องครักษ์เสื้อแพร 812-815

 ตอนที่ 812

 

 ไห่รุ่ยชราภาพแล้ว

เจ้ากรมตรวจสอบเป็นตำแหน่งสำคัญ และยังมีอำนาจตรวจสอบ  มีอำนาจคุมพื้นที่  เจ้ากรมตรวจสอบซ้ายดูแลสำนักตรวจสอบ เจ้ากรมตรวจสอบขวาดูแลเมืองหลวงและผู้บัญชาการมณฑลทหารกับผู้ตรวจการ กองตรวจการนอกเมืองหลวง ล้วนอยู่ใต้การควบคุมของสำนักตรวจสอบ อำนาจนี้นับว่าใหญ่ไม่เบา


ว่ากันว่าพอไห่รุ่ยคืนตำแหน่งเป็นเจ้ากรมตรวจสอบฝ่ายขวา สถานะสูง  แผ่นดินหมิงยังแบ่งขุนนางเป็นสองชุด ชุดส่วนกลางคุมเมืองหลวง และชุดหนานจิงคุมหนานจิง


ขุนนางหกกรมกองที่หนานจิงนอกจากเสนาบดีกรมทหารแห่งหนานจิง ที่เหลือก็เรียกได้ว่าเป็นงานว่างเปล่า ถูกคนล้มมาจากเมืองหลวง แต่ยังไม่ถึงที่ตาย มักจะถูกส่งมาประจำงานที่ว่างเปล่าที่หนานจิง มีอีกอย่างคือ ในราชสำนักตำแหน่งเต็ม จึงให้ไปประจำที่หนานจิงรอก่อน  รอเมืองหลวงต้องการค่อยมาเติมเต็ม  นี่ก็เป็นทางลัด มากไปกว่านั้นก็พวกเห็นแล้วรำคาญใจ จะปลดตำแหน่งก็ไม่จำเป็น ก็โยนไปไว้ที่หนานจิง


พวกเช่นไห่รุ่ยแม้ว่ามีชื่อเสียงใต้หล้า แต่ในวงการขุนนางเป็นคนที่น่ารำคาญมาก หลังได้กลับคืนตำแหน่ง เมืองหลวงไม่มีใครอยากให้เขามา จึงส่งเข้าไปแขวนตำแหน่งไว้ที่หนานจิง


แม้เป็นเช่นนี้ แต่ไห่รุ่ยก็ยังยื่นฎีกาไม่หยุด คนใต้หล้าล้วนตัดจางจวีเจิ้งกับเฝิงเป่าทิ้งแล้ว แต่เขากลับยื่นฎีกาว่าไม่อาจเสียสิ่งที่ตั้งไว้เพราะตัวบุคคล  เรื่องดีที่จางจวีเจิ้งทำยังต้องรักษาไว้ ทว่าไม่มีผู้ใดรับฟัง


ที่หนานจิงทุกคนล้วนเป็นขุนนางไร้อำนาจ ดังนั้นจึงมีชีวิตที่อิสระสบายๆ กว่าในเมืองหลวง แม่น้ำฉินไหวมีชื่อเสียงงดงามทั่วหล้า ก็ไม่รู้ว่ามากเท่าไรที่ล้วนเป็นขุนนางว่างงานพวกนี้ยกยอขึ้น  ปกติทุกคนเข้ารายงานตัวตอนเช้าจึงปรากฏตัวกัน จากนั้นก็ล่องลอยว่างงานเอ้อระเหยไปเรื่อย ทุกคนรู้กันดี เป็นขุนนางสูงก็ดูๆ งานไปงั้นๆ บางทียังร่วมเฮฮากับลูกน้องอีกต่างหาก


ไห่รุ่ยกลับไม่ยินดี เขายื่นฎีกาฟ้องขุนนางร่วมงานแต่ละคนพวกนี้ ถึงกับต้องการให้ลงโทษ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนไม่รู้จะรับมือเช่นไร


แต่เพราะมีชื่อเสียงใต้หล้า จึงให้เขาได้ดำรงตำแหน่งนี้ต่อไป เปลี่ยนคนย่อมเป็นไปไม่ได้ ก็ได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้กันไป


เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องเล็ก ขุนนางในราชสำนักได้ยินแล้วก็ยังชมเชยอยู่สองสามคำ บอกว่า ‘ไห่กังเฟิงเป็นคนตรงไปตรงมาจริง’ กัดเรื่องตระกูลสวีที่ซงเจียงไม่ยอมปล่อย ขุนนางใหญ่ราชสำนักย่อมไม่ยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยว


บอกว่าคนก็จากไปแล้ว ปีที่ 10 รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่  สวีเจี้ยล้มป่วยจากไป สวีเจี้ยระดับใด สามารถโค่นเหยียนซงได้ นับว่าเป็นขุนนางเก่าแก่ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้หลงชิ่งกับฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้


กาวก่งเป็นสหายเขา จางจวีเจิ้ง จางซื่อเหวยและเซินสือหังก็ล้วนเป็นศิษย์เขากับรุ่นหลัง ในบรรดาใต้หล้าขุนนางระดับสามขึ้นไป คนเช่นนี้มีมาก


ต้องการแตะต้องตระกูลสวี ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าจะถูกขุนนางใหญ่คนอื่นดูแคลนหรือโจมตีหรือไม่  ตอนไห่รุ่ยขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ตรวจการศาลอิงเทียนตอนนั้นที่มีอำนาจแล้ว ยังถูกสวีเจี้ยที่อำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิดไปโค่นลง ตอนนี้เป็นตำแหน่งว่างเปล่าไร้อำนาจสั่งการ ผู้ใดยังจะไปสนใจเขาอีก


************


หลายเมืองตอนใต้และเขตปกครองใต้มีความพิเศษ เพราะมีคนรวยมาก วัฒนธรรมเข้มข้น เป็นแหล่งรวมบัณฑิตแผ่นดินหมิง สร้างผลสำเร็จมากที่สุด มีคนเก่งยอดเยี่ยมที่สุด พวกลูกหลานเจ้าของที่ดินตอนใต้ในเมืองต่างๆ นี้ก็ล้วนเป็นกลุ่มบุคคลที่มักสอบได้คะแนนดีที่สุดในการสอบขุนนาง


ระบบการสอบคัดเลือกขุนนางแผ่นดินหมิง บัณฑิตกลุ่มที่สอบได้คะแนนดีที่สุด วันหน้าก็ย่อมได้เป็นเสนาบดีหรือเจ้ากรมในหกกรมกอง หรือเป็นผู้บัญชาการมณฑลทหาร  ผู้ตรวจการ  เจ้ากรมปกครอง หรืออาจได้เข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่ โอกาสมีมากกว่าผู้อื่น


แผ่นดินหมิงตั้งมาสองร้อยปี สั่งสมมานาน เมืองต่างๆในเขตปกครองใต้ ลองชี้เล่นก็ย่อมเจอว่าเป็นญาติกับขุนนางใหญ่ในราชสำนัก มีผู้หนุนหลังก็ย่อมมีกิจการใหญ่โต  เป็นผู้ยึดครองที่ดินทางใต้แต่ละแห่งเอาไว้มากมาย  พื้นที่ในแต่ละเมืองก็ตกอยู่ในมือคนกลุ่มนี้ยิ่งมาก คนพวกนี้จัดการทำนาไป พร้อมกับการลงทุนในการค้าด้วยผลผลิตจากที่นาไปด้วย ความร่ำรวยไหลมาเทมาราวกับลูกหิมะกลิ้งมาก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ


 พอร่ำรวยมาก ก็สามารถจัดหาการศึกษาให้บุตรหลานได้ดียิ่งขึ้น ก็สามารถทำให้บุตรหลานได้สอบเข้ารับราชการได้ง่ายยิ่งขึ้น จากนั้นระบบก็หมุนเวียนต่อไป อำนาจตระกูลใหญ่ก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ขุนนางพวกนั้นยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขา เส้นทางขุนนางก็ยิ่งรุ่งโรจน์


สถานที่เช่นนี้แม้ว่าอุดมสมบูรณ์  แต่ขุนนางท้องที่ที่ไปประจำที่เช่นนี้ก็จะถูกวงการขุนนางมองว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากและโชคร้ายมาก


เหตุผลก็ง่ายมา เจ้านั่งเกี้ยวมาตามท้องถนน ชนกับใครสักคน ยังไม่ทันที่เจ้าจะโมโห นายท่านนั้นก็จะเอาเรื่องก่อน เจ้าถามตำแหน่งนายท่านนั้นเข้า ในใจคิดว่ามาวางอำนาจอันใดต่อหน้าขุนนางเช่นตนได้ แต่พอสอบถามให้ชัด ดีเลย นายท่านนี้มีญาติเป็นขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง


ฟังแล้วเหมือนเรื่องเล่าในตำรา แต่ที่จริงแล้วเป็นความจริงยิ่ง เอาแค่นายอำเภอต้าซิงกับหวั่นผิงในเมืองหลวงสองอำเภอนี้  ก็ได้ชื่อว่าสามชาติคงเป็นโจรมา จึงได้รับผลกรรมมาเป็นขุนนางที่นี่ได้ เพราะที่นี่ล้วนเป็นขุนนางระดับสูงและชนชั้นสูงอยู่กันมาก เจ้าแค่ขุนนางระดับเจ็ดจะไปทำอันใดได้  การยากจะเป็นขุนนางแดนใต้ก็มีเหตุผลเช่นเดียวกัน


