อยากกินไหมล่ะ 807-809
บทที่ 807 ผลงานแกะสลักน้ำแข็งที่ยังไม่เสร็จ
เมื่อเห็นหยวนโจวเริ่มทำงานแล้ว บรรดาผู้ชมในถนนก็ตกอยู่ในความเงียบไปทันที ถึงอย่างไรพวกเขาต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้เห็นว่าหยวนโจวจะสลักน้ำแข็งก้อนใหญ่เสียขนาดนั้นด้วยมีดทำครัวได้อย่างไรกัน
บางคนถึงกับเปิดกล้องเพื่อถ่ายวิดีโอเลยด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรพวกเขาก็9แทบจะไม่เคยเห็นใครแกะสลักน้ำแข็งก้อนใหญ่เสียขนาดนั้นมาก่อนเลย อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่เมืองน้ำแข็งฮาร์บิน
ผลงานแกะสลักน้ำแข็งยากที่จะพบได้ในเมืองเฉิงตูที่อากาศร้อนตลอดทั้งปี
ทันใดนั้นมีเพียงเสียงมีดทำครัวที่กำลังสัมผัสกับผิวน้ำแข็ง เศษน้ำแข็งเริงระบำอยู่กลางอากาศแล้วร่วงหล่นสู่พื้นจนกองรวมเป็นชั้นๆในเวลาเพียงไม่นานนัก
หยวนโจวควบคุมแรงของตัวเองได้อย่างแม่นยำ เรื่องยากที่สุดของการแกะสลักมังกรน้ำแข็งอยู่ที่เกล็ดและตามังกร การแกะสลักทั้งสองสิ่งบนน้ำแข็งราวกับการยิงปืนใหญ่ใส่ตัวยุงก็ไม่ปาน แม้ว่าเขาจะมีเรี่ยวแรงล้นเหลือ แต่ก็ใช่ว่าจะทำใช้มันได้เสียที่ไหนกัน
ดังนั้นถ้าสังเกตให้ดีก็จะพบว่าผลงานแกะสลักน้ำแข็งรูปมังกรมากมายมีหนวดที่หนามาก แล้วก็มีเกล็ดมังกรเรียงตัวอย่างง่ายๆซึ่งไม่รู้สึกว่าจะขยับไหวเลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าหากหนวดมังกรหนาเกินไปก็จะไม่ได้ส่วนกับหัวมังกร และความรู้สึกยามขยับเกล็ดมังกรก็สามารถอธิบายได้ด้วยตัวอย่างของงู ทิศทางของเกล็ดจะมีความแตกต่างกันไปเมื่องูเคลื่อนไหวต่างกัน จริงๆแล้วพวกมันหาได้เรียงตัวกันอย่างสมบูรณ์แต่อย่างใด นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นมากต่อความสามารถในการมองเห็นและความเร็วแล้วล่ะ
จะว่าไปแล้วเกล็ดมังกรที่แกะสลักด้วยเครื่องจักรตามโรงงานจะดีกว่าเกล็ดมังกรที่แกะสลักโดยช่างแกะสลักส่วนใหญ่เสียอีก แต่ในแง่มุมของความละเอียดอ่อน เครื่องจักรด้อยกว่างานที่ทำด้วยมือเสียอีก
ก็เครื่องจักรมันไม่มีอุณหภูมินี่นา
ถ้าหากหนวดมังกรบางเกินไปก็จะหักได้ง่ายมากในขั้นตอนการแกะสลัก ดังนั้นหนวดหนาๆจึงเป็นแค่ตัวเลือกที่เปล่าประโยชน์เท่านั้น แต่วันนี้หยวนโจวไม่มีเจตนาที่จะอะลุ้มอล่วยให้กับตัวเลือกที่เปล่าประโยชน์หรอก
หยวนโจวยกมีดทำครัวในมือขึ้นทำมุมกับคมมีด เขากลั้นหายใจแล้วโบกสะบัดมีดอย่างรวดเร็วยิ่ง เนื่องจากความเร็ว คมมีดจะให้แสงเย็นในอากาศ โดยที่มีดจะโบกสะบัดเป็นรูปหนวดมังกรอันประณีตอ่อนช้อย
หยวนโจวคงรูปแบบทั้งหมดเอาไว้ด้วยสายตาร้อนระอุดุจคบเพลิง เขาจะไม่ยอมให้เกิดการบิดเบือนตำแหน่งเฉพาะของผลงานแกะสลักน้ำแข็งเป็นอันขาด
หยวนโจวโบกสะบัดมัดอีกครั้งในเวลาอันสั้น แสงเย็นเป็นประกายดูราวกับผีเสื้อโบยบินผ่านพุ่มไม้ก็ไม่ปาน ตำแหน่งที่มันแวบผ่านค่อนข้างแยบยลราวกับกระบวยใหญ่ที่ร่อนลงตรงตำแหน่งที่ควรจะเป็นอย่างเหมาะเจาะ อย่างไรเสียในสายตาของบรรดาผู้ชมแล้ว พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อว่าหยวนโจวจะโบกสะบัดมีดในมุมนั้นได้เลย
มันเป็นความเชี่ยวชาญของเขาที่นำมาซึ่งหนวดมังกรด้วยการโบกสะบัดมีดเพียงสองครั้งเท่านั้น
