล้ว
สำหรับเฉินเว่ยแล้ว เมื่อเบียร์เข้าปาก รสชาติที่ขมนิดๆจะเริ่มกระจายออกมาจากปลายลิ้น แต่ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงรสขมอันท่วมท้น กลิ่นแอลกอฮอล์ปรากฏขึ้นไปทั่วปาก และเมื่อเขากลืนเบียร์ลงไปก็รู้สึกได้ถึงความกลมกล่อมและความสดชื่นเลยเชียวล่ะ
“สมกับเป็นเหล้าของเถ้าแก่หยวนจริงๆ รสชาติดีมากเลยล่ะ” เฉินเว่ยกล่าวก่อนที่จะกระดกเข้าไปอีกอึกหนึ่ง คราวนี้เขาก็ดื่มเข้าไปอีกเกือบครึ่งแก้วโดยหลงเหลือเบียร์ไว้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น
“อา…” เฉินเว่ยระงับตัวเองไว้ไม่อยู่ได้แต่ครางออกมาด้วยความพึงพอใจ
“เบียร์สดชื่นมากเลยแถมยังไม่รู้สึกขมเลยสักนิดเดียว กลิ่นเบียร์เข้มข้นและกลิ่นหอมของข้าวสาลีก็น่าพึงพอใจมากทีเดียวเลยล่ะ นี่คือเบียร์สดที่ยอดเยี่ยมมากเชียวล่ะ” เฉินเว่ยกล่าวพลางวางแก้วลง
“อร่อยดีจริงๆ เมื่อก่อนฉันมักจะนึกว่าเบียร์ทั้งขมและเผ็ดร้อนเสียอีกนะ ถึงแม้ว่าเบียร์แก้วนี้จะขมอยู่เหมือนกันแต่กลับไม่เผ็ดร้อนเลยแถมรสขมยังให้ความรู้สึกดีอีกต่างหาก” ญินยากล่าวไปพลางดื่มไปพลาง
“ใช่เลยล่ะ เบียร์รสชาติดีมากเลยทีเดียว” แม้แต่เจียงฉางซี่ที่ชื่นชอบในการดื่มเหล้าก็ยังพยักหน้ายอมรับ
“เฮ้อ แพ้อีกแล้ว” ฟางเหิงรำพึงพลางขมวดคิ้วไปพลางดื่มไปพลางไม่หยุดหย่อน
“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า ยังไงนายก็ไม่สามารถเหนือล้ำกว่าเถ้าแก่หยวนได้หรอก” เฉินเว่ยกล่าวไปพลางหัวเราะไปพลาง
“ทำไมนายถึงได้ซื่อขนาดนี้นะ?” ฟางเหิงเหลือบมองเฉินเว่ย
“ฉันไม่สนใจนายแล้ว เซินหมิน ขออีกแก้วนะ ในภายภาคหน้าเจ้าสิ่งนี้จะเป็นแก้วส่วนตัวของฉันล่ะ” เฉินเว่ยกล่าวไปพลางยกแก้วขึ้นโดยไม่ทำให้เบียร์ที่อยู่ในนั้นหกออกมาแม้แต่หยดเดียว
“ใช่แล้วล่ะ เถ้าแก่หยวนบอกว่าแก้วจะสลักชื่อผู้ที่เป็นเจ้าของเอาไว้บนนั้นด้วยนี่นา” เซินหมินพยักหน้า
ก่อนหน้านี้เธอลืมบอกเรื่องนี้กับพวกเขาไปเลย
“ฟังดูเข้าท่าดีนี่ รู้สึกว่ามีแก้วส่วนตัวอยู่ที่นี่ยังไงก็ดีกว่าแหละน่า” เจียงฉางซี่กล่าวด้วยความรู้สึกอิจฉา
“ฟังดูเข้าท่าจริงๆด้วย” ญินยาหน้าแดงเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าแก้วที่มีชื่อเธอสลักเอาไว้อยู่ภายในร้านหยวนโจว
“นี่เป็นความคิดที่ดีเชียวล่ะ ฉันอยากเรียนรู้จากมันแล้วเอาไปทำให้ลูกค้าได้ลองดื่มดูบ้างจัง” ฟางเหิงกล่าวออกมาตรงๆ
