อยากกินไหมล่ะ 810-811
บทที่ 810 ความเห็นแก่ตัวของหยวนโจว
“นี่คือภาพเขียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ฉันสามารถทำได้ตอนนี้เลยล่ะ” อู๋ไพยักหน้า
“ใช่ สำหรับตอนนี้แหละนะ แต่ในอนาคตนายย่อมต้องทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆแน่” เจิ้งเจียเว่ยกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“จึ๊ นายพูดอย่างกับว่าฉันเป็นลูกชายนายงั้นแหละ” อู๋ไห่เหลือบมองเจิ้งเจียเว่ยแล้วบ่น
“ย่อมไม่ใช่แบบนั้นอย่างแน่นอน นายเป็นพี่ชายของหลินหลินเชียวนะ” เจิ้งเจียเว่ยเริ่มเขินทันทีที่เอ่ยถึงอู๋หลินขึ้นมา
“นั่นมันนางมารร้ายชัดๆ” อู๋ไห่รู้สึกว้าวุ่นใจและหวาดกลัวทันทีที่เอ่ยถึงอู๋หลินขึ้นมา
“เอาล่ะ เลิกพูดถึงเรื่องนั้นสักทีเถอะน่า นายคิดจะกลับเมื่อไหร่กัน? ดูสิตอนนี้นายผอมลงไปตั้งขนาดไหนแล้ว” เจิ้งเจียเว่ยจิ้มแก้มตอบๆของอู๋ไห่ด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“อีกไม่นานหรอก” อู๋ไห่ปัดมือของเจิ้งเจียเว่ยออกไปแล้วตอบหน้าตาเฉย
“ฉันได้ยินมาว่าอีกไม่นานเถ้าแก่หยวนกำลังจะวางจำหน่ายอาหารจานใหม่ด้วยล่ะ” เจิ้งเจียเว่ยไม่สนใจที่โดนปัดมือออกแล้วกล่าวขึ้นมา
“อย่าเอ่ยถึงเจ้าเข็มทิศสิ นั่นจะทำให้ฉันหิวได้นะ” อู๋ไห่ลูบท้องแล้วขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“อืม แล้วนายก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย กินเจ้านี่ก่อนสิ ยังร้อนๆอยู่เลย” เจิ้งเจียเว่ยยื่นขนมแป้งทอดกับน้ำอุ่นเหยือกหนึ่งให้
“ขุนเขาเขียวขจีและน้ำใสแจ๋วยังไงก็สู้อาหารไม่ได้จริงๆ” อู๋ไห่ครุ่นคิดก่อนที่จะเริ่มกิน
ในขณะเดียวกัน เวลาอาหารค่ำที่ร้านหยวนโจวได้สิ้นสุดลงแล้ว
ภายในร้าน โจวเจียกำลังเปลี่ยนกะกับเซินหมินที่เพิ่งจะมาถึง
“ฉันสะสางทุกอย่างให้แล้วนะคะ เจอกันใหม่พรุ่งนี้ค่ะ เจอกันใหม่พรุ่งนี้นะหมินหมิน” โจวเจียถาม
“อืม โอเค ฉันจะขึ้นไปทำความสะอาดล่ะ” เซินหมินพยักหน้า
“ลาก่อนค่ะเถ้าแก่” โจวเจียบอกหยวนโจว
“กลับบ้านดีๆล่ะ” หยวนโจวพยักหน้า
“ลาก่อนค่ะ” โจวเจียโบกมือแล้วเดินผ่านประตูไป
ทันทีที่โจวเจียออกไป เซินหมินก็เปิดประตูบันไดที่เตรียมเอาไว้ขึ้นไปทำความสะอาดผับ แต่เธอกลับถูกหยวนโจวยับยั้งเอาไว้เสียก่อน
“ช้าก่อนนะ” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา
“คะ เถ้าแก่หยวน?” เซินหมินชะงักไปแล้วถามขึ้นมาทันทีที่หันหลังกลับมา
หยวนโจวสัมผัสได้ว่าเซินหมินรู้สึกกระวนกระวาย เขาไม่ได้ชี้บอกด้วยน้ำเสียงทื่อๆว่า “วันนี้พวกเรามีเหล้าชนิดใหม่ด้วยนะ”