ขุนนางท้องที่ยากทำหน้าที่ คนในราชสำนักเองก็ระวังเรื่องที่นี่มาก พื้นที่หลายเมืองแดนใต้ มีขุนนางอยู่ราวสี่ส่วนหรือมากกว่านั้น  หากขุนนางท้องที่ทำการผิดพลาด แตะต้องเข้าคนหนึ่งก็ย่อมถูกพรรคพวกเขากลุ่มหนึ่งเล่นงาน แตะต้องตระกูลหนึ่งก็ย่อมถูกพรรคพวกทั้งอำเภอทั้งเมืองเล่นงาน  หรืออาจถึงกับถูกพรรคพวกในราชสำนักโจมตีได้


แต่ละฝ่ายในราชสำนักล้วนแบ่งแยกฝักฝ่ายกันตามพื้นที่ ขุนนางแบ่งออกเป็น ซูโจว อู๋ซี และฉางโจว สามเมืองใหญ่มีพลังอำนาจใหญ่ที่สุด กิจกรรมก็มากมายซับซ้อน  ปกติจะไปรวมตัวกันที่สมาคมร่ายกาพย์กลอน ส่งเสียงสนับสนุนกันและกัน ช่วยเหลือกันในราชสำนัก กลายเป็นกลุ่มอิทธิพลไปแล้ว


หลี่ซานไฉกับกู้เซี่ยนเฉิงที่ดูเป็นความหวังก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แม้ว่าหลี่ซานไฉเป็นคนทงโจว แต่ก็ร่วมเป็นพรรคพวกเดียวกัน  ร่วมเป็นกำลังสร้างชื่อเสียงให้กันและกัน


จะว่าไป เมืองซงเจียงมีเจ้าของที่ดินที่ใหญ่ที่สุดก็คือตระกูลสวี สวีเจี้ยเคยเป็นมหาอำมาตย์แผ่นดินหมิง สวีฝานเคยเป็นเจ้ากรมแห่งกรมโยธา ลูกศิษย์มากมาย ตอนอยู่บ้านเกิด ก็ยังให้ความช่วยเหลือได้ ถึงกับช่วยดูแลพวกเขาในวงการขุนนางได้ด้วย ไม่รู้ว่าคนมากมายเท่าใดได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลสวีนี้  ในท้องที่ไม่รู้มีคหบดีมากมายเท่าไรที่ต้องการได้รับการคุ้มครองจากตระกูลสวี หลายปีมานี้ อิทธิพลตระกูลสวีถึงระดับใดกันแล้ว แต่คิดก็รู้ได้


**************


การมีอยู่เช่นนี้หากแตะต้องเข้า ก็จะทำให้ถูกราชสำนักรุมโจมตีไม่ว่า หากเกิดขุนนางใหญ่ในราชสำนักมีคนใดสนิทกับตระกูลสวี แอบยื่นฎีกาหรือทำอันใด เช่นนี้ก็ย่อมเห็นได้ว่าจะทำกันไปทำไมให้ลำบากตนเอง


ตอนนั้นไห่รุ่ยไม่ใช่ว่าเป็นเพราะไต้เฟิ่งเสียนหรอกหรือ จึงต้องถูกปลดไป  จากนั้นก็ถูกจางจวีเจิ้งกดไว้ให้ว่างงานอยู่สิบกว่าปี ไห่รุ่ยยังกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อย เขาตัวคนเดียวไม่กลัว แต่ทุกคนในราชสำนักกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ผู้ใดอยากจะถูกโจมตีด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้กัน อาจถูกขุนนางใหญ่ในราชสำนักจัดการลับหลังก็ได้


อย่าว่าแต่ไห่รุ่ยเลย แม้แต่ตอนอำนาจจางจวีเจิ้งรุ่งโรจน์อยู่ การตรวจสอบที่นาก็ยังไม่กล้าไปถึงเมืองซงเจียง แอบให้การคุ้มครองที่นา แอบซ่อนไม่จ่ายภาษี ใต้หล้าหัวหลุดจากบ่าไปตั้งเท่าไร มีแต่ตระกูลสวีที่ไม่สะเทือน นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าอิทธิพลอำนาจ


ไม่มีใครบ้าตามไห่รุ่ย ไห่รุ่ยอายุมากแล้ว ว่ากันว่าสุขภาพก็ไม่ดีนัก เรื่องตระกูลสวีอาจเป็นเรื่องที่เขาติดค้างอยู่ เขาจึงดึงดันยื่นฎีกา ทว่าขุนนางในราชสำนักก็เพียงเห็นเป็นเรื่องตลก ผู้ใดจะไปจริงจังด้วยกัน


เดือนหก ชัยชนะใหญ่หวังทงเป็นที่รู้กันและจบลง พระราชทานบรรดาศักดิ์และการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักเพราะชัยชนะใหญ่นี้ก็เป็นที่แน่นอนแล้ว ชัยชนะของหลี่เฉิงเหลียงเมืองเหลียวโจวก็เป็นที่แน่นอนแล้ว แม้ว่าจะพระราชทานรางวัลตระกูลหลี่หนัก แต่สถานการณ์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้ราชสำนักเงียบสงบดี ทุกคนล้วนเบื่อหน่ายอยู่บ้าง


ระบบที่จางจวีเจิ้งวางไว้เริ่มค่อยๆ ยกเลิก เงินที่ราชสำนักเก็บมาได้ก็เริ่มน้อยลง ชัยชนะใหญ่นอกด่านทำให้ความกดดันชายแดนแผ่นดินหมิงลดลงไปมาก กรมอากรเริ่มเสนอว่าหรือจ่ายงบการทหารน้อยลง  แต่กรมทหารกลับยืนยันว่าไม่ได้ ทุกคนรู้ดีแก่ใจ ลดงบทหาร กรมทหารทางนั้นมีคนรวยน้อยลงเท่าไร


แต่เพราะเงียบสงบ ดังนั้นเมื่อไห่รุ่ยยื่นฎีกาอีกครั้ง จึงทำให้ทุกคนนำออกมาคุยกันเป็นเรื่องตลก เป็นเรื่องคุยกันสัพเพเหระไปเสียอยางนั้น


ราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่สวีกั๋วหัวเราะแล้วก็ยังพลิกฎีกาไห่รุ่ยไปมา  อย่างไรก็ต้องตอบลงไป ให้คำตอบสักหน่อย เพราะสำหรับคนเช่นไห่รุ่ยนั้น ทิ้งไว้หรือเงียบไปนั้นไม่ค่อยเหมาะนัก  อย่างไรก็เป็นคำสั่งจากสำนักส่วนพระองค์ คณะเสนาบดีใหญ่จัดการไปตามระเบียบก็พอ


เปิดฎีกาออกอ่าน เดิมคิดว่าจะตวัดพู่กันแล้วก็จบเรื่อง สวีกั๋วยกพู่กันขึ้นค้างไว้ ลังเลครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นเดินไปหาหวังซีเจวี๋ยกับเซินสือหัง  ยามนี้เสนาบดีในคณะเสนาบดีใหญ่ และบรรดาขุนนางอาลักษณ์ในคณะเสนาบดีใหญ่ที่กำลังยุ่งกันอยู่ก็รู้ตัว


บรรยากาศสบายๆ ในห้องจางหายไป เซินสือหังกับหวังซีเจวี๋ยขมวดคิ้วอ่านจบ หวังซีเจวี๋ยกระซิบว่า


“ท่านอำมาตย์ บางทีฝ่าบาทอาจไม่ทรงรู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ หรือว่าต้องไปทูลให้ทรงทราบดีกว่า ไปสนใจเจ้ารังแตนนั่นทำไมกัน ท่านอำมาตย์ พรุ่งนี้ตอนเข้าเฝ้า…….”


เซินสือหังยกมือขึ้น กล่าวว่า


“จางเฉิงกับจางจิงจะไม่รู้ที่มาที่ไปเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน แม้ว่าเขาไม่รู้ หรือว่าสำนักรักษาความสงบตรวจสอบไม่ได้กัน?”


กล่าวจบก็เคาะฎีกาในมือสองที ก่อนจะเสียงดังขึ้นว่า


“เสนาบดีหวัง รบกวนท่านสักครู่ มีเรื่องหารือ”


การตรวจสอบที่นาเป็นงานของกรมอากร เสนาบดีกรมอากรหวังหลินดูแลเรื่องนี้


**************


“ฝ่าบาท หวังทงฝากกระหม่อมมาถามว่า เขาจะส่งของหมั้นหมายได้เมื่อใด”


จางเฉิงยิ้มกว้างถาม ในเมื่อฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเคยรับปาก ว่าหวังทงกลับมาก็จะถามเรื่องแต่งงาน ตรัสแล้วไม่คืนคำ ต้องจัดการแล้วก็ต้องแจ้งให้ทรงทราบสักหน่อย จะได้ไม่ทรงตำหนิเอา


ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังเสวยพระสุธารสชาและขนมตะวันตกอยู่ พอได้ยินก็ทรงยิ้มตรัสขึ้น


“หญิงตระกูลหานหรือ เล่ามาหน่อย?”


