หมอดูยอดอัจฉริยะ 812-815
ตอนที่ 812 คนในวงการ
“ใครบ้างล่ะจะไม่ตาย?” พอได้ยินเจอร์รีพูดแบบนั้น เยี่ยเทียนก็หลุดขำออกมา “แกนำไปก่อนก้าวหนึ่ง แล้ววันหลังแกก็จะได้เจอกับฉันที่นรกอยู่ดีนั่นแหละ!”
กับศัตรูแล้ว เยี่ยเทียนยึดถือหลักการขุดรากถอนโคนมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะกับคนแบบเจอร์รี และพวกทหารรับจ้างที่สามารถจะผันตัวไปเป็นนักฆ่ามืออาชีพได้ในบางเวลาแล้ว เยี่ยเทียนยิ่งไม่มีทางปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นภัยต่อตนในวันหน้าอย่างแน่นอน
ดังนั้นทันทีที่กล่าวจบ นิ้วชี้มือขวาของเยี่ยเทียนก็งอแล้วดีดไปหนึ่งที กระแสลมแรงสายหนึ่งพุ่งไปที่ตำแหน่งหัวใจของเจอร์รี เจอร์รีซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงรู้สึกเจ็บที่หน้าอก แล้วสติสัมปชัญญะก็เริ่มเลอะเลือนไป
“แก…แล้วแกจะเสียใจ!”
สายตาชิงชังของเจอร์รีค่อยๆ พร่ามัวไปทีละน้อย หนึ่งดัชนีของเยี่ยเทียนนั้นได้ทำลายพลังชีวิตของเขาไปจนหมดแล้ว ผ่านไปครู่เดียว เลือดในกายของเจอร์รีซึ่งกำลังนั่งอยู่บนพื้นก็เย็นลง ทั้งร่างไม่เหลือร่องรอยของชีวิตอีกแล้ว
“คนตายเพราะเห็นแก่ทรัพย์สิน นกตายเพราะเห็นแก่กินแท้ๆ เลย!” เยี่ยเทียนมองดูหุบเขาที่เต็มไปด้วยเลือดเจิ่งนองแล้วส่ายหน้า ยังไม่ทันได้ทอดถอนใจ ใบหูก็พลันกระดิก
“มาเร็วเหมือนกัน สงสัยการระเบิดเมื่อครู่คงจะเรียกพวกนั้นมา?”
เขายื่นมือไปหิ้วร่างอันผ่ายผอมของเจียงซานขึ้นมาจากพื้น หมอกขาวกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า แล้วปกคลุมไปทั่วร่าง ทันทีที่ร่างของทั้งสองอันตรธานไป เสียงเครื่องยนต์ดังมาแต่ไกล รถลำเลียงพลและรถหุ้มเกราะกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นนอกหุบเขา
“เห็นทีแอฟริกาใต้คงจะโกลาหลกันไประยะหนึ่ง”
เยี่ยเทียนซึ่งกำลังพรางตัวอยู่บนไหล่เขาฉุกคิดบางอย่างได้ จึงไม่อยู่ดูต่อไปอีก แต่พาเจียงซานไปจากที่นั่นอย่างเงียบเชียบ เขายังมีธุระสำคัญอีกสองเรื่องที่ต้องไปทำ ถ้ามัวแต่รีรอจนโจฮันเนสเบิร์กใช้มาตรการฉุกเฉิน ก็อาจจะเกิดความยุ่งยากขึ้นมาอีกก็ได้
“เร็ว ดูซิว่ามีพยานที่รอดชีวิตอยู่รึเปล่า?”
เยี่ยเทียนคาดไว้ไม่ผิดเลย หากจะเดินทางจากตัวเมืองโจฮันเนสเบิร์กไปยังเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์ก ก็จะต้องเดินทางผ่านที่นี่ด้วย และพวกทหารก็ตามเสียงระเบิดนั้นมา เมื่อนายทหารที่เป็นคนนำขบวนเห็นสภาพภายในและภายนอกหุบเขาอย่างชัดเจนแล้ว ก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง เพราะที่นี่ดูราวกับได้เกิดสงครามขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องผิดหวังก็คือ นอกจากเจอร์รีแล้ว ทั่วทั้งหุบเขาไม่มีศพอื่นๆ ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์เลย หลังจากหยุดพักครู่หนึ่งแล้ว กองทหารจึงออกเดินทางไปยังเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กต่อไป โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นที่นั่นก็ทำให้ทหารเหล่านี้ต้องตื่นตระหนกกันอีกครั้ง
บนพื้นดินไกลเท่าที่สายตามองเห็นนั้นเต็มไปด้วยซากศพ นอกจากนักท่องเที่ยวบางคนที่หลบซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ ในเหมืองทองและโชคดีรอดมาได้ ยังมีทหารเด็กกลุ่มหนึ่งที่เกิดอาการอยากยาจนลงแดงน้ำมูกน้ำลายไหลนอนกลิ้งเกลือกอยู่เต็มพื้น กองทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ที่เหมืองทองอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเริ่มเก็บกวาดศพของผู้เสียชีวิตและจับกุมทหารเด็กเหล่านั้น
ระหว่างที่ทหารเหล่านี้กำลังเก็บกวาดศพซึ่งเริ่มจะส่งกลิ่นเหม็นเน่า เยี่ยเทียนก็พาเด็กหญิงคนนั้นกลับไปที่โรงแรมซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมืองโจฮันเนสเบิร์ก เปรียบเทียบกับเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กที่มีสภาพเหมือนกับนรกบนดินแล้ว ในเมืองกลับครึกครื้นและสงบ ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
“พอเลย ในเมื่อตื่นแล้วก็เลิกแกล้งหลับเสียที!”
หลังจากกลับไปถึงห้องของตัวเอง เยี่ยเทียนโยนเด็กหญิงลงไปบนโซฟาอย่างไม่มีพิธีรีตรอง ฟังจากเสียงลมหายใจของเธอที่เปลี่ยนจังหวะไปอย่างกะทันหัน เขาจึงรู้ว่าเธอตื่นขึ้นมาแล้ว
“คุณคิดจะจัดการกับฉันยังไง?” ขนตายาวงอนของเจียงซานกะพริบ แล้วลืมตาขึ้นช้าๆ เธอรู้ว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนแล้ว ไม่ว่าลูกไม้ไหนๆ ก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น
“จัดการเธอยังไงน่ะรึ?”
เยี่ยเทียนเก็บสัมภาระของตัวเองไปพลางขมวดคิ้ว เด็กหญิงคนนี้มุ่งร้ายต่อเขา แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นคิดจะฆ่า แม้ว่าเยี่ยเทียนจะไม่ได้มีความคิดสงสารบุปผาถนอมหยก แต่ก็ยังหักใจลงมือฆ่าไม่ได้อยู่ดี ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะคร่าชีวิตของเจียงซานไปตั้งนานแล้ว
“ให้เวลาเธอห้านาที บอกมาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เมื่อนึกถึงซ่งเสี่ยวหลงซึ่งอยู่ที่เคปทาวน์ ดวงตาของเยี่ยเทียนก็ฉายประกายเย็นเยือก เจ้าหมอนั่นวางอุบายมาเล่นงานเขาหลายต่อหลายครั้ง คราวนี้จะปล่อยมันไปไม่ได้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นวันหน้าจะต้องวุ่นวายอีกขนาดไหนก็ไม่รู้
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนว่าดังนั้น เจียงซานจึงตอบไปตามตรง “ฉันชื่อเจียงซาน พ่อแม่ตายไปตั้งแต่เล็ก แม่บุญธรรมเป็นคนชุบเลี้ยงมาจนโต…”
เจียงซานแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็มีประสบการณ์ผ่านสังคมมามาก เธอทำหน้าตาน่าสงสาร แล้วเริ่มเล่าเกี่ยวกับความยากลำบากที่ได้รับมาตั้งแต่เด็ก
โลกนี้มีคนน่าสงสารอยู่เยอะถมเถไป เยี่ยเทียนไม่ได้มีความเมตตากรุณามากมายอะไร จึงฟังเรื่องที่เจียงซานเล่ามาเพียงผ่านๆ แล้วถามขึ้นว่า “เธออ่านใจคนอื่นได้ แล้วก็ทำนายสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้จริงๆ น่ะหรือ?”
