ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 810-813

 ตอนที่ 810 ร่วมมือ

ชายหนุ่มรถเงินได้ยินสายตาพลันเย็นเยียบ ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้น เสียง “ฟึบๆ” ดังออกมา แขนขวาที่ถูกชุดเกราะจักรกลหุ้มอยู่ส่องแสงสีเงินสามสายออกมาทันใด เห็นเป็นเข็มเงินประดุจเส้นผมสามเล่มชัดเจน


ชั่วพริบตาแสงสีเงินแล่นผ่านอากาศลากเส้นไหมสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าออกมาถักทอประสานกันประหนึ่งตาข่ายไหมสีเงินครอบเข้าใส่หนอนประหลาด


ในดวงตาของมนุษย์ตะขาบแววตาดูแคลนฉายผ่านไป มันกระตุกมุมปากทีหนึ่งแล้วอ้าปากกว้าง ไอเปรี้ยวสายหนึ่งพุ่งออกมา เห็นชัดว่าเป็นน้ำกรดข้นเหนียวสีเขียวก้อนหนึ่ง


เสียง “ผลุบ” ดังขน


ตาข่ายไหมสีเงินสัมผัสถูกน้ำข้นเหนียวสีเขียวปุบก็ทะลุในพริบตา


น้ำกรดนี่ถึงกับกัดหินละลายโลหะได้ กระทั่งอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดถูกมันพ่นใส่ยังละลาย!


ชายหนุ่มรถเงินสีหน้าเคร่งเครียด เคล็ดวิชาในมือเปลี่ยนไปทันที ตาข่ายไหมที่เหลืออยู่ส่งเสียงกังวานทีหนึ่งก็พังทลาย แสงสีเงินสองสายพุ่งเร็วรี่ออกมาจากด้านในอีกครั้ง พวกมันบินวนเป็นวงอย่างรวดเร็วรอบหนึ่งกลางอากาศ อ้อมน้ำสีเขียวข้นหนืดก้อนนั้น พุ่งเร็วรี่เข้าใส่สองด้านของหัวหนอนยักษ์อัปลักษณ์ในพริบตา


ทันใดนั้นสองตาของมนุษย์ตะขาบก็กลอกไปสองด้านพร้อมกัน หลังเหล่มองแสงสีเงินสองสายมันก็แค่นเสียงหยันเบาๆ หมอกสีเทาชั้นหนึ่งโถมออกมาทั่วร่างในทันที


เสียง “ปัง” ดังขึ้นสองหน แสงสีเงินสองสายโจมตีเข้าใส่เปลือกแข็งสองข้างบนศีรษะมันแต่ไม่ทิ้งรอยอันใดไว้ด้านบนสักนิด เกิดประกายไฟสายหนึ่งแล้วดีดกระเด็นออกมาทันที


เปลวเพลิงสีเทาม้วนโถมลงมาครู่เดียวก็กลบแสงสีเงินไว้มิด พวกมันกลายเป็นเข็มเรียวเล็กหม่นหมองไร้แสงสองเล่มอีกครั้งแล้วร่วงหล่นลงมา ทว่าด้านบนยังคงส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ไม่หยุด ผิวหน้ามีรอยสนิมอยู่ประปราย


ชายหนุ่มรถเงินประจักษ์ภาพนี้กับตา สีหน้ายิ่งย่ำแย่…


เข็มเงินชุดนี้ที่ซ่อนอยู่ในชุดเกราะจักรกล เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดของจริงเชียวนะ!


แม้เขาไม่คาดหวังให้การโจมตีหยั่งเชิงครั้งนี้ได้ผล แต่อีกฝ่ายจัดการได้อย่างสบายๆ เช่นนี้ก็ยังคงทำให้ในใจเขาเคร่งเครียด


ดูท่าน้ำกรดสีเขียวที่สัตว์ประหลาดตะขาบตัวนี้พ่นออกมา พลังคงน่าตะลึงอย่างยิ่ง นอกจากนี้เปลือกหนอนรอบร่างก็ไม่ใช่วิชาธรรมดาจะโจมตีทะลุได้ ดูท่าอีกฝ่ายคงเป็นตัวตนระดับเดียวกับชวีเหยาจริงๆ มิเช่นนั้นเพียงแค่ร่างแปลงร่างหนึ่งไม่มีทางร้ายกาจถึงระดับนี้ได้เด็ดขาด


หลิ่วหมิงเห็นทุกสิ่งนี้กับตา รูม่านตาก็พลันหดเล็กลง ในใจครุ่นคิดอย่างเร็วไวไม่หยุด


“เด็กรุ่นหลังทั้งสองคนยังมีกระบวนท่าอันใดก็ใช้ออกมาให้หมดเสีย ข้าถูกขังอยู่ที่นี่ไม่ได้ขยับกระดูกกระเดี้ยวมานานนัก จะเล่นเป็นเพื่อนพวกเจ้าสักหน่อยก็ได้!” ร่างกายของหนอนยักษ์อัปลักษณ์ยังคงบิดเลื้อยอยู่กลางอากาศ ในดวงตาแสงสีเลือดกะพริบตาไม่หยุด เอ่ยอย่างไม่รีบไม่ช้า


“สหายมีวิธีถ่วงเวลาหนอนประหลาดตัวนี้สักครู่หนึ่งหรือไม่ หากข้าเข้าใกล้ในระยะไม่กี่จ้างได้บางทีอาจมีวิธีทำร้ายสัตว์ประหลาดตัวนี้ให้บาดเจ็บหนักได้” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็ส่งกระแสจิตเบาๆ มาหาชายหนุ่มรถเงินด้านข้าง


ชายหนุ่มรถเงินไม่ตอบคำ เขาเพียงเหล่ตามองหลิ่วหมิงหนหนึ่งแล้วไม่พูดพร่ำล้วงลูกแก้วกลมหลากสีสันสิบกว่าลูกออกมาจากในแขนเสื้อจากนั้นขว้างไปด้านหน้า พร้อมกันนั้นปากก็ท่องมนตร์ เฮือกเดียวยิงเคล็ดวิชาหลายสายพุ่งจมลงไปในลูกแก้วสีฟ้า


แสงสีฟ้าส่องสว่างพร้อมกับเสียงดังแครก ลูกแก้วกลมกลายเป็นหุ่นอัศวินสูงสองสามจั้งสิบว่าตัวกับหุ่นหมาป่ายักษ์สีเทาสิบกว่าตัว


บนร่างหุ่นอัศวินเหล่านี้มีชุดเกราะสีทองอ่อนหุ้มอยู่ ดวงตาเปล่งประกายแสงเจิดจ้า แสงสีฟ้าอ่อนขมุกขมัวคลุมทั่วร่าง นอกจากนี้แต่ละตัวยังชักดาบโค้งสีฟ้าแหลมคมเล่มหนึ่งออกมาจากข้างเอว ทยอยกันพลิกตัวขี่บนร่างหุ่นหมาป่ายักษ์สีเทา


หุ่นหมาป่าสีเทาเหล่านี้หลังส่งเสียงหอนทีหนึ่งก็วิ่งแยกออกเป็นสองทางตีวงโอบล้อมตะขาบยักษ์แต่ไกล โอบกลายเป็นวงล้อมเส้นผ่านศูนย์กลางหลายสิบกว่าจั้งวงหนึ่ง


ต่อจากนั้นเคล็ดวิชาที่มือชายหนุ่มรถเงินก็เปลี่ยนไป


แสงสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าพุ่งเร็วรี่ต่อเนื่องออกจากแผ่นหลังของชุดเกราะ จากนั้นวนล้อมรอบร่างเขาพร้อมเสียงดังอื้ออึง


แสงสีน้ำเงินเหล่านี้ถึงกับเป็นกระบี่บินจักรกลที่ส่องแสงขมุกขมัวเล่มแล้วเล่มเล่ามากมายถี่ยิบ มีมากถึงหนึ่งร้อยแปดเล่ม!


กระบี่แต่ละเล่มล้วนยาวหนึ่งฉื่อกว่า บางประหนึ่งปีก บนตัวกระบี่สลักลวดลายจิตวิญญาณสีน้ำเงินเรียวยาวเส้นแล้วเส้นเล่าแลดูงดงามประณีตอย่างที่สุด ตรงคมกระบี่แสงสีน้ำเงินสายเล็กๆ กะพริบวูบวาบไม่หยุด


“พุ่ง”


เมื่อชายหนุ่มรถเงินชี้อากาศ กระบี่บินจักรกลสีน้ำเงินหนึ่งร้อยแปดเล่มข้างตัวเขาก็สั่นอย่างรุนแรง หลังแสงสีน้ำเงินสว่างจ้าระลอกแล้วระลอกเล่าส่องออกมา พวกมันก็กลายเป็นแสงกระบี่ยาวหนึ่งจั้งกว่าสายแล้วสายเล่าพุ่งเร็วรี่มากมายถี่ยิบเข้าใส่ตะขาบยักษ์


ส่วนหุ่นอัศวินสีฟ้าเหล่านั้นที่ล้อมมนุษย์ตะขาบอยู่ก็บีบสองขาแน่นพร้อมกัน หุ่นหมาป่าสีเทาส่งเสียงหอนทุ้มต่ำครั้งแล้วครั้งเล่าจากนั้นบินโถมเข้าหาตะขาบตรงกลางเช่นกัน ดาบคมสีฟ้าในมือส่องแสงรัศมีสีฟ้า กลายเป็นแสงดาบสีฟ้าเส้นแล้วเส้นเล่าระดมฟันเข้าไป


ในเวลาเดียวกันนี้หลิ่วหมิงก็กระตุ้นเคล็ดวิชาทันที ปราณดำทั้งร่างพลุ่งพล่าน ร่างกายขยับวูบหนึ่งก็กลายเป็นเงาคนสีดำสามสายพุ่งเร็วรี่เข้าใส่หนอนประหลาดขนาดยักษ์


สองตาของมนุษย์ตะขาบขยับพร้อมกัน มันเหล่มองแสงสีน้ำเงินมากมายกับหุ่นอัศวินสีฟ้ารอบด้านหลายหนแต่ไม่มีเจตนาจะหลบหลีกสักนิด มันเพียงสั่นร่างเล็กน้อย ปราณสีเทาที่วนอยู่รอบด้านก็เข้มขึ้นหลายส่วน


“ติงตังๆ” เสียงดังสะเทือนแก้วหูแทบดับ!