หลังจากหนวดมังกรอันแสนประณีตเสร็จแล้ว หยวนโจวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแต่ทันใดนั้นก็ก็นั่งลงตรงขอบที่นั่งอีกครั้ง เขายังต้องแกะสลักเกล็ดมังกรซึ่งต้องใช้เวลาและเรี่ยวแรงอยู่มากทีเดียว แน่นอนว่าถึงแม้เกล็ดมังกรจะยังไม่เสร็จทว่าผลงานแกะสลักน้ำแข็งก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้ว มังกรคู่ไล่กวดไข่มุกในทิศทางตรงข้ามกัน
“ฟู่ ฟู่ ฟู่ ฟู่”
ยังไม่ทันจะลงมีดทำครัวบนก้อนน้ำแข็งโทรศัพท์ในกระเป๋าของเขาก็ดังขึ้นมา หยวนโจวเปิกระบบสั่นเอาไว้ระหว่างที่เขากำลังแกะสลักอยู่ ที่สำคัญก็คือไม่ค่อยมีใครโทรหาเขาสักเท่าไหร่นักหรอก
สายที่โทรเข้ามาครั้งแรกสุดถูกเมินเฉยไปในทันที แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาทีก็โทรเข้ามาอีกหลายสายติดๆ หยวนโจวมองดูมังกรแกะสลักที่เสร็จแล้วพร้อมมีดทำครัวที่อยู่ในมือจากนั้นก็ถอนหายใจออกมา
สำหรับการแกะสลักเกล็ดมังกรนั้น หยวนโจวไม่กล้าบอกว่าเขาจะทำได้สำเร็จเต็ม 100 ดังนั้นมันจึงสิ้นสุดลงในตอนนี้แล้ว เขาวางมีดทำครัวแล้วรับโทรศัพท์
การกระทำเช่นนี้สร้างความผิดหวังเป็นอย่างยิ่งให้แก่บรรดาผู้ชมที่กำลังเฝ้ารอดูสถานการณ์อันโกลาหลทางด้านข้าง ผลงานแกะสลักน้ำแข็งยังไม่เสร็จเลยเสียด้วยซ้ำไป
“ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีเกล็ดมังกร แต่หัวมังกรก็ดูเหมือนจริงและทรงพลังมากทีเดียว”
“ฝีมือการใช้มีดของเถ้าแก่หยวนสุดยอดเสมอแหละ”
“แม้ว่าเทพเซียนจะให้มือฉันมาสองข้าง แต่ฉันก็ทำอย่างเขาไม่ได้หรอก”
“น่าเสียดายจัง! ฉันนึกว่าจะเป็นงานศิลป์หลังจากเสร็จแล้วเสียอีก เถ้าแก่หยวนจะขายผลงานแกะสลักน้ำแข็งของเขาหรือเปล่าน่ะ?”
บรรดาลูกค้าต่างสนทนากันด้วยความตื่นเต้นและบางคนถึงกับอยากซื้อมันด้วยซ้ำไป แต่ด้วยประสาทหูอันเฉียบคมยิ่ง หยวนโจวจึงแอบน้อมรับคำชมของผู้คนเหล่านี้เอาไว้โดยเฉพาะเจ้าพวกห้าคนก่อนหน้านี้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้สัมผัสกับเทคนิคที่แท้จริงของหยวนโจว
แม้ว่าผลงานแกะสลักน้ำแข็งจะยังไม่เสร็จ แต่กลับกระตุ้นให้มีการสนทนามากขึ้นหลังจากผู้ชมบางคนได้ถ่ายวิดีโอและอัพโหลดขึ้นอินเตอร์เน็ต แน่นอนว่านั่นย่อมเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลัง
ปัญหาในตอนนี้ก็คือหยวนโจวรับโทรศัพท์แล้วปิดร้านไปอย่างเร่งรีบ
เขารีบพุ่งตรงไปยังสี่แยกถนนเพื่อขึ้นรถแท็กซี่และไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังจะมุ่งหน้าไปที่ไหนกัน
…
“มาแล้ว ฉันมาแล้ว อย่าเร่งนักสิ” หยวนโจววางสายแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางของเขา
ต้องขอบคุณการออกกำลังกายเป็นประจำทุกเช้า หยวนโจวถึงได้มีรูปร่างดีขนาดนี้ มิฉะนั้นแล้วเขาคงได้ล้มลงเพราะความเหนื่อยล้าไปแล้ว
แม้แต่หยวนโจวก็เกือบจะหมดแรงเมื่อเห็นป้ายร้านของโรงน้ำแข็งต้าถงที่ซุนหมิงบอกเอาไว้ บางครั้งเขาก็รู้สึกจริงๆว่าสาขาของร้านขนมซาเซียนได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งย่านขายขนมไปแล้วในขณะที่สาขาของโรงน้ำแข็งต้าถงกลับครอบคลุมไปทั่วห้างสรรพสินค้า พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นสองยี่ห้อที่แตกต่างกัน
หลังจากหยวนโจวมาถึงโรงน้ำแข็งต้าถง เขาก็ยืนอยู่ใต้ป้ายร้านแล้วกวาดตามองไปรอบๆก่อนที่จะเห็นซุนหมิงที่ดูจะเศร้าสลดไปเล็กน้อย หยวนโจวตบไหล่ของเขาแล้วถามขึ้นมาตรงๆว่า “มีอะไรงั้นเหรอ ซุนหมิง?”