“อืม ฉันพอจะสัมผัสได้คร่าวๆ ว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรอยู่” เจียงซานพยักหน้าแล้วพูดต่อ “แต่ฉันสัมผัสถึงความคิดของคุณไม่ได้เลย เวลาอยู่ใกล้ๆ คุณแล้ว รู้สึกเหมือนกับมีอะไรบางอย่างปกคลุมอยู่ กระแสจิตของฉันทะลุผ่านเข้าไปไม่ได้เลย”
“อ่านความคิดของคนอื่นได้งั้นรึ ความสามารถแบบนี้ออกจะพิสดารอยู่จริงๆ…”
เยี่ยเทียนรู้สึกพิศวงในใจ ถ้าพวกนักต้มตุ๋นรับเสี่ยงทายชะตาที่จีนได้ความสามารถนี้ไปละก็ กิจการคงจะรุ่งเรืองตลอดปีแน่ๆ เยี่ยเทียนคิดดูแล้วถามต่อไปว่า “แล้วเรื่องทำนายอนาคตล่ะเธอทำได้ยังไง? เธอรู้วิชานรลักษณ์ศาสตร์ของจีนหรือไม่ก็ไพ่ทาโรต์ของชาวยิปซีอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ทั้งนั้นละ ความสามารถนี้น่ะฉันมีมาตั้งแต่เกิด แค่ฉันคิดถึงเรื่องบางอย่างก่อนนอน พอหลับฝันก็จะเห็นผลสรุปอย่างคร่าวๆ ของเรื่องนั้นแล้ว”
เจียงซานมีสีหน้าหวาดกลัว ลอบมองเยี่ยเทียนแวบหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “ฉัน…ฉันเคยฝันเห็นคุณ ที่แทบเท้าคุณมีเลือดนองเต็มพื้น หันไปทางไหนก็มีแต่โครงกระดูกของคนตาย”
พอพูดถึงตรงนี้ ร่างอันบอบบางของเจียงซานก็สั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจข่มกลั้น เธอเพิ่งจะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาก็ตอนนี้เอง ชายผู้นี้มอบความตายให้แก่ผู้อื่นด้วยท่าทีเฉยเมยเช่นนั้น แสดงว่าเขาจะต้องเป็นคนโหดเหี้ยมอย่างแน่นอน
“หลับฝันแล้วทำนายเรื่องในอนาคตได้งั้นรึ?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วขมวดคิ้ว เขาเองก็ได้รับสืบทอดวิชาของสำนักเสื้อป่านมา จึงรู้ว่าโลกนี้มีเรื่องที่ไม่อาจใช้เหตุผลอธิบายได้อยู่มากมาย ดังนั้นจึงพอจะเชื่ออยู่บ้างว่าสิ่งที่เธอพูดมานี้ไม่ใช่ความเท็จ แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่สามารถยืนยันได้เช่นกันว่าสิ่งที่เจียงซานพูดมาเป็นความจริง จะให้เธอหลับสักตื่นเพื่อพิสูจน์ดูก็คงไม่ได้?
เยี่ยเทียนขบคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “เธอรู้จักปากว้าในคัมภีร์โจวอี้ไหม?”
“ปากว้า? หมายถึงนี่รึเปล่า?” เจียงซานเอียงคอ เมื่อเห็นบนโต๊ะมีกระดาษและปากกาอยู่ จึงเดินเข้าไปวาดรูปยันต์แปดทิศขึ้นมา และยังเขียนตัวอักษรแทนทิศแต่ละทิศออกมาได้ครบทุกตัวอีกด้วย
“ที่แท้ก็เป็นคนในวงการเหมือนกันหรือเนี่ย?” เยี่ยเทียนอึ้งไป รูปยันต์แปดทิศนั้นแม้จะพบเห็นได้บ่อยอย่างยิ่ง แต่ถ้าไม่ใช่คนที่ศึกษาหรืออยู่ในวงการนี้โดยเฉพาะ ก็มีน้อยคนนักที่จะวาดออกมาได้ และตำแหน่งทิศทางที่เด็กหญิงคนนี้เขียนไว้ก็ไม่มีผิดพลาดเลยสักนิด
“พ่อของฉันทิ้งหนังสือไว้ให้เล่มหนึ่ง ฉันก็เรียนมาจากในนั้นนั่นแหละ!” เจียงซานพูดขึ้นเสียงอ่อยๆ หลังจากที่พ่อแม่ของเธอตายไปก็ไม่ได้เหลืออะไรไว้ให้มากนัก นอกจากหนังสือแล้ว ก็มีแต่เงินทองอีกจำนวนหนึ่งที่เธอยังใช้ไม่ได้ในตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่
“เธอก็มีความเกี่ยวข้องกับวงการนี้อยู่เหมือนกันนี่นา!”
เมื่อเห็นท่าทางตื่นกลัวของเจียงซาน เยี่ยเทียนก็อดดุอย่างขำๆ ไม่ได้ว่า “พอเลย เลิกเสแสร้งได้แล้วละ เธอก็รู้ว่าฉันไม่ฆ่าเธออยู่แล้ว ไม่ต้องมาทำท่าทางน่าสงสารแบบนั้นหรอก”
เยี่ยเทียนหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นอีกว่า “เหลยหู่เป็นคนส่งเธอมาสินะ? ตอนนี้มันพักอยู่ที่ไหน?”
“ที่พักเขาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่หรอก ให้ฉันพาคุณไปก็ได้นะ!”เจียงซานแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็พอจะเข้าใจหลักการที่ว่าสหายตายเราไม่ตายอยู่
“ไม่รู้จักกลัวตายเลยจริงๆ เธอไปกับฉันหน่อยก็แล้วกัน!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า หลังจากถามที่อยู่ของเหลยหู่อย่างชัดเจนแล้ว จึงหิ้วกระเป๋าเป้ในมือขึ้นมาแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ในเมื่อคนอื่นอุตส่าห์คิดถึงกันขนาดนี้ ก็คงต้องการพบฉันอยู่”
……………………
โรงแรมที่เหลยหู่พักอยู่นั้นไม่ได้ไกลจากที่เยี่ยเทียนพักมากนัก ตั้งอยู่ในเขตที่คึกคักที่สุดของโจฮันเนสเบิร์ก หากยืนอยู่ตรงหน้าต่างสไตล์ฝรั่งเศสในห้องพักของโรงแรม จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองโจฮันเนสเบิร์กทั้งเมืองได้อย่างชัดเจน
แต่เห็นได้ชัดว่า ยามนี้เหลยหู่ไม่มีอารมณ์จะไปชื่นชมทัศนียภาพแล้ว เขาเดินไปเดินมาอยู่ในห้องพักโรงแรมไม่หยุด ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังตัวหนึ่ง “เกิดอะไรขึ้นนะ ทำไมเบอร์ของเหมียวจื่อหลงกับซ่งเสี่ยวหลงถึงโทรไม่ติดกันทั้งคู่เลย”
เนื่องจากความหวาดกลัวที่มีต่อเยี่ยเทียนอย่างสุดขั้วหัวใจ เหลยหู่จึงไม่ได้ไปอยู่กับพวกเหมียวจื่อหลงและเจอร์รี แต่เหลยหู่ก็คอยติดต่อกับเหมียวจื่อหลงอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ การติดต่อระหว่างทั้งสองก็ขาดหายไป พอจะติดต่อไปที่ซ่งเสี่ยวหลงก็พบว่า ไม่มีใครรับสายโทรศัพท์ของเขาเลย
เรื่องนี้ทำให้เหลยหู่ร้อนใจราวกับมีไฟสุมอก เขารู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เชื่อไม่ลงจริงๆ ว่า กองกำลังทหารรับจ้างที่ฝีมือดีที่สุดในโลก จะสังหารเยี่ยเทียนเพียงคนเดียวไม่ได้ เพราะว่ามีความคิดเช่นนี้อยู่ เหลยหู่จึงรอคอยอยู่ในห้องนี้มาตลอด
“ไม่ได้การ รอต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ต้องออกจากแอฟริกาใต้เดี๋ยวนี้!”
เหลยหู่ลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีผลลัพธ์อย่างไร การสังหารหมู่ในสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้ ต้องทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันมาเพ่งเล็งแน่นอน แอฟริกาใต้จึงกลายเป็นสถานที่สุ่มเสี่ยงไปแล้ว
เหลยหู่เก็บข้าวของอย่างรีบร้อน แต่เมื่อเปิดประตูออก ทั้งร่างก็ชะงักค้างไปเหมือนกับถูกใช้วิชาสกัดร่างไว้ ได้แต่ยืนมองออกไปนอกประตูอย่างตกตะลึง เพราะผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นก็คือเยี่ยเทียนนั่นเอง และคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เยี่ยเทียนก็กลับเป็นเจียงซานที่เขาเป็นคนส่งไป
“เป็นไง? เหลยหู่ ได้พบกับผู้ร่วมสมาคมที่ต่างแดนทั้งที จะไม่ต้อนรับกันเลยหรือ?”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนระบายยิ้มอ่อนๆ แต่ในดวงตากลับแผ่รังสีอำมหิตออกมา เขาเคยเตือนเหลยเจิ้นเทียนและเหลยหู่สองพ่อลูกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่า อีกฝ่ายจะแค้นเขาอย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ทั้งที่ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว แต่ก็ยังคงผูกใจเจ็บไม่ลืม
“เยี่ย…เยี่ย!”
