องครักษ์เสื้อแพร 809-811
ตอนที่ 809
ทรงพระปิติยิ่ง ทอดพระเนตรกองทัพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉลองชัยสวนสนามหน้าพระที่นั่งเป็นพิธีการใหญ่ราชสำนัก ไม่อาจขาดตกบกพร่อง ทหารเข้าเมืองมาห่างจากสนามฝึกไม่เท่าไร แต่ก็มีแต่รายงานมาไม่หยุด
ยามนี้ระยะห่างไม่มาก เสียงก็ดังมา เห็นได้ว่าเสียงดังกระหึ่มเพียงใด ทัพใหญ่ที่ตะโกนว่า ‘ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี’ ได้ยินชัดเจน ในระยะใกล้เพียงนี้ย่อมสร้างความรู้สึกแตกต่าง
รอยแย้มสรวลบนพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งฉีกกว้าง ยามนี้ทหารม้าเร็วรายงานก็วิ่งมาอีก มาถึงก็ถูกนำไปยังหน้าเวที ตะโกนตรงเวทีด้านล่างว่า
“ฝ่าบาท ทหารทั้งหมดแซ่ซ้องดังว่า ‘บารมีฝ่าบาทคุ้มครอง จึงได้ชัยชนะใหญ่!!’ ‘ชัยชนะทั้งหมดเป็นของฝ่าบาท!!’ ทหารและราษฎรล้วนแซ่ซ้องพระบารมี ‘ขอจงทรงพระเจิรญหมื่นปี หมื่นๆ ปี ’ ”
พอได้ยินเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่อาจกลั้นได้อีกต่อไป ทรงหัวเราะพึงพระทัยดังลั่น หวังทงยามนี้ทูลดังว่า
“ทัพปราบชายแดนเหนือมีชัยชนะอันรุ่งโรจน์นี้ก็ล้วนเป็นพระบารมีฝ่าบาทคุ้มครอง เป็นเพราะบรรพชนแผ่นดินหมิง ปกป้อง ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!”
กล่าวจบก็คุกเข่าลง ขุนพลกองกำลังสังกัดวังหลวงรวมทั้งขันทีในวังฝ่ายในก็คุกเข่าตาม ขุนนางบุ๋นในราชสำนักสบตากัน มาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้ใดจะกล้าฝืนต่อไป ให้มหาอำมาตย์เซินสือหังเป็นผู้นำ พากันคุกเข่าแซ่ซ้องพร้อมเพรียงว่า
“ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ยินดีปรีดาอย่างยิ่ง พระวรกายสั่นเทิ้ม อย่างไรก็ยังจำได้ว่าพระองค์เป็นฮ่องเต้ อย่างไรต้องรักษาท่าทีไว้ แต่จะกลั้นยิ้มนั้นยากยิ่ง ขันทีข้างๆ เสียงแหลมขึ้นว่า
“ฝ่าบาท กองทัพใหญ่จะเข้าสู่สนามแล้ว!!”
จึงได้ทำให้ทรงเก็บอาการปิติ ฮ่องเต้ว่านลี่สุรเสียงสั่นตรัสว่า
“ขุนนางที่รักทุกท่านลุกขึ้นได้ วันนี้ตัวละครเอกคือทหารที่นำชัยกลับมา ไม่ใช่เรา พวกท่านอย่าได้มากพิธี รีบลุกขึ้นๆ เตรียมต้อนรับทัพใหญ่กัน!”
‘ตัวละครเอก’ เป็นคำศัพท์ใหม่ เพราะโรงงิ้วและโรงละครจึงได้มีคำนี้ขึ้น หากสืบถึงต้นตอ ก็ย่อมรู้ว่ามาจากหวังทง ทว่าผู้ใดจะไปสนใจเรื่องไร้สาระเช่นนี้กัน ส่วนคำว่า ‘มากพิธี’ นี้ เรียกได้ว่าเหลวไหล ไม่ควรเป็นฮ่องเต้หลุดตรัสออกมา
แต่ทุกคนย่อมไม่เอ่ยถึง พอทุกคนลุกขึ้น รอบๆ ที่เตรียมกลองใหญ่ไว้นานแล้วก็เริ่มตีดังกระหึ่มไปทั่ว แม้ว่าถนนจากในเมืองมายังสนามนี้ได้ราดน้ำไว้แล้ว แต่อากาศแจ่มใส ก็ยังทำให้ฝุ่นลอยคลุ้งได้เช่นกัน ทัพใหญ่กำลังจะเข้าสู่สนามแล้ว
ฮ่องเต้ว่านลี่ตื่นเต้นจนก้าวขึ้นหน้าไปสองสามก้าว ขุนนางรอบๆ ทั้งบุ๋นและบู๊ ขันทีทั้งหลายก็ย่อมยืนอยู่ด้านหลัง ส่วนใหญ่สายตาจับจ้องไปยังทัพใหญ่ที่กำลังจะเข้ามาเบื้องหน้า รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยกระซิบกับเซินสือหังว่า
“ท่านอำมาตย์ หวังทงผู้นี้มีความสามารถจริงแน่นอน แต่เหตุใดจึงได้ประสบสอพลอเก่งไม่ธรรมดาเพียงนี้ได้ นี่อายุเท่าไรเอง…”
“บัณฑิตไม่พึงวิจารณ์เรื่องเทพเจ้า ทว่าหวังทงเกรงว่าคงมีดาวเทพแห่งปัญญาจริง”
เซินสือหังมองไปด้านหน้า กล่าวขึ้นเบาๆ เช่นกัน
***********
บนสนามฝึกตลบไปด้วยฝุ่น ทัพใหญ่เดินวนรอบสนามฝึก ทุกครั้งที่เดินผ่านเวที ขุนพลทั้งหลายก็จะแซ่ซ้องพร้อมกันว่า ‘ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!’
ทอดพระเนตรทัพใหญ่เดินทัพผ่านเวที พร้อมคำแซ่ซ้อง ฮ่องเต้ว่านลี่ถึงกับตื่นเต้นยินดีอย่างมาก ตอนที่อยู่ลานฝึกหู่เวย ฮ่องเต้ว่านลี่เคยได้ยินหวังทงเล่าถึงภาพการฉลองชัย ทรงอยากรับรู้ความรู้สึกนี้อยู่เหมือนกัน ฮ่องเต้รับการสวนสนามจากกองกำลังสังกัดวังหลวงอยู่บ้าง แต่ก็เป็นแค่การซ้อมในกองกำลังสังกัดวังหลวง จากนั้นก็เรียงแถว ฮ่องเต้ว่านลี่ดูสองสามที ขันทีก็มาประกาศแล้วก็จบ ไหนเลยจะได้สัมผัสใกล้ชิดเช่นนี้ได้
“หวังทง ตอนนั้นเจ้าว่าสร้างกองกำลังหู่เวยให้เรา ไว้คุ้มกันเรา วันนี้เราเห็นแล้ว ๆ!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องมองทัพใหญ่ ตื่นเต้นตรัสขึ้น หวังทงด้านหลังกระซิบว่า
“ล้วนพระบารมีฝ่าบาทคุ้มครอง กระหม่อมมิบังอาจรับความชอบ!!”
