หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 810-813
บทที่ 810 ตกปลาน้ำขุ่น!
ท้องฟ้าสีแดงฉานลอยอยู่เหนือศีรษะ ผืนทรายสีขาวรองอยู่ใต้เท้า ขณะที่หวังเป่าเล่อซึ่งปลอมตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มตระกูลไม่รู้สิ้นพุ่งทะยานไปข้างหน้า ชายหนุ่มพุ่งตรงไปอย่างมั่นใจ ทะลุกำแพงเสียงหลายต่อหลายครั้งและทิ้งไว้เพียงเสียงดังสนั่นในทุกๆ แห่งที่ผ่าน ความเร็วของหวังเป่าเล่อพุ่งสูงขึ้นอีกเมื่อเข้าใกล้ค่ายทหาร
ชายหนุ่มอยู่ห่างจากค่ายทหหารไปราวสิบห้านาทีเมื่อกลุ่มนักรบตระกูลไม่รู้สิ้นปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า คนพวกนั้นหยุดทันทีเมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อ หลังจากที่มองดูชายหนุ่มและเห็นว่าเป็นเพื่อนนักรบด้วยกัน พวกเขาก็พากันประสานมือคารวะ
หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ พวกเขาอยู่ใกล้ค่ายมากเกินไป แม้ว่าจุดประสงค์หลักของเขาคือสังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นเหล่านี้ แต่ก็น่าจะดีกว่าหากเริ่มต้นสังหารตอนที่เข้าไปอยู่ในค่ายแล้ว หวังเป่าเล่อสามารถใช้กระบวนท่าสารัตถะปกปิดตัวตนที่แท้จริงได้ แต่หากโจมตีตอนนี้ อาจทำให้เกิดการสืบสวนโดยไม่จำเป็นได้
หวังเป่าเล่อควบคุมจิตสังหารของตนเอง ก่อนจะส่งสายตาเยือกเย็นไปให้กลุ่มนั้น แล้วพุ่งผ่านไปอย่างไม่ใยดี
พวกนั้นไม่ใช่กลุ่มผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นกลุ่มเดียวที่หวังเป่าเล่อพบระหว่างทางมาค่าย ชายหนุ่มพบกลุ่มเช่นนี้อีกราวเจ็ดถึงแปดกลุ่มภายในระยะเวลาสิบห้านาที กลุ่มแรกๆ ต่างพากันทักทายเมื่อเห็นเขา แต่กลุ่มที่เหลือต่างก็เมินเขาเสีย
หวังเป่าเล่อไม่คิดโจมตีใคร เอาแต่มุ่งหน้าต่อไปตามความทรงจำที่ได้รับมาจากการค้นวิญญาณ จนในที่สุด ค่ายก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา!
ค่ายของตระกูลไม่รู้สิ้นดูมีเอกลักษณ์ เหนือค่ายมีครอบวงกลมขนาดใหญ่อยู่ถึงเก้าอันที่ส่องแสงสีดำสนิทออกมา หากมองจากไกลๆ พวกมันดูเหมือนหลุมดำทั้งเก้าที่ดูดแสงซึ่งรายล้อมอยู่เข้าไป
จากความทรงจำที่ได้รับมา มีมิติทั้งเก้าแยกอยู่ในครอบทรงกลมเหล่านี้…หวังเป่าเล่อหรี่ตาขณะมองผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นเดินทางเข้าออกครอบวงกลมทั้งเก้านั้น ชายหนุ่มเพ่งสมาธิไปยังครอบวงกลมที่อยู่สูงสุด เขาสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณจางๆ ที่ออกมาจากครอบวงกลมนั้น
หวังเป่าเล่อรีบถอนสายตาออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งตรงไปหาครอบวงกลมที่ห้า ซึ่งเป็นที่ตั้งสาขาของหัวหน้ากลุ่มผู้ล่วงลับ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังก้าวเข้าไปในครอบวงกลม พลังจากวงแหวนปราณก็หมุนวนก่อนจะพัดผ่านกายเขาไปราวกับเป็นการตรวจสอบตราประจำตัวและรัศมีวิญญาณของเขา เมื่อตรวจสอบเสร็จพลังจากวงแหวนปราณก็ถอยหลังกลับไป หวังเป่าเล่อผ่านการตรวจสอบมาได้
กระบวนท่าสารัตถะของศิษย์พี่ช่างมีประโยชน์เสียจริง หวังเป่าเล่อนึกขอบคุณขณะก้าวเข้าไปในมิติด้านในครอบวงกลม ผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ซึ่งรายล้อมไปด้วยภูเขาปรากฏขึ้นสู่คลองจักษุ มิติแห่งนี้ไม่มีดวงอาทิตย์ แต่ผืนแผ่นดินก็ไม่ได้จมอยู่ในความมืดมิด ดูเหมือนว่าท้องฟ้าจะส่องแสงเรืองรองออกมา ห้องโถงที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ปรากฏแซมอยู่ในทิวเขา เหมือนว่าจะมีเหตุผลที่ไปสร้างอยู่ในบริเวณนั้น เสียงตะโกนและเสียงโห่ร้องดังก้องมาจากโถงเหล่านั้นอยู่ประปราย
มีกองทัพเก้ากองประจำอยู่ในค่ายตระกูลไม่รู้สิ้นนี้ แต่ละมิติจะมีกองทัพตั้งอยู่หนึ่งกอง ในหนึ่งกองทัพแบ่งออกเป็นหนึ่งร้อยหน่วย และทุกๆ หน่วยมีโถงของตนเองเอาไว้ใช้เป็นฐาน หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ขณะจ้องมองภาพตรงหน้าและคาดเดาสถานการณ์อย่างเงียบเชียบ ขณะนี้ชายหนุ่มขโมยหน้าตาของหัวหน้าหน่วยผู้ล่วงลับซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพที่ห้ามาใช้ หัวหน้าหน่วยคนนี้มีผลงานดี และดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในสิบผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพที่ห้าอีกด้วย นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นบางคนจึงทักทายเขาด้วยความเคารพระหว่างทาง
หากเป็นเช่นนั้น…ก็เริ่มจากกองทัพที่ห้าก็แล้วกัน! ประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อ รูปลักษณ์ภายนอกของชายหนุ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเมื่อเขาออกตัวพุ่งไปข้างหน้า ชายหนุ่มแปลงกายเป็นยุงอย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะมองเห็นและบินเข้าไปในโถงใกล้ๆ
หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วมาเมื่อเข้ามาในโถง ในนี้มีสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่นับสิบคนกำลังยืนล้อมวงหัวเราะกันอยู่ ภายในวงกลมมีผู้ฝึกตนพื้นเมืองที่บาดเจ็บยืนอยู่สองคน นัยน์ตาของพวกเขาแดงก่ำ ขณะที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดราวกับเป็นอสูรร้ายในกรงขัง
ภาพนั้นไม่ได้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเห็นอกเห็นใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มไม่ใช่คนใจดีหรือเห็นใจผู้อื่น ที่นี่ไม่ใช่สหพันธรัฐ เขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองมีหน้าที่ต้องปกป้องโลกนี้หรือคนของที่นี่แม้แต่น้อย จิตสังหารในแววตาของหวังเป่าเล่อแรงกล้าขึ้นระดับหนึ่ง ชายหนุ่มพุ่งตัวไปที่กลุ่มคนก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในหูของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว อึดใจถัดมาเขาก็พุ่งออกมาจากหูอีกด้าน มีหมอกโลหิตจางๆ ลอยตามหลังมาเมื่อชายหนุ่มพุ่งไปหาเหยื่อคนต่อไป
