ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 81-84

 ตอนที่ 81 ลูกเอ๋ย เจ้าไม่เจ็บหรือ

 

ตู๋กูซิงหลังยืนอยู่ข้างพระองค์ฮ่องเต้ สีหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ นางในตอนนี้สงบเสงี่ยมอย่างยิ่ง ไม่พูดมากแม้แต่คำเดียว รูปโฉมที่งามพิลาส เพียงได้เห็นก็บอกว่าคือสนมร้ายที่ล่มบ้านล้างเมือง หรือนี่ถือเป็นความผิดของนางด้วย? 


 


 


ดูเอาสิ ตั้งแต่ตนจนจบนางยังไม่ได้ทูลฟ้องฝ่าบาทเรื่องเต๋อเฟยแม้สักครึ่งคำเลยนะ เต๋อเฟยน้อยนั้นทำตัวเองทั้งนั้น เกี่ยวอะไรกับนางด้วย? 


 


 


จีเฉวียนทรงรับหนังสือโลหิตของฉีผินที่คนส่งต่อมาให้ เปิดออกดูทอดพระเนตรคราหนึ่ง ในหนังสือโลหิตนั่นเพียงกล่าวถึงว่าเต๋อเฟยยุยงนางให้ลงมือ โดยใช้ครอบครัวของนางมาบีบบังคับ สุดท้ายล่อลวงตู๋กูซิงหลันมายังกรมสืบสวน คิดจะควบคุมบังคับตู๋กูซิงหลันให้กำจัดนาง 


 


 


ยังโชคดีที่ไทเฮาเฉลียวฉลาดมีไหวพริบแก้ไข จึงทำให้ทั้งสองหนีออกมาได้ นางทราบซึ้งบุญคุณของไทเฮาอย่างยิ่ง ยินดีใช้ชีวิตตนเองเป็นประกัน และชี้ตัวเต๋อเฟยผู้บงการ 


 


 


สีพระพักตร์ของจีเฉวียนยังคงเย็นชาเสมือนตอนแรก เพียงแต่ทรงหันไปทอดพระเนตรตู๋กูซิงหลันบ้างแล้ว 


 


 


เขามองนางพลาดไป 


 


 


เขารู้มาตลอดว่าตู๋กูซิงหลันความคิดลึกซึ้ง ช่างวางแผน แต่คาดไม่ถึงว่าความสามารถของนางยังเหนือล้ำกว่าที่ตนเองคาดไว้ 


 


 


เต๋อเฟยคิดจะใช้นักพรตอู๋เจินส่งเสริมชื่อเสียงของนาง ทั้งยังหลอกใช้ฉีผินจัดการนาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันจึงซ้อนแผนกลับใช้นักพรตอู๋เจินหักหน้านางอย่างแรง ค่อยให้ฉีผินผลักนางจนจนมุม 


 


 


ไม่ออกหน้าแต่ว่าควบคุมหมากทุกตัวไว้ ทั้งยังเปลี่ยนเบี้ยของผู้อื่นมาเป็นของตน แต่ละตาแต่ละหลุมทำให้เต๋อเฟยไม่อาจต่อกรได้ จนต้องพังทลายในที่สุด 


 


 


คนที่ปากร้ายช่างว่าอย่างนาง วันนี้กลับไม่ได้พูดว่าเต๋อเฟยเลยแม้สักครึ่งคำ 


 


 


เพียงแต่จับตาดูสถานการณ์ วางแผนแต่ไกล และควบคุมทุกหมากไว้ในมือ 


 


 


จีเฉวียนดำริแล้วยังยากจะทรงเชื่อ ว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนของสาวน้อยวัยสิบห้าปีผู้หนึ่ง 


 


 


เขาจ้องมองดูตู๋กูซิงหลันอยู่นาน ครุ่นคิดอยู่ว่าหากนางเป็นบุรุษละก็ เขาอยากจะให้นางเข้าวังมาเป็นขุนนางจริงๆ ให้นางได้ใช้ความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกนี้จัดการบ้านเมือง 


 


 


“ฝ่าบาทเพคะ จะต้องมีผู้ใดให้ผลประโยชน์แก่นางเป็นแน่ ถึงทำให้นางกล้ามาใส่ความหม่อมฉันเช่นนี้ พระองค์ต้องเชื่อหม่อมฉันนะเพคะ! ” เต๋อเฟยยังไม่ยอมถอดใจ นางน้ำตาไหลสะอึกสะอื้น ดูไปน่าสงสารอย่างที่สุด “หม่อมฉันเป็นคนเช่นไร หรือว่าพระองค์ไม่ทรงทราบหรือเพคะ? “ 


 


 


จีเฉวียนทรงหันพระพักตร์ไปมอง จดจ้องนางด้วยสายพระเนตรเย็นชา เต๋อเฟยเป็นคนเช่นไรนะหรือ แน่นอนว่าเขารู้แก่ใจดี 


 


 


คนที่อยู่ในวัง จะมีใครที่หน้าตรงกับใจบ้างละ? เพียงแต่ว่าใครจะแสดงได้เก่งกว่ากันก็เท่านั้นเอง 


 


 


ตอนที่เขาพึ่งขึ้นครองราชย์ก็รับเหล่าสนมเข้ามามากมาย ก็เพียงเพื่อจะรวมอำนาจในการปกครองเข้ามาไว้ในมือ พวกสตรีทั้งหลายในวังหลังขอเพียงฉากหน้ารู้จักแสดงออกว่าสามัคคีดีต่อกัน เขาก็ไม่คิดจะไปถามไถ่ให้มากความ 


 


 


เมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ทรงตรัสสิ่งใด เต๋อเฟยก็ยิ่งร่ำไห้หนักขึ้น “หม่อมฉันกับฉางซุนฮองเฮาถึงขนาดมีวันเกิดตรงกัน ย่อมต้องมีเมตตาเสมือนกับฉางซุนฮองเฮา ยามเด็กยังเคยได้รับการอบรมสั่งสอนจากฉางซุนฮองเฮาไม่น้อย พระองค์ทรงทราบดีที่สุด….” 


 


 


ทันทีที่กล่าวถึงฉางซุนฮองเฮา พระวรกายของจีเฉวียนก็ปลดปล่อยกระแสเย็นวาบออกมา เขาเขวี้ยงหนังสือโลหิตฉบับนั้นใส่หน้านาง ตะโกนตรัสใส่เต๋อเฟยออกมาสองคำ “หุบปาก” 


 


 


พระมารดาของเขา สตรีเช่นเต๋อเฟยย่อมไม่มีทางที่ทรงจะเอามาเปรียบเทียบได้โดยเด็ดขาด! 


 


 


ฮ่องเต้ทรงตรัสออกไปเช่นนี้ ผู้คนทั้งหมดต่างทราบแล้วว่า เต๋อเฟยคงจะจบสิ้นแล้ว 


 


 


จากองค์ชายที่ไม่ได้รับความโปรดปรานมาขึ้นครองบันลังก์ได้เช่นฝ่าบาท จะยังเป็นคนธรรมดาได้อีกหรือ? 


 


 


ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรังเกียจตู๋กูซิงหลัน แต่ว่าเต๋อเฟยก็ทำเกินไปแล้ว …..ใครจะไปคาดคิดว่าเต๋อเฟยที่ภายนอกดูมีเมตตาหาที่ใดเปรียบ จิตใจกลับลึกซึ้งชั่วร้ายถึงเพียงนี้? 