“นายมาแล้ว มาไวดีนี่นา ขอฉันเรียบเรียงคำพูดก่อนนะ” พอซุนหมิงสูบบุหรี่หมดมวน เขาก็ดับก้นบุหรี่แล้วจุดมวนใหม่ขึ้นมาทันที
หยวนโจวได้แต่นั่งอยู่ข้างๆโดยไม่พูดอะไรเพื่อรอให้ซุนหมิงเรียงเรียงคำพูดของตัวเอง
หยวนโจวทำผลงานแกะสลักน้ำแข็งเกือบจะเสร็จแล้วแต่กลับต้องยกให้ผู้อื่นไปเมื่อตอนที่ซุนหมิงโทรหาเขายามบ่าย เขาบอกหยวนโจวว่ามีเรื่องอยากคุยด้วย
เนื่องจากซุนหมิงเป็นผู้มีอารมณ์ขัน เขาแทบไม่เคยพูดกับหยวนโจวด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังเช่นนั้นมาก่อนเลย ดังนั้นหยวนโจวจึงรีบปิดร้านทันที
เมื่อหยวนโจวมาถึงสถานที่นัดหมายด้วยรถแท็กซี่อย่างยากลำบากยิ่ง เขาก็ได้รับสายจากซุนหมิงแล้วบอกให้ไปอีกที่หนึ่ง และพอไปถึงสถานที่แห่งที่สองก็เปลี่ยนสถานที่อีกแล้ว
เกิดเรื่องเดียวกันถึงสามครั้ง เขามาถึงจุดมายปลายทางแล้วบอกให้เปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆโดยไม่มีข้อยกเว้น ในฐานที่เป็นเพื่อนกันมานานหลายปี หยวนโจวค่อนข้างแน่ใจว่าเมื่อซุนหมิงลังเลใจเรื่องอะไรสักอย่างเขาก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปเดินมา ดังนั้นหยวนโจวจึงไม่ได้บ่นเรื่องประสบการณ์อันไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่นี้ออกไป
หลังจากซุนหมิงสูบบุหรี่หมดไปอีกมวน เขาก็เริ่มกล่าวขึ้นมาว่า “ฉันเตรียมจะปล่อยเช่าร้านเสื้อผ้าเพื่อไปฝึกปั่นจักรยานชิงแชมป์ทัวร์ออฟไห่หนาน”
นี่เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ นอกจากนี้ครอบครัวของซุนหมิงยังเป็นครอบครัวชนชั้นกลางแถมยังเปิดร้านเสื้อผ้าด้วยเงินของบิดามารดาอีกต่างหาก
หยวนโจวพยายามสงบสติอารมณ์แล้วฟังซุนหมิงพูดต่อไป
“นายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันกำลังไล่ตามสาวงามคนหนึ่งอยู่น่ะ? ยังมีหนทางอีกยาวไกลกว่าฉันจะทำสำเร็จ ฉันเลยคิดว่าควรจะทำในสิ่งที่เธอชอบน่ะสิ” ซุนหมิงไม่ได้ใจเย็นอย่างที่เห็นจึงทำให้เขาพูดจาไม่รู้เรื่อง
“เธอเป็นผู้ที่หลงใหลในการปั่นจักรยาน แถมเธอยังชอบปั่นจักรยานแล้วก็สนใจทัวร์ออกไห่หนานเป็นพิเศษด้วยและนอกจากนั้น เธอก็ดูการถ่ายทอดสดทางทีวีอยู่ทุกปี ดังนั้นฉันก็เลยเชื่อว่าถ้าฉันได้เป็นแชมป์ก็น่าจะไม่มีปัญหาแล้วล่ะ” ส่วนความกลัวของหยวนโจวที่สวนทางกับความคิดของตัวเอง ซุนหมิงก็กล่าวเสริมขึ้นมาทันทีก่อนที่หยวนโจวจะทันได้ตอบเขาไป
“เดิมทีฉันก็มีพื้นฐานในการขี่จักรยานที่ดีอยู่แล้ว แถมนายก็เคยเห็นฝีมือการขี่จักรยานของฉันเมื่อตอนที่พวกเราแบ่งกันขี่จักรยานก่อนหน้านี้ ยอดไปเลยใช่ไหมเล่า? ดังนั้นฉันก็เลยคิดว่าหลังจากฝึกหนักมาครึ่งค่อนปีก็น่าจะได้แชมป์โดยไม่มีปัญหาเลยล่ะ”
“นายว่าความคิดฉันเป็นไงล่ะ?” ซุนหมิงมองหยวนโจวด้วยความกระสับกระส่าย
“ก็ดีนะ แล้วนายเจอคนที่จะมารับช่วงกิจการต่อจากนายแล้วหรือยังล่ะ?” เมื่อได้ยินคำถามของซุนหมิงแล้ว หยวนโจวก็ใคร่ครวญดูสักครู่แล้วตอบ
ซุนหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยไม่ต้องสงสัย เขาตบไหล่ของหยวนโจวด้วยความตื่นเต้นแล้วกล่าวว่า “ฉันรู้ว่านายต้องเข้าข้างฉันอย่างแน่นอน หยวนโจว นายรู้ไหมว่านายเป็นคนแรกเลยที่สนับสนุนความคิดของฉันน่ะ ตอนที่ฉันบอกเล่าสิ่งที่คิดให้คนอื่นฟัง พวกเขาต่างก็คิดว่าฉันไม่โง่ก็บ้ากันทั้งนั้นเลย”
บทที่ 808 คิดถึงอู๋ไห่
หยวนโจวไม่รู้ว่าซุนหมิงหมายถึงใครแต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจ สิ่งที่เขาอยากจะทำต้องเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่ๆ ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะไม่รู้ว่าทัวร์ออฟไห่หนานคืออะไร แต่มันต้องเป็นการแข่งขันครั้งยิ่งใหญ่อย่างแน่นอนเนื่องจากถูกสถานีโทรทัศน์ปิดบังเอาไว้
เพื่อให้ได้แชมป์หลังจากการฝึกแค่ปีเดียวช่างไม่ต่างอะไรจากความปรารถนาที่จะโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วยืนเคียงข้างกับดวงอาทิตย์
ถึงแม้ว่าร้านเสื้อผ้าของซุนหมิงจะไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักหนา แต่ก็มีทำเลที่ตั้งที่ดีและมีศักยภาพในการเติบโตมาก แต่เพียงเพื่อผู้หญิงที่เขาตามจีบแล้ว เขาถึงกับยินยอมที่จะถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ร้านของตัวเองให้คนอื่นไปเสียอย่างนั้น บิดาของเขาคงโมโหแทบตายทีเดียวถ้าหากรู้เรื่องนี้เข้า แต่จากความเข้าใจของหยวนโจวที่มีต่อบิดาของซุนหมิงนั้น ก่อนที่เขาจะโมโหจนตายคงได้ตีซุนหมิงจนตายก่อนเป็นแน่