หวังเป่าเล่อรวดเร็วเกินไป ก่อนที่ผู้ฝึกตนที่สู้กันอยู่ทั้งสองจะรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นรอบกายพวกเขาก็ตัวสั่นเทา ทุกคนเลือดออกจากหู นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงและสับสน หลังจากนั้นร่างกายของพวกเขาก็เหี่ยวแห้งลงไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาคนทั้งสอง ก่อนที่จะล้มลงกับพื้น เนื้อตัวแห้งเหือดไปจนหมด
มีพลังที่มองไปเห็นกวาดไปทั่วร่างคนเหล่านั้นตอนที่ล้มลง และทุบศพจนแหลกเป็นฝุ่นผงกระจายไปทั่วพื้นห้องโถง
ผู้ฝึกตนพื้นเมืองทั้งสองถึงกับตื่นตะลึง ก่อนจะยืนนิ่งจ้องมองภาพนั้นอยู่เป็นนาน ไม่นานนักพวกเขาก็หน้ามืดเป็นลมไป
หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นข้างๆ ร่างไร้สติของทั้งคู่ ก่อนจะรีบแปรสภาพเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่เขาเพิ่งสังหารไป ชายหนุ่มจัดแจงเสื้อผ้า แล้วเดินอาดๆ ออกจากโถง มุ่งหน้าไปยังโถงต่อไป
ฆ่า เก็บกวาด เริ่มต้นใหม่ ด้วยระดับปราณของหวังเป่าเล่อและพลังการจำแลงกายของกระบวนท่าสารัตถะ ทำให้ชายหนุ่มสังหารผู้ฝึกตนไปหลายสิบโถงในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง มีผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ถูกเขาฆ่าตายอยู่เกลื่อนไปหมด หลังจากจบกับโถงหนึ่ง ชายหนุ่มก็จะแปลงร่างเป็นผู้ฝึกตนอีกคน ก่อนจะเริ่มใหม่อีกครั้ง
การสังหารอย่างต่อเนื่องนี้ทำเอาดวงตาปีศาจถึงกับงุ่นง่าน มันแผ่รัศมีความหิวกระหายออกมาอย่างรุนแรง หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้พยายามทัดทานแม้แต่น้อย ชายหนุ่มต้องการคงพลังและความเร่าร้อนของมันไว้เช่นนี้ เขาต้องการเช่นนี้…เพื่อจะให้ระดับปราณรุดหน้าอย่างก้าวกระโดดจนบรรลุไปยังขั้นต่อไปในเร็ววัน
แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ว่าการสังหารหมู่ระดับมโหฬารเช่นนี้ย่อมทำให้เขาความแตกเร็วขึ้น และง่ายต่อการที่จะติดตามตัวและหาตำแหน่งเขาจนพบ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงรีบแปรสภาพเป็นคนอื่น ก่อนจะหนีออกจากครอบวงกลมเดิมแล้วมุ่งหน้าสู่ครอบวงกลมถัดไป
วันเวลาแห่งความสุขของตระกูลไม่รู้สิ้นคงจะยาวนานเกินไป อาจเพราะไม่มีผู้ใดกล้าท้าทาย หรือเพราะผู้ที่กล้าแข็งขืนบนแผ่นดินนี้ถูกทำลายไปจนสิ้นแล้ว แต่ไม่ว่าเหตุผลจะคืออะไร การไร้ซึ่งอันตรายก็ทำให้ค่ายตระกูลไม่รู้สิ้นตอบสนองกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นช้าเกินการณ์ไปมาก สองชั่วโมงผ่านไป หลังจากที่หวังเป่าเล่อสังหารกองทัพไปหลายหน่วย ถึงมีคนรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
มีการสืบสวนขึ้นทันที ตามมาด้วยการตอบสนองอย่างรวดเร็ว ค่ายทั้งค่ายเริ่มลุกฮือ มีเสียงสัญญาณเตือนภัยดังลั่นอยู่ในอากาศ ทำให้ผู้ฝึกตนทุกคนถึงกับตื่นตะลึง ข่าวที่ว่ามีผู้บุกรุกลอบเข้ามาสังหารนักรบไปมากมายกระจายไปราวกับไฟลามทุ่ง
ตอนที่ข่าวแพร่ออกไป หวังเป่าเล่อกำลังอยู่ในร่างผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณของกองทัพที่สาม เขาอยู่ระหว่างการเดินทางกลับไปยังโถงของตน ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเข้าไปข้างใน เขาก็มองเห็นสีหน้าขึงขังของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ภายใน ใครบางคนกำลังละล่ำละลักออกมาด้วยความเร็วสูง
“มีผู้บุกรุกเข้ามาในค่ายของเรา ฆ่าคนของเราตายเป็นเบือ!”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน วงแหวนปราณของค่ายจับสัญญาณการบุกรุกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
หวังเป่าเล่อได้ยินและสัมผัสได้ว่าแผ่นหยกสื่อสารจำนวนมากเริ่มสั่นไหว ชายหนุ่มแสร้งทำสีหน้าตื่นตกใจ ก่อนหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมา และทำเป็นว่าแผ่นหยกของเขาก็สั่นเช่นกัน หวังเป่าเล่อแสร้งส่งเสียงงุนงงและทำหน้าตาโกรธจัดก่อนจะตะโกนพูดกับสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบตัว “ข้าก็ได้รับข้อความเช่นกัน บัดซบ เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ไอ้โง่หน้าไหนบังอาจทำเรื่องเช่นนี้ได้ อาจจะเป็นพวกผู้รอดชีวิตต้องสาปกระมัง พวกมันกล้าดีอย่างไรมาลบหลู่ตระกูลไม่รู้สิ้นเช่นนี้!”
ผู้ฝึกตนคนอื่นที่มีระดับเท่าๆ กันไม่ได้สงสัยอะไร พลางพูดคุยกันอยู่ไปมาด้วยความตื่นตกใจ แต่เจ้าพนักงานประจำโถงซึ่งเป็นผู้นำขั้นเชื่อมวิญญาณของหน่วยเล็กๆ กลับขมวดคิ้วก่อนจะตะโกนออกมา “พวกเจ้าจะตกใจอะไรหนักหนา พวกมันเป็นแค่ผู้รอดชีวิต จะไปทำอะไรได้”
คลื่นพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณแผ่ออกมาพร้อมคำพูดของเขา ทำเอาทุกคนในโถงเงียบเสียงลงด้วยสัญชาติญาณ วินาทีนั้นเอง ตัวตนที่น่าตื่นตะลึงซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะก็ระเบิดพลังออกมาบนดาวเคราะห์นั้น ดูเหมือนว่าพลังนั้นจะมาจากครอบวงกลมที่เก้า พลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะไหลบ่าท่วมค่ายรวมไปถึงโถงนั้นด้วย เสียงแก่ชราที่แฝงไปด้วยโทสะบ้าคลั่งดังก้องขึ้นในใจของทุกคน
“ปิดค่ายเสีย แล้วค้นให้ทั่ว ควานหาตัวผู้บุกรุกมาให้จงได้ ข้าอยากจะรู้นักว่าไอ้โง่หน้าไหนมันกล้าทำเช่นนี้!”
เสียงกัมปนาทดังสนั่นไปทั่วทั้งดาวเคราะห์ทันทีที่คำสั่งของผู้อาวุโสดังขึ้น ค่ายถูกปิดตายอย่างฉับพลัน รัศมีแห่งการฆ่าฟันแผ่ออกมาจากบรรดาผู้ฝึกตนในโถงนั้น ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งตัวออกไปเพื่อเริ่มไล่ล่า
หวังเป่าเล่อเองก็ทำเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งขรึมและโกรธจัด เขาเริ่มค้นหาอย่างแข็งขันไปพร้อมๆ กับบรรดาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบกาย อันที่จริงแล้ว เขาดูเหมือนกำลังพยายามอย่างหนัก หวังเป่าเล่อชี้ไปที่มุมหนึ่งก่อนจะตะโกนว่า “ท่านหัวหน้าหน่วย ตรงนี้ดูมีอะไรแปลกๆ ขอรับ มีร่องรอยพลังงานที่ดูสับสนและไม่เหมือนร่องรอยพลังงานของตระกูลไม่รู้สิ้น ข้าว่าเจ้าผู้บุกรุกต้องผ่านบริเวณนี้ไปแน่ๆ ขอรับ!”
บทที่ 811 ทุกอย่างเป็นเรื่องเสแสร้ง!