“ฮะ?” เซินหมินรู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
ความประหลาดใจของเธอพอเป็นที่เข้าใจได้ เธอทำงานที่นี่มาได้เกือบปีแล้วแต่มีเหล้าเสิร์ฟเพียงแค่ชนิดเดียวเท่านั้นเอง
“อืม เป็นเบียร์น่ะ” หยวนโจวแนะนำอย่างง่ายๆ
“เอาล่ะ ฉันต้องทำอะไรบ้างคะเถ้าแก่หยวน?” เซินหมินถาม
“ขายเป็นแก้วและแต่ละคนสามารถซื้อได้มากที่สุดแค่ห้าแก้วเท่านั้น เธอต้องรับผิดชอบในการเติมใส่แก้วด้วยนะ” หยวนโจวกล่าว
“ค่ะ ใช่ราคาแก้วละ 302 หยวนหรือเปล่าคะ?” เซินหมินหันกลับไปมองเมนูทันทีแล้วพบว่าราคาเบียร์ได้ระบุเอาไว้ตรงนั้นแล้ว
“อืม” หยวนโจวพยักหน้า
“โอเคค่ะ” เซินหมินพยักหน้าแล้วเตรียมที่จะขึ้นไปดูเหล้าชนิดใหม่
“มันเป็นเบียร์สดจึงนำออกมาได้เฉพาะตอนที่มีคนมาซื้อเท่านั้นนะ” หยวนโจวเตือนหลังจากใคร่ครวญดูแล้ว
“โอเคค่ะ” เซินหมินตอบอย่างจริงจัง
“ไปได้แล้วล่ะ ถังเบียร์อยู่บนเคาน์เตอร์ของผับชั้นบนแล้ว” หยวนโจวกล่าวขึ้นมา
“อืม” เซินหมินพยักหน้าแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นสอง
เมื่อเซินหมินลับสายตาไปแล้ว หยวนโจวก็บ่นพึมพำขึ้นมาว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าระบบจะไม่ได้จำกัดจำนวนที่ขายเอาไว้ แต่ให้ฉันได้จำกัดจำนวนเองก็ยอมดีกว่า”
ใช่แล้วล่ะ นี่ก็คือจำนวนที่หยวนโจวเป็นคนจำกัดขึ้นมาเอง จริงๆแล้วนั่นเป็นหลักการของเขาเองแหละ
แก้วที่เจ้าระบบเตรียมเอาไว้สำหรับเบียร์พวกนี้คือแก้วเบียร์นั่นเอง โดยแต่ละแก้วจะมีความจุ 600 มิลลิลิตรและห้าแก้วก็จะเทียบเท่าได้กับเบียร์หกขวดใหญ่เลยเชียวล่ะ
สิ่งนี้เป็นปริมาณของเบียร์ที่เพียงพอให้คนที่สามารถดื่มได้เยอะ ส่วนคนที่ไม่สามารถดื่มได้เยอะสักเท่าไหร่นัก พวกเขาย่อมไม่สั่งมาเยอะอยู่แล้ว แม้แต่คนที่สั่งหลังจากเมาแล้วก็จะไม่เมาเกินขีดจำกัดนี้
ถึงอย่างไรการดื่มเหล้ามากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเลย คุณปู่คนขับรถลากเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งหนึ่งเคยมีผู้ประสบความสำเร็จอยู่คนหนึ่งที่มีครอบครัวอันแสนอบอุ่นอยู่เบื้องหลัง แต่เขากลับเป็นคนขี้เหล้าเมายาและเมื่อขับรถตอนที่เมาอยู่นั้น รถของเขาก็พุ่งเข้าใส่ทางข้ามเป็นผลให้นักศึกษาเสียชีวิตคาที่ส่วนคนผู้นั้นเสียชีวิตภายใต้การรักษาพยาบาลในภายหลังเช่นเดียวกัน
และอย่างที่บอก ก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ทั้งสองครอบครัว