แสงกระบี่สีน้ำเงินกับแสงดาบสีฟ้าฟันลงบนร่างมนุษย์ตะขาบตามต่อกันแต่ไม่อาจกรีดร่างมันได้สักนิด ทำได้เพียงสร้างแสงรัศมีแสบตาสีน้ำเงินครามจำนวนหนึ่งรอบตัวมันเท่านั้น พลังค่อนข้างน่าตะลึง


ทว่าเมื่อปราณสีเทาประหลาดรอบร่างตะขาบยักษ์ซัดออกมา แสงกระบี่ แสงดาบก็ทยอยพังทลายดีดออกมา


เงาสามสายที่หลิ่วหมิงสร้างขึ้นฉวยโอกาสนี้กะพริบวูบวาบอ้อมผ่านด้านข้างตะขาบยักษ์ห่างไปเจ็ดแปดจั้ง


ในเวลานี้เองตะขาบฉับพลันบิดหัวเก้าสิบองศา สองตามองมาอย่างไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงตกตะลึง ทว่ายังไม่ทันตอบสนองอย่างไร ตะขาบยักษ์ก็อ้าปาก เงาสีเขียวสามก้อนพ่นออกมาแล้วพร่าเลือนหายไปกลางอากาศระหว่างทาง


“แย่แล้ว”


ประสบการณ์การต่อสู้กับผู้คนของหลิ่วหมิงพรั่งพร้อมเพียงใด แทบไม่ต้องคิดร่างต้นก็กระโจนพุ่งเร็วรี่ไปด้านข้าง


เสียง “ฟู่” ดังขึ้นสองหน เงาลวงอีกสองร่างถูกเงาสีเขียวที่ดีดพุ่งออกมากะทันหันกลางอากาศใกล้ๆ โจมตีเข้าอย่างจังจนพังทลายสลายไปในพริบตา


จุดที่ร่างต้นของหลิ่วหมิงยืนอยู่เดิมก็ถูกเงาสีเขียวก้อนที่สามแล่นทะลุผ่านไปเช่นกัน แต่แน่นอนโจมตีพลาดเป้า


“เอ๋”


ตะขาบยักษ์อุทานเบาๆ คำหนึ่ง สายตาฉายแววคาดไม่ถึง แต่ครู่ต่อมาสองตาก็มีแสงสีเลือดไหลผ่าน สองขาคู่หน้าสุดชี้ไปหาน้ำข้นเหนียวสีเขียว ของเหลวเหนียวสีเขียวสามก้อนรวมตัวกันกลายเป็นรูปลูกศรสีเขียวสามดอกในพริบตา จากนั้นส่งเสียงดัง “ฟึบ” ไล่ตามร่างหลิ่วหมิงไปติดๆ


ลูกศรน้อยสีเขียวเร็วกว่าหลิ่วหมิงหลายส่วน เสียงแหวกอากาศดังขึ้นปุบก็พุ่งมาห่างแผ่นหลังหลิ่วหมิงเพียงครึ่งจั้งแล้ว


ทว่าร่างกายของหลิ่วหมิงกลับลอยขึ้นอีกครั้ง ศีรษะไม่หันกลับ เพียงดีดสามนิ้วไปด้านหลัง ทันใดนั้นปราณกระบี่แวววสามเส้นก็ซัดออกไปโจมตีบนลูกศรน้อยอย่างแม่นยำยิ่งทันที


หลังเสียงแผ่วเบาสามครั้ง ปราณกระบี่ก็ถูกลูกศรน้อยสีเขียวโจมตีสลายในพริบตา ตัวเขาเองก็ชะงักไปชั่วครู่เช่นกัน


หลิ่วหมิงฉวยโอกาสนี้ทำท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่ง เสียง “ฟู่” สองครั้งดังขึ้นเบื้องหลัง ปีกเนื้อสีเงินคู่หนึ่งก่อตัวขึ้นมา เพียงกระพือครั้งหนึ่ง ร่างกายก็ขยับวูบประหนึ่งภูตพราย ปรากฏตัวขึ้นห่างจากตะขาบยักษ์ไม่เกินสามจั้ง


ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้ ในดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจไม่หยุด พร้อมกับที่ควบคุมกระบี่บินจักรกลต่อ เขาก็ยกแขนเสื้อขึ้นอีกครั้ง แสงเรืองรองสีเงินกับทองสองสีสายหนึ่งฉายออกมา รถยักษ์สีเงินที่มีอาชายักษ์สีทองแปดตัวลากที่เขานั่งก่อนหน้านี้คันนั้นนั่นเอง


ดวงตาเขาเปล่งประกายเจิดจ้า เคล็ดวิชาสองมือเร็วขึ้นอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้ เคล็ดวิชาเจิดจ้าแสบตาสายแล้วสายเล่ายิงออกมาอย่างต่อเนื่อง!


ล้อของรถยักษ์สีเงินหมุนเร็วไวจนเกิดเป็นเงาล้อบินสีเงินสี่วง อาชาสว่างสีทองแปดตัวด้านหน้ากรีดร้องแล้วพ่นเปลวเพลิงสีทองดวงแล้วดวงเล่าออกจากปาก หลังเงาล้อบินสีเงินถูกเปลวเพลิงสีทองล้อมก็กลายเป็นเงาล้อบินสีทองสี่วงพุ่งขึ้นฟ้าไป


ในเวลานี้เองหลิ่วหมิงด้านหน้าก็กู่ร้องเสียงยาว จิตกระบี่ท่วมฟ้าสายหนึ่งชั่วพริบตาแหวกออกมาจากร่าง ต่อจากนั้นแสงสีทองรอบร่างก็ฉายวาบกลายเป็นรุ้งยาวสีทองเส้นหนึ่งพุ่งออกมา


พลังของ “วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง” นั่นเอง


ลูกศรน้อยที่สร้างจากน้ำกรดสีเขียวซึ่งไล่ตามติดมาด้านหลังเพียงถูกปลายคลื่นที่แผ่ออกมาจากจิตกระบี่มโหฬารสายนี้โจมตีพริบตาก็ระเบิดกระจุย


ด้านหน้ารุ้งยาวสีทองเห็นวงแหวนแสงสีน้ำนมวงหนึ่งอยู่เลือนราง มันชักพาให้อากาศรอบด้านเกิดคลื่นไหวกระเพื่อมชั้นแล้วชั้นเล่า หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังแห่งแม่เหล็กดาราของกระบี่ว่างเปล่าอย่างไม่ลังเลสักนิด


บนหน้ามนุษย์ตะขาบยักษ์ในที่สุดก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมานิดๆ มันจัดการการโจมตีของหุ่นอัศวินรวมถึงกระบี่บินใกล้ๆ อย่างไม่ใส่ใจแล้วจ้องรุ้งทองที่โถมเข้ามาเขม็ง เขี้ยวโค้งทั้งคู่แยกออกกำลังจะพ่นน้ำกรดสีเขียวออกมาอีกครั้ง


ทว่าในเวลานี้เองชายหนุ่มรถเงินก็ท่องมนตร์จบ ล้อบินสีทองสี่วงระเบิดกลางท้องฟ้ากลายเป็นแสงสีทองแสบตาประหนึ่งดวงตะวันร้อนแรงเต็มฟ้าในพริบตา


มนุษย์ตะขาบไม่ทันระวังแสงสีทองแสบตาที่สาดมาบนท้องฟ้า สองตาหลับลงอย่างแทบไม่รู้ตัว ทว่ามันยังคงอ้าปากพ่นน้ำสีเขียวก้อนใหญ่ออกมา


เล่าแล้วช้าเวลาจริงเร็ว เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง รุ้งยาวสีทองฉับพลันหักเลี้ยวหลบน้ำกรดที่พุ่งประจันหน้าเข้ามา หลังขยับพ้นก็ทะลวงผ่านปราณสีเทารอบร่างตะขาบยักษ์ไป


“กี๊ซ!”


ตะขาบยักษ์กรีดร้องทีหนึ่ง ขานับร้อยสองข้างสะบัดอย่างบ้าคลั่ง กลางร่างของมันปรากฏรูเลือดรูใหญ่ขนาดหนึ่งจั้งกว่าเห็นชัดเจน เลือดสีเทาของมันไหลจ๊อกออกมา


ครู่ต่อมาเส้นไหมแวววาวสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าก็พลันพุ่งทะลวงออกมาจากรูเลือดบนร่างหนอนประหลาด มันดีดดิ้นบ้าคลั่งอยู่พักหนึ่ง ร่างกายและขานับร้อยที่แลดูแข็งแกร่งอย่างยิ่งทั้งหมดก็ถูกฟันกลายเป็นเนื้อขนาดเท่ากำปั้นก้อนแล้วก้อนเล่า โปรยปรายลงมาประหนึ่งสายฝน


ไม่ไกลเบื้องหน้าร่างชายหนุ่มรถเงิน รุ้งยาวสีทองม้วนกลับมา เผยหลิ่วหมิงที่มือถือกระบี่บินสีทองออกมาอีกครั้ง


เขาในเวลานี้แม้หอบหายใจแฮกๆ เล็กน้อย สีหน้าก็ซีดขาวอยู่บ้างแต่กลางหว่างคิ้วกลับฉายความยินดีจางๆ เขาเอี้ยวศีรษะไปพยักหน้าให้ชายหนุ่มรถเงิน


ชายหนุ่มรถเงินก็ยินดียิ่ง โล่งอกเฮือกใหญ่เช่นกัน เขายิ้มกว้างพยักหน้าให้หลิ่วหมิงจากนั้นกวักมือจะเรียกกระบี่บินจักรกลกับหุ่นอัศวินเต็มฟ้ากลับมา


ทว่าในตอนนี้เอง มนุษย์ตะขาบที่ร่างแยกกระจัดกระจายเลือดไหลโชกอยู่กลับส่งเสียงหัวเราะประหลาดที่ชวนให้คนขนลุกขนชันออกมาในทันใด!