คำพูดของหวังเป่าเล่อทำให้ใครๆ ต่างก็พากันจ้องมองเขาอย่างชื่นชม ก่อนที่ทั้งกลุ่มจะพากันไปค้นหาบริเวณนั้นอย่างทั่วถึง แม้ว่าพวกเขาจะไม่พบอะไรมากนัก แต่ความใส่ใจรายละเอียดของหวังเป่าเล่อก็ทำให้หัวหน้าหน่วยถึงกับพยักหน้าชื่นชม
การค้นหาเช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นทั่วค่าย กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ยังมาปรากฏตัวเพื่อช่วยค้นหา อันที่จริงแล้ว ดวงจิตของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็อยู่ที่นี่ด้วยตลอดเวลา และกวาดตาตรวจดูทั้งค่ายอยู่ไปมาเพื่อหาร่องรอยของผู้บุกรุก!
แต่ไม่ใช่แค่การจู่โจมของหวังเป่าเล่อที่รวดเร็ว แต่ชายหนุ่มยังมีทักษะการแปลงกายของกระบวนท่าสารัตถะด้วย แม้เขาจะทิ้งเบาะแสเอาไว้บ้างก็ตาม แต่แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเจอตัวชายหนุ่มได้ในระยะเวลาอันสั้น
หวังเป่าเล่อไม่ได้กังวลเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาคิดมาแล้วทั้งหมดก่อนจะมาที่นี่ ชายหนุ่มเชื่อว่าแม้ว่าค่ายจะถูกปิดตาย แต่ก็คงทำได้ไม่นาน เพราะว่า…จะมีสิ่งอื่นที่มาดึงดูดความสนใจของตระกูลไม่รู้สิ้นไป จากนั้นพวกเขาก็จะต้องแบ่งกำลังไปดูและอาจถึงขั้นเปลี่ยนเป้าหมายไปเลยก็เป็นได้
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ค่ายถูกปิดตาย ก็มีการส่งข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ามาถึงค่าย ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะและบรรดาหัวหน้าหน่วยต่างๆ ต่างได้รับรู้เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง!
มีผู้มาจุติจากนอกโลกที่ทรงพลังมากเดินทางมายังดาวเคราะห์ดวงนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ข้อมูลของกลุ่มผู้มาจุติ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าทุกคนล้วนสวมหน้ากากทั้งสิ้น ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งในตระกูลไม่รู้สิ้นหลายคนพากันคิดถึงเรื่องเดียว…ปรมาจารย์แห่งไฟ!
“ทุกคนล้วนสวมหน้ากาก และจุติตามๆ กันมา…”
“ฝีมือปรมาจารย์แห่งไฟแน่นอน!”
“บัดซบ ทำไมปรมาจารย์แห่งไฟถึงต้องเลือกโจมตีที่นี่ด้วย!”
ยิ่งข้อมูลแพร่กระจายออกไปเท่าใด ความวุ่นวายก็ตามมามากเท่านั้น ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่ได้เกรงกลัวการจู่โจมเท่าใดนัก แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์แห่งไฟ ทำให้พวกเขาหลายคนนึกย้อนไปถึงข่าวลือที่เคยได้ฟังมาก่อนหน้า
หวังเป่าเล่อเริ่มหูผึ่ง จึงเดินถามไถ่ข้อมูลไปทั่ว หลังจากที่ได้คำตอบ ชายหนุ่มก็ทำท่าตื่นตกใจก่อนจะตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดไปยังผู้คนที่อยู่รายล้อม
เมื่อค่ายทหารทั้งค่ายตกอยู่ในความโกลาหลเพราะการลอบโจมตี ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากครอบวงกลมที่เก้าจึงปรากฏกายขึ้นมา เขาช่างดูผ่ายผอมและแก่ชรา แต่ประกายในแววตานั้นช่างเยือกเย็น ร่างกายที่เหี่ยวย่นทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงกลิ่นแห่งความตายที่โชยออกมาจากร่าง แต่หากมองดูดีๆ ก็จะเห็นได้ว่ามีพลังน่าสะพรึงกลัวอยู่ในร่างนั้น ซึ่งเมื่อปลดปล่อยออกมา ก็จะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวและสังหารทุกๆ สิ่งรอบกายได้ทันที
น้ำเสียงของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เต็มไปความเกลียดชังสะท้อนก้องไปทั่ว
“ในเมื่อมีผู้มาจุติบางคนมาถึงแล้ว เราก็จะกักพวกเขาเอาไว้ที่นี่ จงส่งกลุ่มค้นหาออกไปค้นให้ทั่วดาวเคราะห์นี้ หากพวกเจ้าสังหารผู้มาจุติได้ ข้าจะเป็นคนจดความดีความชอบของพวกเจ้าเอาไว้ และแจ้งให้ผู้บัญชาการกองทหารปูนบำเหน็จให้อย่างหนัก!”
ขณะที่ชายชรากำลังพูดอยู่นั้น ก็มีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายกระโจนออกไปไกลด้วยการพลิกกายเพียงครั้งเดียว ราวกับว่าเขากำลังเข้าร่วมการค้นหาด้วยตนเองกระนั้น ในขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการของทุกๆ กองทหารก็ออกคำสั่งออกไปเช่นกัน พวกเขาแบ่งดาวเคราะห์ออกเป็นส่วนๆ และส่งหน่วยย่อยไปค้นหาทันที
หวังเป่าเล่อเองก็อยู่ในกลุ่มค้นหาเช่นกัน ชายหนุ่มติดตามหน่วยย่อยออกจากค่ายไป ทุกคนต่างก็เริ่มเร่งความเร็วและมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย
เมื่อหน่วยย่อยกระจายตัวกันออกไปแล้ว ค่ายทหารก็เงียบสงบลง ไม่มีใครสังเกตเห็นคลื่นรบกวนที่สะท้อนแสงเรืองเรื่ออยู่ในอากาศ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เหมือนว่าพุ่งตัวออกไปแล้วกลับแปรสภาพเป็นร่างเงาอีกครั้ง เขาตรวจสอบค่ายที่ว่างเปล่าซ้ำอีกหนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สุดท้ายความเคลือบแคลงใจและสับสนที่ปรากฏขึ้นบนแววตา
ข้าแน่ใจว่าผู้ที่ลอบสังหารทหารในค่ายเป็นหนึ่งในผู้บุกรุกไม่ผิดแน่ ทั้งยังรู้อีกว่าพวกมันมีจำนวนเพียงหยิบมือ…แถมเป็นไปได้มากว่ามีเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ!
