ลำนำบุปผาพิษ 807-814
บทที่ 807 รอจนหงุดหงิดแล้วหรือ
นางจะเหลือร่างเขาไว้ทำเป็นหุ่นเชิด เมื่อถึงยามนั้นเขาก็จะอยู่ข้างกายนางไปตลอดกาลแล้ว
พรุ่งนี้ บางทีความปรารถณาของนางอาจกลายเป็นจริงในวันพรุ่งนี้!
ยามที่นางกับคนชุดเขียวครามผู้นั้นดุเดือดเร่าร้อนกันอยู่ในห้องนอน กระดาษบางเฉียบแผ่นหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากบานหน้าต่างนางอย่างไร้สุ้มเสียง กระดาษแผ่นนี้มีขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น เมื่อลอยวนไปรอบเรือนดั่งขนนพลิ้วตามลมแล้ว ก็ลอยออกไป
ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ดรุณีชุดขาวผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
กระดาษแผ่นนั้นลอยมาถึงมือนาง กลายร่างเป็นมนุษย์ร่างจ้อยตนหนึ่ง เอ่ยกระซิบกระซาบ
ดรุณีนางนั้นฟังอยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีปากหยักเป็นรอยยิ้ม “ช่างโสโครกเสียจริง! แต่ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามที่นายท่านคาดการณ์ไว้! ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยจริงๆ!” พลางเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ ร่างกายโผนทะยานขึ้น หายลับไป
….
ตี้ฝูอีกำลังตกปลาอยู่ ด้านข้างมีถังอยู่ใบหนึ่ง
ตอนที่กู้ซีจิ่วมาหา เขากำลังหลุบตาหย่อนเบ็ดอยู่ ร่างคนดั่งภาพน้ำหมึกที่ไม่ไหวติง
ภาพนี้งดงามนัก กู้ซีจิ่วไม่กล้าเข้าไปรบกวนชั่วขณะ รอให้เขาตกปลาได้ค่อยว่ากัน
ก่อนหน้านี้หลังจากกู้ซีจิ่วร้องเพลงให้เขาฟังแล้ว ก็ถามเขาว่าจะใช้วิชาสลับร่างคืนเมื่อไหร่?
ผลคือเขาบอกว่าจิตใจเขาไม่สงบ ต้องสงบใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน
กู้ซีจิ่วก็ไม่กล้าเร่งรัดเขา คนผู้นี้ความคิดซับซ้อน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ถ้ารีบร้อนเร่งรัดอาจจะไม่ทำขึ้นมาเสียดื้อๆ!
ดังนั้นเธอทำได้แค่รอคอย
เธออยู่ในห้องทำแบบฝึกหัดไปสองชุด จากนั้นก็ฝึกฝนอยู่สักพัก ผลคือล่วงเลยไปหนึ่งชั่วยามแล้ว ทว่ายังไม่เห็นเขากลับมาอย่างสงบใจ ดังนั้นเธอออกตามหา
ร่างกายเดียวกัน ยามที่เธออยู่ในร่างนั้นดูตรงไปตรงมาเรียบง่าย ห้าวหาญองอาจ ตัวคนเสมือนกระบี่ที่ซ่อนเร้นอยู่ในฝัก
แต่ยามที่เขาอยู่ในร่างนั้น กลับดูเอื่อยเฉื่อยเกียจคร้าน เอนหลังพิงเสาต้นหนึ่งในศาลา ตัวคนเฉื่อยชา บุคลิกเหมือนคนเก็บตัว ทว่ามองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่อาจหาเรื่องได้
กู้ซีจิ่วยืนมองอยู่ไม่ไกล
ทันใดนั้นพลันนึกถึงตอนที่เธอเพิ่งทะลุมิติมาถึงได้รางๆ เธอถูกเขาไล่ล่าพัวพันสลัดทิ้งไม่หลุด ตอนเธอแช่อยู่ในทะเลสาบ เขาก็ตกปลาอยู่ด้านหลังเธอ ผลคือตกไม่ได้เลยสักตัว เขายังโมโหอยู่ไม่เบา…
เรื่องราวในอดีตดั่งเมฆหมอก แวบเข้ามาในหัวใจ เธอกดเรื่องราวแต่หนหลังทั้งหมดลงไป ไม่คิดถึงอีก
เธอคอยอย่างสงบอยู่ด้านข้างนานกว่าหนึ่งเค่อ ผลคือสายเบ็ดในทะเลสาบยังคงแน่นิ่ง
กู้ซีจิ่วค่อนข้างฉงน ในทะเลสาบแห่งนี้มีปลาอยู่ไม่น้อย แถมยังตกได้มายาก หลายวันมานี้ขอเพียงเธอหย่อนเบ็ดลงไปก็จะตกได้อยู่หลายตัว
เธอครุ่นคิดครู่หนึ่ง ยังคงก้าวเข้าไป ไปอยู่ใกล้ๆ เขา
มองดูถังที่อยู่ข้างกายเขาก่อน ในถังมีน้ำสะอาดอยู่ครึ่งถัง ด้านในอย่าว่าแต่ปลาเลย แม้แต่ลูกอ๊อดสักครึ่งตัวก็ไม่มี
เนิ่นานถึงเพียงนี้เขายังตกไม่ได้สักตัวเลยหรือ? ทักษะการตกปลาเช่นนี้น่าหงุดหงิดเกินไปแล้วกระมัง?!
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?” กู้ซีจิ่วนั่งยองๆ ข้างกายเขา
ในที่สุดตี้ฝูอีก็ลืมตา ท่ามกลางราตรีดวงตาคู่นั้นลึกล้ำยิ่งนัก “รอจนหงุดหงิดแล้วหรือ?”
กู้ซีจิ่วถูกเขามองหัวใจพลันเต้นรัวเล็กน้อย อีกใจหนึ่งก็ลอบก่นด่าที่ตนเองค่อนข้างผิดแผกไป
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าตี้ฝูอีที่อยู่เบื้องหน้าคือรูปลักษณ์ของเธอ ดวงตาก็เป็นดวงตาของเธอ เธอถูกดวงตาของตัวเองมองจนใจเต้น ช่างประหลาดเหลือเกิน! จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ยังพอไหว ข้าค่อนข้างมีความอดทนมาโดยตลอด” เธอมองคันเบ็ดของเขา “ให้ซีจิ่วช่วยท่านดีไหม?”
เขาไม่พูดอะไร เพียงยื่นคันเบ็ดให้เธอทันที
กู้ซีจิ่วรับไปแล้วมองครู่หนึ่ง มุมปากพลันกระตุก “ท่านเลียนแบบเจียงไท่กง[1]หรือไง? คันเบ็ดลำตรงจะตกปลาได้อย่างไร?”