ขณะที่เหลยหู่กำลังตะกุกตะกักจะเรียกชื่อเยี่ยเทียนออกมา พอเสียงออกมาถึงปากแล้วก็นึกถึงสถานะของเยี่ยเทียนขึ้นมาได้ เขาถอยหลังไปอย่างหงอๆ แล้วพูดกับเยี่ยเทียนว่า “ท่านเยี่ย เพราะผมเหลยหู่มีความคิดชั่วช้า ถึงตายก็ยังไม่สาสม แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเด็กหญิงคนนี้เลย ขอได้โปรดละเว้นเธอสักครั้งเถอะ”
สมัยก่อนที่เหลยหู่เป็นเจ้าตำหนักอาญาในสมาคมหงเหมิน เคยลงโทษสมาชิกในสมาคมที่ทำผิดกฎไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ปกติก็เป็นคนนิสัยกร้าวแกร่งอยู่แล้ว เพียงแต่มีจิตใจคับแคบเกินไป เมื่อถึงตอนนี้ เขาก็ไม่สนใจถึงความเป็นความตายอีก เพราะเชื่อว่าเยี่ยเทียนคงไม่มีทางปล่อยเขาไปอยู่แล้ว
ตอนที่ 813 ลดลง
“เหลยหู่ ฉันกับแกไม่เคยมีเรื่องบาดหมางต่อกัน เรื่องที่แกหวังตำแหน่งประมุขสมาคมหงเหมิน แล้วยังวางแผนมุ่งร้ายในธุรกิจของแม่ฉัน ตามกฎของยุทธจักร ฉันสามารถฆ่าแกได้เลย แต่ฉันก็ยังไม่ทำ เท่ากับว่าฉันได้ไว้หน้าเหลยเจิ้นเทียนแล้วนะ”
เยี่ยเทียนมองเหลยหู่จนตาแทบลุกเป็นไฟพูดอีกว่า “แต่แกก็ยังเป็นพวกคนใจแคบ ไม่แยกแยะสิ่งที่ถูกกับสิ่งที่ผิด ยังมาร่วมมือกับซ่งเสี่ยวหลงเพื่อจัดการฉันที่แอฟริกาใต้นี่อีก ในฐานะสมาชิกของสมาคมหงเหมิน แกจะให้ฉันจัดการกับแกยังไงดี? ”
“ท่านเยี่ย เรื่องนี้ผมเหลยหู่ยอมรับผิด จะฆ่าจะแกงอย่างไร เชิญท่านตัดสินใจเลย ! ”
สมแล้วที่เคยเป็นเจ้าตำหนักอาญาแห่งสมาคมหงเหมิน ไม่ว่าจะเป็นกฏเกณฑ์ของสำนักหรือยุทธจักร เหลยหู่รู้ดีว่าตนเองหนีไม่พ้นแล้ว เขาจึงแสดงความเฉียบขาดพร้อมท่าทีน้อมรับบทลงโทษ ด้วยการโยนกระเป๋าเป้ออกไป และไขว้สองมือไว้ด้านหลัง
“ท่านเยี่ย ท่าน…ปล่อยลุงเหลยครั้งนี้เถอะค่ะ ”
เจียงซานที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยเทียน รวบรวมความกล้าทั้งหมดและดึงแขนเสื้อของเยี่ยเทียนไว้ เธอรู้ว่าเยี่ยเทียนคงไม่ทำอะไรหล่อน เธอจึงได้ขอให้เยี่ยเทียนไว้ชีวิตเหลยหู่
“จะดีจะชั่ว สักวันจะต้องได้รับกรรม ไม่ใช่ว่าจะไม่แก้แค้น แต่มันยังไม่ใช่เวลา ! ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้ามองไปที่เหลยหู่ พูดกับเขาว่า “เหลยหู่ ลำดับศักดิ์ของแกต่ำกว่าฉันเยอะมาก ข้อห้ามของสมาคมหงเหมินก็คือห้ามฆ่ากันเอง ความผิดสถานเดียวของแก มันก็มากพอที่จะทำให้ฉันลงโทษสามมีดหกรูกับแกได้ ในเมื่อแกรู้ตัวแล้วว่าผิด ฉันก็จะยังไม่ลงโทษแก แต่แกต้องไปพบเหลยเจิ้นเทียนกับฉัน ให้เขามาคุยกับฉันเอง ! ”
“ท่าน…ท่านจะไม่ฆ่าผม? ”
เหลยหู่เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยเทียนและไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ตอนที่เขาเดินออกมาจากห้องแล้วพบกับเยี่ยเทียน เขาก็ได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนกลับบอกว่าจะส่งตนไปให้พ่อของตัวเอง เขารู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัว
เหลยเจิ้นเทียนแม้จะเป็นคนเก่าแก่ของสมาคม เป็นคนเคร่งครัดมากในเรื่องกฏเกณฑ์ แต่เขาก็เป็นคนที่ตามใจลูกชายคนเล็กมาก การลงโทษอาจจะหนีไม่พ้น แต่อย่างน้อย ชีวิตของเหลยหู่ก็รักษาเอาไว้ได้แล้ว
“เมื่อเป็นคนของสมาคมหงเหมินเหมือนกัน ฉันก็ไม่อยากให้มือเปื้อนเลือด” เยี่ยเทียนมองเหลยหู่อีกครั้งพูดอีกว่า “กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา ซ่งเสี่ยวหลงพักอยู่ที่ไหนแกน่าจะรู้ใช่มั้ย? พาฉันไปหาผู้ก่อเหตุที ! ” ถึงแม้ตอนแรกจะพูดเหมือนเป็นคนมีจิตสำนึกแห่งความเป็นธรรม แต่ความจริงก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เยี่ยเทียนพูด ตามความตั้งใจเดิมของเยี่ยเทียนเขาคิดจะฆ่าเหลยหู่ให้ตายคามือ เพื่อไม่ให้มีอันตรายต่อตัวเองในภายหลังได้อีก
ก่อนจะเจอเหลยหู่ เยี่ยเทียนได้ทำนายไปแล้ว เขาพบว่าช่วงเวลาหนึ่งในอนาคตเขาจะพบเรื่องซับซ้อนสับสนมากมาย และเหลยหู่ก็เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์อีกด้วย มันเลยทำให้เยี่ยเทียนตกใจมาก จนต้องรีบทำนายชะตาของเหลยหู่ด้วย
ผลการทำนายเห็นว่า เหลยหู่จะมีชีวิตได้อีกไม่นาน แต่ไม่ได้ตายด้วยมือของเยี่ยเทียน แต่สาเหตุการตายของเขานั้นเยี่ยเทียนไม่สามารถทำนายออกมาได้ เขารู้แค่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอยู่บ้างเท่านั้น
เมื่อออกมาจากสมาคมหงเหมิน เหลยหู่ก็ไม่ต่างจากเสือที่ใกล้ตาย เขี้ยวและกรงเล็บหลุดหมดแล้ว อย่างมากก็เป็นได้แค่คนที่โห่ร้องดีใจเวลามีคนมาทำร้ายเยี่ยเทียน ในเมื่อวันตายของเขาใกล้มาถึงแล้ว เยี่ยเทียนจึงปล่อยให้เป็นไปตามที่ฟ้ากำหนด ไม่ได้ลงมือฆ่าเขาในทันที
ถึงแม้ว่าเหลยหู่จะไม่กลัวการตาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากตาย เหลยหู่คิดไม่ถึงเลยว่าตนจะหลุดพ้นเคราะห์กรรมนี้ออกมาได้ เขาไม่แม้แต่จะสนใจว่าชีวิตของซ่งเสี่ยวหลงจะเป็นยังไง เพราะทันทีที่ได้ยินคำถามของเยี่ยเทียน เขาก็รีบตอบว่า “ที่พักของซ่งเสี่ยวหลงอยู่ที่เคปทาวน์ ผมรู้จักดี เดี๋ยวผมจะพาท่านไป ! ”
“เขาพักอยู่ที่เคปทาวน์? ”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้วกับคำตอบที่ได้ยิน เขาถอนหายใจและพูดว่า “ซ่งเสี่ยวหลงคงออกจากแอฟริกาใต้ไปตั้งแต่เช้าวันนี้ น่าจะไปอเมริกาเหนือแล้วล่ะ ถ้าไปเคปทาวน์ตอนนี้ก็ไม่เจอเขาหรอก ! ”