เทียบกับนายบ่าวถามตอบกันด้านนี้แล้ว ขุนนางบุ๋นอีกทางเรียกได้ว่าเงียบกริบมาก พวกเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของกองกำลังหู่เวย แต่คิดไม่ถึงว่าแข็งแกร่งเพียงนี้ แม้เป็นขุนนางบุ๋นที่ไม่รู้เรื่องการทหารก็สามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่แผ่กำจายออกจากกองกำลังได้ชัดเจน รู้สึกถึงความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง
กองทัพเช่นนี้สามารถทำลายเผ่าอันต๋าได้จริง สามารถนำชัยชนะอันรุ่งโรจน์จากนอกด่านกลับมาได้จริง กลิ่นอายสังหารเบื้องหน้าล้วนกำลังกดทับความคิดเสียดสีและหาเรื่องในใจ
มีคนรู้สึกเสมอว่าหวังทงอายุยังน้อย เพราะฮ่องเต้ว่านลี่ทรงโปรดปรานจึงมีวันนี้ได้ หวังทงเองกลับไม่รู้สึกสงบเสงี่ยม เอาแต่หาเรื่องในราชสำนักไม่หยุด วันนี้ได้เห็นกองทัพนี้แล้ว ทุกคนจึงได้รู้ว่า หวังทงมีคุณสมบัติพอที่จะหาเรื่องและโต้แย้งทางการเมือง เขามีกำลังพอ
“แผ่นดินหมิงหมื่นปี!! แผ่นดินหมิงหมื่นปี!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรเห็นหลี่หู่โถวเดินอยู่ในทัพ เห็นสีหน้าคุ้นเคยมากมาย ล้วนเป็นเพื่อนนักเรียนในลานฝึกหู่เวยทั้งนั้น ทรงอยากตะโกนอะไรบ้าง
แต่ทรงเป็นฮ่องเต้ ควรรับการแซ่ซ้องและตะโกนสรรเสริญจากผู้อื่น คิดอยู่นาน ฮ่องเต้ว่านลี่ จึงได้ยกพระหัตถ์ตะโกนขึ้นว่า
“แผ่นดินหมิงหมื่นปี!! แผ่นดินหมิงหมื่นปี!!”
ทหารกองกำลังหู่เวย ทัพเมืองจี้โจว ทัพเมืองต้าถงล้วนได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่านลี่ครั้งแรก ทุกคนกำลังตะโกนด้วยกำลังใจฮึกเหิมอยู่ คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่ผู้อยู่เหนือผู้ใด กลับกำลังตะโกนเช่นกัน
ทั้งสนามเสียงดังกระหึ่ม ไม่มีคนได้ยินเสียงตะโกนว่าอันใด จึงพากันเงียบลง ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตะโกนขึ้นว่า
“แผ่นดินหมิงหมื่นปี!! แผ่นดินหมิงหมื่นปี!!”
ทหารทั้งหลายกำลังเดือดพล่านราวกับระเบิดถูกจุด ระเบิดออกทันที พวกเขาตะโกนยิ่งดังกระหึ่มยิ่งบ้าคลั่งขึ้นอีกว่า “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี แผ่นดินหมิงหมื่นปี!!” ขุนนางบุ๋นสบตากันก่อนจะตะโกนตาม
***********
หลังพิธีสวนสนามจบลง หวังทงกับรองแม่ทัพหยางจิ้นเมืองจี้โจว หม่าต้งเมืองต้าถงก็เข้าถวายรายงานจำนวนที่ดินและประชากรในเมืองกุยฮว่าเฉิง
เรื่องนี้สำคัญมาก แสดงให้เห็นว่าดินแดนเผ่าอันต๋าและประชากรทั้งหมด ได้ตกอยู่ใต้อาณัติฮ่องเต้แผ่นดินหมิงแล้ว
จากนั้นก็ถวายตราประทับทองคำของเผ่าอันต๋า ดาบคู่กายข่านเซิงเก๋อตูกู่เหลิง และของอันเป็นสัญลักษณ์ผู้ปกครองของข่านเผ่าอันต๋า จากนั้นก็ทูลรายงานของที่ได้มาจากสงครามทั้งหมด
ของพวกนี้ล้วนเป็นของที่ทำจากทองคำและเงิน ไม่เพียงแต่ชัยชนะ ยังแสดงให้เห็นแผ่นดินหมิงได้บุกเบิกแผ่นดินใหม่ แสดงให้เห็นว่าแผ่นดินหมิงได้ปราบศัตรูสิ้น พิธีการดำเนินมาถึงขั้นตอนนี้ แม้แต่ขุนนางบุ๋นก็ล้วนยากจะระงับความตื่นเต้นไว้มีคนกล่าวพึมพำขึ้นว่า
“เข้มแข็งดุจฮั่น รุ่งเรืองดุจถัง…….”
คนบนเวทีล้วนเป็นคณะผู้นำกลางแห่งแผ่นดินหมิง พวกเขาย่อมอยากให้แผ่นดินขยายอาณาเขตออกไปไม่หยุด เข้มแข็งไม่หยุด ออกปราบรอบนอกไม่หยุด เมื่อก่อนทำไม่ได้ มักถูกโจมตีอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นจึงระมัดระวังกันมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าตนเองมีความสามารถเมื่อใดแล้วไม่คิดจะทำ
หวังทงได้รับแต่งตั้งเป็นติ้งเป่ยโหว เลื่อนเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร หยางจิ้นได้รับแต่งตั้งเป็นหนิงเปียนป๋อ (ท่านป๋อชายแดนเป็นสุข) เลื่อนเป็นผู้บัญชาการเมืองอวี้หลิน หม่าต้งได้รับแต่งตั้งเป็นอันเปียนป๋อ (ท่านป๋อชายแดนสงบ) เลื่อนเป็นผู้บัญชาการทัพเมืองต้าถง หลี่หู่โถวเป็นจงหย่งป๋อ (ท่านป๋อกล้าหาญภักดี) เลื่อนเป็นผู้บังคับการกองกำลังหู่เวย คุมกำลังกองกำลังหู่เวย……
บำเหน็จความชอบนี้ล้วนเป็นไปตามคาดหมาย ชัยชนะใหญ่เช่นนี้ มอบบรรดาศักดิ์ระดับโหวหนึ่ง และระดับป๋อสาม และเลื่อนตำแหน่งให้อีก
แต่ละกองกำลัง รวมทั้งลี่เทา ถานปิงและพวกซุนซิงแห่งกองกำลังหู่เวยก็ได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นค่อนข้างมาก หากออกไปนอกเมืองหลวง เทียบตำแหน่งรองแม่ทัพก็ย่อมได้รับ แต่ตำแหน่งพวกนี้เรียกได้ว่ามีแค่ตำแหน่งไร้อำนาจสั่งการ ใช้การไม่ได้นัก