 


 


เต๋อเฟยมองดูหนังสือโลหิตฉบับนั้น ยิ่งมองดูพระพักตร์ที่ไร้ความรู้สึกของฝ่าบาท ดวงใจของนางก็เหน็บหนาวอย่างที่สุด 


 


 


ฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อนาง ทุกอย่างจบแล้ว! 


 


 


นางก้มหน้าลงในทันใด ในดวงตาเต็มไปด้วยความแค้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็หันไปทางตู๋กูซิงหลัน ดวงตาของนางมีแต่เส้นเลือดจดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน และตะคอกออกไปด้วยความคุ้มคลั่ง “เป็นเจ้า! เป็นนางมารเช่นเจ้าใช่ไหม? เจ้าใช้วิธีใดกันแน่ ถึงได้ทำร้ายข้าจนสาหัสเพียงนี้? “ 


 


 


ท่าทางของนางแยกเขี้ยวเคี้ยวฟันเช่นนี้ ไหนเลยจะมีความอ่อนแอเปราะบางเช่นยามปกติเหลืออยู่อีก? 


 


 


คราวนี้แม้แต่ซิ่วเหอเองก็รั้งนางเอาไว้ไม่อยู่แล้ว 


 


 


เต๋อเฟยเคยได้รับการสรรเสริญจากผู้คนจนคุ้นเคยมานานแล้ว ตอนนี้กลับต้องร่วงหล่นลงไปในหลุมลึกเช่นนี้ จิตใจของนางไหนเลยจะยังรับไหวอยู่อีก? 


 


 


พอนางด่าออกไป ก็เสมือนกลับว่ากลายเป็นบ้าไปในทันที โถมตัวเข้าหาตู๋กูซิงหลัน ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่ทันได้หลบหลีก ถูกเต๋อเฟยผลักกระแทกเข้ากับสุสานของเย่วฮูหยิน 


 


 


ข้อมือของนางถูกขูดถลอก เลือดสดๆ อาบไปบนสุสานของเย่วฮูหยิน 


 


 


เต๋อเฟยกดนางเอาไว้ใต้ร่างในมือมีปิ่นปักผมที่กระชากออกมาจากมวยผม นางในยามนี้สยายผมออกมาจนยุ่งเหยิงดูไปคล้ายผีสาวที่น่าหวาดกลัวตนหนึ่ง ปิ่นในมือจี้ลงไปบนลำคอของตู๋กูซิงหลัน “นังมารปีศาจ! ถึงข้าจะต้องตาย ก็จะเอาเจ้าลงนรกไปด้วย! “ 


 


 


ดูเถิด หลังจากวันนี้ไป ผู้คนทั้งหลายต่างได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางแล้ว ต่อให้ฝ่าบาทไม่ได้ประหารนาง แต่นางจะยังอยู่ในวังหลังต่อไปได้อย่างไร? 


 


 


หากต้องทนมีชีวตอยู่ภายในสายตาดูถูกของผู้คน นางขอตายเสียดีกว่า! และจะเอานางสวะนี้ตายไปด้วยกัน ให้มันไปปรโลกอย่างไม่อาจสงบสุขไปตลอดทาง! 


 


 


เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหันเกินไป แม้แต่ตู๋กูจุนยังไม่อาจมีปฎิกิริยาได้ทัน รอจนเขาคว้าเอาดาบใหญ่ไปถึงเบื้องหน้าของน้องเล็กได้ ปิ่นของเต๋อเฟยก็กำลังจะแทงเข้าไปบนผิวของนางแล้ว 


 


 


ตู๋กูจุนยามนี้แทบขาดสติไปเสียแล้ว เพียงคิดแต่จะใช้ดาบฟันเต๋อเฟยให้ตายไป 


 


 


และในชั่วขณะนั้นนั่นเอง มีมือสองมือยื่นมาถึงตู๋ซิงหลันอย่างพร้อมเพรียงกัน มือข้างหนึ่งเป็นของฮ่องเต้ มืออีกข้างก็คืออี้อ๋อง 


 


 


พระหัตถ์ของฝ่าบาทคว้าลงบนลำคอของนาง บังปิ่นของเต๋อเฟยเอาไว้ทั้งหมด แต่หลังหัตถ์ของเขาย่อมถูกปิ่นของเต๋อเฟยแทงเข้าแล้ว โลหิตสดไหลจากปากแผลย้อมลำคอของตู๋กูซิงหลันจนแดงชาดไปทั้งหมด 


 


 


ทั้งยังหยาดเยิ้มจากลำคอของนางไหลรินลงบนสุสาน 


 


 


หัตถ์ของอี้อ๋องคว้าลงบนมือของเต๋อเฟย แทบจะบีบมือของนางจนแหลกละเอียด 


 


 


“โอ้ว เง็กเซียนบนสวรรค์ของข้า~ช่างน่ากลัวเหลือเกิน~ ” นักพรตอู๋เจินร้องออกมาอย่างตระหนก…….ฝ่าบาทและท่านอ๋อง ทรงรีบร้อนกันเกินไปหรือเปล่า ไทเฮาน้อยผู้นั้น….นางแข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกท่านทั้งสองเสียอีกนะ! 


 


 


หากว่านางตายไปได้ง่ายๆ เขาจะถูกลักพาตัวมาที่นี่ได้อีกหรือ? 


 


 


” ยามปกติไม่ใช่ว่าว่องไวปานกระต่ายเปรียวหรอกหรือ? ทำไมคราวนี้แม้แต่จะหลบยังหลบไม่พ้นล่ะ? ” จีเฉวียนมองไปยังสตรีที่นอนหมอบอยู่ข้างสุสาน กริ้วเสียจนขบฟัน เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเขามีปฎิกิริยาว่องไว ตอนนี้นางก็คงกลายเป็นศพไปแล้ว! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันตอนนี้แดงก่ำไปทั้งใบหน้า เพราะถูกมือของเขากดจนดวงตาแทบเหลือกขาว 


 


 


นางไม่ได้ถูกเต๋อเฟยแทงตาย แต่จะถูกจีเฉวียนบีบคอตายแล้ว เขาเบามือหน่อยไม่ได้หรือไง? 


 


 


คอของโฉมงามมันหักง่ายนะรู้ไหม? 


 


 


นางสำลักไอออกมาหลายครั้งติดๆ กัน พระหัตถ์ของจีเฉวียนถึงได้คลายออกจากลำคอของนาง นางหายใจเข้าไปได้เฮือกหนึ่ง ก็รีบมองดูฝ่ามือของเขา ถามออกมาคำหนึ่ง “ลูกเอ๋ย เจ้าไม่เจ็บหรือ? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเขาจะต้องช่วยนางเอาไว้ด้วย? ชีวิตฮ่องเต้มันน่าเบื่อเกินไป เลยจะเก็บนางไว้รังแกทุกวัน? 


 


 


จีเฉวียน “…….” 


 


 


ลองแทงเจ้าดูบ้างดูสิจะเจ็บไหม? 


 


 


เขาหน้าดำคร่ำเครียด อยากจะจับนางมาตีแรงๆ สักรอบ! เจ้าตัวไม่รู้จักรักชีวิต! 


