ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 808-809
ตอนที่ 808 ปรากฏตัว
Ink Stone_Fantasy
สายลมหมุนสีเงินยวงรวดเร็วประหนึ่งคมวายุแหลมคมหอบหนวดเนื้อสีเลือดกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้ามาด้านในเป็นระยะ หลังเสียงฟู่ๆ ดังขึ้นก็ปั่นจนแหลกละเอียดกลายเป็นเนื้อแหลกเหลวกองแล้วกองเล่ากระจายออกมา
แต่สิ่งที่เซวียผานคิดไม่ถึงก็คือแม้พายุหมุนซึ่งเกิดจากลิ่มแหลมที่มือจะปราบหนวดเนื้อที่พุ่งออกมาจากกำแพงเนื้อเหล่านี้ได้ แต่ความเร็วก็ต่างจากหนวดเนื้อที่งอกออกมาเพิ่มไม่ขาดสายไม่เท่าไร การจะทะลุวงล้อมออกไปเห็นชัดว่าคงไม่เป็นดั่งใจอยู่บ้าง
เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยพร้อมกับที่หยาดเลือดกัดกร่อน พายุหมุนสีเงินยวงที่เดิมทีแหลมคมก็ค่อยๆ หดเล็กลงกว่าก่อนหน้านี้
……
“เจ้าสิ่งนี้จัดการยากเสียจริง ดูท่าคงได้แต่ใช้หยกจันทร์เพ็ญที่อาจารย์มอบให้แล้ว” ชายหนุ่มรถเงินมองหุ่นเต่ายักษ์สีเงินสีเงินที่ย้อมด้วยเลือดไม่น้อยตรงหน้าแล้วส่ายศีรษะเอ่ยกับตัวเอง
เพิ่งเอ่ยจบ ทันใดนั้นเขาก็เหวี่ยงมือกระชากข้างเอว ป้ายหยกใสแวววาวแผ่นหนึ่งถูกเขากำไว้ในมือ
แววตาปวดใจแล่นผ่านในดวงตาเขา เมื่อมือข้างหนึ่งดีดแผ่วเบา แสงสีน้ำเงินเส้นหนึ่งก็พุ่งเร็วรี่ไปยังป้ายหยก
เสียง “ฟู่” ดังขึ้นแผ่วเบาหนึ่งหน ป้ายหยกแวววาวพริบตาเปล่งแสงสีขาวสว่างจ้า อักขระสีน้ำนมตัวหนึ่งลอยออกมาจากผิวหน้าของป้ายหยก ทันใดนั้นมันก็กะพริบบ้าคลั่งกลางอากาศสองสามครั้งแล้วระเบิดออก
แสงเรืองรองสีเงินอ่อนโยนสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาสี่ด้านในทันที จันทร์สว่างกระจ่างดวงหนึ่งฉับพลันลอยอยู่กลางอากาศ
รอบดวงจันทร์กระจ่าง วงแหวนแสงสีเงินยวงวงแล้ววงเล่ากระเพื่อมประหนึ่งคลื่นน้ำ ในอาณาเขตหลายจั้งรอบด้านไม่ว่าหนวดเนื้อสีเลือดหรือกำแพงเนื้อใต้วงแหวนแสงสีเงินยวงล้วนแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว
ดวงจันทร์กระจ่างยิ่งขยายใหญ่ขึ้นทุกที วงแหวนแสงที่แผ่ออกมาก็ยิ่งเต็มแน่นขึ้นทุกที ล้อมมิติสีเลือดทั้งหมดที่ชายหนุ่มรถเงินอยู่อย่างรวดเร็วด้วย
หนวดเนื้อสีเลือดจากกำแพงเนื้อรอบด้านตอนนี้แห้งเหี่ยวหงิกงอ หลุดร่วงออกมาไม่หยุด กำแพงเนื้อสีเลือดก็ค่อยๆ แห้งแตกแทบจะบางจนเหลือเพียงหนังหนึ่งชั้น
ในเวลานี้เองชายหนุ่มรถเงินก็ตบกลางอกทีหนึ่ง เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นทีหนึ่ง ชุดเกราะจักรกลบนแผ่นหลังส่องแสงสีทองวูบหนึ่ง ปีกจักรกลสีทองขนาดหนึ่งจั้งกว่าสามคู่ก่อตัวบนแผ่นหลังร่างของเขาแล้วเริ่มกระพือเร็วไวดังอื้ออึง
……
หลิ่วหมิงนั่งสงบอยู่ในมิติเลือดเนื้อ รอบตัวเขาเด็กน้อยชุดเขียวหน้าตาเหมือนกันเก้าคนกำลังพ่นเปลวไฟสีเทาขมุกขมัวดวงแล้วดวงเล่าออกจากปากต้านทานหนวดเนื้อสีเลือดที่พุ่งออกมามากมายรอบด้านสุดกำลัง
“เฟยเอ๋อร์ ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้ามากที่ซื้อเวลาให้ข้าไม่น้อย” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็ปรือตาทั้งสองข้างขึ้นพลางเอ่ยนิ่งๆ
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำขอรับ นายท่าน!”