“ตอนแรกฉันคิดว่าจะจ้างคนมาดูแลร้านแทนฉัน แต่สุดท้ายฉันตัดสินใจแล้วว่าจะมุ่งมั่นไปที่มันเพียงอย่างเดียว ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าจะได้เป็นแชมป์กันง่ายๆเสียเมื่อไหร่” ซุนหมิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังที่ยากจะพบเห็นได้จากตัวเขา “แล้วนอกเหนือไปจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันยังไม่เคยจริงจังเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ฉันรู้สึกได้ว่าการไล่ตามแม่เทพธิดาของฉันมีความหมายยิ่งกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียอีกแน่ะ”
เมื่อพูดถึงซุนหมิงก็มีเรื่องที่ค่อนข้างแปลกเกิดขึ้นกับเขา แรกเริ่มเดิมทีเขาเป็นเด็กนักเรียนที่เกเรมาก ยิ่งไม่ต้องไปเอ่ยถึงที่หนึ่งเลย แม้แต่ที่สามยังไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำไป แต่ในช่วงปีสุดท้าย จู่ๆคุณยายของเขาก็จากไปอย่างกะทันหัน ก่อนที่เธอจะจากไปซุนหมิงให้สัญญาว่าเข้าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้
หลังจากนั้นใช้เวลาปีสุดท้ายเพียงครึ่งปีเท่านั้น เขาก็เริ่มตั้งใจเรียนจนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่งได้ นี่เป็นความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าเขาจะใช้เวลาเรียนมากไปจนกลายเป็นทำร้ายตัวเองแทน นับตั้งแต่เขาสอบเข้าได้ก็กลายเป็นคนขี้เกียจมาจนทุกวันนี้
อันที่จริงแล้วระหว่างการสนทนากันในคราวนี้ซุนหมิงพูดออกไปตั้งมากมาย แต่หยวนโจวกับไม่ได้พูดหรือถามอะไรออกมาเลย เพียงเพื่อผู้หญิงคนนั้นแล้วช่างไม่คุ้มค่าที่จะเสียสละขนาดนี้เลย แต่มันเป็นเรื่องระหว่างซุนหมิงกับผู้หญิงคนนั้น ในฐานที่เป็นคนนอกจึงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ที่หยวนโจวจะพูดอะไรออกมาอีก
ยกตัวอย่างเช่นเพื่อไล่ตามผู้หญิงคนนั้นแล้ว ซุนหมิงถึงกับเปลี่ยนอาชีพแล้วเริ่มปั่นจักรยาน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นแฟนเขาจริงๆนี่นา สำหรับคนอื่นแล้วนี่เป็นเรื่องโง่เขลาสิ้นดีแต่สำหรับซุนหมิงแล้ว เขามีความสุขเอามากๆเลยที่ได้ทำแบบนั้น
“ด้วยแรงสนับสนุนของนาย ฉันรู้สึกมีความกล้ามากขึ้นเชียวล่ะ” ซุนหมิงกล่าว “แต่ถ้าหากฉันทำไม่สำเร็จก็จะเสียทั้งร้านแล้วก็แฟน นั่นคงเลวร้ายน่าดูเลยว่าไหม?”
ดูเหมือนซุนหมิงจะอารมณ์ดีขึ้นมากแล้วเนื่องจากเขาสามารถล้อเล่นได้แล้ว
หยวนโจวเป็นเพื่อนที่ไม่รู้วิธีปลอบใจหรือแนะนำผู้อื่น เขาทำได้เพียงสองอย่างโดยอย่างแรกคือการหยิบยื่นมิตรภาพของตนเองให้
และอย่างที่สองก็คือ…
“ซุนหมิง ถ้าหากวันหนึ่งนายไม่มีเงินกินข้าวก็มาทำงานที่ร้านฉันสิ ฉันจะให้เงินเดือนนายสูงๆเลย เงินเดือนมากพอที่จะทำให้นายไม่ต้องอดอยากเชียวล่ะ” หยวนโจวเสนออย่างจริงจัง นี่ก็คืออย่างที่สองที่เขาสามารถทำได้คือต้องทำให้แน่ใจว่าเพื่อนของเขาจะไม่อดอยาก
“นายพยายามที่จะมาเป็นปู่ของฉันหรือไง?” ซุนหมิงเปลี่ยนอารมณ์สนทนา “ดีล่ะ งั้นฉันก็จะไปขอให้นายช่วยก็แล้วกัน ปู่ครับ ช่วยสอนผมทำอาหารหน่อยได้ไหมครับ? ผมรู้สึกว่าการควบคุมกระเพาะอาหารของแม่เทพธิดาเอาไว้ได้น่าจะเป็นวิธีการที่ดีในการกุมหัวใจของเธอเอาไว้เลยล่ะ”
“นายไม่มีพรสวรรค์ในเรื่องนั้นหรอก” หยวนโจวมองซุนหมิงขึ้นๆลงๆก่อนที่จะกล่าวออกมา
“นายรู้ไหมว่าทื่อมะลื่อเกินไปจะทำให้นายหาแฟนได้ยากนะ?” ซุนหมิงกล่าว
“อืม” หยวนโจวพยักหน้าแล้วพูดต่อไป “งั้นคืนนี้นายอยากไปดูหนังไหมล่ะ?”
“หนุ่มโสดสองคนไปดูหนังด้วยกันมันแปลกๆอยู่นะ” ซุนหมิงกล่าวด้วยความแปลกใจ
“เปล่าเสียหน่อย มีหนุ่มโสดแค่คนเดียว ฉันจะไปซื้อตั๋วให้นายแล้วนายก็ไปคนเดียว อืม ลองปรับอารมณ์ของนายผ่านหนังเสียหน่อยสิ คืนนี้มีหนังรักด้วยนะ” หยวนโจวกล่าวพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา
“นายจะเลี้ยงงั้นเหรอ?” ซุนหมิงอยากจะปฏิเสธแต่นึกขึ้นได้ว่าหยวนโจวกำลังจะซื้อตั๋วให้ สิ่งนี้ทำให้เขาชักจะลังเลใจขึ้นมาแล้ว
ถึงอย่างไรหยวนโจวก็เป็นเจ้าเข็มทิศที่แทบจะไม่เคยเลี้ยงใครเลย
“อืม ฉันจะจ่ายค่าตั๋วให้แล้วนายก็ไปดูคนเดียวซะ” หยวนโจวกล่าวอย่างมีน้ำใจ
“เอาล่ะ ในเมื่อนายเป็นคนจ่ายเงิน ฉันก็อยากจะดูหนังทำเงิน” ซุนหมินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วบอกสิ่งที่ต้องการออกมา
“ดูหนังรักเพื่อเรียนรู้วิธีจีบหญิงสิ นายจะได้ไม่ชวดจากแม่เทพธิดาคนนี้ไป จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีกเล่า?” หยวนโจวปฏิเสธแล้วซื้อตั๋วหนังรัก
อย่าได้มองข้ามความคิดของหยวนโจวเชียวว่าการดูหนังคนเดียวเป็นสิ่งที่คนโสดจะทำกัน และตอนนี้เขากำลังจัดการให้ซุนหมิงไปดูหนังรักนอกจากแนวอื่นๆแล้ว ซุนหมิงจะรู้สึกอย่างไรบ้างนะ?