นอกจากนี้ ตั้งแต่ระดับหวังทงลงไปถึงพลทหาร ล้วนได้รับพระราชทานบำเหน็จกันก้อนโต เงินพวกนี้ได้มาจากผลที่เก็บเกี่ยวได้หลังชัยชนะเหนือเมืองกุยฮว่าเฉิง อัฐยายซื้อขนมยายนั่นเอง ไม่ใช่เงินทองราชสำนัก
รางวัลพระราชทานมีแปลกอยู่เรื่องก็คือให้พวกหวังทงดูแลบริหารที่นาครึ่งหนึ่งในเมืองกุยฮว่าเฉิงของวังหลวง ให้เก็บผลประโยชน์เป็นค่าแรง การค้าในเมืองกุยฮว่าเฉิงได้รับสิทธิพิเศษ ที่นาราบลุ่มแม่น้ำให้เป็นของผู้บุกเบิกไป แต่ก็มีข้อแม้หนึ่ง ว่าให้พวกเขารับหน้าที่คุ้มกันปกป้องเมืองกุยฮว่าเฉิง
เรื่องนี้เหมือนไม่ใช่รางวัล หากเป็นงานหนัก ทั้งป้องกันต้องดูแล ทั้งต้องหนาวเหน็บในดินแดนตอนเหนือ ช่างลำบากมาก แต่คิดให้ดี ก็พบว่า เท่ากับว่ามอบเมืองกุยฮว่าเฉิงให้พวกหวังทงไป บรรดาศักดิ์อ๋องบนแผ่นดินหมิงเป็นสิ่งลอยๆ แต่พวกหวังทงกลับได้ที่ดินไปจริงๆ และยังถึงกับมีราษฎรอีกด้วย
นี่เป็นการทำลายธรรมเนียมใหญ่ เรื่องไม่คาดคิดพวกนี้ไม่ได้รับการขัดขวางจากการหารือในหกกรมกอง เพราะทุกคนรู้ดีว่า เมืองกุยฮว่าเฉิงโดดเดี่ยวนอกแผ่นดิน เป็นพื้นที่ใหม่ พระราชทานให้บรรดาขุนพลทหารคอยปกป้องดูแล ค่อนข้างมีเสถียรภาพสูง
รอให้พื้นที่นี้เป็นของแผ่นดินหมิงจริงเมื่อใด ถึงตอนนั้นค่อยจัดการใหม่ก็ไม่สาย หวังทงมีความน่ารังเกียจหลายอย่าง แต่ความสามารถด้านการทหารของเขานั้น ทุกคนยอมรับ หวังทงเปลี่ยนแปลงระบบองครักษ์เสื้อแพรในเมืองหลวงจนดี พื้นที่เล็กๆ อย่างเทียนจินก็จัดการจนรุ่งเรืองการค้า มอบเมืองกุยฮว่าเฉิงให้เขา ก็วางใจได้
สำหรับผู้ที่รู้จักหวังทงจริง ก็ล้วนรู้ว่าพระราชทานรางวัลนี้เป็นรางวัลแท้จริง ฮ่องเต้เท่ากับมอบเมืองกุยฮว่าเฉิงให้หวังทง ร้านสามธาราสามารถขยายร้านค้าออกไปได้อีก รางวัลนี้เท่ากับว่ามอบพื้นที่ให้หน่วยรักษาความปลอดภัยของหวังทง ทำให้กลุ่มหวังทงทำกำไรได้อย่างมหาศาลเข้าไปอีก เรื่องได้ประโยชน์หลายฝ่ายเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดคิดขัดขวาง
**************
หลังสวนสนาม ทัพใหญ่ออกนอกเมืองไป ก็ย่อมเป็นสำนักอาชาหลวงกับสำนักเครื่องส่วนพระองค์ กรมอากรและเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ นำสุราอาหารออกไปเลี้ยงต้อนรับ มีการจัดแสดงบันเทิงเพื่อผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยของบรรดาทหารที่รอนแรมมานานครึ่งปี
ขุนพลระดับแนวหน้าและบรรดาขุนนางมีความชอบที่เกี่ยวข้องล้วนอยู่ในวัง ฮ่องเต้พระราชทานเลี้ยง สำหรับพวกเขาแล้วเรียกได้ว่าเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่
หลังจบพิธีด้วยความยินดีปรีดา ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ ทุกฝ่ายต่อสู้กันมาพอสมควร ต้องการพักผ่อนกันบ้างแล้ว ต่างต้องการรอดูสภาพหลังจากนี้
หากความสงบก็มีได้ไม่กี่วัน เดือนห้า ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12 ก็มีม้าเร็วจากเมืองจี้โจวเข้าเมืองหลวงมา รายงานถึงชัยชนะการรบของหลี่เฉิงเหลียง ณ แดนตะวันตก----ชัยชนะยิ่งใหญ่
ตอนที่ 810
เทียบกันก็รู้
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงนำทัพเมืองเหลียวโจวออกศึกยึดเมืองตัวหลุน หากไม่มีการนำชัยเหนือเมืองกุยฮว่าเฉิงของหวังทงมาก่อน เกรงว่าคงเป็นครั้งแรกของแผ่นดินหมิงเกือบร้อยปีมานี้ ใต้หล้าย่อมให้ความสนใจ
ตั้งแต่การรบที่อิงโจวสมัยรัชศกเจิ้งเต๋อมา แผ่นดินหมิงก็ไม่เคยเคลื่อนทัพใหญ่เช่นนี้ ทว่าหวังทงนำทัพสามหมื่นออกปราบเมืองกุยฮว่าเฉิง ทำลายราบ หลี่เฉิงเหลียงนำทัพปราบตะวันตก จึงไม่ได้ดูอลังการอันใด ชัยชนะใหญ่ของหวังทงเช่นนี้ ทำให้การออกรบของหลี่เฉิงเหลียงไม่เพียงแต่ไม่มีคนสนใจ กลับทำให้รู้สึกหวาดกลัว
ทัพใหญ่ออกศึก แพ้ชนะยากคาดเดา หากหวังทงพิชิตเหนือ หลี่เฉิงเหลียงพิชิตตะวันตก หลี่เฉิงเหลียงอยู่ในอำนาจวาสนามาหลายปี หลายปีบนชื่อเสียงเกียรติยศ ทั้งตระกูลหลี่คงต้องถูกสงสัยแล้ว
ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรคนใหม่หวังทงนำชัยกลับมา มีอิทธิพลมากในราชสำนักเช่นนี้ คนที่รู้สึกว่าถูกหวังทงคุกคามส่วนใหญ่ล้วนอยากให้หลี่เฉิงเหลียงนำชัยชนะใหญ่กลับมา
มีเพียงชัยชนะใหญ่พิชิตตะวันตกของหลี่เฉิงเหลียงเท่านั้นจึงจะทำให้ชัยชนะของหวังทงไม่เป็นที่แสบตาผู้อื่น จึงสามารถทำให้ความระแวงของราชสำนักต่อรางวัลพระราชทานของหวังทงว่ามากไปหรือไม่ ว่าให้อำนาจมากไปหรือไม่นั้นเบาลง