เด็กน้อยชุดเขียวทั้งหมดเวลานี้สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินหลิ่วหมิงเอ่ยชมเขา หนึ่งในนั้นก็ยังคงเอ่ยตอบดีใจอย่างเห็นได้ชัด
“พักสักครู่ก่อนเถิด ต่อไปให้ข้าจัดการเอง”
หลิ่วหมิงยิ้ม มือข้างหนึ่งก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอว เด็กน้อยเก้าคนระเบิดพร้อมเพรียงกลายเป็นไอหมอกหลอมรวมเป็นก้อนเดียวจากนั้นม้วนตัวมุดเข้าไปในถุงหนัง
แม้เฟยเอ๋อร์เพียงซื้อเวลาให้เขาเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในช่วงเวลานี้หลิ่วหมิงก็กลืนโอสถจินหยวนระดับสูงต่อกันไปสามเม็ด ฟื้นพลังเวทขึ้นมาได้บ้าง
หลังเขาเก็บเฟยเอ๋อร์ไปสายตาก็เย็นชา มือตั้งท่าเคล็ดวิชา กระตุ้นพลังเวทในร่างกรอกเข้าไปในกระบี่บินพลังจิตวิญญาณในร่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
กระบี่น้อยสีทองในร่างของเขาสั่นเบาๆ พร้อมกับเสียงใสกังวาน มันบินออกมาจากกลางหว่างคิ้วเขากลายเป็นรุ้งกระบี่สีทองยาวห้าหกจั้งเส้นหนึ่ง หลังบินวนข้างกายรอบหนึ่งก็พุ่งเขาไปหาจุดหนึ่งบนกำแพงเนื้อสีเลือด
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง
รุ้งสีทองพุ่งจมลงไปในกำแพงเนื้อค่อนครึ่ง เคล็ดวิชาที่มือหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปอย่างเร็วไวอีกครั้ง
เสียง “ชือๆ” ดังลั่น ปราณกระบี่แหลมคมสายแล้วสายเล่าแยกออกมาจากบนรุ้งกระบี่กลายเป็นสายสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าเกี่ยวพันกันไปมา
ระหว่างที่แสงสีทองขยับวูบไหว แม้เลือดเนื้อบนกำแพงเนื้อจะทนทานอย่างยิ่ง แต่ก็หลุดล่อนลงมาชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
หลังเวลาสิบกว่าลมหายใจบนกำแพงเนื้อก็ปรากฏรูยักษ์สีเลือดขนาดครึ่งจั้งรูหนึ่งขึ้นมา ทว่าเลือดเนื้อรอบด้านขยับยุกยิกเข้ามาโถมอย่างบ้าคลั่ง ตั้งแต่ต้นจนจบจึงยังไม่อาจทะลุกำแพงเนื้อได้สำเร็จ
เสียง “ปัง” ดังขึ้นทีหนึ่ง ร่างกายหลิ่วหมิงพร่าเลือนวูบหนึ่งหายไปจากที่เดิมหลบการโจมตีของหนวดเนื้อหลายเส้นที่หวดมาถึง
ครู่ต่อมาเบื้องหน้ารูยักษ์สีเลือด เงาร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวออกมา พร้อมกับเสียงตวาดแผ่วเบา แขนข้างหนึ่งก็หนาขึ้นแล้วต่อยหนึ่งหมัดออกไปเบื้องหน้าในทันใด เงาพยัคฆ์หมอกสีดำตัวหนึ่งส่งเสียงคำราม ชั่วพริบตาด้านในรูยักษ์ก็ระเบิด หมอกสีดำพลุ่งพล่านพลันกลายเป็นคลื่นปราณระเบิดซัดออกมา
เสียงเปรี้ยงดังสนั่น!