ตี้ฝูอีมองทะเลสาบเงียบๆ ไม่พูดอะไร ไม่ทราบว่าเหตุใดคืนนี้เขาจึงพูดน้อยเป็นพิเศษ
————————————————————————————-
บทที่ 808 บนโลกนี้มีท่านเพียงผู้เดียว
กู้ซีจิ่วจึงถามอีกครั้ง “ข้าดัดคันเบ็ดให้โค้งได้ไหม?”
ตี้ฝูอีเอนร่างพิงเสา ตอบอย่างเฉื่อยชาประโยคหนึ่ง “ผู้ใดเล่าจะตกปลาไม่ได้ด้วยคันเบ็ดโค้ง? ใช้คันเบ็ดลำตรงตกได้สิถึงจะนับว่ามีฝีมือจริง!”
กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้ารู้สึกว่าต่อให้การตกปลาด้วยคันเบ็ดลำตรงของเจียงไท่กงจะไม่ได้ปลา แต่การกระทำที่พิสดารเช่นนั้นของเขา ดึงดูดความสนใจของอ๋องเหวินได้ ทำให้อ๋องเหวินให้ความสำคัญกับเขา…”
ตี้ฝูอีมองดูเธอ “แล้วการกระทำของข้าดึงดูดความสนใจจากเจ้าได้หรือไม่ ทำให้เจ้ามองเห็นข้าหรือเปล่า? รู้สึกว่าข้าพิเศษกว่าคนอื่นบ้างไหม?”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
เธอยิ้มแวบหนึ่ง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถ่อนตัวเกินไปแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาท่านก็พิเศษกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว! บนโลกนี้มีท่านเพียงผู้เดียว…อยู่ใต้คนผู้หนึ่ง ทว่าอยู่เหนือคนนับหมื่น”
ตี้ฝูอีเอ่ยขัดเธอ “ข้าไม่สนใจว่าในสายตาผู้อื่นข้าจะพิเศษหรือไม่ ข้าถามแค่เจ้า ในใจเจ้าข้าพิเศษกว่าผู้อื่นบ้างหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก ตี้ฝูอีในคืนนี้บทจะไม่พูดก็ไม่พูด พอได้พูดก็ตรงไปตรงมายิ่งนัก
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ หลบตาแล้วเอ่ย “ในใจของซีจิ่วท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็พิเศษกว่าผู้อื่นเช่นกัน…”
“แล้วถ้าเทียบกับหลงซือเย่เล่า?”
คิ้วกู้ซีจิ่วขมวดมุ่นนิดๆ
เธอเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน จะทอำะไรล้วนชอบวางแผน การไขว่คว้าความรักก็เช่นกัน
หลงซือเย่คือคนที่เธอวางแผนไขว่คว้ามานานหลายปี เธอรู้สึกว่าเธอกับเขาเป็นคู่ที่สมกัน ดังนั้นจึงทุ่มเทไล่ไขว่คว้าให้ได้มา ทุกอย่างล้วนอยู่ในแผนการของเธอ ต่อมาถึงแม้จะแยกจากกันด้วยความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ แต่ชาตินี้ยังจับผลัดจับผลูได้มาพบกันอีกครั้ง ซ้ำยังได้สะสางเรื่องเข้าใจผิดที่ผ่านมา เธอคิดว่านี่คือลิขิตสวรรค์ หลงซือเย่รักเธอจริงๆ และชาติก่อนเธอก็ตามตื้อเขาอยู่หกปี ในเมื่อสะสางความเข้าใจผิดได้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องแยกกันอีก
เธอกับหลงซือเย่น่าจะนับได้ว่าน้ำมาคลองเกิด ในใจเธอ หลงซือเย่เสมือนอ่าวที่เงียบสงบ ให้เธอพักพิงผ่อนคลายได้
แต่ตี้ฝูอีกลับอยู่เหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง เขาบุกเข้ามาในโลกของเธอ บุกมาคร่ากุมเธอ ประกาศกร้าวว่าเธอคือคู่หมั้นของเขา แถมยังเอาเธอไปโยนไว้ในป่าทมิฬอีก แล้วแปลงเป็นซือเฉินมาบุกป่าฝ่าดงร่วมกับเธอ พอโกรธก็สะบัดมือจากไปอย่างแปลกประหลาด ซ้ำยังถอนหมั้นเธออย่างเอิกเกริก…หลังจากพลอดรักกับอวิ๋นชิงหลัวต่อหน้าเธอในเทศกาลความรัก ก็มาปรากฏตัวที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อีกครั้ง ชี้แนะให้อวิ๋นชิงหลัวต่อสู้กับเธอ หนุนหลังอวิ๋นชิงหลัว แต่พอเธอได้รับบาดเจ็บเขากลับรุดมารักษาเธอเหมือนที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น แน่นอนว่าการรักษาเธอก็มีเงื่อนไขด้วย บีบให้หลงซือเย่สาบานว่าจะไม่แต่งกับเธอชั่วชีวิต ยามที่เธอคิดว่าเขาทำแบบนี้เพื่อแยกเธอกับหลงซือเย่ เขาก็สารภาพรักกับเธออีกครั้ง…
เขาปฏิบัติต่อสานุศิษย์สวรรค์แตกต่างจากคนทั่วไปมาโดยตลอด ดูแลใส่ใจเป็นพิเศษเสมอ ดังนั้นกู้ซีจิ่วเลยคิดมาตลอดว่าที่เขาแยกเธอจากหลงซือเย่คือการคิดเพื่อหลงซือเย่ ทำให้หลงซือเย่อยู่ห่างจากเธอ การกระทำเช่นนี้ของเขาถึงขั้นทำให้กู้ซีจิ่วถึงขั้นรู้สึกหลอนว่าตัวเองเป็นตัวนำเคราะห์ประเภทหนึ่ง…
เขาเปรียบเสมือนห้วงสมุทรลึกล้ำที่ดึงดูดคน ทำให้จิตใจคนังเกิดความใฝ่หาแทบจะละสายตาไปไม่ได้ ยามที่อบอุ่นสามารถทำให้คนลุ่มหลงมัวเมาได้ แต่เขาก็ซับซ้อนเป็นที่สุดเช่นกัน ไม่รู้ว่าคลื่นยักษ์จะก่อตัวขึ้นมายามใด บดขยี้กลบฝังคนได้โดยไม่ลังเล
เธอยอมรับ ว่าในใจเธอเขาพิเศษกว่าคนอื่นมาโดยตลอด และถูกเขาสั่นสะเทือนอารมณ์ได้ง่ายๆ แต่ความซับซ้อนของเขาทำให้สัญชาตญาณเธอสัมผัสได้ถึงอันตราย ต้องการหลีกหนี…
จวบจนยามนี้เธอก็ยังไม่กระจ่างว่าที่แท้เขาชอบเธอจริงๆ หรือแค่อยากยั่วโมโหหลงซือเย่…
เธอคิดกระทั่งว่ามีความเป็นไปได้ที่เขาจะชอบหลงซือเย่ ดังนั้นถึงได้ใช้วิธีบังคับให้แต่งงานมากำจัดมือที่สามอย่างเธอทิ้ง…
————————————————————————————-
[1] เจียงไท่กง เป็นนักยุทธศาสตร์การสงครามที่เก่งกาจคนหนึ่งซึ่งมีส่วนช่วยในการล้มซางตั้งโจว เจียงไท่กงมักจะนั่งตกปลาริมแม่น้ำ ทว่าคันเบ็ดของเจียงไท่กงนั้นเป็นไม้ลำตรงไม่แขวนเหยื่อปลา ทั้งไม่จุ่มลงในน้ำ หนำซ้ำปลายคันเบ็ดห่างจากน้ำกว่า 3 คืบ การตกปลาพิสดารนี้เลื่องลือไปถึงหูเหวินอ๋อง เหวินอ๋องจึงมาเชื้อเชิญเจียงไท่กงไปช่วยเหลือตน
บทที่ 809 ท่านอย่ามารุ่มร่าม
คำถามนี้ของตี้ฝูอีตอบไม่ได้ง่ายๆ กู้ซีจิ่วค่อนข้างใจลอยอยู่บ้าง
ตี้ฝูอีรออยู่สักครู่ ไม่ได้รับคำตอบจากเธอเลย จึงหัวเราะขื่นๆ คราหนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว!”