เพราะต้องรับมือกับทหารกลุ่มมากประสบการณ์กับทหารที่มาจากคองโก เส้นประสาทของเยี่ยเทียนตึงเครียดมาตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เขาไม่มีเวลานั่งคิดเรื่องของซ่งเสี่ยวหลงด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้เขาก็เพิ่งจะรู้ว่าจอมเจ้าเล่ห์นั่น หนีไปตั้งแต่เช้าแล้ว
เหลยหู่มีสีหน้าแย่ลงทันทีที่ได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น ซ่งเสี่ยวหลงหนีไปแล้ว เขากลัวว่าวันใดวันหนึ่งเยี่ยเทียนจะโมโหแล้วมาลงที่ตัวเองอีก เขาจึงพูดด้วยความระมัดระวังไปว่า “แล้ว…จะทำยังไงดีครับท่านเยี่ย ? ”
เยี่ยเทียนมองเหลยหู่ตอบว่า “แกโทรไปหาเหลยเจิ้นเทียน แล้วไปเคปทาวน์กับฉัน จากนั้นก็ไปฮ่องกงต่อ ! ”
“แล้ว…ฉันล่ะ ? ” เด็กสาวถามด้วยเสียงแผ่วเบา เธอเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์แสงเพชรฆาตสีแดงของเยี่ยเทียนที่จัดการทหารพวกนั้น ความกลัวของเธอที่มีต่อเยี่ยเทียนจึงมากกว่าเหลยหู่เป็นร้อยเท่า
“เธอ? ”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว จากนั้นก็หยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋ายื่นให้กับเจียงซาน และพูดว่า “เธอกลับฮ่องกงกับฉัน ระหว่างนี้เธอก็ศึกษาวิชาทำนายแปดทิศจากคัมภีร์โจวอี้ให้ดี ถ้าเธอเข้าใจ ฉันจะมอบโอกาสให้เธอ ! ”
หนังสืออธิบายหกสิบสี่กว้าที่เยี่ยเทียนยื่นให้เจียงซานเป็นหนังสือเก่าในปลายสมัยของราชวงศ์ชิง เยี่ยเทียนซื้อหนังสือเล่มนี้มาจากตลาดในเมืองเล็กที่เดินทางผ่านเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นแค่หนังสือเกี่ยวกับพื้นฐานของการทำนาย แต่มันก็เป็นหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง การได้เจอหนังสือแบบนี้ที่ต่างบ้านต่างเมืองถือว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น เยี่ยเทียนจึงตัดสินใจซื้อมันมา และไม่คิดว่าจะได้นำมาใช้จริง
“ให้ฉันทำไม? ”
เจียงซานพลิกหนังสือเล่มเก่าเล่มนั้นดูด้วยความแปลใจ ถึงแม้ว่าเธอจะมีความรู้เกี่ยวกับวิชาทำนายแบบแปดทิศจากคัมภีร์โจวอี้อยู่บ้าง แต่เธอเติบโตมากับแม่บุญธรรมชาวยิปซี ให้เธอทำนายจากไพ่ทาโรต์ยังจะง่ายกว่า
“ถ้าเธออ่านไม่เข้าใจ เธอก็โยนมันทิ้งจากเครื่องบินไปได้เลย ! ”
เยี่ยเทียนจ้องเด็กสาวจนเธอรู้สึกกลัวไปหมด เพราะไม่ว่าจะดิ้นรนทั่วยุทธจักรในประเทศ หรืออยู่ในสังคมของต่างประเทศ สายตาเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เจียงซานไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัวแน่นอน เธอจึงเก็บหนังสือเข้ากระเป๋าอย่างระมัดระวัง
“อืม รู้จักอดทนยอมอ่อนข้อ เป็นคนที่สามารถนำมาบ่มเพาะความสามารถได้อีก แต่ไม่รู้ว่าหล่อนจะมีพรสวรรค์ด้านการทำนายหรือเปล่า? ”
เยี่ยเทียนพยักหน้าให้กับท่าทีของเจียงซาน ปัจจุบันศิษย์ของสำนักเสื้อป่านลดลงเรื่อยๆ เยี่ยเทียนเองมีแผนจะรับหล่อนเข้าสำนักตั้งแต่ได้ยินว่าหล่อนสามารถทำนายเหตุการณ์ผ่านความฝันแล้ว
การสืบทอดของเยี่ยเทียน เดิมทีก็ได้มาอย่างไม่ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเจียงซานมีพรสวรรค์แบบเขาจริง ก็เท่ากับเขาได้หาสมบัติล้ำค่าให้กับสำนัก ตนเป็นเจ้าสำนักผู้ไม่เคยสนใจอะไรเลยมาหลายปี ก็ถือว่าได้อุทิศสิ่งเล็กสิ่งน้อยให้กับสำนักก็แล้วกัน
หลังจากพาเหลยหู่กับเจียงซานออกมาจากโรงแรม เขาหยุดชะงักและถามเหลยหู่ว่า “แกเดินทางมาที่โจฮันเนสเบิร์กยังไง? ”
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ รัฐบาลของแอฟริกาใต้จะต้องทำการตรวจสอบผู้รอดชีวิตในโจฮันเนสเบิร์กเป็นแน่ เยี่ยเทียนไม่ต้องการมีปัญหาอีก เอกสารที่ใช้เดินทางจะยุ่งยากพอสมควรเมื่อต้องนั่งเครื่องบินในต่างประเทศ ก็คงต้องใช้วืธีนั่งรถไปเมืองเคปทาวน์แทน
“ผมกับเหมียวจื่อหลงนั่งเครื่องบินมา”
เหลยหู่แอบดูสีหน้าของเยี่ยเทียนก่อน และพูดอีกว่า “แต่ซ่งเสี่ยวหลงทิ้งรถไว้คันหนึ่งที่โจฮันเนสเบิร์ก รถจอดอยู่ที่โรงแรม ถ้าท่านเยี่ยอยากไปไหน ผมสามารถขับรถพาไปก็ได้”
ที่แอฟริกาใต้ เมืองเคปทาวน์กับโจฮันเนสเบิร์กมีความรุ่งเรืองที่สุด ซ่งเสี่ยวหลงมีทั้งทรัพย์สินและรถสปอร์ตในทั้งสองเมืองนี้ วันที่เหลยหู่มาถึงโจฮันเนสเบิร์กวันแรก เหมียวจื่อหลงยกรถสปอร์ตรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่นคันหนึ่งซึ่งเป็นของซ่งเสี่ยวหลงมอบให้เหลยหู่ขับ
“อ๋อ งั้นก็ดีเลย พวกเรากลับไปที่เคปทาวน์กัน” เยี่ยเทียนพยักหน้า และพูดต่อว่า “แกไปเอารถมา เดี๋ยวฉันกับเจียงซานจะรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่”
“ครับท่านเยี่ย ผมจะรีบมาครับ”
แววตาของเหลยหู่แสดงความดีใจออกมาหลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น แต่เขาเก็บความดีใจกลับไปอย่างรวดเร็ว เพราะเขารู้ว่า สาเหตุที่เยี่ยเทียนกล้าปล่อยให้ตนไปเอารถด้วยตัวเองแบบนี้ ก็เพราะไม่กลัวว่าตนจะแอบหลบหนีไป
การเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียน เหลยหู่ไม่กล้าตุกติกอีก กองทหารรับจ้างที่เก่งเป็นอันดับหกของโลกผนึกกำลังกันเข้าปิดล้อมเพื่อฆ่าเขา ยังถูกเยี่ยเทียนสังหารหมดไม่เหลือ คนแบบนี้ไม่ใช่คนที่เขากล้าตุกติกด้วยเป็นแน่ และเวลานี้เหลยหู่ไม่มีความคิดจะแก้แค้นเยี่ยเทียนอีกแล้ว
เมื่อเห็นว่าเหลยหู่เดินลงไปชั้นใต้ดินแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรหาหวาจิน เขารู้ว่าหวาจินกับคนขับรถหนีออกจากเหมืองทองคำได้ ตอนนี้น่าจะกลับมาถึงโจฮันเนสเบิร์กแล้ว
“พี่จ้าว? คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย? ผมโทรหาคุณตั้งนาน!”