ทว่า…คนผู้นี้ได้จากไปแล้ว ถ้าไม่เช่นนั้น…เขาก็ต้องมีวิธีการพิเศษในการซ่อนรัศมีของตนเอง ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะของตระกูลไม่รู้สิ้นทอดถอนใจก่อนจะขมวดคิ้วที่อยู่บนศีรษะทั้งสามพร้อมๆ กัน เขาจ้องมองไปยังผืนดิน อ้าปากคล้ายจะพูด ก่อนจะหยุดตนเองไว้แล้วโคลงศีรษะเบาๆ แทน
หากข้าไปรบกวนท่านผู้บัญชาการกองทัพ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการฝึกปราณเพราะเรื่องนี้…เขาจะต้องไม่พอใจมากเป็นแน่ และหากพูดกันตามจริง บรรดาผู้บุกรุกที่ปรมาจารย์แห่งไฟส่งมาก็จะอยู่โจมตีเราเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น… ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะเงียบงันไป คนอื่นๆ ต่างก็คิดว่าผู้บัญชาการกองทัพ ผู้ซึ่งมีพลังระดับดาวพระเคราะห์ได้จากไปแล้ว แต่อันที่จริง ผู้อาวุโสรู้แน่แก่ใจว่าผู้บัญชาการกองทัพไม่ได้จากไปไหน เขากำลังทำธุระที่สำคัญยิ่งบางประการอยู่ต่างหาก
หลังจากคิดอย่างถ้วนถี่ ผู้อาวุโสก็ละสายตาออกมา พลางตัดสินใจว่าจะไม่ไปรบกวนผู้บัญชาการกองทหาร เพราะอย่างไรเสียเวลา 24 ชั่วโมง…ก็ย่อมผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ผู้อาวุโสก็พลิกกายพุ่งตัวออกจากค่ายทหารเพื่อไปร่วมการค้นหาด้วย
แม้จะรู้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงภายใน 24 ชั่วโมงเป็นอย่างช้า แต่ผู้อาวุโสก็ยังเกลียดขี้หน้าบรรดาผู้บุกรุกที่มาหยามตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่นั่นเอง หากพวกเขาไม่มาท้าทายด้วยการลอบสังหาร ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามปกติ และผู้อาวุโสก็ไม่ต้องใส่ใจอะไร แต่เมื่อบรรดาผู้มาจุติเข้ามาสังหารสมาชิกถึงในค่าย การค้นหาและสังหารผู้มาจุติเหล่านี้ไม่เพียงจะช่วยระงับโทสะในใจผู้อาวุโสเท่านั้น แต่ยังถือเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อตระกูลไม่รู้สิ้นอีกด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผู้อาวุโสก็เร่งฝีเท้าขึ้นอีก ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้มาจุติที่ไม่รู้ว่ามีคนมาแหย่รังแตนเอาไว้ก่อนหน้า ต่างก็กระจายตัวกันออกตามหาเป้าหมาย แต่ในไม่ช้า พวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
ประหลาดนัก ประชากรดาวเคราะห์ดวงนี้ตายไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ หากคิดตามหลักความเป็นจริง ก็ไม่ควรมีสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นออกมาเพ่นพ่านมากนัก
หรือว่า ที่นี่จะมีฝ่ายต่อต้านที่เข้มแข็งอยู่กันแน่
มีผู้บุกรุกบางคนที่ซ่อนตัวอยู่กำลังออกไล่ล่าสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ตัวคนเดียว เมื่อพวกเขามองขึ้นไปบนฟ้า ก็เห็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นจำนวนมากพุ่งผ่านไป ทำเอาขนหัวลุกซู่และตกใจจนตัวชา
ขณะที่บรรดาผู้มาจุติกำลังเป็นกังวล หวังเป่าเล่อก็ติดตามหน่วยย่อยหนึ่งของกองทหารที่สามไป ชายหนุ่มพูดคุยซุบซิบอยู่กับสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ข้างกาย
เขาพูดภาษาของสำนักแห่งความมืดได้อย่างคล่องแคล่ว บรรดาสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ ต่างก็ไม่ได้ติดใจสงสัยเมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อพูด ชายหนุ่มสัมผัสถึงระบบอาวุโสในตระกูลไม่รู้สิ้นผ่านการพูดคุยนี้ แม้ว่าจะพูดคุยกับหวังเป่าเล่อผู้ซึ่งมีระดับปราณต่ำที่สุดในกลุ่มอยู่ไม่ขาด แต่ประกายเย็นเยียบในแววตาของพวกเขาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน
คล้ายกับเป็นสัญชาติญาณก็ว่าได้ หากระดับปราณไม่เพียงพอ สถานะก็ย่อมไม่ถึงด้วยเช่นกัน สิ่งนี้ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจนจากการกระทำของผู้นำหน่วยย่อย เขาไม่ใส่ใจลูกน้องแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้คิดใส่ใจเช่นกัน พวกเขาเดินทางมาพักหนึ่งแล้ว และชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเวลานี้เหมาะสมดี หลังจากที่หันรีหันขวางอยู่ชั่วขณะ กายของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดขึ้นอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง!
เขากลายเป็นหมอกหนาที่เข้าปกคลุมทุกคนไว้อย่างรวดเร็วจนเหลือเชื่อ ไม่ให้เวลาสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นรอบข้างได้ตั้งตัวทัน ไม่มีเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดหรือการดิ้นรน ทั้งหมดจบลงในเวลาไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ในชั่ววินาทีต่อมา…เมื่อหมอกกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ก็ไม่มีใครเห็นศพของสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นเหล่านี้อีกต่อไป แต่หลังจากที่หมอกรวมตัวกันเป็นรูปร่างแล้ว หวังเป่าเล่อก็แปรสภาพไปเป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนหนึ่ง
เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจที่เริ่มแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งภายในกาย และกำลังจะส่งเสียงกรีดร้องออกมา หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง ร่างกายพลันแปรเปลี่ยนไป หัวของเขาหายไปหัวหนึ่ง แขนอีกข้างก็หัก ทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนกำลังบาดเจ็บสาหัส จากนั้นเขาก็ออกตัวพุ่งไปข้างหน้า โดยหันกลับมามองข้างหลังด้วยสีหน้าท่าทางโกรธเกรี้ยวและตื่นกลัว ราวกับว่ามีใครสักคนไล่กวดมาหมายจะเอาชีวิตเขากระนั้น
เขาแสดงบทบาทเช่นนี้มาเนิ่นนาน ทำให้ชินชาจนเล่นได้สมจริงยิ่ง ชายหนุ่มไม่สนใจว่าเบื้องหลังตนจะมีใครตามมาหรือไม่ เขาบ้วนเลือดออกจากปากเป็นครั้งคราว จนแล้วจนรอด ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่าการแสดงนี้ไม่สมจริง จึงแบ่งส่วนหนึ่งของพลังสารัตถะออกมาสร้างเป็นร่างเงาด้านหลังตนเอง
ร่างเงานั้นสวมหน้ากากกระทิงคนผู้นี้ก็คือบุรุษผู้หยิ่งยโสก่อนหน้านี้นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้…หวังเป่าเล่อก็เริ่มวิ่งไล่ตนเอง 20 นาทีผ่านไป เขาก็พบหน่วยย่อยอีกหน่วยหนึ่งในที่สุด
“ทุกคน โปรดระวังตัวด้วย พวกเราถูกผู้มาจุติซุ่มโจมตี หัวหน้าหน่วยเสียชีวิตระหว่างการต่อสู้ ส่วนที่เหลือถ้าไม่ตายก็หนีกระจัดกระจาย ผู้บุกรุกที่ใส่หน้ากากกระทิงด้านหลังข้าไล่กวดข้ามาเป็นนานสองนานแล้ว!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสารแล้วกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ขณะที่กำลังมุ่งหน้าเข้าไปหาหน่วยย่อย
ตอนนั้นเองเมื่อสมาชิกของหน่วยย่อยมองมาด้วยสายตาเยือกเย็น บุรุษในหน้ากากกระทิงที่หวังเป่าเล่อเสกออกมาก็เปลี่ยนท่าที ก่อนจะหยุดการวิ่งไล่ แล้วหันหลังวิ่งหนีแทน
ถึงจะไม่วิ่งหนีก็คงไม่เป็นไร กลุ่มผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอาจจะสงสัยบ้าง แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายวิ่งหนี ประกายแสงก็สะท้อนขึ้นในตาของหมู่ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้น หัวหน้าหน่วยไม่ได้มองหวังเป่าเล่อด้วยซ้ำขณะที่นำลูกน้องวิ่งตามไป
เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อ ร่างของชายหนุ่มก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะสลายกลายเป็นหมอกและแพร่ไปทั่วอย่างรวดเร็ว เข้าครอบคลุมทุกคนในพริบตาราวกับว่าจะดูดกลืนเข้าไปกระนั้น
วินาทีถัดมา หวังเป่าเล่อกับร่างใหม่ก็เลียริมฝีปาก ก่อนจะส่งเสียงร้องโหยหวน กระอักเลือก แล้ววิ่งหนีต่อไป
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย…”
ด้านหลังเขา บุรุษหน้ากากกระทิงส่งเสียงหัวเราะชั่วร้ายและวิ่งไล่กวดมาตามการควบคุมของหวังเป่าเล่อนั่นเอง…
บทที่ 812 ถ่ายทอดสด!