หลังพิธีสวนสนามฉลองชัย ขุนนางใหญ่ในราชสำนักต่างก็ยิ่งร้อนใจ หลายวันต่อมา ข่าวที่พวกเขาต้องการจากตะวันออกเฉียงเหนือก็มาตามคาด ผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงนำทัพออกปราบเมืองตัวหลุนของเผ่าเคอเอ่อชิ่น รายงานด่วนชัยชนะใหญ่มายังเมืองหลวง
ข่าวแบ่งเป็นสองสาย หนึ่งส่งไปยังกรมทหาร หนึ่งส่งเข้าวัง ข่าวทางกรมทหารก็เป็นที่รู้กันอย่างรวดเร็ว แพร่ไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
ผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงนำทัพออกปราบตะวันตกเลือกเวลาได้ดี มีเผ่าบนทุ่งหญ้านอกด่านโดนปราบนำร่องไปก่อน ตั้งแต่ออกจากเมืองเหลียวโจวก็กวาดทุ่งหญ้านอกด่านไปตลอดเส้นทางเสียราบคาบ
เผ่าเล็กมากมายมีเพียงสามทางให้เลือก หนึ่งรบจนตาย สองหนีตายไปก่อน สาม สวามิภักดิ์ทัพหมิง ก่อนสงคราม เมืองเหลียวโจวก็มีหัวศัตรูราวสามพันแล้ว
เผ่าอันต๋าไม่อาจไร้เมืองกุยฮว่าเฉิง เผ่าเคอเอ่อชิ่นก็เช่นกันไม่อาจไร้เมืองตัวหลุน ไม่มีทุ่งหญ้าอุดมผืนนี้แล้ว คนนับแสนนับหมื่นจะไปรวมตัวกันที่ใด ไม่อาจรวมเป็นหนึ่งกันได้อีก บนทุ่งหญ้านอกด่านอยู่กันกระจัดกระจายก็เท่ากับสิ้นแล้ว
เผ่าเคอเอ่อชิ่นที่ถูกดูแคลนมาตลอดยามนี้สัญญาไว้มากมาย ร่วมสานสัมพันธ์กับแต่ละเผ่าใหญ่บนทุ่งหญ้าตะวันออกเพื่อขอกำลังมาต่อสู้กับทหารหมิง
เผ่าอันต๋าถูกทำลายลง ราชนิกุลสูญสิ้น ท่านชายในราชนิกุลมากมายถูกสังหาร ข่าวนี้แพร่มาถึงที่นี่ แต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้าย่อมตกใจ อยู่ๆ ทหารหมิงก็มีกำลังเข้มแข็งเช่นนี้ได้ ประเด็นสำคัญก็คือ แต่ไรไม่เคยรุกเข้ามา อยู่ๆ แผ่นดินหมิงกลับมีกำลังโจมตีเช่นนี้ได้ แผ่นดินผืนใหญ่เช่นนี้อยู่ๆ รบเก่งขึ้นมา ทุ่งหญ้านอกด่านจะไปต่อต้านได้อย่างไร
มีคนเล่าว่าที่เมืองกุยฮว่าเฉิงดูแลคนเผ่าอื่นที่ไม่ใช่เผ่าอันต๋าอย่างดี ก็มีคนนำพาเผ่ามาลองเสี่ยงโชคกันดู แต่ก็มีคนไม่น้อยที่พยายามห่างจากเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ไกลเท่าไรยิ่งดี
พอหลี่เฉิงเหลียงนำทหารเมืองเหลียวโจวออกรบ พวกตะวันออกบนทุ่งหญ้านอกด่านก็พากันแตกตื่น ไปทางตะวันตกก็เป็นเมืองกุยฮว่าเฉิงที่แผ่นดินหมิงยึดครองไปแล้ว ที่นั่นว่ากันว่าเป็นที่ตั้งกองทัพของหวังทงอยู่ในตอนนี้ หวังทงมีชื่อเสียงบนทุ่งหญ้านอกด่านว่ารบไม่เคยพ่าย ขึ้นเหนือไปก็มีแต่ทะเลทราบ ยามนี้ม้าวัวผอมแห้งกันมาก ออกทุ่งหญ้านอกด่านไปไม่รู้จะตายอีกกี่คน ตายอีกกี่ตัว ไปทางนั้น ทหารเมืองจี้โจวก็แตะต้องไม่ได้อยู่แล้ว
ไม่ทันรู้ตัว เผ่าเคอเอ่อชิ่นก็ถูกบีบสิ้นหนทาง แต่ข่านเผ่าเคอเอ่อชิ่นครั้งนี้เรียกรวมกำลังไม่ได้ลงแรงอันใด กับเผ่าต่างๆ ก็มิได้ให้คำมั่นสัญญาผลประโยชน์อันใด ความอยู่รอดยามนี้ทำให้ทุกเผ่าบนทุ่งหญ้านอกด่านรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน
เผ่าใหญ่ต่างๆ เช่น เผ่าฮาลาชิ่น เผ่าตั่วเหยียน ก็ล้วนส่งกำลังตนเองมาช่วย เผ่าตั่วเหยียนยังได้ชื่อว่ากำบังแผ่นดินหมิง เป็นพันธมิตรแผ่นดินหมิงบนทุ่งหญ้านอกด่าน แต่ครั้งนี้กลับส่งทหารม้ามาช่วยเผ่าเคอเอ่อชิ่น
ตะวันออกของเมืองตัวหลุน ทหารม้าพวกนอกด่านรอรับทัพเมืองเหลียวโจวถึงห้าหมื่นนาย ทัพหลี่เฉิงเหลียงกับคนของเขาราวหนึ่งหมื่น ยังมีทหารติดตามจากเมืองเหลียวโจวอีกเกือบหมื่น นี่เป็นทหารเก่งกล้าถึงสองหมื่น นอกจากนี้ยังมีทหารที่ส่งมาอีก ทัพใหญ่นี้จึงมากกว่าหกหมื่น
ทหารม้าพวกนอกด่านแม้มีห้าหมื่น แต่เทียบกับทหารกล้าเมืองเหลียวโจวแล้วก็พอกัน การรบศึกนี้เมืองเหลียวโจวมีแววแห่งชัยชนะอยู่มาก…….
ผลการรบก็เป็นไปตามวิเคราะห์บนกระดาษนี้ เมืองเหลียวโจวได้ชัยชนะยิ่งใหญ่
****************
“เรื่องที่เราได้ทำในปีนี้ ตอนบวงสรวงบรรพชนจะให้กล่าวถึงในคำเซ่นสรวงด้วย”
ตอนรายงานมาก็บ่ายแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับอยู่กับพระสนมเอกเจิ้ง ค่อนข้างดีพระทัยมาก ต่อหน้าขันทีและขุนนางราชสำนักต้องเก็บท่าที แต่ต่อหน้าผู้หญิงของตน ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เผยความเป็นพระองค์ออกมามาก
พระสนมเอกเจิ้งพระวรกายอ้วนขึ้นไม่น้อยแล้ว ยิ้มมองฮ่องเต้ว่านลี่ ตรัสเบาๆ ว่า
“เป็นเพราะพระปรีชาฝ่าบาท ไม่เช่นนี้จะมีขุนพลกล้าหาญมากความสามารถได้อย่างไร จะได้รับชัยชนะใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร”
ฮ่องเต้ว่านลี่หัวเราะดังลั่น เคาะรายงานด่วนในพระหัตถ์ไปมา ตรัสว่า
“เป็นเพียงรายงานด่วน ผลการรบยังต้องรออีกสองสามวันจึงจะมาถึง ทว่าสำนักบูรพากับองครักษ์เสื้อแพรน่าจะได้รายงานก่อนฟ้ามืด!”