“มีเหตุผลเหมือนกันนะ” ซุนหมิงไม่คิดมาก เขาพยักหน้าอย่างเหม่อลอย
“อืม นายไปได้แล้วล่ะ” หยวนโจวส่งภาพตัวอย่างของตั๋วให้ซุนหมิงแล้วกล่าวขึ้นมา
“ก็ได้ๆ พรุ่งนี้ฉันจะไปหานายแล้วกัน” ซุนหมิงตรวจสอบเวลาแล้วพยักหน้า
“กลับดีๆล่ะ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วมองซุนหมิงจากไปก่อนที่จะเรียกรถแท็กซี่กลับไปที่ร้าน
ตอนที่หยวนโจวกลับมาที่ร้านก็เลยเวลามามากแล้ว ก่อนที่เขาจะเตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารมื้อค่ำเสร็จก็ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว
และคืนนี้ก็เป็นอีกค่ำคืนอันแสนวุ่นวายของหยวนโจว
ในขณะเดียวกัน บรรดาลูกค้าก็นึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้หรือจะพูดให้ถูกก็คือสังเกตพบอะไรบางอย่าง
“เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋หายหน้าหายตาไปเป็นอาทิตย์แล้วใช่ไหม? ในเมื่อเถ้าแก่หยวนกลับมาได้อาทิตย์นึงแล้ว เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋ไปอยู่เสียที่ไหนกันเล่า?” หลิงหงบ่นพึมพำระหว่างกินอาหาร
“ทำไมเหรอ? นายคิดถึงอู๋ไห่หรือไง?” พี่วั่นถามขึ้น
พักนี้พี่วั่นจะบรรจงประทินโฉมก่อนมาที่ร้าน ทุกคนในร้านสามารถได้กลิ่นความรักลอยอวลอยู่อยู่รอบตัวเธอเชียวล่ะ
หลิงหงส่งเสียงออกทางจมูกแล้วกล่าวว่า “คิดถึงเขางั้นรึ? เขาคู่ควรด้วยเหรอ? ก็แค่รู้สึกแปลกๆที่เขาไม่อยู่ในร้านเท่านั้นแหละน่า”
“เมื่อบางอย่างที่อยู่ข้างกายของเรามานาน ไม่ว่าบางอย่างนั้นจะดีหรือไม่ก็ช่าง เราก็จะรู้สึกแปลกๆเมื่อจู่ๆสิ่งนั้นหายไป เรื่องนั้นก็พอเข้าใจได้หรอกนะ” พี่วั่นสรุปให้ฟัง
“เธอก็พูดเสียอย่างกับเป็นบทกวีเลยนะ แต่เธอก็เว่อร์ไปหน่อยนะ ฉันแค่รู้สึกว่าพอไม่มีเขาอยู่แถวนี้ก็ไม่มีคนให้ฉันด่าเท่านั้นเอง” หลิงหงกล่าว ในตอนนั้นเองพี่วั่นคงจะพูดออกมาราวกับบทกวีจริงๆนั่นแหละ แต่เธอเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและคงแก่เรียนหากไม่พูดออกมาแบบนั้นสิถึงจะแปลก
“นายก็เอาแต่อยากหาเรื่องด่าเท่านั้นแหละ พวกเรามีเรื่องที่ต้องลงมือที่นี่นะ” พี่วั่นหมายถึงแฮปปี้กับเบรนที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป
ฉินเสี่ยวอี้ผู้เป็นเบรนกับเกาฟ่านผู้เป็นแฮปปี้รู้สึกแปลกๆที่ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ไม่อยู่ต่อสู้กับพวกเขาที่นี่
และเพื่อเป็นการระลึกถึงอู๋ไห่ ทั้งเกาฟ่านกับฉินเสี่ยวอี้จึงตัดสินใจที่จะขอถ้วยเปล่าๆกับตะเกียบคู่หนึ่งจากหยวนโจว
หยวนโจวรู้สึกสงสัยกับคำขอนี้มาก แต่เมื่อเขาเห็นสิ่งที่พวกเขาจะทำแล้ว เขาก็ถึงกับพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว พวกเขาจัดถ้วยและตะเกียบเอาไว้ข้างตัวแล้วคีบอาหารเอาไว้ในถ้วยก่อนที่จะแกล้งทำเป็นว่าอู๋ไห่อยู่ตรงนั้น
ครั้งสุดท้ายที่หยวนโจวพบเจอกับการรำลึกถึงบางคนด้วยวิธีการนี้ก็คือตอนที่เพื่อนสมัยเรียนของเขาตาย ไม่เพียงมีแค่ถ้วยเปล่าๆเท่านั้นยังมีภาพถ่ายขาวดำของผู้ตายด้วย โชคดีที่ไม่มีภาพถ่ายของอู๋ไห่อยู่ที่นี่ แต่สิ่งนี้ก็ยังทำให้หยวนโจวรู้สึกแปลกๆอยู่ดี
หลังจากใคร่ครวญดูเล็กน้อย หยวนโจวก็เตือนฉินเสี่ยวอี้กับเกาฟ่านว่า “ไม่อนุญาตให้เหลืออาหารเอาไว้นะครับ ไม่เว้นแม้แต่ในถ้วยเปล่าก็ด้วยนะครับ”
เมื่อหลิงเห็นสิ่งที่พวกเขาทำ เขาก็รำพึงรำพันว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนคนโง่ก็มีความสุขได้ตลอดเลยสิน่า
“คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับอู๋ไห่หรอกใช่ไหม? เขากินอะไรที่ไม่ใช่อาหารของเถ้าแก่หยวนไม่ลงนี่นา” พี่วั่นรู้สึกเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด “เกินอาทิตย์นึงมาแล้ว เขายังสบายดีอยู่ไหมนะ?”
“จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาได้เล่า?” หลิงหงตอบโดยไม่คิด “ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเขาจริงๆแล้วล่ะก็วงการภาพเขียนของประเทศคงได้คลั่งกันล่ะงานนี้ แต่ทุกอย่างยังเรียบร้อยดีอยู่เลยนี่”
นั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลทีเดียว ก่อนหน้านี้เมื่อตอนที่อู๋ไห่เพียงแค่หัวโขกบันได ผู้มีชื่อเสียงมากมายจากวงการภาพเขียนก็ยังพากันมาเยี่ยมเขาเลย
“ฉันก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่ดีนั่นแหละ ฉันโทรหาเจิ้งเจียเว่ยแล้วจะบอกให้พวกนายรู้อีกทีนะ” พี่วั่นกล่าว
หลิงหงโบกมือเพื่อบ่งบอกว่าเขาไม่รู้สึกเป็นห่วงเลยสักนิด ไม่ต้องบอกเขาก็ได้นะ
บทที่ 809 นี่แหละชีวิต
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดถึงอู๋ไห่อยู่นั้น เขากำลังถูกเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่พูดเป็นต่อยหอยรุมล้อมอยู่
“คุณลุงเป็นจิตรกรดีมากเลยเหรอ?”
“ตาลุงหนวด ดูนี่สิ ดูนี่สิ”
“วันนี้แม่ทำอาหารด้วยล่ะ เธออยากเลี้ยงขนมแป้งทอดลุง ขนมแป้งทอดของแม่อร่อยมากเลย”
กลุ่มเด็กที่มีอายุราวๆสี่ถึงห้าปีกำลังรุมล้อมอู๋ไห่เอาไว้ จากที่พวกเขาพูดมา เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาค่อนข้างสนิทกับอู๋ไห่มากทีเดียว แถมเด็กคนหนึ่งในกลุ่มยังกล้าพอที่จะดึงหนวดของอู๋ไห่อีกต่างหากแน่ะ
นับตั้งแต่มีหญิงสาวแปลกหน้าบอกว่าหนวดเคราของอู๋ไห่ให้ความรู้สึกปลอดภัย เขาก็ดูแลหนวดเคราตัวเองเป็นอย่างดี แม้ว่าหญิงสาวผู้นั้นจะเลิกมาที่ร้านหยวนโจวด้วยเหตุผลกลใดก็สุดรู้แล้วก็ตามที
เจิ้งเจียเว่ยเคยพยายามที่จะหาสาเหตุมาแล้ว มีข่าวลือว่าเธอน่าจะย้ายไปที่อื่นแล้วไม่ก็อาจจะมีเหตุผลอื่นก็ได้ มีลูกค้าอีกมากมายในร้านหยวนโจวทว่ากลับมีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป แถมบางคนได้เจอกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
อู๋ไห่รู้สึกแปลกๆเช่นกัน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้สนใจคำประเมินของคนแปลกหน้ามากขนาดนั้นในเมื่อเขาหาใช่คนที่สนใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของตนเองเลย
“โอเค โอเค ไปเล่นที่อื่นไป ฉันจะเริ่มวาดภาพแล้ว” อู๋ไห่ไล่เด็กๆไป
พวกเด็กตามป่าตามเขาค่อนข้างไร้ระเบียบ สิ่งนี้เห็นได้ชัดจากเสื้อผ้าที่เปื้อนดินโคลน เมื่อเด็กๆได้ยินเข้าต่างก็วิ่งไปด้านข้างแล้วเริ่มวาดภาพเช่นเดียวกัน โดยอู๋ไห่เป็นผู้จัดหากระดาษวาดเขียนและพู่กันมาให้พวกเขาใช้กัน
หรือจะพูดให้ถูกก็คือกระดาษและพู่กันพวกนี้เป็นของที่เจิ้งเจียเว่ยนำมาที่นี่หลังจากอู๋ไห่บอกให้เขาซื้อของพวกนี้มาจากเมืองที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร
ด้วยเหตุผลกลใดก็สุดรู้ บางทีสิ่งนี้อาจจะหยั่งรากลึกอยู่ในเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ก็เป็นได้ เด็กจึงดูเหมือนจะชอบการวาดภาพไปเสียหมดเลย
ก่อนหน้านี้อู๋ไห่เคยเห็นภาพถ่ายหมู่บ้านบนเขาที่สวยมากซึ่งช่วยกระตุ้นให้เขาอยากวาดภาพหมู่บ้านแห่งนี้เป็นอันมาก
แล้วเขาก็ให้เจิ้งเจียเว่ยวางแผนการเดินทางมาวาดภาพที่หมู่บ้านแห่งนี้ให้เขา แผนในตอนแรกของเขาก็คือพักอยู่ที่นี่อาทิตย์หนึ่ง ถึงอย่างไรสำหรับอู๋ไห่แล้วชีวิตที่ปราศจากร้านหยวนโจวช่างแสนทรมานเหลือเกิน
แต่ผ่านไปสองสัปดาห์แล้วอู๋ไห่ก็ยังอยู่ในหมู่บ้าน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นค่อนข้างสลับซับซ้อนเชียวล่ะ
“อาไห่ ฉันซื้อของที่นายอยากกินมาด้วยล่ะ” เจิ้งเจียเว่ยมาพร้อมกับถุงใบหนึ่ง
“ทำไมนายถึงได้ช้าอย่างนี้เล่า?” อู๋ไห่บ่นพลางรับถุงมา ถุงเต็มไปด้วยเนื้ออบแห้งและลูกอมรสผลไม้รวมกว่าครึ่งถุง ทั้งสองอย่างนี้เป็นอาหารที่ช่วยให้อู๋ไห่อยู่รอดได้ในหมู่บ้านบนเขา
“รถประจำทางมาช้าไปชั่วโมงน่ะสิ” เจิ้งเจียเว่ยอธิบายแล้วถามว่า “นายได้แรงบันดาลใจใหม่ๆแล้วหรือยังล่ะ?”