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามอง เขาเข้าใจอะไร?
ตี้ฝูอีตอบอย่างเฉยเมย “สุดท้ายแล้วข้าก็ไม่ใช่เจียงไท่กง และเจ้าก็มิใช่อ๋องโจวเหวิน…”
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด กู้ซีจิ่วจึงฟังความรู้สึกอ้างว้างจากสองประโยคนี้ของเขาออก หัวใจวูบโหวงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด!
เขากลับลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “อันที่จริงข้าไม่ได้สนใจการตกปลา ถึงขั้นไม่ใคร่ชอบกินปลาด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องตกแล้ว! ไปเถอะ ไปสลับร่างคืนกัน ควรจะกลับไปเป็นตัวเองกันได้แล้ว!”
พลางสาวเท้าออกไป
….
ทั้งสองนั่งประจันหน้ากันอีกครั้ง ตี้ฝูอีสอนให้เธอใช้ร่างของเขาร่ายวิชาสลับร่างคืนอย่างไรไปทีละขั้นๆ คนหนึ่งตั้งใจสอน อีกคนก็ตั้งใจฟัง ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงจับเคล็ดได้รวดเร็วยิ่ง
หลังจากสอนจบเขาก็ให้เธอลองทำให้ดูหนึ่งรอบ หลังจากยืนยันได้ว่าไม่มีข้อผิดพลาด ถึงให้เธอสำแดงออกมา
เป็นครั้งที่กู้ซีจิ่วได้ใช้ร่างของตี้ฝูอีสำแดงวิชาคาถาของเขา หลังคาถาที่ซับซ้อนชุดนั้นถูกเธอร่ายออกมา ร่างกายของทั้งสองก็เปล่งแสงสีรุ้งออกมา…
หลังจากแสงนั้นโอบล้อมพวกเขาไว้ กู้ซีจิ่วก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าพลันมืดมนลง ร่างกายเบาหวิว ต่อมาถึงรู้สึกว่ากลับมาเหยียบอยู่บนพื้นอีกครั้ง…
เธอลืมตาขึ้น จากนั้นก็เห็นตี้ฝูอีที่อยู่ตรงข้ามเพิ่งลืมตาขึ้นมาเช่นกัน
ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง กู้ซีจิ่วถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “ในที่สุดก็สลับคืนได้แล้ว!” พลางเอนกายไปด้านหลัง ล้มตัวนอนบนเตียงของตน คงจะเกี่ยวกับการที่เพิ่งสลับร่างคืนได้ เธอเลยรู้สึกว่าร่างกายของตนค่อนข้างอ่อนล้า เส้นเอ็นและกระดูกปวดร้าวอยู่บ้าง ถึงขึ้นรู้สึกหลอนว่าบังคับแขนขาไม่ได้…
ตี้ฝูอีสะบัดแขนเสื้อนิดๆ สำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมาดั่งวารี กวาดผ่านร่างกายเธอไป ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงไม่อาจขยับเขยื้อนได้!
เธอตกตะลึง มองกู้ซีจิ่วที่อยู่ตรงกันข้ามลุกขึ้นมา เอ่ยถามออกไป “ท่านทำอะไร?” อยู่ดีๆ ทำไมถึงสกัดจุดเธอล่ะ?
ตี้ฝูอีเข้ามาใกล้เธอ หลุบตามองเธอ ริมฝีปากแดงเรื่อหยักโค้งนิดๆ “เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรล่ะ?”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
พอคนผู้นี้กลับสู่ร่างเดิม กลิ่นอายความมีอำนาจนั้นก็แผ่ออกมาทันที!
แถมวิชานี้ที่เขาใช้ก็ล้ำเลิศนัก สามารถควบคุมผู้อื่นได้สบายๆ
ทว่าตอนที่เธออยู่ในร่างนั้นของเขากลับใช้วิชาอันใดไม่ได้เลย ตามที่ตี้ฝูอีว่าไว้คือ ดวงวิญญาณของเธอแบกรับไม่ไหว ต่อให้อยู่ในสังขารเทพเซียน ก็ใช้วิชาเทพเซียนไม่ได้ ดีไม่ดีอาจถูกเวทวิชาสะท้อนกลับได้ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมสอนให้เธอ
ถึงแม้เธอจะอยู่ในร่างเทพเซียนนี้เกือบครึ่งเดือน ก็ทำได้เพียงแสร้งวางท่าต่อหน้าผู้อื่นเท่านั้น…
และยามที่ตี้ฝูอีอยู่ในร่างเธอ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นนอกจากไม่ค่อยใกล้ชิดผู้อื่นแล้ว กริยาท่าทางอย่างอื่นล้วนเหมือนเธอทุกประการ ถึงแม้เมื่อกลับถึงเรือนนี้เขาจะเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา แต่ก็แค่เฉื่อยชาไปนิด ชอบเย้าหยอกผู้อื่นไปหน่อย แถมบางครั้งยังแสร้งอ่อนแอต่อหน้าเธอด้วย ทำให้เธอตกใจไปบ้าง ฝีมือการแสดงของคนผู้นี้สามารถสยบจักรพรรดิจอเงินได้เลยด้วยซ้ำ!
ตอนนี้เขากลับคืนร่างของเขาเองแล้ว ความทรงอำนาจที่เคยมีก็ปรากฏขึ้นมาทันที!
นี่ถึงจะเป็นตี้ฝูอีที่เธอคุ้นเคย และทำให้เธอรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง…
เขานั่งหน้าร่างเธอ ยิ้มน้อยๆ มองดูเธอ “ซีจิ่ว เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้าอยากทำอะไรเจ้าล่ะ?”น้ำเสียงแฝงเสน่ห์ดึงดูด เจือแววบีบคั้นผู้อื่นรางๆ
ท่าทางและการกระทำเช่นนี้ของเขายากนักที่จะทำให้ผู้อื่นไม่คิดเหลวไหล!