ทันทีที่เสียงในสายดังขึ้น หวาจินแทบจะลุกไม่ขึ้น เพราะหลังจากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเหมืองทองคำโจฮัน เนสเบิร์กให้กับผู้จัดการบริษัททัวร์ฟัง เพียงสามนาทีต่อมา ผู้จัดการที่ปฏิบัติต่อตนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด จู่ๆ ก็ขอให้ตนกลับไปที่เกิดเหตุอีกและให้พาเยี่ยเทียนกลับมาให้ได้
แน่นอนว่าสิ่งที่ผู้จัดการขอนั้นไม่ได้ขอส่งเดช ขอแค่หวาจินสามารถพาเยี่ยเทียนกลับมาโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ ทางบริษัทจะมอบเงินรางวัลให้หวาจินและคนขับรถคนละหนึ่งแสนดอลล่าร์สหรัฐฯ ด้วยเงื่อนไขนี้เอง ที่ทำให้หวาจินลังเลตัดสินใจไม่ได้ และถกเถียงกับคนขับรถแซ่หลิวเป็นเวลานาน
“ผมไม่เป็นอะไร ผมหลบหนีออกมาตอนที่กำลังวุ่นวาย หวาจิน ผมไม่อยากเจอกับตำรวจต่างชาติ ก็เลยจะกลับเคปทาวน์ก่อน คุณก็ถือซะว่าผมไม่เคยไปที่เหมืองทองคำนั่นก็แล้วกัน”
การระบุตัวตนของเยี่ยเทียนไม่สามารถให้ตรวจสอบได้ ประกอบกับแอฟริกาใต้เป็นกองกำลังดั้งเดิมของประเทศที่มีอำนาจเช่นอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เยี่ยเทียนไม่ต้องการให้เกิดเรื่องซ้ำแบบที่เกิดในรัสเซียอีก อย่างนั้นก็จะถูกตรวจสอบอีกหลายประเทศแล้ว
“ตกลง แต่ว่า ผมขอร้องคุณเรื่องหนึ่ง” หวาจินพูดด้วยเสียงอ้ำอึ้งว่า “พี่จ้าว ถ้าทางบริษัทโทรศัพท์หาคุณ คุณช่วยบอกเขาได้มั้ยว่าเป็นผมกับพี่หลิวที่หาคุณเจอ? ”
เงินเดือนในแอฟริกาใต้ไม่สูงเท่าไหร่ เงินแสนสำหรับหวาจินเป็นจำนวนที่ไม่น้อยทีเดียว เขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป
“ไม่มีปัญหา ผมจะพูดแบบนั้นให้นะ! ” เพราะเป็นเรื่องเล็กน้อย เยี่ยเทียนจึงรับปากไป
ตอนที่ 814 ดีและร้าย
หลังจากวางสายหวาจินแล้ว เยี่ยเทียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงโทรศัพท์ออกไปอีกหนึ่งสาย
“เยี่ยเทียน ไอ้ตัวแสบ เป็นแกได้ไงเนี่ย? ? ”
เสียงสั่นเครือของซ่งเฮ่าเทียนดังขึ้นในสาย
“ท่านผู้เฒ่า เป็นผมเอง ยังไม่นอนอีกเหรอ? ”
เยี่ยเทียนหัวเราะไปพูดไป
“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ที่แอฟริกาใต้ แกคิดว่าฉันจะนอนหลับลงเหรอ? ”
ซ่งเฮ่าเทียนปวดหัวกับหลานชายคนนี้ที่สุดแล้ว เขาลุกขึ้นนั่งและส่งสัญญานให้หมอออกไปก่อนแล้วจึงพูดสายต่อว่า
“ทำไมแกไปถึงทีไหน ที่นั่นก็จะมีแต่เรื่อง? ฉันว่าแกหยุดสักวันสองวันแล้วกลับมาจีนเถอะ? ”
ถึงแม้ว่าข่าวยังไม่ถูกประกาศออกไป แต่เหตุการณ์ที่แอฟริกาใต้ หน่วยข่าวกรองของแต่ละประเทศก็รับทราบแล้วตั้งแต่ที่รัฐบาลทำการส่งกำลังทหารออกไป ด้วยสิทธิพิเศษของซ่งเฮ่าเทียน เขาจึงรู้ทุกอย่างและแทบจะไม่ต้องยืนยันเลยว่าหลานชายสุดที่รักของตนมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้อย่างแน่นอน
“ท่านผู้เฒ่า อย่าใส่ร้ายผมสิครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคนของตระกูลซ่งนะ”
เยี่ยเทียนรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีที่ได้ยินซ่งเฮ่าเทียนพูดแบบนี้ หลายครั้งที่ซ่งเสี่ยวหลงทำตนเกือบตาย แต่ก็ไม่เห็นว่าทางตระกูลซ่งจะลงโทษเขาเลย เขาคงไม่ปล่อยให้คอของตัวเองต้องถูกจี้ทุกครั้ง?
“คนของตระกูลซ่ง?”
ซ่งเฮ่าเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง และตอบกลับทันทีว่า
“แกหมายถึงซ่งเสี่ยวหลงหรือ? เหตุการณ์ฆาตรกรรมหมู่ที่แอฟริกาใต้ เป็นฝีมือมันเหรอ? ”
อ้างอิงจากรายงานที่ซ่งเฮ่าเทียนได้รับ เหตุการณ์ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นที่โจฮันเนสเบิร์ก มีผู้เสียชีวิตสูงถึงสองร้อยกว่าคน และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ทหารที่ต่อต้านรัฐบาลของคองโกถูกตัดสินอย่างไม่เป็นทางการว่าเป็นผู้ก่อเหตุในครั้งนี้
แต่สิ่งที่ทำให้หน่วยข่าวกรองของแต่ละประเทศไม่เข้าใจคือทหารต่อต้านรัฐบาลคองโกไม่มีเหตุจูงใจต่อการก่อเหตุในสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้ แต่ละหน่วยจึงทำการส่งคนไปสืบหาสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ต่อ
หลังจากซ่งเฮ่าเทียนทราบเรื่อง เขาเคยคิดและคาดเดาไปต่าง ๆ นานา แต่คิดยังไงก็คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ครั้งนี้ ซ่งเสี่ยวหลงที่เป็นลูกหลานของตระกูลซ่งที่เก่งที่สุดในต่างประเทศจะเป็นคนก่อเหตุ ถึงแม้ซ่งเฮ่าเทียนจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แต่เขาก็ตกใจกับคำพูดของเยี่ยเทียนจนแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเอง
เยี่ยเทียนไม่สนใจว่าซ่งเฮ่าเทียนกำลังคิดอะไรอยู่ พูดว่า
“ใช่ ท่านผู้เฒ่า เขาเชิญกองทหารมาทั้งหมดหกกลุ่มกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลคองโกอีก เพื่อที่จะมาฆ่าผม ถ้าไม่ใช่เพราะผมเป็นคนที่ยังโชคดี ผมคงตายอยู่ที่นี่แล้ว ! ”
“เป็นคนที่โชคดีหรือ? ”
พอซ่งเฮ่าเทียนได้สติ เขาส่ายหน้าพูดว่า
“น่าจะเป็นเพราะแกฝีมือดีหรือเปล่า? พวกทหารต่อต้านรัฐบาลน่าจะถูกแกฆ่านะ ตาแก่อย่างฉันพูดไม่ผิดหรอกใช่มั้ย? เอาเถอะ ฉันเข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันจะส่งคนไปจัดการซ่งเสี่ยวหลงเอง! ”
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถอะ ซ่งเสี่ยวหลงวิ่งเร็วกว่ากระต่ายอีก ตอนนี้คงไม่อยู่ที่แอฟริกาใต้แล้ว…”
ซ่งเฮ่าเทียนยังพูดไม่จบ เยี่ยเทียนก็พูดแทรกขึ้นมา และพูดอีกว่า
“ท่านผู้เฒ่า พาสปอร์ตของผมมาถึงหรือยัง ถ้ามาถึงแล้ว ผมจะขับรถไปเคปทาวน์และบินกลับฮ่องกงทันที”
ตอนนี้แอฟริกาใต้กลายเป็นจุดสนใจของทั่วโลก เยี่ยเทียนไม่ต้องการอยู่อีกต่อไป แล้วอีกอย่าง ครั้งนี้เขาออกมาข้างนอกนานพอสมควรแล้ว ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะแก้ตัวกับแม่และภรรยายังไง
ซ่งเฮ่าเทียนยิ้มอย่างขมขื่นพูดว่า
“พาสปอร์ตส่งไปถึงตั้งนานแล้ว เดี๋ยวฉันจะสั่งคนจองตั๋วเครื่องบินให้ แกก็รีบกลับมา”
