หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 804-809
บทที่ 804 คนรู้จักเก่า!
ในการเดินทางครั้งต่อมา ขณะที่หวังเป่าเล่อออกไปไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ขึ้นทุกทีๆ ชายหนุ่มก็ค่อยๆ เก็บสะสมทรัพยากรได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างนี้เขาก็ป้อนต้นไผ่ศิลาให้แมลงปอกินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันพัฒนาจนบรรลุขั้นเป็นเรือบินรบเวทอย่างสมบูรณ์!
ทว่าเพราะหวังเป่าเล่อยังไม่บรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะ เขาจึงไม่สามารถผสานรวมกับเรือบินรบเวทและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นชุดเกราะส่วนตัวได้อย่างที่เทพธิดาหลิงโยวเคยทำ
แม้สถานการณ์จะขลุกขลักสักหน่อยในตอนนี้ แต่หวังเป่าเล่อก็ได้ค้นคว้าวิธีแก้ปัญหามาแล้ว แต่วิธีการที่ว่านี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ ชายหนุ่มยังต้องการเวลาเพื่อวิเคราะห์และหาผลลัพธ์อีกสักหน่อย
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ทรัพยากรที่เจ้าอู๋น้อยต้องเสียสละตัวเองอย่างใหญ่หลวงเพื่อแลกมาก็ทำให้ขุมกำลังของหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก ตัวอย่างเช่น หวังเป่าเล่อได้เสริมพลังเรือบินรบในกำไลคลังเวทเกือบหมดทุกลำ ทำให้ในขณะนี้ พลังทำลายตัวเองของเรือบินรบจึงกล้าแข็งยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
โดยเฉพาะเมื่อเรือบินรบกว่าร้อยลำถูกหวังเป่าเล่อออกแบบเป็นพิเศษให้มีพลังระเบิดเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่โจมตีเต็มพิกัด ส่วนเรือบินรบที่เหลือนั้ก็มีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นสูงสุด
มีเรือบินรบอีกสิบลำที่หวังเป่าเล่อสงวนเอาไว้เป็นไพ่ตาย ทันทีที่พวกมันระเบิด ก็จะมีพลังทำลายเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ จากการคำนวนของหวังเป่าเล่อ หากชายหนุ่มใช้พลังของเรือบินรบ บวกกับโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา และตั๊กแตนเรือบินรบเวท ต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ขั้นจิตวิญญาณอมตะ…หากอีกฝ่ายไม่มีเรือบินรบเวท หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าจะเอาชนะได้อย่างแน่นอน
หรือต่อให้อีกฝ่ายมีเรือบินรบเวท หวังเป่าเล่อก็ยังมั่นใจว่าจะรับมือได้ และยังสามารถหลบหนีได้ทันท่วงทีอีกต่างหาก
การเดินทางนับหมื่นกิโลเมตรนั้นดีกว่าการอ่านหนังสือนับหมื่นเล่มจริงๆ… หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงคลื่นอารมณ์อันหลากหลาย ชายหนุ่มตระหนักได้ว่า การตัดสินใจออกเดินทางสำรวจเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และหากเขายังทำเช่นนี้ต่อไป หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่า เมื่อถึงเวลาที่กองทหารของเขาเดินทางกลับไป มันต้องเปลี่ยนแปลงไปมากจนทุกคนตกตะลึงอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เมื่อได้ฤทธิ์จากโอสถที่อู๋น้อยเสียสละตนเองเพื่อแลกมา หวังเป่าเล่อก็ยิ่งขยับเข้าใกล้ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์อย่างรวดเร็วและมั่นคงขึ้นทุกที
ตอนที่ข้าเดินทางกลับ…ข้าหวังว่าจะบรรลุขั้นจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว จากนั้นหากข้าสามารถผสานรวมเกราะจักรพรรดิของข้าเข้ากับเรือบินรบเวทได้ พลังของข้าก็จะนำผู้อื่นไปอีกหลายขุม แล้วยิ่งผสานเข้ากับอาวุธเทพอีกเล่า…ข้าในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นย่อมสามารถกำราบกระทั่งผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางได้แน่! หวังเป่าเล่อรู้สึกลำพองใจ ความมุ่งมั่นของเขาพุ่งจะยานสูงขณะขับเรือบินรบเวทไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มพาเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อย ผู้ที่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากการพักผ่อน เดินทางมุ่งหน้าต่อไป
อาจเพราะเจ้าอู๋น้อยได้เสียสละครั้งใหญ่ให้หวังเป่าเล่อ ดังนั้นหลังจากที่หายจากอาการบาดเจ็บ แม้ว่าเจ้าอู๋น้อยจะยังเคารพนับถือชายหนุ่มอยู่มาก แต่เด็กหนุ่มก็ดูผ่อนคลายลงไม่น้อย และเมื่อต้องอยู่กับเจ้าลาสองต่อสอง เขาก็ไม่ได้ประจบประแจงมันเหมือนแต่ก่อน หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกว่าเจ้าอู๋น้อยได้ทำอะไรให้เขาหลายอย่าง จึงเริ่มปฏิบัติกับอีกฝ่ายดีขึ้น
แม้ว่าเจ้าลาจะไม่รู้รายละเอียด แต่มันก็อยู่กับหวังเป่าเล่อมาตั้งแต่แบเบาะ ดังนั้นมันจึงค่อนข้างอ่อนไหวกับปฏิกิริยาของหวังเป่าเล่อและสัมผัสสิ่งที่เป็นอยู่ได้ แม้เจ้าลาจะไม่ค่อยพอใจนักในตอนแรก แต่มันก็รู้จักอดทนเพราะว่าแหล่งของกินนั้นย่อมสำคัญกว่า
เพราะอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อก็โยนทรัพยากรจำนวนหนึ่งที่เจ้าอู๋น้อยสละตัวเองเพื่อแลกมาให้เจ้าลากินเป็นอาหาร ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็ส่งข้อความเสียงไปขอให้เจ้าลาทำตัวดีๆ กับเจ้าอู๋น้อย เพื่อที่ว่า…พวกเขาจะได้ขอให้เจ้าอู๋น้อยสละตัวเองได้อีกในอนาคต
อาจเป็นเพราะเหตุนี้ เจ้าลาจึงยอมรับความเปลี่ยนแปลงเรื่องเจ้าอู๋น้อยในครั้งนี้ได้
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขณะที่เรือบินรบเวทพุ่งทะยานผ่านจักรวาล สี่เดือนผ่านไป ระหว่างนี้ หวังเป่าเล่อก็มุ่งหน้าตรงลึกเข้าไปในอวกาศ และเริ่มปล้นชิงได้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาเพิ่มระดับเรือบินรบอีกครั้ง และพลังปราณของเขาก็เข้าใกล้ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูณร์เข้าไปทุกที
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าตนเดินทางมาเป็นเวลานานแล้ว และกำลังครุ่นคิดว่าจะเคลื่อนย้ายกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ดีหรือไม่ ชายหนุ่มก็มาถึงระบบดาวเคราะห์หนึ่ง…ที่ทำให้เขาตกตะลึงแม้จะเห็นสิ่งต่างๆ มามากมายจากการสำรวจก็ตามที!
ระบบดาวเคราะห์นี้กว้างใหญ่ไพศาลกว่าระบบดาวเคราะห์ใดๆ ทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อเคยพบเห็นมา อันที่จริงแล้ว จากการคาดคะเนของเขา ระบบดาวเคราะห์นี้น่าจะใหญ่กว่าระบบสุริยะหลายหมื่นเท่า
แค่ดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์อย่างเดียว…ก็มีเป็นร้อยๆ ดวงแล้ว ร่องรอยการบุกรุกของมนุษย์นั้นเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะตรงใจกลางของระบบดาวเคราะห์นั้น มีดารานิรันดร์นับร้อยต่างก่อตัวกันเป็นวงแหวนปราณที่งดงามจนสุดบรรยาย!
ภายในวงแหวนปราณมีตลาดขนาดยักษ์ตั้งอยู่!
ตลาดไม่ได้สร้างจากดาวเคราะห์หลายดวงต่อๆ กัน หากแต่ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่รูปร่างแปลกประหลาด มีดาวเคราะห์นับร้อยดวงที่ขนาดพอๆ กับโลกรายล้อมอยู่ ดาวเคราะห์เหล่านั้นทำเอาหวังเป่าเล่อตกตะลึง เพราะชายหนุ่มมองออกว่าพวกมันคือปราการที่ดัดแปลงมา!
ดาวเคราะห์หลายร้อยดวงที่ว่านั้นล้วนเป็นที่ตั้งของอารยธรรมซึ่งแตกต่างกันไป ราวกับว่าทุกคนมารวมกันที่นี่เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยน ทำให้ระบบดาวเคราะห์แห่งนี้คึกคักกว่าระบบดาวเคราะห์อื่นใดที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นในการเดินทางครั้งนี้มากมายนัก
หวังเป่าเล่อเห็นว่าเหล่าผู้ฝึกตนในตลาดนั้นมีอยู่หลายพันคน ต่างก็มีขนาดที่หลากหลายกันไป มี บ้างก็เป็นมนุษย์ บ้างก็มีรูปร่างคล้ายอสูรร้าย และบ้างก็ดูเหมือนต้นไม้ไปเสียอย่างนั้น
นอกจากนั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตรูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์ศิลาด้วย สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจที่สุดก็คือ เขาได้เห็นเรือบินรบเวทที่ไม่มีเจ้าของบินผ่านหน้าไป
“ท่านบิดา สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นศูนย์การค้าแห่งจักรวาล” ความรอบรู้ของเจ้าอู๋น้อยนับว่ามีประโยชน์หลายครั้งแล้วในการสำรวจครั้งนี้ เมื่อเด็กหนุ่มมองเห็นระบบดาวเคราะห์แห่งนี้ เขาก็เปรยกับหวังเป่าเล่อด้วยเสียงแผ่วเบา
หวังเป่าเล่อจ้องไปยังเจ้าอู๋น้อยด้วยสายตาล้ำลึกก่อนจะเริ่มถามคำถาม ในไม่ช้า ชายหนุ่มก็ได้ฟังจากเจ้าอู๋น้อยว่ามีตลาดหลากหลายขนาดที่ควบคุมโดยตระกูลไม่รู้สิ้นกระจายอยู่ทั่วจักรวาล ทำหน้าที่เป็นศูนย์การค้าให้กับผู้ฝึกตนจากระบบดาวเคราะห์ใกล้เคียง
มีตลาดเช่นนี้หลายต่อหลายแห่ง และทุกๆ แห่งก็มีประวัติยาวนาน โดยเฉพาะตลาดขนาดใหญ่บางแห่ง และตลาดแห่งนี้…ก็เป็นหนึ่งในตลาดใหญ่หายากที่เจ้าอู๋น้อยพูดถึง
“ท่านบิดา ผืนแผ่นดินใหญ่ตรงกลางนั้นเป็นตลาดหลักและเป็นสถานที่สำหรับผู้จัดงาน ดาวเคราะห์โดยรอบเป็นทั้งปราการของตระกูลต่างๆ และตลาดขนาดย่อมของพวกเขาเอง ผู้ฝึกตนทั้งหลายที่พากันมาที่นี่สามารถเดินเข้าออกตลาดทั้งหลายได้ตามใจชอบและซื้อขายแลกเปลี่ยนกันตามต้องการ” เจ้าอู๋น้อยกระแอมกระไอออกมาแล้วก็อดรู้สึกพึงใจกับความรอบรู้ของตนเองไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ลืมว่าท่านบิดาเป็นใคร จึงต้องรักษามารยาทเอาไว้ยามที่พูดกับหวังเป่าเล่อ
“น่าสนใจดีนี่” หวังเป่าเล่อกวาดตามองผืนแผ่นดินใหญ่ หลังจากใคร่ครวญเสร็จ เขาก็ขับเรือบินรบเวทมุ่งไปหาอย่างรวดเร็ว เมื่อลงจอด ชายหนุ่มก็เก็บเรือบินรบเวทและเริ่มเดินสำรวจรอบๆ ผืนแผ่นดินใหญ่ สถานที่แห่งนั้นคือโลกที่มีบ้านพักอาศัยหรูหราอยู่บนทุกยอดเขา ทุกแม่น้ำ ทุกมหาสมุทร และทะเลทราย
บ้านพักหรูหราบางแห่งมีคนอยู่มากมาย บ้างก็มีคนอยู่เพียงหยิบมือ สิ่งของที่วางขายก็หลากหลายเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังแตกต่างกันไปตามแต่ร้านค้า ไม่ว่าจะเป็นวัตถุเวท โอสถ คัมภีร์ เคล็ดวิชาฝึกปราณ หรือวัตถุดิบ มีสินค้าทุกประเภทมากมายหลากหลายให้เลือกสรร
หวังเป่าเล่อเดินไปมาอยู่ร่วมสัปดาห์ ระหว่างนั้น ชายหนุ่มสำรวจร้านค้าแทบทั้งหมดบนผืนแผ่นดินใหญ่ เขามองดูบางร้านอย่างพินิจพิเคราะห์กว่าร้านอื่นๆ แต่ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะเดินดูสักเท่าใด ความคลั่งไคล้ปรารถนาในจิตใจและความริษยาก็พุ่งถึงจุดสูงสุด เพราะทุกๆ ร้านต่างก็น่าสนใจเป็นอย่างมาก
ข้ายังจนอยู่เลย…หากไม่ได้มาที่นี่ หวังเป่าเล่อก็คงคิดว่าตนนั้นค่อนข้างมั่งมี แต่หลังจากที่มาถึงที่นี่แล้ว เขาก็เข้าใจดีว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่กระทั่งมันระเบิดออกมาเมื่อชายหนุ่มมาถึงบ้านสามชั้นหลังงามที่สร้างอยู่บนมหาสมุทร บ้านหลังงามนั้นตั้งสง่าอยู่บนพื้นผิวมหาสมุทร ราวกับว่าถูกสร้างบนพื้นผิว แต่ก็ดูเหมือนลอยอยู่ด้านบนมหาสมุทรไปพร้อมๆ กัน แถมมันยังใหญ่เสียจนเรียกว่าปราสาทอาจจะเหมาะกว่า บ้านทั้งหลังสร้างโดยใช้ศิลาวิญญาณชั้นเลิศเป็นพื้นฐาน ทั้งยังมีสิ่งของตกแต่งมากมายที่หวังเป่าเล่อไม่เคยรู้จัก ซึ่งทำให้บ้านทั้งหลังส่องประกาย สะท้อนเอาแสงของดวงอาทิตย์นับร้อยดวงบนท้องฟ้าออกไปเสียจนแสบตากันทั่วจักรวาล
จากร้านค้าทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อได้เห็นมา ปราสาทแห่งนี้มีสินค้าครบถ้วนที่สุด มันอัดแน่นไปด้วยสิ่งของแทบทุกอย่างที่ชายหนุ่มได้เห็นมาก่อนหน้านี้
-ขณะเดียวกัน ระดับพลังปราณของผู้คนที่มาที่นี่ก็อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะขึ้นไปทั้งสิ้น อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อเห็นว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็ยังมีท่าทางสุภาพ ไม่กล้าออกฤทธิ์เดชแม้ว่าระดับปราณจะสูงถึงเพียงนั้นก็ตาม
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ส่งผลให้หวังเป่าเล่อเลือกดูสิ่งของด้วยความกระอักกระอ่วนใจแม้จะสนใจมากก็ตาม พนักงานขายของปราสาทมองเขาด้วยสายตาสุขุม หวังเป่าเล่อถอนหายใจ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะซื้อของนั่นเอง…พนักงานขายที่อยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมองไปด้านหลังหวังเป่าเล่อ ก่อนจะก้าวออกมาอย่างเร็วและก้มโค้งคำนับต่ำ มือประสานกันหันมาทางหวังเป่าเล่อ
“คารวะนายน้อย!”