“จึ๊ จึ๊ เจ้าพ่อค้าหน้าเลือดเอ้ย” นักเขียนนิยายกล่าวขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันจะขออนุญาตจากเถ้าแก่หยวนก่อนที่จะทำเช่นนั้นแน่ ถึงยังไงฉันก็กำลังเรียนรู้จากเถ้าแก่หยวนอยู่นะ” ฟางเหิงกล่าว
“เอาล่ะ มาดื่มกันต่อเถอะ ขอฉันอีกแก้วนะ” เจียงฉางซี่ชี้ไปที่แก้วแล้วกล่าวขึ้นมา
ใช่แล้วล่ะ ฟางเหิงไม่ได้ดื่มตรงๆจากแก้ว แต่เขาดื่มจากแก้วที่ได้มาจากนักเขียนนิยาย แบบนั้นเบีย์ในแก้วก็จะสามารถแบ่งกับผู้อื่นได้
“มาเลย มาดื่มเบียร์กัน!” เฉินเว่ยยกแก้วขึ้นแล้วกล่าวด้วยความร่าเริง
“เชียร์ส” พวกเขากล่าวแล้วเริ่มดื่ม
ด้วยการเพิ่มเบียร์เข้ามา ผับของหยวนโจวกลับครึกครื้นยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อก่อนทุกคนมักจะต่อสู้แย่งชิงเหล้ากัน แต่มาตอนนี้ทุกคนกำลังแข่งกันว่าใครจะดื่มได้มากกว่ากันแทนเสียนี่
นี่คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของเบียร์ มันช่วยให้ผู้คนได้ผ่อนคลายตัวเองเพื่อช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น
…
ยามค่ำคืนผ่านพ้นไป ย้อนกลับไปที่อู๋ไห่กันบ้างดีกว่า เขาเริ่มเรื่องมากเรื่องอาหารการกินขึ้นมาอีกแล้ว
“ไม่เอา ฉันไม่กินอันนี้ ยังไงก็ไม่กิน” อู๋ไห่กล่าว
“ไห่น้อย นายต้องกินอะไรบ้างนะ” เจิ้งเจียเว่ยแนะนำ “นับตั้งแต่นายกินอะไรสักอย่างเข้าไปเมื่อคราวล่าสุดนี้นายก็ไม่ได้มากินอะไรมาทั้งวันเลยนะ”
ก่อนหน้านี้อู๋ไห่ก็กินเนื้ออบแห้งกับลูกอมรสผลไม้รวมเข้าไปแล้ว ทว่านับตั้งแต่วาดภาพนี่แหละชีวิตเสร็จ เขาก็เลิกกินทั้งสองอย่างไปเลย
เมื่อต้องเผชิญกับการเกลี้ยกล่อมของเจิ้งเจียเว่ย อู๋ไห่ถึงกับแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไปแล้ว ผู้คนมักจะทำตามอารมณ์ของตัวเองและอารมณ์อาจจะเป็นผลมาจากภาพเขียนด้วย บ่อยครั้งที่ภาพเขียนมักจะส่งผลเป็นอย่างยิ่งต่ออารมณ์ของจิตรกร
แน่นอนว่าเรื่องนั้นสามารถใช้ได้ผลกับจิตรกรคนอื่นๆเท่านั้น แต่หาใช่กับอู๋ไห่ เขาเพียงแค่ไม่กินเพราะเรื่องมากและรู้สึกไม่อยากกินอาหารที่นี่ก็เท่านั้นเอง
“มาเถอะ ไห่น้อย” เจิ้งเจียเว่ยกล่าวอย่างไม่ย่อท้อต่อไป
อันที่จริงแล้วเจิ้งเจียเว่ยมีความสามารถในการทำงานของตัวเองมากทีเดียว เมื่อเขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้อู๋ไห่กินอาหาร อู๋ไห่ก็จะโมโหก่อนที่จะระเบิดอารมณ์ออกมา และสุดท้ายตอนนี้เขาก็รู้สึกจนปัญญากับเจิ้งเจียเว่ยแล้ว