“ดี ดียิ่ง! กระบี่บินพลังจิตวิญญาณคมกล้าเช่นนี้ มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ แม้วันนี้ข้าเป็นเพียงร่างแยกที่ก่อตัวขึ้นมาชั่วคราว กระบี่บินพลังจิตวิญญาณระดับทั่วไปก็อย่าหวังว่าจะฟันหนังเนื้อของข้าขาด ทว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้ถ้าอย่างนั้นข้าทำให้กระบี่บินของเจ้าไม่มีที่ให้ลงมือก็พอ”


เสียงเห็นชัดว่าดังออกมาจากหัวของตะขาบยักษ์ที่แยกออกจากร่างมาแล้ว


หัวนี้ถูกฟันขาดมากกว่าหนึ่งในสาม ทว่าทั้งที่สองตาหลับแน่น หลังปากพ่นวาจากลับเริ่มท่องมนตร์งึมงำฟังไม่ชัดบางอย่างอีกหน


เลือดเนื้อก้อนแล้วก้อนเล่าที่เดิมทีถูกฟันร่วงเกลื่อนพื้นเริ่มขยับยุกยิกอยู่กับที่พร้อมกับเสียงท่องมนตร์


ตอนที่ 811 จู๋เสินกับเผ่าหนอนผีเสื้อ

เห็นภาพประหลาดเช่นนี้ ชายหนุ่มรถเงินก็หน้าถอดสี ไม่พูดพร่ำมือหนึ่งทำท่าเคล็ดวิชา กระบี่บินจักรกลหนึ่งร้อยแปดเล่มที่ยังไม่ทันบินกลับมานั่นก็ส่องแสงสว่างทันที เงากระบี่มากมายพุ่งเร็วรี่เข้าใส่เลือดเนื้อที่ขยับยุกยิกเหล่านั้นบนพื้น


หลิ่วหมิงรูม่านตาหดเล็ก กระบี่ว่างเปล่าในมือขว้างออกมา รุ้งทองสายหนึ่งม้วนตลบออกมา เป้าหมายคือหัวขาดแหว่งของตะขาบท่ามกลางเนื้อแหลกเละ


เปรี้ยง


หัวตะขาบถูกรุ้งทองที่ออกมาทีหลังแต่ถึงก่อนพุ่งทะลุทำลายกระจุยในพริบตา


ทว่าก่อนที่เงากระบี่ด้านหลังจะมาถึง เลือดเนื้อหลายร้อยก้อนบนพื้นกลับเปล่งแสงสีเทาสว่างจ้า ทั้งยังส่งเสียง “ชือๆ” ออกมาแล้วทยอยพุ่งขึ้นฟ้ากลายเป็นหนอนประหลาดสีเทายาวหนึ่งฉื่อกว่าตัวแล้วตัวเล่า มากถึงสองร้อยสามร้อยตัว


หนอนประหลาดเหล่านี้รูปร่างหน้าตาเหมือนตะขาบยักษ์อย่างยิ่ง ทั้งร่างส่องแสงสีเทาขมุกขมัว บนหัวก็ประทับหน้ามนุษย์ไว้เช่นเดียวกัน เหมือนเป็นสัตว์ประหลาดตะขาบหลังย่อส่วน


แสงรัศมีสว่างขึ้น เงากระบี่มากมายซัดหนอนประหลาดเหล่านั้นเข้ามาข้างในประหนึ่งพายุคลั่ง เสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่นออกมาต่อเนื่องทันที


อีกด้านหนึ่งสิบนิ้วของหลิ่วหมิงก็ดีดรัวออกมาเช่นกัน เคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาแล้วหายไปกลางอากาศ พร้อมกันนั้นรุ้งน่าตะลึงสีทองไกลออกไปก็วนรอบกลายเป็นกระบี่บินยาวสองฉื่อกว่าใหม่อีกครั้ง ชั่วพริบตาจากหนึ่งกลายเป็นสอง จากสองกลายเป็นสี่…กลายเป็นเงากระบี่สีทองเหมือนกันทุกประการแปดเล่มในทันใด


“ไป”


เงากระบี่แปดเล่มสั่นไหวน้อยๆ อยู่กลางอากาศแล้วกลายเป็นแสงกระบี่โถมเข้าฟันหนอนประหลาดที่หลุดรอดตาข่ายมาเหล่านั้น


จุดที่แสงสีทองผ่านไป หนอนประหลาดที่หลุดรอดจากตาข่ายเหล่านั้นทยอยระเบิดกลายเป็นฝนโลหิต หมอกโลหิตผืนใหญ่แผ่กระจายไปทั่ว


แต่เมื่อเงากระบี่สีทองทั้งหมดสลายหายไปอีกครั้ง หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มรถเงินที่เพ่งมองอีกหนก็ล้วนสูดลมหายใจดังเฮือก


แม้เห็นว่าหนอนประหลาดยาวหนึ่งฉื่อกว่านับร้อยตัวแต่เดิมหายไปหมดแล้ว แต่สิ่งซึ่งมาแทนที่คือหนอนประหลาดยาวหนึ่งนิ้วมือหน้าตาเหมือนเดิมเกือบพันตัว รูปร่างภายนอกเหมือนกับหนอนประหลาดก่อนหน้านี้ทุกประการ เพียงแต่ขนาดหดเล็กลงมาอีกหลายเท่า


การโจมตีรุนแรงครั้งหนึ่งของทั้งสองคนถึงกับทำให้หนอนประหลาดก่อนหน้านี้แยกตัวออกอีกหนจนมากยิ่งกว่าเดิม


ขณะที่พวกหลิ่วหมิงตกตะลึงอย่างมาก หนอนประหลาดนับพันตัวนี้ก็อ้าปากพร้อมกันแล้วพ่นน้ำกรดก้อนแล้วก้อนเล่ามากมายถี่ยิบออกมาใส่กระบี่บินจักรกลและหุ่นอัศวินใกล้ๆ


แม้ชายหนุ่มรถเงินจะตกตะลึงรีบร้อนใช้เคล็ดวิชาควบคุมกระบี่บินกับหุ่นให้หลบอย่างว่องไว แต่ก็ยังมีเสียง “ฟู่ๆ” ดังขึ้นต่อเนื่อง!


กระบี่บินจักรกลหนึ่งร้อยแปดเล่มกว่าครึ่งหนึ่งล้วนถูกน้ำกรดสีเขียวโจมตี พริบตาเดียวแสงจิตวิญญาณก็หม่นแสง พลังลดลงอย่างมาก


หุ่นอัศวินสีฟ้าเหล่านั้นยิ่งอนาถ พวกมันถูกหนอนประหลาดมากมายรุมล้อม แม้กวัดแกว่งดาบคมในมือไม่หยุด ดิ้นรนปล่อยแสงดาบสายแล้วสายเล่าขัดขวาง แต่ร่างกายรวมถึงหุ่นหมาป่ายักษ์ใต้ร่างก็ถูกน้ำกรดโจมตีเป็นจำนวนมาก ชั่วพริบตาทั้งหมดกลายเป็นรูนับร้อยนับพัน ทยอยล้มลงพื้นดังเปรี้ยงไม่หยุด


ส่วนเงากระบี่แปดสายที่เกิดมาจากระบี่ว่างเปล่ากลับหมุนติ้วท่ามกลางน้ำกรดมากมายจนกลายเป็นวงล้อแสงสีทองขนาดหนึ่งจั้งกว่าแปดวง ฟันน้ำกรดส่วนใหญ่ที่เข้าใกล้กระจายออกไปในพริบตา


ต่อจากนั้นวงล้อสีทองแปดวงก็พุ่งเร็วรี่ถอยหลังกลับมา ระหว่างทางก็รวมตัวกันเป็นร่างเดียวในชั่วพริบตา กลายเป็นกระบี่บินสีทองอร่ามเล่มหนึ่งบินมาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิง


หลังสายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านรอยขนาดเท่ารูเข็มหลายแห่งบนกระบี่ว่างเปล่า ในใจก็กังวล


พลังของน้ำกรดที่หนอนประหลาดขนาดจิ๋วเหล่านี้พ่นออกมาเหมือนจะเหนือกว่าที่ตะขาบยักษ์พ่นออกมาก่อนหน้านี้เสียอีก


ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้ปวดใจกับอาวุธจิตวิญญาณและหุ่นของตนเอง หนอนประหลาดเต็มฟ้าก็พลันทิ้งหุ่นกับกระบี่บินจักรกลเหล่านั้นแล้วบินรุมเข้ามาหาทั้งสองคน


“สหายหลิ่ว ยังมีวิชาอันใดเก็บไว้ก็รีบใช้ออกมา มิเช่นนั้นผ่านไปอีกพักหนึ่งเกรงว่าโอกาสสู้แลกชีวิตก็คงไม่มีแล้ว” ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้ก็ตะโกนเสียงดัง เคล็ดวิชาในมือเปลี่ยนไปในทันใด


เสียง “บึ๊ม” ดังสนั่นพลันดังออกมาจากในฝูงหนอน กระบี่บินจักรกลหนึ่งร้อยแปดเล่มพุ่งเข้าไปตรงใจกลางอีกครั้งแล้วกลายเป็นลูกบอลแสงสีน้ำเงินลูกแล้วลูกเล่าระเบิดออก


ฝูงหนอนกว่าครึ่งทยอยฉีกกระจุยท่ามกลางคลื่นอากาศที่พัดหอบบ้าคลั่งระลอกแล้วระลอก ทว่าหายไปวูบเดียวพวกมันก็ก่อตัวขึ้นใหม่ท่ามกลางหมอกโลหิต ยังคงส่งเสียงดังอื้ออึงโถมเข้ามาใส่ทั้งสองคน


บนหน้าหลิ่วหมิงยังคงตะลึง แต่ในใจกลับเข้าใจแล้ว


ครั้งนี้หนอนประหลาดที่ถูกกำจัดเหล่านั้นไม่ได้แยกตัวเป็นจำนวนที่มากขึ้นกว่าเดิมต่อ เห็นชัดว่าจำนวนนับพันตรงหน้าเป็นขีดจำกัดที่สัตว์ประหลาดตะขาบจะแยกร่างได้แล้ว


หากเป็นเช่นนี้ขอเพียงบดขยี้สังหารไม่หยุดก็ไม่ใช่จะเอาชนะไม่ได้


อย่างไรต่อให้เป็นกายาคงกระพันที่แท้จริง หากถูกคนสังหารนับพันรอบก็มีจุดจบคือสิ้นใจจริงๆ เช่นกัน


ในดวงตาชายหนุ่มรถเงินฉายแววยินดีจางๆ ด้วย เห็นชัดว่าเขามีความคิดเดียวกัน หัวไหล่สองข้างสะบัดทีหนึ่ง กระบี่บินจักรกลสีน้ำเงินเรืองรองกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกไปบนฟ้า หลังบินวนรอบหนึ่งก็พุ่งเข้าฟาดฟันสังหารกลางฝูงหนอนประหนึ่งพายุฝนอีกครั้ง


รถเงินอาชาทองคันนั้นเบื้องหน้าร่างเขาก็ส่องแสงสว่างจ้าเช่นกัน วงแหวนแสงสีเงินแถบหนึ่งซัดโถมออกมาดังหวีดหวิว