การไล่ล่าตัวเองของหวังเป่าเล่อดำเนินต่อไปบนดาวเคราะห์ประหลาด แต่ในเวลาเดียวกัน ลึกเข้าไปในอาณาเขตกว้างไกลไร้จุดจบของจักรวาล ยังมี…ระบบดาวเคราะห์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเปลวเพลิงอยู่แห่งหนึ่ง
เขตแดนที่เวิ้งว้างของระบบดาวเคราะห์นี้น่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง มันมีขนาดใหญ่กว่าระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ถึงหนึ่งหมื่นเท่าเลยทีเดียว
ณ สถานที่นั้น มีเปลวไฟลุกไหม้ราวกับจะเผาผลาญอยู่เป็นนิจนิรันดร์ เมื่อมองออกไป จักรวารอันกว้างใหญ่ดูเหมือนเป็นทะเลเพลิง ภายในทะเลเพลิงนั้น มีดาวเคราะห์อยู่มากมายนับไม่ถ้วน มีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกันไป แต่ก็ถูกไฟเผาไหม้อยู่ทุกดวงไม่ว่างเว้น
หากมองดูใกล้ๆ ก็จะเห็นสรรพชีวิตหลากรูปแบบอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ที่ลุกไหม้เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ คนธรรมดาหรือผู้ฝึกตน ต่างก็พบเห็นได้ทั่วไป บรรดาดาวเคราะห์เหล่านั้นดูครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน ที่จุดศูนย์กลางอันพลุกพล่านของระบบดาวเคราะห์แห่งนี้ มีภูเขาลูกหนึ่งล่องลอยอยู่ในอวกาศ ราวกับว่าทะเลเพลิงมากมายมีภูเขาลูกนี้เป็นจุดศูนย์กลาง ประหนึ่งว่าภูเขาแห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของเปลวเพลิงทั้งมวล ภูเขามีสีแดงฉานราวโลหิตซึ่งทำให้ทุกคนที่มองเห็นต่างตัวสั่นด้วยความตื่นกลัว!
มีกระท่อมหลังน้อยอยู่บนยอดเขาของภูเขาลูกนี้ กระท่อมที่สร้างจากหญ้านั้นหน้าตาน่าเกลียด แต่หญ้าก็ยังมีสีเขียวสดท่ามกลางอุณหภูมิอันร้อนระอุ หญ้านั้นไม่มีทีท่าว่าจะเหี่ยวเฉาลงเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก และภายในกระท่อมก็มีผู้อาวุโสคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
ผู้อาวุโสผู้นี้สวมชุดคลุมสีแดงและมีผมสีแดงเพลิง แม้ว่าใบหน้าจะเหี่ยวย่น แต่ก็ยังดูแข็งแรงมาก โดยเฉพาะประกายแสงในแววตาที่ดูเหมือนสามารถทำให้จักวาลซึ่งรายล้อมอยู่ซีดจางลงได้ แม้ว่าดวงตาคู่นั้นจะเปิดอยู่เพียงครึ่งเดียวก็ตาม!
มีกระจกทองแดงบานหนึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าของผู้อาวุโส ในกระจกสะท้อนภาพ…ดาวเคราะห์ที่หวังเป่าเล่ออยู่ เมื่อผู้อาวุโสมองเข้าไป ภาพในกระจกก็ผันเปลี่ยนอยู่เป็นนิจ ทุกครั้งที่ภาพเปลี่ยนไป ร่างเงาที่สวมหน้ากากก็จะปรากฏขึ้นมา
ร่างเงาเหล่านี้คือบรรดาผู้มาจุติ และผู้อาวุโสคนนี้ก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก…ปรมาจารย์แห่งไฟ!
หน้ากากที่บรรดาผู้มาจุติ รวมทั้งหวังเป่าเล่อสวมอยู่นั้น ไม่เพียงมีพลังในการพรางตัวและคำสาบที่สามารถเสกใส่ศัตรูได้ พวกมันยังมีหน้าที่อีกสองอย่าง อย่างแรก หน้ากากจะบันทึกจำนวนของศพที่ถูกสังหาร อย่างที่สอง หน้ากากจะทำให้ปรมาจารย์แห่งไฟสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้มาจุติทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างออกไปเพียงใดก็ตาม
และสิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่ปรมาจารย์แห่งไฟให้ความสนใจ ในอดีต ทุกครั้งที่ภารกิจเริ่มต้นขึ้น ปรมาจารย์แห่งไฟก็ชอบที่จะเฝ้ามองสนามรบ ราวกับว่าเขากำลังดูถ่ายทอดสดจากหน้ากากอยู่ก็ไม่ปาน ทุกครั้งที่เห็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นตายอย่างทารุณ เขาจะรู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมในใจ
ตอนนี้ผู้อาวุโสก็กำลังดูอยู่เช่นกัน เขาเฝ้ามองดูการถ่ายทอดสดผ่านหน้ากากทุกชิ้นด้วยความสบายใจ แต่ไม่ช้า…เมื่อกระจกสะท้อนร่างเงาของหวังเป่าเล่อขึ้นมา ปรมาจารย์แห่งไฟก็กวาดสายตาไปมองบุรุษในหน้ากากกระทิงที่วิ่งไล่หวังเป่าเล่อและหันกลับไปมองหวังเป่าเล่อ ผู้ที่กำลังร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดพลางวิ่งหนี ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ปรมาจารย์แห่งไฟยกมือขวาแล้วสะบัดลง เพื่อเรียกดูประวัติของหวังเป่าเล่อที่หน้ากากได้บันทึกไว้ สีหน้าของปรมาจารย์แห่งไฟเริ่มบิดเบี้ยวแปลกแปร่งอย่างช้าๆ
ใช้ตนเองวิ่งไล่ตนเองเช่นนั้นหรือ น่าสนใจดี…กระบวนท่าแปลงกายนี้ก็ดูคุ้นเสียจริง…
นี่มันกระบวนท่าสารัตถะของเฉินชิงนี่ เจ้านั่นชอบแสร้งทำเป็นอ่อนวัยเสียด้วย!
เจ้าหนุ่มนี่…มีความเกี่ยวข้องกับเฉินชิงอย่างไรกัน ปรมาจารย์แห่งไฟละสายตาออกมา ชายชราไม่ชอบเฉินชิงมานานแล้ว เพราะแม้จะแก่กว่าตน แต่เฉินชิงก็ชอบปรากฏตัวในรูปโฉมของเด็กหนุ่ม แต่ปรมาจารย์แห่งไฟก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขากลับชอบพอหวังเป่าเล่อหลังจากที่เห็นชายหนุ่มสังหารสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นไปมากมาย
ถึงจะดูเกินจริงไปสักหน่อย แต่ก็เพลินตาดี ปรมาจารย์แห่งไฟพึมพำก่อนจะตัดสินใจดูหวังเป่าเล่ออยู่คนเดียว ชายชรากะว่าจะดูเจ้าหนุ่มนี่ไปอีกสักพัก
ตอนนั้นเอง บุรุษในหน้ากากกระทิงที่หวังเป่าเล่อเสกให้ไล่กวดตนเองก็ส่งเสียงคำรามออกมา
“พ่อรูปหล่อท่านนั้น หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยวของบุรุษในหน้ากากกระทิงสะท้อนก้องไปในกระท่อมและทั่วบริเวณที่ชายชราอยู่ ประโยคนั้นทำเองใบหน้าของปรมาจารย์แห่งไฟกระตุก
รัศมีความหน้าไม่อายนี้ เหมือนของเฉินชิงไม่มีผิดเพี้ยน!
ปรมาจารย์แห่งไฟส่งเสียงอยู่ในลำคอขณะที่เฝ้าดูต่อไป หวังเป่าเล่อในภาพกำลังเร่งความเร็วอยู่กลางอากาศ ขณะที่ความรู้สึกหลากหลายพุ่งเข้ามาในใจ
ขนาดผู้ที่จะสังหารข้ายังมองเห็นว่าข้าหล่อเหลาเพียงใด ชีวิตช่างยากลำบากเสียจริง…หวังเป่าเล่อดูเหมือนจะลืมไปว่านี่เป็นการแสดงที่ตัวเขาเป็นผู้กำกับ วินาทีนั้นชายหนุ่มทุ่มเทให้กับการแสดงมาก แต่ในไม่ช้า สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หวังเป่าเล่อมองเห็นเงาตะคุ่มๆ ของหน่วยย่อยสองหน่วยปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเบื้องหน้า ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเหตุใดหน่วยย่อยสองหน่วย ซึ่งมีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์หนึ่งคนจึงมารวมกัน แต่เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะเข้าไปหาหน่วยทั้งสองพร้อมร้องเสียงโหยหวน
“มันจะมากเกินไปแล้ว! ที่นี่เป็นอาณาเขตของตระกูลไม่รู้สิ้น แต่เจ้าก็ยังกล้าทำตัวโอหัง! ข้าจะทำลายเจ้าเสีย ทั้งร่างกายและวิญญาณเลยเชียว!”