เดิมทีซ่งเฮ่าเทียนอยากให้เยี่ยเทียนอยู่ต่ออีกช่วงหนึ่ง รอให้เรื่องที่รัสเซียเงียบก่อนค่อยกลับประเทศจีน แต่ดูจากเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้นทุกวันโดยฝีมือของเยี่ยเทียน ซ่งเฮ่าเทียนก็เริ่มจะรับไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
“เรื่องตั๋วเครื่องบินไม่เป็นไร ผมจองเครื่องบินส่วนตัวไว้แล้ว ตามนี้ไปก่อนนะครับ ! ”
เยี่ยเทียนได้ยินเสียงของเครื่องยนต์ดังขึ้นในระยะไม่ไกลมากนัก เมื่อพูดเสร็จแล้วจึงได้วางสาย เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นรถสปอร์ตเปิดประทุนสี่ประตูสีแดงขับมาจอดที่หน้าล็อบบี้ของโรงแรม
“ขับรถคันนี้กลับเคปทาวน์เหรอ? ”
เยี่ยเทียนมองรถเปิดประทุนด้วยความลังเล รถดีอยู่แล้ว แต่ระยะทางถึงเคปทาวน์ห่างจากโจฮันเนสเบิร์กหนึ่งพันกิโลเมตรเต็มๆ ถ้าขับไปแบบนี้ หน้าคงโดนลมเป่าจนแห้งหมด
เหลยหู่ที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับเห็นความกังวลของเยี่ยเทียน จึงพูดไปว่า
“ท่านเยี่ย ประทุนมันปิดได้ครับ ท่านสบายใจได้ ขับไปเคปทาวน์ประมาณหกเจ็ดชั่วโมงก็ถึงแล้ว ! ”
เหลยหู่เห็นแล้วว่าเยี่ยเทียนไม่ได้อยากฆ่าเขาแล้ว หลังจากผ่านพ้นเรื่องครั้งนี้ไป ตัวเหลยหู่เองก็รู้แล้วว่าตนนั้นแตกต่างจากเยี่ยเทียนแค่ไหน ถ้าจะแก้แค้นก็คงต้องตายก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ
เมื่อเห็นฝาประทุนเริ่มชูขึ้น เยี่ยเทียนหันไปพูดกับหญิงสาวที่กำลังเปิดหนังสือคำอธิบายหกสิบสี่กว้าว่า “เจียงซาน ขึ้นรถ ! ”
ด้วยความสามารถในวิชาของเยี่ยเทียน ถึงแม้เหลยหู่ไม่อยากมีชีวิตต่อ แล้วขับรถคันนี้พุ่งลงหุบเหวลึกเพื่อฆ่าตัวตาย เยี่ยเทียนก็มั่นใจว่าจะไม่เป็นอะไร ฉะนั้นเขาจึงนั่งตำแหน่งข้างคนขับอย่างมั่นใจ และไม่กลัวว่าเหลยหู่จะทำอะไร
ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะมั่นใจในความสามารถของตนมาก แต่ก็เหมือนจะประเมินการขับรถด้วยความเร็วสูงของเหลยหูต่ำเกินไป
ระยะทางหนึ่งพันกิโลเมตร เหลยหู่ใช้เวลาเดินทางเพียงหกชั่วโมงกว่า ขับด้วยความเร็ว 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตอนลงจากรถ แม้แต่เยี่ยเทียนเองยังเดินเซ เหมือนพื้นดินกำลังสั่น
ไม่ต้องพูดถึงเจียงซานเลย ตลอดทางมานี้เธออาเจียรไปแล้วสามรอบ ตอนนี้หน้าซีดขาวไปทั้งหน้า พอเห็นหน้าเหลยหู่เธอรู้สึกเหมือนเห็นผี ทันทีที่ลงจากรถเธอจึงรีบวิ่งออกไป เพราะกลัวว่าจะได้กลับไปนั่งรถอีก
เหลยหู่อดขำไม่ได้เมื่อเห็นสายตาของเยี่ยเทียนและเจียงซาน พูดด้วยความเกรงใจว่า
“ตอนผมเป็นหนุ่มผมเคยเข้าร่วมการแข่งขันกับทีมซีน่ามาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะต้องไปดูแลสมาคมหงเหมิน ผมอาจจะไปเป็นนักแข่งรถแล้วก็ได้ ! ”
“อืม อาชีพนั้นน่าจะดีกว่าอยู่สมาคมหงเหมินนะ”
เยี่ยเทียนส่ายหัวและไม่ได้พูดต่อ เดินเข้าไปในโรงแรมก่อนใคร เขาหันไปที่โซนล็อบบี้ด้านขวา
“คุณจ้าว ในที่สุดคุณก็กลับมา ผมแซ่เฉียวไง ! ” มีคนๆหนึ่งยืนขึ้นและเดินเข้ามาหาเยี่ยเทียน เขาคนนั้นก็คือเฉียวเฟิงหลิน คนที่ไปรับเยี่ยเทียนที่สนามบินตอนมาถึงแอฟริกาใต้ แต่การต้อนรับในครั้งนี้อบอุ่นกว่าครั้งก่อนมาก
ก็ไม่แปลก เพราะว่าแปดชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาได้รับคำสั่งทางโทรศัพท์จากผู้นำคนสำคัญท่านหนึ่งของประเทศว่าเยี่ยเทียนจะต้องออกจากแอฟริกาใต้ไปอย่างปลอดภัย ถ้าคุ้มกันไม่ไหว สามารถขอความช่วยเหลือจากสถานทูตได้
การได้ทำงานรวบรวมข้อมูลและบริการต้อนรับในต่างถิ่น เฉียวเฟิงหลินจะต้องลื่นไหลไปตามเนื้อผ้าอยู่แล้ว เขาเข้าใจคำสั่งของเจ้านายโดยไม่จำเป็นต้องชี้นำเพิ่มเติม หลังจากรับคำสั่งเสร็จเขาก็หยิบเอกสารที่เกี่ยวข้องและมารอเยี่ยเทียนที่โรงแรมทันที เขารอเยี่ยเทียนแปดชั่วโมงเต็มกับกาแฟที่ดื่มไปเกือบสามกา
“ท่านประธานเฉียว นี่คุณ? ” เยี่ยเทียนจับมือทักทายเฉียวเฟิงหลิน ความอบอุ่นของเขาทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่ เขาไม่ใช่คนหลายบุคลิก จึงไม่เข้าใจความชำนาญการเปลี่ยนหน้าของคนประเภทนี้
“คุณจ้าว นี่เป็นของที่คุณลืมไว้กับผมครับ…”
เฉียวเฟิงหลินวางมือลง ยื่นกระเป๋าเอกสารในมือให้กับเยี่ยเทียน และพูดด้วยเสียงทุ้มว่า “คุณจ้าวต้องการให้ผมทำอะไรก็บอกได้เลยนะครับ ครึ่งหนึ่งของแอฟริกาใต้ก็เป็นถิ่นของผมเหมือนกันครับ”
การที่เฉียวเฟิงหลินทำแบบนี้ ก็เพื่อสานสัมพันธ์อันดีงามกับเยี่ยเทียน ถ้าเป็นไปตามกำหนดการท่องเที่ยวของเยี่ยเทียน เขาต้องคอยติดตามไปด้วย แต่ถ้าพูดในอีกแง่หนึ่ง มันเป็นความบกพร่องในหน้าที่ เท่ากับว่าไม่ให้เกียรติเยี่ยเทียน
“ครับ เกรงใจจังเลยครับท่านประธานเฉียว”
เยี่ยเทียนยื่นมือรับกระเป๋าและหยิบพาสปอร์ตที่ใส่ไว้ในซองเอกสารลับออกมา หลังจากตรวจเช็คหนังสือเดินทางที่มีตราประทับขาเข้าด้วย เยี่ยเทียนหันไปหาเหลยหู่กับเจียงซานและพูดกับสองคนนั้นว่า “คุณสองคนมีพาสปอร์ตติดตัวไว้หรือเปล่า? ”
“มี! ” เจียงซานกับเหลยหู่ตอบพร้อมกัน
“ขอบคุณมากครับท่านประธานเฉียว”
เยี่ยเทียนแสดงความขอบคุณกับเฉียวเฟิงหลินพูดต่อว่า
“เอาล่ะ เหลยหู่ เจียงซาน พวกเราไปขึ้นเครื่องกัน”
ระหว่างทาง เยี่ยเทียนได้โทรหาถังเหวินหย่วนเรียบร้อยแล้ว และรู้ว่าเครื่องบินได้จอดรออยู่ที่สนามบินเคปทาวน์ตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว แค่เยี่ยเทียนไปถึงที่นั่น เครื่องบินก็พร้อมให้บริการทุกเมื่อ
ทั้งเหลยหู่และเจียงซานไม่กล้าขัดคำสั่งของเยี่ยเทียนอยู่แล้ว ทั้งสองคนจึงพากันออกจากโรงแรมอย่างเชื่อฟัง คนที่จะขับรถไปสนามบินเคปทาวน์ก็ยังคงเป็นเหลยหู่เหมือนเดิม ส่วนเฉียวเฟิงหลินทำได้เพียงยืนมองรถแล่นผ่านตัวเองไป
โดยปกติการบินขึ้นและลงจอดของเครื่องบินส่วนตัว จะมีกระบวนการทำงานที่ครบขั้นตอนในตัวอยู่แล้ว หลังจากที่รถแล่นมาถึงสนามบิน เยี่ยเทียนทำการติดต่อพนักงานของเครื่องบินส่วนตัวลำที่ถังเหวินหย่วนยืมมา
เวลาผ่านไปสิบกว่านาที กัปตันที่พูดภาษาจีนฮ่องกงคนหนึ่งก็นำทางเยี่ยเทียนและคนอื่นๆ เข้าไปในสนามบินผ่านประตูอีกฝั่งหนึ่ง