“นอกจากอาหารของเจ้าเข็มทิศแล้ว ฉันจะไม่กินอะไรทั้งนั้นแหละ” อู๋ไห่กล่าวพลางนั่งลงข้างต้นไม้แล้วแสร้งทำตัวราวกับปลาตาย
“’งั้นก็กลับกันเถอะ” เจิ้งเจียเว่ยกล่าว “ฉันจะเก็บข้าวของให้แล้วพวกเราค่อยกลับมาพรุ่งนี้ก็ได้”
เขานึกว่าอู๋ไห่จะดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นเสียอีก น่าแปลกที่อู๋ไห่กลับลูบท้องแฟบๆของตัวเองแล้วส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก การออกเดินทางมาเขียนภาพของฉันยังไม่จบ”
“ทีแรกแผนของนายคือพักอยู่ที่นี่สักอาทิตย์ แต่พวกเราอยู่ที่นี่กันมาครึ่งเดือนแล้วนะ” เจิ้งเจียเว่ยเริ่มนับเลขด้วยความหวังว่าจะเกลี้ยกล่อมอู๋ไห่ได้สำเร็จ “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรวมนั้แหละชีวิตเข้าไปแล้ว นายเขียนภาพที่นี่เสร็จไปเจ็ดชิ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ใช้หรือผลลัพธ์ของภาพเขียน การออกเดินทางมาเขียนภาพควรจะจบลงได้เสียที”
“นี่เป็นการออกเดินทางมาเขียนภาพของนายหรือของฉันกันแน่?” อู๋ไห่ขึ้นเสียง “ถ้าฉันบอกว่ายังไม่จบก็คือยังไม่จบสิ”
“นายคิดจะอยู่ไปอีกนานสักแค่ไหนกัน?” เจิ้งเจียเว่ยถาม
อู๋ไห่จับผมมันเยิ้มเอาไว้ เขารู้สึกว้าวุ่นใจมากทีเดียวเมื่อได้ยินคำถามนี้ เขารู้สึกว่ายังขาดอะไรบางอย่างจากหุบเขาแห่งนี้
เขามีความรู้สึกว่ามีบางอย่างที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่เขายังไม่ได้วาดลงไป นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หิวโหยอย่างเขายืนกรานที่จะอยู่ที่นี่ต่อ
ในขณะเดียวกัน ทุกอย่างข้างหยวนโจวกำลังดำเนินไปด้วยความราบรื่น หลังจากวิดีโอผลงานแกะสลักน้ำแข็งของเขาถูกอัพโหลดขึ้นอินเตอร์เน็ต เขาก็โด่งดังเป็นพลุแตกทีเดียว
วิดีโอมากมายถูกอัพโหลดขึ้นเว่ยป๋อด้วยหัวข้อดังต่อไปนี้: [เชฟในตำนานของรายการโฟล์คทาเลนต์], [เถ้าแก่หยวนแสดงความเท่ห์อีกครั้ง], [เชฟที่ฉันถ่ายวิดีโอเอาไว้ได้เมื่อบ่ายนี้]…
ถึงอย่างไรก็มีคนไม่มากนักหรอกที่จะสามารถแกะสลักมังกรคู่ไล่กวดไข่มุกได้ โดยเฉพาะหยวนโจวที่ใช้มีดทำครัวในการแกะสลักอีกต่างหาก
ดังนั้นแม้แต่คนที่ไม่ใคร่จะเชี่ยวชาญในผลงานแกะสลักน้ำแข็งนักก็สามารถดูออกว่าหยวนโจวมีฝีมือในการแกะสลักขั้นเทพเลยเชียวล่ะ
