ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 806-807
ตอนที่ 806 มิติสีเลือด
ในตอนนี้เองเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น!
มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่อยู่หน้าโต๊ะบูชาสองสามจั้งฉับพลันระเบิด กระทั่งหมอกสีดำที่ล้อมอยู่ใกล้ๆ ก็พังทลายสลายหายไปในพริบตาทั้งหมดด้วย
หลังเสียงแค่นหยันทีหนึ่ง บุรุษผมม่วงก็ลุกขึ้นมาจากบนพื้นช้าๆ เสื้อผ้าครึ่งท่อนบนของเขากลายเป็นเถ้าธุลีทั้งหมดเผยลวดลายจิตวิญญาณสีดำเหลืองแผ่ไปทั่วผิวหนัง สองตาแดงฉานดุจโลหิต
หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้ล้วนพรั่นพรึง ในใจหลิ่วหมิงรู้สึกท่าไม่ดีอยู่เลือนราง
“คิดไม่ถึงว่าการทดสอบกระจอกๆ ครั้งหนึ่งกลับต้องเปลืองโลหิตบริสุทธิ์ของตัวเองหนึ่งหยด ไม่อาจให้อภัยได้จริงๆ!” ชายหนุ่มผมม่วงเงยหน้ามองพวกหลิ่วหมิงสองคนอย่างเย็นชา จากนั้นพ่นออกมาทีละคำด้วยใบหน้าชั่วร้าย
เสียงพูดเพิ่งจบลง เขาก็กู่ร้องยาว ลวดลายจิตวิญญาณสีดำเหลืองทั่วร่างฉับพลันส่องสว่าง ทันใดนั้นเลือดก็พุ่งออกมาจากผิวหนังเป็นสายนับไม่ถ้วนกลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งล้อมเขาไว้ตรงกลางจากนั้นเขาก็ก้าวยาวออกมา เสียง “ตึง” ดังขึ้นไม่กี่หนเขาก็ก้าวผ่านระยะหลายจั้ง ชั่วพริบตามาถึงหน้าโต๊ะบูชาแล้วฉวยหีบไม้ที่มีปราณจิตวิญญาณสีม่วงอ่อนใบนั้นด้านซ้ายสุดมาไว้ในมือ
เหตุพลิกผันน่าตะลึงเช่นนี้ย่อมทำให้หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มรถเงินหน้าถอดสี
ทว่ายังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะตอบสนอง เรื่องประหลาดก็บังเกิดขึ้น!
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นหนึ่งหน!
สองตาของรูปสลักผู้เฒ่าคนนั้นด้านหลังโต๊ะบูชาเปล่งแสงจิตวิญญาณออกมา แสงสีทองประหนึ่งวัตถุจริงสองสายพุ่งออกมากวาดผ่านหน้าโต๊ะบูชาในพริบตา
หลังบุรุษผมม่วงถูกแสงสีทองโอบล้อมก็หายไปไร้ร่องรอย
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ตอนนี้ถึงเข้าใจ หีบไม้สามใบเห็นชัดว่าเป็นของทั้งสามคนคนละใบ เพียงแต่คนที่ไปถึงก่อนมีสิทธิ์เลือก แต่หลังเลือกปุบก็จะถูกเคลื่อนย้ายจากไปทันที
เป็นเช่นนี้ในใจเขาย่อมโล่งอก จากนั้นยกเท้าก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง
ชายหนุ่มรถเงินก็โล่งอก ก้าวเดินเชื่องช้าไปทีละก้าวเช่นกัน
แม้เวลานี้ทั้งสองคนอยู่ห่างจากโต๊ะบูชาเพียงไม่กี่ก้าว แต่ไม่กี่ก้าวสุดท้ายนี้กลับก้าวเดินยากลำบากไม่ธรรมดา ช่วงสุดท้ายหลิ่วหมิงแทบจะฝืนลากร่างเดินไปจนจบ
ชายหนุ่มรถเงินก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน การควบคุมหุ่นนานาชนิดและชุดเกราะจักรกลอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ทำให้เขาแบกรับภาระหนักยิ่งอยู่แล้ว เมื่อเดินไม่กี่ก้าวสุดท้ายนี้จบทั้งร่างก็เหงื่อไหลโชกทันที
ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าโต๊ะบูชาแทบจะในเวลาเดียวกัน หลังสบตากันหนหนึ่ง หลิ่วหมิงจึงยิ้มน้อยๆ สะบัดแขนเสื้อ ลากหีบไม้ที่ส่องแสงสีเงินขมุกขมัวใบนั้นเข้ามา
แสงสีทองสองสายพุ่งออกมาจากรูปสลักผู้เฒ่าเฉกเช่นเดียวกัน เขารู้สึกว่ามีแสงสีทองสว่างวาบตรงหน้า หลังร่างกายชาเล็กน้อยก็หายไปจากตรงนั้น
ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้ก็เม้มปากยิ้มขมขื่นเล็กน้อย เขาหยิบโอสถที่ส่องแสงสีน้ำเงินขมุกขมัวเม็ดหนึ่งออกมากลืนลงไปจากนั้นจึงคว้าหีบไม้ที่มีปราณจิตวิญญาณสีทองอ่อนปกคลุมอยู่ใบนั้นที่เหลือมาอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นจึงถูกแสงสีทองโอบล้อมหายไปเช่นเดียวกัน
……
ชั่วครู่ให้หลังแสงสีทองเบื้องหน้าหลิ่วหมิงก็สลายไป เขาส่ายศีรษะที่หนักอึ้งเล็กน้อยแล้วถึงลืมสองตาขึ้น เขาพบว่าตนปรากฏตัวขึ้นที่โลกสีเลือดแห่งหนึ่ง
ไม่ว่าพื้นดิน ท้องฟ้าหรือกระทั่งยอดเขาที่เห็นอยู่เลือนรางไกลๆ ทั้งหมดล้วนเป็นสีเลือดทั้งสิ้น
ห่างไปสิบกว่าจั้ง บุรุษผมม่วงแห่งหอเป๋ยโต่วซึ่งไม่รู้เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสีเทาชุดหนึ่งตั้งแต่เมื่อไรกำลังมองเขาอย่างเย็นชา ท่าทางร่ำๆ อยากจะลงมือ
บนเนินดินสีเลือดลูกหนึ่งห่างไปราวไม่กี่สิบจั้งอีกด้านมีเงาร่างคุ้นตาหลายร่างอยู่
หลิ่วหมิงเพ่งสายตามองจึงพบว่าเป็นเซวียผาน สตรีชุดเขียว บุรุษหน้าเหยี่ยวรวมถึงศิษย์อัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับ ใต้เนินเขายังมีคนหลายคนยืนอยู่ตรงนั้นอีก พวกเขาคือหลัวเทียนเฉิง พี่น้องโอวหยางและเผิงเยวี่ย
พวกเขาจับกลุ่มสองคนสามคนบ้างนั่งบ้างยืน ส่วนใหญ่หน้านิ่วคิ้วขมวด
หลิ่วหมิงเห็นคนเหล่านี้อยู่ที่นี่ไม่ตกหล่นสักคนย่อมตาค้างไปอยู่บ้าง
ตามหลักแล้วหลังตกรอบหรือได้รับรางวัลในแดนแห่งมรดกย่อมถูกเคลื่อนย้ายออกไปด้านนอก กลับไปในแดนลึกลับประตูสวรรค์
เขาเห็นชัดเจนกับตาว่าตอนหลัวเทียนเฉิงประลองกับชายหนุ่มผมม่วง เขาบีบโซ่แห่งโชคชะตาจนแหลกด้วยตนเองเพราะสถานการณ์วิกฤติ เวลานี้เขาสมควรออกจากแดนลึกลับประตูสวรรค์กลับไปด้านนอกแล้วแท้ๆ ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก
พร้อมกับที่เขาสงสัยอย่างยิ่ง กลุ่มคนด้านนั้นก็ค้นพบแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตรงนี้ พากันเคลื่อนสายตามองมา หลังเห็นเหลิ่วหมิงกับบุรุษผมม่วงด้านข้าง แต่ละคนก็มีสีหน้าต่างกันไป
โอวหยางเชี่ยนกับเผิงเยวี่ยบนหน้าฉายแววยินดีจางๆ แต่จากนั้นความกังวลก็เข้าแทนที่ในทันใด
บุรุษหน้าเหยี่ยว สาวน้อยชุดเขียวกับสตรีจากสำนักเฮ่าหรานสีหน้าเรียบเฉย
ส่วนศิษย์อัปลักษณ์จากหุบเขาปีศาจสวรรค์เพียงเหล่ตามองเล็กน้อยจากนั้นละสายตาออกอย่างรวดเร็ว ท่าทางคล้ายไม่ใส่ใจการปรากฏตัวของพวกหลิ่วหมิงสองคนสักนิด
“พี่เผิง นี่เกิดอะไรขึ้น ที่นี่คือที่ใด” หลิ่วหมิงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีเล็กน้อย เขาเหาะขึ้นฟ้าบินมายังเนินดินด้านนั้นในทันใด ยังไม่ทันร่อนลงมา เผิงเยวี่ยก็ประสานมือเอ่ยปากถามเขาแต่ไกลก่อนแล้ว
“สหายหลิ่ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็เข้ามาด้วย ที่แห่งนี้ค่อนข้างประหลาด ข้ากับสหายทั้งหลายที่เหลือถูกขังอยู่มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ใช้วิธีการไม่น้อยก็ยังไม่อาจสืบหาสถานการณ์ของที่แห่งนี้ให้กระจ่างได้ พวกเราปรึกษากันแล้วคิดว่าแดนแห่งมรดกคงเกิดสถานการณ์บางอย่างจึงเกิดความผิดปกติ อีกประการไม่ทราบว่าพี่หลิ่วเห็นอาจารย์อาเล็กของข้าหรือไม่” เผิงเยวี่ยลูบศีรษะยิ้มเจื่อนเอ่ยตอบ