ดังนั้นหยวนโจวจึงคิดว่าการกำหนดจำนวนที่ขายนับเป็นสิ่งที่จำเป็น ก่อนหน้านั้นเขาได้ออกจากร้านไปซื้อแผ่นป้ายมาสองแผ่น เขาจะให้เซินหมินแขวนป้ายทีหลัง
[อย่าขับหลังดื่ม อย่าดื่มตอนขับ]
และแผ่นป้ายที่สองเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของคนขับรถรับจ้างที่เชื่อถือได้จากหลายบริษัทที่มีชื่อเสียง
“โย่ เถ้าแก่หยวน นายกำลังคิดถึงสองสาวงามอย่างฉันกับยายาอยู่เหรอไง?” น้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยและมีชีวิตชีวาดังขึ้น
หยวนโจวหันกลับมา เมื่อเขาเห็นว่าเป็นเจียงฉางซี่ก็ไม่สนใจเธออีก
“ญินยาเธอน่าจะยังพอมีโอกาสอยู่นะ แต่ลืมมันไปเสียเถอะ” ฟางเหิงเย้าแหย่
“ฉันรู้สึกเหมือนเถ้าแก่หยวนแค่กำลังฝันกลางวันอยู่เลยน่ะสิ” ญินยาหน้าแดงก่อนที่เธอจะกล่าวขึ้นมา
“บางทีเขาอาจจะกำลังพินิจพิเคราะห์รสชาติของเหล้าชนิดใหม่อยู่ก็ได้” เฉินเว่ยมาถึงเป็นคนถัดไป ปกติเขามักจะมีเหล้าที่อยากจะดื่มอยู่ในใจอยู่แล้ว
“เจ้าเมล็ดงาฟาง นายอยากโดนตบใช่ไหม? อย่างน้อยก็ระวังพ่อนายออกมาตามหาอีกครั้งไว้ก็แล้วกัน” เจียงฉางซี่ไม่โกรธ แต่เธอกลับฉีกยิ้มกว้างขณะที่ด่าว่าฟางเหิงอยู่ หลังจากเหตุการณ์ที่ฟางเหิงฉกชิงบะหมี่เย็นนึ่งจากเขียงของหยวนโจว เขาก็เลยได้สมญานามใหม่ว่า หัวใจเมล็ดงาซึ่งมีความหมายว่าเขาเป็นคนใจดำนั่นเอง
เจียงฉางซี่พูดต่อไปอีกว่า “ถ้าพ่อนายมาอีกครั้งแล้วล่ะก็คงไม่มีใครช่วยนายได้แล้วล่ะ”
ใช่แล้วล่ะ บิดาของฟางเหิงไม่เห็นด้วยที่ฟางเหิงมาที่ร้านหยวนโจวอยู่ทุกวี่ทุกวัน
ตามความคิดของบิดาเขา ถ้าหากเขามาที่นี่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของฝ่ายตรงข้ามแล้วทำไมเขาถึงมาดื่มอยู่ที่นี่กันได้เล่า? แม้ว่าเขาจะดื่ม แต่ทำไมถึงได้มาอยู่ทุกวี่ทุกวันเสียเล่า? เห็นได้ชัดว่าเขาชอบเหล้าข้างนอกมากกว่าเหล้าของครอบครัวตัวเองเสียอีก
ดังนั้น วันหนึ่งเมื่อบิดาของเขามารออยู่นอกร้านเพื่อลากตัวฟางเหิงกลับไป เจียงฉางซี่พบเห็นเหตุการณ์นี้เข้าและนั่นก็คือสาเหตุที่เธอกล่าวออกมาเช่นนั้นนั่นเอง
เขาเปิดผับเองแท้ๆ แต่บุตรชายของเขากลับเอาแต่แวะเวียนไปที่ผับของคนอื่นอยู่นั่นแหละ บุตรชายของเขามันเป็นบ้าอะไรของมันกันนะ
“ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อฉันกำลังคอยให้ฉันเรียนรู้จากเถ้าแก่หยวนอยู่น่ะ” ฟางเหิงลูบหน้าแล้วพูดออกมาตามตรง
ฟางเหิงไม่รู้สึกหวาดหวั่นกับคำโกหกพกลมเลยสักนิด เขาทำตัวแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเมื่อบิดาลืมวันเกิดของมารดา เขาก็จะส่งเค้กวันเกิดให้เธอแล้วแสร้งทำราวกับว่าเค้กก้อนนั้นมาจากบิดาของเขา