หลังหลิ่วหมิงสูดหายใจลึกก็ตบข้างเอวทันที ไอหมอกสีเขียวสายหนึ่งกับสีดำสายหนึ่งม้วนตัวออกมากลายเป็นเด็กน้อยชุดเขียวกับสตรีชุดตาข่ายสีดำนางหนึ่ง


“ไป พยายามสังหารหนอนประหลาดเหล่านี้ในคราวเดียวให้มากที่สุด ระวังของที่พวกมันพ่นออกมา!” หลิ่วหมิงสั่งอย่างเร็วไว


“รับทราบ นายท่าน!” เด็กน้อยชุดเขียวกับสตรีชุดผ้าตาข่ายดำพยักหน้าอย่างจริงจัง ต่างคนพุ่งเข้าใส่ฝูงหนอนฝั่งตรงข้ามจนเกิดเป็นสายลมประหลาด


เมื่อเข้าใกล้ฝูงหนอน ในมือเซียเอ๋อร์ก็ใช้เคล็ดวิชาต่อเนื่อง ลมหมุนสีเหลืองประหนึ่งฝุ่นทรายหอบพัดขึ้นมา มันหมุนวนด้วยความเร็วสูงหอบหนอนประหลาดใกล้ๆ เข้าไปในวูบเดียว


เสียง “ซ่าๆ” ดังออกมาจากลางลมหมุน มีดทรายยาวหนึ่งชุ่นกว่าเล่มแล้วเล่มเล่าก่อตัวออกมา ฉีกหนอนประหลาดด้านในกระจุยในพริบตา


ส่วนเฟยเอ๋อร์แปลงกลายเป็นเด็กน้อยชุดเขียวเก้าคนอย่างเงียบๆ แต่ละคนอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีเทาออกมา หลังหนอนประหลาดติดไฟชั่วพริบตาก็กลายเป็นเถ้าธุลี


ทว่ายังคงมีหนอนประหลาดส่วนหนึ่งแยกออกพุ่งผ่านข้างกายทั้งสองตัวแล่นตรงรี่มาหาหลิ่วหมิงด้านหลังอย่างไม่สนใจสิ่งอื่นใด


หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ ยันต์ที่ส่องแสงสีทองขมุกขมัวแผ่นหนึ่งบินออกมาจากในแขนเสื้อ หลังหมุนติ้วรอบหนึ่งก็พร่าเลือนหายไปกลายเป็นชายหนุ่มเกราะทองคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนหลิ่วหมิงทุกประการ


ร่างแปลงอาภรณ์ทองปรากฏตัวขึ้นปุบ ไม่ต้องให้หลิ่วหมิงพูดมากก็คำรามเบาๆ คำหนึ่ง สองแขนพร่าเลือนวูบหนึ่ง หมัดยักษ์สีทองหมัดแล้วหมัดเล่าก็พุ่งออกมาดังหวีดหวิวอัดหนอนประหลาดที่เข้ามาใกล้ตรงหน้าแหลกกระจุยทั้งหมด


ชั่วพริบตาหนอนประหลาดเหล่านี้ก็ก่อตัวใหม่อีกหนท่ามกลางหมอกโลหิต


หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยัน เขาตบหัวไหล่ทีหนึ่ง ในเสื้อพลันเปล่งแสงสีน้ำเงินสว่างจ้า หลังเสียงคำรามแผ่วเบาสายหนึ่ง เงาโคสีน้ำเงินราวกับมีชีวิตร่างหนึ่งก็ลอยออกมาจากลวดลายจิตวิญญาณสีน้ำเงินนับไม่ถ้วน


วิชาลับภาพสัญลักษณ์ที่เขาฝึกฝนอยู่นั่นเอง


เงาโคสีน้ำเงินปรากฏตัวขึ้นปุบก็อ้าปากพ่นแสงสีเหลืองสายหนึ่งออกมากวาดหนอนประหลาดสิบกว่าตัวที่โถมมาถึงตรงหน้าเข้าไปทันที จากนั้นกระชากลงท้องหายไปไร้ร่องรอย


ครู่ต่อมาหนอนประหลาดเหล่านี้ก็พ่นน้ำสีเขียวก้อนแล้วก้อนเล่าอยู่ในเงาโคสีน้ำเงินอย่างบ้าคลั่ง แต่สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงคาดไม่ถึงอย่างยิ่งคือลวดลายสีน้ำเงินอ่อนในร่างเงากะพริบวูบเดียว การโจมตีเหล่านี้ก็กลายเป็นควันสีน้ำเงินถูกกำจัดหายไป


หลิ่วหมิงตะลึงไปชั่ววูบ ยังคิดไม่ทันว่าทำไมเงาภาพสัญลักษณ์ไม่กลัวพลังกัดกร่อนอันน่าตะลึงของน้ำกรดเหล่านี้ กลางฝูงหนอนประหลาดฝั่งตรงข้ามก็มีเสียงโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุดของตะขาบยักษ์ดังออกมา


“ร่างแปลงจู๋เสิน? เป็นไปไม่ได้ คนรุ่นหลังระดับผลึกจากโลกมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะครอบครองวิชาลับเช่นนี้ได้อย่างไร ใช่ จะต้องมีที่ใดผิดพลาดไปแน่ นี่ไม่มีทางเป็นร่างแปลงของจู๋เสิน นี่คงเป็นของที่คล้ายกันอีกอย่างหนึ่ง คิดว่าใช้ของพรรค์นี้จะทำให้นักรบผู้กล้าแห่งเผ่าหนอนผีเสื้อเช่นข้าหวาดกลัวจนถอยหนีได้หรือ!”


สิ้นเสียง หนอนประหลาดตัวอื่นที่เดิมทีโรมรันอยู่กับกระบี่บินจักรกล เซียเอ๋อร์และหัวบินก็เลี้ยวเปลี่ยนทาง รุมโถมบ้าคลั่งเข้าใส่หลิ่วหมิงในทันใด


หนอนประหลาดสิบกว่าตัวนั้นที่เดิมถูกเงาโคสีน้ำเงินกลืนลงไปในท้องฉับพลันมีไอสีเทาลอยออกมานอกร่าง ร่างกายขยายพรวดพราดจนกระทั่งระเบิดอยู่ด้านในเงาโคสีน้ำเงิน


แรกสุดที่หลิ่วหมิงได้ฟังคำพูดประหลาดของตะขาบก็ตกตะลึง เมื่อเห็นภาพนี้ก็ตกตะลึงอีกรอบ แต่ไม่มีเวลาให้คิดมากมาย มือข้างหนึ่งยกขึ้นจี้ดัชนีใส่เงาโคสีน้ำเงินต่อเนื่องตามเคล็ดวิชาที่บันทึกไว้ของวิชาลับภาพสัญลักษณ์ไร้นามที่ได้มา


ฟู่


เงาโคสีน้ำเงินแหงนหน้าร้องคำรามทีหนึ่ง ลวดลายจิตวิญญาณทั่วร่างก็ไหลเคลื่อน ในร่างฉับพลันมีแสงสีน้ำเงินขมุกขมัวฉายออกมา


หนอนประหลาดที่ขยายจนใหญ่ยักษ์เหล่านั้นแตะถูกแสงสีน้ำเงินเหลานี้ปุบก็ส่งเสียงดังฟู่ๆ ละลายกลายเป็นเลือดซึมลงไปในแสงสีน้ำเงินในพริบตา ไม่ก่อตัวใหม่อีกต่อไป


ภาพสัญลักษณ์นี่หยุดการเกิดใหม่ของหนอนประหลาดเหล่านี้ได้จริงหรือ? แต่ทำไมสัตว์ประหลาดตัวนั้นเรียกภาพสัญลักษณ์นี้ว่าร่างแปลงจู๋เสิน…


หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ในใจยินดียิ่งกว่าที่หวัง พร้อมกันนั้นข้อสงสัยมากมายก็ทะลักออกมาในใจ


เวลานี้หนอนประหลาดไกลออกไปก็พุ่งเร็วรี่มาถึงไม่ไกลแล้ว พวกมันอ้าปาก น้ำกรดสีเขียวแถบใหญ่พุ่งเร็วรี่มาถึงก่อน


หลิ่วหมิงหน้าถอดสีมือข้างหนึ่งยกขึ้น โล่น้อยสีเหลืองแผ่นหนึ่งหายวับไปขวางอยู่หน้าร่างเขากับร่างแปลงอาภรณ์ทอง ทั้งยังโต้ลมขยายจนใหญ่ยักษ์หลายจั้ง หลังผิวหน้าส่องแสงสว่างวูบหนึ่ง เงาภูเขาขนาดย่อมสีเหลืองลูกหนึ่งก็ลอยออกมา


ครู่ต่อมาบนโล่ดินสีเหลืองก็สั่นไหว เสียงฝนกระทบรั้วไม้ไผ่ดังออกมา


น้ำกรดสีเขียวมากมายโจมตีลงบนเงาภูเขาน้อย แสงรัศมีที่ถูกมันโจมตีสั่นไหวเหมือนจะคงสภาพปัจจุบันไว้ไม่อยู่ในทันที


“สหาย ช่วยข้าขวางไว้ก่อนสักครู่ ข้าหาวิธีปราบหนอนประหลาดเหล่านี้พบแล้ว” หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจอย่างเร็วไวรอบหนึ่งก็ส่งกระแสจิตบอกชายหนุ่มรถเงินที่อยู่ไม่ไกลหนึ่งประโยค


ชายหนุ่มรถเงินเดิมทีกำลังกระตุ้นกระบี่บินจักรกลไล่ตามฟาดฟันฝูงหนอนอย่างบ้าคลั่งอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง สายตาก็เปล่งประกายวูบหนึ่ง เขาพลันกัดฟัน สองมือตั้งท่ามือประหลาดท่าหนึ่งกลางอก ยันต์สีทองแผ่นหนึ่งลอยออกมาเบื้องหน้าประทับลงบนร่างอาชาทองรถเงินด้านหน้าร่างในทันใด


“รถเลี่ยหยาง ระเบิด!”