“อะไรนะ ความผิดปกติหรือ ถ้าเป็นอาจารย์อาของท่าน…” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึง ยังไม่ทันตอบอะไรมาก ทันใดนั้นบนที่ว่างอีกแห่งหนึ่งบนเนินดินไม่ไกล แสงสีทองก็สว่างขึ้นวูบหนึ่ง ร่างของคนผู้หนึ่งโซเซปรากฏตัวออกมา
ชายหนุ่มรถเงินแห่งนิกายเทียนกงนั่นเอง
“อาจารย์อาเล็ก”
เผิงเยวี่ยเห็นเช่นนี้ก็ยินดียิ่ง รีบขยับวูบไหวไม่กี่หนไปถึงด้านนั้นจากนั้นค้อมกายถามไถ่
“ข้าไม่เป็นไร! เอ๋ ทำไมเจ้าอยู่ที่นี่…ที่นี่มันสถานที่บัดซบอะไรกัน?” ชายหนุ่มรถเงินโคลงศีรษะ หลังมองเผิงเยวี่ยทีหนึ่ง บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่หลังกวาดตามองสีเลือดรอบด้านต่อก็ยิ่งตกตะลึง
“อาจารย์อาเล็ก เรื่องนี้เล่าแล้วยาว…” เผิงเยวี่ยได้ยินก็ยิ้มเจื่อน เริ่มขยับริมฝีปากขมุกขมิบส่งกระแสจิตเล่าในทันใด
หลังชายหนุ่มรถเงินฟังไม่กี่ประโยค สีหน้าพลันเคร่งขรึม
“พี่หลิ่ว ที่นี่ประหลาดยิ่งนักจริงๆ ไม่ทราบว่าท่าน…”
หลังหลิ่วหมิงร่อนลงบนเนินเขาช้าๆ โอวหยางเชี่ยนก็เดินเข้ามาพร้อมกลิ่นหอมอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากหอมอ้าออกเล็กน้อยต้องการพูดอะไรบางอย่าง
ทว่าในตอนนี้เองท้องนภาสีเลือดพลันมีเสียงอสนนีบาตดังเปรี้ยงปร้างทั้งที่ฟ้ากระจ่าง
ทุกคนตกตะลึงรีบมองไปบนท้องฟ้า
เห็นเพียงบนท้องฟ้าสูงไอหมอกสีเลือดไหลถาโถมมา เสียงอสนีบาตดังขึ้นไม่ขาด แต่ไม่เห็นอสนีบาตแลบสว่างแต่อย่างใด
ขณะที่ทุกคนกำลังฉงนนั่นเอง แผ่นดินสีเลือดทั้งหมดก็พลันสั่นสะเทือน ผืนดินแข็งทยอยแตกออก เผยร่องลึกขนาดมหึมาเส้นแล้วเส้นเล่า ยอดเขาและทะเลหมอกสีเลือดรอบด้านก็สั่นไหวประหนึ่งฟ้าจะถล่มพสุธาจะทลาย
“แย่แล้ว!”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ทุกคนตกอกตกใจพากันตั้งท่าระวัง บ้างคว้าอาวุธเวทป้องกัน บ้างปล่อยจิตสัมผัสกวาดสำรวจรอบด้านไม่หยุด
ชั่วครู่ให้หลังเสียง “ฟู่” ก็ดังขึ้น แผ่นดินทั้งผืนถูกแสงสีเลือดซัดผ่านกลับกลายเป็นอ่อนนุ่มอย่างยิ่งแล้วเริ่มขยับยุกยิกประหนึ่งสิ่งมีชีวิต พร้อมกันนั้นของเหลวสีเลือดข้นเหนียวสายแล้วสายเล่าก็ผุดทะลักขึ้นมาจากรอยแยกบนพื้น
ไม่ว่าหลิ่วหมิง บุรุษผมม่วงหรือคนที่เหลือ ทุกคนล้วนหน้าถอดสีพากันลอยขึ้นฟ้าไปหลายจั้ง หมายหลบให้พ้น
ทว่าชั่วพริบตาที่สองเท้าทุกคนเพิ่งผละออกจากพื้น เสียงแหวกอากาศก็ดังลั่นขึ้นเบื้องล่าง หนวดเนื้อสีเลือดหนาเท่าชามข้าวเส้นแล้วเส้นเล่าดีดออกมาจากใต้พื้น พริบตาเดียวพุ่งเข้ามาหาพวกเขาประหนึ่งสายฟ้าแลบ
“นี่มันของบ้าอะไร น่าขยะแขยงเช่นนี้!”
สตรีชุดเขียวแห่งสำนักเฮ่าหรานเห็นหนวดเนื้อสีเลือดหลายเส้นบิดดิ้นไม่หยุดโอบล้อมเข้ามาพลันเผยสีหน้ารังเกียจแล้วกรนด่าเบาๆ คำหนึ่ง พู่กันหยกสีดำสนิทในมือยกขึ้น ประกายแสงสีดำหลายดวงบินพุ่งออกไปประจันหน้ากับหนวดเนื้อสีเลือดหลายเส้นที่อยู่ใกล้นางที่สุดทันที
เสียง “ชี่ๆ” ดังขึ้นสองสามหน!
หนวดเนื้อสีเลือดหลายเส้นที่อยู่ใกล้นางที่สุดก็ผุกร่อนอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงสีดำ กลายเป็นน้ำเลือดเจิ่งนองสาดกระจายบนพื้นในทันใด
ทว่าเมื่อน้ำเลือดเหล่านี้กระทบถูกพื้นดินสีเลือดที่ยุบพองไม่หยุดก็จมลงไปในร่องลึกใกล้ๆ อย่างประหลาด พื้นที่ข้างเคียงขยับยุกยิกพักหนึ่ง หนวดเนื้อสีเลือดเฉกเช่นเดิมก็ทะลวงออกมาตามต่อกันอีกเจ็ดแปดเส้นหวดเข้าใส่สตรีผู้นี้ต่อ!