“ทูลฝ่าบาท หญิงผู้นี้ชื่อว่าหานเสีย เป็นหลานสาวของหานไท่ผิงในฝ่ายในเรา หานเสียมีพี่ชายแท้ ๆ เป็นนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพร ครั้งนี้ตามไปรบที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ความชอบไม่น้อย ตัดหัวมาได้มาก กลับมาก็มีรางวัลสองอย่างให้เลือก หนึ่งเป็นนายทหารในกองกำลังหู่เวย ไม่เช่นนั้นก็เป็นรองนายกองพันกองลาดตระเวน”


ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลพยักหน้า วางขนมในพระหัตถ์ลง เช็ดไปมาก่อนตรัสว่า


“หวังทงแต่งกับน้องสาวลูกน้อง ความสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ยิ่งไว้ใจได้ยิ่งขึ้น!”


จางเฉิงยิ้มจะกราบทูลต่อ ก็คิดลังเล แม้ว่าไม่มีอันใดเหนือคาดหมาย  แต่ก็รู้สึกว่าไม่ควรพูดยามนี้ แต่เงียบไปสักพัก ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตบหน้าผาก แย้มสรวลตรัสว่า


“เราจำได้ว่ามีชื่อจางหงอิง……”

 

 

 


ตอนที่ 813

 

 บรรดาหญิงสาวข้างกาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“จางหงอิง……”


ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสชื่อนี้ออกมา สีหน้าจางเฉิงก็งุนงง ทว่าในฐานะหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ ย่อมต้องสมองไว ทุกเรื่องต้องอยู่ในสมอง  ยังไม่ทันรอให้เจ้าจินเลี่ยงบอก จางเฉิงก็จำได้ ล้อตนเองเล่นว่า


“ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมเกือบลืมชื่อนี้ไปแล้ว”


ลังเลครู่หนึ่ง จางเฉิงก็กล่าวว่า


“กระหม่อมจำได้ว่าจางหงอิงปรนนิบัติรับใช้ข้างกายหวังทงมาตลอด  ฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมไม่ทันใส่ใจเรื่องนี้ เสี่ยวเลี่ยงเจ้าไปตรวจสอบ ในวังมีบันทึกไหม”


เจ้าจินเลี่ยงรีบคำนับหันหลังวิ่งออกไป  ฮ่องเต้ว่านลี่ยกถ้วยชาขึ้นมา เจ้าจินเลี่ยงก็กลับมา ถวายคำนับทูลว่า


“ฝ่าบาท จางหงอิงติดตามไปเทียนจิน อยู่ปรนนิบัติรับใช้หวังทงในจวน หลังกลับมาเมืองหลวงก็ตามไปอยู่กับนางหม่า เป็นเหมือนสาวใช้”


ฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงสบตากัน ยิ้มกล่าวว่า


“เสี่ยวเลี่ยง เจ้าโตขึ้นไม่น้อยแล้ว วันหน้าเรื่องพวกนี้รู้แล้วก็พูดมาได้เลย ไม่ต้องเกรงเรื่องเสียหน้า ทำให้ต้องไปวิ่งรอบหนึ่งแล้วค่อยกลับมา จางปั้นปั้นกับเจ้าก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล”


เจ้าจินเลี่ยงหน้าแดง รีบคุกเข่าลงทูลว่าทราบแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่กับจางเฉิงหัวเราะออกมาพร้อมกัน เจ้าจินเลี่ยงทำเช่นนี้แม้ว่าดูไม่เนียน แต่ก็ทำเพราะใส่ใจ ไม่ได้มีอันใดต้องตำหนิ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกงงเล็กน้อยตรัสว่า


“หวังทงไม่ให้สถานะจางหงอิงหรือ ตอนนั้นเรายังเรียกว่าพี่หงอิง หญิงเช่นนี้หากไม่สนใจดูแลก็ดูไม่เหมาะ!”


จางเฉิงคิดแล้วก็กระซิบว่า


“ฝ่าบาท หวังทงหลายปีนี้ไม่มีผู้หญิงข้างกาย ไม่เคยเห็นอยู่ลำพังกับหญิงใด เอาแต่คิดทำงานเพื่อฝ่าบาท”


พูดถึงตรงนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ดูแปลกประหลาดทันที กระซิบถามขึ้น


“หวังทงอายุขนาดนี้แล้วถึงกับไม่เคยแตะต้องผู้หญิง คงไม่ใช่ว่าชอบ……”


จางเฉิงกระแอมไอสองที สีหน้าจริงจังกล่าวว่า


“ทูลฝ่าบาท ไม่ใช่พะยะค่ะ ว่ากันว่าหวังทงมีทหารติดตามปรนนิบัติ แต่ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ หากมี ย่อมมีรายงานมาแล้ว  หวังทงคิดแต่การแผ่นดินเรื่องเดียวจริงๆ ไม่เคยฝักใฝ่เรื่องเปลืองสมองพวกนี้”


ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์แย้มสรวล สัพยอกว่า


“ตอนเราเข้าลานฝึกก็รู้รสชาติผู้หญิงแล้ว คิดไม่ถึงว่าหวังทงดูแก่กว่าเรา แต่ถึงกับเป็นเช่นนี้ น่าสนใจ น่าสนใจจริง!!”


บรรยากาศในห้องผ่อนคลายลง จางเฉิงแอบสัพยอกว่า


“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้อง หากหวังทงใกล้ชิดกับผู้หญิงใด ตามรายงานที่มีมา นอกจากนางหม่าแล้ว ก็มีแค่ซ่งฉานฉานที่ดูแลหอฉินก่วน ซ่งฉานฉานเป็นสายสืบให้หวังทง ทำงานรวบรวมข่าว”


“ซ่งฉานฉาน? มีตำแหน่งนายกองร้อยในสำนักรักษาความสงบผู้นั้น?”


“ฝ่าบาท เป็นนางผู้นี้พะยะค่ะ”


ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนพอจำได้เลือนราง ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า


“หญิงเชี่ยวสังคมเช่นนี้ ทำงานให้หวังทง ก็เหมือนมีวาสนาต้องกันอยู่บ้าง”


กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ดูแปลกๆ ยิ้มกล่าวว่า


“หากเป็นคนอื่นมีสถานะเช่นหวังทงตอนนี้คงมีหญิงสาวข้างกายไม่น้อยแล้ว แต่เจ้าดูข้างกายหวังทง จางหงอิงจากตระกูลเล็กๆ มีจิตใจแข็งกร้าว ซ่งฉานฉานสถานะราวดอกไม้โรยกลีบ  หานเสียก็เป็นหญิงจากตระกูลขุนนางบู๊  เป็นคู่ครองที่ดีที่ไหนกัน”


 หวังทงช่วยจางหงอิงไว้  หญิงที่สามารถทอดทิ้งพ่อแม่มาติดตามหวังทงได้ ใจต้องแข็งมา พบเห็นได้ไม่มากนัก  ตอนอยู่หอเลิศรส จางหงอิงตำหนิเด็กหนุ่มว่าอย่าสิ้นเปลือง ตอนนั้นพวกฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกสนิทสนมอยู่มาก ตอนนี้โตกันแล้ว ค่อยๆ คิดให้ดี เหตุใดจึงคิดไม่ออกว่านั้นเป็นวิธีการที่จางหงอิงใช้เข้าใกล้ทุกคน


ทว่าอย่างไรก็ตระกูลเล็กๆ ตอนนั้นอายุยังน้อย สามารถทำได้เช่นนั้นก็เรียกว่าไม่เลวแล้ว ตอนนี้แอบปรนนิบัติข้างกายหวังทงเงียบๆ วันหน้าอาจจะเป็นที่พักพิงที่ดี หรืออาจไม่ใช่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


ส่วนซ่งฉานฉาน เพราะเคยถูกทางการลงโทษส่งเข้าสำนักควบคุมหญิง ชื่อเสียงหมดสิ้น  วัฒนธรรมจีนหลายพันปี ความบริสุทธิ์ของสตรีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซ่งฉานฉานเรียกได้ว่าดอกไม้กลีบโรยแล้ว คนเช่นนี้ แต่งเป็นน้อยให้ตระกูลใหญ่หรือแอบเลี้ยงไว้นอกจวนก็เรียกว่ามีวาสนาแล้ว คิดจะมีชีวิตแบบหญิงทั่วไป ยากมาก


ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงรู้จักหานเสีย ทว่าหญิงตระกูลทหารไร้พ่อไร้แม่ ไม่ต่างกันอันใดกับหญิงชาวบ้านตามท้องถนน ไม่อาจมีสถานะใด และไม่มีเกียรติอันใด ปู่รองของนางอย่างหานไท่ผิงก็ไม่เท่าไร คนมีสถานะย่อมไม่คิดตกแต่งนางเข้าตระกูล เพราะการเกี่ยวดองกับขันทีในวังส่งผลไม่น้อย ขันทีแม้อำนาจมาก แต่อำนาจคุมใต้หล้านั้นเป็นขุนนางบุ๋น


นี่เป็นบรรดาสตรีรอบกายหวังทง หานเสียเป็นความบังเอิญ เพราะพี่ชายบุ่มบ่ามจึงได้พบหวังทง ขันทีสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์อย่างหานไท่ผิงหาคนทอดสะพานไปหาหวังทงได้ จึงได้เป็นวาสนาเกี่ยวดอง เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของหวังทง


หานเสียเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็เป็นหญิงตระกูลดี และยังมีสายสัมพันธ์รุ่นปู่กับพี่ชายอยู่ หวังทงแต่งกับนาง นอกจากเป็นหญิงไม่เลวแล้ว ยังสามารถให้ความช่วยเหลือเบื้องหลังได้หลายส่วน


พูดกันเรื่องพวกนี้ก็เท่ากับคุยเรื่องครอบครัวทั่วไป บรรยากาศย่อมผ่อนคลาย จางเฉิงถือโอกาสตีเหล็กเมื่อร้อน ทูลถามขึ้น


“ฝ่าบาท หวังทงทางนั้นให้ตอบเช่นไร?”