“น่าจะนะ ใครจะรู้ล่ะ ฉันคงจะได้รู้หลังจากเริ่มวาดภาพนี่แหละ” อู๋ไห่บอกให้เจิ้งเจียเว่ยหลีกทาง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากโดนรบกวนตอนที่กำลังวาดภาพ
ในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา อู๋ไห่วาดภาพเสร็จไปห้ารูปแล้ว เขามักจะใช้เวลาไปกว่าครึ่งค่อนปีกับการวาดภาพพวกนี้มากทีเดียว
เจิ้งเจียเว่ยที่อยู่ทางด้านข้างกำลังวิธีวาดภาพให้แก่เด็กๆบนเขา
ในฐานที่เป็นผู้จัดการของอู๋ไห่ เจิ้งเจียเว่ยยังรู้เรื่องเกี่ยวกับภาพเขียนด้วย ถึงอย่างไรเมื่อคุณต้องอยู่เคียงข้างคนผู้หนึ่งมานาน คุณก็จะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างมาจากคนผู้นั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรเสียเจิ้งเจียเว่ยก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินค่างานศิลป์เนื่องจากเขาเป็นผู้ที่ตัดสินราคาภาพเขียนของอู๋ไห่แต่ละรูปอีกด้วย
แม้แต่เจียงฉางซี่กับหลิงหงต่างก็ยอมรับว่าเจิ้งเจียเว่ยเป็นผู้จัดการที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
“อาไห่เป็นคนที่พูดจาหยาบคายแต่กลับมีหัวใจอันอ่อนโยน เห็นได้ชัดว่าเขาอยากสอนเด็กๆบนเขาวาดภาพ นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาบอกให้ฉันซื้อของที่จำเป็นต่อเด็กๆไปด้วย แต่เขากลับเอาแต่ยืนกรานว่าเขาแค่อยากให้เด็กๆออกไปให้พ้น” เจิ้งเจียเว่ยพึมพำพลางเหลือบมองภาพเขียนที่อู๋ไห่กำลังวาด
หมู่บ้านบนเขามีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก ในภาพเขียนของอู๋ไห่สามารถเห็นพืชพรรณเขียวชอุ่ม ขุนเขาเขียวขจีและน้ำใสแจ๋ว แถมยังสามารถมองเห็นคนเลี้ยงแกะที่สนใจแต่ฝูงแกะเหล่านั้นจากระยะไกล
แน่นอนว่าย่อมสามารถพบเห็นพื้นที่ซึ่งแหมาะแก่การเพาะปลูกในหุบเขา หมู่บ้านบนเขาแห่งนี้นับว่ามีทำเลที่ตั้งที่ดีเนื่องจากดินที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เพียงพอที่จะทำให้เกิดทุ่งกว้างอย่างไม่เป็นระเบียบไปทั่วทั้งหุบเขา
ปัจจุบันนี้สามารถเห็นเกษตรกรชราทำงานอยู่ในท้องทุ่งทั้งหลายได้ หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากปัญหาด้านการคมนาคมขนส่ง คนรุ่นใหม่ของหมู่บ้านส่วนใหญ่จึงต้องออกไปที่อื่นเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น มีเพียงบิดามารดาผู้ชราและเด็กรุ่นหลังที่กำลังจะออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน
ดังนั้นจึงมีเพียงทุ่งกว้างครึ่งบนเท่านั้นที่ยังคงเขียวขจีในขณะที่ครึ่งล่างกลับถูกทอดทิ้งไปเสียแล้ว
อู๋ไห่กำลังวาดแรงบันดาลใจของตัวเองจากทิวทัศน์ เขาเริ่มวาดภาพโดยคงลักษณะเดิมเอาไว้และเป็นเช่นนี้ไปตลอดสามชั่วโมง
เวลาที่เขาใช้วาดภาพเพียงพอให้เด็กๆกลับไปทานอาหารแล้วกลับมาที่นี่ ส่วนเจิ้งเจียเว่ยนั้น เขาไปบ้านที่เชิญอู๋ไห่ไปทานอาหารเพื่ออธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วค่อยกลับไปหาอู๋ไห่พร้อมขนมแป้งทอด
หลังจากนั้นสามชั่วโมง อู๋ไห่รู้สึกเหนื่อยมากแล้วจึงนั่งลงกับพื้นด้วยความอ่อนเพลีย ภาพเขียนของเขาเสร็จสมบูรณ์ในคราวเดียว
เจิ้งเจียเว่ยเดินเอาน้ำอุ่นมาให้อู๋ไห่ แต่เมื่อเขาทอดสายตาไปยังภาพเขียนที่เพิ่งจะวาดเสร็จใหม่ๆ เขาก็ถึงกับเหม่อลอยไปเลยทีเดียว
ภาพเขียนช่างแสนงดงามตระการตาเหลือเกิน
สิ่งที่ดึงดูดเจิ้งเจียเว่ยมากที่สุดเมื่อตอนที่เขาทอดสายตาไปยังภาพเขียนในทีแรกก็คือทุ่งกว้าง ท้องฟ้าอันแสนสดใสและทิวทัศน์งดงามตระการตา ทุกเส้นสายที่อู๋ไห่วาดล้วนแล้วแต่ลื่นไหลราวกับสายลมพัดผ่านท้องทุ่งทำให้เกิดคลื่นสีเขียวที่ผสมกลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์แบบ
ยิ่งเขามองภาพวาดมากเท่าไหร่ก็รู้สึกว่ามันสวยยิ่งขึ้นมากเท่านั้น หาใช่แค่ทิวทัศน์ที่งดงามตระการตาเท่านั้น แต่ยังมีเกษตรกรชราอยู่บนท้องทุ่งที่แสนงดงามตระการตาอยู่ด้วย สีทึมๆที่นำมาใช้กับเสื้อผ้าธรรมดาๆและน้ำแร่ที่กำลังไหลรินลงมาจากหุบเขาทำให้รู้สึกราวกับได้ยินเสียงน้ำแร่กำลังไหลรินออกมาจากภาพเขียนก็ไม่ปาน
นี่แหละคือความงดงามของงานหนักล่ะ
เจิ้งเจียเว่ยเป็นผู้จัดการของอู๋ไห่มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว เขาได้เข้าร่วมงานจัดแสดงงานศิลป์มาหลายต่อหลายครั้งแถมยังเคยพบเห็นบุคคลและภาพเขียนที่มีชื่อเสียงมาแล้ว แต่ภาพเขียนที่งดงามตระการตาเสียขนาดนี้กลับหาได้ยากยิ่งนัก
“ภาพเขียนชิ้นนี้มีชื่อว่าอะไรงั้นเหรอ?” เจิ้งเจียเว่ยถามขึ้นมาโดยหลงลืมไปว่าเขามาตรงนี้เพื่อเอานำมาให้อู๋ไห่
“นี่แหละชีวิต” อู๋ไห่ตอบอย่างเหนื่อยล้าพลางทรุดตัวลงกับรากไม้
ชื่อประหลาดชะมัดเลย เขาพยายามที่จะบอกว่าการดำรงชีวิตอยู่ในสถานที่อันงดงามตระการตาเช่นนั้นเป็นวิถีชีวิตที่ยอดเยี่ยมที่สุดงั้นหรือ?