 


 


เขายกมืออีกข้างขึ้นมา มองดูโลหิตสดๆ มากมายที่ลำคอของนาง พลันรู้สึกกลัวขึ้นมา……..ยังโชคดี ที่นี่เป็นเลือดของเขาเอง 


 


 


พระหัตถ์ที่ยกขึ้นสูง ค่อยๆ ลดลงทีละน้อย เขายังไม่ทันได้ตรัสสิ่งใดออกไป ใต้ฝ่าเท้าก็เกิดความเคลื่อนไหว  

 

 


ตอนที่ 82 ฝ่าบาททรงถูกฝังทั้งเป็น

 

ทันใดนั้นพลันปรากฎว่าสุสานเย่วฮูหยินจมลงไปในพื้นดินชั้นหนึ่ง พื้นที่โดยรอยแตกออก เกิดกระแสลมพัดขึ้นมา สายลมแรงจนทำให้ดอกชมจันทราทั้งหมดปลิดปลิวขึ้นไปบนอากาศ บดบังสายตาของผู้คนทั้งหมด 


 


 


รอกระทั่งพวกเขาได้สติขึ้นมา ก็พบว่าที่เบื้องหน้านอกจากตัวสุสานแล้วนั้น ทั้งฝ่าบาท ไทเฮา และแม้กระทั่งอี้อ๋องต่างถูกกลืนหายไปแล้ว 


 


 


มีแต่เต๋อเฟยที่ถูกทิ้งเอาไว้ ราวกับว่าถูกสุสานนั่นผลักออกมา นอนกองอยู่พบพื้นด้านหนึ่ง 


 


 


“สวรรค์ทรงโปรด ช่วยฝ่าบาทเร็วๆ! ” หลี่กงกงรีบตะโกนราวเป็ดตัวผู้ร่ำร้อง ยามนี้ไม่มีผู้ใดสนใจใยดีเต๋อเฟยอีกแล้ว 


 


 


ไม่เห็นหรือว่าฝ่าบาททรงหล่นลงไปในสุสานหรือ? 


 


 


สุสานของเย่วฮูหยินเป็นผู้ใดสร้างกัน ทำไมถึงได้เปราะบางเพียงนี้? จับนิดโดนหน่อยก็กลายเป็นหลุมลงไปเลยหรือ?! 


 


 


ดาบทลายภูผาของตู๋กูจุนหล่นอยู่ข้างกายเต๋อเฟย เขาไม่คิดไตร่ตรองอะไรก็ทำท่าจะกระโดดลงไปในหลุมของสุสานเพื่อช่วยคนแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ลงไปก็ถูกหลี่กงกงคว้าแขนเสื้อเอาไว้แน่น “ท่านแม่ทัพ ท่านอย่าได้หุนหัน ตอนนี้เหลือแต่ท่านเท่านั้นที่จะควบคุมสถานะการณ์ได้ ใครจะรู้บ้างว่าใต้สุสานมีอะไรอยู่บ้าง? หากว่าท่านลงไปแล้วเกิดเรื่องขึ้นอีก บ่าวเฒ่าเช่นข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีแล้ว…..” 


 


 


ตู๋กูจุนไหนเลยจะกังวลมากมายถึงเพียงนั้น ใต้สุสานนี้ต่อให้เป็นถ้ำเสือวังมังกร เขาก็ต้องลงไปนำตัวน้องเล็กขึ้นมาให้ได้ จีเฉวียนจีเย่ว์จะตายก็ตายไป น้องเล็กของเขาแสนสำคัญล้ำค่า แม้แต่ผมเส้นเดียวก็ไม่อาจให้หายไป! 


 


 


แต่ว่าเจ้าหลี่กงกงผู้นี้กลับฉุดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาทั้งสองก็เกิดความเคลื่อนไหวอีกครั้ง ทำให้ตู๋กูจุนไม่อาจยืนได้อย่างมั่นคง ทันใดสุสานของเย่วฮูหยินก็เลื่อนกลับขึ้นมาอีกครั้ง! 


 


 


ครู่เดียวหลุมใหญ่ที่เปิดอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆ เลื่อนปิดกลับไปต่อหน้าต่อตา! 


 


 


สีหน้าของนักพรตอู๋เจินปรากฎแววตาสงสัย เหล่านักพรตที่อยู่ข้างกายเขาเองก็ล้วนแสดงความประหลาดใจออกมา 


 


 


หลี่กงกงตกใจจนหน้าซีดไปแล้ว คว้าข้อมือของตู๋กูจุนร้องว่า “ผีหลอก! ผีหลอก! อ๊าาา ฝ่าบาท อ๊าาา ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงถูกฝังทั้งเป็นแล้ว อ๊าาาา! 


 


 


หลี่กงกงร้องโวยวายเสร็จก็เป็นลมล้มพับไป 


 


 


มาเจอเรื่องน่ากลัวแบบนี้ยามกลางวันแสกๆ นับว่ายากทนทานจริงๆ 


 


 


ตู๋กูจุนหันไปโยนหลี่กงกงให้ลูกน้องของตนเองดูแล 


 


 


ฝังมารดาเจ้าน่ะสิ น้องข้ายังถูกขังอยู่ข้างล่าง! 


 


 


ตู๋กูจุนทั้งโกรธทั้งร้อนใจ มองมาทางเต๋อเฟยที่ยังทรุดกองอยู่ที่พื้น เขาแทบจะอยากเอาดาบมาสับนางให้ตายเสียตรงนี้! หากไม่ใช่เป็นเพราะนาง มีหรือน้องเล็กจะถูกสุสานกลืนลงไป? 


 


 


“ใต้เท้าจิ่ง รบกวนท่านนำเต๋อเฟยและคนสนิทของนางไปขังเอาไว้ในคุกของกรมสืบสวนก่อน ข้าแม่ทัพจะต้องหาหนทางช่วยเหลือไทเฮาออกมา ” ตู๋กูจุนกวาดดาบผ่านศีรษะของเต๋อเฟยออกไป ผมของนางก็ถูกหั่นออกไปครึ่งหนึ่ง ถือเป็นการระบายอารมณ์เมื่อครู่ 


 


 


เต๋อเฟยตกตะลึงพรึงเพริดไป นางทั้งโกรธทั้งหวาดกลัวขึ้นมา ทำให้ไม่กล้าพูดจาออกไปแม้สักคำเดียว 


 


 


ใต้เท้าจิ่งหยู่แห่งกรมสืบสวนก็ไม่มีโลเล รีบนำตัวพวกเต๋อเฟยทั้งสองจนจากไปพร้อมกับลูกน้องของตู๋กูจุนมุ่งหน้ากลับกรมสืบสวน 


 


 


เสียนไท่เฟยเองก็ถือร่มขยับเข้ามาอย่างรีบร้อน สายตาของนางเปิดเผยความกระวนกระวาย “ท่านแม่ทัพ สุสานนี้แปลกประหลาด เกรงว่ามีแต่เปิดสุสานออกจึงจะสามารถช่วยคนได้ ขอท่านได้โปรดรีบตัดสินใจด้วย” 


 


 


เจียงเหม่ยหยู่ได้ยินว่าจะขุดสุสาน ระหว่างคิ้วก็ปรากฎความยินดีขึ้นในทันที เช่นนี้เจียงเย่วมีหวังได้ตายอย่างไม่สงบละสิ? 


 


 


นางรีบหันไปออกคำสั่งต่อเหล่าองครักษ์ในจวน “เร็ว รีบไปขุดเปิดสุสานขึ้นมา ฝ่าบาททรงสำคัญที่สุด! “ 


 


 


“ใครกล้าขยับวุ่นวาย? ” ตู๋กูจุนควงดาบขึ้นมา “สุสานของท่านย่าของข้าแม่ทัพ ใครกล้าแตะต้อง ข้าแม่ทัพจะฆ่าทิ้งเสีย! “ 


 


 


น้องเล็กนั้นต้องช่วยแน่ แต่ว่าสุสานท่านย่าไม่อาจให้ใครแตะต้องโดยง่าย! 