“ไม่รีบ  เราขอไตร่ตรองต่อ”


ก็แค่ทรงตรัสมาคำเดียวก็เสร็จเรื่อง แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ตัดสินพระทัย จางเฉิงอึ้งไปไม่กล้ากล่าวต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ผลักจานขนมออกไปอีกทาง เงียบไปก่อนจะตรัสว่า


“เรื่องตระกูลสวีเมืองซงเจียง คณะเสนาบดีใหญ่ตอบอย่างไร?”


จางเฉิงรีบทูลตอบว่า


“ทูลฝ่าบาท วันนี้ท่านอำมาตย์ส่งสารเข้ามาว่ากรมอากรทำงานล่าช้าได้ตำหนิไปแล้ว ทว่าเรื่องตระกูลสวี ต่างจากที่อื่นๆ จริง กรมอากรมีวาจาไม่อาจกล่าวออกมาได้”


“ไร้สามารถ! ไห่รุ่ยเป็นขุนนางมีชื่อระดับนี้ ตอนนั้นเสด็จปู่สั่งจำคุก ไม่ประหาร ก็แสดงให้เห็นว่าเก็บไว้ให้เสด็จพ่อใช้งานต่อ คิดไม่ถึงว่ากลับถูกจางจวีเจิ้งกดไว้ถึงตอนนี้ ตอนนี้ไห่รุ่ยอายุมากขนาดนี้แล้ว เรื่องที่คิดเพื่อแผ่นดินยังไม่อาจสำเร็จ เราเองจะมีหน้าต่อไปได้อย่างไร ให้พวกเขาเร่งปฏิบัติหน่อย!!”


ไห่รุ่ยหาเรื่องตระกูลสวีเมืองซงเจียงเรียกได้ว่าเป็นรังแตน จางเฉิงปฏิบัติหน้าที่มานาน สมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง ก็เป็นขันทีอยู่ในสำนักส่วนพระองค์ เรื่องนี้ก็เหมือนเคยเจอมา จะไม่รู้ที่มาที่ไปได้อย่างไร เรื่องเช่นนี้เกี่ยวพันโยงใยมากไป  อาจทำให้เกิดกระแสขัดแย้งทางการเมืองได้ง่าย และตระกูลสวีตอนนี้ก็เป็นสัญลักษณ์ตระกูลคหบดีแดนใต้ บุตรหลานแดนใต้ใต้หล้าประจำตำแหน่งขุนนางที่ต่างๆ หลายตระกูลใหญ่ต่างจ้องมองตระกูลสวีอยู่


ราชสำนักทำกับตระกูลสวีเช่นไร อาจทำให้คิดว่าเป็นการลงมือกับตระกูลใหญ่แดนใต้ของราชสำนัก แตะต้องตระกูลสวี อาจทำให้ตระกูลใหญ่แดนใต้และสายขุนนางแดนใต้ทั้งหมดออกหน้าต่อต้าน  ความยุ่งยากย่อมตามมา แม้ว่าเป็นพระประสงค์ฮ่องเต้ ก็ต้องคิดให้รอบคอบ


จางเฉิงเองก็งง ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้แม้ใจร้อนสั่งการ แต่ก็ทรงรู้การหนักเบาดี แต่ไรมาไม่ทรงสนพระทัยเรื่องตระกูลสวี  เหตุใดอยู่ ๆ จึงทรงสนพระทัยเช่นนี้ งานแต่งหวังทงควรจะให้ความสำคัญก่อนมากกว่า สงสัยก็ส่วนสงสัย หากฮ่องเต้ว่านลี่รับสั่ง จางเฉิงก็ต้องรับคำ


“ฝ่าบาทวางพระทัย กระหม่อมจะรีบแจ้งท่านอำมาตย์”


***************


“เห็นใต้เท้าปลอดภัย ข้าน้อยก็วางใจ”


ในจวนหวังทง ซุนต้าไห่ตื่นเต้นแทบร้องไห้ หวังทงไปเมืองกุยฮว่าเฉิงจนมีชัยกลับมา ซุนต้าไห่ต้องดูแลเทียนจินมาตลอด  ยังต้องรวบรวบเสบียงเพื่อการทหารอีก ยังต้องดูแลกิจการภายในทั้งหมดอีก ยุ่งจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้ พอถึงเดือนหกจึงได้มีเวลามาเมืองหลวง


ไม่เจอกันครึ่งปี ซุนต้าไห่ตื่นเต้นแทบร้องไห้  ท่าทีเช่นนี้ต้องเป็นคนในครอบครัวเท่านั้นจึงจะมีได้ หวังทงเองก็ซาบซึ้ง ยิ้มกล่าวว่า


“ต้าไห่เจ้าตอนนี้คุมคนส่วนหนึ่งทางนั้น เหตุใดยังเป็นเช่นนี้อีก  คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอานะ!”


หวังทงยิ้มหยอก หม่าซานเปียวหัวเราะดังว่า


“เหล่าซุนทำตัวราวสตรีนี่เห็นครั้งแรกนะเนี่ย รอไว้ไปเล่าให้หู่โถวฟังดีกว่า จะได้ร่วมฮาด้วยกัน!!”


ในห้องล้วนเป็นคนของหวังทง หม่าซานเปียวกล่าวเช่นนี้ทำเอาทุกคนพากันหัวเราะลั่น ซุนต้าไห่ยิ้มตอบกลับไปสองสามคำ พอซุนต้าไห่นั่งลง มองไปข้างกายหวังทง ก็ถอนหายใจส่ายหน้ากล่าวว่า


“ใต้เท้าอย่าได้ตำหนิ เมื่อก่อนข้างกายใต้เท้ามีพี่ถานอยู่ด้วย พี่น้องตระกูลถานกับข้าน้อยเราเข้ากันได้ดี ครั้งนี้ไม่ได้พบ ช่าง……….ใต้เท้า วันนี้ข้าน้อยไม่รู้ทำไมเป็นเช่นนี้ ขายหน้าใต้เท้าแล้ว”


ซุนต้าไห่ปีนี้ 40 แม้ยังหนุ่ม แต่เพราะทำงานหนัก จอนผมเริ่มขาวบ้างแล้ว พี่น้องตระกูลถานได้ชื่อว่าเป็นบ่าวหวังทงแต่ที่จริงแล้วเป็นดังคนในครอบครัว ฝีมือหม่าซานเปียวก็ได้รับถ่ายทอดจากถานเจียง ซุนต้าไห่กล่าวเช่นนี้ หม่าซานเปียวก็ไม่มีใจจะแซวต่อ


“พวกเจ้านี่นะ แต่ละคนอายุมาแล้ว พวกถานเจียงอยู่เมืองกุยฮว่าเฉิง หรือว่าพวกเจ้าไปไม่ได้กัน หรือว่าไม่ได้พบกันอีก เดิมเป็นแผ่นดินศัตรู ตอนนี้เป็นอาณาเขตแผ่นดินหมิง ข้ามีโรงบ้านที่ดินมากมายที่นั่น ถึงตอนนั้นให้เจ้ากับซานเปียวไปอยู่ให้สำราญใจกันไปเลย”


ทุกคนสบตากัน อดหัวเราะไม่ได้ ถูกหวังทงสอนสั่งไปยกหนึ่ง ทำให้บรรยากาศดีขึ้นมาก หวังทงหยุดไปก่อนจะกล่าวว่า


“ตอนข้านำกำลังขึ้นเหนือขาดการติดต่อไป ได้ยินว่าเทียนจินก็วุ่นวายใช่ไหม?”


พูดถึงเรื่องนี้ ซุนต้าไห่ก็นั่งตัวตรงน้ำเสียงจริงจังว่า


“เรียนใต้เท้า เป็นเช่นนั้นจริง ร้านสามธารากับร้านประกันภัยก็มีสิบสี่รายถอนเงินไป ร้านที่เหลือก็มีบ้างตุนสินค้า บ้างเลสินค้าทิ้ง วุ่นวายกันหลายวัน คนพวกนี้ก็ถูกองครักษ์เสื้อแพรกับหน่วยรักษาความปลอดภัยจับกุม นำไปจัดการเรียบร้อย วันนี้ข้าน้อยมาก็มีคนนำข่าวจากโรงต่อเรือเรามาแจ้ง หลายวันก่อนมีคนกลับมาจากทางใต้ บอกว่าที่จินโจวมีท่าเรือส่วนตัว เห็นเสากระโดงเรือแล้ว เหมือนว่าเป็นเรือทะเล  ดูสภาพทั่วไปแล้วน่าจะกำลังเดินทางกลับ”


หวังทงสีหน้ายิ้มเยียบเย็น แค่นเสียงกล่าวว่า


“นับเวลาแล้ว ก็พอดีกับช่วงที่ขาดการติดต่อมาจนกระทั่งติดต่อกันอีกครั้ง!”