ถ้อยคำจากปากของบุรุษในหน้ากากกระทิงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ไอ้เด็กบัดซบ เจ้าจบสิ้นแล้ว!”
แน่นอนว่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นย่อมมองเห็นการไล่ล่าระหว่างทั้งคู่ หัวหน้าหน่วยของกลุ่มนี้เป็นผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ สายตาเยือกเย็นของเขาจับจ้องมายังหวังเป่าเล่อก่อนจะมองไปทางบุรุษในหน้ากากกระทิงเบื้องหลัง ชายวัยกลางคนไม่ได้พูดอะไร และเพราะเหตุนั้น สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ จึงทำเพียงเมียงมองแต่ไม่โจมตี
แม้ว่าบุรุษในหน้ากากกระทิงจะเปลี่ยนท่าทีและหันหลังหนีไป ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ก็เพียงแค่ส่งสัญญาณให้ผู้ฝึกตนข้างกายคนหนึ่งไล่กวดไปเท่านั้น เขาไม่ใส่ใจหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย แต่กลับนำกลุ่มที่เหลือมุ่งหน้าต่อไป
ตระกูลไม่รู้สิ้นจะใจร้ายเกินไปแล้ว! หวังเป่าเล่อปวดศีรษะ ชายหนุ่มรู้ดีว่าแม้บุรุษในหน้ากากกระทิงจะดูสมจริง แต่พลังการต่อสู้ก็ไม่ได้กล้าแข็งเท่าใดนัก เขาคิดว่าคงจะต้องมีใครนึกสงสัยขึ้นมาบ้าง และการพาร่างเงามาด้วยก็รังแต่จะทำให้ผู้คนสงสัยมากขึ้น ดังนั้นหลังจากที่ทอดถอนใจอยู่ในอก หวังเป่าเล่อก็พุ่งเข้าไปหาสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นราวกับเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
เมื่อถึงตอนนั้น ปรมาจารย์แห่งไฟก็เริ่มเบื่อหวังเป่าเล่อเลยจะเปลี่ยนไปดูคนอื่นแทน แต่ก่อนที่เขาจะได้ละสายตา หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้น “ท่านผู้บัญชาการกองทหารขอรับ ข้ามีเรื่องจะรายงาน!”
ในกระจก ผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์หันมามองหวังเป่าเล่อเมื่อได้ยิน เขากำลังจะพูดแต่กลับหรี่ตาลงและยกแขนขวาคว้าตัวเพื่อนร่วมตระกูลไม่รู้สิ้นมาบังตนเองไว้
ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น ร่างของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดออกมาเป็นหมอกควันหนาก้อนใหญ่ที่แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเข้าปกคลุมกลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นทันที แต่ผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ก็รับมือได้ทันท่วงที เขาใช้ผู้ฝึกตนข้างกายเป็นโล่และส่งพลังปราณของตนเข้าไปในโล่ ทำให้ร่างนั้นระเบิด พลางใช้แรงระเบิดดันตัวเองให้ถอยออกมาไกลก่อนจะถูกหวังเป่าเล่อดูดกินเข้าไป!
“เจ้าเป็นใคร!” ขณะที่ถอยหลังไปนั้น จิตสังหารก็ปรากฏขึ้นในแววตาของผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ เขาสร้างผนึกฝ่ามือด้วยแขนทั้งหก จนเกิดเป็นตัวอักขระสีทองหลายชั้นที่รวมกันเป็นวงแหวน ชั้นวงแหวนเหล่านั้นส่องสว่างออกมานอกกาย ก่อนจะหมุนวนอย่างรวดเร็วจนสั่นสะเทือน
เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อต้องพบสถานการณ์เช่นนี้จากการลอบโจมตีหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่มาถึงดาวเคราะห์ดวงนี้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่หยุด หมอกนั้นควบตัวกลายเป็นศีรษะขนาดยักษ์อย่างรวดเร็วพลางส่งเสียงคำรามออกมา
“ข้าคือบิดาเจ้า!” คลื่นพลังที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาเทียบเท่าขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายเท่านั้น แต่มันกลับมีพลังกดดันเท่าขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ชายหนุ่มรีบพุ่งเข้าไปใส่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ที่กำลังล่าถอยทันที
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์มีแววตาประหลาดใจ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นหยิบแผ่นหยกและปล่อยตัวอักขระเคลื่อนย้ายออกมา เขากำลังจะทุบมัน แต่ตอนนั้นเองดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายขึ้นมา ชายหนุ่มรีบวิเคราะห์สถานการณ์ก่อนจะสรุปได้ว่า เขาไม่มีวิธีที่จะหยุดการเคลื่อนย้ายของอีกฝ่ายนอกจากจะใช้เรือบินรบเวทเท่านั้น ศีรษะที่เกิดจากหมอกจึงรีบเปลี่ยนทิศหนีอย่างรวดเร็วก่อนที่แผ่นหยกจะปลดปล่อยพลังขั้นสูงสุดของมันออกมา
ภาพนั้นทำเอาผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์งุนงงไป และทำให้ดวงตาของปรมาจารย์แห่งไฟส่องประกายกล้าขณะจ้องมองการถ่ายทอดสดอยู่ โดยเฉพาะตอนที่หวังเป่าเล่อหนี ชายหนุ่มยังปล่อยพลังรัศมีอันรุนแรงที่ทำให้ผู้คนเข้าใจว่าเขาทรงพลังออกมา เหมือนกับว่าเขาไม่ต้องการจะให้ใครสงสัยในพลังของตัวเอง
ทว่า…ยิ่งชายหนุ่มทำเช่นนั้น ผู้คนก็ยิ่งสงสัยว่าหวังเป่าเล่อจงใจแสดงพลังออกมาโดยไม่ระวังตัวหรือกำลังพยายามปกปิดสิ่งใดกันแน่ ผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ก็เริ่มรู้สึกเช่นเดียวกัน ปฏิกิริยาแรกของเขาคือสงสัยว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ชายวัยกลางคนเริ่มคิดใคร่ครวญอยู่ในใจว่าควรจะเคลื่อนย้ายหนีไปหรือ…ติดตามไปสังหารหวังเป่าเล่อเสีย
หากเขาไล่ตามไปก็กลัวว่าจะติดกับ แต่หากไม่ตาม เขาก็คงไม่อาจให้อภัยตนเองที่ปล่อยโอกาสในการสร้างความดีความชอบให้กับตระกูลหลุดมือไป และตามการคาดคะเนแล้ว หวังเป่าเล่อต้องอ่อนแอกว่าเขาเป็นแน่ หาไม่แล้ว ชายหนุ่มคงไม่เลือกจะลอบสังหารพวกตนเช่นเมื่อครู่แน่
ขณะที่ความคิดสองกระแสยังตีกันอยู่ในใจ เงาของหวังเป่าเล่อก็กำลังจะหลบหนีไป แต่คลื่นพลังที่ปล่อยออกมากลับไม่ได้ลดลงเลย ยิ่งชายหนุ่มกลัวว่าจะถูกไล่ตาม พลังที่ปล่อยออกมาก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเห็นเช่นนั้น ประกายเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นในแววตาของผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์
“หยุดเสแสร้งได้แล้ว!” พูดจบ ผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ก็ตัดสินใจไล่ตามไป
เมื่อเห็นว่าสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นตัดสินใจไล่กวดหวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์แห่งไฟผู้ที่กำลังดูถ่ายทอดสดอยู่ ก็ยกมือขวาขึ้นสะบัดลงอีกครั้ง เขาหยิบผลไม้เพลิงออกมาเคี้ยวกินขณะเฝ้าดูต่อไปด้วยใจระทึก
บทที่ 813 จิตวิญญาณอมตะมาจุติ!