ตอนที่พนักงานขายมองไปด้านหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ก่อนแล้ว จึงหันศีรษะกลับไป และมองเห็นเงาที่คุ้นเคย บุรุษผู้นั้นสวมชุดคลุมสีขาว มีพัดกระดาษอยู่ในมือ สวมหมวกทรงเหลี่ยม เขาเดินออกมาจากปราสาท มุ่งหน้ามาทางฝูงชน ท่าทางการวางตนเปี่ยมไปด้วยรัศมีอันน่าตื่นตะลึง
บุรุษผู้นั้นยังเยาว์วัย และชุดของเขาพลิ้วไหวราวกับเป็นสายน้ำ มันโบกสะบัดราวกับมีเกลียวคลื่นซัดพาไปมาขณะที่ร่างนั้นก้าวเดิน หมวกทรงเหลี่ยมบนศีรษะปลดปล่อยคลื่นพลังอันรุนแรงที่กดดันสิ่งรอบข้างราวกับเป็นอาวุธเทพ พัดกระดาษในมือก็ยิ่งมหัศจรรย์ แม้ว่ามันจะเปิดอยู่เพียงครึ่งหนึ่งแต่ก็มีคลื่นพลังระดับดารานิรันดร์แผ่ออกมาไม่ขาดสาย
ทันทีที่มองเห็นชายหนุ่มผู้นั้น หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงก่อนตะโกนอยู่ในใจ
เซี่ยไห่หยางหรือ
บทที่ 805 ช่างน่าเสียดายที่ไม่ใช่เจ้า!
บุรุษผู้นั้นคือสหายเก่าของหวังเป่าเล่อ…เซี่ยไห่หยาง!
เซี่ยไห่หยางคือบุรุษลึกลับผู้อ้างตนเป็นนักธุรกิจเมื่อครั้งอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะหายตัวไป เขาได้พบหวังเป่าเล่ออีกครั้งที่สำนักวังเต๋าไพศาลแล้วก็หายตัวไปอีกครา…
ตอนนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อได้เห็นเซี่ยไห่หยางอีกครั้งที่นี้ แม้ว่าจะตกใจเพียงใด ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าตนไม่ได้แปลกใจนัก ราวกับว่าลึกลงไปในใจ เขารู้ว่าต้องได้พบเซี่ยไห่หยางอีกครั้งแน่นอน
ข้าสงสัยว่า…บุรุษผู้นี้จะมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่กว่าที่คาดคิดไว้เสียอีก หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่ในความคิด ด้านหนึ่ง ชายหนุ่มนึกถึงเกมที่เซี่ยไห่หยางนำไปเผยแพร่ที่สำนักวังเต๋าไพศาล เมื่อมานึกถึงเรื่องนี้อีกครั้งในตอนนี้ ชายหนุ่มก็คิดขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นตอนนั้นหรือตอนนี้ เขาก็แน่ใจว่าดาวเคราะห์ที่อยู่ในเกมต้องเป็น…ดาวอาณานิคมแห่งหนึ่งแน่นอน!
หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ในใจแล้วจึงระมัดระวังตัวขึ้นอีก แม้จะไม่ได้แสดงออกมาก็ตามที ชายหนุ่มหันศีรษะไปกวาดตาดูก่อนจะหันกลับ แต่ด้วยการกวาดสายตาเพียงครั้งเดียว นอกจากจะมองเห็นเซี่ยไห่หยางแล้ว เขายังเห็นอาวุธเทพและสมบัติเวทบนกายของอีกฝ่ายได้ชัดเจนด้วย
เขาสวมอาวุธเทพที่มีรูปร่างเหมือนผ้าคลุมหน้าบนศีรษะ สวมชุดคลุมปัญญาญาณ และพัดกระดาษของเขาก็มีพลังกดดันเทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ แค่วัตถุเวทเหล่านั้นเพียงชิ้นเดียวก็หรูหราเสียจนทำให้ผู้คนอิจฉาริษยาจนตาแทบลุกเป็นไฟและอยากหยิบฉวยเอามาเป็นของตัวเอง แต่หากทุกชิ้นมาปรากฏอยู่บนกายของคนๆ เดียว ความโลภโมโทสันก็อาจต้องถูกเก็บงำเอาไว้ในใจ
เพราะว่า…ผู้ที่สามารถครอบครองวัตถุเวททั้งสามชิ้นพร้อมๆ กันได้ ต้องเป็นผู้ที่มีทั้งสถานะและยศถาสูงส่ง แปลว่าคนผู้นั้นต้องมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่พอจะเขย่าสรวงสวรรค์ได้ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถสวมใส่วัตถุเวททั้งสามชิ้นได้พร้อมกันอย่างสบายอกสบายใจ
วัตถุเวททั้งสามยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อแน่ใจกับการคาดเดาของตนเองก่อนหน้านี้ขึ้นไปอีก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปทักเซี่ยไห่หยางแต่อย่างใด เขาคิดว่าการหลบหน้าบุรุษผู้ลึกลับผู้นี้เป็นความคิดที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตามขณะนี้หวังเป่าเล่อปลอมตัวเป็นหลงหนานจื่ออยู่ เขาจึงไม่กลัวถูกจับได้ ส่วนเจ้าอู๋น้อยและเจ้าลาก็อยู่ในเรือบินรบเวท และหวังเป่าเล่อก็ซ่อนมันเอาไว้อย่างดี ดังนั้นตอนนี้ ชายหนุ่มจึงสามารถใช้โอกาสนี้เรียนรู้ประวัติของเซี่ยไห่หยางเพิ่มเติมได้
ตัวอย่างเช่น ร้านค้านี้ ซึ่งนับเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดเพราะมีของครบถ้วนสุดในตลาด ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นของเซี่ยไห่หยาง หาไม่แล้ว พนักงานขายตรงหน้าหวังเป่าเล่อคงไม่เรียกเซี่ยไห่หยางว่านายน้อยด้วยท่าทีเคารพนบนอบถึงเพียงนี้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็มองดูวัตถุดิบรอบตัวต่อไป ขณะที่กำลังเจรจาเรื่องราคาอยู่ ชายหนุ่มก็สงวนท่าที ทำเป็นว่าไม่ใส่ใจเซี่ยไห่หยางมากนัก น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งอยู่บนสหพันธรัฐด้วยผลของกระบวนท่าสารัตถะ
อาจเป็นเพราะทักษะในการแสดงตบตาของหวังเป่าเล่อนั้นยอดเยี่ยม ประกอบกับความพิเศษของกระบวนท่าสารัตถะ จึงทำให้เซี่ยไห่หยางเพียงแต่มองผ่านมาเร็วๆ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปทางบันไดที่ทอดยาวไปยังชั้นสองของอาคาร ระหว่างทาง บรรดาพนักงานขายคนอื่นๆ ก็ทำความเคารพเขาทั้งสิ้น อันที่จริงแล้ว ลูกค้าจำนวนไม่น้อยในร้านต่างก็พากันโค้งศีรษะเล็กน้อยเพื่อแสดงความนับถืออีกด้วย
ฉากนี้ทำเอาหัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นไม่เป็นส่ำ ชายหนุ่มชั่งใจว่าควรจะออกจากร้านนี้แล้วแสร้งถามประวัติของร้านนี้จากร้านค้าใกล้เคียงอื่นๆ ดีหรือไม่
ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงคิดอยู่ เซี่ยไห่หยางก็เดินขึ้นบันไดไป แต่ในเสี้ยววินาทีที่เงาของชายหนุ่มกำลังจะลับตาไปขณะก้าวขึ้นชั้นสองนั่นเอง ชายหนุ่มก็หยุดเคลื่อนที่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะมีอุปสรรคบังสายตา แถมสถานที่นี้ยังไม่อนุญาตให้ใช้ดวงจิตในการสำรวจ หวังเป่าเล่อจึงไม่ทันเห็นการกระทำของเซี่ยไห่หยาง แต่จากการยั้งฝีเท้าเพียงครั้งเดียวนั้น ก็ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่นานนัก หลังจากเลือกของที่เข้าตาได้แล้ว เขาก็ตรวจดูเงินที่เหลืออยู่ ก่อนจะกัดฟันซื้อมา
แต่ขณะกำลังชำระเงินอยู่นั้น พนักงานขายก็ตรวจดูใบเสร็จรับเงินของหวังเป่าเล่ออย่างถ้วนถี่ ก่อนจะกวาดสายตามามองชายหนุ่ม และพูดพร้อมส่ายหัวดิก
“สหายเต๋า มีวัตถุดิบหลายชนิดในรายการของท่านที่ร้านของเราจะขายให้ลูกค้าเก่าเท่านั้น ท่านต้องใช้จ่ายถึงระดับหนึ่ง เราจึงจะสามารถแบ่งขายให้ท่านได้”
หวังเป่าเล่อตะลึง หลังจากที่ไต่ถามอยู่ไปมา ชายหนุ่มก็ชักสีหน้า บรรดาวัตถุดิบที่เขาเลือกส่วนมากเข้าข่ายเช่นนี้ทั้งหมด หากหวังเป่าเล่อซื้อของเหล่านี้ไม่ได้ เขาก็ไม่ควรจะซื้ออะไรเลย
โดยเฉพาะวัตถุดิบสามชนิดที่ชายหนุ่มไม่เคยเห็นจากร้านอื่นใดก่อนหน้านี้ หากเขาซื้อจากที่นี่ไม่ได้ เขาก็ไม่รู้แล้วว่าจะต้องไปหาซื้อได้จากที่ไหน