 

 

 


ตอนที่ 814

 

หนุ่มๆ คุยสัพเพเหระ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เสากระโดงเรือที่ซุนต้าไห่ว่ามานั้น เป็นคำพูดแบบรู้กันในวงการโจร หมายถึงพวกโจรที่ผ่านมา ท่าเรือส่วนตัวที่จินโจวมีพวกเสากระโดงเรือ ก็ย่อมหมายถึงว่ามีโจรสลัด


เทียนจินเป็นแหล่งรวมการค้าจากทั้งทางบกและทางทะเล หวังทงเริ่มแรกก็เตรียมป้องกันพวกโจรสลัดไว้แล้ว หลังปะทะกันดุเดือด และใช้ผลประโยชน์ชักจูง จึงได้ทำให้โจรสลัดใหญ่บนท้องทะเลอย่างเสิ่นหวั่งมาเปิดร้านที่เทียนจินได้ จากนั้นก็ค่อยๆ สร้างกำลังตนเองบนท้องทะเล ท้องทะเลเทียนจินจึงค่อยๆ ปลอดภัย จากนั้นก็มีอีกกลุ่มหนึ่งอย่างซาต้าเฉิงมาอยู่เทียนจิน ทำให้ความปลอดภัยบนท้องทะเลยิ่งมีเสถียรภาพมั่นคง


ทว่าทุกอย่างล้วนเป็นความพยายามของหวังทง หวังทงเป็นทุกอย่าง หนักแน่นดังขุนเขาไท่ซาน  หากไร้หวังทง  ก็ย่อมกระจัดกระจาย เทียนจินผืนงามนี้ ก็ย่อมมีสัตว์ร้ายบนท้องทะเลคิดกลืนกิน


หวังทงนำทัพปราบเผ่าอันต๋า ณ เมืองกุยฮว่าเฉิง ข่าวขาดการติดต่อ ในราชสำนักมีคนมากมายคิดว่าหวังทงตายไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อค้าเทียนจินและคนอื่นๆ แม้ว่ามั่นใจ ก็อดใจเต้นตุ๊มต่อมไม่ได้ มีคนคิดจะเสี่ยงดูสักตั้ง ยากจะไม่หวังในของที่ไม่ใช่ของตน


เทียนจินมีเรือรบของตนเอง มีสายบนท้องทะเล เขตปกครองเหนือ ซานตงและเมืองเหลียวโจวมีอันใดเกิดขึ้น ก็ย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตาไปได้


กำลังที่กล้าคิดยึดเทียนจินย่อมมีกองทัพเรือ ทัพเรือที่ใช่ว่าคิดจะแอบซ่อนก็แอบซ่อนได้ ไปมาต้องใช้เวลา ระหว่างทางก็ต้องมีท่าเรือไว้จอดซ่อมเติมเสบียง


กองเรือขนาดนี้ออกเดินทางบนท้องทะเล ก็พอกะเวลาประมาณคร่าวๆ ได้ หวังทงยิ้มกล่าวว่า


“ที่เทียนจิน ซานตง เหลียวโจวกับเกาหลีทางนั้น เกรงว่าคงไม่มีขบวนเรือใหญ่เช่นนั้น น่าจะเป็นตอนที่มีข่าวขาดการติดต่อแพร่มาจากทางเหนือ ทางใต้เริ่มสั่งสมกำลัง จากนั้นนำกำลังขึ้นเหนือ รอจนมาถึงแล้วจึงได้รู้ว่าข้าปลอดภัยดี ทัพใหญ่กลับถึงเมืองหลวง จึงได้แต่ทิ้งความคิดอย่างเสียไม่ได้”


ซุนต้าไห่ส่ายหน้ากล่าวว่า


“นับดูเวลาแล้ว ก็ราวเดือนหนึ่งเริ่มวางแผน พวกเขาไม่คิดสักหน่อยว่าหากใต้เท้ามีชัยกลับมา พวกเขามากันเช่นนี้ใช่ว่าเสียเวลาเปล่าหรอกหรือ”


“ด้วยผลประโยชน์มหาศาลของเทียนจิน คุ้มค่าที่จะเสี่ยง เจ้าคิดว่าพวกเขากลับมือเปล่าหรือ เห็นเรื่องไม่สำเร็จ ไปขนของให้พวกชาววัวโค่วแทน จากนั้นก็เอามาขายต่อที่เทียนจิน อย่างไรก็ทำกำไรได้ ยิ่งอาจเป็นเพราะเดิมก็มีสินค้านำติดเรือขึ้นมาด้วยแล้ว แย่งชิงได้ก็แย่งชิง แย่งชิงไม่ได้ก็ขายของผิดกฎหมาย”


หวังทงยิ้มกล่าว ท่าทางซุนต้าไห่เริ่มหนักใจ จางซื่อเฉียงก็นำคนไปเมืองกุยฮว่าเฉิง ไช่หนานก็มาอยู่ทำหน้าที่ในเมืองหลวงตอนนี้ ดังนั้นที่เทียนจินจึงมีเขารับมือแค่คนเดียว บนท้องทะเลมีความอันตรายเช่นนี้ ช่างเป็นภัยร้ายจริง


“ใต้เท้า บนท้องทะเลผู้มีอิทธิพลเช่นนี้ไม่ใช่เสิ่นหวั่งกับซาต้าเฉิงหรือ? เสิ่นหวั่งพักอยู่เทียนจิน ลูกชายซาต้าเฉิงก็ยังอยู่กับใต้เท้า พวกเขากล้าลงมือได้อย่างไร?”


“เสิ่นหวั่งพักอยู่เทียนจินกับการส่งข่าวออกไปไม่ได้เกี่ยวอันใดกัน ใช่ว่ามีลูกชายคนเดียวเสียเมื่อไร ข่าวขาดหายไป เขาก็ถือเสียว่าลูกชายคนนี้ตายไปแล้ว”


หวังทงกล่าวสบายๆ ยิ้มกล่าวว่า


“แต่ก็ใช่ว่าเป็นเขาสองคน อิทธิพลบนท้องทะเลมีไม่น้อย เขาสองคนเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ เทียนจินเราหลายปีมานี้มีพ่อค้ามามากมาย มีชื่อเสียงรุ่งเรืองใต้หล้า คนที่ใจหวั่นไหวคิดครอบครองก็ย่อมมีไม่น้อย เจ้าไม่ต้องกังวลไป  แม้ไม่ใช้กำลังพวกซาต้าเฉิงช่วย ทหารเรือในมือเราก็มีกำลังพอจะปกป้องเทียนจินได้”


ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ซุนต้าไห่จึงได้ยิ้มนั่งลง ในใจทว่าหวังทงรู้สึกงง บนท้องทะเลยังมีกำลังใจคิดบุกเทียนจิน? โจรสลัดที่ตายในเทียนจินก็หลายพันมาแล้ว การข่มบารมีนี้น่าจะเพียงพอแล้ว เป็นผู้ใดกันแน่


คุยเรื่องงานจบ ซุนต้าไห่ก็นั่งลงยิ้มถามขึ้น


“เรียนใต้เท้าตามตรงไม่ปิดบัง ครั้งนี้มาก็เพื่อจะถามเรื่องการเตรียมการงานแต่งให้ใต้เท้า เทียนจินทางนั้นอยากจัดอย่างมาก คิดจะถามว่ามีอันใดให้ช่วยบ้าง?”


“ข้าแต่งงานต้องการพวกเจ้ามาช่วยอันใด?”


หวังทงย้อนถามทำเอาทุกคนหัวเราะฮาลั่น ซุนต้าไห่เองก็หัวเราะตาม กล่าวว่า


“งานแต่งงานใต้เท้าเป็นเรื่องใหญ่ของเทียนจิน ของใช้ทั้งหมด สาวใช้คนงาน เรื่องนี้ทุกคนหารือกันแล้ว ต้องจัดเตรียมให้ใต้เท้าอย่างดีที่สุด ต้องเป็นของชั้นเลิศที่สุด


“ฝ่าบาททรงตรัสว่าจะรับภาระเรื่องแต่งงานข้า กำลังฝากคนในวังไปทูลถาม รอให้ทางนั้นตอบก่อนค่อยดำเนินการ”


***************


หวังทงกำลังสนทนาสบาย ๆ กับพวกซุนต้าไห่ทางนี้ อีกมุมหนึ่งในจวน ทหารติดตามหวังทงก็กำลังฝึกซ้อมและคุยกันอยู่


พวกเขาหลังผ่านสมรภูมิเลือดบนทุ่งหญ้านอกด่าน กลับถึงเมืองหลวงมา ก็รู้สึกเห็นค่าความสงบสุขที่ปกติไม่เคยได้สัมผัส แต่อย่างไรก็เป็นวัยรุ่น  ไม่นานก็ลืมเรื่องพวกนี้ไปหมด ทว่าพวกเขากลับเห็นตรงกันว่า การฝึกปกติแม้ว่าน่าเบื่อ แต่เป็นต้นทุนที่ทำให้รอดชีวิตในสนามรบ พวกทหารหวังทงมาจากตระกูลชั้นสูงไม่น้อย แต่เล็กก็มีคนเอาใจ ไม่น้อยที่คิดว่าฝีมือตนเองก็ไม่เลว การฝึกน่าเบื่อพวกนี้ไม่จำเป็นต้องทำ