“การแกะสลักด้วยมีดทำครัว ฉันกำลังตาฝาดอยู่ใช่ไหม?”, “ถ้าไม่ใช่เพราะวิดีโอนี้สั่นเกินไปแถมยังขาดตอน ฉันก็คงเชื่อไม่ลงหรอก”, “ในฐานที่เป็นลูกมือฝึกหัดที่เรียนรู้การแกะสลักน้ำแข็งมาสองปี ฉันรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งนี้จริงๆ ขอถามยอดฝีมือแห่งการแกะสลักน้ำแข็งหน่อยได้ไหมว่าเจ้าสิ่งนั้นได้แสดงอยู่ในวิดีโอด้วยหรือเปล่า?”…
คำถามสุดท้ายเป็นคำถามที่ถูกคนที่มีชื่อผู้ใช้งานว่าขอยืมหนังสือหน่อยสิถามขึ้นมา แน่นอนว่าเลขที่อยู่ไอพีของคนผู้นี้ย่อมมาจากที่ใดที่หนึ่งนอกเมืองเฉิงตู
บทที่ 813 แนะนำคน
ผู้คนที่เสฉวนพากันให้ความสนใจในผู้ที่มีเลขที่อยู่ไอพีอยู่ที่เมืองฮาร์บินและมีชื่อผู้ใช้งานว่าขอยืมหนังสือหน่อยสิผู้นี้มากทีเดียว โดยเฉพาะผู้ที่ไปร้านกยวนโจวเมื่อก่อนหน้านี้
พวกเขาเริ่มแสดงความสามานถในการเล่าเรื่องกันทีละคนๆ “นายไม่รู้หรอกว่าใครคือยอดเชฟที่อยู่ในวิดีโอคนนั้น? ยอดฝีมือแห่งการแกะสลักน้ำแข็งเป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมที่สุดท่ามกลางยอดฝีมือทั้งหลาย และเป็นเชฟที่ตระหนี่ถี่เหนียวที่สุดท่ามกลางเชฟทั้งหลายอีกต่างหาก”
มีบางคนเอ่ยขึ้นมาว่า “ดีแล้วและที่นายไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ดูเหมือนว่าเถ้าแก่หยวนยังไม่มีโอกาสทำลายเมืองของนายสินะ”
ต่างจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ที่อาหารของเขากลายเป็นอาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ต คราวนี้เป็นวิดีโอที่กำลังโด่งดังและฝีมือการแกะสลักน้ำแข็งของหยวนโจวได้รับความนิยม แต่สิ่งนี้กลับไม่ได้รับการเอ่ยถึงในร้านของเขา
แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ เมื่อกลายเป็นอาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ต ผู้คนก็จะพากันถามว่าพวกเขาจะสามารถกินอาหารจานนั้นได้จากที่ไหนกัน แต่เนื่องจากเป็นฝีมือการแกะสลักน้ำแข็งที่ได้รับความนิยม ย่อมไม่มีใครถามหรอกว่าพวกเขาจะสามารถกินผลงานแกะสลักน้ำแข็งชิ้นนั้นได้จากที่ไหนกัน
แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครถามเรื่องนั้นหรอก คนที่กินน้ำแข็งยังมีน้อยกว่าคนที่กินดินเสียอีก แน่นอนว่าเมื่อวิดีโอนี้ได้รับความโด่งดังและมีคนสำคัญสองคนมาพบเห็นเข้า หลายๆสิ่งหลายๆอย่างกลับน่าสนใจมากขึ้น
หนึ่งในสองคนนั้นก็คือผู้กำกับต้าไห่ที่เคยมาที่ร้านเพื่อถ่ายวิดีโอโปรโมตนั่นเอง ตอนนี้เขามีสีหน้าคร่ำเคร่งและอ่านไม่ออก