 


 


เจียงเหม่ยหยู่คิดจะเข้าไปงัดข้อกับเขา ก็พลันเห็นนักพรตอู๋เจินเดินเข้ามา มองดูรอยเลือดที่ติดอยู่บนป้ายสุสาน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคารพและยำเกรง 


 


 


เขารีบยกสองมือขึ้นมาไขว้กันไว้ ” อ้ายย่าห์ เง็กเซียนฮ่องเต้บนสวรรค์ของข้า….สุสานแห่งนี้ไม่ธรรมดา ไม่อาจแตะต้องได้ ไม่อาจแตะต้องได้เด็ดขาด” 


 


 


 


 


 


……………………. 


 


 


ในความมืด ที่มืดมิดเสียจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า อากาศภายในนี้นับว่ายังพออบอุ่นอยู่บ้าง ใต้ร่างก็นับว่านุ่มอยู่ไม่น้อย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกกระแทกเสียจนมึนงง ในหัวมีแต่เสียงโหวงเหวง นางลุกขึ้นมานั่ง ลำคอยังเหนียวเหนอะหนะ เลือดก็ยังไม่หยุดไหล ดูท่าคงจะหมดสติไปได้ไม่นาน 


 


 


นางมองไปรอบตัวทุกทิศทาง ตั้งสติได้ครู่หนึ่งก็ค่อยลุกขึ้นมา ก้าวเท้าออกไปได้ก้าวหนึ่งพลันรู้สึกว่าเหยียบอะไรอยู่ใต้เท้าจนฝ่าเท้านางรู้สึกเจ็บๆ 


 


 


พอเหยียบลงไปเบาๆ อีกครั้งก็คล้ายได้ยินเสียงอะไรแทงทะลุเนื้อลงไป 


 


 


พลันได้ยินเสียงงึมงำขึ้นว่า “เจ้าคิดปลงประชนม์เราหรือไง? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพลันชะงักไปแล้ว รีบหมอบตัวลง นางคิดอะไรออกแล้ว นางลูบๆ คลำไปทั่วตัว ก็ล้วงเอาไข่มุกลูกหนึ่งออกมาจากใต้เข็มขัด นี่เป็นไข่มุกจากทะเลตงไห่ที่เจ้าฮ่องเต้สุนัขริบคืนมาจากเต๋อเฟย 


 


 


นางพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา ตะเตรียมจะหาโอกาสแอบขายออกไป 


 


 


พอสว่างขึ้นรำไร ก็พอจะเห็นว่าฮ่องเต้ทรงพระพักตร์คว่ำอยู่บนพื้น กุมพระหัตถ์ที่ได้รับบาดเจ็บข้างนั้นไว้อย่างน่าสงสาร 


 


 


ไอ้เมื่อกี้ที่นุ่มๆ อยู่ใต้ตัวนาง…….หรือว่าจะเป็นเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่? 


 


 


เดิมทีปิ่นปักผมนั่นเพียงเสียบอยู่บนหลังมือของเขาแค่ครึ่งเดียว แต่ฝ่าเท้าของนางที่เหยียบลงไปเมื่อครู่ แทบจะทำให้ฝ่ามือของเขาถูกแทงทะลุแล้ว อึก…..ดูท่าน่าจะเจ็บมาก 


 


 


เห็นนางเอาแต่คุกเข่าดูอยู่อย่างนั้น ไม่แสดงท่ากังวลสนใจแม้แต่น้อย ฮ่องเต้ก็ทรงเริ่มกริ้วขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ 


 


 


เจ้าตัวไม่มีน้ำใจ! 


 


 


มันน่าจะให้ปิ่นนั่นเสียบทะลุคอนางนัก ให้นางตายไปเลย! 


 


 


“พยุงเราขึ้นมา ” เขาหงุดหงิดไม่น้อยแล้ว อาศัยแสงสว่างจากไข่มุกที่ตกต้องลงบนตัวของนาง มือเท้าแขนขายังอยู่ครบ บนร่างไม่มีสีสันร่องรอยอะไร ดูท่าลงจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร 


 


 


ไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว ไม่เสียทีที่ตอนหล่นลงมานั้นเขาปกป้องนางไว้ ทั้งยังเอาตัวไปเป็นเขียงเนื้อรองนางอีก 


 


 


“มัวตะลึงอะไรอยู่อีก? ” เห็นนางตั้งนานยังไม่ขยับตัว จีเฉวียนก็ยื่นมือของตนเองออกไป “เราบาดเจ็บแล้ว เจ้าต้องมาพยุงสิ” 


 


 


หลุมแห่งนี้ลึกมาก ลึกถึงขนาดที่ว่าตัวเขาเองก็บาดเจ็บแล้ว ข้อเท้าและบั้นเอวล้วนปวดไปหมด ดูท่าคงจะบาดเจ็บจนถึงกระดูกเข้าแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “….” ว่ากันตามจริงแล้ว จีเฉวียนในสายตาของนางไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำตัวร้ายเสียจนน่าตบ ทุกครั้งที่เห็นหน้าของเขา นางเป็นต้องอยากจะเอาส้นรองเท้าฟาดหน้าสักครั้ง 


 


 


เพียงแต่ตอนนี้ท่าทางมอมแมมของเขาดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก ไหนจะบาดเจ็บที่ฝ่ามืออีก ราวกับสุนัขป่าที่ถูกก้อนหินกระแทกเข้าใส่อุ้งเท้า 


 


 


พอคิดถึงว่าจะอย่างไรที่เขาได้รับบาดเจ็บก็เป็นเพราะตัวนาง แล้วยังทำตัวเป็นเขียงเนื้อรองรับนางไว้อีก ตู๋กูซิงหลันจึงไม่ได้กระแทกกับก้นหลุม สองมือของนางก็ยื่นออกไปหาเขา 


 


 


นางเดิมทีก็มีเรี่ยวแรงมากอยู่แล้ว พอเข้าไปประคองพระศอของฝ่าบาทขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงกระดูดลั่นกร๊อบแกร๊บ พระพักตร์ของฝ่าบาทก็เปลี่ยนเป็นดำดุจก้นหม้อ 


 


 


นางก็กล่าวอย่างเกรงใจว่า “ฝ่าบาท ดูท่าเอวท่านจะไม่ดีเท่าไหร่แล้ว คนอายุยังน้อยแต่กระดูกกลับเหมือนผู้ชราเช่นนี้ ใช่ไม่ได้หรอกนะ ท่านต้องรู้จักออกกำลังให้มากๆ ….” 


 


 


จีเฉวียน “…..” เขารู้สึกอย่างชัดเจนเลยว่ากระดูกของตนเองเคลื่อนผิดที่ไป กล้ามเนื้อระบมเจ็บปวดไปหมด 


 


 


เขาอดกลั้นความเจ็บปวดไว้ สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หลายๆ ครั้ง ปลอบตนเองอย่าได้มีโทสะ 


 


 


ครู่ต่อมาเขากุมมือข้างที่บาดเจ็บไว้ กวาดตามองไปสี่ทิศรอบด้าน ค่อยหันมามองตู๋กูซิงหลันอีกครั้งหนึ่ง “มือของเราเจ็บมาก เท้าก็ปวดด้วย เจ้าแบกเราออกไปจากที่นี่แล้วกัน” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……..” นี่นางหูฝาดไปแล้วหรือ? 