คำตอบของพนักงานขายทำให้หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วอย่างลืมตัว
“เอาอย่างนี้ไหมขอรับ นายน้อยของพวกเราเพิ่งจะกลับมาถึง โปรดรอข้าสักครู่เถิดสหายเต๋า ข้าจะขึ้นไปพูดคุยกับท่านให้ นายน้อยของเราชอบผูกมิตรและเป็นคนใจกว้างยิ่งนัก ข้าเชื่อว่าเขาต้องยอมขายของเหล่านี้ให้ท่านอย่างแน่นอน” แน่นอนว่าพนักงานขายย่อมต้องได้ส่วนแบ่งจากการขายของให้หวังเป่าเล่อด้วย เขาจึงพยายามอย่างมากเพราะรายการของหวังเป่าเล่อนั้นมีราคาพอสมควร หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว พนักงานขายจึงบอกให้หวังเป่าเล่อรอก่อนจะหันหลังเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง
หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดพนักงานขายไว้ แต่กลับยืนหรี่ตารออย่างสงบ เฝ้าดูว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงเช่นไร คงจะดีหากสถานการณ์คลี่คลายได้ด้วยดี หาไม่แล้ว ชายหนุ่มก็คงต้องคิดดีๆ ว่าจะรับมืออย่างไรต่อไป
เวลาผ่านไปไม่นาน เพียงไม่เกินหนึ่งร้อยลมหายใจ พนักงานขายก็เดินยิ้มแฉ่งลงมาจากชั้นสอง ก่อนจะกล่าวเมื่อเดินกลับมาถึงบริเวณที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่
“สหายเต๋า นายน้อยของเราอนุญาตให้ท่านซื้อสิ่งของที่ต้องการได้ เขายังเชิญให้ท่านขึ้นไปนั่งพักด้านบนระหว่างรอข้าไปจัดเตรียมวัตถุดิบตามที่ท่านต้องการด้วย”
สีหน้าของหวังเป่าเล่อยังเฉยเมยขณะจ้องมองลึกเข้าในดวงตาของพนักงานขาย ชายหนุ่มไม่เห็นอะไรผิดสังเกต เขาจึงเบนหน้าไปมองบันไดที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ชั้นสอง หลังจากนั้นชั่วอึดใจ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็เปล่งประกาย ก่อนที่จะหัวเราะออกมา
“ดีมาก!” เขาเดินอาดๆ ไปทางบันไดทันที พนักงานขายถึงกับตะลึงเพราะเสียงหัวเราะอันดังสนั่นของหวังเป่าเล่อ และรู้สึกแปลกๆ ที่สัมผัสได้ถึงความลุ่มลึกในน้ำเสียงนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด เมื่อส่งหวังเป่าเล่อถึงบันไดแล้ว จึงผายมือให้อีกฝ่ายเดินขึ้นไปตามลำพัง ก่อนที่ตนจะล่าถอยไปจัดเตรียมของตามรายการที่ชายหนุ่มสั่ง
เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะขึ้นไปชั้นสอง หวังเป่าเล่อก็ไม่รอช้า รีบเดินจ้ำขึ้นไปทันที และเมื่อหันหน้าไปมอง เขาก็เห็นเซี่ยไห่หยางนั่งอยู่ที่โต๊ะน้ำชาไม่ห่างออกไปนัก
บรรยากาศบนชั้นสองหรูหรากว่าชั้นล่างมากนัก ตู้กระจกใสที่มีวัตถุเวทสุดมลังเมลืองวางเรียงรายอยู่ทั่วไป ในขณะเดียวกันก็มีกระถางธูปอยู่ทั้งสี่มุมห้อง กลุ่มควันสีเขียวลอยอวลปกคลุมไปทั่ว ส่งกลิ่นหอมหวานที่ดีต่อการฝึกปราณเพราะมันสามารถช่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของพลังปราณในร่างกาย
นอกจากนี้ พื้นบนชั้นสองยังปูด้วยหนังผืนใหญ่ เป็นหนังของอสูรร้ายที่หวังเป่าเล่อไม่เคยพบเห็นมาก่อน และราวกับว่ามันสามารถแผ่ความอบอุ่นออกมาได้ด้วยตัวเอง อุณหภูมิบนชั้นสองจึงอุ่นสบายยิ่งนัก
ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงยืนมองสิ่งรอบข้างอยู่นั้น เซี่ยไห่หยางก็เงยศีรษะขึ้นมองหวังเป่าเล่อ เขาจ้องมองจนหวังเป่าเล่อเอียงศีรษะมาสบตาด้วย จากนั้นเซี่ยไห่หยางจึงหรี่ตาลงก่อนจะหัวเราะออกมา
หวังเป่าเล่อไม่แสดงอารมณ์แต่อย่างใด ชายหนุ่มเพียงแต่ส่งรอยยิ้มอย่างสุภาพให้ราวกับคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก ก่อนจะยกมือประสานทักทายอีกฝ่าย
“ขอบคุณนายน้อยยิ่งนักที่ตกลงยอมขายสินค้าให้ข้า นายน้อยสะดวกจะให้ข้าเรียกว่าอะไรหรือขอรับ”
“ข้าชื่อเซี่ยไห่หยาง ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก สหายเต๋า เพราะถึงอย่างไร เจ้ากับข้านั้นสนิทกันมาช้านาน ไม่จำเป็นต้องทักทายกันอย่างเป็นทางการนักหรอก เจ้าว่าไหมเล่า”
“สนิทกันอย่างนั้นหรือขอรับ” หวังเป่าเล่อตะลึง ก่อนจะจ้องมองเซี่ยไห่หยางด้วยสายตาแปลกแปร่ง ชายหนุ่มไม่ได้พูดต่อทันที แต่กลับแสร้งทำเป็นคิดทบทวนอย่างละเอียด หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ จึงได้ฝืนยิ้มออกมา
“ข้าทำรัศมีบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยจากการฝึกปราณก่อนหน้านี้ อาจเป็นเพราะความทรงจำของข้าเลอะเลือน ข้าจึงจำท่านไม่ได้ ข้าหวังว่าท่านจะไม่ถือโทษ แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังต้องขอขอบคุณที่ท่านยอมขายสินค้าให้ข้า” หวังเป่าเล่อไม่ได้ปฏิเสธ ในฐานะผู้ชำนาญการด้านปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าหากปฏิเสธสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแข็งขันเกินไป ก็จะเท่ากับยอมรับความจริง เพราะอย่างไรเสีย เมื่อคนทั่วไปต้องเผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ ส่วนมากก็คงไม่ปฏิเสธเสียงแข็งเท่าใดนัก
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงเสียด้วย น้ำเสียงและท่าทางของหวังเป่าเล่อทำให้เซี่ยไห่หยางรู้สึกชั่งใจ ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก กลับกัน เขากลับยกถ้วยชาขึ้นแล้วเริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับหวังเป่าเล่อแทน
เมื่อเห็นว่าเซี่ยไห่หยางจำตนเองไม่ได้ หวังเป่าเล่อจึงยกมือขึ้นประสานก่อนจะเตรียมตัวหันหลังกลับ ทันทีที่ชายหนุ่มหันหลังหนีมาได้ หัวใจเขาก็เริ่มเต้นโครมคราม จนอดไม่ได้ที่จะต้องสบถออกมา…เขาเปิดเผยตัวตนไปแล้วอยู่ดี
แทบจะทันทีที่หวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้ ดวงตาของเซี่ยไห่หยางก็เป็นประกายวาบ ก่อนที่จะฉีกยิ้มแล้วพูดขึ้น “โลกช่างแคบอะไรอย่างนี้! ศิษย์พี่หวังเป่าเล่อ เจ้าสบายดีหรอกหรือ”
หวังเป่าเล่อชะงัก ก่อนจะหันรีหันขวาง แล้วจึงหันกลับมามองเซี่ยไห่หยาง ใบหน้าของชายหนุ่มไม่ได้มีอาการว่ากำลังเสียเปรียบแต่อย่างใด แต่กลับแสดงความกระอักกระอ่วนเมื่อถูกเรียกด้วยชื่อที่ผิดมากกว่า
“ข้าขอบคุณนายน้อยอีกครั้ง แต่ข้า หลงหนานจื่อ คงต้องขอตัวก่อน” เขากระแอมกระไอครั้งหนึ่ง ราวกับว่าพยายามจะช่วยเซี่ยไห่หยางแก้ไขความเข้าใจผิดจากการเรียกตนด้วยนามของใครอีกคน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยไห่หยางก็ถอนหายใจ โคลงศีรษะ ขณะจัดการกับความรู้สึกมหาศาลที่เกิดขึ้น
“ข้าขออภัยด้วย ข้าคงจำผิดไป หลงคิดไปว่าท่านเป็นเพื่อนสนิทของข้าจากกาลก่อนและกำลังคิดว่าจะลดราคาให้เสียหน่อย แต่อย่างไรเสีย การจะเจอเพื่อนเก่าในต่างแดนคงเป็นเรื่องยาก ถ้าท่านไม่ใช่เขา…ก็โปรดอย่าใส่ใจเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อกะพริบตาแล้วพูดขึ้นทันควัน
“ลดให้เท่าใดหรือ”
บทที่ 806 โลกคือละครและเราทุกคนต่างก็...