“นายไม่สามารถเรียนรู้มันได้หรอก” หยวนโจวกล่าวขึ้นมาก่อนที่เจียงฉางซี่จะทันได้พูดอะไรออกไปเสียด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรเหล้าของเจ้าระบบก็เป็นสิ่งที่ใช่ว่าจะสามารถเรียนรู้กันได้
“ฮ่าฮ่า แน่นอน” เจียงฉางซี่พยักหน้าซ้ำๆ
“ฉันก็แค่พูดไปงั้นเอง ฉันรู้ตัวอยู่หรอกว่าไม่ได้มีพรสวรรค์ในการต้มเบียร์น่ะ” ฟางเหิงกล่าวด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างกระดากอาย
“เปล่าหรอก ไม่ใช่เรื่องพรสวรรค์หรอก” หยวนโจวส่ายหน้า
“ฮะ? งั้นเรื่องอะไรกันเล่า?” ฟางเหิงถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะพรสวรรค์ในการต้มเบียร์อันยอดเยี่ยมของเขาน่ะ?” ญินยาถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ฉันไม่มีความเห็นในเรื่องนั้น” หยวนโจวส่ายหน้าอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้จะมีบางอย่างที่เจ้าระบบเอ่ยอ้างว่ามีพรสวรรค์อันไร้ขอบเขต ทว่าหยวนโจวก็ย่อมหาได้หวาดเกรงต่อพรสวรรค์ของฟางเหิงแต่อย่างใดไม่
แต่สำหรับญินยาแล้ว หยวนโจวไม่ใช่คนเปิดเผยเลย แต่เขากลับทำให้พวกเขาเกิดความสงสัย เธอย่นจมูกด้วยความขุ่นเคืองเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
“เถ้าแก่หยวน นายบอกว่าวันนี้จะวางจำหน่ายเหล้าชนิดใหม่นี่นา” เฉินเว่ยกล่าวขึ้นมาก่อนที่ญินยาจะทันได้ตั้งคำถามต่อไป
นี่เป็นคำถามที่เฉินเว่ยจะถามทุกครั้งที่มาที่นี่ ถึงแม้ว่าแต่ละครั้งหยวนโจวจะบอกว่าไม่มี แต่เขาก็ยังคงยืนกรานที่จะถามอยู่ทุกวี่ทุกวัน
เฉินเว่ยก็แค่เผชิญกับความผิดหวังอีกครั้งหรือจะพูดให้ถูกก็คือเขารู้สึกหมดหวังไปแล้ว หยวนโจวตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ใช่ จะมีเหล้าชนิดใหม่ออกมา”
“ฉันรู้แล้วล่ะ ไม่ใช่ว่าฉันอยากหาเรื่องจ้องจับผิดหรอกนะ แต่นายมีเหล้าแค่ชนิดเดียวเองเหรอ… ฮะ?” เฉินเว่ยเริ่มบ่นโดยอัตโนมัติก่อนที่จะมีท่าทีตอบสนองเสียอีก คราวนี้หยวนโจวกลับให้คำตอบที่ต่างออกไป
“มีเหล้าชนิดใหม่ มันก็คือเบียร์นั่นแหละ” หยวนโจวเผยให้รู้
“เวรเอ้ย มีเหล้าชนิดใหม่งั้นเหรอ? ฉันอยากเห็นจัง” น้ำเสียงของเฉินเว่ยยังคงดังก้องอยู่ในห้องในขณะที่เขาหายตัวไปแล้ว
“เบียร์งั้นเหรอ? น่าสนใจดีนี่ ไปกันเถอะ” ฟางเหิงไม่สนใจเรื่องพรสวรรค์อีกต่อไปแล้ว เขาติดตามเฉินเว่ยไปหลังจากตะโกนเรียกเจียงฉางซี่กับญินยาแล้ว
ใช่แล้วล่ะ คราวนี้ฟางเหิงมาถึงพร้อมกับเจียงฉางซี่กับญินยา ถึงอย่างไรก็มีเหตุผลที่ฟางเหิงจะมาที่นี่ทุกวัน การมาหาสาวงามก็เป็นข้ออ้างที่พอจะรับได้แหละน่า