ทัพใหญ่เช่นนี้ สำนักบูรพากับองครักษ์เสื้อแพรย่อมต้องส่งสายสอดแนมเอาไว้ นี่เป็นเรื่องที่เหมือนไม่เปิดเผยแต่ก็รู้กัน ขุนพลทั้งหลายล้วนรู้กันดี
ทัพใหญ่ออกศึกหากเกี่ยวพันถึงจดหมายรายงานราชสำนัก ก็เป็นเรื่องเป็นทางการค่อนข้างมาก แต่รายงานจากสายสืบสำนักบูรพากับองครักษ์เสื้อแพรนั้นกลับส่งรายงานมามากกว่า และข่าวอาจไม่จริงนัก หากมีข่าวมาไม่ขาด เบื้องบนจะได้รู้ข่าวสารใหม่ๆ เร็วที่สุด สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที
พระสนมเอกเจิ้งมีพระวรกายเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่อาจอยู่ต่อ คืนนี้ต้องไปห้องทรงอักษรอ่านฎีกาที่ส่งมาเสียหน่อย
“…….รบครานี้ตัดหัวมาได้ห้าพันกว่า เมืองเหลียวโจวบาดเจ็บล้มตายไปห้าพันกว่า…….”
ฮ่องเต้ว่านลี่อ่านรายงาน พลางส่ายพระพักตร์ ตายพอๆ กัน แต่ผลการรบนี้หากไม่นับชัยชนะเมืองกุยฮว่าเฉิง ใช้มาตรฐานทั่วไปแผ่นดินหมิงของกรมทหารมานับแล้ว ก็เรียกได้ว่าชัยชนะยิ่งใหญ่เช่นกัน หากก่อนหน้าตัดมาสามพัน ทั้งหมดก็รวมแปดพันกว่าหัว ชัยชนะนี้เรียกได้ว่ารุ่งโรจน์เช่นกัน
เผ่าเคอเอ่อชิ่นกับเผ่าบนทุ่งหญ้าประสานกำลังกันถูกตีพ่ายไป ถูกขับไล่ออกไปนอกเขตทุ่งหญ้าเมืองตัวหลุน บรรลุวัตถุประสงค์การรบแล้ว
ตามรายงานสำนักบูรพา ก่อนการรบ ทหารเมืองเหลียวโจวก็มั่นใจเต็มที่ คิดว่าพวกนอกด่านก็ไม่เท่าไร แต่พอออกศึก ขุนพลเมืองเหลียวโจวฉินเต๋ออี่กลับมีผู้ทรยศ
ตลอดทางมีเผ่าเล็กมากมายมาขอสวามิภักดิ์ เมืองเหลียวโจวจัดให้พวกเขาอยู่รอบนอก ตอนออกศึกก็ให้พวกเขากั้นปืนใหญ่อยู่ด้านหน้า สถานการณ์เช่นนี้ เผ่าเล็กพวกนั้นแม้ว่าไม่พอใจ แต่ก็ได้แต่ทำตาม
แต่ในเมื่อเป็นสหายร่วมรบ การป้องกันจึงหละหลวม ก่อนหน้าออกศึก ก็มีคนเกือบพันจากเผ่าเล็กทางปีกข้างฝั่งฉินเต๋ออี่อยู่ๆ คิดทรยศ
เมืองเหลียวโจวก็ช่างเป็นกองทหารแข็งแกร่ง เกิดเหตุในยามคับขัน อยู่บนสนามรบอีก ทหารติดตามฉินเต๋ออี่รีบรวมกำลังปราบปรามทหารม้าเผ่าเล็กพวกนั้นได้ทันการณ์
แต่น่าตายนัก เผ่าเคอเอ่อชิ่นทุ่มกำลังทหารม้าห้าพันมาทางนี้ ทหารม้าห้าพันนี้เดิมแสร้งว่าเป็นพวกเผ่าอ่อนแอมาของหลบภัย ทหารม้าห้าพันนี้อยู่ๆ มาโจมตี ฉินเต๋ออี่ก็ย่อมต้านทานไม่อยู่ ทหารราบเริ่มแตกพ่าย คนงานก็แตกกระจัดกระจายราวกับแมลงวันไร้หัว
แต่ที่พวกนอกด่านเรียกว่า ทหารม้า นั้นเทียบกับทหารกล้าเมืองเหลียวโจวแล้ว ยังห่างกันไกลนัก หลี่หรูป๋อนำทัพตระกูลหลี่ออกรบ ก็สามารถโจมตีทหารม้าพวกนอกด่านห้าพันแตกกระเจิงทันที
จากนั้นสถานการณ์การรบก็ไม่มีอันใดน่ากังวลอีก ทัพใหญ่เมืองเหลียวโจวมีทหารม้าเบิกทาง ทหารราบตามมาด้านหลัง บุกเข้าใส่ฐานทัพของพวกนอกด่าน
ยามเผชิญกับทหารม้าเมืองเหลียวโจวที่มาในชุดเกราะอาวุธพร้อมและชำนาญศึก กำลังหลักทหารม้าพวกนอกด่านย่อมไม่อาจต้านทานได้ ได้แต่ถอยไปเรื่อยๆ
ทว่าแต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้ารวมกำลังกันก็เหนือความคาดหมายของหลี่เฉิงเหลียง ทหารกล้าเผ่าเคอเอ่อชิ่นใช้วิธีการต่อต้านแบบยอมแลกชีวิตไปด้วยกัน ทำให้กองทหารตระกูลหลี่บาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อยด้วยเหตุนี้
พอทหารตระกูลหลี่เริ่มสูญเสียเกินพันนาย หลี่เฉิงเหลียงก็หยุดโจมตี พวกนอกด่านตอนนั้นก็ถูกตีพ่ายไปไม่น้อยแล้ว เอาแต่ถอยทัพอย่างเดียว
ในฐานะแม่ทัพใหญ่แล้ว หลี่เฉิงเหลียงบอกว่ามีชัยแล้ว ต่อมาก็กลับฐานทัพได้ เรื่องนี้ไม่มีใครหาความได้ การรบนี้ทหารราบหมิงกับคนงานตายไปห้าพัน เผ่าเคอเอ่อชิ่นสูญเสียกำลังหลักไปห้าพันกว่า กอปรกับครั้งนี้ออกรบ จากเมืองเหลียวโจวมุ่งตะวันตก บรรดาเผ่าเล็กที่ถูกขับไล่ ถูกตีพ่าย ถูกตัดหัวไปมาก ทุ่งหญ้านอกด่านรวบรวมพื้นที่ได้เป็นผืนใหญ่ สงบสุขไปได้อีกสิบปี ก็นับเป็นความชอบใหญ่เช่นกัน
รายงานจากสำนักบูรพาว่าตัดไปห้าพันกว่า รายงานด่วนก่อนหน้าก็รวมกันก็รวมเป็นแปดพันกว่า ตามธรรมเนียมแล้ว หลังรายงานมายังเมืองหลวง ก็คุยโวเป็นสองหมื่น
หวังทงตัดไปห้าหมื่น ทางนี้ก็ราวสองหมื่นกว่า หวังทงก็อาจคุยโวก็ได้ เทียบกันแล้ว ก็พอๆ กัน
ทว่า คนที่รู้เรื่องดี ความชอบหวังทงเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เทียบกันได้อย่างไร……
“รายงานว่าทหารตระกูลหลี่ตายไปนับพันนาย หลี่เฉิงเหลียงไปจนถึงหลี่หรูป๋อ เจ็บปวดใจเสียดายยิ่งนัก ดีนะ ทหารพวกนี้เป็นเงินเลี้ยงดูจากราชสำนัก ถึงกับเป็นสมบัติส่วนตัวไปได้”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรแล้วก็เพียงแค่นยิ้มเยียบเย็น จางเฉิงยิ้มกล่าวว่า