ร่างกายกู้ซีจิ่วเคลื่อนไหวไม่ได้ ทว่ายังคงพูดได้ “ท่านอย่ามารุ่มร่ามนะ!”
————————————————————————————-
บทที่ 810 เป็นเด็กที่แก่แดดเสียจริง
จู่ๆ สมองก็นึกถึงถ้อยคำที่ตี้ฝูอีเคยเตือนไว้ ‘ข้ามีเป็นหมื่นวิธีที่สามารถแยกพวกเจ้าออกจากกันได้ รวมถึงการครอบครองเจ้าโดยตรงหรือไม่ก็สังหารเขาซะ!’
หรือว่าตอนนี้เขาคิดจะข่มเหงเธอ?
เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทั้งร่างกู้ซีจิ่วล้วนแข็งทื่อ “ตี้ฝูอี ท่านอย่ามารุ่มร่ามนะ! ท่านเพิ่งจะออกจากร่างนี้ไป ก็เหมือน…ก็เหมือนเป็นร่างของท่านเองเหมือนกัน ท่านไม่ควรจะเกิดความสนใจ…”
ตี้ฝูอีเงียบงัน ยกมือขึ้นมา ค่อยๆ ยื่นเข้าหาทรวงอกเธอ…
จะอย่างไรกู้ซีจิ่วก็นึกไม่ถึงเลยว่าพอสลับร่างคืนแล้วจะประสบพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ แทบจะโง่งมไปแล้ว อดไม่ได้ที่กรีดร้องว่า “ตี้ฝูอี ต่อให้เจ้าได้ร่างข้าไปก็จะไม่ได้หัวใจข้าด้วย!”
ตี้ฝูอียิ้ม ดรรชนีพลันจี้ออกมาติดๆ กัน กระแสลมจากดรรชนีเหล่านั้นซัดใส่ร่างเธอ กู้ซีจิ่วรู้สึกเพียงว่าชีพจรทั้งร่างที่ค่อนข้างเคร่งตึงคล้ายจะเปิดโล่งขึ้นมาทันที มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
ความอ่อนล้า ปวดเมื่อยที่เคยครอบงำร่างเธอ ดั่งหิมะที่ละลายในฤดูใบไม้ผลิ สลายไปกับกระแสดรรชนีของเขา
เขายกมือขึ้นคลายจุดเธอ พลางเอ่ย “ลองลุกขึ้นมาเดินสิ ยังมีจุดไหนที่รู้สึกไม่สบายอยู่หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง ลงจากเตียงทันที ลองขยับแขนขยับขาอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกปลอดโปร่งผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กระทั่งพลังวิญญาณก็เปี่ยมล้นมีชีวิตชีวากว่าแต่ก่อนไม่น้อย
เธอสงบใจแล้วตรวจสอบรากฐานวิญญาณของตนดูตามสัญชาตญาณ นัยน์ตาพลันเปล่งประกาย!
ขั้นหกแล้ว! ช่วงเวลาหลายวันมานี้เขายกระดับร่างนี้ให้เธอ! เธอไม่เห็นเลยว่าเขาไปฝึกฝนตอนไหน….
เธอปลาบปลื้มอยู่ในใจ เอ่ยขอบคุณเขาโดยตรง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ขอบพระคุณ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ” ตี้ฝูอีตอบอย่างไม่อินังขังขอบ
“เมื่อครู่เหตุใดข้าถึงมีสภาพเช่นนั้นหรือ?” กู้ซีจิ่วยังคงฉงนอยู่บ้าง
“ข้ายกระดับร่างกายของเจ้า แต่ดวงวิญญาณของเจ้ายังมิได้ยกระดับ เมื่อเข้าไปเข้ากันไม่ค่อยได้ เมื่อครู่ข้าใช้วิชาเสริมพลังให้ดวงวิญญาณของเจ้าเล็กน้อย อาการจึงหายไป” ตี้ฝูอีอธิบายแก่เธอ
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!
กู้ซีจิ่วลองขยับแขนขาดูอีกครั้ง แล้วเพ่งพิศตี้ฝูอีต่อหลายครา “นึกไม่ถึงว่าท่านจะฟื้นฟูได้รวดเร็วยิ่ง ไม่เกิดสภาวะเข้ากันไม่ได้สักนิดเลย”
ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ ว่า “อืม เนื่องจากร่างนี้ของข้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อนเลย และเจ้าก็ไม่ได้ยกระดับอะไรมัน อีกทั้งดวงวิญญาณของข้าก็แข็งแกร่ง ย่อมเข้ากันได้ดีอย่างยิ่ง” เขายังคงถ่ายทอดความรู้ให้เธอ
นี่เขากล่าวโทษที่เธอไม่ได้ยกระดับให้เขาใช่ไหม? แต่พลังวิญญาณของเขาเลิศล้ำไร้เทียมทานเกินไป ล้ำลึกดั่งร่องลึกก้นสมุทร เธอไม่รู้เลยว่าสรุปแล้วตอนนี้ระดับของเขาอยู่ที่ขั้นใด…
“เอาเถิด นอนซะ เจ้าเพิ่งกลับเข้าร่างต้องพักผ่อนสักหน่อยถึงจะดี” ตี้ฝูอีก็ขึ้นเตียงของตน ยามที่เขาจะปลดม่านเตียงลงมาจู่ๆ ก็เอ่ยถามเธอขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าเสริมพลังให้วิญญาณเจ้า เจ้ากล่าวอันใดออกมา?”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
ตี้ฝูอีกล่าวเนิบๆ อีกครา “เมื่อครู่เจ้าคงคิดเหลวไหลกระมัง? เป็นเด็กที่แก่แดดเสียจริง!”
กู้ซีจิ่วน้ำท่วมปาก
เป็นเขาที่จงใจทำตัวคลุมเครือเองมิใช่หรือ?! จะมาโทษว่าเธอคิดเหลวไหลได้ยังไง?
เธอดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าอย่างหงุดหงิด จากนั้นเธอก็ดมร่างตัวเองอยู่ในผ้าห่ม
แปลกนัก กลิ่นหอมพิศวงนั้นหายไปแล้ว…
ยามที่ตี้ฝูอีอยู่ในร่างนี้ของเธอ เมื่อเข้าใกล้เธอ เธอจะได้กลิ่นหอมน่าหลงใหลชนิดนั้นที่มีเฉพาะบนร่างเขา ทำให้เธอรู้สึกว้าวุ่นอย่างน่าประหลาด ยังนึกอยู่ว่าเขาใช้กำยานหอมพิเศษอะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้เมื่อทั้งสองสลับร่างคืน ว่ากันตามเหตุผลแล้ว กลิ่นหอมนี้ก็ไม่ควรจะติดตัวเขาไปด้วยสิ แม้แต่กลิ่นหอมก็หายไปด้วยได้ยังไงกันนะ?