“มีเหล้าชนิดใหม่งั้นเหรอ? ยอดเลย” นักเขียนนิยายที่มาถึงเป็นคนล่าสุดกล่าวขึ้นมา
“อืม” หยวนโจวพยักหน้า
นักเขียนนิยายพยักหน้าก่อนที่จะก้าวเข้าไปเช่นกัน
“แน่นอนว่าย่อมเติมเบียร์ได้ไม่จำกัดอยู่แล้ว วันนี้ฉันจะดื่มให้มากที่สุดเท่าที่อยากจะดื่มเชียวล่ะ” เฉินเว่นพึมพำขณะมุ่งหน้าขึ้นบันไดไป
เท่าที่เฉินเว่ยเข้าใจ เบียร์มันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่าหรอก ดังนั้นต้องเติมได้ไม่จำกัดอยู่แล้ว
เขามันช่างไร้เดียงสาเสียจริงๆ
บทที่ 811 สลักชื่อ
ท่ามกลางผู้คนที่กำลังขึ้นไปชั้นสอง เฉินเว่ยวิ่งเร็วที่สุด เขามาถึงชั้นล่างของผับในปราดเดียวก่อนที่จะเริ่มปีนบันไดขึ้นมา ตอนที่ปีนบันไดเขาก็ก้าวข้ามสามขั้นในรวดเดียว
“เจ้าหมอนี่เร็วเกินไปแล้ว เขากระโดดเป็นกระต่ายเลยแฮะ” เมื่อฟางเหิง เจียงฉางซี่และญินยามาถึง พวกเขาก็เห็นแค่แผ่นหลังของเฉินเว่ยที่กำลังพรวดพราดขึ้นบันไดไปแล้ว
ใช่แล้วล่ะ ฟางเหิงเพียงแต่ค่อยๆเดินตามเฉินเว่ยไป แต่เมื่อตอนที่เขามาถึงบันได เฉินเว่ยก็มาถึงชั้นบนแล้ว
สิ่งแรกที่เฉินเว่ยเห็นเมื่อมาถึงก็คือเซินหมินที่กำลังยืนอยู่ข้างบาร์ เครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มของเธอดูเอาจริงเอาจังพร้อมปากที่กำลังพร่ำบ่นอยู่
“สาวน้อย มา มา ขอเบียร์ให้ฉันหน่อยสิ” เฉินเว่ยนั่งลงแล้วกล่าวด้วยความฉุนเฉียว
“สวัสดีค่ะพี่เฉิน แต่ละท่านจำกัดแค่ห้าแก้วแล้วจะสั่งอีกแก้วได้หลังจากดื่มแก้วแรกหมดเท่านั้นนะคะ” เซินหมินกล่าว
“เถ้าแก่บอกว่านี่จะช่วยรักษารสชาติของเบียร์เอาไว้ได้เนื่องจากพวกเรากำลังจำหน่ายเบียร์สดอยู่ค่ะ” เซินหมินอธิบายแล้วชะงักไปเป็นครั้งคราวเนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอต้องให้คำอธิบายเช่นนั้น
“โอ้ ใช่แล้วล่ะ ราคาแก้วละ 302 หยวนนะคะ ชำระเงินตอนที่สั่งได้เลยค่ะ” เซินหมินพูดต่อ
“อะไรนะ? เธอจำกัดจำนวนเบียร์ด้วยงั้นเหรอ?” เฉินเว่ยโอดครวญ นี่เป็นเหตุการณ์ตอนที่ฟางเหิงกับคนอื่นๆเพิ่งจะมาถึงนั่นเอง
“เฉินเว่ย นายลืมไปแล้วเหรอว่านี่คือร้านหยวนโจวน่ะ? ถ้าจะจำกัดจำนวนก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลย” ฟางเหิงกล่าว
“แต่เบียร์มันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่านี่นา บางทีพวกเรายังใช้ดับกระหายได้อีกต่างหาก แล้วจะจำกัดจำนวนไปเพื่ออะไรกันเล่า?” เฉินเว่ยไม่เข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนั้นเอาเสียเลย
“พี่เฉิน นี่เป็นกฎของเรานะคะ” เซินหมินอธิบาย