เขาอยู่ในช่วงหยุดพักเนื่องจากทำงานส่วนใหญ่ในตอนนี้เสร็จแล้ว เขาเริ่มเข้าเว่ยป๋อตามความเคยชินและทันทีที่เข้าเว่ยป๋อไปแล้ว เขาก็เห็นคนผู้หนึ่งที่เขากำลังเฝ้าติดตามกำลังแชร์วิดีโอที่มีชื่อว่า “แตะลงตรงนี้เพื่อดูว่ามีดทำครัวจริงๆแล้วเป็นยังไงกันแน่”
สมควรบอกว่าชื่อวิดีโอนี้ค่อนข้างสร้างความสับสนมากทีเดียว ลำพังแค่ชื่อเพียงอย่างเดียวก็ไม่มีใครสามารถคาดเดาเนื้อหาของวิดีโอได้แล้ว
นี่คือวิดีโอการทำอาหารงั้นหรือ? พักนี้ต้าไห่กำลังถ่ายวิดีโอโปรโมตอาหารที่ทำขึ้นมาจากข้าวสาลีอยู่ ดังนั้นเขาจึงให้ความสนใจในการทำอาหาร เพราะฉะนั้นเขาก็เลยแตะลงบนวิดีโอ
ถัดมา เขาก็ได้เห็นบางคนที่แสนคุ้นเคย…
“เป็นเถ้าแก่หยวนนี่เอง” ต้าไห่จ้องมองไปที่วิดีโอพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ทันทีที่เขาเห็นใบหน้าดวงนั้น เขาก็พลันนึกถึงความทรมานที่เขาต้องได้รับในคืนนั้นและอาการปวดท้องของเขาขึ้นมาได้
หลังจากดูวิดีโอแล้ว ต้าไห่ก็ไม่มีทางเลือกอีกนอกเสียจากยอมรับว่าฝีมือการแกะสลักน้ำแข็งที่แสดงในวิดีโอช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
“ลำพังแค่วิดีโออาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเถ้าแก่หยวนช่างมีฝีมือเสียจริงๆ แล้วนี่ก็คือโลกที่เมตตาผู้ที่มีฝีมือ”
ต้าไห่ถอนหายใจแล้วพึมพำว่า “ในที่สุดฉันก็เข้าใจสาเหตุที่ผู้คนเอาแต่พูดถึงเรื่องพวกนั้นในอินเตอร์เน็ตสักที”
ลูกค้า เอ: ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมือการทำอาหารอันยอดเยี่ยมของเถ้าแก่หยวนล่ะก็เขาคงถูกตีตายไปนานแล้วแหละ
ลูกค้า บี: นายมันก็อคติเกินไปนะ นายคิดว่าเขาจะยอมจำนนต่อโชคชะตาด้วยการถูกตีตายงั้นรึ?
ลูกค้า ซี: พวกนายสองคนต้องรักเขาอย่างสุดซึ้งมากเลยสินะถึงได้อยากจะตีเขาให้ตายอย่างเดียวเลย
หลังจากดูวิดีโอแล้ว ต้าไห่ก็ตัดสินใจโทรหาคนจากฝ่ายผลิต ผู้ช่วยหัวหน้าเป็นคนรับสายของเขา
“จำคำพูดฉันไว้ให้ดีนะ อย่าตัดส่วนนั้นออกเป็นอันขาดเชียวล่ะ”
“ส่วนที่เถ้าแก่หยวนกินก็ต้องรวมเข้าไปด้วยนะ”
“ได้ครับ เรื่องนั้นจะมีผลต่อการโปรโมตมากเลยล่ะครับ”
หลังจากกำชับเรื่องพวกนั้นแล้ว ต้าไห่ก็วางสายไป แทนที่จะต้องทนทรมานอยู่คนเดียว เขาน่าจะแบ่งปันความทรมานให้กับโลกใบนี้ด้วยสิ
สมาชิกในทีมของพวกเขาจะเป็นฝ่ายเดียวที่ต้องทรมานกับการดูเถ้าแก่หยวนกินขณะที่พวกเขากำลังหิวได้อย่างไรกันเล่า?