 


 


“เจ้าฮ่องเต้สุนัข! ” วิญญาณทมิฬกระโดดออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก “ตัวก็ใหญ่ถึงขนาดนี้ ช่างไม่รู้จักอายเสียบ้าง จุ๊ๆๆๆ “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน ไม่สนเจ้าถวนจื่อ นางจ้องไปที่จีเฉวียน มุมปากถึงกับกระตุกอยู่หลายครั้ง “ฝ่าบาทเพคะ ท่านดูสิว่ารูปร่างของหม่อมฉันทั้งอ่อนแอและบอบบางขนาดนี้~ จะไปแบกท่านยังไงไหว? “ 

 

 


ตอนที่ 83 ขนหน้าแข้งจีเฉวียนเยอะกว่าจีเย่ว์

 

“เราจำได้ว่ามีสตรีบางคนที่มีวิชาตบหน้าขจัดพิษของบรรพบุรุษ กำลังวังชาดีไม่น้อยไม่ใช่หรือ? “ 


 


 


จีเฉวียนยกพระหัตถ์ข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บมาวางลงบนบ่าของนาง พลันหัวเราะออกมา “ไทเฮา เจ้าไม่ใช่ว่ารักเอ็นดูเราที่สุดหรอกหรือ? ตอนนี้เรายังไม่ได้ขอให้เจ้าอุ้มสักหน่อย แค่แบกเราออกไป เกินไปตรงไหน? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกเขาหัวเราะใส่เสียจนร่างกายหนาวสะท้าน สถานที่ใต้ดินแห่งนี้สะสมธาตุหยินเอาไว้มาก แสงสว่างจากไข่มุกราตรีส่องลงบนใบหน้าของเขา ดูไปยิ่งเย็นเยือกอย่างไรก็ไม่รู้ พาให้คนเห็นรู้สึกขนอ่อนลุกชัน 


 


 


เจ้าลูกสุนัขนี้ยังจดจำเรื่องที่เคยถูกนางตบหน้าได้ ยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นนัก!  


 


 


นางได้แต่แอบกลอกตาบน หากไม่ใช่เพราะที่นี่คือสุสานของท่านย่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขตายไปคนตระกูลตู๋กูยากที่จะหนีความรับผิดชอบล่ะก็ นางละอยากจะฝังเขาให้อยู่ยาวที่นี่ไปเลย 


 


 


และเพราะไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาให้มากความ นางก็เตรียมจะพยุงเขาขึ้นบ่าไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียที่คุ้นเคยดังมาไม่ไกล 


 


 


“ไทเฮาพะยะค่ะ กระหม่อมเองก็บาดเจ็บสาหัส ต้องการการดูแล” 


 


 


เพียงแค่ประโยคเดียว ตู๋กูซิงหลันก็รีบเอาไข่มุกราตรีส่องไปตามเสียงที่มุมกำแพงด้านหลัง เห็นจีเย่ว์นั่งพิงอยู่ตรงนั้น ราวกับดวงวิญญาณดวงหนึ่งกำลังจับจ้องมาที่พวกเขา 


 


 


ใบหน้าที่งดงามดุจดอกไม้หยกของเขาถลอกจนมีเลือดออก แขนเสื้อก็ขาดวิ่น เผยให้เห็นเลือดที่กำลังไหลหยดตรงข้อมือ ดวงเนตรที่ลึกล้ำประหนึ่งดวงดาวในท้องทะเล ตอนนี้กลับริบหรี่ลงไปมากเสียแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันชะงักไปในทันที และไม่รู้ทำไมในใจพลันเจ็บปวดอย่างไร้ที่มา 


 


 


ทั้งๆ ที่ตนเองก็ไม่ได้ทำอะไรแท้ๆ แต่กลับรู้สึกว่าตนเองทุ่มแทงทำร้ายจีเย่ว์ไปนับไม่ถ้วน 


 


 


โอ้ ความรักของร่างเดิมนี้ช่างลึกซึ้งยิ่งนัก ความรู้สึกผูกพันธ์ที่เคยมีแม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีเยื่อใยหลงเหลืออยู่ 


 


 


อืม….ตอนนี้นางรู้สึกปวดฟันเสียแล้ว 


 


 


คราวนี้ละเกิดปัญหาขึ้นแล้ว : เมื่อบุรุษที่เคยรักกับเจ้าลูกชายสุนัขตกลงมาในหลุมและบาดเจ็บขยับไม่ไหวไปครึ่งร่างพร้อมกัน นางควรจะแบกคนไหนดีละ?  


 


 


จีเฉวียนเองก็ทอดพระเนตรตามไป ตอนแรกเขาคิดว่าจีเย่ว์จะตกลงไปตามซอกหลืบมุมไหนก็ไม่รู้เสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะหล่นลงมาใกล้พวกเขาเสียขนาดนี้ ดูผมเผ้าหลุดรุ่ย ท่าทางหมดสภาพเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าคิดจะเรียกคะแนนความสงสารหรอกหรือ?  


 


 


ก็แค่ข้อมือถลอกปอกเปิกนิดๆ หน่อยๆ เอง จะหนักหนากว่าเขาได้หรือไง?  


 


 


เขาทอดสายตาเย็นชาออกไป ยามนี้คนทั้งคนทิ้งน้ำหนักลงไปบนตัวตู๋กูซิงหลัน “ไทเฮา มือของเราเจ็บปวดมากเลย เจ้าดูสิ ถูกแทงเป็นแตงเสียบไม้แบบนี้ หากไม่ใช่เพราะว่าช่วยเจ้าไว้ เราคงไม่ต้องมาบาดเจ็บอเนจอนาถขนาดนี้” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกว่ามือของเขายามนี้ดูเหมือขาหมูเสียบไม้ย่างมากกว่า……. 


 


 


“นี่ ยังมีเท้าของเราอีก ดูสิว่าบวมเป็นซาลาเปาลูกใหญ่เลยไม่ใช่หรือ? ” จีเฉวียนตรัสไป ก็ดึงชายสนับเพลาขึ้นมา สบัดรองเท้าหุ้มส้นออก เผยให้เห็นข้อเท้าที่บวมเป็นหมั่นโถลูกหนึ่ง แล้วยังแกว่งไปมาต่อหน้านาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหันมาเขม่นตาใส่เขาครั้งหนึ่ง ทำไมนางถึงได้รู้สึกคล้ายกับว่าเจ้าตัวปัญหานี่กำลังจงใจโอ้อวดอยู่บ้าง?  


 


 


เจ้าเท้าบวมเช่นนี้ เจ้าภูมิใจเสียเหลือเกินนะ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องเสียเท่าไหร่ เจ้าฮ่องเต้สุนัขคงไม่ได้รู้ทันความคิดของนางที่อยากจะตัดศีรษะของเขา แต่ว่าตนเองยามนี้ไร้กำลังต่อต้าน จึงได้งัดเอาแผนแสร้งน่าสงสารสร้างความเห็นใจมาปกป้องชีวิตตนเองหรอกนะ? “ 


 


 


หากว่ากันตามอุปนิสัยของเขาแล้ว มีที่ไหนจะมายอมลงให้นางขนาดนี้กัน?  


 


 


ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินทางด้านจีเย่ว์ร่ำร้องว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ ขาของกระหม่อมท่าจะหักเสียแล้ว เดินไม่ได้เลย ขอไทเฮาทรงพระกรุณาประคองกระหม่อมด้วย~” 


 


 


ว่าแล้ว เขาก็รั้งชายสนับเพลาขึ้นเช่นกัน เผยให้เห็นบาดแผลที่ค่อนข้างหนักหนาบนท่อนขา 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “!!! “ 


 


 


นี่มิใช่หมายความว่ามีแต่นางที่เป็นหญิงแกร่งหนังเหนียวกระดูกเหล็กหรอกรึ นอกจากว่าตกลงมามึนสลบไปครู่หนึ่ง ที่เหลือก็ไม่มีที่ใดเสียหาย 


 


 


นางมองดูพระบาทของจีเฉวียน แล้วก็หันไปมองดูขาของจีเย่ว์ ทันใดนั้นก็พบเรื่องสำคัญขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ขนหน้าแข็งจีเฉวียนเยอะกว่าจีเย่ว์!  