เซี่ยไห่หยางลอบยิ้มให้หวังเป่าเล่อก่อนจะกระแอมกระไอและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ไหนๆ เราก็เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ เจ้าก็ควรได้รับราคาที่ดีที่สุด ข้าลดให้…ร้อยละยี่สิบเลยเป็นอย่างไร”
หวังเป่าเล่อตาลุกวาวเมื่อได้ยินเซี่ยไห่หยางพูด ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะเดินจากไป แต่เปลี่ยนท่าทีเป็นระเบิดหัวเราะเสียงดังก่อนจะเดินเข้าไปหาเซี่ยไห่หยาง เขาหยุดเมื่ออยู่ห่างราวสามเมตร ก่อนพูดด้วยเสียงอันดังและนัยน์ตาที่เรืองเรื่อไปด้วยความยินดีที่ได้เจอเพื่อนเก่าในดินแดนห่างไกล
“เซี่ยไห่หยาง สหายเต๋าเซี่ย ฮะฮ่า ช่างนานเหลือเกินตั้งแต่พบกันครั้งสุดท้าย ข้าไม่คิดเลยว่าจะมาพบเจ้าที่นี่ ข้ากลัวที่จะพูดกับเจ้าในตอนแรก แต่เมื่อมองเจ้าอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่นาน ข้าก็มั่นใจจนได้…ว่าเจ้าคือเซี่ยไห่หยาง สหายเก่าของข้า”
หวังเป่าเล่อถอนหายใจ แววตาเลื่อนลอยขณะที่หวนนึกถึงความหลังในอดีต ความสุขฉายฉาบอยู่บนสีหน้า ความเปรมปรีดิ์ของเขาแสดงแจ่มชัดออกมามากเสียจนดูเหมือนเป็นการเสแสร้ง…
“สหายเต๋าไห่หยาง ข้าไม่เคยคิดฝันว่าจะได้พบเจ้าที่นี่ ข้ารู้สึกว่าโชคชะตานั้นช่างเป็นสิ่งที่ทั้งแปลกประหลาดและเป็นปริศนา ทว่าก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตงดงามและมหัศจรรย์” หวังเป่าเล่อพูดขณะที่ทรุดตัวลงนั่ง
หลังจากที่ถอนหายใจด้วยความสุขไปหลายรอบ ชายหนุ่มก็กะพริบตาก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจนัก “ในเมื่อที่นี่เป็นร้านของเจ้า และข้าจะได้ส่วนลดร้อยละยี่สิบเพราะเป็นเพื่อนกับเจ้า ข้าคงต้องแสดงการสนับสนุนและซื้อของเพิ่มสักหน่อย”
เซี่ยไห่หยางถึงกับตะลึงกับความเป็นมิตรอย่างปุบปับของหวังเป่าเล่อ มีความไม่แน่ใจฉายอยู่บนแววตาของชายหนุ่ม เจ้าของร้านจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างระแวดระวัง ก่อนจะถามขึ้นมา “สหายเต๋า เจ้าชื่ออะไรนะ”
“หือ” หวังเป่าเล่อชะงักไปชั่วอึดใจ ชายหนุ่มยังคงฉีกยิ้มก่อนจะตอบไปว่า “ข้าเป่าเล่อยังไงเล่า สหายเต๋าไห่หยาง เจ้าลืมชื่อข้าไปเสียแล้วหรือ”
สีหน้าของเซี่ยไห่หยางแปลกแปร่งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความไม่แน่ใจในแววตาก็ยิ่งฉายชัดขึ้น เหมือนว่าจะไม่แน่ใจกับการตัดสินใจของตนเอง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงอักขระลับจางๆ ที่เขาทิ้งไว้บนวัตถุเวทบางชิ้นของหวังเป่าเล่อเมื่อครั้งพบกันที่สหพันธรัฐจากในกระเป๋าคลังเก็บของหลงหนานจื่อ
อักขระลับดังกล่าวมีความลึกลับ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งก็ยังไม่อาจมองเห็นได้นอกจากต้องเพ่งมองอย่างตั้งใจเท่านั้น วิชานี้ถูกส่งต่อมาจากผู้ก่อตั้งในตระกูลของเขา สมาชิกตระกูลเซี่ยต่างทิ้งร่องรอยเหล่านี้เอาไว้บนตัวลูกค้าที่พวกเขาวางแผนจะทำการค้าด้วยอย่างจริงจัง อักขระลับนี้ช่วยให้คนอื่นๆ ในตระกูลสังเกตเห็นลูกค้าเหล่านี้ได้โดยง่าย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อใดก็ตามที่ลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ อักขระลับก็จะช่วยให้พวกเขาไปปรากฏตัวในบริเวณใกล้เคียงได้ทันท่วงที การใช้อักขระลับนี้ไม่มีความอาฆาตมาดร้ายใดๆ อยู่เบื้องหลัง อันที่จริงแล้ว อักขระลับเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นการอวยชัยให้พรเลยก็ว่าได้
แต่พลังงานที่แผ่ออกมาจากอักขระลับตรงหน้าช่างแผ่วจางเสียเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะหลงหนานจื่อยืนอยู่ใกล้มาก เซี่ยไห่หยางก็คงสัมผัสถึงมันไม่ได้เลย สิ่งนี้ทำให้เขาเกิดความกังขา แม้ว่าจะสัมผัสถึงอักขระได้ แต่ก็ไม่สามารถใช้อักขระเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันตัวตนที่แท้จริงของหลงหนานจื่อได้
รัศมีและท่าทีที่หลงหนานจื่อแสดงออกมาก็แตกต่างจากเหล่าลูกค้าที่เซี่ยไห่หยางทิ้งอักขระเอาไว้ไม่น้อย
จึงเป็นเหตุให้เมื่อครู่เซี่ยไห่หยางได้ลองทำการทดสอบดู ชายหนุ่มไม่ได้ผลสรุปที่แน่นอนจากการทดสอบครั้งแรก ดังนั้น ชายหนุ่มจึงหยิบถ้วยชาขึ้นมาเพื่อลองทดสอบครั้งที่สอง ปฏิกิริยาของหลงหนานจื่อทำให้เซี่ยไห่หยางแน่ใจขึ้นมาก
เพราะอย่างไรเสีย…แม้เขาจะเดินทางผ่านอารยธรรมมามากมาย แต่สหพันธรัฐก็เป็นที่เดียวที่มีธรรมเนียมว่าเมื่อเจ้าบ้านยกถ้วยชาขึ้น แขกจะต้องอำลากลับไปทันที
ทว่า…อากัปกริยาต่อมาของหลงหนานจื่อกลับทำให้เซียไห่หยางเกิดสงสัยขึ้นมาอีก การยอมรับของหลงหนานจื่อนั้น…ง่ายดายเกินไป เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจทำเพื่อจะให้ได้ส่วนลด
ผ่านไปพักหนึ่ง เซี่ยไห่หยางก็ล้มเลิกความพยายามที่จะคาดเดา เขาจ้องหวังเป่าเล่อก่อนจะถามตรงๆ “ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าแซ่อะไร”
“หา?” หวังเป่าเล่อแสร้งทำเป็นตกตะลึงและสับสน ชายหนุ่มทำเป็นไม่เข้าใจว่าเหตุใดสหายเก่าแก่จึงได้ลืมแซ่เขาได้ แต่กลับแอบปลื้มอยู่ในใจ
หวังเป่าเล่อไม่รู้เลยว่าเซี่ยไห่หยางอ่านการปลอมตัวของเขาออกได้อย่างไร อย่างไรก็ตามแต่ ชายหนุ่มก็ไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงหรือยอมรับว่ารู้จักเซี่ยไห่หยางตั้งแต่ต้น แต่อีกฝ่ายกลับยกถ้วยชาขึ้นและล่อลวงให้เขาหันหลังเดินจากมาอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นการเปิดโปงตนเอง หากเป็นคนอื่นอาจจะไม่ทันสังเกต แต่หวังเป่าเล่อรู้ว่าเซี่ยไห่หยางคนนี้ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องสังเกตเห็นแน่นอน
เป็นเหตุว่าทำไมหวังเป่าเล่อจึงรีบสลับแผนการจะรับเป็นรุก ชายหนุ่มรีบแสร้งทำทีเป็นสนิทกับเซี่ยไห่หยางเพื่อจะได้ส่วนลด เขารู้ว่าแผนนี้สำเร็จเมื่อเซี่ยไห่หยางถามคำถามนั้นออกมา หลังจากการตกตะลึงและไม่เข้าใจ หวังเป่าเล่อก็ชักสีหน้าหม่นหมองก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยแรงโทสะ
“สหายเต๋าไห่หยาง ข้าไม่คิดมาก่อนว่าจะพบเจ้าในวันนี้ การหายตัวไปของเจ้าช่างสุดจะคาดเดา ตัวข้าเองก็ไม่เคยคิดว่าเจ้าจะมาปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้ แต่เจ้าก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องหยามน้ำหน้าข้าด้วยการบอกว่าลืมแซ่ของข้าไปแล้ว ใช่หรือไม่”
“เจ้าจะเรียกข้าว่าเป็นสหายเก่าแก่หรือไม่ก็ตามแต่ใจเจ้า ข้าไม่ใช่คนที่ทำสิ่งใดเพราะเห็นแก่ส่วนลดร้อยละยี่สิบอยู่แล้ว!” หวังเป่าเล่อชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะกลับหลังหันทำทีจะเดินออกไป แต่ก็ไม่ได้ออกไปเร็วนัก ชายหนุ่มต้องเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้แก้ตัวด้วยเช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย ส่วนลดร้อยละยี่สิบก็มากโขอยู่
ชายหนุ่มพูดจากำกวมอยู่ระดับหนึ่ง เขาบอกว่าการจากไปของเซี่ยไห่หยางนั้นไม่อาจคาดเดาได้ ประโยคนี้ตีความได้หลายแบบ หากเซี่ยไห่หยางจากมาด้วยวิธีปกติ ก็อาจแปลได้ว่า หวังเป่าเล่อแปลกใจกับการตัดสินใจนั้น แต่หากอีกฝ่ายจากมาด้วยวิธีลึกลับหรือแปลกประหลาด ความรู้สึกเกินจะคาดเดานั้นก็ยิ่งเหมาะสมเข้าไปอีก
วิธีการพูดของหวังเป่าเล่อทำเอาเซี่ยไห่หยางดิ้นไม่หลุด ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนเพื่อจะรั้งหวังเป่าเล่อเอาไว้
“ศิษย์พี่หลิว ได้โปรด อย่าเพิ่งไปเลย หลิวเป่าเล่อ เจ้านี่ยังอารมณ์ร้อนไม่เปลี่ยนเลย ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น เรื่องการจากมาของข้า ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วเมื่อแรกที่เราพบกัน ที่ใดก็ตามที่มีธุรกิจให้สะสาง ข้าก็จะไปที่นั่น”
สีหน้าตึงเครียดของหวังเป่าเล่อคลายลงเล็กน้อย ชายหนุ่มหันไปส่งสายตาให้เซี่ยไห่หยาง เขาแทบไม่อยากเชื่อ เซี่ยไห่หยางยังคงทดสอบเขาอยู่นั่นเอง ถึงขนาดเปลี่ยนแซ่ให้เป็นหลิวเป่าเล่อ แต่ชื่อนี้ก็ฟังดูรวยอยู่ไม่น้อย มีเพียงคนที่เกิดมาหน้าตาหล่อเหลาเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับชื่อนี้ แต่มันก็ไม่เหมาะกับนิสัยของหวังเป่าเล่อเอาเสียเลย
แต่อย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนออกมา หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ปฏิเสธหรือขานรับชื่อนั้น กลับกัน หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นก่อนหยิบแผ่นหยกออกมายื่นให้เซี่ยไห่หยาง
“สหายเต๋าไห่หยาง โปรดพักเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เจ้าช่วยข้าหาซื้อวัตถุดิบตามรายการนี้ได้หรือไม่”
เซี่ยไห่หยางกะพริบตาเมื่อได้ยิน เขารับแผ่นหยกมาจากหวังเป่าเล่อและกวาดสายตามองดู ก่อนจะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ไม่มีปัญหาเลย แต่สหายข้า พวกเราต้องแยกธุรกิจและมิตรภาพออกจากกัน แม้ว่าข้าจะลดราคาให้ แต่ราคาสุทธิของวัตถุดิบเหล่านี้ก็ยังสูงเสียดฟ้าอยู่ดี เจ้าจะจ่ายไหวหรือ”
หวังเป่าเล่อยังคงแสดงสีหน้าท่าทางสบายใจออกมา แต่กลับลอบถอนหายใจอยู่ภายใน ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาจ่ายไม่ไหว จู่ๆ ความรู้สึกยากจนข้นแค้นอย่างรุนแรงก็โถมทับเข้ามา ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวเล็กลงเล็กน้อย แต่ทักษะในการรักษาท่าทีของหวังเป่าเล่อก็ไม่แพ้ใคร แม้จะไม่มีเงินพอจ่ายค่าวัตถุดิบตามรายการ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังได้รับส่วนลดร้อยละยี่สิบสำหรับของที่เลือกไว้ก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังกำจัดความสงสัยในใจเซี่ยไห่หยางเกี่ยวกับเรื่องตัวตนของเขาออกไปได้อีกด้วย เขาจึงทำสีหน้าขึงขังขึ้นมาทันที
“ศิษย์น้องไห่หยาง เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่ หากเจ้าเชื่อ ข้า หลิวเป่าเล่อผู้นี้จะเขียนตั๋วเงินให้เจ้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะซื้อเชื่อ เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น!”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเซี่ยไห่หยางกระตุก ก่อนจะจ้องมองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ความชั่งใจที่เขามีทำให้ชายหนุ่มไม่ยอมตัดสินใจ ทักษะการแสดงของหวังเป่าเล่อเป็นประโยชน์อีกครั้ง หากชายหนุ่มปฏิเสธการเป็นหวังเป่าเล่อมาตั้งแต่ต้น เซี่ยไห่หยางก็คงจะจับได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่ยิ่งหวังเป่าเล่อพูดเรื่องมิตรภาพของทั้งสองมากเท่าใด เซี่ยไห่หยางก็ยิ่งชั่งใจมากขึ้นเท่านั้น
นายน้อยของร้านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนัยน์ตาของเขาจึงส่องประกายขึ้นมา เขามองไปรอบด้านก่อนจะกระซิบ “ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้ามีข้อเสนอทางธุรกิจมาให้เจ้า เจ้าจะสนใจหรือไม่ อาจจะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่ก็เพียงน้อยนิด แต่หากเจ้าทำสำเร็จ รางวัลที่รออยู่นั้นก็มหาศาล มากเกินพอที่จะซื้อวัตถุดิบทั้งหมดนี่และยังเหลือให้เจ้าได้จับจ่ายอีกเหลือเฟือ!”
“ข้อเสนอธุรกิจอย่างนั้นหรือ” สัญญาณเตือนภัยดังลั่นขึ้นในศีรษะของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มมีสีหน้าลังเลใจ
“ใช่แล้ว ไม่ต้องห่วงไป สหายข้า ข้ากำลังพูดถึงภารกิจที่ผู้ฝึกตนทรงพลังและลี้ลับผู้หนึ่งประกาศขึ้น เขาทั้งทรงพลัง แถมยังมีความแค้นใหญ่หลวงกับตระกูลไม่รู้สิ้น แต่เพราะเหตุผลบางประการ เขาจึงไม่อาจโจมตีศัตรูคู่อาฆาตโดยตรงได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ผู้ฝึกตนคนนั้นก็ไม่อาจปล่อยวางความแค้นได้ เพราะฉะนั้น บางครั้งบางคราว เขาก็จะประกาศภารกิจตามแว่นแคว้นต่างๆ เพื่อรวบรวมผู้ฝึกตนและให้พวกเขาสวมหน้ากากพิเศษ จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายผู้ฝึกตนเหล่านั้นไปตามดาวเคราะห์น้อยใหญ่ เพื่อไล่สังหารผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง!