“แหม ฉันก็นึกว่าจะสามารถดื่มให้เต็มที่เสียอีก” เฉินเว่ยบ่นพึมพำด้วยความเจ็บปวด
“ฮ่าฮ่า จำกัดให้คนละกี่แก้วงั้นหรือ?” ฟางเหิงหัวเราะขึ้นมาก่อนที่จะถามเซินหมิน
“คนละห้าแก้วค่ะ แถมแก้วยังใหญ่มากด้วยล่ะ” เซินหมินรีบโชว์แก้วให้ทุกคนเห็นเนื่องจากเธอเกรงว่าฟางเหิงจะรู้สึกไม่พอใจ
“ไม่เลวเลยนี่นา แก้วขนาดนี้พอๆกับขวดใบใหญ่เลยล่ะ” ญินยากล่าว
“ใช่ค่ะ เถ้าแก่บอกว่าแก้วนึงบรรจุเบียร์ได้มากกว่าขวดใบใหญ่ๆเสียอีกนะคะ” เซินหมินพยักหน้าซ้ำๆ
“แก้วใบนี้เล็กจัง ฉันสูดหายใจเฮือกเดียวก็หมดแล้วล่ะ” เฉินเว่ยก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่พอใจกับขนาดแก้วเอาเสียเลย
ส่วนคนที่สามารถดื่มได้เยอะ เบียร์ก็เหมือนกับของว่างแถมยังไม่ทำให้พวกเขาเมาได้เลย
“นายพูดถูกเผง แก้วขนาดพอๆกับขวดใบใหญ่ๆเลยล่ะ” นักเขียนนิยายกล่าวพลางนั่งลงอย่างใจเย็น เขามาถึงเป็นคนล่าสุด
“เป็นแบบนี้ไม่ดีแน่ ฉันต้องคุยกับเถ้าแก่หยวนสักหน่อยแล้ว” เฉินเว่ยทนนั่งไม่ไหวอีกต่อไปแล้วรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง
เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามที่จะให้หยวนโจวยกเว้นกฎเสียให้ได้
“เธอคิดว่าจะสำเร็จไหม?” ฟางเหิงถามขึ้นมา
“นายคิดว่าไงล่ะ?” เจียงฉางซี่กลอกตา
“โอ้ เป็นไปไม่ได้เสียหรอก” ฟางเหิงรู้ว่าคำถามโง่เง่าขนาดไหนก็ตอนที่ถูกถามกลับนั่นแหละ ถึงอย่างไรทุกคนต่างก็ทราบว่าหยวนโจวเป็นคนแบบไหนกัน
“พวกเรายังไม่มีแก้วเบียร์สักใบเลยนะ” ญินยากล่าวพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“อืม ฉันสงสัยว่าหยวนโจวอาจจะมีแก้วอีกก็ได้นะ” เจียงฉางซี่เตือนให้ระลึกถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
เจียงฉางซี่กับญินยามาพร้อมกับฟางเหิง แถมพวกเขายังไม่กลัวด้วยว่าวันนี้จะมีเบียร์ชนิดใหม่หรือไม่ด้วย แน่นอนว่าพวกเขาย่อมพกมาแค่ถ้วยใบเล็กที่ใช้ดื่มเหล้าไผ่มาเท่านั้น พวกเขาสามารถเติมเหล้าลงถ้วยใบนี้ได้แค่หกกรัมเท่านั้นเอง
ถ้วยพวกนี้ไม่เหมาะกับการดื่มเบียร์อย่างเห็นได้ชัด
“เซินหมิน เธอมีแก้วอีกไหม?” ฟางเหิงถามขึ้นแม้ว่าเขาจะไม่ได้หวังอะไรมากนักก็ตามที
“ขอโทษด้วยนะคะ ไม่มีหรอกค่ะ พวกเรามีแก้วแค่สามใบเท่านั้นเอง” เซินหมินกล่าวด้วยความอึดอัดใจ
“ฉันมีนะ” จู่ๆนักเขียนนิยายก็กล่าวขึ้นมา
“นายพกแก้วเอาไว้ตลอดเวลาเลยหรือไงกัน?” สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่นักเขียนนิยาย