 


 


เมื่อต้องเผชิญกับอี้อ๋องที่ยกความอนาถมาสู้กัน ดวงเนตรหงส์ของจีเฉวียนก็สาดประกายเย็นยะเยือกออกมา จากนั้นเขาก็งัดเอามาดฮ่องเต้ออกมาสู้บ้าง “ซี่โครงของเราก็หักด้วย! ไทเฮา เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าเห็นเราเป็นดังลูกชายแท้ๆ ? ลูกแท้ๆ ก็ย่อมจะสำคัญที่สุดไม่ใช่หรือไง? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……..” 


 


 


“ฝ่าบาทพะยะค่ะ กระหม่อมเป็นน้องชายของพระองค์ ไทเฮาเองก็ถือว่าเป็นมารดาในนามของกระหม่อมด้วย กระหม่อมก็ย่อมถือว่าเป็นบุตรของนางเช่นกัน ไทเฮาย่อมไม่อาจเลือกที่รักมักที่ชังได้หรอกพะยะค่ะ” จีเย่ว์อาศัยว่าพิงกำแพงพยุงตัวตอกกลับมา ดวงตาคู่นั้นตั้วแต่ต้นจนจบก็จดจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้น 


 


 


โอกาสที่จะได้มองดูนางใกล้ๆ นานๆ เช่นตอนนี้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยแล้ว ดังนั้นเขาย่อมห่วงแหนเป็นพิเศษ 


 


 


ต่อให้ต้องตกลงมาอยู่ในสุสานของเย่วฮูหยินก็ตาม 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าลมอะไรพัดมาถึงทำให้สองพี่น้องคู่นี้อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นอยากจะมีแม่ขึ้นมาเสียอย่างงั้น 


 


 


คราวนี้แม้แต่วิญญาณทมิฬยังพูดไม่ออกไปแล้ว มันหมอบอยู่บนบ่าของตู๋กูซิงหลัน หน้าตาบูดบึ้ง “ข้าว่านะ ลูกชายของเจ้าสองคนนี้อายุรวมกันคงได้แค่สามขวบล่ะมั้ง ถึงได้โยเยขนาดนี้? “ 


 


 


ไม่คิดจะดูสักหน่อยหรือว่าพวกเขากำลังอยู่ที่ไหนกัน! ใครจะไปคิดว่าสุสานของเย่วฮูหยิน ที่แท้ก็ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาลูกนี้หรือ?  


 


 


สุสานแห่งนี้มีธาตุหยินเข้มข้น ไม่แน่ว่าอาจจะมีตัวอะไรที่น่ากลัวออกมาก็ได้ ครั้งนี้แม้แต่ตัวมันยังไม่กล้าหยามใจ สองตาคอยจดจ้องรอบทิศทั้งสี่ด้านตลอดเวลา 


 


 


สถานที่ที่พวกเขาอยู่กันในตอนนี้ ดูคล้ายกับโพรงถ้ำแห่งหนึ่ง รอบด้านมีแต่กำแพงหินที่ชื้นแฉะ บนกำแพงหินยังเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำลื่นๆ ใต้ตะไคร่น้ำคล้ายกับจะเป็นลวดลายอะไรบางอย่าง มองได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ 


 


 


ทั้งๆ ที่ตกลงมาจากด้านบนชัดๆ แต่ว่าตอนนี้เพดานเหนือศีรษะกลับมีแต่กำแพงหินที่แข็งแกร่ง ไม่มีดินโคลนแม้แต่น้อย 


 


 


ภายใต้แสงสว่างของไข่มุกนี้ อย่างมากก็เป็นเพียงแค่แสงหิ่งห้อยเท่านั้น เบื้องหน้าของพวกเขาทุกสิ่งยังคงดำมืด มองอย่างไรก็ไม่เห็นปลายทางสักนิด 


 


 


ราวกับว่าตกอยู่ในปากของสัตว์ประหลาด ยิ่งเดินก็ยิ่งถูกกลืนลึกลงไปเรื่อยๆ  


 


 


วิญญาณทมิฬพยายามเบิกตาของมันให้กว้างเข้าไว้ ด้วยเกรงว่าหากมันพลั้งเผลอเมื่อไหร่ก็อาจจะพลาดอะไรไปก็ได้ 


 


 


เจ้าวิญญาณผีตายโหงบนตัวตู๋กูเหลียนนั้น ช่วงนี้คงจะไม่อาจกินมันได้ชั่วคราว หากว่าบังเอิญสุสานแห่งนี้มีสัตว์ประหลาด มารร้ายอะไรต่างๆ โผล่มาแล้วล่ะก็ จะได้จับพวกมันกินแทน ………เฮอะๆๆๆๆ แค่คิดก็หิวเสียแล้ว 


 


 


แน่นอนว่า ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่จะต้องเป็นตัวที่สามารถจะจัดการได้ 


 


 


ว่าไปแล้วก็ประหลาดแท้ๆ เย่วฮูหยินนั่นคงจะไม่ใช่ตัวประหลาดอะไรหรอกนะ แต่ไม่งั้นทำไมพอตายแล้วในสุสานถึงได้มีบรรยากาศเช่นนี้?  


 


 


ขณะที่วิญญาณทมิฬกำลังครุ่นคิด อยู่ๆ มันก็รู้สึกว่าที่ด้านหลังมีสายลมพัดมาเบาๆ ความเย็นวาบที่กระจายมาถึงนี้ทำให้แม้แต่ตัวมันยังรู้สึกหนาวสะท้าน 


 


 


มันยื่นมือสั้นๆ ของตนเองออกมา เกาะอยู่รอบๆ คอของตู๋กูซิงหลัน ยกก้นขึ้นกล่าวอย่างตื่นเต้นระคนดีใจว่า ” อ้ายหย๋าๆๆๆ มาแล้วๆๆ มาแล้วววว! “ 


 


 


คราวนี้ แม้แต่ฮ่องเต้และอี้อ๋องที่กำลังยื้อแย่งมารดากันอยู่ก็ยังรู้สึกได้ มันราวกับว่าเป็นแรงสั่นสะท้านจากลมหลายใจอันหนาวเหน็บยิ่งกว่าความเย็นในฤดูหนาว ลมนั่นคล้ายกับพัดมาจากทางด้านหลัง และก็เหมือนกับว่าพัดขึ้นมาจากปลายเท้าด้วย แทรกซึมผ่านผิวหนังเข้าไปถึงภานในร่าง 


 


 


ทั้งสองคนต่างก็พากันขมวดคิ้วขึ้นมา ไม่มีใครยื้อแย่งชิงดีชิงเด่นกันอีก ดวงตาของพวกเขากวาดมองไปรอบทิศทั้งสี่ด้าน 


 


 


สุสานของเย่วฮูหยินนั้น ฟังมาว่าได้ไปเชิญสุดยอดปรมาจารย์ด้านฮวงจุ้ยและด้านกลไกมาร่วมกันสร้างขึ้น ไม่รู้ว่าพวกเขาบังเอิญไปแตะต้องโดนกลไกตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้หลุดเข้ามาอยู่ในนี้ หากว่าอีกสักพักยังออกไปไม่ได้ แล้วเกิดไม่ระมัดระวังไปดึงดูดอะไรออกมา พวกเขาที่มีแต่มือเปล่าเกรงว่าคงจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว 


 


 


จีเฉวียนใช่มือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บมากุมข้อมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแนบแน่น เขามองไปยังบนกำแพงหินที่ด้านหลังของจีเย่ว์ที่เกิดเสียงแปลกประหลาดขึ้น 


 


 


ครู่ต่อมากำแพงนั่นก็เริ่มขยับ……..  