แต่พอกลับจากสนามรบ แม้ว่าหวังทงให้พวกเขาหยุดพัก แต่ทุกคนก็ยังขยันฝึกซ้อม ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย


หานกังเดิมก็มีสถานะนายกองร้อยแล้ว หลังสร้างความชอบก็คงได้เป็นรองนายกองพัน น้องสาวยังจะได้แต่งงานกับหวังทงอีก ดังนั้นแม้เขามาช้าสุด แต่กลับได้เป็นหัวหน้าของทุกคนไปโดยปริยาย


นอกจากสถานะแล้ว ฝีมือหานกังก็ยอดเยี่ยม เทียบกับพวกเด็กหนุ่มที่ไม่ค่อยได้ออกสนามต่อสู้แล้ว หานกังเป็นทหารที่ออกต่อสู้ชายแดนเมืองจี้โจวกับพวกนอกด่านมาจริง ประสบการณ์นี้ย่อมทำให้เขาต่างจากคนอื่น ทำให้ทุกคนยอมรับด้วยใจ


ยามนี้ทุกคนกำลังเล่นมีดดาบกัน หลังกลับถึงเมืองหลวง ถานเจียงบิดาถานต้าหู่ถานเอ้อร์หู่อยู่เมืองกุยฮว่าเฉิงต่อ ครอบครัวหลี่เสี่ยวเปียวล้วนอยู่บ้านนอก ฉีอู่ระหว่างทางก็ถูกส่งไปกวางตุ้ง หานกังไม่ต้องพูดถึง พอกลับถึงเมืองหลวง น้องชายน้องสาวดีใจอย่างมาก จากนั้นยังมีขันทีหานไท่ผิงที่ดีใจน้ำตาร่วง หลานตนได้ออกรบ เขากังวลมาก พอได้เห็นก็จึงวางใจ


ส่วนเป้าเอ้อร์เสี่ยว หวังทงปล่อยให้พักร้อน ให้ไปเยี่ยมบิดาและพี่น้องที่เทียนจิน ความดีใจไม่ต้องพูดถึง ส่วนซาตงหนิงนั้นกลับแตกต่าง ซาต้าเฉิงตอนนี้ทำการค้ายุ่งอยู่ ไม่ได้อยู่บนแผ่นดินนานนัก วันๆ เอาแต่ออกเรือไปกลับเทียนจินกับเมืองเหลียวโจว


พอได้ข่าวว่าซาตงหนิงปลอดภัย เขาก็ให้คนส่งของขวัญมา จากนั้นก็ไปค้าขายต่อ พอหวังทงได้ยินก็ทอดถอนใจหลายคำ


ชาวท้องทะเลเห็นความเป็นความตายมาจนชิน พอได้ข่าวลูกชายปลอดภัย ก็ไม่ได้มีใจคิดถึงลูกเท่าไร ซาต้าเฉิงส่งมานั้นก็เป็นพวกของทะเลแห้งล้ำค่า  หรือพวกของอร่อยราคาแพงจากทางตะวันออกเฉียงเหนือ  ตามหลักแล้วก็ต้องส่งให้หวังทงด้วยชุดหนึ่ง ที่เหลือก็ให้ลูกชายไปแบ่งกับเพื่อนๆ ดีใจกันอย่างมาก


ซาต้าเฉิงอย่างไรก็เป็นพ่อ แม้ไม่ได้สนิทสนมใกล้ชิด แต่ที่ควรทำให้ก็ทำให้ไม่น้อย รู้ว่าสถานะลูกชายตนต่างจากคนอื่น  จึงมักส่งของมาให้ เพื่อให้ซาตงหนิงแบ่งปันกับเพื่อนทหารด้วยกัน ก่อนหน้าส่งของกินมา วันนี้กลับไม่ใช่


เทียบกับเรื่องกินแล้ว พวกทหารติดตามหวังทงสนใจของที่ส่งมาวันนี้กันอย่างมาก


“ดาบประเทศวัวนี่ตีได้ไม่เลว!”


หานกังชักออกมาด้ามหนึ่ง กวัดแกว่งไปมา เป็นนายทหาร ก็ย่อมรู้ความคมของดาบดี ซาตงหนิง กล่าวว่า


“สองด้ามนั้นอย่าแตะต้อง ข้าจะนำมอบให้แม่ทัพใหญ่……พี่หานอาจไม่รู้  ทำการค้าบนท้องทะเล ดาบประเทศวัวเช่นนี้เรียกได้ว่าพิเศษมาก ชาวทะเลทางใต้เรากับผู้กล้าในแผ่นดิน ล้วนพิถีพิถันในการใช้ดาบประเภทนี้”


ถานเอ้อร์หู่ขยับดาบประเทศวัวในมือ กุมตวัดฟันลงด้านหน้า ยิ้มกล่าวว่า


“วิธีใช้ดาบประเทศวัว บิดาข้าก็เคยสอน ทว่าในกองทัพเรา ดาบประเทศวัวใช้การได้ไม่ค่อยมาก สู้กันเองพอได้ แต่นำออกรบเกรงว่าไม่ได้การนัก” ”


“พี่เอ้อร์หู่รู้กระจ่างแท้ แม้แต่ชาวประเทศวัว ทัพใหญ่ออกปะทะกันก็ยังใช้ทวนยาวเป็นหลัก ดาบประเทศวัวใช้เพียงแค่ป้องกันตัวในชีวิตประจำวันเท่านั้น”


ซาตงหนิงเอ่ยถาม ถานต้าหู่ไม่ค่อยสนใจเรื่องดายประเทศวัวสักเท่าไร ดาบหนึ่งสั้น ดายหนึ่งยาว ชักออกมาดูไปมา ก็เก็บคืนฝัก ยิ้มถามขึ้น


“ได้ยินบิดาข้ากับท่านอาบอกว่า ชาวประเทศวัวชอบขี้โม้ มักจะไม่มีอะไรก็ขี้คุยใหญ่โต รวมกันแค่ไม่กี่พันก็บอกว่าศึกใหญ่ ตัดหัวสิบกว่าก็บอกว่าชัยชนะยิ่งใหญ่ กำแพงเมืองอันใดก็ราวกับกำแพงบ้านนอกของเรา”


ทุกคนหัวเราะฮาลั่น ซาตงหนิงก็หัวเราะตาม ทว่ากล่าวเสริมอีกว่า


“ตอนข้าอยู่เมืองผิงฮู่ ก็พอรู้มาบ้าง ห้าสิบปีก่อนก็เหมือนว่าเป็นเช่นนี้ ทว่าสิบกว่าปีนี้มานั้นไม่เหมือนเดิม ไดเมียวผู้ครองแคว้นในประเทศวัวเริ่มเข่นฆ่ากลืนกินกันเอง ตอนนี้ประเทศวัวมีเจ้าผู้ครองแคว้นเพียงสิบกว่าเท่านั้น  การต่อสู้ของสองฝ่ายนับหมื่นก็เห็นกันบ่อย มากสุดถึงแสนคนก็มี”


ในลานเงียบกริบทันที พวกโจรสลัดประเทศวัวเป็นภัยร้ายทางตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในใจทหารและชาวแผ่นดินหมิง ก็มักคิดว่าชาวประเทศวัวคนน้อย แผ่นดินหมิงเตรียมการก็ปราบให้ราบได้ ชีจี้กวงกับอวี๋ต้าโหยวก็พิสูจนเรื่องนี้ให้เห็นแล้ว ถานต้าหู่เล่าที่เคยได้เห็นได้ยินมาแพร่หลายทั่วในแผ่นดิน


ซาตงหนิงแต่เล็กเติบโตในประเทศวัว ที่เขาว่ามาก็เห็นด้วยตาตนเอง ทุกคนติดตามหวังทงมานานแล้ว ย่อมเข้าใจอำนาจอิทธิพลใต้หล้า และก็สำนึกในการต่อสู้ออกรบเพื่อแผ่นดินหมิง  คิดกันให้ดี เดิมที่ราวกับกระดานเม็ดทรายกระจัดกระจายอย่างประเทศวัว ตอนนี้ถึงกับเปลี่ยนไปแล้ว การเข่นฆ่ากันเองของพวกประเทศวัวทุกคนก็เคยได้ยินมา หากปล่อยให้รวมเป็นหนึ่งได้ ย่อมเป็นภัยใหญ่


“ข้าจำที่อาจารย์ชาวประเทศวัวกล่าวได้ว่า แรกก็มีไดเมียวโอดะ โนบูนางะวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่  ต่อมามีไดเมียวโทโยโตมิ ฮิเดโยชิวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่  เป็นสวรรค์ประทานวาสนาให้ประเทศวัวอะไรพวกนี้”


หลี่เสี่ยวเปียวกับซาตงหนิงเคยสู้กัน แต่สัมพันธ์สองคนไม่เลว หลี่เสี่ยวเปียวไม่ค่อยสนใจเรื่องชาวประเทศวัว จึงกระซิบว่า