บทที่ 811 ดวงวิญญาณอันหอมหวน
กลิ่นหอมบนตัวเขาที่เธอได้กลิ่นคงมิใช่มาจากดวงวิญญาณของเขากระมัง?!
ไม่เกี่ยวว่าจะใช้สังขารใด ถ้าเขาใช้ร่างไหน ร่างนั้นก็ส่งกลิ่นหอมนั้นออกมาใช่ไหม?
หรือว่าจมูกตนสามารถได้กลิ่นดวงวิญญาณอันหอมหวนของผู้อื่นได้? มิใช่กลิ่นหอมจากร่างกาย?
ไม่ถูกสิ ตอนที่เธอใกล้ชิดกับคนอื่น กลิ่นบนร่างคนเหล่านั้นมักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ บางครั้งก็เป็นกลิ่นหอมบางครั้งก็เป็นกลิ่นเหงื่อ…
ต่อให้เป็นยามที่เธออยู่กับหลงซือเย่ กลิ่นหอมบนร่างหลงซือเย่ก็ไม่ได้คงที่ตลอด ต่อให้เป็นกลิ่นโอสถก็เป็นกลิ่นโอสถหลายชนิด…
สิบกว่าวันมานี้ที่เธออยู่ในร่างตี้ฝูอี เธอยังดมกลิ่นบนร่างเป็นพิเศษด้วย ก็ไม่ได้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาเช่นกัน แต่ยามที่เขาเข้าใกล้เธอเพื่อปรับลมปราณให้เธอ เธอก็ได้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาอีกครั้ง…
เมื่อเป็นเช่นนี้ กลิ่นของเขาที่ตนได้กลิ่นดูคล้ายว่าจะเป็นกลิ่นหอมจากดวงวิญญาณของเขาจริงๆ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะได้กลิ่นด้วยไหม?
กู้ซีจิ่วมองหยกนภาบนข้อมือตน เธอกับเจ้านี่ไม่ได้ติดต่อกันมาสิบกว่าวันแล้ว จึงค่อนข้างคิดถึงเสียงพูดจ้อของมันอยู่บ้าง
ด้วยเหตุนี้เธอจึงใช้กระแสจิตเรียกมันรอบหนึ่ง ผลคือเจ้าสิ่งนี้ไม่ตอบสนองเลยสักนิดราวกับตายไปแล้วก็มิปาน
เธอค่อนข้างตระหนก ใช้นิ้วเคาะมัน ‘เสี่ยวชาง เสี่ยวชาง…’
หยกนภาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มันคงมิได้พังอีกแล้วกระมัง? เมื่อก่อนมันก็เคยพังมาแล้ว ครั้งนั้นเป็นเพราะมันดูดซับลำแสงพลังวิญญาณบนแท่นเบิกสวรรค์เข้าไป ทำให้มันอิ่มเกินไป จำศีลไปหลายเดือน…
ครั้งนี้มันไม่ได้อิ่มสักหน่อย แล้วเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ?
หรือจะเกี่ยวข้องกับการที่ตี้ฝูอีเคยอยู่ในร่างนี้? ดวงวิญญาณของเขาทรงพลังเกินไป เลยทำให้หยกนภาเครื่องช็อตโดยตรงหรือ?
เธอตรวจสอบหยกนภาครู่หนึ่ง ภายในร่างมันยังคงเปี่ยมด้วยพลังงาน แต่หนนี้มันทำให้เธอรู้สึกแตกต่างจากครั้งที่แล้ว ดูไม่คล้ายการจำศีลหลังจากเต็มอิ่ม
หลังจากที่เธอทะลุมิติมาหยกนภาก็เปรียบเสมือนระบบติดตัว เธอมองว่ามันเป็นคู่หูที่ดีที่สุดของเธอมาตลอด แถมหยกนถายังเคยบอกไว้ว่า มันแค่สามารถสื่อสารกับเธอได้ และสื่อสารได้แค่กับเธอเท่านั้น ซ้ำยังกำชับเธอไว้ไม่ให้บอกคนอื่นเรื่องที่มันสามารถสื่อสารกับเธอได้ ดังนั้นนี่คือความลับของเธอเพียงผู้เดียว คนอื่นล้วนไม่ทราบ
ยามนี้จู่ๆ หยกนภาก็ไม่ไหวติง กู้ซีจิ่วเป็นกังวลยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าสภาพหยกนภาสมบูรณ์พร้อม รอยแตกสักนิดก็ไม่มี สีสันก็ปกติ ต่อให้เธอถามตี้ฝูอีก็คงหาข้ออ้างที่ยอดเยี่ยมไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ…
ยามนี้ขณะที่เธอกำลังลองใช้สารพัดวิธีเพื่อสื่อสารกับหยกนภา จู่ๆ ผ้าห่มที่คลุมศีรษะไว้ก็ถูกดึงออก
เธอสะดุ้งโหยง เห็นตี้ฝูอีกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงเธอ สองคนสบตากัน กู้ซีจิ่วลดแขนลงตามสัญชาตญาณ “มีอะไร?”
ตี้ฝูอีมองดวงจากระจ่างแจ่มใสคู่นั้นของนาง เอ่ยขึ้นว่า “กระปรี้ประเปร่าถึงเพียงนี้ ไยไม่ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อยเล่า?”
เธอมองนาฬิกาแวบหนึ่งตามสัญชาตญาณ เป็นยามจื่อ[1]แล้ว ถ้าเป็นยุคปัจจุบันนี่ก็ใกล้จะล่วงเข้าช่วงใกล้รุ่งแล้ว เธอจึงปฏิเสธ “ดึกเกินไปกระมัง? ข้าคิดว่าท่านควรจะพักผ่อนดีๆ สักหน่อย อย่างไรเสียวันพรุ่งนี้ก็มีงานหนักต้องจัดการ…”
“จะอย่างไรก็นอนไม่หลับแล้ว ไปเถอะ ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้า” ตี้ฝูอีดึงเธอขึ้นจากเตียง
“ไปไหนล่ะ” กู้ซีจิ่วถูกเขาลากออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เดินไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน” ตี้ฝูอีจูงเธอหมายจะออกประตูไป
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว ดึงแขนเสื้อเขาไว้ “ข้าว่า นี่มันยามกะสามครึ่งแล้ว พวกเราออกไปเดินท่อมๆ เช่นนี้จะทำให้ผู้อื่นเกิดความสงสัยได้ พวกเราอย่าได้ล้มเหลวในขั้นสุดท้ายเลย”
ตี้ฝูอีหลุบตามองมือนาง สุดท้ายก็ข่มความคิดที่จะดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดไว้ เพียงสาวเท้าก้าวไปด้านหน้า “ไม่เป็นไร ข้ามีแผนของตัวเอง”
————————————————————————————-
บทที่ 812 ท่านเคยมีความแค้นอะไรกับข้าไหม
เอาเถอะ เขารู้ว่าทำอะไรอยู่ก็แล้วไป
กู้ซีจิ่วตามเขาออกประตูไป
หลายวันมานี้เพื่อล่อหลอกให้ศัตรูสับสน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นพวกเขาจะรักใคร่กันยิ่งนัก เดินถนนบางครั้งก้จูงมือบางครั้งโอบเอว
แน่นอน เนื่องจากหลายวันนั้นกู้ซีจิ่วอยู่ในร่างตี้ฝูอีตลอด ดังนั้นคนที่โอบจึงเป็นเธอตลอดอาจเป็นผลข้างเคียงที่ก่อตัวขึ้นจากการอยู่ร่วมกันมาหลายวัน เมื่อกู้ซีจิ่วพ้นประตูมาก็ยื่นแขนไปหมายจะโอบเอวเขาตามสัญชาตญาณ เพิ่งจะแตะถูกเอวของอีกฝ่ายถึงนึกขึ้นได้ว่าไม่ถูกต้อง รีบหดกลับไปทันที
ตี้ฝูอีราวกับไม่ได้สังเกต ก้าวตรงไปด้านหน้า
….