พวกเขาจะต้องแสดงให้เห็นว่าบะหมี่เย็นนึ่งของเถ้าแก่หยวนยอดเยี่ยมขนาดไหนก่อนที่จะแสดงให้เห็นตอนที่เถ้าแก่หยวนกำลังกินบะหมี่ของตัวเอง
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นด้วยก็คือฝีมือการทำอาหารของเถ้าแก่หยวน เพียงแค่มองอาหารของเขาก็กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารได้มากแล้ว
ไม่ว่าผู้ใดก็คงพอนึกถึงท่าทีตอบสนองของผู้คนหลังจากที่พวกเขาเห็นวิดีโอนี้ได้
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” ต้าไห่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เมื่อคิดว่าผู้ชมจะรู้สึกถึงความทุกข์ทรมานจากวิดีโอหลังจากดูมันแล้วทำให้เขารู้สึกเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง
จากอุปนิสัยของต้าไห่ ไม่ว่าใครก็คงทราบว่าทำไมเขายังไม่โด่งดังเสียทีทั้งๆที่อยู่ในแวดวงการถ่ายทำมาตั้งนานแล้ว
ส่วนคนที่สองเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ เขามีนามว่าหยางซู่ซินที่มีอายุราวๆ 40 ปี ด้วยวัยขนาดนี้ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์เรื่องงานหรือเรื่องอื่นๆ เขาย่อมแทบจะไม่เข้าชมเว่ยป๋ออยู่แล้ว
หยางซู่ซินไม่มีความเคยชินกับการเข้าเว่ยป๋อเอาเสียเลย ซู่ซินก็คือชื่อผู้ใช้งานบนเว่ยป๋อของเขานั่นเอง นี่คือชื่อผู้ใช้งานที่เขาใช้เพื่อย้ำเตือนตัวเองให้ฝึกจิตอยู่เสมอ ในแง่ของนิสัยใจคอ หยางซู่ซินเป็นคนที่ค่อนข้างหัวโบราณทีเดียว
บุตรชายของเขาเป็นคนแนะนำวิดีโอผลงานแกะสลักน้ำแข็งของหยวนโจวให้เขา
นี่คือเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น อยู่มาวันหนึ่งหยางซู่ซินได้รับสายจากบุตรชายของเขาที่กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย “พ่อฮะ พ่อหาคนมาทำผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าด้วยได้หรือยัง? ผมมีคนหนึ่งอยากแนะนำ”
“แกจะไปรู้จักยอดฝีมือได้ยังไงกัน?” หยางซู่ซินขมวดคิ้วนิ่วหน้าแล้วหาได้พูดอ้อมค้อมแต่อย่างใด
“ดูสักหน่อยเถอะฮะ ไม่เสียหายอะไรสักหน่อยใช่ไหมล่ะ?” หยางหวั่นเซิงถึงกับพูดไม่ออกแต่ก็ยังคงพยายามต่อไปจนแนะนำเสร็จ
หยางซู่ซินเป็นยอดฝีมือด้านการแกะสลักน้ำแข็งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในประเทศ เขาเคยได้รางวัลในการแข่งขันแกะสลักน้ำแข็งระดับนานาชาติ ปีนี้เป้าหมายใหม่ที่เขาตั้งเอาไว้ให้ตนเองก็คือทำผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าให้เสร็จนั่นเอง
อย่างที่บอกไปแล้วก่อนหน้านี้ว่ามังกรหลายตัวแกะสลักได้ยากที่สุด แถมผลงานแกะสลักมังกรนพเก้ายังเป็นผลงานแกะสลักที่จำเป็นต้องแกะสลักมังกรให้สมจริงและมีชีวิตชีวาโดยที่แต่ละตัวจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นภารกิจที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