“ฝ่าบาทตามรายงานสำนักบูรพา ตอนนั้นหวังทงนำกองกำลังหู่เวยบุก ทัพเมืองจี้โจวกลับรักษาที่มั่นตนเองไว้”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจ ตรัสว่า
“เมืองเหลียวโจว ครั้งนี้มีแต่ทหารกล้าออกศึก พวกเผ่าเคอเอ่อชิ่นแย่กว่าพวกอันต๋าตั้งเท่าไร แต่ก็ยังรบออกผลเช่นนี้ได้ ฉายาที่ได้ไปว่ายอดแม่ทัพชายแดน คิดไม่ถึงว่าเทียบกับหวังทงแล้ว……”
ตรัสถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เงียบไป วางเอกสารในพระหัตถ์ลง พิงพนักที่ประทับ จางเฉิงรู้สึกงง หากเป็นเมื่อก่อน ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมต้องตรัสให้จบ หรือไม่ก็เสียดสี หรือไม่ก็ชมเชย อยู่ๆ เหตุใดจึงเงียบไป
“ถึงกับแข็งแกร่งเพียงนี้ ……”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ตอนที่ 811
หลายเรื่อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“จางปั้นปั้น…….”
ในห้องทรงอักษรอยู่ ๆ ก็เงียบลง ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสจบก็เงียบไปพักหนึ่ง จางเฉิงกำลังงง ก็ได้ยินวาจานี้ จึงรีบถวายคำนับ ผู้ใดจะคาดคิดว่าตรัสค้างไว้แค่นั้น
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ดูไม่ออก ในห้องทรงอักษรก็เงียบลงอีก รอจนมีเสียงกลองบอกเวลาดังมา ฮ่องเต้ว่านลี่จึงตรัสว่า
“จางปั้นปั้น ดึกแล้ว ท่านกลับไปพักก่อน เราจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักครู่!”
ดำรัสนี้ก็มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นกัน จางเฉิงไม่อาจกล่าวอันใด ได้แต่ถวายคำนับออกไป
พอจางเฉิงออกไปปิดประตูลง เจ้าจินเลี่ยงก็โผล่หัวเข้ามามอง ฮ่องเต้ว่านลี่กวักพระหัตถ์เรียกให้เข้ามา ลังเลก่อนจะแย้มสรวลตรัสถามขึ้น
“เสี่ยวเลี่ยง เรากำลังจะถามเจ้า เจ้าต้องเก็บเป็นความลับ ไม่เผยแพร่ออกไปให้ผู้ใดรู้ รู้ไหม?”
“กระหม่อมทราบแล้ว แม้มีคนใช้มีดมาข่มขู่ กระหม่อมก็ไม่พูด!”
“เด็กโง่ ผู้ใดกล้าใช้มีดมาขู่เจ้ากัน เราไม่ยอมหรอก เจ้าต้องจำไว้ จางปั้นปั้นทางนั้นก็ห้ามพูด หวังทงก็ห้ามพูด!”
เจ้าจินเลี่ยงพยักหน้าอย่างแรง ฮ่องเต้ว่านลี่หยุดพักหนึ่งก็ค่อยๆ ตรัสถามขึ้น
“เสี่ยวเลี่ยง ตอนสวนสนามเจ้าอยู่ข้างกายเรา ทหารที่เข้ามาพวกนั้นมองเรามากกว่า หรือมองหวังทงมากกว่า?”
เจ้าจินเลี่ยงคุกเข่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็มั่นใจทูลว่า
“ย่อมมองฝ่าบาทมากกว่า”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนพระปัสสาสะยาว ทิ้งพระวรกายไปด้านหลัง เจ้าจินเลี่ยงยังอยู่ที่พื้นทูลต่อว่า
“กระหม่อมได้ยินพี่หู่โถวบอกว่า พี่หวังได้กำชับว่าให้แต่ละกองทัพตอนผ่านหน้าพระที่นั่งให้มองไปยังฝ่าบาทเพื่อแสดงความเคารพสูงสุด”
ฮ่องเต้ว่านลี่เพิ่งจะสบายพระทัยลงก็เคร่งเครียดขึ้นอีก ครุ่นคิดนานก่อนจะโบกพระหัตถ์ตรัสว่า
“ให้พระสนมหลี่มาปรนนิบัติเราคืนนี้!”
สีหน้าเจ้าจินเลี่ยงงุนงง เพราะตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงโปรดพระสนมเอกเจิ้งมา ก็ไม่ค่อยได้เรียกตัวพระสนมอื่น มีแต่อารมณ์ไม่ดีเท่านั้นจึงจะเรียกเข้าเฝ้ารับใช้ ชัยชนะใหญ่เช่นนี้ เหตุใดอยู่ๆ จึงทรงอารมณ์ไม่ดี ทว่าเจ้าจินเลี่ยงย่อมไม่ถาม โขกศีรษะ รีบออกไปสั่งการ
***********
หลังตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครองว่างลง พวกจางซื่อเหวยก็แตกตื่นตกใจ แม้ว่าจางซื่อเหวยกลับไปไว้ทุกข์ได้เกือบปีแล้ว อิทธิพลในราชสำนักค่อยๆ เลือนหายแล้ว อำนาจเดิมค่อยๆ ถูกเสนาบดีและเจ้ากรมต่างๆ แบ่งแยกไป ทุกคนล้วนมีอาณาเขตของตน ล้วนมีพรรคพวกของตน
แต่ส่วนใหญ่ก็ยังช่วยเหลือกัน ตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครองเป็นตำแหน่งรองจากมหาอำมาตย์กับรองอำมาตย์ บางครั้งยังอาจสูงกว่ารองอำมาตย์ด้วยซ้ำไป
อำนาจคุมตำแหน่ง เป็นอำนาจที่สำคัญที่สุดในวงการขุนนาง หากตกในมือผู้ใด ก็ย่อมกุมอำนาจได้ เดิมคิดว่าให้หวังซีเจวี๋ยเข้ามาทานอำนาจเซินสือหัง คิดไม่ถึงว่าหวังซีเจวี๋ยกับเซินสือหังกลับเข้ากันได้ หากตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครองถูกเอาไปอีก ก็ย่อมถูกบีบหนักแล้ว
ทว่าผลก็ออกมาเร็วมาก หลังได้รับการบอกใบ้จากฮ่องเต้ว่านลี่ เสิ่นหลี เสนาบดีกรมพิธีที่หนานจิง ก็เข้ารับตำแหน่งเสนาบดีกรมปกครอง
เสิ่นหลีเป็นพรรคพวกจางซื่อเหวย ตอนแรกเป็นผู้ถูกลูกหลงจากการต่อสู้ของจางซื่อเหวยในเมืองหลวงกับพวกจางจวีเจิ้ง พอจางซื่อเหวยกลับบ้านเกิด ก็ไม่มีคนสนใจเขาอีก คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้มีโอกาสฟื้นคืน
“ฮ่องเต้เจริญชันษาแล้ว นี่ก็เหมือนปล่อยให้ในราชสำนักสมดุลอำนาจกันเอง!”