อีกด้านหนึ่งบนใบหน้าของบุรุษผมม่วงไม่มีสีหน้าตระหนกสักนิด แสงสีม่วงบนร่างไหลเคลื่อนพักหนึ่ง แขนเสื้อก็สะบัด ฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นออกมาเสกเงาฝ่ามือสีม่วงข้างหนึ่งกวาดเข้าใส่หนวดสีเลือดสิบกว่าเส้นเบื้องหน้า
เสียง “ปังๆ” ดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาด!
หนวดเนื้อเหล่านี้แต่ละเส้นหน้าเท่าชามข้าวเหมือนจะจัดการได้ไม่ยาก หลังฝ่ามือยักษ์สีม่วงกวาดถอนรากถอนโคน หนวดเนื้อสิบกว่าเส้นก็กลายเป็นกองเนื้อแหลกเหลวกองอยู่บนพื้น
แต่เนื้อแหลกเหลวเหล่านี้สัมผัสถูกพื้นดินฉับพลันก็กลายเป็นน้ำเลือดถูกหลุมดูดเข้าไปเช่นเดียวกัน สองสามลมหายใจให้หลัง หนวดเนื้อเกือบร้อยเส้นก็ทะลวงออกมาจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว แห่รุมเข้าใส่เขา
หนวดเนื้อนี่เห็นชัดว่ายิ่งฟันยิ่งเพิ่ม จำนวนมีแต่เพิ่มไม่มีลด คล้ายไม่มีวันหมดไม่มีวันสิ้น!
นี่ทำให้ทุกคนที่นั่นส่วนใหญ่ตาค้าง
ในเวลานี้เองเสียงอสนีบาตบนท้องฟ้าก็ยิ่งน่าตระหนก ไอหมอกสีเลือดถาโถมก่อตัวจนเห็นเป็นใบหน้าผีร้ายพร่ามัวดวงหนึ่ง
นี่ทำให้ทุกคนตกตะลึง ไม่กล้าบุ่มบ่ามบินสูงขึ้นไปอีก ได้แต่ใช้สารพัดวิธีของแต่ละคนจัดการหนวดเนื้อเบื้องล่างไปก่อนชั่วคราว
หลิ่วหมิงคิ้วขมวดเล็กน้อยแล้วโยนโอสถหลายเม็ดเข้าปากในคราวเดียว เขาขยับตัวประหนึ่งภูตพรายบนท้องฟ้าไม่หยุด ในสถานการณ์ที่หลบไม่ได้เท่านั้นเขาถึงจะใช้วิชาคมวายุอันเรียบง่ายที่สุดสะบั้นหนวดเนื้อซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดเพื่อจะได้ฟื้นฟูพลังเวทของตนให้เร็วที่สุด
แม้เขาไม่ทราบเบื้องลึกเบื้องหลังมิติสีเลือดแห่งนี้ ทว่าคิดอย่างไรก็ไม่มีทางใช่สถานที่ดีอะไรแน่นอน ดังนั้นเขาย่อมต้องฟื้นฟูพลังเวทในร่างตนเป็นภารกิจสำคัญอันดับแรก เช่นนี้ถึงจะรับมือกับเรื่องใดๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้
ไม่ไกลนักข้างกายเขา เผิงเยวี่ยกลับใช้หุ่นนักรบเกราะที่ส่องแสงสีเหลืองขมุกขมัวหลายตัวเหวี่ยงค้อนปกป้องรอบตัวเขา สู้กับหนวดเนื้อสีเลือดที่โถมเข้ามารัดพันอย่างต่อเนื่อง ชั่วขณะหนึ่งไม่มีสิ่งใดให้กังวล
ส่วนชายหนุ่มรถเงิน เวลานี้บังคับรถเงินอาชาทองอีกครั้ง เขาพุ่งผ่านไปมาอยู่บนท้องฟ้าที่ไม่สูงนัก หลบการโจมตีของหนวดเนื้อระลอกแล้วระลอกเล่า
หลัวเทียนเฉิงเลือกใช้มาตรการป้องกันไม่โจมตีเช่นเดียวกัน สองแขนเหวี่ยงไม่หยุด มังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกสีเงินตัวแล้วตัวเล่ากู่ร้องโอบรอบกายเขา ถอยหลบหนวดเนื้อที่เข้าใกล้ร่างพลางพยายามมุ่งไปยังจุดที่หนวดเนื้อค่อนข้างน้อยเท่าที่จะเป็นไปได้
พี่น้องโอวหยางหันพลังชนกัน สองมือทำท่ามืออยู่กลางอกพร้อมกัน แสงเรืองรองสีม่วงขนาบด้วยสีเขียวแถบแล้วแถบเล่าแผ่พุ่งออกมาจากในร่างทั้งสองคนไม่ขาด ก่อตัวเป็นลูกบอลแสงใสสีม่วงเขียวประสานกันใบหนึ่งรอบร่างทั้งสองคน ทำให้หนวดสีเลือดชั่วขณะไม่อาจเข้าใกล้ร่างได้
มีสตรีชุดเขียวและชายหนุ่มผมม่วงเป็นตัวอย่างก่อนหน้า ยามทุกคนจัดการหนวดเนื้อเหล่านี้ส่วนใหญ่จึงไม่เหิมเกริมเข้าฟาดฟันอีก ทว่าพยายามขยับเพิ่มพื้นที่เท่าที่เป็นไปได้หลบหลีกการโจมตีของหนวดเนื้อเหล่านี้ พลางครุ่นคิดวิธีที่จะเอาตัวรอดออกไป