อย่างไรเสียนี่ก็หาใช่ภารกิจที่หยางซู่ซินจะสามารถทำสำเร็จได้เพียงลำพัง นับว่ามีเหตุผลทีเดียวเนื่องจากเป็นผู้มีอิทธิพลด้านการแกะสลักน้ำแข็งภายในประเทศ เขาน่าจะรู้ว่ายังมียอดฝีมือคนอื่นอยู่เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงน่าจะมีความเป็นไปได้ที่เขาจะรวมกลุ่มเพื่อให้แผนการลุล่วงไปได้ด้วยดี
แต่หากเขาทำเช่นนั้น อารมณ์ศิลป์ทั้งหมดของผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าก็จะถูกทำลายลงไป คงจะดีหากมีแค่สองคนอยู่ในแผนการ ทว่าหลังจากถามทุกคนที่เขาพอจะรู้จักแล้ว หยางซู่ซินก็ยังหาคนที่จะมาร่วมแผนการนี้ไม่ได้เลยเนื่องจากมันยากเย็นเกินไป
ถึงแม้เขาจะอยู่ในแวดวงนี้แต่บุตรชายของเขาไม่ได้อยู่ในแวดวงการแกะสลักน้ำแข็ง แถมยังไม่เข้าสู่แวดวงสังคมเสียด้วยซ้ำไป บุตรชายของเขาจะไปรู้จักคนแบบนั้นได้อย่างไรกันเล่า? ดังนั้นหยางซู่ซินจึงตัดบทคำแนะนำของบุตรชายตนไป แน่นอนว่าก็ยังมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความจริงที่ว่าเขาเป็นบิดาหัวโบราณผู้เข้มงวด
“ผมไม่รู้จักเขาหรอก มันเป็นวิดีโอการแกะสลักที่ถูกโพสต์ลงบนอินเตอร์เน็ต ช่างแกะสลักเก่งมากเลยล่ะ แถมยังแกะสลักมังกรคู่ไล่กวดไข่มุกในวิดีโอได้ด้วย” หยางหวั่นเซิงอธิบายรายละเอียด
“โอ้? มังกรคู่ไล่กวดไข่มุกงั้นรึ?” สิ่งนี้กระตุ้นความสนใจของหยางซู่ซินขึ้นมาเสียแล้วสิ เขาถามขึ้นมาว่า “ฉันจะดูวิดีโอนี้ได้ยังไงกันล่ะ? มีดแกะสลักที่ใช้ในวิดีโอจะไปวัดอะไรได้กันเล่า?”
“ไม่ใช่มีดแกะสลักหรอก ในวิดีโอใช้มีดทำครัวต่างหากล่ะ พ่อก็แค่ค้นหาคำว่ามังกรคู่ของยอดฝีมือด้านการแกะสลักน้ำแข็งที่ซุกซ่อนตัวอยู่ก็จะเจอวิดีโอเองแหละ” หยางหวั่นเซิงกล่าว
“มีดทำครัวงั้นรึ? บ้าไปแล้วหรือไง?” หยางซู่ซินขมวดคิ้วนิ่วหน้าพร้อมความสนใจที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ ถ้าหากใช้มีดทำครัวก็มีความเป็นไปได้แค่สองอย่าง คนผู้นั้นไม่อยู่ในขั้นมือสมัครเล่นก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่เนื่องจากความประทับใจครั้งแรกที่ไม่ใคร่จะดีนัก หยางซู่ซินจึงคิดว่าน่าจะเป็นอย่างแรกเสียมากกว่า
“เอาล่ะ ถ้ามีเวลาฉันจะลองดูก็แล้วกัน” แล้วหยางซู่ซินก็เปลี่ยนเรื่องคุย “ระหว่างเรียนก็ตั้งใจเรียนเข้าล่ะ อย่างให้สอบตกจนเรียนไม่จบเสียเล่า”
ทันทีที่หยางหวั่นเซิงได้ยินเช่นนี้เข้า เขาก็เริ่มตอบแบบขอไปทีแล้วคุยกันอีกนิดหน่อย หรือจะพูดให้ถูกก็คือหลังจากโดนสวดอีกนิดหน่อย เขาก็วางสายไป
หยางซู่ซินไม่ใส่ใจเรื่องคำแนะนำครั้งนี้สักเท่าไหร่ เขาฝึกการแกะสลักน้ำแข็งอีกครั้งแล้วก็ล้มเหลวไปอีกครั้ง มันเป็นเรื่องยากที่จะทำผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง
แล้วหยางซู่ซินก็โทรหาหัวหน้าของเขาเพื่อรายงานความล้มเหลวให้ฟัง
“หรือฉันจะทำงานแบบกลุ่มสามคนแทนดีนะ?” หยางซู่ซินพึมพำพร้อมเตรียมที่จะลดเงื่อนไขของตัวเองลง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น