ไม่ต้องคนฉลาด แค่คนมีประสบการณ์การเมืองมากหน่อยก็ย่อมมองออกในเรื่องนี้ หวังซีเจวี๋ยกับเซินสือหังแอบคุยกันส่วนตัว ทุกคนพากันหัวเราะดัง
เพราะฮ่องเต้ว่านลี่ทรงทำเช่นนี้ เดิมพรรคพวกจางซื่อเหวยที่รู้สึกไม่สบายใจก็พลันสงบลงได้ ในเมื่อไม่ได้มุ่งมาหาเรื่องพวกเขา เช่นนี้ก็ยังคงเป็นปกติต่อไป
ยามอยู่ในราชสำนักหารือ ทุกคนก็มีท่าทีปรองดองกัน คุยสัพเพเหระกันไป
เวลาผ่านไปเร็วมาก เข้าสู่เดือนหก หลี่เฉิงเหลียงนำทัพกลับมา ใกล้เข้าสู่อาณาเขตแผ่นดินหมิง กรมทหารส่งขุนนางไปแล้ว
รายงานอย่างเป็นทางการมาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่ได้ต่างอันใดกับรายงานจากสำนักบูรพา ขุนนางบุ๋นในราชสำนักต่างส่งเสียงชมเชย ส่วนหนึ่งได้รับประโยชน์จากตระกูลหลี่ แต่ส่วนใหญ่คิดเชิดชูชัยชนะเมืองเหลียวโจว เพื่อจะได้กดชัยชนะหวังทงไม่ให้แสบตาเกินไปนัก
กุข่าวลือมั่วซั่วตอนนี้ต้องถูกจับไปลงโทษ ก่อนหน้านี้มีผีโชคร้ายกลุ่มหนึ่งถูกเนรเทศไปหนิงเซี่ยเป็นการสั่งสอน ย่อมไม่มีผู้ใดคัดค้าน ขุนนางบุ๋นราชสำนักล้วนฝีพู่กันดี เขียนยกยอชัยชนะใหญ่ของหลี่เฉิงเหลียงซะสูงเทียมฟ้า ความหมายก็คือเป็นรองแค่บุกเบิกแผ่นดินหมิงและเหตุการณ์ฮ่องเต้จูตี้ปราบกบฏขึ้นครองราชย์เท่านั้น
การยกยอเช่นนี้ ขุนนางบุ๋นได้แค่แอบกระทำกัน ต่อหน้าไม่กล้าเอ่ยเด็ดขาด ชัยชนะเมืองเหลียวโจวยิ่งใหญ่จริง แต่หัวที่ตัดมาได้คุยโวแล้วก็สองหมื่นกว่า หากที่กรมทหารตรวจนับที่เมืองกุยฮว่าเฉิงมา บอกว่าเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นหัวศัตรูห้าหมื่นกว่าจริงๆ เทียบกันได้อย่างไร
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า หวังทงทำลายเผ่าอันต๋าสิ้นไปจริง แม้แต่ข่านเผ่าอันต๋าทั้งครอบครัวก็ถูกตัดหัวหมด ผลงานความชอบหลังสงครามไม่ต้องพูดถึง ภูเขาทองทะเลเงินชัดๆ เมืองเหลียวโจวทางนั้นมีแต่พวกสัตว์เลี้ยงเป็นหมื่น เงินทองมากมายมหาศาล หากแสนกว่าตำลึงเรียกว่ามากมายมหาศาลแล้ว ก็ไม่รู้ว่าของหวังทงเรียกว่าอะไร สัตว์เลี้ยงบนทุ่งหญ้านอกด่านเรียกว่าทรัพย์สินหรือ ซื้อเอาก็ได้
เผ่าอันต๋าระดับไหน ตั้งแต่กลางสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งก็เป็นภัยร้าย ยังตีมาถึงเมืองหลวงอีก สมัยฮ่องเต้หลงชิ่งจึงสงบลงได้ แต่ราชสำนักก็กังวลใจมาตลอด แม้แต่เซิงเก๋อตูกู่เหลิงกับมเหสีสามขัดแย้งกันยังต้องลนลานส่งคนไปไกล่เกลี่ย เพราะกลัวเกิดผลกระทบไปด้วย
เผ่าเคอเอ่อชิ่นระดับไหนหรือ ก็แค่ถูกดูแคลนว่า ‘ป่าเถื่อน’ นอกด่าน การรบเทียบกันได้อย่างไร เทียบกันด้านต่างๆ แล้ว ชัยชนะยิ่งใหญ่นี้ข้างนอกก็คุยโวกันไป แต่ในราชสำนักไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึง
ทว่าที่ทำให้คนแปลกใจก็คือ ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนว่าไม่ได้ไม่พอใจกับชัยชนะใหญ่ของหลี่เฉิงเหลียง หากยังตรัสชมเชยหลายคำ ตามข่าวจากในวังมีว่า รางวัลพระราชทานตระกูลหลี่เทียบกับหวังทง หลี่เฉิงเหลียงมีความชอบมาก ยังมีผลงานมาก่อนหน้า ครั้งนี้เตรียมพระราชทานหนัก
หลี่เฉิงเหลียงเดิมก็เป็นป๋อแล้ว ครานี้อาจได้ถึงขั้นกั๋วกง หลี่หรูป๋อได้แต่งตั้งเป็นป๋อ ที่เหลือก็ล้วนได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ ทำให้ทุกคนต้องอ้าปากค้าง
แต่เมื่อพิจารณาด้านอื่นแล้ว ไม่ว่าผู้ใดได้รับชัยชนะใหญ่ ล้วนส่งผลดีต่อแผ่นดินหมิง หลี่เฉิงเหลียงสั่งสมความชอบมานานแล้ว อายุก็มากแล้ว พื้นที่เมืองเหลียวโจวก็เท่ากับหนึ่งมณฑลแล้ว คนเช่นนี้ย่อมได้รับพระราชทานรางวัลหนัก บรรดาขุนนางย่อมไม่คัดค้าน กลับพากันสรรเสริญ
ประเด็นก็คือ หวังทงไม่ได้มีความคิดเห็นใดในเรื่องนี้ ว่ากันว่าหวังทงยังบอกว่า นี่เป็นชัยชนะแผ่นดินหมิง ส่งผลดีต่อแผ่นดินหมิง ส่งผลดีต่อฝ่าบาท ย่อมเป็นเรื่องดี
บรรดาขุนนางแอบถอนหายใจเฮือก หวังทงผู้นี้แม้ว่ามักจะทำอะไรผิดแบบแผน แต่เรื่องใหญ่ก็ยังไม่ออกนอกเส้นทาง รู้ว่าตนเองเป็นข้าแห่งแผ่นดินหมิง รู้ผลดีผลร้ายและการหนักเบา
*************
เดือนหก ณ หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อประชุมเสร็จ บรรดาขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่กับหกกรมกองกำลังหารือกัน ก็มีขันทีน้อยจากสำนักส่วนพระองค์นำฎีกามา
ขุนนางก็ต้องดำเนินการตามคำสั่งลายพู่กันสีชาดบนนั้น คุยกันไปเรื่อย บรรยากาศสบายๆ
ราชบัณฑิตสวี่กั๋วในคณะเสนาบดีใหญ่อ่านฎีกาไปพลางส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า
“ทุกท่าน ไห่กังเฟิงถวายฎีกาอีกแล้ว ต้องการให้ตรวจสอบที่นาราษฎรที่ตระกูลสวีครอบครองที่เมืองซงเจียง”
ทุกคนที่ทำงานกันอยู่ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน สบตากัน พากันส่ายหน้า หวังซีเจวี๋ยวางฎีกาในมือลงกล่าวว่า
“ไห่รุ่ยนี่ ยังเอาเรื่องไม่ยอมปล่อย ตอนนั้นเพราะเรื่องนี้จึงต้องถูกล้มไป ตอนนี้ยังไม่เลิก นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนะ?”