พร้อมกับเสียงท่องมนตร์ที่ดังขึ้น คลื่นความร้อนสายหนึ่งก็จู่โจมออกมา รถเงินอาชาทองเปล่งแสงสีทองสว่างจ้า อาชาทองคำแปดตัวที่ลากรถสีเงินสี่เท้าประหนึ่งบินพุ่งเข้าใส่กองทัพหนอนประหลาดที่อยู่ใกล้ตรงหน้าแล้วระเบิดตัวเองในทันใด กลายเป็นเข็มสีทองแสบตานับไม่ถ้วนพุ่งเร็วรี่ออกมาสี่ด้านแปดทิศ


เข็มทองหนาเท่านิ้วมือเหล่านี้ แต่ละเล่มล้วนยาวหลายชุ่น ปราณร้อนระอุบนเข็มชักพาให้อากาศบิดเบี้ยว เมื่อสัมผัสถูกหนอนประหลาดปุบก็หลอมละลายเปลือกของมัน พุ่งทะลวงทะลุร่างมันไปในทันที


หลังแสงสีทองแถบหนึ่งผ่านไป ทันใดนั้นหนอนประหลาดค่อนครึ่งก็หายไปไร้ร่องรอย ทำให้กลางอากาศเหลือเพียงหนอนประหลาดหน้าตาเหมือนตะขาบร้อยกว่าตัวกับหมอกโลหิตกลุ่มใหญ่เท่านั้น


เวลานี้เองชายหนุ่มรถเงินก็อ้าปากพ่นเลือดคำหนึ่งออกมา เขาเรียกขวดใบน้อยสีน้ำเงินขวดหนึ่งออกมาอย่างว่องไวแล้วกลืนโอสถสองเม็ดลงไป ต่อจากนั้นจึงฉีกยันต์สีขาวน้ำนมจนแหลกแล้วแปะลงบนร่าง


เสียง “ฟู่” ดังขึ้นหนึ่งหน ม่านแสงสีขาวจางๆ ชั้นหนึ่งล้อมตัวเขาไว้ตรงกลาง


ตอนที่ 812 เรื่องผิดปกติของงานประตูสวรรค์

เวลานี้หลิ่วหมิงกลับอ้าปากกู่ร้องยาวทีหนึ่ง ปราณดำทั่วร่างถาโถมออกมา แขนข้างหนึ่งยกขึ้น ห้านิ้วกางออกกดลงบนอากาศว่างเปล่าไปทางเงาโคสีน้ำเงินเบื้องหน้าร่าง


เสียงปังดังขึ้นหนึ่งหน


ลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือ มันกะพริบทีหนึ่งก็จมหายไปกลางอากาศ


ครู่ต่อมาเงาโคสีน้ำเงินก็ร้องคำราม ร่างกายขยายใหญ่ยักษ์พรวดพราดในทันใด หลังมันพร่าเลือนหลายหนก็มีขนาดใหญ่ยักษ์ถึงสามสี่สิบจ้าง ดวงตาสองข้างสีแดงดุจโลหิต อ้าปากสีแดงออกกว้างพุ่งไปข้างหน้า


เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นหนหนึ่ง แสงเรืองรองสีเหลืองแถบหนึ่งซัดออกไปกลบผืนดินปิดผืนฟ้า จุดที่ผ่านไปหมอกโลหิตสีเลือดทั้งหมดถูกหอบม้วนกระชากลงไปในท้องของมัน


ถึงขนาดที่หนอนประหลาดหลายสิบตัวที่เหลืออยู่สักตัวก็หลบไม่พ้น กว่าครึ่งในนั้นถูกแสงสีเหลืองหอบเข้าไปด้านใน สูดเข้าไปในเงาร่างมหึมา


“ไม่ พลังกลืนฟ้า เป็นจู๋เสินจริงๆ!” หนอนประหลาดสิบกว่าตัวที่เหลืออยู่เห็นเช่นนี้ ตัวหนึ่งในนั้นก็กรีดร้องโหยหวน หลังจากนั้นหนอนประหลาดทั้งหมดก็หันหลังกลับหนีเตลิดไปสี่ด้านแปดทิศ


ทว่าเซียเอ๋อร์กับหัวบินที่อยู่ใกล้ๆ รวมถึงชายหนุ่มรถเงินที่ใบหน้ายินดียิ่งจะปล่อยเสือเข้าป่าได้อย่างไร สายลมสีเหลือง เปลวเพลิงสีเทาและเงากระบี่ซัดออกมาอย่างบ้าคลั่งระลอกหนึ่งทันที โจมตีหนอนประหลาดสิบกว่าตัวนี้ระเบิดกลายเป็นหมอกโลหิตสายแล้วสายเล่าเช่นเดียวกัน


แสงสีเหลืองกวาดผ่านมา หมอกโลหิตเหล่านี้ก็ถูกเงาโคสีน้ำเงินดูดไปหมดสิ้นดุจเดียวกัน


แม้กั้นขวางด้วยแสงสีน้ำเงินขมุกขมัว พวกหลิ่วหมิงก็ยังมองเห็นชัดเจน ไม่ว่าหมอกโลหิตหรือหนอนประหลาดมีชีวิตที่เงาโคสีน้ำเงินสูดเข้าไป เมื่อแสงสีน้ำเงินดวงแล้วดวงเล่ากะพริบด้านในเงาไม่กี่หน พวกมันก็ละลายสลายไปอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจทั้งหมดก็ถูกกำจัดเกลี้ยงไม่เหลืออยู่อีกต่อไป


ท้ายที่สุดด้านในเงาโคสีน้ำเงินก็เหลือเพียงสิ่งที่หน้าตาเหมือนลูกแก้วสีดำขมุกขมัวขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งที่รอบด้านมีไอหมอกสีดำจางๆ สายแล้วสายเล่าวนล้อมอยู่ ผิวหน้ามีลวดลายจิตวิญญาณบิดเบี้ยวรูปลูกอ๊อดแผ่อยู่เต็ม ดูแล้วประหลาดทีเดียว


นี่คือ…


สองตาหลิ่วหมิงจ้องมองลูกแก้วอยู่ชั่วครู่ หลังยืนยันแล้วว่ามันไม่มีอันตรายอันใดถึงกวักมือข้างหนึ่งกับอากาศให้มันบินออกจากเงามาในพริบตา เมื่อมันหล่นลงในมือเขาอย่างมั่นคง เขาก็มองสำรวจบนจรดล่างอย่างละเอียด


“นี่อาจเป็นแก่นปีศาจของสัตว์ประหลาดที่เรียกตัวเองว่าเผ่าหนอนผีเสื้อตัวนั้นหรือไม่?” หลังชายหนุ่มรถเงินกวาดสายตาผ่านลูกแก้วกลมก็เอ่ยคาดเดา


“อืม เป็นไปได้จริงๆ” หลิ่วหมิงมองไม่เห็นสิ่งแปลกประหลาดอันใด เพียงสัมผัสได้ถึงพลังงานแข็งแกร่งบางอย่างที่บรรจุอยู่ด้านในเท่านั้น จึงพยักหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่


เผ่าหนอนผีเสื้อหน้าตาเหมือนเผ่าปีศาจ พลังของร่างแยกร่างนี้ก็บรรลุถึงระดับแก่นแท้ สิ่งที่ก่อกำเนิดขึ้นในร่างก็น่าจะคล้ายกับแก่นแท้กระมัง


มือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงพลิกหมุนเก็บของในมือไปอย่างไม่เกรงใจสักนิด


ชายหนุ่มรถเงินยิ้มเล็กน้อย เห็นชัดว่าไม่ใส่ใจเรื่องนี้แต่อย่างใด


ในเวลาเดียวกันเงาโคสีน้ำเงินยักษ์ก็กะพริบวูบหนึ่งแล้วสลายไป หัวบินกับเซียเอ๋อร์ก็บินมาถึงตรงหน้าคำนับหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อมอีกหน


“ครั้งนี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้าให้เด็กน้อยกับสตรีสาว เขาใช้เคล็ดวิชาด้วยมือเดียว ทั้งสองตัวก็กลายเป็นหมอกสีดำสองสายมุดเข้าไปในถุงหนังข้างเอว


ร่างแปลงอาภรณ์ทองด้านข้างกะพริบวูบหนึ่งก็จมเขาไปในร่างของหลิ่วหมิงหายไปไม่เห็นร่องรอย


ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้ ในดวงตาก็ฉายประกายประหลาด จากนั้นจึงหันไปมองภาพเละเทะรอบด้านอีกหนแล้วอดไม่ได้ถอนหายใจเอ่ยขึ้นว่า


“ครั้งนี้พวกเราสังหารสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้ง่ายดายเช่นนี้ต้องขอบคุณวิชาลับของสหายหลิ่วจริงๆ ที่พอดีข่มพลังของมันได้ มิเช่นนั้นครั้งนี้คงโชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้วจริงๆ น่าเสียดายก็แต่กระบี่บินจักรกลสองชุดนั้นกับรถเลี่ยหยางของข้า”


“ผู้แซ่หลิ่วก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าวิชาลับนอกรีตวิชาหนึ่งที่ร่ำเรียนมาอย่างไม่ตั้งใจเมื่อตอนนั้นจะพอดีข่มสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้ มิเช่นนั้นเริ่มแรกก็คงใช้ออกมาแล้ว ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้สหายเคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่าหนอนผีเสื้อที่มันเอ่ยถึงหรือไม่?” หลิ่วหมิงยิ้มเจื่อนก่อนทีหนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามข้อสงสัยออกมา


“ชื่อนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ ในตำรานานาชนิดที่เคยอ่านก่อนหน้านี้ก็ไม่ปรากฏชื่อเผ่าพันธุ์นี้ คิดว่าคงเหมือนเผ่าตรีศูลโลหิต เป็นเผ่าประหลาดอันแข็งแกร่งบางเผ่าจากโลกอื่น” ชายหนุ่มรถเงินครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยเช่นนี้


“อืม ก็คงเป็นเช่นนั้นจึงจะเข้าเค้า แค่ร่างแปลงเล็กๆ เหล่านี้ก็ครอบครองพลังน่าหวาดกลัวเช่นนี้ หากร่างต้นมาเองล่ะก็ ในสายตาพวกมัน พวกเราก็คงจะเป็นตัวตนประหนึ่งมดปลวกจริงๆ” หลิ่วหมิงพยักหน้าเหมือนคิดบางอย่าง


“ข้ากลับประหลาดใจอยู่บ้าง เหตุใดร่างแปลงของสัตว์ประหลาดต่างโลกเหล่านี้จึงปรากฏตัวในแดนลึกลับประตูสวรรค์ได้ ข้างนอกเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรืออย่างไร?” ชายหนุ่มรถเงินกลับเอ่ยอย่างครุ่นคิด