“ตงหนิง เนื้อกวางนั่นยังมีอีกมะ มันอร่อยมาก……”


“เจ้านี่รู้จักแต่กิน แบบเมืองเหลียวโจวยังมี ที่เจ้าอยากกินอันนั้นตอนนี้หาซื้อไม่ง่าย ชาวเผ่าหนี่ว์เจินรบกันวุ่นวาย ของดีทางนั้นมาขายทางนี้ไม่ได้”


 

 

 


ตอนที่ 815

 

 ไม่เข้าใจราชโองการ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“กิจการค้าหนังตระกูลลี่ตอนนี้ราคาตกฮวบลงไปสองส่วน ครั้งนี้ข้าน้อยมา ก็นำวาจาจากเถ้าแก่ร้านพวกเขามาด้วย คิดอยากถามใต้เท้า ดูสถานการณ์จากนี้ การค้าหนังเกรงว่าจะล้มรุนแรง พวกเขาสามารถทุ่มเทการค้าไปที่ผงฟูได้หรือไม่ กิจการค้าหนังใต้เท้าก็มีหุ้น ดังนั้นจึงมาขอความคิดเห็นจากใต้เท้า”


ทหารติดตามด้านนอกยังคงคุยสัพเพเหระ แต่ในห้องกลับกลับเริ่มเป็นการเป็นงาน ซุนต้าไห่เอ่ยถาม หวังทงอึ้งไปตามด้วยหลุดยิ้มกล่าวว่า


“ก็ดี ข้าได้ยินว่า หลังหลังชัยชนะนี้ ทำให้ราคาหนังเมืองหลวงและเทียนจิน รวมถึงเขตปกครองเหนือตกฮวบทันที….อืม มณฑลซานซีทางนั้นก็เช่นกัน”


หนังชั้นดีล้วนมาจากนอกด่าน ที่ดีที่สุดล้วนมาจากบนทุ่งหญ้า เดิมหนังพวกนี้ล้วนเป็นการค้าระหว่างแผ่นดินหมิงกับชนเผ่ามองโกล  ขั้นตอนยุ่งยาก ความเสี่ยงของขบวนพ่อค้าเดินทางไปมาก็ไม่น้อย ต้นทุนเช่นนี้ราคาก็ย่อมสูง หวังทงตีเมืองกุยฮว่าเฉิงมากได้ ในเวลาสั้นๆ การค้าหนังสัตว์ก็ส่งสินค้ามากมายเข้าสู่แผ่นดินหมิง เมื่อของมาก ก็ย่อมไม่เป็นที่ต้องการ ราคาก็ย่อมตกฮวบ


หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า


“ลี่เทาปฏิบัติหน้าที่ในกองกำลังหู่เวย ตระกูลลี่ก็ให้ความช่วยเหลือไม่น้อย อย่าให้ตระกูลลี่เสียเปรียบ บอกเถ้าแก่ตระกูลลี่ไปว่า เครื่องหนังที่ได้จากเมืองกุยฮว่าเฉิงมา หากพวกเขาอยากทำการค้านี้ก็ให้ลงหุ้นมาได้ ไม่ต้องคิดมาขนาดนั้น ทุกคนล้วนเป็นคนกันเอง แค่เอ่ยปากก็พอ”


“ขอรับ ข้าน้อยจดไว้แล้ว กลับไปย่อมไปแจ้งพวกเขาให้ทราบ”


หวังทงพยักหน้า กล่าวเรื่องอื่นต่อว่า


“ท่าเรือส่วนตัวที่จินโจว อยู่ทางเมืองเหลียวโจว เป็นพื้นที่ของหลี่โส่วอี้ใช่หรือไม่?”


“ขออภัยใต้เท้า ข้าน้อยไม่แน่ใจเรื่องนี้ ต้องไปสอบถามก่อนจึงตอบได้”


ซุนต้าไห่ตอบอย่างรู้สึกละอายใจเล็กน้อย หวังทงโบกมือกล่าวว่า


“ไม่เป็นไร กลับไปส่งคนไปสอบเรื่องราวที่เมืองเหลียวโจว เมืองเหลียวโจวทางนั้นไม่เหมือนเรา  เป็นพื้นที่ทหาร ข้าไม่เชื่อว่าเรื่องท่าเรือส่วนตัวนี้ พวกเขาจะไม่รู้”


ที่อื่นๆ บนแผ่นดินหมิง ขุนนางทางการแม้รู้ว่ามีท่าเรือส่วนตัวในพื้นที่ตนก็ย่อมรีบนำเรื่องรายงานกันยกใหญ่ ส่งทหารไปดู เป็นที่ยุ่งยาก หากไม่มีภัยอันใด ก็จะทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งปล่อยผ่านไป


เมืองเหลียวโจวเป็นเมืองทหาร แม่ทัพปกครองก็ย่อมรวมหน้าที่ดูแลราษฎรด้วย ท่าเรือส่วนตัวในพื้นที่เช่นนี้ ย่อมไม่ต้องยุ่งยาก ก็แค่ส่งกองกำลังไปปราบ นับประสาอันใดกับท่าเรือที่มีกองเรือมากมายเช่นนี้ สามารถอยู่รอดมาถึงวันนี้ได้ หากไม่ให้ประโยชน์บรรดาขุนพลทหารย่อมเป็นไปได้ยาก หรืออาจถึงกับเป็นกิจการของทหารเองก็ได้


“เรามีชัยมา เมืองเหลียวโจวก็ต้องมีชัย จากนั้นจินโจวก็มีเรื่องเช่นนี้ ไปตรวจสอบมา ดูว่ามีอันใดซ่อนเร้นอยู่!”


“ขอรับ ข้าน้อยนัดหารือกับท่านหยางและพวกใต้เท้าหลี่ว์ ตรวจสอบทั้งที่ลับและที่แจ้ง!”


พูดกันสองสามคำ ซุนต้าไห่เหมือนนึกอันใดได้กล่าวว่า


“พูดถึงเมืองเหลียวโจว ข้าน้อยคิดได้เรื่องหนึ่ง ตอนนี้พวกโสมคนและขนเตียวนอกด่านและบรรดาของจากภูเขากำลังขึ้นราคา นายท่านจางก็กำลังคิดจะลองไปที่เกาหลีดู”


นายท่านที่ว่าก็คือพ่อตาหม่าซานเปียว จางฉุนเต๋อ แม้เป็นพ่อค้าแต่ลูกเขยมีสถานะที่นี่ ทุกคนก็ย่อมให้ความเคารพ


“โสมคน ขนเตียว ยังคงเป็นสินค้าส่งออกเมืองเหลียวโจวกระมัง!”


“ไม่ผิดขอรับ เป็นพ่อค้าเมืองเหลียวโจวนำมาจากพวกเผ่าหนี่ว์เจินทางเหนือ ตอนนี้เผ่าหนี่ว์เจินนั้นรบติดพันรุนแรง สินค้าพวกนี้จึงราคาขึ้นพรวด”


“เผ่าหนี่ว์เจิน……เผ่าหนี่ว์เจิน…….ตอนนี้หลี่เฉิงเหลียงว่ากันว่าคนได้เป็นกั๋วกงแล้ว ทางนั้นเรายื่นมือไปแตะต้องไม่ได้”


หวังทงพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ซุนต้าไห่ไม่รู้เรื่อง เดิมคิดว่าพูดไปเรื่อยๆ เท่านั้น รเห็นหวังทงไม่สนใจ จึงไม่พูดต่อ


*************


โจวอี้เป็นบุตรบุญธรรมจางเฉิง ตามปกติแล้ว โจวอี้ตอนนี้ควรได้เป็นขันทีตำแหน่งสำคัยหรือถูกส่งไปตำแหน่งนอกเมืองสักแห่ง อย่างไรก็ไม่อาจมีเหตุที่ว่าบิดาบุญธรรมเป็นตำแหน่งมหาขันทีใหญ่ แล้วบุตรบุญธรรมก็เป็นมหาขันทีใหญ่ ในวังเน้นเรื่องลำดับอาวุโสเป็นสำคัญ เลื่อนตำแหน่งก็จะพิเคราะห์เรื่องนี้ด้วย ทว่าโจวอี้นั้นไม่เหมือนกัน เขาอายุยังน้อยก็ได้เป็นระดับหัวหน้าในสำนักอาชาหลวง ตำแหน่งนี้ไม่เพียงแต่ได้ชื่อว่ามหาขันทีใหญ่ ยังมีสถานะและอำนาจแท้จริงในวังฝ่ายในอีกด้วย


ผู้ใดก็รู้ว่าขันทีฉู่เป็นหัวหน้าสำนักอาชาหลวงนั้นแบบไร้อำนาจแท้จริง อำนาจแท้จริงแล้วอยู่กับโจวอี้ ตำแหน่งนี้ในอายุเช่นนี้ นอกวังก็มีสายสัมพันธ์หวังทงอย่างนั้นอย่างนี้ ในวังก็มีสายสัมพันธ์อย่างนั้นอย่างนี้ ทุกคนล้วนคิดว่าวันหน้าอนาคต


โจวอี้ย่อมได้เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์แน่นอน


              เมื่อทุกคนให้ราคาเช่นนี้ ในวังย่อมมีคนมาขอเป็นพวกไม่น้อย งานสำนักรักษาความสงบแม้มอบให้เมิ่งตั๋ว แต่การข่าวกลับแม่นยำเหมือนเดิม