เครื่องบินส่วนตัวที่ถังเหวินหย่วนยืมมาให้ มีขนาดใหญ่กว่าของเขาเองหลายเท่า สามารถบรรจุคนได้ถึง 18 ที่นั่ง เก้าอี้ทุกตัวเป็นเบาะแบบแคปซูลอวกาศที่ผลิตจากหนังแท้ เบาะนั่งแบบนี้เป็นเบาะที่มีการพัฒนาใหม่ล่าสุด เมื่อนั่งลงไป และใส่หูฟัง ระบบการนวดแผ่นหลังจะเริ่มทำงาน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายทันที
“หืม? แล้วจะเกิดอะไรขึ้น? ”
เยี่ยเทียนมองของตกแต่งในเครื่องบินลำนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกใจสั่น ราวกับจะมีอันตรายเกิดขึ้น
“แปลก? ช่างเถอะ เป็นความโชคดีไม่ใช่ความโชคร้าย ถ้าเป็นความโชคร้ายก็หนีไม่พ้น ตัวอยู่บนฟ้าแบบนี้ เวลาเจอเรื่องร้ายก็ใช่ว่าจะหนีออกไปได้ ! ”
สิ่งที่เยี่ยเทียนสัมผัสได้ในครั้งนี้มีทั้งดีและไม่ดี แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ด้วยเหตุผลนี้เยี่ยเทียนจึงกล้าขึ้นไปบนเครื่องบิน ความสามารถในการลอยตัวกลางอากาศของเยี่ยเทียน อย่างมากก็สูงกว่าพื้นดินสี่ห้าร้อยเมตร แต่ความสูงที่เครื่องบินบินขึ้นไปนั้นสูงมาก เยี่ยเทียนคิดว่าเมื่อมีอันตรายเกิดขึ้น เขาน่าจะลดความเสี่ยงตรงนั้นลงได้
ตอนที่ 815 พรสวรรค์
คุณเยี่ย พวกเราต้องแวะเติมน้ำมันที่กาตาร์ บินจากเคปทาวน์ถึงฮ่องกงใช้เวลาประมาณ 20 ชั่วโมง และเราจะนำเครื่องขึ้นในอีกครึ่งชั่วโมงครับ ! ”
กัปตันเดินออกมาจากห้องคนขับพร้อมกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอีกสามคน หลังจากชี้แจงเส้นทางและเวลาเสร็จ กัปตันพูดว่า
“ถ้าคุณเยี่ย ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม เรียกพวกเธอได้เสมอครับ ผมขอตัวก่อน”
“ขอบคุณครับคุณหวง รบกวนด้วยครับ ! ”
เยี่ยเทียนพูดกับกัปตันอายุสี่สิบท่านนี้อย่างสุภาพ เพราะเขาทราบดีว่า เครื่องบินลำนี้เป็นเครื่องบินส่วนตัวของมหาเศรษฐีหลี่เชาเหรินแห่งฮ่องกง เป็นเครื่องบินที่ผลิตโดยบริษัทผลิตเจ็ทส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เวลาในการผลิตถึงสองปี ประสิทธิภาพของเครื่องบินไม่ได้แย่ไปกว่าเครื่องบินลำใหญ่เลย
เดิมทีด้วยอำนาจของถังเหวินหย่วนก็ใช่ว่าจะสามารถยืมมาได้ แต่แค่หลี่เชาเหรินได้ข่าวว่าคนที่ยืมคือเยี่ยเทียน เขาตอบตกลงและทำการส่งเครื่องบินมาที่เคปทาวน์ทันทีในวันถัดไป
“รู้สึกไม่ค่อยดีเลย หรือว่ามีบางอย่างจะเกิดขึ้น? ”
เมื่อกัปตันเดินออกไป เยี่ยเทียนมองแอร์โฮสเตสครู่นึง จากนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะใบหน้าของแอร์โฮสเตสทุกคนค่อนข้างมืดมัว ตรงหว่างคิ้วมีสีดำจางๆ
“หืม? เกิดอะไรขึ้นเนี่ย หรือเราตาลาย? ”
ตอนที่เยี่ยเทียนตั้งใจมองแอร์โฮสเตสอยู่ จู่ๆ ความมืดมัวบนใบหน้าของพวกหล่อนก็หายไป ลอยดำตรงหว่างคิ้วก็หายไปด้วยเช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกแปลกใจ เพราะเขาไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน
“คุณเยี่ย ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้มั้ยคะ? ”
แอร์โฮสเตสที่ถูกเยี่ยเทียนจ้องมองโค้งตัวลงมาจนเห็นร่องอกลึก น้ำหอมยี่ห้อซีเค เป็นกลิ่นที่เต็มไปด้วยความเย้ายวน และตอนนี้กลิ่นมันฟุ้งเต็มจมูกของเยี่ยเทียนไปหมด
เครื่องบินส่วนตัวลำนี้ หลี่เชาเหรินนอกจากอนุญาตให้ลูกชายคนโตใช้แล้ว ก็ไม่มีใครได้ใช้เลย แม้แต่ลูกชายคนรอง การให้คนนอกยืมยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าได้สร้างความสัมพันธ์บางอย่างที่มากกว่าเพื่อนละก็ แอร์โฮสเตสเหล่านี้ก็จะได้เข้าสู่สังคมชนชั้นกลางไปโดยปริยาย
แอร์โฮสเตสไม่เพียงแต่กำลังส่งสัญญาณผ่านร่างกาย แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมาก็เต็มไปด้วยความเย้ายวน อยากจะคลอเคลียบนร่างกายของเยี่ยเทียนเต็มทน เหลยหู่ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ยังมองจนไม่อาจละสายตา
“แค่ก ๆ ขอน้ำแร่ให้ผมก็แล้วกันครับ ! ”
ท่าทางอันเย้ายวนของแอร์โฮสเตสทำให้เยี่ยเทียนที่กำลังจะตั้งสมาธิทำนาย หน้าแดงระรื่อไปหมด แล้วด้านหลังของเขาก็เป็นเบาะนั่งพิง เขาอยากจะหลบก็หลบไม่ได้ จึงทำได้เพียงมองตรงไปยังคลื่นที่อยู่ตรงหน้าแทน
“บ้าเอ้ย คนสมัยก่อน ก่อนจะเริ่มทำนายจะต้องชำระล้างร่างกายและกินเจ หรือมันจะมีพิธีกรรมนี้จริง ๆ ? ”
เมื่อสายตาเย้ายวนของแอร์โฮสเตสหายไปพร้อมกับการก้มลงไปหยิบน้ำให้เยี่ยเทียน เยี่ยเทียนรีบหันไปมองหญิงสาวอีกสองคน และพบว่าบนใบหน้าของพวกหล่อนไม่มีอะไรแล้วเช่นกัน
“ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นหรอกมั้ง? ”
เยี่ยเทียนพูดพึมพำและมองแสงแดดที่สาดส่องอยู่ด้านนอก อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดจนต้องขอลงจากเครื่อง เพราะเครื่องบินลำนี้รอตนมาหลายวันแล้ว อีกอย่างการทำนายก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต
“คุณเยี่ย น้ำค่ะ! ”
แอร์โฮสเตสวางน้ำลงตรงหน้าเยี่ยเทียน เมื่อเธอเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและขอตัวออกไป เธอเดินไปยืนอยู่ตรงสุดทางของฝั่งตรงข้ามกับเยี่ยเทียน พวกหล่อนเป็นแอร์โฮสเตสที่ได้รับการฝึกมาอย่างเคร่งครัด พวกหล่อนจึงไม่มีทางยั่วยวนแขกในที่สาธารณะ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เสียงเครื่องบินดังขึ้น เยี่ยเทียนที่กำลังเหม่อลอยได้สติกลับมา เมื่อมองไปรอบๆ พบว่าเหลยหู่หลับตาพักผ่อนไปเรียบร้อย เป็นเพราะเขาขับรถจากโจฮันเนสเบิร์กมาถึงเคปทาวน์คนเดียว
ส่วนเจียงซาน หล่อนกำลังตั้งใจดูหนังสือคำอธิบายหกสิบสี่กว้า เล่มนั้นอยู่
“เจียงซาน เป็นยังไงบ้าง? ”
ทันทีที่เยี่ยเทียนยื่นมือออกไป หนังสือเล่มนั้นถูกมือที่มองไม่เห็นดึงและลอยมาหาเยี่ยเทียน “หืม ดูถึงหกสิบกว้าแล้วเหรอ เจียงซาน เธอเข้าใจกว้าที่เขียนในหนังสือเล่มนี้หรือเปล่า? ”
แปดทิศเซียนเทียนของโจวอี้ ถึงแม้จะเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยี ทำให้มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้าใจความรู้อันคลุมเครือเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง หากไม่มีอาจารย์อธิบาย คนธรรมดาก็จะไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่อธิบายไว้ในหนังสืออย่างแน่นอน