“เกิดเรื่อง? น่าจะไม่ใช่หรอก ด้านนอกวังสวรรค์ไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสมากมายของท่านและข้าล้วนอยู่กันพร้อมหน้า ตัววังสวรรค์เองก็มีผู้ที่พลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ดูแลอยู่ ไหนเลยจะเกิดเรื่องอันใดได้” หลิ่วหมิงส่ายศีรษะช้าๆ


“สหายหลิ่วพูดถูกต้อง เรื่องจริงที่แท้เป็นอย่างไร รอพวกเราไปจากสถานที่บัดซบนี่ได้ก็คงรู้ แต่พูดถึงออกไป พวกเราสังหารคู่ต่อสู้ได้แล้วกลับยังไม่อาจออกไปจากที่แห่งนี้ได้ เกรงว่าเรื่องนี้คงมีเบื้องหลังอันใดบางอย่างอยู่กระมัง” หลังชายหนุ่มรถเงินพยักหน้าก็ถอนหายใจยาวเอ่ยออกมา


“ก่อนหน้านี้ เจ้าตรีศูลโลหิตตัวนั้นด้านนอกเคยบอกว่าที่แห่งนี้คือในร่างกายของมัน มันคล้ายอยากแยกพวกเราออกแล้วไล่กำจัดทีละคน พวกเราจะรออยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด อย่างไรก็ต้องคิดวิธีออกไปให้เร็วที่สุด ลองโจมตีแบบต่างๆ ดูก่อน ดูสิว่าจะแหวกที่แห่งนี้ออกไปได้หรือไม่” หลิ่วหมิงได้ฟังสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา


“สหายหลิ่วพูดมีเหตุผล พวกเราลงมือกันเลยเถิด” ชายหนุ่มรถเงินได้ยินก็ไม่แย้งอย่างใด


ไม่นานหลังจากนั้น ในมิติแห่งนี้ก็มีเสียง “บึ๊ม” ดังสนั่นลอยออกมาอีกครั้ง


………


นอกแดนลึกลับประตูสวรรค์ นิกายใหญ่ต่างๆ รวมตัวกันอยู่บนยอดเขาหิมะอย่างพร้อมเพรียง


บนป้ายศิลาโชคชะตาชื่อของคนสิบกว่าคนที่ค่อนไปทางหัวแถวเช่น หลิ่วหมิง หลัวเทียนเฉิง เผิงเยวี่ย เป็นต้นหม่นแสงลงพร้อมกันกะทันหัน


แม้นี่ไม่ใช่สีดำที่หมายถึงความตาย แต่พริบตาเดียวหม่นแสงลงมากมายเช่นนี้ นี่ย่อมทำให้คนไม่น้อยตกตะลึงยิ่ง


“เกิดอะไรขึ้น?”


“ชื่อของคนเหล่านี้พริบตาเดียวกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”


“ในแดนลึกลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้นกระมัง?”


บนยอดเขาหิมะกลุ่มคนที่รุมล้อมชมดูอยู่พบความผิดปกตินี้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็ฮือฮาขึ้นมา


แต่ไม่เหมือนกับคนอื่นที่ชมดูเรื่องสนุกอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น คนของสี่ยอดนิกายใหญ่ ตระกูลโอวหยางรวมถึงหุบเขาปีศาจสวรรค์เห็นสิ่งนี้ ใบหน้ากลับย่ำแย่


เพราะชื่อเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์ชั้นยอดในตระกูลและนิกายของพวกเขา


ไม่นานนักลำแสงสายแล้วสายเล่าก็บินเร็วรี่มาทยอยร่อนลงบนยอดเขาหิมะ เห็นชัดว่าเป็นบุคคลระดับหัวหน้าในงานชุมนุมครั้งนี้จากนิกายต่างๆ


เพียงแต่ว่าคนเหล่านี้ล้วนสีหน้าไม่ดีทั้งสิ้น


แม้พวกเขาอยู่ในที่พำนักของแต่ละคน แต่เห็นชัดว่าพวกเขามองเห็นความผิดปกตินี้บนป้ายศิลาโชคชะตาด้วยวิธีต่างๆ นานา


“สหายวังสวรรค์ทั้งสองอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยได้หรือไม่ว่าที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ผู้เฒ่าคิ้วขาวผู้สวมอาภรณ์ไหมงดงามผู้หนึ่งจากตระกูลโอวหยางจ้องป้ายศิลาอย่างไม่ละสายตา สีหน้าถมึงทึงขึ้นทุกที ทันใดนั้นเขาก็หันศีรษะไปมองบุรุษและสตรีชุดทองข้างป้ายศิลาโชคชะตาแล้วตวาดถามอย่างไม่สบอารมณ์


โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวเป็นคนสำคัญอย่างที่สุดในหมู่ลูกหลานรุ่นหลังของตระกูลโอวหยาง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางส่งทั้งสองคนเข้าไปในแดนลึกลับประตูสวรรค์นี่


ทว่าดูจากสถานการณ์ในครั้งก่อนๆ ไม่ควรปรากฏเรื่องไม่คาดฝันอันใดถึงจะถูก วันนี้เกิดสถานการณ์ประหลาดเช่นนี้จะไม่ให้ผู้เฒ่าคิ้วขาวทั้งตกใจทั้งโกรธเกรี้ยวได้อย่างไร


คนอื่นรวมถึงเทียนเกอเจินเหริน แต่ละคนก็ละสายตาจากบนป้ายศิลามาบนร่างของทูตแห่งวังสวรรค์ทั้งสองคนด้วย บางคนจับจ้องด้วยดวงตาโกรธเกรี้ยว บางคนใบหน้าไร้อารมณ์ บางคนในดวงตาเปล่งประกายแสงเจิดจ้าคล้ายกำลังรอคอยคำอธิบายของทั้งสองคนอยู่


แต่ละคนที่ชื่อหม่นแสงไป ไม่ต้องพูดเลยว่าล้วนเป็นศิษย์หัวกะทิในแต่ละนิกาย คนใดคนหนึ่งเกิดเรื่องล้วนเป็นความเสียหายใหญ่หลวงอย่างที่สุดต่อนิกายทั้งสิ้น


ทูตวังสวรรค์ทั้งสองก็สีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติเช่นกัน งานประตูสวรรค์ที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน


“สหายทุกท่านไม่ต้องตระหนก ป้ายศิลาโชคชะตานี่เป็นสมบัติสื่อจิตวิญญาณในวังสวรรค์ของเรา ในเมื่อชื่อศิษย์รุ่นหลังของทุกท่านยังไม่กลายเป็นสีเทาก็บ่งบอกว่ายามนี้พวกเขายังมีชีวิตอยู่” บุรุษหน้ากากทองแดงรีบร้อนเอ่ยปากอธิบาย


ได้ยินคำนี้ พวกเทียนเกอเจนเหรินถึงสีหน้าผ่อนคลายลงบางส่วน


“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงมีแต่ศิษย์รายชื่อค่อนไปหัวแถวเหล่านี้ที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น?” ผู้เฒ่าคิ้วขาวคล้ายไม่พอใจคำอธิบายนี้ เอ่ยถามต่อด้วยเสียงเย็นชา


“สหายโอวหยางพูดถูกต้องอย่างที่สุด เรื่องนี้ขอเชิญทั้งสองท่านมอบคำอธิบายที่สมเหตุสมผลสักข้อ!” ชายวัยกลางคนสุภาพผู้สวมชุดบัณฑิตสีขาวผู้หนึ่งอีกด้านเอ่ยปากขึ้นช้าๆ


“หากศิษย์ของนิกายเราฝีมือสู้ผู้อื่นไม่ได้จนล้มตายอยู่ด้านใน พวกเราก็ไม่มีคำใดจะพูด แต่ในเมื่อคนมากมายเช่นนั้นเกิดเรื่องไม่คาดฝันพร้อมกัน เห็นชัดว่าต้องมีสาเหตุ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเช่นนั้น” เทียนเกอเจินเหรินที่เดิมเงียบงันไม่พูดจาก็ค่อยๆ เอ่ยวาจาเช่นกัน


“ทุกท่าน ข้ารับประกันได้ว่า ศิษย์ในนิกายของทุกท่านจะไม่เกิดเรื่องแน่นอน วังสวรรค์ของเราจัดงานประตูสวรรค์ขึ้นมาหลายครั้งนัก ตลอดมาเปิดเผยโจ่งแจ้ง ไม่เคยเกิดเรื่องไม่คาดฝัน” บุรุษหน้ากากทองแดงรีบเอ่ยรับประกัน


“ส่วนเรื่องประหลาดบนป้ายศิลาโชคชะตานี้ พวกเราจะต้องตรวจสอบสักหน่อย” สตรีชุดทองด้านข้างเอ่ยอย่างจริงจังเช่นกัน


ในเวลาเดียวกัน บุรุษหน้ากากทองแดงก็หมุนตัวไปประจันหน้ากับป้ายศิลา ดวงตากลายเป็นจริงจัง สองมือทำท่ามือซับซ้อนอย่างที่สุดนานาชนิดต่อเนื่องกัน ปากก็เอ่ยท่องมนตร์เสียงต่ำออกมา


คนอื่นๆ สบตากันแล้วกดความกังวลในใจลงไปชั่วคราว พวกเขาจ้องทุกการกระทำของบุรุษหน้ากากทองแดงอย่างไม่ละสายตา


ทว่าทันใดนั้นบุรุษหน้ากากทองแดงก็หยุดท่องมนตร์กะทันหัน เขาอ้าปากพ่นพลังหลายก้อนออกมา พร้อมกับที่เคล็ดวิชาในมือชี้นำ พลังก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินก้อนหนึ่งซึมลงไปในป้ายศิลาโชคชะตาทันที


บนป้ายศิลาโชคชะตาค่อยๆ เปล่งแสงสว่างสีขาว ทว่าชื่อของพวกหลิ่วหมิงก็ยังคงหม่นแสงอยู่ทั้งแถบคล้ายไม่มีสีสันขึ้นมาแต่อย่างใด


บุรุษหน้ากากทองแดงขมวดคิ้วพลางท่องมนตร์แผ่วเบาแล้วล้วงลูกแก้วกลมประหลาดครึ่งดำครึ่งขาวลูกหนึ่งออกมา ขณะที่ปากเอ่ยท่องมนตร์พักหนึ่ง สีดำขาวในลูกแก้วก็เคลื่อนวนผสมกัน


เมื่อเขาเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดพร่ำยกมือขึ้น จิ้มบนอากาศไปทางชื่อของพวกหลิ่วหมิงบนป้ายศิลา