ขณะเดียวกัน บนดาวเคราะห์ที่ปรมาจารย์แห่งไฟเลือกนั้น เสียงของสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่ตัดสินใจไล่ตามหวังเป่าเล่อก็กระจายออกไป เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะไล่ตามชายหนุ่ม เขาก็ยังไม่เก็บแผ่นหยกเคลื่อนย้ายลงไป แต่กลับเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายหนีได้ทุกเวลา
ขณะที่พุ่งตัวออกไป ชายวัยกลางคนก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่ พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ทำให้เขาเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมาก และความเร็วก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเมื่อตามหวังเป่าเล่อทัน รัศมีของเขาก็ขึ้นสู่จุดสูงสุดพอดี ชายวัยกลางคนยกฝ่ามือขึ้นมา วงแหวนที่สร้างขึ้นจากอักขระโบราณก็มารวมตัวกันเป็นกำปั้นสีทองขนาดยักษ์ พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อด้วยพลังกดดันที่รุนแรงราวกับจะดูดกลืนท้องฟ้าเข้าไปได้
“ตาย!”
“เจ้า!” หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตื่นตะลึง รัศมีของชายหนุ่มถึงกับสั่นไหวไปเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันของกำปั้น ราวกับว่าผ้าบางที่คลุมไว้ถูกเลิกขึ้น เผยให้เห็นพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายซึ่งเป็นพลังที่แท้จริงของเขา ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นระเบิดเสียงหัวเราะชั่วร้ายออกมาก่อนจะเพิ่มพลังขึ้นอีก เขาเลือกที่จะปล่อยพลังออกมาถึงร้อยละยี่สิบ แล้วใส่พลังทั้งหมดเข้าไปในกำปั้นที่สร้างขึ้นจากพลังเทพ จากนั้นก็ปล่อยมันไปตรงหน้าของหวังเป่าเล่อพอดิบพอดี…
ทันทีที่กำปั้นกำลังจะกระทบตัว เศษผลึกโปร่งใส่ก็ส่องประกายออกมารอบกายของหวังเป่าเล่อ และเชื่อมต่อกันเป็นเนื้อเยื่อ ดูราวกับเป็นม่านแห่งสายน้ำอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม! ด้วยเหตุนี้ กำปั้นจึงปะทะเข้ากับเนื้อเยื่อตรงหน้าหวังเป่าเล่อแทนที่จะเป็นตัวของชายหนุ่ม
การโจมตีของผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์จากตระกูลไม่รู้สิ้นปะทะเข้ากับเนื้อเยื่อในวินาทีนั้นเอง และขณะที่เนื้อเยื่อกำลังสั่นไหว ก็มีแรงสะท้อนกลับรุนแรงราวกับเนการโจมตีของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นกระจายออกมาจากเนื้อเยื่อ มันพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ผู้กำลังตื่นตะลึง และกำลังจะขยี้แผ่นหยกเคลื่อนย้ายในมือแต่ก็พบว่าช้าเกินไป
ส่วนหวังเป่าเล่อนั้น ความตื่นตะลึงและหวาดกลัวบนใบหน้าของเขามลายหายไปสิ้นแล้ว แต่มีสีหน้าสิ้นหวังเข้ามาแทนที่ เมื่อหันกลับมอง เขาก็เห็นผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณขั้นสมบูรณ์ที่ถูกปกคลุมด้วยคลื่นพลังรุนแรงอยู่ตรงหน้า ก่อนจะทอดถอนใจอย่างมีอารมณ์
“ทำไมกัน ข้าอุตส่าห์ปล่อยเจ้าไปแล้วแท้ๆ”
“ไอ้คนชั่…” ยังไม่ทันที่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นจะได้พูดจบ เขาก็ถูกพายุที่เกิดจากพลังสะท้อนกลับเข้าปกคลุม แขนทั้งหมดฉีกขาด ร่างกายสลายกลายเป็นฝุ่นไปในวินาทีนั้น หลงเหลือไว้เพียงกำไลคลังเวทและแผ่นหยกเคลื่อนย้ายที่หวังเป่าเล่อหยิบไปหลังจากผสานกายเข้ามาใหม่ ตอนที่ชายหนุ่มกำลังจะตรวจดูสิ่งของที่ยึดมาได้ด้วยความรื่นรมย์ใจนั้นเอง…สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป ก่อนที่ร่างกายจะถอยหนีอย่างรวดเร็ว
หวังเป่าเล่อถอยหลังกรูด วินาทีนั้น ชายหนุ่มก็รีบเปิดเกราะจักรพรรดิออกมาห่อหุ้มกายไว้ หยิบเรือบินรบเวทออกมา แถมยังเรียกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามาปิดร่างกายเอาไว้ทั้งหมดเป็นครั้งแรก อาจกล่าวได้ว่า ในวินาทีนั้น ทั้งพลังปราณและทุกสิ่งทุกอย่างในกายของหวังเป่าเล่อล้วนถูกหยิบเอาออกมาใช้อย่างบ้าคลั่ง
หากไม่ใช่เพราะบทสวดแห่งเต๋าต้องใช้เวลาและไม่สามารถนำมาใช้ได้ทันท่วงที หวังเป่าเล่อก็คงตะโกนท่องมันด้วยเช่นกัน คำสาปจากหน้ากากสุกรเองก็ต้องใช้เวลา จึงยังไม่เหมาะสมที่จะใช้ตอนนี้
เหตุที่หวังเป่าเล่อบ้าคลั่งถึงเพียงนี้เป็นเพราะว่า…สัญชาติญาณและทุกอณูในร่างกายกำลังกรีดร้องว่ามีอันตรายใหญ่หลวงที่ยากเกินจะอธิบายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้!
สัมผัสอันตรายนั้นทำให้หวังเป่าเล่อตกใจและทุบแผ่นหยกเคลื่อนย้ายที่เพิ่งได้มาจากการสังหารสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นทันที
ทันทีที่หวังเป่าเล่อทุบแผ่นหยกและถอยหนีไปนั้นเอง คลื่นพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะซึ่งสั่นคลอนทั้งสวรรค์และพื้นพิภพก็แผ่ลงมา กลายเป็นกำปั้นทุบลงไปยังบริเวณที่หวังเป่าเล่ออยู่เมื่อครู่นี้
แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะรีบถอยออกมาก่อน แต่กำปั้นนั้นก็แปลกประหลาดนัก ดูราวกับว่าเมื่อมันถูกปล่อยออกมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้ปะทะเป้าหมายอย่างแน่นอน วินาทีถัดมา เงามายาของกำปั้นก็ปรากฏขึ้นและกระแทกลงบนร่างของชายหนุ่มแม้อีกฝ่ายจะหลบแล้วก็ตามที
ทันทีนั้น ตั๊กแตนเรือบินรบเวทที่เพิ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ก็ส่งเสียงร้องแหลมสูงก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นออกมาต้านทาน เกิดเสียงดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่ว ตั๊กแตนเรือบินรบเวทเริ่มสั่นสะท้าน และปริแตกราวกับกำลังจะแหลกสลาย ส่งผลให้เรือบินรบเวทกว่าครึ่งเสียหาย เจ้าลาที่อยู่ภายในบ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ ร่างกายของเจ้าอู๋น้อยเองก็สั่นสะเทือนเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ถึงกับกระอักเลือด แต่เด็กหนุ่มก็ยังส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยร้องมาก่อน ในที่สุดเรือบินรบเวทที่เสียหายหนักก็ส่งเสียงร้องแหลมสูงออกมา ก่อนแปรสภาพเป็นดวงไฟเวทและกลับเข้าไปในกำไลคลังเวทของหวังเป่าเล่อ
แต่กำปั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น หลังจากที่ไล่เรือบินรบเวทไปได้ แม้ว่าพลังของมันจะลดน้อยลงบ้าง แต่ก็ยังแข็งแกร่งนัก กำปั้นนั้นพุ่งเข้ากระแทกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของหวังเป่าเล่อเข้าอย่างจัง!