ดวงจันทร์เหนือศีรษะกลมมนดั่งแผ่นจาน มันมีวงโคจรเป็นของตัวเอง
กู้ซีจิ่วพบว่า ตี้ฝูอีกำลังพาเธอเดินเล่นไปตามถนน…
ทั้งสองคนเดินเลียบไปตามลำธาร สายน้ำไหลเอื่อยๆ อยู่ด้านข้าง ต้นเฟิงที่อยู่สองฟากฝั่งลำธารมีใบเฟิงร่วงหล่นลงมาบ้างเป็นครั้งคราว ปลิวลงไปในสายธารไหลริน ล่องลอยไปตามกระแสน้ำอย่างไม่ทราบจุดหมายปลายทาง…
กู้ซีจิ่วรู้สึกรางๆ ว่าฉากนี้ค่อนข้างคุ้นตาอยู่บ้าง เดินไปครู่หนึ่งในที่สุดเธอก็นึกออกว่าเมื่อก่อนเธอก็เคยมาเดินเล่นที่นี่กับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน
เมื่อนึกถึงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ จู่ๆ หัวใจเธอเต้นรัวทันที!
กลิ่นอายบนร่างท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กับตี้ฝูอีถึงแม้จะแตกต่างทว่าดูเหมือนจะคล้ายคลึงกัน!
แน่นอน กลิ่นอายบนร่างพวกเขาก็ไม่ได้เหมือนกันไปเสียทั้งหมด ยังมีจุดต่างอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าทำไม กลับทำให้เธอรู้สึกว่าทั้งสองคนเหมือนกันมาก
เธอหลอนไปเองเหรอ? หรือว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ?
วิชาแปลงโฉมของตี้ฝูอีล้ำเลิศยิ่ง หนึ่งบุคคลแปลงโฉมได้นับพันหน้า เช่นนั้นเขาจะเคยปลอมตัวเป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไหมนะ? หรือบางที ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เธอเคยพบจะเป็นเขาที่ปลอมตัวมา?
เธอถูกความคิดนี้ของตัวเองทำให้ตกตะลึงแล้ว
ไม่ใช่กระมัง?! ต่อให้สนิทชิดเชื้อกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหนก็คงไม่กล้าสวมรอยเป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กระมัง?! นั่นคือโทษมหันต์ฐานหมิ่นเบื้องสูงเชียวนะ อาจถูกประหารล้างตระกูลก็ได้! วังค้ำนภาของเขาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนหนีไม่พ้นสักราย
แต่ว่า…
โอ้ ใช่แล้ว เธอจำได้ว่าเเคยได้กลิ่นที่คล้ายคลึงกันนี้จากร่างของหรงเจียหลัวด้วย…
ยังมีอีกคนลึกลับผู้กล่าวว่ามีความแค้นกับเธอที่ริมแม่น้ำคนนั้นก็ดูเหมือนจะมีกลิ่นนี้เช่นกัน…
สวรรค์! จมูกเธอพังแล้วหรือ? หรือว่าในนี้จะมีมนต์วิเศษอะไรอยู่?!
เธอคิดจนค่อนข้างเหม่อลอยอยู่บ้าง จู่ๆ ตี้ฝูอีที่ก้าวอยู่ด้านหน้าเธอก็หยุดลง ศีรษะเธอพลันชนใส่ ชนถูกแผ่นหลังของเขา…
เธอรีบถอยหลังก้าวหนึ่ง จมูกชนจนเจ็บไปหมด อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นนวดคลึง
“ใจลอยอีกแล้วหรือ?” ตี้ฝูอีหันกลับมามองเธอพลางถอนหายใจ “ยามที่เจ้าอยู่กับข้า ดูเหมือนจะชอบใจลอยเหลือเกินนะ คิดอะไรอีกล่ะ?”
กู้ซีจิ่วโพล่งถามไปว่า “ท่านเคยมีความแค้นอะไรกับข้าไหม?”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้วมองนาง “หมายความว่าอย่างไร?”
กู้ซีจิ่วถามอีกครั้ง “ท่านเคยปลอมเป็นองค์รัชทายาทหรงเจียหลัวแล้วไปที่จวนแม่ทัพใช่หรือไม่?”
จิตใจตี้ฝูอีสั่นไหวเล็กน้อย หากนางไม่เอ่ยถึงเขาก็แทบจะลืมเลือนอดีตเหล่านั้นไปแล้ว ตอนนั้นเขาแค่รู้สึกสนใจในตัวนาง คิดจะปั่นหัวนาง หยอกล้อนาง เอาคืนที่นางลอกคราบเขาอย่างไร้เหตุผลในถ้ำบนเขา กลับนึกไม่ถึงเลยว่า…
เพียงแต่ความคิดของสาวน้อยผู้นี้แล่นไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร?! พิสดารเกินไปแล้วกระมัง?!
“เหตุใดจึงถามเช่นนี้?” ตี้ฝูอีไม่ตอบคำถามนาง แถมเขายังถามกลับด้วย
กู้ซีจิ่วเม้มปากแน่น “ท่านแค่บอกมาว่าใช่หรือไม่ใช่…”
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง “ใช่”
กู้ซีจิ่วกุมขมับ ถามต่ออีก “เพราะอะไร? ตอนนั้นข้ายังไม่ได้บอกว่าตัวเองคือสานุศิษย์สวรรค์สักหน่อย เหตุใดท่านต้อง…ต้องไปตรวจสอบข้าด้วย?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ บอกไปตามจริงคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงเอ่อยถ้อยคำที่จะไม่ถูกนางจับได้ง่ายๆ ออกไป “ตอนนั้นเจ้าค่อนข้างพิเศษ ข้าเลยต้องไปตรวจสอบดูสักหน่อย”
————————————————————————————-
[1] ยามจื่อ คือ ช่วง 23:00 – 24:59
บทที่ 813 พาตัวเองเข้าไปพัวพัน
เหตุผลนี้น่าเชื่อถือมาก กู้ซีจิ่วจึงเชื่อ
“เช่นนั้นท่านได้ใช้ฐานะอื่นเข้าหาข้าอีกไหม? ยกตัวอย่างเช่นแสร้งว่ามีความแค้นกับอะไรทำนองนั้น?”