บนชื่อของพวกหลิ่วหมิงฉับพลันมีปราณสีเทาเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่สายแล้วสายเล่ากระจายออกมา จากนั้นทยอยแล่นมาจมเข้าไปในลูกแก้วกลมในมือเขา


ผลปรากฏว่าครู่ต่อมาในลูกแก้วกลมฉับพลันฉายแสงสีเลือดออกมาแถบหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียง ดัง “ปัง” ระเบิดออกมาในทันใด


บุรุษหน้ากากทองแดงตกตะลึง ท้ายที่สุดสีหน้าก็เคร่งเครียด


ผู้คนที่ล้อมดูอยู่ตรงหน้าเห็นเช่นนี้ก็กระซิบกระซาบกันในทันที


ตอนที่ 813 ศึกกับชวีเหยา (ต้น)

สีหน้าของพวกเทียนเกอเจินเหรินยิ่งย่ำแย่ลงอีก เพียงแต่ติดที่ฐานะจึงไม่สะดวกแสดงออกเท่านั้น


“ศิษย์พี่ เกิดสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร?” สตรีจากวังสวรรค์เห็นเช่นนี้คิ้วดำก็ขมวด ลอบส่งกระแสจิตถามพรรคพวก


“ไม่รู้ เรื่องนี้ประหลาดนัก งานชุมนุมครั้งก่อนๆ ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเลย”


สีหน้าของบุรุษหน้ากากทองแดงก็ย่ำแย่อยู่บ้างเช่นกัน หลังนิ่งไปครู่หนึ่งจึงส่งกระแสจิตอบต่อ


“ตอนนี้เกิดสถาการณ์เช่นนี้เหมือนป้ายศิลาโชคชะตาสัมผัสสถานการณ์ของศิษย์เหล่านี้ไม่ได้กะทันหัน ป้ายศิลาโชคชะตากับแดนลึกลับประตูสวรรค์เกี่ยวข้องกันแนบแน่น ตามหลักแล้วขอเพียงคนเหล่านี้ยังอยู่ในมิติของแดนลึกลับ ป้ายศิลาโชคชะตาล้วนจะสัมผัสได้ นอกเสียจากคนเหล่านี้ไม่อยู่ในแดนลึกลับอีกต่อไปแล้ว”


“นี่เป็นไปไม่ได้ ทั้งแดนลึกลับประตูสวรรค์วางชั้นจำกัดตัดขาดอาณาเขตไว้แล้ว ตัดขาดกับมิติทั้งหมดในโลกภายนอก ไม่อาจมีผู้ใดเคลื่อนย้ายออกมาตามใจได้เด็ดขาด” นางเอ่ยอย่างมั่นใจ


บุรุษหน้ากากทองแดงเงียบงันไม่พูด นี่ก็เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ออกมาตลอดเช่นกัน


“ทั้งสองท่าน ได้ผลแล้วหรือไม่”


เวลานี้เองชายวัยกลางคนสุภาพชุดบัณฑิตสีขาวก็เอ่ยถามออกมาช้าๆ


ทูตวังสวรรค์ทั้งสองสบตากันทีหนึ่งแล้วได้แต่บอกความจริงแก่ทุกคน


“ตอนนี้กระทั่งพวกท่านวังสวรรคืก็ไม่อาจยืนยันสถานการณ์ปัจจุบันของศิษย์เหล่านี้ได้หรือ” ผู้เฒ่าคิ้วขาวจากตระกูลโหวหยางได้ยิน บนหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ


คนอื่นก็โกลาหลพักหนึ่งเช่นกัน


“ทุกท่านโปรดอย่างเพิ่งร้อนใจ ข้าจะแจ้งผู้อาวุโสเทียนเหอเดี๋ยวนี้ ท่านผู้เฒ่าพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์น่าจะมีหนทางจัดการได้” บุรุษหน้ากากทองแดงฉับพลันถอนหายใจแผ่วเบาเอ่ยปากบอก


ครั้งนี้เขาเป็นผู้ดำเนินงานประตูสวรรค์ ตั้งแต่หอเป๋ยโต่วตอนเริ่มต้นจนถึงตอนนี้มีเรื่องไม่หยุดไม่หย่อน แม้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขา ทว่าเมื่องานครั้งนี้สิ้นสุดลงคิดว่าเบื้องบนคงประเมินค่าตนต่ำลงแล้ว


พูดไปบุรุษหน้ากากก็เอาแผ่นค่ายกลสีขาวแผ่นหนึ่งออกมา หลังเอ่ยแผ่วเบาสองสามประโยค แสงสีขาวบนแผ่นค่ายกลก็สว่างขึ้นแล้วเงียบงันลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว


………


ในมิติมืดสนิทแห่งหนึ่ง


สัตว์ประหลาดที่ทั้งร่างส่องแสงสีเลือดขมุกขมัวสูงถึงหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่งกำลังหลับตาทั้งสองข้างแน่นนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ปีกสองข้างบนแผ่นหลังของมันหุบอยู่สองข้างของลำตัว หางกระดูกขดอยู่ด้านข้างตามสบาย มือข้างหนึ่งกำตรีศูลที่ส่องแสงสีดำสนิทเล่มหนึ่งไว้ อีกมือหนึ่งเปลี่ยนเคล็ดวิชาไม่หยุด


คนผู้นี้เห็นชัดว่าคือตรีศูลโลหิตที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่นั่นเอง


ด้านบนตรีศูลมีลูกบอลเนื้อสีเลือดขนาดสองสามชุ่นที่เหมือนกันทุกประการสองก้อน บนผิวของพวกมันมีอักขระประหลาดจางๆ กะพริบไม่หยุดท่ามกลางปราณสีดำที่วนเวียนอยู่รอบ พร้อมกับที่ปากของตรีศูลโลหิตท่องมนตร์ พวกมันก็บินวนรอบปลายตรีศูลช้าๆ ไม่หยุด


แต่ละรอบที่วน อักขระด้านในก็สว่างขึ้นอยู่เลือนราง


เสียง “ฟู่” ดังขึ้นเบาๆ!


ลูกบอลเนื้อสีเลือดลูกหนึ่งในนั้นฉายแสงสีแดงแล้วระเบิดออกอย่างกะทันหัน


ใบหน้าของตรีศูลโลหิตที่เดิมทีส่องแสงสีแดงอ่อนฉับพลันบิดเบี้ยววูบหนึ่ง จากนั้นอ้าปากพ่นเลือดคำหนึ่งออกมา ปราณบนร่างห่อเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว


“คุกโลหิตถูกทำลายไปอันหนึ่ง หรือเจ้าเผ่าหนอนผีเสื้อตัวนั้นจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้น? พึ่งไม่ได้จริงๆ น่าชัง แรงสะท้อนของพลังมิติร้ายกาจปานนี้เชียว” ตรีศูลโลหิตสีหน้าจากแดงเปลี่ยนเป็นขาว เพลิงปราณสีเลือดบนร่างก็หม่นแสงลงเช่นกัน


เนื่องจากแรงสะท้อนที่ตรีศูลโลหิตได้รับ ลูกบอลเนื้อสีเลือดอีกลูกหนึ่งบนผิวหน้าเดี๋ยวก็สว่างเดี๋ยวมืด เผยร่องรอยไม่มั่นคงออกมาเลือนราง


………


ในมิติสีเลือดย่อส่วน หลิ่วหมิงกำลังกระตุ้นปราณดำพลุ่งพล่านแปลงเป็นมังกรหมอกและพยัคฆ์หมอกหลายตัวพุ่งโจมตีกำแพงเนื้อจุดหนึ่งอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด


ในเวลาเดียวกันชายหนุ่มรถเงินด้านข้างก็กระตุ้นกระบี่บินจักรกลร้อยกว่าเล่ม พร้อมกับที่หุ่นหมาป่าเทายักษ์สิบกว่าตัวอ้าปากพ่นลำแสงสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าเสริมการโจมตี


ผิวหน้าของกำแพงเนื้อด้านนั้นสั่นไหวไม่หยุด มิติย่อส่วนทั้งหมดส่งเสียงดังอื้ออึง


ทันใดนั้นเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น กำแพงเนื้อทั้งแถบฉับพลันระเบิดแหวกออก แสงสีเลือดแถบใหญ่สาดออกมาจากด้านใน


พวกหลิ่วหมิงรับรู้เพียงแสงสีเลือดสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้า จากนั้นภาพรอบด้านก็พร่าเลือนไปชั่ววูบ แล้วพวกเขาก็กลับมาอยู่ในมิติยักษ์ที่หายไปก่อนหน้านี้ใหม่อีกครั้ง


สายตาของหลิ่วหมิงกวาดรอบด้าน มองเห็นรังไหมสีเลือดยักษ์เส้นผ่านศูนย์กลางหลายร้อยจั้งสองรังโดดเด่นอยู่กลางท้องฟ้าสูง อันหนึ่งในนั้นขาดแล้วและกำลังเหี่ยวลงอย่างรวดเร็วประหนึ่งลูกโป่งลมรั่ว


ในรังไหมยักษ์อีกรังหนึ่งเสียงบึ๊มดังขึ้นไม่ขาด ผิวหน้ายุบพองอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด


หลิ่วหมิงหรี่สองตาลง ยังไม่ทันคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นสูงขึ้นไปบนฟ้า


จุดหนึ่งของรังไหมสีเลือดที่กำลังขยับยุกยิกอยู่ฉับพลันระเบิดออก


เสียงพลังเวทรุนแรงระลอกหนึ่งปะทะกันดังกึกก้อง เงาร่างสีเงินร่างหนึ่งกับเงาร่างสีม่วงดำร่างหนึ่งกับสัตว์ประหลาดรูปหนอนไหมยักษ์ตัวหนึ่งฉับพลันพุ่งออกมาท่ามกลางเลือดเนื้อที่ปลิวว่อนไปรอบด้าน


หลิ่วหมิงเพ่งสายตา


สามคนนี้ไม่ใช่คนอื่น พวกเขาคือหลัวเทียนเฉิง บุรุษผมม่วงแล้วก็สัตว์ประหลาดที่ชื่อชวีเหยาตัวนั้น!