จิตสังหารถูกปลดปล่อยออกมาเต็มกำลัง โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่หวังเป่าเล่อหลอมจนถึงระดับสูงสุดสามารถต้านทานผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น หรือแม้กระทั่งชั้นกลางได้ แต่ในที่สุดมันก็ไม่แข็งแกร่งพอ และแตกสลายไปเมื่อต้องรับมือกับพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย
แต่การแตกสลายของโล่ก็ไม่ได้สูญเปล่า เพราะหลังจากนั้นพลังราวร้อยละเจ็ดสิบของกำปั้นขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็สะท้อนกลับไปยังกำปั้นนั้น
เสียงที่เกิดขึ้นนั้นสั่นคลอนทั้งสวรรค์และพื้นปฐพี ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้มเมื่อกระอักเลือดออกมา เขาไม่มีเวลากระทั่งจะตรวจดูร่างกายตนเอง ทันทีที่เกราะจักรพรรดิรับเอาคลื่นพลังที่เหลือเข้าไป ร่างที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นมาก็สลายไปด้วย เผยให้เห็นร่างเงาดั้งเดิมที่สวมหน้ากากสุกรอยู่ แต่ในวินาทีนั้นหวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจอะไรแล้ว ชายหนุ่มใช้แรงดังกล่าวส่งตัวเองไปข้างหน้าโดยไม่หันหลังกลับมามอง ตอนนั้นเองพลังของการเคลื่อนย้ายจากแผ่นหยกก็ปรากฏขึ้น ไม่ใช่ว่าพลังการเคลื่อนย้ายเกิดขึ้นช้าแต่อย่างใด อันที่จริงการเคลื่อนย้ายนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก จากตอนที่หวังเป่าเล่อขยี้แผ่นหยกจนกระทั่การเคลื่อนย้ายทำงานใช้เวลาไปเพียงสองลมหายใจเท่านั้น
ความจริงก็คือ…กำปั้นของจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายนั้นรวดเร็วกว่าหวังเป่าเล่อมาก!
แต่ในที่สุด หวังเป่าเล่อก็สามารถซื้อเวลาได้จากการแตกสลายของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาและการป้องกันของเรือบินรบเวท วินาทีนั้นเอง ร่างของเขาก็…ถูกเคลื่อนย้ายออกไป!
หลังจากที่ชายหนุ่มหายไป ก็มีร่างเงาหนึ่งเดินออกมาจากความว่างเปล่าบนท้องฟ้าเหนือบริเวณที่หวังเป่าเล่ออยู่เมื่อครู่ ผู้ฝึกตนคนนั้นดูละม้ายคนที่ไล่กวดร่างจำแลงบุรุษในหน้ากากกระทิงของหวังเป่าเล่อไป แต่ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง คนผู้นี้ก็คือ…ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายแห่งค่ายตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง!
สีหน้าของผู้อาวุโสน่าเกลียดน่ากลัว ขณะที่เขาก้มหน้าลงมองนิ้วชี้ในมือขวาที่หักงออยู่หลายจุด ก็เห็นว่านิ้วที่หักนั้นส่งผลกระทบกับมือทั้งมือ และในที่สุด มือขวาก็แหลกเละเป็นกองเลือดไป!
เจ้าหนุ่มนั่นมีวิชาลับซ่อนอยู่ไม่น้อย สามารถแปลงกายได้ แถมรัศมีก็ยังไม่คุ้นเคย อีกทั้ง…ยังโจมตีกลับได้อย่างรุนแรงด้วย จะปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้เสียแล้ว! จิตสังหารในดวงตาของผู้อาวุโสลุกโชนขึ้น ขณะที่เขาพลิกตัวออกเดินทางตามคลื่นแทรกของการเคลื่อนย้ายไป ก่อนจะหายตัวไปในชั่วพริบตา
ปรมาจารย์แห่งไฟเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเห็นการพลิกสถานการณ์เช่นนั้นด้วยตนเอง สายตาของชายชราก็มีประกายแสงแห่งความชื่นชมสะท้อนอยู่ภายใน
ไม่เลวเลย ตอบสนองได้เร็วดี ข้านึกว่าร่างสารัตถะของเจ้าหนุ่มนั่นจะต้องตายเสียแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขาจะหนีออกไปได้โดยไม่ต้องใช้คำสาปเสียด้วยซ้ำ
แถมเขายังดูกล้าหาญดี…โล่ชิ้นนั้นก็น่าสนใจไม่น้อย ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะและไม่คิดจะดูคนอื่นอีกต่อไป เขากินผลไม้เพลิงจนหมด แล้วหยิบลูกต่อไปออกมารอดูว่าหวังเป่าเล่อจะรอดมาได้หรือไม่
ขณะดู เขาก็เห็นหวังเป่าเล่อ ที่มาปรากฏตัวตรงจุดใดสักแห่งบนดาวเคราะห์ผ่านแผ่นหยกเคลื่อนย้าย ก็กระอักเลือดออกมากองใหญ่ แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลามารู้สึกแย่กับการสูญเสีย ตอนนั้นเอง สัญชาติญาณของเขาก็บอกให้เขาใช้เวลานั้นปลดปล่อยคำสาป
แต่ใจของหวังเป่าเล่อกลับไม่อยากทำ หากเขาใช้คำสาปไปตอนนี้ ก็จะถือว่าไม่ได้ใช้มันอย่างเต็มประสิทธิภาพ อย่างดีก็เพียงแค่ซื้อเวลาก่อนที่เขาจะถูกจับตัวได้เท่านั้น แต่หากหวังเป่าเล่อใช้มันในเวลาที่เหมาะสม…มันอาจสร้างโอกาสให้เขาได้จู่โจมกลับและสังหารคู่ต่อสู้ก็เป็นได้!
บัดซบ ข้าจะไม่ใช้คำสาปเด็ดขาด ข้าจะหาโอกาสโจมตีเขาทีเผลอแล้วฆ่าเจ้าแก่ระยำนั่นเสีย! ความเกรี้ยวกราดและบ้าคลั่งปรากฏขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มแปรสภาพเป็นหมอกก่อนจะแบ่งร่างออกเป็นแปดก้อนแล้วแยกย้ายไปในแปดทิศทาง ขณะเดียวกัน มีก้อนหนึ่งแปรสภาพเป็นก้อนกรวดแล้วไปพรางตัวอยู่ระหว่างก้อนหินบนพื้น
ส่วนอีกก้อนขุดลงไปในดินแล้วมุดลงลึกไปเรื่อยๆ!
ส่วนร่างสารัตถะที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อก็กลายสภาพเป็นเม็ดฝุ่นที่ถูกสายลมพัดไปมา เขาเกาะกระแสลมลอยหนีออกไปไกล แม้จะไม่เร็วนัก แต่ชายหนุ่มก็สามารถเดินทางไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง
ทันทีที่หวังเป่าเล่อเตรียมการสำเร็จ ก็มีคลื่นรบกวนปรากฏขึ้นตรงบริเวณที่เขาเคลื่อนย้ายมา ขณะที่รัศมีขั้นจิตวิญญาณอมตะแผ่ออกมาจากจุดนั้น ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะของตระกูลไม่รู้สิ้นก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะใช้สัมผัสเทพกวาดไปรอบข้างทันทีด้วยสีหน้าชั่วร้าย หลังจากเจอร่างเงาเจ็ดถึงแปดร่าง เขาก็กำลังจะออกตัวไล่ตามไป แต่จู่ๆ แววตาก็ทอประกายวาบขึ้นมา
เจ้าเล่ห์นักนะ! ผู้อาวุโสส่งเสียงอยู่ในลำคอก่อนจะตัดสินใจไม่ตามไปทันที แต่กลับยกขาขวาขึ้นกระทืบลงไป ทันใดนั้นผืนแผ่นดินในรัศมีสามสิบกิโลเมตรก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เขาใช้สิ่งนั้นในการจับหาคลื่นรบกวน จากนั้นผู้อาวุโสจึงแยกร่างเงาออกเจ็ดถึงแปดร่างไล่ตามรัศมีของหวังเป่าเล่อที่เขาสัมผัสได้ไป
ส่วนร่างจริงก็มุดลงไปในดิน และไล่ตามสัมผัสเทพของหวังเป่าเล่อที่กำลังขุดลึกลงไปอย่างเร่งรีบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น