แม้แต่พวกเขาจะไม่รู้ว่าหยวนโจวจะปรากฏตัวพร้อมเบียร์ชนิดใหม่หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องทำอย่างนักเขียนนิยายผู้นี้เช่นกัน แล้วการที่เขามีแก้วอยู่กับตัวอาจจะหมายความว่าเขาพกมันติดตัวเอาไว้อยู่ตลอดเวลาเลยก็เป็นได้ นั่นคงเป็นเรื่องที่ออกจะแปลกไปสักหน่อย
“เธออยากได้ไหมล่ะ?” นักเขียนนิยายตั้งคำถามแทนที่จะตอบคำถาม
“อืม” เจียงฉางซี่ตอบแล้วเริ่มมองไปทางนักเขียนนิยายเพื่อเตรียมที่จะดูว่าเขาจะหยิบแก้วออกมาจากที่ไหน
ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้หญิงที่มีกระเป๋าถือของตัวเอง นักเขียนนิยายมามือเปล่าแถมยังถือโทรศัพท์มือถือแค่เครื่องเดียวอยู่ในมืออีกต่างหาก
ในขณะที่ทุกคนที่อยู่ชั้นบนกำลังรอคอยให้นักเขียนนิยายหยิบแก้วออกมานั้น จู่ๆหยวนโจวก็บ่นพึมพำอะไรสักอย่างออกมา
“ฉันลืมเรื่องนั้นไปได้ยังไงกันนะ เซินหมินอยู่ข้างบนแล้ว ลืมมันไปเสียเถอะ ฉันจะทำเองก็แล้วกัน” หยวนโจวพึมพำก่อนที่จะมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นบนเพื่อเตรียมแขวนป้าย “อย่าขับหลังดื่ม”
ใช่แล้วล่ะ จู่ๆหยวนโจวก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมบอกให้เซินหมินแขวนป้ายแผ่นนี้ ดังนั้นตอนนี้เขาเลยตัดสินใจที่จะทำมันด้วยตัวเองเสียเลย
ทันทีที่หยวนโจวแขวนป้ายเสร็จ เฉินเว่ยก็มาถึงพอดี
“เถ้าแก่หยวน พวกเราสามารถขอเบียร์เพิ่มได้ไหม? ห้าแก้วมันไม่พอนะ” เฉินเว่ยเข้าประเด็น
“ไม่ได้” หยวนโจวตอบไปตามตรง
“ทำไมล่ะ?” เฉินเว่ยถามด้วยหน้าตาน่าสงสาร
“ดูเอาเองเถอะ” หยวนโจวชี้ไปทางป้ายที่อยู่ข้างนอก
“อะไรน่ะ?” เฉินเว่ยออกไปข้างนอกด้วยความสงสัย
“อย่าขับหลังดื่ม อย่าดื่มตอนขับงั้นเหรอ? แต่ฉันไม่ได้ขับนี่นา” เฉินเว่ยกล่าว
“อืม เป็นแบบนั้นได้จะดีที่สุดเลยล่ะ” หยวนโจวพยักหน้า
“งั้นฉันก็ขอเบียร์เพิ่มได้ใช่ป่ะ?” เฉินเว่ยถามขึ้นอย่างมีความหวัง
“ไม่ได้” หยวนโจวก็ยังคงปฏิเสธอยู่ดี
“เถ้าแก่หยวน นายมันไอ้คนใจดำ” เฉินเว่ยด่า
“ถ้านายยังไม่ขึ้นไปตอนนี้อีกล่ะก็คงไม่ได้สั่งเบียร์ห้าแก้วแล้วล่ะ” หยวนโจวกล่าว การมีบุรุษคนหนึ่งจ้องมองมาที่เขาเช่นนั้นช่างทำให้เขารู้สึกขนลุกสิ้นดี
“จริงสิ ตอนที่ฉันลงมาที่นี่จะเกิดอะไรขึ้นกับเบียร์ของฉันบ้างล่ะเนี่ย? ถึงแม้ว่าเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋จะไม่อยู่ก็เถอะ แต่เจ้าเมล็ดงาฟางอยู่นี่นา ไม่ได้การแล้วฉันต้องกลับขึ้นไปชั้นบนก่อนล่ะ” ความสนใจของเฉินเว่ยเปลี่ยนไปในทันที