แน่นอนว่ามีบางคนไม่ได้คิดเช่นนี้
ตอนที่ 807 ถูกขัง
หลังศิษย์อัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับถูกหนวดเนื้อมากมายล้อมโจมตีหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็กดโทสะในหัวใจไม่ไหว หลังคำรามเกรี้ยวกราดคำหนึ่งปราณสีดำทั่วร่างก็พลุ่งพล่านในทันที ฝ่ามือสองข้างพร่าเลือนวูบหนึ่งโจมตีออกไปเป็นเงาฝ่ามือเกี่ยวกวัดมองไม่ชัดแถบหนึ่งตบหนวดเนื้อสีเลือดใกล้ๆ กำจัดจนหมดสิ้นในชั่วพริบตา
ส่วนบุรุษหน้าเหยี่ยวซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนท้องฟ้าไม่สูงนัก ดวงตาเปล่งประกายวูบวาบ เบื้องหน้าร่างกระจกหกเหลี่ยมบานหนึ่งหมุนวนอยู่หน้าร่างเขาไม่หยุด ลำแสงสีเงินสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากด้านในเป็นระยะ
จุดที่ลำแสงสีเงินกวาดผ่าน หนวดเนื้อสีเลือดแตะถูกปุบก็สลายไปในทันใด ไม่อาจทำอันใดบุรุษหน้าเหยี่ยวได้สักนิด
ใกล้ๆ กับบุรุษหน้าเหยี่ยว เซวียผานถือดาบสีขาวเล่มหนึ่งขยับร่างกายไม่หยุด เงาร่างเลือนรางสีขาวสายหนึ่งพาเงาดาบตวัดซ้ายขวาฟันเข้าใส่จุดที่หนวดเนื้อรวมตัวกันแน่นหนาอย่างเหิมเกริม
การกระทำของทั้งสามคนนี้ดึงความสนใจของคนที่เหลือทันที โอวหยางเชี่ยนขมวดคิ้วดกดำ นางกำลังคิดจะอ้าปากเอ่ยอะไรสักอย่าง สถานการณ์ที่ทุกคนไม่ทันป้องกันก็บังเกิดขึ้น!
มิติทั้งหมดสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นแรงสั่นสะเทือนรุนแรงสายหนึ่งก็ส่งมาอย่างไม่มีที่มา
พริบตานั้นที่ร่างกายของทุกคนโซเซไม่มั่นคง หนวดเนื้อยักษ์ที่หนากว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าหลายร้อยเส้นก็ทะลวงออกมารอบตัวพวกเขาในเวลาเดียวกัน พวกมันกระหวัดพันกันกลางอากาศเกิดเป็นดอกไม้กินคนดอกแล้วดอกเล่ารวบตัวทุกคนที่ไม่ทันระวังเข้าไปทั้งหมดแล้วกระชากลงไปใต้ผืนดินที่ขยับยุกยิกเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าฟ้าดินพลิกตลบพร้อมกันนั้นกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจก็โถมเข้าใส่ใบหน้า เขาพบว่าตนเองถูกหนวดเนื้อหลายสิบเส้นขังไว้ในมิติสีเลือดขนาดเพียงสี่ห้าจั้งแห่งหนึ่ง
เขาไม่พูดพร่ำเหวี่ยงแขนข้างหนึ่งออกมาทันที เงาหมัดสีดำเรืองรองข้างหนึ่งโจมตีกำแพงเนื้อเบื้องหน้าอย่างหนักหน่วง
เสียง “ปัง” เบาๆ ดังขึ้นทีหนึ่ง กำแพงเนื้อสั่นเล็กน้อยแล้วดูดกลืนเงาหมัดทั้งหมดเข้าไป ไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย มือข้างหนึ่งทำท่ามือกลางอก คมวายุสีน้ำเงินยาวหลายฉื่อสายหนึ่งก่อตัวขึ้น หลังนิ้วดีดเบาๆ ทีหนึ่งมันก็บินพุ่งเข้าใส่กำแพงเนื้อด้านข้าง
หลังเสียงแผ่วเบาสายหนึ่ง คมวายุยักษ์ก็ฟันลงบนกำแพงเนื้อ ทว่าฟันขาดลึกเพียงไม่กี่ชุ่นก็จมเข้าไป หลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชา คมวายุก็ส่งเสียงดังทีหนึ่งแตกออกเป็นแสงสีน้ำเงินดวงแล้วดวงเล่า
กำแพงเนื้อที่หนวดเนื้อเหล่านี้สร้างขึ้นมาจัดการยากกว่าหนวดเนื้อทีละเส้นๆ มากอย่างเห็นได้ชัด การโจมตีธรรมดาไม่อาจสะบั้นมันขาดได้สักนิด