“มี เพราะต้องการรู้จักด้านต่างๆ ของเจ้า” เขายังคงไม่พูดความจริงเช่นเดิม มิเช่นนั้นฐานะเทพศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะเผยออกมา
คนลึกลับในตอนนั้นคือเขาจริงๆ ด้วย!
มิน่าล่ะยามนั้นเธอคิดจนหัวแทบแตกก็นึกไม่ออกว่าไปล่วงเกินผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้นเข้าตอนไหน ที่แท้เป็นเขาที่ยังคงต้องการตรวจสอบเธอ…
เธอยิ้มขื่น “ตอนนั้นท่านคงต้องการตามหาสานุศิษย์สวรรค์กระมัง? ดังนั้นจึงตรวจสอบเพื่อดูความสามารถพิเศษบางอย่าง”
ตี้ฝูอียิ้มนิดๆ ไม่พูดอะไร ยอมรับโดยดุษฎี
กู้ซีจิ่วส่ายหน้าอย่างอดไม่ไหว “วิธีตรวจสอบนี้ของท่านช่างไม่เหมือนใครเลย…”
เขาใช้วิธีจำพวกนี้ตรวจสอบคนไปมากน้อยเพียงใดแล้ว?
เวรเถอะ ที่แท้คนลึกลับมากมายที่เธอพบเจอในตอนนั้นล้วนเป็นเขาปลอมตัวมา! ทำไมเธอรู้สึกหลอนเหมือนว่าตนวิ่งวนอยู่ในฝ่ามือเขามาโดยตลอด
เมื่อนึกถึงฉากที่เธอพบเขารวมถึงอวตารของเขาอยู่บ่อยครั้งในอดีต กู้ซีจิ่วก็ค่อนข้างปวดประสาท กล่าวออกมาจากใจริง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ที่แท้บางครั้งท่านก็ว่างเหลือเกิน…”
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร
ตอนนั้นเขาว่างเกินไปจริงๆ นั่นแหละ!
เมทีคิดหาความสำราญให้ตัวเอง กลับนึกไม่ถึงเลยว่าพาตัวเองเข้าไปพัวพันตั้งแต่ยามไหน…
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงอยากถามเรื่องเหล่านี้เล่า? ทำไมเจ้าทราบว่าข้าเคยปลอมเป็นคนพวกนั้น?”
กู้ซีจิ่วกำลังใคร่ครวญว่าจะพูดความจริงดีหรือไม่ ถ้าบอกว่าได้กลิ่นหอมจึงจดจำตัวคนได้ เช่นนั้นหากว่าภายภาคหน้าเขาปลอมตัวมาปั่นหัวเธออีก ย่อมต้องระวังเก็บซ่อนกลิ่นอายของตนเป็นแน่ ถ้าหากไม่พูดความจริง เช่นนั้นเธอใช้ข้ออ้างอะไรดีล่ะ?
เธอนิ่งไปเล็กน้อย ตอบยิ้มๆ “เพียงสัมผัสได้รางๆ ว่าท่านกับคนเหล่านั้นมีบางด้านที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงลองถามดู”
ตี้ฝูอีปราดเปรื่องถึงขั้นไหนแล้ว? เหตุผลนี้ที่กู้ซีจิ่วอ้างฝืดฝืนเกินไป เขาไม่เชื่อเด็ดขาด!
เขามองดูนาง นางยังคงระแวงเขาอย่างล้ำลึกอยู่จริงๆ วาจาก็จริงครึ่งเท็จครึ่ง
เพียงแต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปโทษนาง เนื่องจากเขาก็มีความอัดอั้นตันใจที่มิอาจบอกความจริงแก่นางได้
นี่คงเป็นความจนปัญญาของมนุษย์กระมัง? โลกนี้ไหนเลยจะมีคนที่ไม่มีความลับอะไรอยู่เลย โดยเฉพาะคนที่มีฐานะเช่นนี้อย่างเขาและนาง…
ทั้งสองคนเดินเลียบลำธารไปสองสามลี้ ไม่มีใครพูดอะไรไปชั่วขณะ
เดิมทีกู้ซีจิ่วรู้สึกว่าการเดินเล่นไปเรื่อยๆ ในยามว่างของคู่รักค่อนข้างน่าเบื่ออยู่บ้าง ว่างเปล่าเหลือเกิน
แม้กระทั่งยามที่เธอเดินเล่นกับหลงซือเย่ก็รู้สึกว่าค่อนข้างจืดจางไร้รสชาติอยู่บ้าง เดินจนเท้าชา มิสู้เอาช่วงเวลานั้นไปสังสรรค์ร้องเพลงดีกว่า หรือไม่ก็ไปดูหนังกัน…แต่ตอนนั้นหลงซือเย่ชอบเดินเล่น เธอจึงฝืนดันทุรังไปเดินเล่นกับเขา แค่ก้าวตามรอยเท้าเขาไปเรื่อยๆ
แต่ตอนนี้ยามกะสามแล้วเธอกลับไม่หลับไม่นอนมาเดินเล่นเป็นเพื่อนตี้ฝูอี ไม่นึกเลยว่าในใจจะไม่มีความรู้สึกไม่สบอารมณ์เลย การเดินข้างกายเขาทำให้จิตใจที่หวาดระแวงรู้สึกปลอดภัย ราวกับถ้านภาร่วงหล่นลงมาเธอก็ทราบว่าเขาจะค้ำไว้ให้เธอ…
แน่นอนว่าในระหว่างที่เดินเล่น เธอก็สังเกตความเคลื่อนไหวรอบข้างไปด้วย ไม่มอะไรสะกดรอยตามมาจริงๆ
หลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไปเธอคงจะได้ติดต่อกับเขาไม่มากแล้ว และเธอก็ต้องกลับไปชีวิตตามปกติ…
“วางแผนอนาคตไว้อย่างไร?” ตี้ฝูอีทำลายความเงียบระหว่างคนทั้งสอง
กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ตอบว่า “มานะเล่าเรียน ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ!”
ตี้ฝูอีเงียบงัน
“ไม่วางแผนไปอยู่เขาถามสวรรค์กับหลงซือเย่หรือ?”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน ส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าเพิ่งเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ มีความรู้มากมายที่ต้องศึกษา จะไปเขาถามสวรรค์ทำไมกัน?”