รูใหญ่สีเลือดเกิดแสงสว่างวาบ ระเบิดฉีกออกเป็นช่องยาวหลายฉื่อช่องหนึ่ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ในใจพลันยินดี ไม่พูดพร่ำมือข้างหนึ่งกวักเรียกกระบี่ว่างเปล่า รอบร่างส่องแสงสีทองสว่างจ้ากลายเป็นรุ้งสีทองแสบตาเส้นหนึ่งพุ่งออกจากรอยแยก หนีออกจากที่คุมขังในทันใด
เมื่อแสงกระบี่สีทองกลางอากาศดับลง ร่างกายของหลิ่วหมิงก็ปรากฏขึ้น มือข้างหนึ่งถือกระบี่ สายตากวาดไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว
เขาเห็นบนพื้นของมิติสีเลือดมีรังไหมสีเลือดขนาดสิบจั้งกว่ารังแล้วรังเล่าวางอยู่ทั่ว มันบิดเต้นไม่หยุดประหนึ่งหัวใจของคนเป็น ผิวด้านนอกของรังไหมสีเลือดเหล่านี้มีหนวดเนื้อเส้นแล้วเส้นเล่ารัดพันไม่หยุด ทำให้รังไหมสีเลือดขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เห็นชัดเจนว่ายิ่งเวลานานรังไหมสีเลือดนี้ก็ยิ่งหนาขึ้นทุกที ความเป็นไปได้ที่คนซึ่งถูกขังอยู่ด้านในจะทะลวงออกมาได้ก็ยิ่งน้อย
ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง รังไหมสีเลือดที่เหมือนกับถุงลมแฟบรังหนึ่งปรากฏอยู่บนพื้น ทั้งยังเหลือเพียงครึ่งเดียวไม่ครบรัง
ท้องฟ้าด้านบนของมันบุรุษผมม่วงแห่งหอเป๋ยโต่วหนีรอดออกมานานแล้ว ในมือกำลังแกว่งไกวมีดสีม่วงแวววาวเล่มหนึ่งฟันหนวดเนื้อสีเลือดที่ปรากฏขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสายรอบด้านไม่หยุด
หลังเขาเห็นหลิ่วหมิงปรากฏตัวก็มองด้วยสายตาเย็นชาแล้วละสายตาออกไป เหวี่ยงมีดสีม่วงในมือต่อไม่หยุด
ในเวลานี้เองใกล้ๆ หลิ่วหมิงก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น รอบด้านมีหนวดเนื้อสีเลือดมากมายโอบรัดเข้ามาเช่นเดียวกัน
หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยัน กระบี่ว่างเปล่าในมือเพียงสั่นทีหนึ่ง เงากระบี่แถบแล้วแถบเล่าก็ซัดออกไปอย่างบ้าคลั่งฟันหนวดเนื้อที่เข้าใกล้ทั้งหมดกลายเป็นหมอกโลหิตในทันใด
ในเวลานี้เองรังไหมสีเลือดมหึมาไม่ธรรมดารังหนึ่งตรงกลางระหว่างหลิ่วหมิงกับบุรุษผมม่วงพลันมีปราณเย็นยะเยือกชวนให้คนขนลุกสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า
หลิ่วหมิงใจสะท้านก้มศีรษะมองไปทันที บุรุษผมม่วงก็กวาดตาไปเช่นเดียวกัน สายตาฉายประกายประหลาดใจวูบหนึ่ง
ครู่ต่อมาหลังรังไหมสีเลือดก็ขยายหดอย่างกะทันหันครั้งหนึ่งแล้วส่งเสียงดัง “เปรี้ยง” ระเบิดออกมา แสงรัศมีสีน้ำนมสายแล้วสายเล่าพุ่งทะลุออกมาจากด้านใน จากนั้นดวงจันทร์สีเงินสว่างไสวดวงหนึ่งก็ส่องแสงรัศมีสว่างแล้วพร่าเลือนไป เงาคนในชุดเกราะจักรกลสีทองอ่อนร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ปีกสีทองสามคู่บนแผ่นหลังขยับกระพือ
ชายหนุ่มรถเงินของนิกายเทียนกงผู้นั้นนั่นเอง ผิวชุดเกราะของเขามีรูเลือดขรุขระกระจายไปทั่ว เห็นชัดว่าผ่านการต่อสู้ดุเดือดศึกหนึ่งมาถึงหนีรอดออกมาได้
ชายหนุ่มรถเงินปรากฏตัวปุบก็กะพริบตาทีหนึ่ง เมื่อเห็นหลิ่วหมิงกับบุรุษผมม่วง เขาก็อดไม่ได้ตกตะลึงเล็กน้อย
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ด้านในหมอกโลหิตขมุกขมัวบนท้องฟ้าสูงก็มีเสียงแหลมของสตรีดังออกมา
“จิ๊ๆ ถึงกับมีเด็กน้อยระดับผลึกสามคนทะลวงคุกโลหิตออกมาได้ ดูท่าช่วงนี้แผ่นดินจงเทียนจะพรั่งพร้อมด้วยคนมีความสามารถ”
“ผู้ใดทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ที่นั่น!”
บุรุษผมม่วงได้ยินพลันสีหน้าเย็นเยียบ เขาไม่พูดพร่ำยกมือข้างหนึ่งขึ้น มีดสั้นสีม่วงแวววาวในมือหลุดออกจากมือไป
หลังเสียง “ฉึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง
มีดสั้นโต้ลมขยายกลายเป็นรุ้งยาวสีม่วงยาวสิบกว่าจั้ง ส่งเสียงหวีดแหลมประหลาดซัดไปยังจุดที่เสียงดังออกมาสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
เสียงหัวเราะหยันดังขึ้น ทันใดนั้นสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าด้านนั้นก็เกิดแรงสั่นไหวเป็นระลอก เปลวเพลิงสีดำดวงหนึ่งฉับพลันปรากฏออกมา มันโฉบแวบหายไปแล้วปะทะเข้ากับรุ้งยาวสีม่วง!
เสียงระเบิดสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน!