ตามความเข้าใจของเจิ้งเจียเว่ยที่มีต่ออู๋ไห่ย่อมไม่ใช่แบบนั้นเป็นแน่ เมื่อเทียบกับทิวทัศน์อันงดงามตระการตาแล้ว อู๋ไห่กลับชื่นชอบอาหารรสเลิศมากกว่า ทางเดียวก็คือลักพาตัวหยวนโจวมาที่นี่เสียเลย
เจิ้งเจียเว่ยวิเคราะห์ภาพเบียนต่อไปแล้วจู่ๆเขาก็รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่เมื่อสังเกตพบลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของภาพเขียน
“มันไม่ใช่งานหนักหรอก แต่กลับเป็นงานที่เหนื่อยต่างหากเล่า” เจิ้งเจียเว่ยกล่าว
ภาพเขียนมากมายที่แสดงลักษณะท่าทางของเหล่าเกษตรกรจะอธิบายว่าเกษตรกรต่างกรำงานหนัก ถึงแม้ว่างานหนักและงานเหนื่อยจะต่างกันแค่พยางค์เดียว แต่ความหมายที่อยู่เบื้องหลังกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ถ้าลองสังเกตภาพเขียนชิ้นนี้ดีๆก็จะพบว่าเกษตรกรกำลังทำงานที่เหนื่อยมากต่างหากเล่า อู๋ไห่ใส่รายละเอียดของภาพเขียนได้ยอดเยี่ยมมาก ผมของเกษตรกรยุ่งเหยิงราวกับท้องทุ่งที่เหี่ยวเฉาขณะที่สีหน้ากลับดำทะมึนราวกับกำลังแบกรับย้ำหนักของเขาทั้งลูกเอาไว้บนหลัง อันที่จริงแล้วเสื้อผ้าของเขาช่างแสนธรรมดา คุณภาพต่ำแถมยังเก่าคร่ำคร่าอีกต่างหาก และถ้ามองไปทางเกษตรกรชราเพียงคนเดียวก็คงคิดแค่จะบอกว่า “ใครจะไปรู้กันล่ะว่าการตรากตรำทำงานเช่นนั้นจะกลายเป็นเมล็ดข้าวทุกเม็ดในถ้วยใบนี้เสียได้?”
ชายชรากำลังทำงานที่เหนื่อยอยู่ในทำเลที่ตั้งที่งดงามตระการเป็นพิเศษ ทั้งสองอย่างต่างตรงข้ามกันแต่อู๋ไห่กลับรวมเข้าด้วยกันในภาพเขียนชิ้นเดียวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าไม่วิเคราะห์ภาพเขียนให้ดีก็คงไม่ทันสังเกตเห็นความหมายที่แท้จริงของมันเป็นแน่
ชีวิตคืออะไรกันเล่า? ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะงดงามตระการตาสักเพียงใดก็ไม่สามารถแทนที่อาหารได้หรอก นั่นแหละคือชีวิตล่ะ สภาพแวดล้อมอาจจะงดงามตระการตาสำหรับนักท่องเที่ยว แต่สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในหุบเขาแล้วผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์กลับมีความสำคัญยิ่งกว่าสภาพแวดล้อมอันงดงามตระการตาเสียอีก
“การชื่นชมธรรมชาติก็เป็นแค่คำปลอบใจชาวบ้านบนเขาไปอย่างนั้นเอง” เจิ้งเจียเว่ยรำพึงออกมา จากนั้นเขาก็ประเมินว่า “อาไห่ นี่เป็นภาพเขียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดนับตั้งแต่นายมาที่นี่เลยเชียวล่ะ”
“พูดให้ถูกก็คือกว่า 20 ปีในอาชีพจิตรกรของนาย นี่เป็นภาพเขียนชิ้นเอกของนายเลยก็ว่าได้” ตามความเห็นอย่างเป็นมืออาชีพของเจิ้งเจียเว่ย มูลค่าของภาพเขียนชิ้นนี้ย่อมไม่ด้อยไปกว่าภาพคนที่เดินผ่านร้านอาหารเล็กๆเลย ควรรู้ว่าภาพเขียนจะถูกพวกเศรษฐีเสนอราคาเอาไว้แพงลิบลิ่วทั้งยังมีบันทึกการตั้งราคาใหม่ของภาพเขียนสมัยใหม่ในประเทศขึ้นมาด้วย
แน่นอนว่าผู้คนที่เดินผ่านร้านอาหารเล็กๆก็ยังแขวนอยู่ในร้านหยวนโจว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น