แต่สภาพของทั้งสามไม่ค่อยดีนัก


เส้นผมบนศีรษะหลัวเทียนเฉิงยุ่งเหยิง สภาพผมกระเซิง ชุดสีน้ำเงินขาดวิ่นติดอยู่บนร่าง ครึ่งค่อนร่างปรากฏรอยแผลสีเทาดำไม่น้อย ขณะที่แสงสีเงินไหลเคลื่อนฟื้นฟูช้าๆ มุมปากมีเลือดสายหนึ่งติดอยู่


บุรุษผมม่วงครึ่งร่างอาบเลือด บนแขนกับขาขวายังมีของประหลาดสภาพเหมือนเส้นไหมสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าพันอยู่ เส้นไหมเหล่านั้นรัดแน่นลึกเข้าไปในเนื้อ ด้วยพลังมหาศาลของบุรุษผมม่วงถึงกับไม่อาจกระชากมันขาดได้ทันที เห็นได้ถึงระดับความทนทานของเส้นไหมเหล่านี้


ส่วนชวีเหยาตัวนั้นที่เดิมครึ่งท่อนบนเป็นสตรีสวมอาภรณ์สีเหลือง เวลานี้ก็กลายสภาพเป็นหนอนไหมยักษ์ดุร้ายทั้งร่างสีน้ำเงินอ่อนยาวสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งอย่างสมบูรณ์ บนแผ่นหลังมีหนามแหลมคมประหนึ่งกระบี่คมแถวแล้วแถวเล่างอกออกมา ครึ่งท่อนบนก็กลายสภาพเป็นหนอนไหมยักษ์ด้วย ตาแมลงคู่หนึ่งส่องแสงสีแดง สองข้างของหัวอ้วนๆ มีรูอากาศอยู่สองแถบ พ่นลมร้อนเหม็นคาวสายแล้วสายเล่าออกมาเป็นระยะ


สัตว์ประหลาดตัวนี้ก็สภาพค่อนข้างอนาถเช่นกัน บนร่างกายที่เหมือนรังไหมน้ำแข็ง บาดแผลลากตั้งพาดขวางเส้นแล้วเส้นเล่าพาดสลับตัดกัน บาดแผลไม่ลึกแต่ก็ยังมีเลือดสีเขียวไม่น้อยไหลออกมาไม่ขาด


ทั้งสามคนสภาพเหมือนสองฝ่ายพ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งคู่ เพียงแต่บาดแผลที่ชวีเหยาได้ไปนี้เบากว่าพวกหลัวเทียนเฉิงสองคนอยู่บ้าง


หลัวเทียนเฉิงดิ้นรนลุกขึ้นยืน เขามองรอบด้านรอบหนึ่ง หลังเห็นรังไหมโลหิตขาดหลังร่างพวกหลิ่วหมิงก็ตะลึงเล็กน้อย ท้ายที่สุดสายตาจับอยู่บนร่างหลิ่วหมิงรวมถึงชายหนุ่มรถเงิน


“พวกเจ้าสองคนทำลายมิติกักขังนั่นแล้วหรือ?” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามอย่างอ่อนแรงอยู่บ้าง แม้เขาครอบครองร่างจิตวิญญาณตูเทียน ได้ฉายาว่าอมตะคงกระพัน ทว่าวันนี้ไม่ว่าพลังกายหรือพลังเวทล้วนเสียไปค่อนข้างมหาศาล ดังนั้นความเร็วที่ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจึงเชื่องช้าลงไม่น้อย


“มิติที่ขังพวกเราสองคนเมื่อครู่ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงสั่นไหวขึ้นมากะทันหัน ไม่ทราบว่าระเบิดแตกออกกะทันหันได้อย่างไร” หลิ่วหมิงตอบกลับประโยคหนึ่งเรียบๆ


ชายหนุ่มรถเงินด้านหลังร่างเขาได้ยินก็ไม่พูดอะไรแต่เคลื่อนสายตาไปยังสัตว์ประหลาดหนอนไหมสีน้ำเงินตรงหน้า


บุรุษผมม่วงลุกขึ้นยืนช้าๆ เช่นกัน แผ่นหลังของเขาส่องแสงสีดำ ผีที่มีสีดำสลับเหลืองตัวหนึ่งลอยออกมา กรงเล็บผีสองข้างโฉบวูบเดียวก็กระชากใยเรียวเล็กสีขาวที่รัดตรงแขนขาออก


หลังเขาเก็บผีกลับไปบนแผ่นหลัง เขาก็เงยหน้ามองชวีเหยาตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ปลายหางตากวาดผ่านพวกหลิ่วหมิง


ชวีเหยาเงยศีรษะใหญ่โตขึ้นชะเง้อมองรอบด้าน เมื่อเห็นพวกหลิ่วหมิงยืนอยู่ที่นั่นอย่างสบายดี แต่กลับไม่เห็นเงาของสัตว์ประหลาดเผ่าหนอนผีเสื้อ ในสายตาก็ฉายแววตาประหลาดใจจางๆ ในใจลอบเอ่ยด่า


“เจ้านั่นเป็นตัวไร้ประโยชน์จริงๆ ดันถูกเด็กรุ่นหลังระดับผลึกสองคนสังหารเสียได้”


แววตาประหลาดใจในดวงตาชวีเหยาผ่านมาแวบเดียวก็หายไป แต่บุรุษผมม่วงรวมถึงหลัวเทียนเฉิงพลังสายตาระดับใด พวกเขาย่อมค้นพบเรื่องนี้


ชายหนุ่มรถเงินมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง มุมปากกระตุกเล็กน้อยแต่ไม่ได้เอ่ยวาจา ในใจกลับมีความคิดต่างๆ นานาแล่นผ่าน


หนึ่งต่อสองเช่นเดียวกัน พลังของทั้งสองฝ่ายที่จริงก็ต่างกันไม่มาก พลังของบุรุษผมม่วงถึงขั้นเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในทั้งสี่คนด้วยซ้ำ ส่วนสัตว์ประหลาดเผ่าหนอนผีเสื้อตัวนั้นกับชวีเหยาก็เห็นชัดว่าพลังทัดเทียมกัน


ทว่าผลสุดท้ายปรากฏว่าตอนนี้หลิ่วหมิงกับเขาสังหารคู่ต่อสู้ได้ ส่วนหลัวเทียนเฉิงกับบุรุษผมม่วงกับศัตรูกลับพ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งคู่ ผลลัพธ์เช่นนี้เกรงว่าคงทำให้บนหน้าสองคนนี้ย่ำแย่อย่างยิ่ง


แต่ยามนี้เผชิญหน้าศัตรูตัวฉกาจอยู่ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย อย่างไรก็ควรร่วมมือกันจัดการร่างแปลงชวีเหยาตัวนี้ก่อนค่อยว่ากัน


ชายหนุ่มรถเงินคิดถึงตรงนี้ก็กระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ขณะที่กำลังคิดจะพูดอะไร ทันใดนั้นร่างกายอวบอ้วนของชวีเหยาฝั่งตรงข้ามก็บิดทีหนึ่งแล้วโถมเข้ามาตรงที่ทั้งสี่คนอยู่ พร้อมกันนั้นมันก็อ้าปากกว้างพ่นสิ่งที่เหมือนใยฝ้ายสีขาวโพลนสายหนึ่งออกมาในทันใด มันโต้ลมขยายออกกลายเป็นใยไหมสีขาวแถบใหญ่ ครอบทับมืดฟ้ามัวดินมาหาพวกหลิ่วหมิง


“ระวัง ใยไหมเหล่านี้ทนทานยิ่งนัก ไม่อาจสะบั้นได้ง่ายๆ ถูกมันรัดเข้ายากยิ่งจะดิ้นหลุด มีเพียงเพลิงจิตวิญญาณถึงเผามันขาดได้”


หลัวเทียนเฉิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด เขาเอ่ยเตือนหนึ่งประโยคอย่างเร็วไวขณะที่ร่างกายขยับพุ่งถอยออกไปด้านหลัง


หลิ่วหมิงได้ฟังก็ไม่มีเวลาให้ครุ่นคิด เท้าสะกิดพื้นปุบ คนก็บินออกไปไกล หนีออกจากขอบเขตที่ใยไหมครอบทับลงมา พร้อมกันนั้นมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นกลางอากาศ งอนิ้วดีดทีหนึ่ง ปราณกระบี่สีทองเจ็ดแปดสายพลันพุ่งเร็วรี่ออกมา โจมตีลงบนใยไหมแถบหนึ่งในนั้น


แม้หลัวเทียนเฉิงจะว่าอย่างนั้น เขาก็ยังต้องหยั่งเชิงระดับความทนทานของมันกับมือตนสักหน่อย


เสียง “ปังๆ” ดังขึ้นหลายหน ใยไหมเหล่านี้ถูกปราณกระบี่สีทองเจ็ดแปดสายโจมตีดังลั่นกลับสั่นไหวเพียงเล็กน้อยแล้วร่วงลงมาต่อ สภาพไม่เสียหายสักนิด


หลิ่วหมิงเห็นสภาพเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย


ในเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มรถเงินบินถอยหลังออกไป ชุดเกราะจักรกลรอบด้านก็ส่องแสงรัศมีสีทอง ปีกจักรกลสีทองสามคู่กางออกมาอีกหนแล้วกระพือขึ้นลงดังพรึ่บพรั่บไม่หยุดจนความเร็วเพิ่มขึ้น เงาร่างขยับวูบเดียวก็ออกห่างไปหลายสิบจั้งแล้ว


บุรุษผมม่วงเหล่มองพวกหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วหัวเราะหยันแต่ไม่ได้ถอยหลัง เมื่อครู่เขาประมือกับชวีเหยามาก่อนจึงมีแผนจัดการใยไหมนี่แล้ว


ลวดลายจิตวิญญาณสีดำเหลืองบนหน้าเขากะพริบวูบหนึ่ง เงาผีร้ายก็กรีดร้องโหยหวนลอยออกมาขวางอยู่เบื้องหน้าร่าง มันอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีเขียวเข้มสายแล้วสายเล่าออกมา ชั่วพริบตากลายเป็นเสาอัคคีสีเขียวแถบหนึ่งพุ่งไปยังใยไหมสีขาวที่ประจันหน้าเข้ามาหา


เสียง “ชี่ๆ” ดังขึ้นพักหนึ่ง ใยไหมทนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเขียวได้เพียงชั่วครู่ก็กลายเป็นเถ้าธุลี


เห็นภาพนี้สายตาของหลิ่วหมิงกับชายหนุ่มรถเงินก็เปล่งประกาย ดูท่าหลัวเทียนเฉิงจะไม่ได้เอ่ยลวง ใยไหมสีขาวนี่กลัวไฟจริงๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)