รุ้งยาวสีม่วงกับเปลวเพลิงสีดำปะทะกันแล้วทลายสลายไปพร้อมกัน มีดสั้นสีม่วงที่ไร้แสงรัศมีร้องครวญครางทีหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
บุรุษผมม่วงเลิกคิ้ว มือข้างหนึ่งกวักอากาศ ทันใดนั้นแรงดูดล่องหนสายหนึ่งก็ส่งออกไป มีดสั้นถูกดูดกลับมาอยู่ในมือในพริบตา
ในเวลานี้เองหนวดสีเลือดทั้งหมดที่เดิมทีสะบัดร่อนบ้าคลั่งอยู่ใกล้กับทั้งสามคนก็หยุดนิ่ง จากนั้นสลายกลายเป็นหมอกโลหิตสายแล้วสายเล่าหายไปกับอากาศ
หลิ่วหมิงใจสะท้านเก็บกระบี่ว่างเปล่าในมือไป สองตาหรี่ลงจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสูง
ใบหน้าของชายหนุ่มรถเงินก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงชะเง้อมองไปเช่นกัน
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นหนึ่งครั้ง หลังหมอกโลหิตบนท้องนภาถาโถมอยู่พักหนึ่งทันใดนั้นมันก็แยกออกซ้ายขวา เผยเงาร่างประหลาดสีเลือดที่พร่าเลือนไม่ชัดร่างหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่า สายตามันเผยแววตาดุร้ายมองคนทั้งสามเบื้องล่างทั้งยังเปล่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมา
สัตว์ประหลาดตัวนี้ดูแล้วสูงกว่าคนปกติอยู่หลายส่วน มันสูงราวหนึ่งจั้งกว่า เขาแหลมยาวหนึ่งฉื่อกว่าคู่หนึ่งบนศีรษะส่องแสงสีแดงเรืองๆ หลังร่างเป็นปีกเนื้อขนาดยักษ์สีแดงหม่นคู่หนึ่งกับหางกระดูกหน้าตาประหลาดหนาเท่าแขนเส้นหนึ่ง ในมือถือตรีศูลที่ส่องแสงสีดำเล่มหนึ่ง บนตรีศูลเพลิงปราณสีดำสายแล้วสายเล่ากำลังลอยไม่นิ่ง
สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านเพลิงปราณดวงนั้นแล้วอดไม่ได้คิ้วขมวดเล็กน้อย ปราณเส้นเล็กเส้นน้อยที่แผ่ออกมาจากเพลิงปราณสีดำนั่นบนตรีศูลคล้ายกับไอปีศาจแท้อยู่หลายส่วน
ในเวลานี้เองข้างกายสัตว์ประหลาดสีเลือดก็มีไอหมอกสองก้อนสีเขียวกับสีเทาลอยออกมาอย่างกะทันหัน
หลังไอสีเขียวเรืองรองกระจายออกก็เห็นสตรีหน้าตางดงามซึ่งครึ่งท่อนบนสวมอาภรณ์สีเหลืองนางหนึ่ง แลดูค่อนข้างงดงามน่ารัก ทว่าครึ่งท่อนล่างใสแวววาวอวบอ้วนคล้ายหนอนไหม เวลานี้นางกำลังยกมือข้างหนึ่งปิดปากหัวเราะคิกคักมองทั้งสามคน
ใจกลางหมอกสีเทากลุ่มนั้น หนอนยักษ์ตัวหนึ่งที่มีเปลือกแข็งแวววาวเป็นท่อนๆ มีขาไม่น้อยกว่าหลายสิบคู่ประหนึ่งตะขาบยักษ์กำลังขยับขาคู่หน้าหนาใหญ่สองข้าง ทำท่าแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ
แม้หนอนยักษ์ร่างกายอัปลักษณ์ แต่ใบหน้ากลับคล้ายมนุษย์ทว่ามีเขี้ยวโง้งอ้าหุบไปทางซ้ายขวาไม่หยุดคู่หนึ่งซึ่งมีน้ำสีเทาไม่ทราบชื่อไหลออกมา
หลิ่วหมิงเห็นสัตว์ประหลาดหน้าตาดุร้ายสองตัวที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ ในใจก็พรั่นพรึง ลอบปล่อยจิตสัมผัสกวาดออกไปเงียบๆ
ไม่ผิดจากที่คาดเมื่อพลังจิตของเขากวาดผ่านทั้งสามตนกลับไม่รู้พลังของสามตนอีกฝั่งไม่ได้สักนิด
ในเวลานี้เองเสียงแผ่วเบาระลอกหนึ่งก็ดังมาจากรังไหมสีเลือดอีกรังหนึ่งข้างใต้ทั้งสามคน ผิวหน้าของรังไหมสีเลือดฉับพลันมีแสงสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งทะลุออกมาจากนั้นก็ระเบิดออก แสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาจากด้านใน
เมื่อแสงรัศมีดับลงก็ปรากฏเงาคนร่างหนึ่ง หลัวเทียนเฉิงผู้นั้นนั่นเอง
ตอนที่ 809 ตรีศูลโลหิตกับชวีเหยา
Ink Stone_Fantasy
หลัวเทียนเฉิงเห็นพวกหลิ่วหมิงสามคนไม่ทันได้พูด เพียงใช้สายตากวาดมองสภาพรอบด้านก็ตกตะลึงไปทันที
“ฮ่าๆ ก็บอกแล้วว่าวิชาคุกโลหิตที่เจ้าใช้มันไม่ได้เรื่องยังดื้อไม่ยอมรับ คราวนี้ดี ครู่เดียวปล่อยให้หนีออกมาได้สี่คน” สตรีอาภรณ์เหลืองครึ่งคนครึ่งหนอนไหมเหล่มองสัตว์ประหลาดสีเลือดทีหนึ่งแล้วหัวเราะหยันเอ่ยขึ้น
สัตว์ประหลาดสีเลือดไม่พูดไม่จา มันอ้าปากใหญ่โตพ่นโลหิตก้อนหนึ่งออกมาใส่ตรีศูลในมือ
ตัวตรีศูลที่เดิมทีสีดำสนิทฉับพลันปรากฏลวดลายจิตวิญญาณสีเลือดเส้นหนึ่งกะพริบไม่หยุดแล้ววาดเป็นภาพสัญลักษณ์ประหลาดรูปหนอนสีเลือด
หลังจากนั้นสัตว์ประหลาดสีเลือดก็ชูตรีศูลขึ้น
เปรี้ยง!