เดือนหกในวังค่อนข้างว่าง  ที่ยุ่งกันอยู่ก็เป็นคนทางตำหนักพระสนมเอกเจิ้ง  นับเวลาได้แปดเดือนน่ามีพระประสูติกาลแล้ว  ทุกคนต่างหวาดกลัวระมัดระวังไม่กล้าให้เกิดข้อผิดพลาดใด ทางนั้นเป็นพระสนมที่ฝ่าบาททรงโปรดที่สุด หากผิดพลาดอันใดไป ทุกคนย่อมได้ไปพบยมบาลแน่แล้ว


ที่อื่นๆ ก็อิสรเสรี เมืองกุยฮว่าเฉิงส่งคนในวังกลุ่มหนึ่งไป มีบางคนไม่อยากไป  รู้สึกว่าเป็นพื้นที่กันดารหนาวเหน็บ สู้ความรุ่งเรืองเมืองหลวงไม่ได้ มีคนอยากไป พวกเขาเห็นว่าแม้จะลำบาก แต่กลับเต็มไปด้วยโอกาส อย่างน้อยไปแล้ว บางทีอาจไม่ต้องทนลำบากเรียงลำดับอาวุโสในวังก็ได้


จางเฉิงไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ การคัดเลือกและการจัดการงานนี้มอบให้โจวอี้ ให้โจวอี้เลือกคนที่วางใจได้และมีความสามารถไป เขาไม่ต้องใส่ใจรายละเอียดพวกนี้เอง


ห้องทำงานสำนักอาชาหลวงแต่ไรมาก็เงียบเหงา แม้เป็นหน่วยงานทรงอำนาจ แต่แต่ไรมาก็มีแต่ไอสังหารที่นี่ จึงไม่มีคนอยากมาเยือน ทว่าตอนนี้กลับครึกครื้นยิ่ง ไม่อยากไปกับอยากไป ล้วนพากันมาฝากฝังกับโจวอี้


บ่ายวันที่ 11 เดือนหก  ขันทีห้องทรงอักษรสำนักส่วนพระองค์รีบร้อนมาหา ขันทีสำนักส่วนพระองค์มีสถานะแตกต่างจากหน่วยงานอื่น ขันทีติดตามโจวอี้ไม่กล้าเสียมารยาท รีบปล่อยให้เข้าไป พอเข้าไปแล้ว ในใจก็ยังงง หน่วยงานดีอย่างสำนักส่วนพระองค์ไม่ชอบ หรือสมองพิการไปหรือไง?


หลังขันทีผู้นั้นออกไป โจวอี้กลับไม่รับแขกอีก หากก็ออกไปเช่นกัน และไม่ให้ผู้ติดตามตามไปด้วย


************


ชายชราอายุห้าสิบกว่า ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักส่วนพระองค์ ติดตามฮ่องเต้ว่านลี่ จางเฉิงพอกลับถึงที่พักก็เหน็ดเหนื่อยมาก


ย่อมมีคนยกน้ำร้อนเข้ามาให้ล้างเท้า และห้องเครื่องย่อมมียาบำรุงพิเศษมาให้ ตอนกลางคืนเป็นเวลาพักผ่อนที่หาได้ยาก ขันทีน้อยที่ปรนนิบัติจางเฉิงล้วนรู้ว่า ยามนี้ต้องเงียบ ขอเพียงไม่ใช่เรื่องฝ่าบาทถามถึง ก็ห้ามรบกวน ไม่เช่นนั้น จะทำให้จางกงกงที่นิ่งสงบโมโหได้ทันที


“บรรพชนจาง โจวกงกงรอท่านได้หลายชั่วยามแล้ว!”


ยังไม่ทันเข้าไป ขันทีน้อยก็เข้ามารายงาน คนอื่นย่อมถูกรั้งไว้ แต่โจวอี้นั้นยกเว้น สายสัมพันธ์เขากับจางกงกง ในวังผู้ใดบ้างไม่รู้กัน


จางเฉิงขมวดคิ้ว ฝีเท้ากลับไม่หยุด จางเฉิงมีสถานะมหาขันทีในวัง จึงมีที่พักแยกส่วนตัว หากไปอยู่นอกวังก็เรื่องได้ว่มีระดับไม่เลว


สถานะเช่นโจวอี้ย่อมไม่อาจได้รอในห้อง เขารออยู่ลานด้านหน้า พอเห็นโจวอี้ทิ้งมือแนบกายยืนรอ จางเฉิงก็สั่งเสียงนิ่งว่า


“ออกไปให้หมด ไปรอด้านนอก!”


ขันทีติดตามจางเฉิงทั้งหมดถอยออกไปด้านนอก ประตูลานปิดลง โจวอี้ก้าวเข้ามาคำนับกล่าวว่า


“บิดาบุญธรรม เหตุใดจึงกลับดึกเช่นนี้”


“เจ้ามีเรื่องอันใด?”


“บิดาบุญธรรม เรื่องงานแต่งหวังทงพรุ่งนี้มีราชโองการแล้ว จัดการเช่นนี้จริงหรือ?”


จางเฉิงหรี่ตามองโจวอี้กล่าวเยียบเย็นว่า


“ฝ่าบาทตรัสแล้ว สั่งการแล้วย่อมเป็นราชโองการ หรือว่าเจ้าคิดแย้งอันใด?”


“บิดาบุญธรรม…….”


โจวอี้ร้อนใจ น้ำเสียงเริ่มดัง จางเฉิงแค่นเสียงใส่ ไม่สนใจ เดินเข้าห้องไป โจวอี้อึ้งไป หากก็ได้สิตน้ำเสียงจางเฉิงเมื่อครู่ไม่พอใจ  จึงอึ้งไปพักก่อนจะรีบตามเข้าไป


พอจางเฉิงเข้ามาในห้องนั่งลง โจวอี้หันไปปิดประตู ร้อนใจถามขึ้น


“บิดาบุญธรรม ฝ่าบาทไยต้องมีราชโองการเช่นนี้ หวังทงทำเพื่อฝ่าบาท เพื่อในวังมากมาย แต่ฝ่าบาทกลับทรงเล่นเช่นนี้เรื่องนี้…….”


“หุบปาก! ราชโองการฝ่าบาท บ่าวอย่างเรากล่าวอันใดได้ ราชโองการไปถึงห้องทรงอักษรแล้ว หรือว่ายังจะหยิบกลับไปให้ทรงพิจาณาใหม่?”


จางเฉิงน้ำเสียงเฉียบขาด โจวอี้ยืนอยู่ตรงนั้นร้อนใจยกมือขึ้นแล้วก็ทิ้งมือลง ถามขึ้น


“ฝ่าบาทหลายปีมานี้ทรงมาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะหวังทงลงแรงไม่น้อย บิดาบุญธรรม เรามีวันนี้ได้ ก็เพราะหวังทงช่วยไว้มากมาย เช่นนี้ ……ราชโองการเช่นนี้ จะทำให้หวังทงหนาวเหน็บใจ!!”


“เจ้ากำลังตำหนิข้าหรือ?”


จางเฉิงเลิกคิ้วถามเสียงเย็น โจวอี้นิ่งไป จางเฉิงถอนหายใจส่ายหน้ากล่าวว่า


“เราจำได้ว่าตอนนั้นเจ้ายังคิดแต่ผลประโยชน์มากกว่าหวังทง คิดไม่ถึงว่าวันนี้เจ้ากลับร้อนใจเช่นนี้ ไปเทน้ำชามาถ้วยหนึ่ง”


โจวอี้อึ้งไป หากก็หันไปเทน้ำชามาถ้วยหนึ่ง จางเฉิงจิบน้ำชาไปก็กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า


“เจ้าว่าเรื่องพวกนี้หรือว่าเราไม่เข้าใจ?  แต่ฝ่าบาทก็คือฝ่าบาท เป็นนายแห่งใต้หล้า ต้องการทรงทำอันใด ก็ย่อมมีเหตุผลของพระองค์เอง พวกเราเป็นบ่าวไม่มีที่ให้กล่าวอันใด ก่อนตรัส พวกเราอาจทัดทาน แต่เมื่อตรัสแล้ว พวกเราก็ได้แต่ปฏิบัติ”


กล่าวถึงตรงนี้ จางเฉิงก็นิ่งไป ค่อยๆ กล่าวว่า


“ก็ไม่ได้ร้ายแรงเหมือนที่เจ้าคิด สำหรับหวังทงแล้วก็เช่นกัน ไม่รู้ว่าเขาคิดตกไหม คิดตกได้ วาสนาเงินทองย่อมไม่น้อย หากคิดไม่ตก ในใจคิดแค้น…….”


จางเฉิงอยากพูดแต่หยุดไว้ โจวอี้อึ้งไป หากสุดท้ายได้แต่ส่ายหน้า


************


เรื่องฎีกาไห่ลุ่ยฟ้องตระกูลสวีเมืองซงเจียงครอบครองที่นา หกกรมกองเอาแต่เลื่อนออกไป ดึงกันไปมา นานแล้วก็ยังไม่ได้คำตอบ ไม่คนอยากแตะต้องรังแตนนี้


ข่าวมาถึงในวัง ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงกริ้วหนัก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)