“ตอนนี้มีภารกิจอยู่มากกว่าสามสิบภารกิจ ผู้ฝึกตนเร้นลับจะเป็นผู้เคลื่อนย้ายเจ้าเข้าออกจากดาวเคราะห์ต่างๆ และเป็นผู้จัดการเก็บกวาดเรื่องราวทั้งหมดด้วย ผู้ฝึกตนที่มารวมตัวกันมีหน้าที่เพียงต้องสังหารผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้น หากตายก็ไม่ได้อะไรเลย แต่หากรอดมาได้ ก็จะได้รับผลึกสีชาดเป็นค่าตอบแทน จำนวนผลึกสีชาดที่ได้รับขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่สังหารได้!
“ผลึกสีชาดเป็นสกุลเงินหลักในระบบดาวเคราะห์เต๋าไม่รู้สิ้น ผลึกสีชาดสามร้อยชิ้นก็เพียงพอที่จะแลกกับทุกสิ่งที่เจ้าเขียนเอาไว้บนรายการ!”
บทที่ 807 หน้ากากสุกร!
“ผลึกสีชาดเช่นนั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อเริ่มคิด ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าผลึกเหล่านี้คืออะไร แต่การที่มันถูกนำมาใช้เป็นสกุลเงินแปลว่าจะต้องหายากพอสมควร และทรัพยากรหายากที่ทุกคนยอมรับในมูลค่าก็ย่อมส่งผลอะไรบางอย่างกับระดับปราณเป็นแน่
ชายหนุ่มคาดเดาได้ถูกต้อง เพราะจากนั้นเซี่ยไห่หยางก็อธิบายเหตุผลว่าเหตุใดผลึกสีชาดจึงได้มีราคาแพงนัก ผลึกนี้เป็นวัตถุปริศนาที่สามารถเร่งความก้าวหน้าในการฝึกปราณของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ ต้นกำเนิดของผลึกนี้ลึกลับและไม่เป็นที่ล่วงรู้ มีเพียงตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้นที่สามารถผลิตผลึกนี้ขึ้นมาได้ มีผลึกสีชาดจำนวนจำกัดที่ถูกหลอมขึ้นและใช้หมุนเวียนอยู่ในระบบดาวเคราะห์เต๋าไม่รู้สิ้น
เรียกได้ว่าตระกูลไม่รู้สิ้นได้ควบคุมระบบเศรษฐกิจของระบบดาวเคราะห์เต๋าไม่รู้สิ้นเอาไว้หมดแล้วก็ไม่ผิด
ไม่มีใครรู้วิธีการหลอมผลึกเหล่านี้ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมก็ยังแยกส่วนและวิเคราะห์ผลึกไม่ได้
“แต่มีข่าวลือว่าผลึกเหล่านี้…มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักแห่งความมืดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว บางคนถึงกับเดาว่าผลึกเหล่านี้…หลอมขึ้นมาจากโลหิตเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืด!
เซี่ยไห่หยางจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ เขาไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย แต่กลับเปิดเผยข้อมูลอย่างเต็มใจ ถ้อยคำที่เรียบง่ายเหล่านี้สะกิดใจหวังเป่าเล่ออย่างบอกไม่ถูก
ชายหนุ่มเองก็สงสัยเซี่ยไห่หยางเช่นกัน เขาสงสัยอยู่ตลอดว่าเหตุใดเซี่ยไห่หยางจึงปฏิบัติต่อเขาแตกต่างกับคนอื่นๆ หวังเป่าเล่อนึกย้อนไปถึงเมื่อตอนพบกันครั้งแรกสมัยอยู่สำนักศึกษาเต๋าสวรรค์ เซี่ยไห่หยางเป็นมิตรมากๆ ในตอนนั้น แต่ก็เป็นเพราะสัญชาติญาณความเป็นนักธุรกิจของเขาเอง ที่จะไม่ยอมเสียโอกาสทำการค้าไปเป็นอันขาด หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็ไปอยู่บนดาวอังคารและได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ เมื่อชายหนุ่มพบเซี่ยไห่หยางอีกครั้ง ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้น…เปลี่ยนไปจากคนเดิมที่เคยเป็นเล็กน้อย
สิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูดนั้น เหมือนเป็นการแสดงไพ่ในมือให้หวังเป่าเล่อได้เห็น ชายหนุ่มเข้าใจทันที เซี่ยไห่อย่างกำลังบอกเหตุผลที่เขาปฏิบัติกับหวังเป่าเล่อเป็นอย่างดีตลอดมา
ถึงกระนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ชายหนุ่มไม่ได้เสียเวลาไปกับการสงสัยว่าทำไมเซี่ยไห่หยางจึงรู้ว่าเขาเป็นบุตรแห่งความมืดมากนัก กลับกัน เขากลับแสร้งทำเป็นรู้ดีว่าเซี่ยไห่หยางล่วงรู้ความลับนี้มาโดยตลอด ซึ่งทำให้เซี่ยไห่หยางเกิดสงสัยขึ้นมาอีกคำรบ หลังจากที่ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ เซี่ยไห่หยางก็สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ
“สหายเต๋า เรามาเลิกอ้อมค้อมกันเถิด ไม่สำคัญเลยว่าข้าจะเคยพบเจ้ามาก่อนหรือไม่ ข้าเป็นนักธุรกิจ เจ้าสบายใจได้ว่า เมื่อได้ทำธุรกิจกับข้าก็จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบแน่นอน และข้าก็ไม่ทำร้ายคนอื่นด้วยเช่นกัน ทุกสิ่งที่ข้าทำเป็นธุรกิจเท่านั้น!
“ตัวอย่างเช่น การที่ข้าแนะนำภารกิจนี้ให้เจ้า ก็เพื่อให้เจ้ามีผลึกสีชาดมากพอจะใช้ซื้อวัตถุดิบตามรายการสินค้าของเจ้า ข้าก็จะไม่ปกปิดข้อมูลที่ว่าค่าแนะนำของข้าคือการได้รับร้อยละสิบของรางวัลที่เจ้าจะได้ แต่เจ้าก็ไม่ต้องควักเนื้อตนเองแต่อย่างใด ปรมาจารย์แห่งไฟจะเป็นคนชำระให้ข้าด้วยตัวเอง ข้าแนะนำผู้ฝึกตนเข้าร่วมภารกิจนี้ไปห้าคน ยังมีเวลาให้สมัครอีกสามวัน หลังจากนั้น พวกเขาก็จะเริ่มเคลื่อนย้ายบรรดาผู้เข้าร่วม
“ปรมาจารย์แห่งไฟคือผู้ฝึกตนทรงพลังที่ข้าเอ่ยถึงไปก่อนหน้านี้ ท่านผู้นั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ทรงพลังถึงขนาดมีระบบดาวเคราะห์เป็นของตนเอง ตระกูลไม่รู้สิ้นยังมองว่าเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจด้วย แต่ราคาที่พวกเขาต้องจ่ายเพื่อจะกำจัดปรมาจารย์แห่งไฟนั้นแพงลิบ…ตระกูลไม่รู้สิ้นขณะนี้กำลังมีปัญหากันเองภายใน และไม่มีใครกล้าพอจะหันมารับศึกสองด้าน
“เรื่องนี้อาจจะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่จากภารกิจที่ผ่านๆ มา พวกเรารู้ว่าปรมาจารย์แห่งไฟจะไม่ส่งพวกเจ้าไปตายแน่ ดาวเคราะห์ที่เขาเลือกสรรมาแล้วถูกปกครองโดยผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้น ศัตรูที่เจ้าต้องเผชิญหน้าด้วยย่อมอ่อนแอกว่านั้นแน่”
“อาจมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะปะปนอยู่บ้าง แต่เจ้าสามารถหลบหลีกพวกเขาได้หากระมัดระวังมากพอ” เซี่ยไห่หยางพูดพลางโบกมืออยู่ไปมา เขาไม่ได้ปิดบังข้อมูลใดๆ จากหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย นายน้อยแห่งร้านค้าหรูหราแห่งนี้เลิกพยายามทดสอบหวังเป่าเล่อหรือพยายามพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายอีกต่อไป หากบุรุษตรงหน้าคือหวังเป่าเล่อจริงแล้ว เซี่ยไห่หยางก็คงจะเล่าให้ฟังตามจริงอย่างนี้เช่นกัน มันเป็นวิธีเดียวที่จะพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของอีกฝ่ายได้ อีกอย่างหนึ่ง เซี่ยไห่หยางก็เป็นผู้ที่เชื่อมั่นในการพูดความจริง ว่ามนุษย์ควรจะปฏิบัติตนเช่นนั้น
เขาจึงไม่เห็นว่ามีสิ่งใดจำเป็นที่จะต้องหลอกลวงบุรุษตรงหน้า แม้ว่าชายผู้นี้จะใช่หวังเป่าเล่อหรือไม่ก็ตามที หลังจากแบ่งปันข้อมูลเสร็จ เซี่ยไห่หยางก็หันหน้าไปหาหวังเป่าเล่อด้วยท่าทางพร้อมฟังคำตอบ
หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่ในภวังค์ ชายหนุ่มไม่คิดจะตอบรับข้อเสนอนั้นทันที เขาถามรายละเอียดอีกเล็กน้อย ก่อนจะขอวิธีติดต่อเซี่ยไห่หยางไป หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็เอ่ยคำลาแล้วจากมา โดยบอกเซี่ยไห่หยางว่าจะให้คำตอบในอีกสามวัน
เซี่ยไห่หยางมองหวังเป่าเล่อเดินจากไป ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ พลางจ้องไปยังกระแสควันที่พวยพุ่งออกมาจากหม้อหลอมข้างกายด้วยสายตาครุ่นคิด ไม่ได้ตอบสนองต่อร่างที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหลังของเขา
ผู้บุกรุกเป็นร่างเงาเลือนราง ใบหน้าไม่แจ่มชัด เขายืนเงียบนิ่ง หลังค้อมเล็กน้อยและมือประสานเป็นเชิงรอคำสั่ง
“ก็เอาเถอะ ทำไมข้าต้องใส่ใจด้วยว่าเคยพบเขามาก่อนหรือไม่ การมีมิตรสหายใหม่ๆ เป็นเรื่องดี เขาอาจกลายมาเป็นลูกค้าคนสำคัญที่ข้าต้องลงทุนด้วยชนิดหนักมือก็เป็นได้” เซี่ยไห่หยางกล่าว ก่อนจะหัวเราะแล้วหันไปหยิบคัมภีร์บนโต๊ะมาเปิดอ่าน
ร่างเลือนรางเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “นายน้อยขอรับ ให้เราลบอักขระที่แขกท่านนั้นทิ้งไว้บนกายของข้ารับใช้ออกหรือไม่ขอรับ”
“ไม่จำเป็นหรอก” เซี่ยไห่หยางพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น สายตายังคงจับจ้องที่คัมภีร์
ขณะที่เซี่ยไห่หยางพูดเช่นนั้น ผงฝุ่นสีเทาชิ้นเล็กจ้อยที่ติดอยู่บนบ่าข้ารับใช้ที่เป็นคนต้อนรับหวังเป่าเล่อด้านล่างก็สั่นไหว
หวังเป่าเล่อตบบ่าข้ารับใช้คนนั้นก่อนจะเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง ชายหนุ่มเดินจากร้านไปไกลแล้ว แต่เมื่อฝุ่นนั้นสั่นไหว เขาก็หยุดกะทันหัน ก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นอีก กระแสพลังงานที่แผ่ออกมาจากกระบวนท่าสารัตถะเริ่มรวน ส่วนหนึ่งสลายไปกองอยู่ตรงเท้าของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะแปรสภาพเป็นแมลงที่ไต่ยั้วเยี้ยกระจายอยู่เต็มพื้นก่อนจะเข้าไปหลบเร้นกายอยู่ในดิน
ชายหนุ่มเดินเข้าออกหลายร้าน เมื่อเขาเดินออกมาจากร้านหนึ่ง รูปกายภายนอกก็เปลี่ยนไปครั้งหนึ่ง หวังเป่าเล่อทิ้งร่องรอยของกระบวนท่าสารัตถะเอาไว้ในร้านเหล่านั้น รูปแบบพลังงานของเขาเปลี่ยนแปลงไปเพราะชายหนุ่มทิ้งส่วนหนึ่งของพลังงานเอาไว้ในตัวทุกคนที่เดินผ่าน
หวังเป่าเล่อเดินเข้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในตลาดเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามมา ก่อนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่เป็นค่าห้อง จากนั้นจึงนั่งลงในห้องอย่างเงียบงันพร้อมสีหน้าครุ่นคิด ชายหนุ่มกำลังไล่เรียงทุกสิ่งที่เซี่ยไห่หยางบอกมา
ดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสถึงเศษเสี้ยววิญญาณสารัตถะที่ข้าทิ้งเอาไว้แล้ว…ไม่เป็นไร หากสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ข้าก็ควรจะหาทางเข้าร่วมภารกิจด้วย…ก็แค่สังหารผู้ฝึกตนเท่านั้น อันที่จริงแล้ว การฆ่าฟันนี่ละคือสิ่งที่ข้าต้องทำเพื่อพัฒนาระดับปราณและบรรลุจากขั้นจิตวิญญาณอมตะสู่ระดับดาวพระเคราะห์! ประกายเยือกเย็นสะท้อนวาบอยู่บนดวงตาของหวังเป่าเล่อ หลังจากนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็กวาดตาไปรอบห้องก่อนจะตัวสั่นเทิ้ม แล้วสลายกลายเป็นอากาศธาตุไป เขาใช้กระบวนท่าสารัตถะแปลงเป็นแมลงตัวจิ๋ว ก่อนจะหาช่องหน้าต่างที่เปิดอยู่แล้วบินออกไป
กระบวนท่าสารัตถะของหวังเป่าเล่อยังคงทำงานอยู่ขณะที่โบยบินจากมา กายรูปแมลงของเขาแยกออกเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วตลาด เศษเสี้ยววิญญาณที่ชายหนุ่มทิ้งไว้ระหว่างทางไปโรงเตี๊ยมก็แปรสภาพกลายเป็นรูปร่างหน้าตาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแมลง มด หรือกระทั่งเศษฝุ่น พวกมันกลายมาเป็นหูให้เขา ต่างก็ได้ยินทุกสิ่งและเก็บข้อมูลทุกอย่างเอาไว้
มีเพียงหวังเป่าเล่อ ผู้ที่ถือครองกระบวนท่าสารัตถะเท่านั้น จึงจะสามารถเก็บข้อมูลด้วยวิธีเช่นนี้ได้ และถือว่าได้ผลไม่น้อยทีเดียว ภายในสามวัน หลังจากการคัดกรองข้อมูลที่ไม่สำคัญออก ชายหนุ่มก็เก็บข้อมูลเรื่องปรมาจารย์แห่งไฟมาได้ไม่น้อย ข้อมูลที่เก็บมาได้ยืนยันว่าคำพูดของเซี่ยไห่หยางเป็นความจริง
หลังจากที่วิเคราะห์ข้อมูลแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตามเก็บเศษเสี้ยววิญญาณสารัตถะที่ปล่อยออกไป พอเกือบสิ้นวันที่สาม ชายหนุ่มก็หยิบแผ่นหยกขึ้นมาก่อนจะส่งข้อความเสียงไปยังเซี่ยไห่หยาง
“สหายเต๋าไห่หยาง ข้าจะขอรับภารกิจ!”