บนปลายแหลมทั้งสามของตรีศูลปรากฏก้อนแสงสีเลือดสีแดงเข้มสามดวงลอยออกมา พวกมันกะพริบวูบหนึ่งก็ระเบิดออกในทันใด แสงสีเลือดสาดกระจายทั่วท้องฟ้า
ชั่วพริบตาทั่วทั้งท้องฟ้าก็เปล่งแสงสีเลือดสว่างจ้า พร้อมกันนั้นแผ่นดินเนื้อก็สั่นไหวขึ้นอีกครั้ง หนวดเนื้อหนาเส้นแล้วเส้นเล่าดีดออกมาอีกหน พวกมันโถมเข้าใส่รังไหมสีเลือดก้อนแล้วก้อนเล่าจากนั้น โอบรัดอยู่บนนั้นประหนึ่งรากไม้
รังไหมสีเลือดหลายก้อนถูกหนวดเนื้อทำให้แข็งแกร่งขึ้นและขยายใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว นอกจากนี้ผิวหน้ายังส่องแสงสีแดงสว่างจ้า หนวดเนื้อสีเลือดที่หนากว่าเดิมเส้นแล้วเส้นเล่ารวมตัวกันด้านบนรังไหมสีเลือดจากนั้นปัดป่ายไม่หยุด ดูแล้วโหดเหี้ยมน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
“เจ้าคือ…เผ่าตรีศูลโลหิต!”
หลังบุรุษผมม่วงเห็นวิชาที่สัตว์ประหลาดสีเลือดใช้ มองพินิจอย่างละเอียดหลายรอบ ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ หลุดปากออกมาคำหนึ่ง พร้อมกันนั้นสีหน้าก็ซีดเผือดลงประมาณหนึ่งในพริบตา
“ฮ่าๆ! คิดไม่ถึงว่าในสถานที่เล็กๆ เช่นแผ่นดินจงเทียนยังมีคนรู้จักเผ่าตรีศูลโลหิตอยู่ด้วย หายากจริง!” สัตว์ประหลาดสีเลือดเห็นคนเอ่ยที่มาของตนเองออกมาก็ส่งเสียงหัวเราะประหลาดชั่วร้ายออกมาทันที ราวกับได้ใจ
“ตรีศูลโลหิตคือสัตว์ร้ายชนิดใด ดูท่าสหายไม่เพียงรู้ที่มาของมัน ยังหวาดกลัวยิ่งอีกด้วย” หลังหลิ่วหมิงขมวดคิ้วก็เอ่ยถามขึ้นทันที
“เหอะ ไยแค่หวั่นเกรง หากสัตว์ประหลาดตรงหน้าคือตรีศูลโลหิตจริง ครานี้พวกเราเกรงว่าคงโชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้ว” บุรุษผมม่วงได้ยิน แม้สีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่งแต่ก็ยังคงตอบกลับมาหนึ่งประโยคอย่างเร็วไว
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านไยต้องลีลาอันใดอีก รีบพูดให้กระจ่างเถอะ” หลัวเทียนเฉิงกลับแค่นเสียงเหอะ เอ่ยอย่างไม่เกรงใจ
“ข้าเคยได้รับอนุญาตจากประมุขหอให้อ่านเอกสารลับในหอจำนวนหนึ่ง ดังนั้นจึงรู้ข้อมูลที่ผู้ฝึกฝนของโลกนี้ไม่รู้อยู่บ้าง เผ่าตรีศูลโลหิตนี้ความจริงไม่ใช่เผ่าพันธุ์ในโลกมนุษย์แต่เป็นเผ่าพันธุ์แข็งแกร่งที่มาจากโลกชื่อเซวี่ยไห่ หลังโตเต็มวัยอย่างต่ำก็พลังระดับแก่นแท้ขึ้นไป นอกจากนี้คนของเผ่านี้นิสัยดุร้ายชอบต่อสู้ ในเผ่าจึงมีผู้แข็งแกร่งมากมาย ถึงขนาดมีผู้ที่พลังน่าหวาดกลัวระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ไม่น้อย เผ่าพันธุ์ทั้งหมดในโลกมนุษย์ของพวกเราไม่อาจเทียบได้!” บุรุษผมม่วงสีหน้าเคร่งขรึม เขาไม่มีเจตนาจะปิดบัง เล่าเรื่องที่ตนรู้ให้ผู้คนรอบด้านฟังอย่างรวดเร็ว
ผลปรากฏว่าเมื่อฟังคำพูดของคนผู้นี้จบ หลัวเทียนเฉิงก็สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเฮือกหนึ่งแล้วเงยหน้ามองไปยังสัตว์ประหลาดสีเลือดอัปลักษณ์ตัวนั้นอีกหน ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงได้ฟัง ใจก็พรั่นพรึงยิ่งเช่นกัน