“เถ้าแก่หยวน ไว้ฉันดื่มเสร็จแล้วพวกเราค่อยมาคุยกันอีกทีนึงก็แล้วกัน” เฉินเว่ยกล่าวแล้วหายตัวไป เมื่อมีเรื่องเหล้าเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ฟางเหิงก็จะเทียบเท่าได้กับร้อยละ 0.7 ของอู๋ไห่เชียวล่ะ
ส่วนอีกร้อยละ 0.3 ที่หายไปก็เพราะฟางเหิงหาได้มีพรสวรรค์ในการแย่งชิงอาหารเท่าอู๋ไห่อย่างไรเล่า
ถึงอย่างไรคนบางคนก็แทบจะไม่มีพรสวรรค์มาแต่เดิมอยู่แล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นร้อยละ 0.7 ของอู๋ไห่ก็นับว่าน่ากลัวมากพอแล้วล่ะ
หยวนโจวมองเฉินเว่ยวิ่งจากไปโดยไม่ได้ตอบอะไรสักคำ
เมื่อเฉินเว่ยกลับขึ้นชั้นบนไป เขาก็เห็นเจียงฉางซี่กับญินยาต่างก็กำลังถือแก้วเครื่องดื่มพลางมองไปที่นักเขียนนิยายด้วยสายตาแปลกๆ
เฉินเว่ยไม่สนใจพวกเธออีก เมื่อเขาเห็นว่ายังไม่มีเบียร์มาเสิร์ฟบนโต๊ะของเขาเลย เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นักเขียนนิยายยังคงสงบนิ่งแม้จะมีความสนใจของทุกคนมุ่งมาที่ตัวเขาก็ตาม เขาบอกเซินหมินว่า “ขอเบียร์แก้วนึงสิ”
“โอ้ ได้เลยค่ะ” เซินหมินยังรู้สึกช็อคตั้งแต่ได้เห็นการแสดงมายากลในการหยิบแก้วออกมาจากอากาศอันแสนว่างเปล่าของนักเขียนนิยายเมื่อนักเขียนนิยายสั่งเบียร์จึงช่วยปลุกเธอให้พ้นจากความรู้สึกช็อคของตัวเองได้ เธอหยิบแก้วที่สลักชื่อเอาไว้บนนั้นก่อนที่จะเติมเบียร์ลงไป
ใช่แล้วล่ะ แก้วเบียร์ในผับของหยวนโจวต่างสลักชื่อเอาไว้ทั้งนั้น แน่นอนว่ามีเพียงผู้โชคดีสามคนเท่านั้นที่จะได้รับการสลักชื่อลงไป
แก้วที่เซินหมินถืออยู่นั้นเป็นแก้วที่มีชื่อของนักเขียนนิยายสลักอยู่บนนั้น
“ได้แล้วค่ะ” เซินหมินวางเบียร์ลง เธออดสงสัยไม่ได้และแอบชำเลืองมองไปที่แขนเสื้อที่ดูสอบแคบของนักเขียนนิยาย นั่นคือตำแหน่งที่ก่อนหน้านี้นักเขียนนิยายหยิบแก้วออกมานั่นเอง
“ขอบคุณครับ” นักเขียนนิยายกล่าวขอบคุณ เขาไม่สนใจที่จะมองเลยสัดนิดแต่กลับมุ่งความสนใจไปที่เบียร์แทน
ส่วนก้นแก้วมีขนาดเล็กและส่วนปากแก้วเชิดขึ้นพร้อมติดลวดลายอันทันสมัยตรงส่วนกลางแก้วตรงตำแหน่งที่ถือเอาไว้ด้วย นั่นก็เพราะเป็นตำแหน่งที่สลักชื่อเอาไว้นั่นเอง
หมอกบางเบาที่ล่องลอยบริเวณแก้วใสแจ๋วทำให้เบียร์สีทองแลดูพร่ามัว และเนื่องจากเบียร์เพิ่งจะถูกรินออกมา ชั้นฟองจึงล่องลอยอยู่ส่วนบนแก้ว
ชั้นฟองสีขาวราวกับชั้นหิมะจากแก้วใสแจ๋วทำให้สามารถมองเห็นฟองที่เกิดขึ้นมาจากส่วนก้นของน้ำสีทองในแก้วได้เลย
จากส่วนบนแก้วนั้น กลิ่นที่เป็นส่วนผสมระหว่างข้าวสาลีกับแอลกอฮอล์พลันกระจายออกมา
“เบียร์นี่กลิ่นหอมชะมัดเลย” เฉินเว่ยกล่าว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น