————————————————————————————-
บทที่ 814 ยังเป็นเด็กอยู่นะ
“มิใช่ว่าเจ้าต้องการอยู่กับหลงซือเย่หรอกหรือ? เขารั้งอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เพียงครึ่งปีเท่านั้น”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วแล้วเอ่ย “ก็ไม่จำเป็นต้องไปเขาถามสวรรค์กับเขานี่ ข้ายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำ”
“เจ้าไม่อยากอยู่ร่วมกับเขาตลอดเวลาหรือ?”
กู้ซีจิ่วทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง อยู่ด้วยกันตลอดเวลางั้นเหรอ? แบบนั้นน่าเบื่อเกินไป! ต่อให้เป็นคนรักกันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันทุกวันนี่นา ระยะห่างก่อเกิดความผูกพัน…
“ข้าและเขาต่างมีเรื่องยุ่งวุ่นวาย ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันทุกเมื่อเชื่อวัน”
“เช่นนั้นถ้าเจ้าต้องแยกกับเขานานๆ เล่า จะไม่คะนึงหาเขาเหลือเกินหรือ?”
“ไม่หรอก ขอเพียงพวกเราทราบว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดีก็พอแล้ว ตอนที่อยู่ในยุคของพวกเรา ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนเหมือนกัน เดือนสองเดือนได้เจอกันสักครั้งคือเรื่องปกติ บางครั้งถึงขั้นว่าครึ่งปีถึงจะได้พบกันสักครั้ง…”
“เช่นนั้นเจ้าเคยคิดจะแต่งกับเขาหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองเขา “มิใช่ท่านหรอกหรือที่บีบให้เขาสาบานว่าจะไม่แต่งกับข้า?”
ตี้ฝูอีหลบตา “เจ้าบอกว่าจะเป็นคนรักของเขามิใช่หรือ? คนรักก็สามารถประกอบกิจของสามีภรรยาได้เช่นกัน”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน ‘ประกอบกิจของสามีภรรยา’ ที่เขาพูดคงจะหมายถึงการร่วมหอของสามีภรรยากระมัง? ก็คือการเล่นพลิกผ้าห่ม…
เธอยังไม่เคยมีความคิดเช่นนี้เลยจริงๆ!
ระหว่างเธอกับหลงซือเย่เป็นความรักที่บริสุทธิ์ไม่มีเรื่องทางเพศมาเกี่ยวข้อง ต่อให้เป็นชาติก่อนมากสุดก็จับมือถือแขน ดื่มชาด้วยกัน ไปดูหนัง พูดคุยกันเท่านั้น แม้แต่จูบก็ยังไม่เคยเลย…
ตอนนั้นในใจหลงซือเย่น่าจะมีเรื่องต้องพะวงอยู่ ส่วนเธอก็ไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้นเลย
เช่นนี้ภายภาคหน้าถ้าอยู่ร่วมกับหลงซือเย่ ก็ต้องเล่นพลิกผ้าห่มหรือ?
กู้ซีจิ่วลองจินตนาการฉากนั้นดู พบว่าจินตนาการไม่ออกอยู่บ้าง…
ในใจเธอพลันตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย ปฏิเสธคำถามนี้ตามสัญชาตญาณ ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ข้าเพิ่งอายุสิบห้า ยังเป็นเด็กอยู่นะ!”
ตี้ฝูอีหันมามองเธอ ภายใต้แสงจันทรานัยน์ตาของเขาดั่งคลื่นสมุทร มองจนหนังศีรษะเธอค่อนข้างหนึบชา
เธอลูบหน้าดูตามสัญชาตญาณ “ท่านมองข้าแบบนี้ทำไม?”
ตี้ฝูอียื่นมือมาดึงเธอเข้าไปใกล้ๆ สายตาค่อยๆ เพ่งพินิจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเอ่ยเนิบๆ ว่า “ซีจิ่ว ในยุคสมัยนี้ เด็กสาวอายุสิบห้านับว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถออกเรือนได้แล้ว”
กู้ซีจิ่วเชิดหน้าทันที “แต่ข้าและเขาล้วนเป็นคนที่มาจากยุคสมัยอื่น อายุสิบห้ายังไม่เป็นผู้ใหญ่! ยังเป็นช่วงวัยที่ต้องศึกษาเล่าเรียน น้อยมากที่จะออกเรือน!”
“เช่นนั้นในยุคของพวกเจ้าออกเรือนกันตอนอายุเท่าไหร่?”
“ยี่สิบสองยี่สามกระมัง…” กู้ซีจิ่วก้ไม่แน่ใจเท่าไหร่ เธอไม่เคยศึกษากฎหมายการสมรส ดังนั้นจึงไม่มั่นใจมากนัก “แต่นั่นเป็นอายุที่ระบุไว้ตามกฎหมาย อันที่จริงในยุคของพวกข้า ก็มีเด็กสาวน้อยคนนักที่จะแต่งงานตอนอายุยี่สิบสองยี่สิบสาม ส่วนใหญ่ล้วนศึกษาเล่าเรียนหรือไม่ก็ทำงานหารายได้ ส่วนใหญ่จะแต่งงานกันจริงๆ หลังอายุยี่สิบหกหรือยี่สิบเจ็ดเป็นไปต้นไป ถึงขั้นที่ว่าอายุสามสิบแล้วค่อยแต่งก็มี…”
“โอ้ ถ้างั้นตอนที่พวกเจ้าอยู่ในยุคนั้น วางแผนว่าจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ล่ะ?”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน ดูเหมือนว่าเธอ…จะไม่เคยใคร่ครวญปัญหาข้อนี้อย่างจริงจังมาก่อนเลย ตอนนั้นเธอคิดว่าแค่ได้อยู่กับเขาก็พอแล้ว…
ตอนนั้นเธอวางแผนจะเก็บเงินให้พอก่อน จากนั้นก็แสร้งว่าตายเพื่อให้หลุดพ้นจากองค์กรนักฆ่า เปลี่ยนชื่อแซ่แล้วหนีไปอยู่ต่างประเทศ ใช้ชีวิตแบบคู่สามีภรรยาธรรมดาๆ กับหลงซือเย่ เป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วไปกินอยู่อย่างเรียบง่ายในสักเมืองหนึ่ง เขาและเธอหางานทำในโรงพยาบาลใหญ่สักแห่ง ไปทำงานพร้อมกันเลิกงานพร้อมกัน วันหยุดสุดสัปดาห์ก็ออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน หากเป็นไปได้ก็จะมีลูกสักคน ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกอบอุ่นงดงาม…
“น่าจะหลังจากข้าอายุยี่สิบเจ็ดกระมัง? ข้าไม่อยากแต่งงานเร็วเกินไป” เธอไม่ใช่พวกรีบแต่งงาน เธอชอบชีวิตโสดที่อยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่อยากให้คำว่าครอบครัวมาล่ามขาไว้เร็วเกินไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น