สีหน้าของบุรุษผมม่วงชั่วพริบตาย่ำแย่ขึ้นหลายส่วน
ชายหนุ่มรถเงินอีกด้านหนึ่งกลับทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของบุรุษผมม่วง เขากลับจ้องเขม็งไปยังสตรีงดงามครึ่งคนครึ่งหนอนไหมผู้นั้น ทันใดนั้นก็เอ่ยถามเสียงดังไปทางท้องฟ้า
“ขอเรียนถาม ผู้อาวุโสคือ ‘ชวีเหยา’ ในตำนานโบราณหรือไม่?”
“คิกๆ ถึงกับยังมีคนรุ่นหลังในโลกมนุษย์รู้จักความเป็นมาของข้าด้วย นี่หายากจริงเชียว! ดูท่าครั้งนั้นที่เผ่าชวีเหยาของพวกเรารุกรานโลกแห่งนี้คงทิ้งวีรกรรมการรบไว้ไม่น้อย” สตรีครึ่งคนครึ่งหนอนไหมได้ยิน แรกสุดอึ้งไปแต่ทันใดนั้นก็ยิ้มแย้มเอ่ยขึ้นแล้วเหล่มองตรีศูลโลหิตที่อยู่ข้างกายอย่างท้าทายเล็กน้อย
“ชวีเหยา”
“ไม่มีทาง”
ครั้งนี้ไม่ต้องให้ผู้อื่นถามอันใดแล้ว เมื่อได้ยินชื่อชวีเหยา สามคนที่เหลือล้วนหน้าถอดสีอีกหน สายตากวาดพรึ่บจับอยู่บนร่างสัตว์ประหลาดครึ่งสตรีครึ่งหนอนไหมอีกหน
นอกจากตกตะลึง ในสมองหลิ่วหมิงยังคิดไปถึงข้อมูลเกี่ยวกับชวีเหยาอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ถึงค้นพบว่าสตรีครึ่งคนครึ่งหนอนไหมบนท้องฟ้า หน้าตาเหมือนชวีเหยาสัตว์ร้ายโบราณในตำนานที่น่าจะสูญพันธุ์ไปจากโลกมนุษย์นานแล้วจริงๆ
ตามที่ตำราโบราณบันทึกไว้ วันแห่งความโหดเหี้ยมวันหนึ่งในยุคโบราณ สัตว์ร้ายชวีเหยานับร้อยขี่อุกกาบาตร่วงลงมาจากท้องฟ้า จุดที่ร่วงลงมาไม่เพียงทำให้สถานที่ต่างๆ บนแผ่นดินจงเทียนปริแยก แม่น้ำแห้งเหือด ยังทำให้สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนกลายเป็นเถ้าธุลี หากไม่ใช่ผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ทั้งหมดของแผ่นดินจงเทียนร่วมมือกันสังหารจนสิ้น ผลลัพธ์ที่จะตามมาเรียกได้ว่าไม่อาจจินตนาการได้
เทียบกับเผ่าตรีศูลโลหิตเผ่าพันธุ์จากต่างโลกที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเผ่าพันธุ์นี้ ชื่อเสียงโหดร้ายของชวีเหยาย่อมทำให้พวกหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงตะลึงงันอย่างยิ่ง
หากชวีเหยาตัวนี้ตรงหน้ามีอิทธิฤทธิ์น่าหวาดหวั่นอย่างในตำนานจริง ไหนเลยพวกเขาซึ่งมีระดับผลึกกระจอกๆ ไม่กี่คนจะต้านทานอีกฝ่ายได้
“ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าตรีศูลโลหิต ชวีเหยาหรือสัตว์ประหลาดอีกตัวนั่น พลังล้วนถูกกดไว้อย่างมาก ไม่ได้น่ากลัวปานนั้นเหมือนในจินตนาการของพวกเรา เอ๋…ดูจากสภาพประหลาดของร่างกายพวกเขา เหมือนร่างจริงจะไม่ได้มา เป็นแค่ร่างแยกหรือร่างแปลงที่แบ่งวิญญาณมาเท่านั้น ข้าว่าแล้วว่าสัตว์ร้ายเช่นนี้จะปรากฏตัวที่นี่ง่ายๆ ได้อย่างไร” หลังชายหนุ่มรถเงินจำชวีเหยาได้ก็ล้วงเอาลูกแก้วสีฟ้าลูกหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เขาวาดมันผ่านอากาศส่องไปยังสัตว์ประหลาดหลังจากนั้นยิงเคล็ดวิชาจำนวนหนึ่งใส่อย่างเร็วไว ทันใดนั้นบนใบหน้าก็ปรากฏสีหน้ายินดีอย่างยิ่งเอ่ยขึ้นมา