เซี่ยไห่หยางที่เฝ้ารอข่าวจากหวังเป่าเล่ออยู่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน ชายหนุ่มเชื่อมั่นในสัญชาติญาณของตน แม้ว่าบุรุษผู้นั้นจะไม่ใช่หวังเป่าเล่อ สัญชาติญาณก็บอกเซี่ยไห่หยางว่า…เขาจะกลายมาเป็นลูกข้าคนสำคัญในไม่ช้า
เซี่ยไห่หยางรีบแสดงความตื่นเต้นยินดีอย่างที่สุดทันทีที่ได้รับข่าวจากหวังเป่าเล่อ ก่อนจะจัดแจงสมัครเข้าร่วมภารกิจให้ในทันที เขารีบไปจัดการให้ทันเส้นตาย เพื่อให้แน่ใจว่าหวังเป่าเล่อจะไม่พลาดโอกาสครั้งนี้
“เป่าเล่อ เจ้าโชคดีนัก ข้าส่งใบสมัครทันเวลาพอดิบพอดี ภารกิจของเจ้าจะเริ่มในอีกสองชั่วโมง!”
“ให้ข้าไปที่ใดกันเล่า” หวังเป่าเล่อถาม
“เจ้าไม่ต้องไปที่ไหนเลย เจ้าจะรู้ทุกสิ่งในเวลาสองชั่วโมงจากนี้ ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้อย่างหนึ่ง…แทบจะไม่มีสิ่งใด…ที่ปรมาจารย์แห่งไฟทำไม่ได้! เขาแทบจะสมบูรณ์แบบเลยละ จริงๆ นะ!” เซี่ยไห่หยางพูด ก่อนจะตัดสายไปด้วยคำพูดกำกวมสองประโยคนั้น
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว สายตาครุ่นคิด แต่ชายหนุ่มไม่มีเวลาคิดนานนัก สองชั่วโมงถัดมา สัมผัสสวรรค์ของเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง จากนั้นภายในชั่วพริบตา เส้นรยางค์สีฟ้าก็ปรากฏขึ้นจากอากาศก่อนจะมาก่อตัวตรงหน้าหวังเป่าเล่ออย่างเงียบงัน มันถักทอเข้าด้วยกันและแปรสภาพเป็น…หน้ากากสุกรหน้าตาน่าเกลียดน่าชังชิ้นหนึ่ง!
“ภารกิจจะเริ่มขึ้นเมื่อเจ้าสวมหน้ากาก” น้ำเสียงเยือกเย็น ไร้ความรู้สึกของชายชราดังออกมาจากหน้ากากเมื่อมันประกอบร่างเสร็จเรียบร้อย ถ้อยคำเหล่านั้นสะท้อนก้องไปมาอยู่ภายในสัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อ…และกึกก้องอยู่ในใจร่างจริงของชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ในโลงศพบนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์!
บทที่ 808 เริ่มภารกิจ!
ในมุมหนึ่งที่ห่างไกลออกไปบนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ มีผืนแผ่นดินที่ผู้คนเชื่อกันว่าพังเสียหายเพราะสะเก็ดดาวพุ่งชน ที่นั่นเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่ไม่มีสิ่งใดอยู่นอกจากหลุมขนาดใหญ่เพียงหลุมเดียว
พืชพรรณที่เคยเจริญเติบโตขึ้นที่นี่เหี่ยวเฉาและตายไปหมดแล้ว รัศมีของความตายลอยคลุ้งไปในอากาศ คอยขับไล่ไม่ให้อสูรร้ายย่างกรายเข้ามาใกล้ เอกลักษณ์ของผืนแผ่นดินนี้ดึงดูดผู้ฝึกตนหลายคน แต่ไม่ว่าผู้ฝึกตนที่เข้ามาสำรวจจะตรวจดูทั้งบนดินและใต้ดินอย่างละเอียดขนาดไหน พวกเขาก็ต่างต้องกลับไปมือเปล่าด้วยกันทั้งสิ้น
ราวกับว่าไม่มีใครมองเห็นโลงศพแม้ว่ามันจะนอนนิ่งอยู่ตรงนั้นก็ตามที ดังนั้นไม่ว่าทุกคนจะคิดเช่นใดกับดินแดนบริเวณนั้นและเชื่อว่าสะเก็ดดาวเป็นสาเหตุของความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น แต่ยิ่งเวลาผ่านไป พวกเขาก็เริ่มจะสนใจพื้นที่บริเวณนั้นน้อยลง
แต่ตอนนี้…ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อกำลังยืนอยู่ในโรงเตี๊ยมในตลาด ขณะที่หน้ากากสุกรล่องลอยอยู่ตรงหน้า เสียงที่เปล่งออกมาจากหน้ากากนั้นเดินทางไกลกระทั่งไปถึงร่างจริงของชายหนุ่มที่นอนนิ่งอยู่ในโลงศพใต้ดิน ก่อนจะก้องสะท้อนอยู่ในศีรษะ!
เสียงนั้นฟังดูชัดเจนยิ่ง ราวกับมีใครมากระซิบที่ข้างหูก็ไม่ปาน ร่างจริงของหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นทันที สายตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง การที่เสียงของปรมาจารย์แห่งไฟทะลุผ่านโลงศพเข้ามาได้แปลได้อย่างเดียวว่า…บุรุษผู้นั้นต้องแข็งแกร่งทัดเทียมศิษย์พี่ของหวังเป่าเล่อแน่นอน!
เสียงนั้นทำให้ใครอีกคนสั่นไหวเช่นกัน หน้ากากที่มีแม่นางน้อยอยู่ภายใน ซึ่งหวังเป่าเล่อเก็บไว้บนร่างจริงสั่นไหวอยู่เบาๆ เหมือนว่าแม่นางน้อยเองก็กำลังจะตื่นขึ้นเช่นกัน
สถานการณ์นี้ทำให้ร่างจริงของหวังเป่าเล่อนิ่งคิดอย่างเงียบงันไปพักใหญ่ จากนั้นดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่มก็ปิดลงอีกครั้ง ไกลออกไปในโรงเตี๊ยมแห่งเดิม ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อยังคงตกตะลึงอยู่ หลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างจริง หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะก้มคำนับต่ำให้หน้ากากสุกร
ชายหนุ่มยืดหลังตรง ยกแขนขึ้น และถือหน้ากากเอาไว้ในมือ มีชั่วอึดใจหนึ่งที่เขาแสดงความลังเลใจออกมาทางแววตา ทว่าในที่สุดหวังเป่าเล่อก็สวมหน้ากากจนได้
ทันทีที่สวมหน้ากาก พลังอำนาจมหาศาลก็ไหลบ่าออกมาจากหน้ากากนั้น มันไม่ได้ตรวจสอบหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย แต่กลับแผ่ปกคลุมกายชายหนุ่มอย่างรวดเร็วก่อนจะฉุดกระชากเขาอย่างรุนแรง
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าตนกำลังสูญเสียการควบคุมร่างกายไปพร้อมๆ แรงกระชากที่รุนแรงนั้น ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง ชายหนุ่มก็หายตัวไปจากห้องในโรงเตี๊ยม
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างเงียบงัน ไม่มีพลังงานใดที่บ่งบอกว่าเคยมีการเคลื่อนย้ายหลงเหลืออยู่ ไม่มีใครสังเกตเห็นอะไร แม้จะมีวงแหวนปราณทรงพลังรายล้อมโรงเตี๊ยมอยู่ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด ราวกับว่าจู่ๆ หวังเป่าเล่อ…ก็หายตัวไปเสียอย่างนั้น!
ในวินาทีต่อมา เมื่อหวังเป่าเล่อมองเห็นอีกครั้ง เขาก็มาถึง… ณ โลกแห่งใหม่แล้ว!