หลิ่วหมิงอดไม่ได้สีหน้าถมึงทึงขึ้นมา
……
หลังบุรุษผมม่วงแห่งหอเป๋ยโต่วถูกขังอยู่ในกำแพงเนื้อกลับมีท่าทางไม่ใส่ใจ เขาเพียงสะบัดมือข้างหนึ่งอย่างสบายๆ คมดาบสีม่วงแถบหนึ่งก็ซัดออกมาฟันเข้าใส่กำแพงเนื้อแถบหนึ่งใกล้ๆ อย่างรุนแรง ผลปรากฏว่าฟันเข้าไปลึกไม่กี่ชุ่นเท่านั้นก็สลายหายไป
บุรุษผมม่วงเห็นเช่นนี้กลับหัวเราะ มือข้างหนึ่งตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่ประณีตไม่ธรรมดาซึ่งส่องแสงสีแดงเป็นประกายใบหนึ่งข้างเอว
เสียง “ฟู่” ดังขึ้น แสงสีแดงสายหนึ่งม้วนออกมาจากข้างใน หลังก่อตัวหมุนวนอยู่หน้าร่างก็กลายเป็นแมงมุมสีเลือดสูงหนึ่งฉื่อกว่าตัวหนึ่ง
แมงมุมตัวนี้ทั้งร่างแดงก่ำประหนึ่งโลหิต แปดขาใสแวววาวประหนึ่งหยกไร้ตำหนิ
มันปรากฏตัวออกมาในมิติสีเลือดปุบก็เหวี่ยงขาหน้าสองข้างอย่างอดทนรอไม่ไหว ฟันเลือดเนื้อแถบหนึ่งบนกำแพงเนื้อออกมาอย่างง่ายดายแล้วโถมเข้าไปกัดกินอย่างบ้าคลั่งพลางส่งเสียงร้องดัง “ซือๆ” ออกมาเป็นระยะคล้ายชมชอบเลือดเนื้อเหล่านี้ยิ่งนัก
“เดิมทียังคิดหนักอยู่ว่าจะไปหาเลือดเนื้อมากมายเช่นนั้นมาเลี้ยงเจ้าได้อย่างไร วันนี้กลับได้มา ให้เจ้าอิ่มได้มื้อหนึ่งโดยไม่ต้องเปลืองแรงแล้ว” หลังบุรุษผมม่วงพึมพำคำหนึ่งก็นั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมหลับตาทำสมาธิ
แมงมุมสีเลือดได้ยินก็กระโดดตึงตังเข้ากัดกินเลือดเนื้อบนพื้นอย่างสนุกสนาน จากนั้นกระโดดขึ้นมาเกาะแน่นตรงจุดหนึ่งบนกำแพงเนื้อ เริ่มกัดกินอย่างบ้าคลั่งกว่าเดิม
ปริมาณเลือดเนื้อที่แมงมุมกัดกินมากขึ้นเท่าไหร่ ขนาดตัวของมันก็ยิ่งขยายพรวดพราด สีก็ยิ่งแดงเป็นประกายขึ้นเช่นกัน
ในช่วงไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ มันก็โตขึ้นจนตัวใหญ่ยักษ์เกือบหนึ่งจั้งกว่า ความต้องการเลือดเนื้อมีแต่จะเพิ่มขึ้นไม่มีลดลงประหนึ่งไม่มีวันกินอิ่ม ขาหน้าทั้งสองข้างยังคงควักเลือดเนื้อยัดเข้าปากกลืนกินอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดแม้สักนาที
ทว่ายิ่งร่างใหญ่ยักษ์ของแมลงปีศาจตัวนี้ใหญ่ขึ้น ปริมาณเลือดเนื้อที่กลืนลงไปแต่ละครั้งก็มากขึ้นจนก่อนหน้านี้เทียบไม่ติด กลืนลงไปคำหนึ่งเลือดเนื้อก็น้อยลงไปหลายชั่งในทันใด
แม้มิติเลือดเนื้อแห่งนี้จะซ่อมแซมประสานตัวเองไม่หยุด แต่ไม่ทันที่เลือดเนื้อเส้นแล้วเส้นเล่าจะประสานกันก็ถูกแมงมุมตัวนี้กลืนลงท้องอีกครั้ง ชั่วขณะกำแพงเนื้อตรงที่ถูกกัดกินค่อยๆ บางลง
……
ในเวลาเดียวกันนี้ในมิติเลือดเนื้อที่ค่อนข้างกว้างอีกแห่งหนึ่งเงาคนสีเหลืองที่สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายประหนึ่งชาวนาร่างหนึ่งกำลังพลิกไปมาไม่หยุด พยายามหลบหลีกการโจมตีของหนวดเนื้อสีเลือดที่หวดมาถึงเส้นแล้วเส้นเล่าอย่างสุดกำลัง บนหน้าผากเหงื่อท่วม หอบหายใจแฮกๆ
คนผู้นี้ก็คือเผิงเยวี่ย ตอนนี้บนร่างเขาสวมชุดเกราะจักรกลพุ่งหนีไปพลาง เหวี่ยงกระบอกกลมสีแดงฉานหนาเท่าแขนสองท่อนปล่อยลำแสงสีแดงฉานเส้นแล้วเส้นเล่าฟาดฟันจุดหนึ่งของกำแพงเนื้อไม่หยุดไปพลาง
ทว่าลำแสงเหล่านี้กลับฟาดฟันขาดเพียงหนวดเนื้อที่ยื่นออกมาในมิติเป็นระยะเท่านั้น กำแพงเนื้อหนากลับฟันขาดได้เพียงส่วนหนึ่งก็พังทลายหายไป ทิ้งรอยขาดที่สมานได้ในพริบตาไว้