“ท่านคงไม่ได้ดูผิดกระมัง” บุรุษผมม่วงยินดียิ่งเอ่ยถามขึ้นทันที
หลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงได้ยินก็มองไปหาชายหนุ่มรถเงินอย่างตื่นเต้นเช่นเดียวกัน
“ลูกแก้วลี้ลับลูกนี้ของข้า ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักข้ามอบให้ แสดงผลของเป้าหมายไม่มีทางพลาดเด็ดขาด ลูกแก้วนี้บอกว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้พลังราวระดับแก่นแท้ขั้นต้นหรือขั้นกลางเท่านั้น” ชายหนุ่มรถเงินได้ฟังก็เอ่ยตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด
เมื่อคำนี้เอ่ยออกจากปาก ไม่ว่าหลิ่วหมิงหรือหลัวเทียนเฉิงล้วนโล่งอกอย่างมาก
ทั้งสี่คนเดินมาถึงที่นี่ได้ย่อมมีพลังและความมุ่งมั่นเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันมาก ขอเพียงไม่ได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ประเภทที่ทำให้พวกเขาสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง พวกเขาย่อมสู้สุดกำลัง
“คิกๆ น่าสนใจทีเดียว มดปลวกจากโลกมนุษย์เหล่านี้ถึงกับมองข้อมูลเบื้องลึกของพวกเราออกจริงๆ” ชวีเหยาครึ่งสตรีครึ่งหนอนไหมที่อยู่สูงขึ้นไปท้องฟ้าเห็นเช่นนี้ ร่างครึ่งท่อนบนก็ส่ายไหว ยิ้มงดงามออกมาอีกหน
บนหน้าของสัตว์ประหลาดตะขาบยักษ์ตัวนั้นกับตรีศูลโลหิตเผยสีหน้าคาดไม่ถึงออกมาเช่นเดียวกัน
“ดูท่าคนรุ่นหลังเผ่ามนุษย์ไม่กี่คนนี้จะไม่ธรรมดา ถึงกับมองเบื้องลึกเบื้องหลังตอนนี้ของพวกเราออก ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว พูดมากไร้ประโยชน์ เวลาของพวกเราไม่มาก เจ้ากับสหายชวีเหยาจงทุ่มกำลังจัดการคนรุ่นหลังสี่คนนี้ตรงหน้าก่อน ตอนนี้ข้าจะใช้กำลังทั้งหมดปราบคนที่เหลือเอาไว้แล้วใช้คุกโลหิตกลืนกินให้หมด จะได้ฟื้นเลือดบริสุทธิ์ที่เสียไปหลายปีนี้สักที” ตรีศูลโลหิตได้ยินก็แค่นเสียงหยันเอ่ยขึ้น
“สหายตรีศูลโลหิตคิดมากไปแล้ว แม้พวกเราตอนนี้เป็นร่างแปลงชั่วคราวที่แยกออกมาจากร่างจริง พลังไม่ถึงหนึ่งในหลายสิบส่วนของร่างเดิม แต่จัดการคนรุ่นหลังระดับผลึกกระจอกๆ ไม่กี่คนไม่ต้องเปลืองแรงเป่าฝุ่น แต่จะว่าไปแล้วสหายตรีศูลโลหิตอย่างไรก็แยกสี่คนนี้ออกมาดีกว่า อีกประเดี๋ยวตอนข้าลงมือจะได้ไม่ต้องยั้งมือ” สตรีครึ่งคนครึ่งหนอนไหมได้ยินก็เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ คำพูดไม่เห็นพวกหลิ่วหมิงอยู่ในสายตาสักนิด
สัตว์ประหลาดตะขาบยักษ์อีกตัวกลับไม่พูดจาอย่างใด มันเพียงใช้สายตาประหนึ่งเลือกอาหารมองประเมินพวกหลิ่วหมิงสี่คนอย่างเย็นชาเท่านั้น
“มิติสีเลือดแห่งนี้เดิมทีก็อยู่ในร่างที่ถูกผนึกของข้า อยากลงมือแยกพวกเขาย่อมไม่มีปัญหา” หลังตรีศูลโลหิตหัวเราะประหลาดก็ตอบเต็มปากเต็มคำ