เรียกว่าโลกอาจไม่ถูกนัก เพราะสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพังซ้อนทับกันจนไกลสุดลูกหูลูกตา มันให้ความรู้สึกเก่าแก่ ทุกสิ่งทุกอย่างดูโบราณและผุกร่อนเพราะกาลเวลา
ดวงดาวพร่างพรายเกลื่อนท้องฟ้า ในขณะที่ซากปรักหักพังกองเกลื่อนพื้นดิน หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนซากอาคารที่เคยมีรูปร่างคล้ายดาบตะขอ ซากปรักหักพังเหล่านี้ดารดาษอยู่รอบกายชายหนุ่ม ร่างหลายร่างที่สวมหน้ากากแตกต่างกันไปปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ
หน้ากากบางชิ้นก็เป็นใบหน้าของวัว ปลา หรือม้า มีไม่น้อยที่เป็นใบหน้าอสูรซึ่งหวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนนี้มีคนสวมหน้ากากมากกว่าสองร้อยคน และเมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้น ก็เริ่มสำรวจสิ่งแวดล้อมและประเมินผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ทันที
หวังเป่าเล่อถึงกับผงะไป ชายหนุ่มตรวจสอบดูแล้วพบว่าไม่อาจสัมผัสรัศมีของใครได้เลย เขาไม่อาจบอกระดับปราณของคนเหล่านั้นได้เช่นกัน แม้เขาจะมองเห็นร่างเหล่านั้นได้อย่างคมชัดด้วยสายตา แต่เมื่อใช้สัมผัสสวรรค์มองกลับเห็นได้ไม่ชัดเจน แม้ไม่ถึงขั้นไร้ตัวตนแต่ก็ดูพร่ามัวไม่น้อย
ต้องเป็นเพราะหน้ากากแน่ๆ! หวังเป่าเล่อยกมือสัมผัสหน้ากากบนหน้าพลางครุ่นคิด ชายหนุ่มสรุปได้คร่าวๆ จากท่าทางที่ทุกคนแสดงออกมา
ตัวอย่างเช่น…ผู้เข้าร่วมส่วนมากมีนัยน์ตาที่กระหายความรุนแรงและบ้าคลั่ง ดูป่าเถื่อนเหมือนคุ้นชินกับการฆ่าฟันเป็นอย่างดี การที่พวกเขาเลือกเข้าร่วมภารกิจนี้แปลว่าพวกเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง และต้องมีเหตุผลที่มาสมัครอย่างแน่นอน เพราะอย่างไรเสีย…รางวัลที่ปรมาจารย์แห่งไฟเสนอให้นั้นก็มากพอที่จะทำให้หวังเป่าเล่อสนใจได้ ดังนั้นคนอื่นๆ ก็คงต้องสนใจไม่แพ้กัน
ขณะที่พวกเขากำลังเขม่นกันอยู่ไปมานั่นเอง จู่ๆ ก็มีแสงส่องขึ้นมาจากบริเวณซากรอบๆ กาย แสงนั้นเจือจาง หากว่าส่องขึ้นมาจากจุดเดียวก็คงยากที่จะมองเห็น แต่พวกมันกลับส่องขึ้นมาพร้อมๆ กันราวกับเป็นดาวตก แสงนั้นดูคล้ายแสงดาวอยู่ไม่น้อย มันหลั่งไหลออกมาจากทั่วทุกมุมและมารวมกันต่อหน้าทุกคน
แสงดังกล่าวเบาบางมากตั้งแต่แรก จึงไม่ได้สว่างมากนักถึงแม้จะมารวมกันเป็นจุดเดียว แต่เมื่อมีแสงมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก้อนแสงก็เริ่มเจิดจ้าขึ้นทุกที พลังมหาศาลก่อตัวขึ้นด้านในก้อนแสงนั้น มันสั่นสะเทือนพื้นดินและค่อยๆ ห่อหุ้มโลกเอาไว้
ทุกคน รวมทั้งหวังเป่าเล่อต่างก็ตกตะลึง พวกเขารีบก้มลงมองพื้น ราวกับกำลังอยู่ต่อหน้าเทพยดา แม้แต่คนที่ก้าวร้าวที่สุดในหมู่พวกเขาก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวลง แสดงท่าทีเคารพนบนอบทันที
หวังเป่าเล่อเองก็ทำเช่นกัน เขาก้มศีรษะลงต่ำขณะนึกสงสัยว่าใครกันที่ทรงพลังกว่า ระหว่างสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากับศิษย์พี่เฉินชิงของเขา ชายหนุ่มคิดว่าศิษย์พี่ของเขาน่าจะแข็งแกร่งกว่า แต่ก็คงไม่มากเท่าใด
รัศมีเดียวที่สามารถทำลายสิ่งนี้ได้…น่าจะเป็นรัศมีที่ออกมาจากการอ่านบทสวดแห่งเต๋าเท่านั้น หวังเป่าเล่อหรี่ตาคิดขณะที่ยังก้มศีรษะลงต่ำ ยิ่งชายหนุ่มคิดเรื่องนี้มากเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอเหลือเกินในจักรวาลที่ไพศาลนี้ ไม่คู่ควรจะถูกเรียกว่ามดปลวกเสียด้วยซ้ำ
บัดซบ ข้าอ่อนแอจริงๆ ข้อสรุปนี้ทำให้หวังเป่าเล่อไม่สบายใจเอาเสียเลย ชายหนุ่มสงสัยว่าจะมีถ้อยคำอื่นใดที่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นได้บ้างหรือไม่ ขณะนั้นเอง น้ำเสียงแก่ชราและไร้อารมณ์ก็ดังออกมาจากก้อนแสงสว่างจ้าซึ่งลอยเคว้งคว้างอยู่ตรงหน้าทุกคน
“อย่างแรก ภารกิจนี้เริ่มตั้งแต่ที่พวกเจ้ามายืนอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ และจะคงอยู่ต่อไปอีกยี่สิบสี่ชั่วโมง เมื่อเวลาหมดลง ข้าจะส่งผู้ที่ยังมีชีวิตรอดกลับไป
“อย่างที่สอง เป้าหมายของภารกิจคือการสังหารสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้น เจ้าจะได้รับคะแนนตามจำนวนที่เจ้าสังหารได้และระดับปราณของพวกเขา เมื่อเจ้ากลับไป ก็จะได้รับผลึกสีชาดตามคะแนน จงจำเอาไว้ว่า…จำนวนผลึกสีชาดที่แจกเป็นรางวัลนั้นมีไม่จำกัด!
“อย่างที่สาม หน้ากากนั้นซ่อนตัวตนที่แท้จริงของพวกเจ้าเอาไว้ และยังบอกตำแหน่งของพวกเจ้า เพื่อให้ข้าเคลื่อนย้ายพวกเจ้ากลับไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าใส่คาถาเอาไว้บนหน้ากากทุกชิ้นซึ่งเป็นคล้ายคำสาป มันจะทำให้ผู้ฝึกตนที่มีปราณต่ำกว่าระดับดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์อ่อนกำลังลง ทำให้ระดับปราณร่วงลงหนึ่งระดับ!
“ยิ่งเป้าหมายของเจ้าบาดเจ็บมากเท่าใด คำสาปนี้ก็ยิ่งส่งผลรุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่จะสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และผลของคำสาปจะคงอยู่แค่สิบห้านาที!”
“คำเตือนข้อสุดท้าย ห้ามทำหน้ากากหายเป็นอันขาด หากเจ้าทำหายข้าก็จะช่วยเจ้าไม่ได้อีกต่อไป” ทันทีที่เสียงในก้อนแสงพูดจบ ก้อนแสงก็สั่นไหวอย่างรุนแรงโดยไม่รอให้ใครได้ตอบสนอง ก้อนแสงสว่างเจิดจ้าสลายตัวออกปกคลุมโลกทั้งหมด ทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อตัวสั่นสะท้าน หน้ากากบนใบหน้าทอประกาย ก่อนที่พวกเขาจะถูกกระชากไปข้างหลังอีกครั้ง
ภายในพริบตาเดียว ทุกคน…ก็หายตัวไปอีก!
ภารกิจเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
การเคลื่อนย้ายครั้งที่สองดูเหมือนจะใช้เวลานานกว่าครั้งแรก หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด เขารู้สึกราวกับว่าวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างกระนั้น จากนั้นร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นไหว สตินึกคิดก็ตื่นตามมา ราวกับหลับลึกไปอย่างยาวนาน ชายหนุ่มลืมตาขึ้น สิ่งที่ปรากฏบนคลองจักษุก็คือ…ท้องฟ้าสีแดงและแผ่นดินสีขาว!
ท้องฟ้าเป็นสีเลือด เพราะดวงอาทิตย์ของที่นี่เป็นสีโลหิตนั่นเอง!
ทะเลทรายเป็นสีขาว ไม่ได้รับเอาสีจากท้องฟ้ามาด้วย สีสันของพวกมันตัดกันรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสายลมและพืชพรรณที่รายล้อมอยู่ก็แปลกประหลาดจากที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นเป็นอย่างมาก!
สายลมไม่ได้โปร่งใส พวกมันเป็นเหมือนหมอกที่พัดผ่านทะเลทรายอยู่ไปมา ในขณะที่พืชพรรณก็เป็นสีดำสนิท ดูราวกับเป็นกลไกการป้องกันตัวจากดวงอาทิตย์สีโลหิตที่พืชเหล่านี้พัฒนาขึ้น
ทันทีที่หวังเป่าเล่อมองเห็นได้ชัดเจน ชายหนุ่มก็เคลื่อนที่ออกมาให้ห่างผู้ฝึกตนคนอื่นๆ พวกเขาส่วนมากก็ทำเช่นเดียวกัน ต่างพากันถอยหลังและสร้างระยะห่างจากผู้อื่น ความระแวดระวังและดุร้ายฉายกล้าอยู่ในแววตาของทุกคน ราวกับเป็นอสรพิษที่แยกเขี้ยวเพื่อแสดงความร้ายกาจของตนออกมา พวกเขาต่างก็ต้องการให้คนอื่นๆ รู้ว่าไม่ควรเข้ามาวุ่นวายด้วย
มีแค่ไม่กี่คนที่ไม่ขยับตัว คนพวกนี้ยืนนิ่งอยู่กับที่ ราวกับว่าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ บุรุษร่างสูงบึกบึนสวมเสื้อคลุมสีเขียวคนหนึ่ง เฝ้ามองผู้ฝึกตนที่รายล้อมรอบกายด้วยสายตาหยามเหยียด
“พวกขยะไร้ประโยชน์ ข้าไม่สนว่าเราจะเป็นเพื่อนร่วมภารกิจกันหรือไม่ จำไว้ อย่าตามข้ามา และอย่าเข้ามาแย่งเหยื่อไปจากข้า มิเช่นนั้น…จะให้ฆ่าคนเพิ่มอีกหน่อยข้าก็ยินดี!”
บทที่ 809 ปลอมตัว!