เวลานี้ชุดเกราะจักรกลบนร่างเขาเห็นชัดว่าถูกแสงสีเลือดชั้นหนึ่งกลืนกินแสงสีเงินที่แผ่ออกมาจากชุดเกราะเลือนรางไปแล้ว เทียบกับครั้งแรกนอกแดนมรดกแสงจิตวิญญาณเห็นชัดว่าหม่นหมองลงไปส่วนหนึ่ง
สองฝั่งของเขาหุ่นนักรบเกราะสีเหลืองห้าหกตัวกำลังถูกหนวดเนื้อสีเลือดหนาหลายเส้นรัดไว้แน่นหนา ตรงหน้าอกถูกควักเป็นรูขนาดเท่ากำปั้นรูแล้วรูเล่าอย่างเห็นได้ชัด แก่นบริสุทธิ์ด้านในไม่รู้ว่าถูกสิ่งใดทำลายจนแหลก
……
ในมิติเลือดเนื้อแห่งหนึ่งใกล้ๆ เผิงเยวี่ย สตรีชุดเขียวแห่งสำนักเฮ่าหรานอยู่ใต้เกราะปกป้องสีเหลืองขมุกขมัวชั้นหนึ่ง นางสะบัดพู่กันหยกสีดำขยับไหวไม่หยุดปล่อยประกายแสงสีดำดวงแล้วดวงเล่าออกมาพุ่งเข้าใส่หนวดเนื้อสีเลือดที่โถมเข้ามาเบื้องหน้าเหล่านั้น
ประกายแสงสีดำสัมผัสถูกหนวดเนื้อสีเลือดปุบก็กลายเป็นน้ำเลือดแอ่งหนึ่งสาดพรม มีไม่น้อยสาดลงบนเกราะป้องกันรอบร่างของนางตรงๆ
ในมิติคับแคบเช่นนี้คิดหลบการโจมตีของหนวดเนื้อและหลบเลือดพร้อมๆ กันนั้น เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้
“พลังกัดกร่อนของมิติเลือดเนื้อนี่แข็งแกร่งเช่นนี้เชียว” สตรีชุดเขียวมองเกราะป้องกันสีเหลืองที่หม่นลงไปมากพลางขมวดคิ้วแน่นเอ่ยพึมพำกับตนเอง
จะว่าไปแล้ววิชาเนตรที่นางภาคภูมิใจเมื่ออยู่ในที่แห่งนี้กลับแสดงพลังไม่ได้สักนิด ส่วนวิชาอื่นก็เหมือนจะไม่อาจทำให้หลุดพ้นออกไปได้ ตอนนี้นอกจากเป็นฝ่ายป้องกันก็คล้ายไม่มีวิธีใดอีก
นางถอนหายใจในใจเล็กน้อย หลังสะบัดมือเล่นงานการโจมตีระลอกหนึ่งให้ล่าถอยไปก็พลิกมือเรียกยันต์สีทองแผ่นหนึ่งออกมาฉีก แสงสีทองสายหนึ่งส่องสว่างแล้วซึมเข้าไปในเกราะป้องกันทำให้แสงเรืองรองบนเกราะป้องกันสว่างขึ้นอีกหน
เนื่องจากการโจมตีอันคาดไม่ถึงของหนวดเนื้อรวดเร็วจนน่าตะลึง กระทั่งพี่น้องโอวหยางที่เดิมทีหันหลังพิงกันอยู่ เวลานี้ก็ถูกบีบให้แยกจากกันอยู่ในมิติเลือดเนื้อสองแห่งที่อยู่ข้างกัน
ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนกลับยังคงค่อนข้างใจเย็นดีดสิบนิ้วระรัวพร้อมกัน ปล่อยแสงเรืองรองสีม่วงและสีเขียวแถบแล้วแถบเล่าออกมาบินวนล้อมรอบกายอย่างต่อเนื่อง
ทว่าแสงเรืองรองเหล่านี้ทำได้เพียงจัดการหนวดเนื้อที่งอกออกมาไม่ขาดในมิติเลือดเนื้อเท่านั้น ไม่ได้ผลกับกำแพงเนื้อรอบด้านสักนิด
เนื่องจากทั้งสองคนถูกแยกกันจึงไม่อาจร่วมมือกันกระตุ้นวิชาลับได้ แสงเรืองรองที่พวกนางเสกออกมาจึงเล็กกว่าก่อนหน้านี้เท่าหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
ทันใดนั้นโอวหยางเชี่ยนก็สีหน้าเคร่งขรึม เสียงมังกรคำรามกังวานสายหนึ่งดังออกมาจากแขนเสื้อ แสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกมากลายเป็นเงามังกรขาวสะอาดประหนึ่งหยกตัวหนึ่งกลางอากาศ หางมังกรสะบัดทีหนึ่งฟาดหนวดเนื้อหลายเส้นรอบด้านจนแหลก หลังจากนั้นเมื่อนิ้วของนางชักนำกลางอากาศมันก็แยกเขี้ยวกางกรงเล็บบินเร็วรี่เข้าใส่กำแพงเนื้อจุดหนึ่ง ทั้งยังอ้าปากมโหฬารยิงแสงสีเงินท่วมฟ้าออกมา