จากนั้นมันก็แกว่งตรีศูลที่ส่องแสงสีดำขลับในมือกลางอากาศอีกหน ปากเอ่ยท่องมนตร์งึมงำประโยคหนึ่ง ทันใดนั้นแสงสีเลือดสายแล้วสายเล่าก็แผ่พุ่งออกมาจากบนตรีศูล
แสงสีเลือดเหล่านี้ไม่ได้พุ่งมาหาพวกหลิ่วหมิงสี่คน แต่ทยอยจมลงไปในแผ่นดินเลือดเนื้อด้านล่างอย่างยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ร่างกายพลันดีดพุ่งถอยหลัง สองตากวาดมองรอบด้านอย่างเร็วไวพลางเรียกโล่ดินหนามาไว้ในมือเงียบๆ
บุรุษผมม่วง ชายหนุ่มรถเงินรวมถึงหลัวเทียนเฉิงก็กำอาวุธจิตวิญญาณในมือแน่นเช่นกัน พวกเขาพากันเผยสีหน้าระวัง ต่างคนต่างถอยหลังไปหลายก้าว
แม้พวกเขาจะได้ยินสัตว์ประหลาดกลางท้องฟ้าสนทนากันและยอมรับว่าตนเป็นเพียงร่างแปลงชั่วคราวจริงๆ แต่ระดับพลังก็เหนือกว่าพวกเขาไปไกล ทั้งสี่คนยังจะกล้าประมาทอีกได้อย่างไร
เสียง “ปัง” ดังขึ้นหลายหน รังไหมใต้ร่างหลิ่วหมิงก็ระเบิดออกมาพร้อมกัน แสงสีเลือดแสบตาชั่วพริบตาพุ่งขึ้นฟ้ามาแถบแล้วแถบเล่า
หลิ่วหมิงตกใจ กำลังคิดจะขยับหลบ หนวดเนื้อเบื้องล่างกลับชิงก่อนก้าวหนึ่งพุ่งขึ้นมาสูงบนฟ้าหวดเข้าใส่อากาศ
อากาศรอบตัวเขาอัดแน่น ร่างกายชะงักไปชั่ววูบอย่างห้ามไม่ได้ ทันใดนั้นก็ถูกแสงสีเลือดด้านหลังดึงเข้าไปด้านใน
หลังจากนั้นหลิ่วหมิงรู้สึกเพียงตาลายวูบหนึ่งแล้วหายไปจากมิติสีเลือดอย่างไร้ร่องรอยในทันที
ส่วนพวกหลัวเทียนเฉิงสามคนกับชวีเหยาและสัตว์ประหลาดตะขาบยักษ์ก็ถูกแสงสีเลือดสายอื่นโจมตีในสภาพเดียวกัน พวกเขาพร่าเลือนวูบหนึ่งก็หายไปเช่นเดียวกัน
พริบตาเดียวทั้งมิติสีเลือดก็เหลือเพียงตรีศูลโลหิตอยู่คนเดียว
ทว่าหลังมันหัวเราะหยันครั้งหนึ่ง ร่างกายที่อยู่สูงขึ้นไปบนฟ้าก็พร่าเลือนวูบหนึ่งแล้วหายไปท่ามกลางหมอกโลหิตอีกครั้ง
เมื่อหลิ่วหมิงมองเห็นภาพตรงหน้าชัดอีกครั้ง เขาก็พบว่าตนตกอยู่ในมิติเลือดเนื้อปิดสนิทขนาดร้อยกว่าหมู่ท่ามกลางหมอกโลหิตขมุกขมัวแห่งหนึ่ง
ห่างไปหลายสิบจั้งเบื้องหน้าร่างเขา สัตว์ประหลาดหน้าตาเหมือนตะขาบที่อัปลักษณ์อย่างยิ่งตัวนั้นกำลังมองประเมินเขาอย่างเย็นชา บนใบหน้ามนุษย์สีหน้าโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง
ไม่ไกลจากข้างตัวหลิ่วหมิง ชายหนุ่มรถเงินที่สวมชุดเกราะจักรกลสีทองอ่อนก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าฉงนด้วยเช่นกัน
ส่วนชายหนุ่มผมม่วง หลัวเทียนเฉิงรวมถึงตรีศูลโลหิตกับชวีเหยาล้วนไม่เห็นร่องรอย
“คนรุ่นหลังทั้งสอง พวกเจ้าจะจัดการตัวเองหรือจะให้ข้าลงมือดูแลพวกเจ้าดีๆ พักหนึ่ง หากข้าลงมือจะค่อยๆ กัดกินแขนขาพวกเจ้าทีละนิด หลังจากนั้นถึงแย่งชิงโชคชะตาในมือพวกเจ้ามา เช่นนี้รอข้ากลับไปถึงเผ่าหนอนผีเสื้อ พวกเจ้าก็นับว่ามีส่วนในคุณงามความชอบด้วย” หนอนยักษ์อัปลักษณ์ขยับร้อยขาพร้อมเพรียง ร่างกายยาวเฟื้อยบิดเลื้อย เสียงบุรุษขึงขังดังออกมากะทันหัน ท่าทีไม่เห็นทั้งสองคนตรงหน้าอยู่ในสายตาเลยสักนิด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น