บุรุษในชุดคลุมสีเขียวสวมหน้ากากกระทิงซึ่งทำให้เขาดูน่ากลัวขึ้นไปอีก นัยน์ตาของบุรุษผู้นั้นทอประกายความโหดเหี้ยมและความเย็นชาที่ราวกับว่าจะทำให้อุณหภูมิรอบกายลดต่ำลงออกมา เป็นแววตาที่ทำให้ใครๆ ก็ต้องก้าวถอยหลังและหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องด้วย
หวังเป่าเล่อกะพริบตา สายตาของชายหนุ่มหันมาจับจ้องบุรุษผู้นั้น และก่อนที่เขาจะทันได้เบือนสายตาหนี บุรุษในชุดเขียวก็สังเกตเห็นเข้าก่อน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีปัญหากับหน้ากากสุกรที่หวังเป่าเล่อสวมอยู่ จึงจ้องมองกลับมาก่อนจะยิ้มเยาะ
“คราวก่อนที่ข้าเข้าร่วมภารกิจนี้ ข้าคิดว่าบุรุษที่สวมหน้ากากสุกรช่างน่ารำคาญ จึงฆ่าเขาเสีย เจ้าอยากไปพบเขาหน่อยไหมเล่า”
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว ชายหนุ่มเพิ่งจะมาถึงที่นี่และยังไม่ได้ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเลยด้วยซ้ำ เขาไม่ต้องการจะต่อสู้ตอนนี้ อีกประการหนึ่งคือเวลานั้นมีจำกัด และหากไม่ใช่เพราะเหตุนั้น ด้วยอารมณ์ที่รุนแรงของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อคงจะกระโดดเตะหน้าบุรุษผู้นั้นไปแล้ว
แน่นอนว่ายังมีปัญหาเรื่องที่เขาไม่สามารถบอกระดับปราณของบุรุษผู้นั้นได้ หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะอยู่ในใจก่อนจะเดินจากมาโดยไม่ได้พูดอะไร เขาหมุนตัวพุ่งทะยานจากไปด้วยความเร็วสูง
บุรุษกำยำผู้นั้นหัวเราะเยาะเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อหันหลังเดินจากไป มีประกายเย้ยหยันสะท้อนอยู่ในดวงตาขณะที่เอ่ยปากพูด
“ไอ้คนขี้ขล…” ประโยคที่เขาตั้งใจจะพูดคือ “ไอ้คนขี้ขลาด” แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดจนจบพยางค์ เมื่อได้เห็นหวังเป่าเล่อเร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหัน แม้หน้ากากจะปิดบังพลังปราณของผู้เข้าร่วมภารกิจ ทำให้ไม่อาจล่วงรู้ระดับปราณของกันและกันได้ แต่ระดับปราณยังสามารถมองเห็นได้จากความเร็วในการเคลื่อนที่ของผู้ฝึกตนนั้นๆ ด้วย
นอกจากนั้น หวังเป่าเล่อยังมีความเร็วสูงยิ่ง ชายหนุ่มอาจอยู่เพียงขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย แต่ความเร็วของเขาเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ไปแล้ว ทำให้บุรุษในหน้ากากกระทิงถึงกับต้องกลืนพยางค์สุดท้ายของเขาลงคอไปด้วยความตกตะลึง
ผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่มองเห็นความเร็วของหวังเป่าเล่อก็อดนึกไปถึงระดับปราณของชายหนุ่มไม่ได้ ทุกคนต่างมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนที่จะแยกย้ายกันไปด้วยความเร็วต่างๆ กัน คนที่ช้าที่สุดอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น มีอยู่สี่คนที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง…แสดงให้เห็นถึงความเร็วขั้นจิตวิญญาณอมตะ
ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสี่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนอย่างแนบเนียน การแสดงพลังขึ้นมาอย่างปุบปับของพวกเขาทำเอาบุรุษในหน้ากากกระทิงเหงื่อกาฬแตก
มีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะปะปนมาด้วย เกินคาดจริงๆ! บุรุษร่างกำยำเริ่มสำนึกเสียใจกับการพูดโอ้อวดเมื่อครู่ หลังจากที่ยืนอับอายอยู่ระยะหนึ่ง เขาก็รีบรุดออกเดินทางไปเช่นกัน
ผู้เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจกว่าสองร้อยคนที่เพิ่งมาถึงต่างก็แยกย้ายกระจายตัวกันออกไปทั่วทะเลทรายสีขาว
สถานที่นี้เป็นดินแดนรกร้างซึ่งมีวัชพืชขึ้นอยู่ประปราย ส่วนใหญ่ถ้าไม่แห้งตายไปแล้วก็มีสภาพใกล้ตาย พลังชีวิตของดาวเคราะห์ดวงนี้รวมถึงปราณวิญญาณกำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่หวังเป่าเล่อเดินทางลึกเข้าไปในทะเลทราย ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณที่กำลังถูกดูดออกไปจากดาวดวงนี้ แม้ว่าจะเพิ่งมาถึง เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงระดับปราณวิญญาณที่เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ จากดาวดวงนี้
หากยังสูญเสียปราณวิญญาณมากขนาดนี้ อีกเพียงสามถึงห้าวัน…ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็จะตายลงไปอย่างสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อเร่งฝีเท้าขึ้นและมุ่งหน้าตรงไปในดินแดนเวิ้งว้าง ชายหนุ่มพร้อมเต็มที่ที่จะสำรวจพื้นที่ แต่จู่ๆ…ก็มีเสียงแผ่วจางดังก้องขึ้นมาในหู
“คนนอก…ช่วยข้าด้วย…”
น้ำเสียงนั้นทั้งแก่ชราและแหบพร่าราวกับถูกกัดกร่อนด้วยกาลเวลา ฟังดูอ่อนล้าอย่างรุนแรง คล้ายมาจากชายชราที่กำลังจะสิ้นใจ และใช้กำลังเฮือกสุดท้ายในการขอความช่วยเหลือ
ใบหน้าของหวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้หยุดเท้า เขากลับเร่งความเร็วขึ้นและมุ่งหน้าไปอีกทิศทางหนึ่ง ก่อนจะปล่อยสัมผัสสวรรค์ออกมาตรวจดูไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มสำรวจจนทั่วทั้งท้องฟ้าและใต้พื้นดินแต่ก็ไม่พบสิ่งใด
น้ำเสียงอันเจือจางและอ่อนล้าเลือนหายไปหลังจากที่ร้องขอความช่วยเหลือ ทำเอาหวังเป่าเล่อสงสัยขึ้นมาจับใจ
ประสาทหลอนหรือ เป็นไปไม่ได้! ชายหนุ่มหรี่ตาลง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ เขาก็ก้มลงมองผืนแผ่นดินอันแห้งแล้ง พลางสงสัยว่าเสียงนั้นจะใช่เสียงของดาวเคราะห์ดวงนี้หรือไม่ หวังเป่าเล่อไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่มันก็ดูเหมือนจะเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดสำหรับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น คำอธิบายอีกอย่างที่เป็นไปได้ก็คือ…ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งกว่าหวังเป่าเล่อจนเกินจะจินตนาการผู้นั้น ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในบริเวณนี้และส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกมา
ไม่ว่าจะเป็นข้อใด หวังเป่าเล่อก็ไม่คิดโอ้เอ้ ชายหนุ่มเร่งความเร็วอีกครั้งก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว เขามุ่งหน้าต่อไปยังดินแดนรกร้างห่างไกล เดินหน้าไปอีกร่วมสิบห้านาทีจึงเห็นขอบของทะเลทรายและ…บรรดาซากปรักหักพังที่รายล้อมทะเลทรายเอาไว้
รูปแบบสถาปัตยกรรมของซากปรักหักพังเหล่านั้นต่างจากสหพันธรัฐและอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ มันเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเหมือนพีระมิด โครงกระดูกที่แห้งกรังและคงสภาพอยู่เพราะอากาศแห้งแล้งในทะเลทรายปรากฏอยู่ทั่วบนซากเหล่านั้น รูปร่างของพวกมันคล้ายมนุษย์ เพียงแต่ตัวใหญ่กว่า
เห็นได้ชัดว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัย บางทีอาจจะเป็นที่ตั้งสำนักเสียด้วยซ้ำ แต่เกิดการสังหารหมู่ขึ้น โครงกระดูกที่กระจายเกลื่อนอยู่ทั่วบริเวณแสดงให้เห็นว่าการสังหารหมู่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
ราวๆ เดือนหนึ่งกระมัง หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากนิ่งเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มก็มองกวาดไปรอบกายก่อนที่ร่างกายภายนอกจะแปรสภาพไป มีแขนสี่ข้างและสองศีรษะโผล่ออกมาจากร่าง หน้ากากสุกรยังแปรสภาพเป็นสิ่งอื่นอีกด้วย ขณะนี้หวังเป่าเล่อดูไม่เหมือนผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมภารกิจ แต่กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นแทน!
หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอเล็กน้อย จากนั้นก็พยายามพูดภาษาตระกูลไม่รู้สิ้นออกมาเบาๆ สองสามคำ ทันทีที่คุ้นเคยกับภาษานี้แล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ระมัดระวังตัวอีกต่อไป แต่พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างอุกอาจข้ามทะเลทรายไป หวังเป่าเล่อกำลังจะเร่งความเร็วผ่านทุ่งหญ้า แต่สายตาของเขาก็พบอะไรบางอย่างทางด้านขวาเสียก่อน
มีเสียงคำรามแผดร้องก้องขึ้นตรงเส้นขอบฟ้า ตามด้วยเสียงหัวเราะชั่วร้ายดังสนั่น สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นเจ็ดคนปรากฏตัวขึ้น คนเหล่านั้นหัวเราะไปพลางวิ่งแข่งกันไปพลาง คนที่อยู่ตรงกลางมีเด็กหนุ่มร่างผอมบางอยู่ในมือ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นจับศีรษะของเด็กหนุ่มที่เห็นได้ชัดว่าโดนคาถาบางอย่าง มีควันสีเขียวลอยออกมาจากดวงตา รูจมูก ปาก และหูของเด็กหนุ่ม เข้าไปยังฝ่ามือของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น ใบหน้าของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ขณะที่ใบหน้าของเชลยนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เส้นเลือดเต้นตุบๆ อยู่บนขมับของเด็กหนุ่ม ในขณะที่ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดและความเกลียดชัง
ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นกลุ่มนั้นสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อทันทีที่ชายหนุ่มกวาดสายตาไปพบ พวกเขาหยุดวิ่งทันที หนึ่งในกลุ่มนั้นมองเครื่องแต่งกายของหวังเป่าเล่อด้วยความสงสัยก่อนจะตะโกนถาม
“เจ้ามาจากลุ่มใดกัน”
หวังเป่าเล่อไม่ได้ตอบคำ ชายหนุ่มพินิจสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นกลุ่มนั้นก่อนจะลงความเห็นว่ามีสองคนที่อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ ที่เหลือนั้นอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ คนที่แข็งแกร่งที่สุดน่าจะเป็นผู้นำกลุ่ม แต่ก็ยังอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางเท่านั้น
หวังเป่าเล่อพยักหน้าด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าก็อยู่กลุ่มพวกเจ้าอย่างไรเล่า”
เมื่อเห็นคนพวกนั้นชะงักไป หวังเป่าเล่อก็จู่โจมทันที ชายหนุ่มพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน ก่อนจะแปรสภาพเป็นหมอกเข้าปกคลุมพวกเขาเอาไว้
ชายหนุ่มรวดเร็วเกินไป จนมีเพียงผู้นำกลุ่มเท่านั้นที่เคลื่อนไหวหลบได้ทันท่วงที แม้กระนั้นก็ยังมีใบหน้าตื่นตะลึง ส่วนคนที่เหลือ…รวมถึงผู้ถึงตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นไม่มีโอกาสได้หนี พวกเขาถูกหมอกเข้าปกคลุม ก่อนจะเหี่ยวแห้งตายไปเพราะถูกเกราะจักรพรรดิสูบพลังชีวิตและวิญญาณก็ถูกวิชาดวงเนตรปีศาจแย่งชิงไป คนพวกนี้ไม่มีโอกาสกระทั่งจะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดด้วยซ้ำ ก่อนที่…จะตายในหมอกและถูกทำลายหายไป…ทั้งร่างกายและวิญญาณ!
ผู้นำกลุ่มที่ถอยออกไปได้ทันเวลาและเหมือนว่าจะหลบหมอกไปได้ ก็ไม่อาจหนีโชคชะตาไปได้พ้น แขนขนาดยักษ์ยื่นออกมาจากหมอกและจับศีรษะของเขาเอาไว้ เช่นเดียวกับที่เขาจับศีรษะของเด็กหนุ่มเมื่อครู่ มีเสียงจากหมอกกระซิบออกมาว่า “ค้นวิญญาณ” ดวงตาของผู้นำกลุ่มเบิกโพลง ก่อนที่เขาจะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด
เขาร้องออกมาหนึ่งครั้งก่อนจะถูกหมอกปกคลุมไปเช่นกัน จากนั้นเสียงของเขาก็หายไปอย่างสิ้นเชิง พักใหญ่ต่อมา หมอกก็ควบแน่นเข้าด้วยกันและกลับมาเป็นกายหยาบของหวังเป่าเล่ออีกครา แสงประหลาดส่องสว่างอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มได้ข้อมูลจำนวนมากของดาวดวงนี้มาจากการค้นวิญญาณ!
เขารู้แล้ว…ว่าหลังจากการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นบนดาวดวงนี้ราวหนึ่งเดือนก่อน สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นจำนวนมากที่อยู่บนดาวเคราะห์ได้หลบหนีไป เหลือรอดอยู่เพียงค่ายทหารเดียวเท่านั้น มีผู้ฝึกตนราวสามแสนชีวิตที่ได้รับมอบหมายให้เก็บกวาดและดูแลดาวเคราะห์ดวงนี้
ค่ายนั้นอยู่ห่างจากหวังเป่าเล่อไปไม่น้อย แต่ด้วยความเร็วของเขา ชายหนุ่มจึงน่าจะไปเดินทางไปถึงได้ภายในสองชั่วโมง
เขายังรู้ด้วยว่า ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในค่ายนั้นเป็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย และรู้อีกว่าทั้งค่ายนั้นมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเพียงคนเดียว ที่นี่เคยมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ดูแลอยู่ แต่เพราะมีธุระต้องสะสาง คนผู้นั้นจึงออกจากดาวเคราะห์ไปได้หนึ่งเดือนแล้ว
ค่ายทหาร…หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปากก่อนจะหันมาวัดระดับพลังปราณของตนเอง ซึ่งแข็งแกร่งขึ้นจากการสังหารผู้ฝึกตนเจ็ดคนก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อมองลงไปยังชายหนุ่มผู้ที่ใกล้ถึงความตาย มีความซาบซึ้งใจฉายชัดอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย ริมฝีปากของเขาเผยอขึ้น ราวกับกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างกับหวังเป่าเล่อ แต่ก็ทำไม่ได้ จนสุดท้ายชีวิตก็หลุดลอยออกจากร่าง
หวังเป่าเล่อทอดถอนใจขณะจ้องมองไปยังเด็กหนุ่ม ชายหนุ่มโบกมือครั้งหนึ่ง เพื่อส่งทรายมากลบศพของเด็กหนุ่มเอาไว้แทนการฝัง ก่อนที่เขาจะหันหลังและออกเดินทางอีกครั้ง หวังเป่าเล่อปลอมตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มและมุ่งหน้าไปยังค่ายทหาร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น