 

 


ตอนที่ 84 เถียงกันไม่จบไม่สิ้น

 

ขณะเดียวกัน ตะไคร่น้ำบนกำแพงก็เริ่มร่วงหล่นลงมา มือขาวซีด บวมฉึ่ง มากมายผุดออกมาจากกำแพง 


 


 


แต่ละมือล้วนมีเล็บสีดำยืดยาว ต่างก็พุ่งเข้าหาเสื้อผ้าของจีเย่ว์ ราวกับว่าต้องการจะลากตัวเขาเข้าไปในกำแพง กลบฝังอยู่ในนั้นไปด้วยกัน 


 


 


พอเห็นเหตุการณ์ดังนั้น ตู๋กูซิงหลันก็ไม่ไตร่ตรองอะไรอีก ล้วงยันต์ผืนหนึ่งออกมาขว้างออกไป 


 


 


พอยันต์ผืนนั้นผนึกอยู่บนกำแพง ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากในกำแพงดังออกมาไม่หยุด มือที่คว้าจีเฉวียนไว้ต่างก็คลายออก จีเย่ว์ที่ขาหักก็ลุกขึ้นพุ่งตรงมาทางตู๋กูซิงหลัน 


 


 


จีเฉวียนน้ำเสียงเย็นชา สายพระเนตรเพ่งมองอยู่ที่ขาของเขา “อี้อ๋อง ขนาดขาหักยังวิ่งได้ไวเชียวนะ “ 


 


 


ฮ่องเต้ตรัสยังไม่ทันได้ขาดคำ ก็เห็นตะไคร่น้ำบนพื้นผิวโดยรอบพวกเขาเริ่มขยับหลุดลอก มือขาวซีดมากมายผุดขึ้นจากพื้นดิน คราวนี้แต่ละมือต่างก็ยืดยาวขึ้นกว่าเดิม กรงเล็บสีดำน่าขยักแขยงราวกับเถาวัลย์ที่เลี้อยพันเข้ามาใกล้ 


 


 


พอเห็นแล้วคราวนี้ ฮ่องเต้ก็ไม่ตรัสสิ่งใดอีก คว้าตัวตู๋กูซิงหลันได้ก็พุ่งตัววิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว 


 


 


ความเร็วขนาดนี้ยังเหนือกว่าจีเย่ว์อยู่หลายส่วน ทั้งยังทอดทิ้งสิ่งประหลาดเหล่านั้นเอาไว้เบื้องหลัง 


 


 


จีเย่ว์คว้ามือข้างซ้ายของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ วิ่งติดตามมาด้วย วิ่งไปก็กล่าวไปว่า “ฝ่าบาท พระบาทของท่านบวมจนข้อเท้าแทบหักยังวิ่งได้ไวเช่นนี้ กระหม่อมแพ้เสียแล้ว “ 


 


 


“อี้อ๋อง เจ้าอายุยังน้อย” จีเฉวียนตอบเสียงเย็นชา ดึงตัวตู๋กูซิงหลันให้เข้ามาประชิดมากขึ้น 


 


 


คนที่อยู่ตรงกลาง ทั้งถูกดึงไปและลากตามกันเช่นตู๋กูซิงหลันนั้น “??? “ 


 


 


เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเป็นง่อยกันหมด แย่งกันจะให้ข้าแบกหรือไง? 


 


 


พวกเจ้าเห็นไอ้ตัวที่ออกมาจากกำแพงหินพวกนั้นแล้วไม่รู้สึกประหลาดใจบ้างหรือไง? 


 


 


เรื่องที่ว่าใครวิ่งเร็วกว่ากันมันใช่ประเด็นสำคัญไหม เฮ่อ? 


 


 


พูดไปแล้ว ช่วยปล่อยข้าก่อนได้ไหม ข้าไม่ได้กลัวเสียหน่อย! ข้าจะไปจัดการไอ้ตัวเก่งๆ มาป้อนถวนจื่อ! 


 


 


แต่ว่าคนทั้งสองนี้กลับไม่ให้โอกาสนางเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าแทบจะหอบหิ้วนางวิ่งหนีตะเลิดเปิดเปิง ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าด้วยความเร็วขนาดนี้เท้าของนางแทบจะไม่ติดพื้น ตัวลอยละลิ้วไปตลอดทางแล้ว 


 


 


ก็จะทำไงได้ ใครใช้ให้ขาของพวกเขายาวกว่านางขนาดนี้…. 


 


 


วิ่งตะลุยมาได้พักใหญ่ จนรู้สึกว่าหลบหนีสิ่งประหลาดบนกำแพงนั่นได้สำเร็จ พวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่าโพรงถ้ำนี้ยิ่งทียิ่งแคบลงเรื่อยๆ 


 


 


อีกทั้งตลอดเส้นทางที่วิ่งผ่านมา ภายในถ้ำนี้มีโครงกระดูกอยู่ไม่น้อย ดูไปแต่ละคนแต่ละร่างท่าทางจะตายอย่างหน้าหวาดผวา พวกเขามัวแต่รีบวิ่ง ไม่ได้สังเกตให้ละเอียด 


 


 


พอมองดูไปเบื้องหน้า ก็เห็นว่าถ้ำนี้ยังทอดยาวไปอีกไกลจนมองไม่เห็นปลายทาง หากว่าจะเดินต่อไปอีกละก็มีแต่ต้องเบียดตัวเข้าไปทีละคนๆ แล้ว 


 


 


ภายในอุโมงค์ที่คับแคบนั้นมีสายลมเย็นๆ โชยออกมาเบาๆ พัดผ่านร่ายกายที่มีแต่เหงื่อร้อนชุ่มของพวกเขาจนรู้สึกสดชื่นขึ้นไม่น้อย 


 


 


หากไม่ใช่ว่าอุโมงค์นี้คับแคบมากเกินไป ตู๋กูซิงหลันก็คิดว่านางอยากจะใช่ไหล่ข่างหนึ่งแบกคนรักเก่า ไหล่อีกข้างแบกเจ้าลูกชาย จะได้มีสองมือว่างๆ มาเบิกทางได้ 


 


 


ดูเจ้าสองตัวนี่สิ เมื่อครู่ตอนวิ่งมายังกระฉับกระเฉงกันน่าดู พอหยุดลงเท่านั้นละ แต่ละคนๆ ก็ทำหน้าเจ็บปวดเสียจนเหงื่อโทรมหน้า 


 


 


ดูท่าแล้วตลอดทางที่วิ่งมานั้น ทั้งสองคนแทบจะไม่ได้พักหายใจเลย! 


 


 


หลังจากที่เงียบกันไปอยู่พักใหญ่ ตู๋กูซิงหลันก็ตัดสินใจกล่าวออกมาว่า “ข้าคิดว่า พวกเจ้าสองคนพักผ่อนรออยู่ที่นี่ ข้าจะไปสำรวจดูข้างหน้าให้ก่อนดีกว่า” 


 


 


“เราไม่อนุญาต ” จีเฉวียนยังไม่แม้แต่จะปล่อยมือนาง เบื้องหน้ามีอันตรายใดบ้างก็สุดรู้ ถึงแม้นางจะดวงแข็ง แต่ว่าหากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จะทำอย่างไร? 