ขุนนางหนึ่งในคณะเสนาบดีใหญ่รีบลุกขึ้นตอบกล่าวว่า
“เรียนท่านรองอำมาตย์หวัง นี่เป็นครั้งที่เก้า” ทุกคนในห้องพากันยิ้ม หากกล่าวว่าตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เจียจิ้งมาจนฮ่องเต้ว่านลี่ มีผู้ใดมีชื่อเสียงบ้าง ไห่รุ่ยย่อมติดโผ
ในสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งแข็งกร้าวอย่างไรไม่ต้องพูดถึง ยื่นฎีกาครั้งนี้เห็นว่าเกี่ยวพันกับเรื่องหนึ่งสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง ไห่รุ่ยเป็นที่ทรงโปรดในสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง เป็นผู้ตรวจการ ไห่รุ่ยยึดแนวทางมาตลอดว่า ตระกูลใหญ่กลืนกิน โดยเฉพาะพวกมีความชอบที่ชอบกลืนกินที่นาชาวบ้าน เป็นภัยต่อแผ่นดิน
ดังนั้นพอไปถึงหนานจิง ก็มีความขัดแย้งกับคนใหญ่คนโตทางใต้ไม่น้อย และเป็นพื้นที่ที่ถูกกลืนกินมากที่สุดในแผ่นดินหมิง มีพวกมีอิทธิพลมากที่สุด
แต่ละเมืองตอนใต้ ในนั้นที่รุนแรงที่สุดก็คือเมืองซงเจียง เจ้าของที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในเมืองซงเจียงก็คืออดีตมหาอำมาตย์ ผู้คว่ำกาวก่ง นามว่าสวีเจี้ย
เมืองซงเจียงเดิมไม่ใหญ่มาก แต่น้ำท่าสมบูรณ์เป็นที่นาดีทุกแห่ง และยังเป็นที่นาที่ทำนามาหลายปี ที่ดินหนึ่งหมู่ที่นี่ย่อมเทียบได้กับที่ดินหลายหมู่หรือสิบกว่าหมู่ที่อื่น
หลังสวีเจี้ยกลับบ้านเกิด ครอบครัวเขาก็ครอบครองที่นาไปกว่าสี่แสนหมู่ ที่ดินในครอบครองขุนนางมีความชอบย่อมได้รับการเว้นภาษี สวีเจี้ยเป็นขุนนางใหญ่ระดับหนึ่ง เมืองซงเจียงกับเมืองข้างเคียงย่อมมีคนไม่น้อยต้องการใช้ชื่อเขาครอบครองที่ดิน แต่คนปกติจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร ตระกูลสวีเป็นตระกูลอันดับหนึ่ง ย่อมมีคนมาหาถึงที่ เขาจึงได้แต่กลืนเข้าไป ไม่คายออกมา
หลังไห่รุ่ยมารับตำแหน่งก็ฟ้องว่าตระกูลสวีฮุบที่ดินชาวบ้านไม่ยอมคืน ไห่รุ่ยมองตระกูลสวีว่าเป็นเจ้าของที่ดินตัวใหญ่ที่ต้องล้มให้ได้ ปะทะกันหลายครั้ง ตระกูลสวีคายที่ดินออกมาไม่น้อย แต่ไห่รุ่ยต้องการสืบให้หมด นี่ได้เกินขอบเขตที่ตระกูลสวีจะรับได้
ตระกูลสวีซื้อจึงติดสินบนขุนนางในราชสำนักนามว่าไต่เฟิ่งเสียน ไต่เฟิ่งเสียนจึงยื่นฎีกาฟ้องไห่รุ่ยกระทำผิดกฎหมาย จางจวีเจิ้งก็รู้สึกว่าไห่รุ่ยทำเกินไปแล้ว สวีเจี้ยเป็นอาจารย์ของจางจวีเจิ้ง ในราชสำนักย่อมตามน้ำ สั่งปลดไห่รุ่ย
ตั้งแต่จางจวีเจิ้งเป็นมหาอำมาตย์ แม้ว่ามีเสียงเรียกร้องให้ไห่รุ่ยกลับมา แต่จางจวีเจิ้งอย่างไรก็ไม่ยอม เกรงว่าปล่อยไห่รุ่ยออกมาจะเป็นการทำลายตนเอง
พอจางจวีเจิ้งป่วยตายไป จางซื่อเหวยขึ้นครองอำนาจ เป็นปรปักษ์กับพวกจางจวีเจิ้ง จึงส่งเสริมไห่รุ่ยให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้ากรมตรวจสอบประจำหนานจิง นี่เป็นงานไม่มีอันใดให้ทำ ทว่าไห่รุ่ยกลับเหมือนเมื่อก่อน คดีที่ปิดไม่ลงก็ต้องปิดให้ได้ เรื่องตระกูลสวีครอบครองที่นา เขาย่อมกัดไม่ปล่อย
สวีเจี้ยตอนปีที่ 10 ในรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ก็ป่วยตาย จางจวีเจิ้งก็ป่วยตายไปแล้ว ไต้เฟิ่งเสียนตอนนี้ก็ไปว่างงานอยู่ที่หนานจิง ทุกคนไปกันหมดแล้ว แต่ไห่รุ่ยยังคงอยู่
มิน่าคณะเสนาบดีใหญ่จึงพากันหัวเราะขำ….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น