แสงรัศมีสีเงินเหล่านี้ส่องสว่างบนกำแพงสีเลือดแล้วหายไป ทิ้งไว้เพียงรูลึกตื้นไม่เท่ากันมากมายถี่ยิบ เมื่อแสงสีเลือดสว่างขึ้นมันก็สมานคืนดังเดิม
นี่ทำให้โอวหยางเชี่ยนอดไม่ได้เคร่งเครียดอยู่ในใจ
สาวน้อยชุดเขียวอีกด้านหนึ่ง ในมือก็มีแสงรัศมีสีม่วงสว่างขึ้น พัดพับสีม่วงอ่อนเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ นางสะบัดแผ่วเบาเงาพัดแถบแล้วแถบเล่าก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าร่าง ก่อตัวเป็นม่านแสงสีม่วงขมุกขมัวชั้นหนึ่งล้อมตัวนางไว้ตรงกลาง
หนวดเนื้อเหล่านั้นแตะถูกม่านแสงสีม่วงปุบฉับพลันก็กลายเป็นเลือดกองแล้วกองเล่าสาดกระจายรอบด้าน
ทว่าม่านแสงสีม่วงหลังถูกเลือดสาดต้อง ผิวหน้าก็พลันมีเสียงถูกกัดกร่อนดังชี่ๆ ออกมาทันที กลิ่นแสบจมูกสายแล้วสายเล่าลอยออกมา หลังม่านแสงสว่างวูบวาบหลายหนก็หม่นแสงลงอย่างผิดปกติในทันใด
เมื่อเห็นภาพนี้ สาวน้อยชุดเขียวจึงสูดลมหายใจเย็นเยือกเฮือกหนึ่ง คิ้วงามขมวดแน่น
……
“คิดไม่ถึง ตัวข้าหลงเซวียนจะถูกขังอยู่ที่นี่ แต่ข้าจะไม่ตายอยู่ที่นี่เด็ดขาด”
ศิษย์อัปลักษณ์จากนิกายปีศาจลี้ลับสีหน้าซีดเผือดนั่งขัดสมาธิโงนเงนอยู่ในมิติเลือดเนื้อ สองมือเปลี่ยนเคล็ดวิชาไม่หยุด
วิชามารที่เขาใช้ทำลายกำแพงเลือดเนื้อเหล่านี้ได้ผลน้อยนัก ผนวกกับก่อนหน้านี้เขาสู้ศึกใหญ่กับบุรุษหน้าเหยี่ยวมายกหนึ่งเสียพลังเวทไปมากจนถึงตอนนี้ยังไม่ทันได้ฟื้นฟู เวลานี้สถานการณ์แลดูไม่ดีนัก
ทันใดนั้นศิษย์อัปลักษณ์พลันแผดเสียงคำรามบ้าคลั่ง สองมือชูขึ้นฟ้า มีดสั้นสีดำเล่มหนึ่งในมือชั่วพริบตากลายเป็นอสรพิษยักษ์ยาวสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งเลื้อยขดออกมา
อสรพิษยักษ์ตัวนี้สองตาเปล่งกระกายวาบวับ เกล็ดทั่วร่างตั้งขึ้นเป็นชั้นๆ ประหนึ่งมีดเล่มเล็กแหลมคมเล่มแล้วเล่มเล่า จุดที่มันเลื้อยผ่านหนวดเนื้อสีเลือดที่รุมเข้ามาก็ถูกมันสะบั้นขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงลงพื้นในพริบตา
ในเวลาเดียวกันศิษย์อัปลักษณ์ยังฉีกยันต์สีดำแผ่นหนึ่งอย่างว่องไว กลายเป็นม่านแสงสีดำจางๆ ชั้นหนึ่งปกป้องทั้งร่างไว้ ปราณดำพลุ่งพล่านถาโถมออกมาบนม่านแสงพุ่งชนกำแพงเนื้อสี่ด้านแปดทิศอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด
ชั่วขณะหนึ่งด้านในบังเกิดเสียงเปรี้ยงดังขึ้นไม่ขาดสาย
……
ในมิติเลือดเนื้ออีกแห่งหนึ่ง เซวียผานท่องมนตร์งึมงำออกจากปากไม่หยุด ในร่างเสียงข้อต่อลั่นเปรี๊ยะๆ ดังออกมาต่อเนื่องพักหนึ่ง ร่างกายก็พลันขยายพรวด
ครู่ต่อมากลางหว่างคิ้วของเขาก็ปรากฏอักษรเลือนรางคำว่า ‘ราชา’ ใบหูทั้งคู่ที่เดิมทียาวเรียวก็เหยียดตั้งยิ่งกว่าเดิม เขี้ยวโค้งในปากค่อยๆ งอกพรวดพราดเผยชัด พร้อมกันนั้นเล็บทั้งสิบก็งอกแหลม บนแขนมีขนแข็งสีเงินแถบแล้วแถบเล่างอกออกมาอย่างชัดเจน
หลังจากนั้นแสงสีเงินก็สว่างวาบขึ้นกลางฝ่ามือทั้งสองข้างของเขา ลิ่มแหลมสีเงินเหมือนกันทุกประการสองแท่งปรากฏขึ้นจากมือ เมื่อสองเท้ากระทืบพื้นร่างกายก็หมุนอยู่ที่เดิมอย่างรวดเร็ว
เสียงแหวกอากาศดังกึกก้องออกมา กระแสลมแรงก่อตัวขึ้น ลมหมุนสีเงินยวงพัดหมุนไม่หยุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น