“หนัง…หนังสือมันบินได้ยังไง ? ”
เจียงซานที่ตั้งใจอ่านหนังสือคำอธิบายหกสิบสี่กว้าอยู่ ตกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ความตกใจของเธอก็คลายลงทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่ทำคือเยี่ยเทียน เธอรู้ตั้งแต่ตอนที่เยี่ยเทียนพาเธอหนีออกมาจากเหมืองทองคำที่โจฮันเนสเบิร์กแล้ว
เยี่ยเทียนมองไปที่ตาของเด็กสาว เขาชูหนังสือขึ้นถามว่า “หนังสือเล่มนี้ เธออ่านเข้าใจมั้ย? ”
“เข้าใจ กว้าต่างๆ มีการรวมกันหลายแบบ ฉันสามารถจำได้หมดเหลือแค่วิธีการทำนาย ต้องทำยังไงเหรอ ”
เมื่อได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน เจียงซานรู้สึกตื่นเต้นมาก ก็ไม่รู้ว่าทำไม เธอรู้สึกชอบเนื้อหาหนังสือมาก ถ้าเป็นคนทั่วไป อาจจะเข้าใจเนื้อหาแบบคลุมเครือ แต่สำหรับเธอแล้ว เธอสามารถเข้าใจได้หมดเลย
“อืม จำได้จริงเหรอ? ” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วและถามต่อ “สัญลักษณ์ต้าสอดคล้องกับอะไร? ”
เจียงซานครุ่นคิดไปครู่หนึ่งตอบว่า “ต้าข่านกว้าบนคือตุ้ย ล่างคือซวิ่น ต้ากั้วกว้าระวังคำพูดคน สองหยินเหยาชื่อเสียง ความมั่นคงเสียหาย การดำรงตำแหน่งสั่นคลอน ต้าข่านกว้าดูจากคำทำนายแล้วล้วนเป็นภัยมหันต์”
“อืม แล้วสัญลักษณ์แอ่งน้ำเหนือขุนเขาล่ะ? ” เยี่ยเทียนอึ้งเล็กน้อยถามต่อ
“กว้านี้บนคือข่าน ล่างคือเกิ้น เจี้ยนกว้าเขาสูงน้ำไหล ข่านอยู่หน้า เกิ้นอยู่ท้าย อันตรายอยู่ตรงหน้า ภัยพิบัติ การเดินทางมีสิ่งกีดขวาง ข้ามเขาข้ามทะเล ข้ามแม่น้ำข้ามมหาสมุทร ท่านเยี่ย กว้านี้ไม่ใช่กว้ามงคลเหมือนกัน”
เวลาที่เยี่ยเทียนถามสัญลักษณ์ของกว้า ในสมองของเจียงซานจะมีชื่อกว้าที่สอดคล้องกันปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตัวอักษรที่อยู่ในหนังสือ เธอสามารถจำได้อย่างแม่นยำ และแทบจะไม่ต้องคิดก็สามารถพูดออกมาได้ทันที
“เธอไม่ต้องเรียกฉันว่าท่านเยี่ย เรียกชื่อฉันก็พอ ! ” เยี่ยเทียนตะลึงเข้าไปอีก และถามต่ออีกว่า “เธอลองอธิบายสัญลักษณ์แอ่งน้ำแทรกซึมใต้ปฐพีซิ ! ”
ความรู้สึกของเยี่ยเทียนในตอนนี้ คงใช้คำว่าตะลึงต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ตัวเขาเองก็มีพรสวรรค์ด้านคัมภีร์โจวอี้มาก แต่ตอนที่ยังไม่ได้รับการสืบทอดความรู้จากบรรพจารย์ เขาต้องอ่านหนังสืออย่างหนักตั้งแต่ห้าขวบ จากนั้นถึงจะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของกว้าต่างๆ ได้
แต่เจียงซานใช้เวลาดูกว้าไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เธอสามารถตอบคำถามได้อย่างฉะฉาน ซึ่งพรสวรรค์ระดับนี้ แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็ยังต้องนับถือ แต่เขาก็ยังแอบไม่เชื่อจึงได้ถามต่อ
เจียงซานแอบมองเยี่ยเทียน และพูดออกไปด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“ถ้า…ฉันไม่เรียกชื่อคุณ แล้วฉันจะเรียกคุณว่าอะไรได้อีก ? ”
เจียงซานรู้สึกกดดันมากเวลาเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียน มันไม่ต่างจากสัตว์ป่าที่อ่อนแอกว่าแต่เกิดไปเจอกับราชาแห่งขุนเขา ถ้าเมื่อครู่ไม่ได้จมอยู่กับหนังสือ แม้แต่หายใจก็ยังไม่กล้าหายใจแรง เพราะกลัวจะไปรบกวนเยี่ยเทียน
“เรียกพี่…..หรือไม่ ก็เรียกอาเยี่ยก็แล้วกัน”
ตอนแรกเยี่ยเทียนอยากให้เจียงซานเรียกว่าพี่ แต่ก็เปลี่ยนใจ คนมีพรสวรรค์ระดับนี้ ถ้าไม่รับเข้าสำนัก แล้วอาจารย์หลี่ซั่นหยวนมารู้ทีหลังจะต้องปีนออกมาจากหลุมศพและมาจัดการตนอย่างแน่นอน
“อา…เยี่ย ? ” เจียงซานมองหน้าเยี่ยเทียน รู้สึกแปลกที่ต้องเรียกแบบนี้ แต่ความหวังดีที่เยี่ยเทียนแสดงออกมา ทำให้ความกลัวของหญิงสาวลดลงไปเยอะทีเดียว
“เด็กโง่เอ้ย เรียกฉันว่าอาจารย์ก็ได้”
เหลยหู่ที่หลับตานั่งพักอยู่แถวหน้าสุด ได้ยินทุกคำพูดในการสนทนาของสองคนนั้น และรู้จักหลี่ซั่นหยวนผู้มีลำดับศักดิ์สูงจนน่าเกรงขาม เพราะเป็นบรรพจารย์ของสำนักเสื้อป่านนั่นเอง ฉะนั้นตำแหน่งของเยี่ยเทียนจึงไม่ต้องพูดถึงเลย
คำถามของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ แม้แต่เหลยหู่เองก็ฟังออกว่าเขาต้องการรับศิษย์เข้าสำนัก แต่ว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กแก่แดดโตเกินวัย เติบโตที่ต่างประเทศ และไม่รู้จักความสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ของประเทศจีน
“อาจารย์ ? ” เจียงซานมองหน้าเยี่ยเทียนด้วยความงุนงง แม้เธอจะเข้าใจภาษาจีน แต่เธอไม่เข้าใจความหมายของคำนี้เลย
เยี่ยเทียนโบกมือพูดว่า “เธอเติบโตที่ต่างประเทศ อาจะไม่ชินกับประเพณีของประเทศจีน ลองใช้ชีวิตอยู่ที่ฮ่องกงสักระยะหนึ่งก่อน จะรับเธอเข้าสำนักหรือไม่เดี๋ยวค่อยว่ากันใหม่ ! ”
ความรู้ที่สำนักเสื้อป่านสืบทอดต่อกันมา เป็นอารยธรรมเก่าแก่อันหนึ่งของประเทศจีน ความรู้ที่จะต้องเรียนมีมากมาย เยี่ยเทียนอยากให้เด็กผู้หญิงเข้ามาใช้ชีวิตในนี้ก่อน จากนั้นค่อยสอดแทรกความรู้เข้าไปให้เธอ สุดท้ายค่อยนำเธอเข้ามาอยู่ใต้สำนักเดียวกัน
“ค่ะ” เจียงซานกลัวเยี่ยเทียนเหมือนกลัวเสือ เมื่อเยี่ยเทียนพูดเช่นนี้ เธอจึงขานตอบกลับไปอย่างเชื่อฟัง
“เดี๋ยวฉันจะสอนวิชาทำนายจากเหรียญแบบง่ายให้ก่อน”
เยี่ยเทียนรู้สึกเบื่อจึงได้หยิบเหรียญทองแดงออกมาและพูดว่า “วิธีการทำนายมีหลายแบบ แบบที่ใช้บ่อยก็คือวิธีทำนายโดยใช้เหรียญทองแดง เธอต้องจำคำนี้ไว้ให้ดี ไม่จริงจังอย่าทำนาย ไม่จริงใจอย่าทำนาย อย่าทำนายซ้ำ”
สีหน้าของเยี่ยเทียนจริงจังมากขึ้น เขาวางเหรียญไว้ตรงฝ่ามือและพูดต่อว่า มือซ้ายอยู่บน มือขวาอยู่ล่าง รวมจิตเอาไว้ ขยับนับครั้ง ทิ้งลงที่พื้น ด้านหลังจำนวนคี่เป็นหยิน ด้านหน้าจำนวนคี่เป็นหยาง หลังหนึ่งหน้าสองคือหยินอ่อน กว้าเปลี่ยนเป็นหยาง หลังทั้งสามเหรียญเป็นหยินแก่ กว้าไม่เปลี่ยน…”
เยี่ยเทียนตั้งใจสอนเจียงซานและไม่คิดจะบิดปังแอร์โฮสเตสกับเหลยหู่ ส่วนการตอบสนองของเจียงซานเป็นที่พึงพอใจสำหรับเขามาก เพราะใช้เวลาไปเพียงหนึ่งชั่วโมงกว่า เจียงซานก็สามารถจำจุดสำคัญของการทำนายจากเหรียญทองแดงได้จนขึ้นใจแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น