 


 


เขาทำพระพักตร์นิ่งเฉย ตรัสจากใจว่า “มีแต่เจ้าที่ใช้ยันต์ได้ หากว่าเจ้าหนีไปคนเดียวจะทำยังไง? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……..” 


 


 


” ไทเฮาพะยะค่ะ ที่จริงกระหม่อมเองก็สงสัยอยู่ว่า ท่านไปร่ำเรียนวิชาไสยศาสตร์เสกยันต์พวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่? ” จีเย่ว์จ้องดูนาง ตั้งแต่ตอนที่นางเขวี้ยงยันต์เพื่อช่วยชีวิตเขา เขาก็อยากจะถามมาโดยตลอด 


 


 


หลันเอ๋อร์ที่เขารู้จัก เป็นสตรีสูงศักดิ์ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ไม่เคยต้องแบกไม่เคยต้องถืออะไร รู้จักแต่ชมนกชมไม้ หยอกเย้าเขาเท่านั้น 


 


 


นางไม่มีทางใช้ยันต์เป็นแน่! 


 


 


คราวนี้ตู๋กูซิงหลันปวดหัวเข้าจริงๆ เสียแล้ว เจ้าลูกหมีนี่ ทำไมถึงได้ช่างซักไซร้ถึงขนาดนี้? 


 


 


นางถอนใจเบาๆ ตอบว่า “วันนี้ตอนที่ไปเชิญท่านนักพรตอู๋เจิน เขากำลังวาดยันต์อยู่พอดี บอกว่าใช้สำหรับปราบปีศาจได้ ข้าอาศัยว่าหน้าหนาก็เลยขอมา” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพูดไปก็ล้วงเอายันต์ออกมาอีกสองใบ แปะเอาไว้บนหน้าผากพวกคนคนละใบ “อย่าหาว่าข้าตระหนี่เลยนะ ยันต์พวกนี้เหลือไม่มากแล้ว กัดฟันให้พวกเจ้าสองคนเลยก็แล้วกัน “ 


 


 


จีเฉวียนจ้องมองนางด้วยสายตาคมกล้า ยิ่งได้อยู่ร่วมกับนางมาเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพบว่านางยังมีเรื่องอีกมากมายที่สามารถทำให้เขาประหลาดใจได้เท่านั้น 


 


 


ยันต์ของนักพรตอู๋เจินนั่น ต่อให้มีพันตำลึงทองยังยากจะแลกมาได้สักแผ่น เขาจะใจกว้างกับนางได้ปานนี้? 


 


 


คิดว่าคงไม่ใช่แน่แล้ว! 


 


 


จีเย่ว์ก็เองก็มองนางอย่างเคร่งขรึม คิดจะดูให้ออกว่านางยังปิดบังอะไรไว้บ้าง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกพวกเขาจ้องมองเสียจนหวั่นใจ นางไม่รู้จะทำเช่นไรดีแล้ว 


 


 


นางไม่สนใจตัววุ่นวายทั้งสองนี้อีก หันหลังกลับไปทางปากอุโมงค์ เท้าก้าวออกไปไม่ทันไรก็ถูกพวกเขาทั้งสองคนยึดเอาไว้อีก 


 


 


จีเฉวียนเอาตัวขวางจีเย่ว์ไว้ ทั้งยังปัดมือที่จับตู๋กูซิงหลันเอาไว้ออกไป “อี้อ๋อง เจ้าวิ่งได้เร็ว เจ้าไปสำรวจดูทางก่อน เรากับไทเฮาจะรอข่าวดีจากเจ้า” 


 


 


จีเย่ว์ “……” เมื่อครู่ไม่ใช่ว่ามีคนวิ่งได้เร็วยิ่งกว่าเขาอีกหรือ? 


 


 


เขากำหมัดแน่นเข้า หากไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะทำให้หลันเอ๋อร์พลอยต้องเจ็บไปด้วย เขาไหนเลยจะยอมปล่อยมือโดยง่าย? 


 


 


“ฝ่าบาท ในอุโมงค์นั่นไม่แน่ว่าอาจมีสิ่งวิเศษอันใด พระองค์เป็นโอรสสวรรค์ เชิญเสด็จก่อนเถอะพะยะค่ะ” อี้อ๋องถอยออกไปด้านข้าง จากนั้นคำนับ ‘เชื้อเชิญ’ ให้อย่างนอบน้อม 


 


 


จีเฉวียนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ที่แห่งนี้มีพวกเขาเพียงแค่สามคน อี้อ๋องที่ยามปกติจำยอมอ่อนน้อมกลับไม่ยอมเสแสร้งอีกต่อไปแล้ว 


 


 


เขายกยิ้มเย็นที่มุมปาก เงยหน้าอย่างรวดเร็วจนยันต์เหลืองแผ่นนั้นปลิวสะบัด สายพระเนตรก็เคร่งขรึมอึมครึมอย่างถึงที่สุด 


 


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็อย่าได้วุ่นวายอีกเลย ไปพร้อมกันทั้งสามคนนี่ละ” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันแทบจะทนทั้งสองคนนี้ไม่ไหวแล้ว นางมองจีเฉวียนที่กุมมือตนเองเอาไว้ไม่ยอมคลาย พลางกล่าวว่า “ข้าจะปีนนำหน้า พวกเจ้าสองคนตามข้ามา เผื่อว่าที่ด้านหลังมีตัวอะไรไล่ตามมา พวกเจ้าที่เป็นบุรุษตัวโตจะได้ต้านทานเอาไว้ก่อน” 


 


 


“เราจะอยู่ข้างหน้า เจ้าเดินตรงกลาง” จีเฉวียนเถียงได้ไม่จบไม่สิ้น 


 


 


“ไทเฮา ท่านต้องอยู่ตรงกลาง ” จีเย่ว์เองก็ว่าตาม “กระหม่อมจะไม่ยอมให้ท่านได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…….” 


 


 


หากว่านางอยู่ตรงกลาง แล้วเกิดไปเจอะเจออะไรกันเข้า มีหวังได้กลายเป็นไส้ขนมเปี๊ยะแน่ เชื่อไหมเล่า? 


 


 


เมื่อมองดูแผ่นยันต์ที่ติดอยู่บนหน้าผากพวกเขาปลิวเบาๆ อีกทั้งท่าทางที่โง่งมของพวกเขา ตู๋กูซิงหลันได้แต่กังวลใจไม่คลาย 


 


 


สวรรค์ช่างมีอคติกับนางนัก ถึงได้ส่งเจ้าตัวยุ่งยากทำสองนี้มาคอยเกาะติดนาง! 


 


 


วิญญาณทมิฬก็ปวดหัวจนทนไม่ไหว “หากว่าเอาตามอั๊วว่านะ ปล่อยเจ้าสองตัวนี้ไปตามบุญตามกรรมเสียเถอะ พวกเราไปกันเองไม่ได้หรือไง? ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟังนะ รับรองว่าในอุโมงค์นั่นมีอะไรที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ อั๊วรู้สึกตึกๆ ตักๆ อยากจะกระดุ๋งกระดิ๋งเป็นกระต่ายแล้ว” 


 


 


“ที่สำคัญที่สุดนะ สุสานของเย่วฮูหยินมีสมบัติมีค่าควรเมืองเป็นสมบัติร่วมกลบฝัง! “ 


 


 


” มาๆๆ ไปกันได้แล้ว! “ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)