องครักษ์เสื้อแพร 804-808

 

ตอนที่ 804

 

บัณฑิตหลังสอบขุนนางผ่านก็จะได้เป็นขุนนาง ขุนนางบัณฑิตเมื่อได้เลื่อนตำแหน่งก็จะไปสู่ตำแหน่งในส่วนกลาง ดังนั้นคนพวกนี้รวมตัวก่อเรื่อง ราชสำนักจึงค่อนข้างให้ความสำคัญ ราชสำนักย่อมไม่ปล่อยไปง่ายๆ


สามารถร่ำเรียน สามารถเป็นขุนนาง ครอบครัวส่วนใหญ่ต้องมีเงินทองมาก คนรวยพวกนี้กับวงการขุนนางก็ย่อมมีสัมพันธ์กัน ระดับนี้ต้องพิจารณาให้รอบด้าน


แผ่นดินหมิงตั้งมานาน ราชสำนักมักใช้ไม้กระบองลงโทษตีขุนนางตาย มักจับขุนนางบัณฑิตเข้าคุกลงโทษ ตายไปก็ไม่น้อย แต่พอคนพวกนี้รวมตัวกัน สถานการณ์ย่อมไม่เหมือนกัน ความโกรธฝูงชนยากกำราบ นับประสานอันใดกับ ‘ฝูงชน’ ที่ว่าเป็นขุนนางและตระกูลมีชื่อจำนวนมาก สายสัมพันธ์บารมีมากมี


หากจับกุมทำให้ตายไปเมื่อใด ขุนนางพวกนี้ก็ยิ่งก่อเรื่องมาก ผู้ใดจะออกมาจัดการให้สงบได้ง่ายกัน ทว่าเรื่องพวกนี้ หลังจบเรื่องหากต้องหาคนรับผิดชอบ ก็ต้องจับตัวใหญ่มาลงโทษให้หนัก


ดังนั้นคนพวกนี้จึงไม่ค่อยใช้วิธีนี้เท่าไร เพราะหากมีเรื่อง เบื้องบนย่อมจัดการอย่างรอบคอบ ผู้ใดก็ไม่กล้าปล่อยปละไป หากไม่ระวังเกรงว่าก็คงได้ตายไปหรือถูกปลดไปแทน


หน้าที่ทำการผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรมีคนมาล้อมเรียกร้องเอะอะ มิน่าหยางซือเฉินจึงได้เคร่งเครียดเช่นนั้น ราวกับกำลังเผชิญศัตรูใหญ่ ทว่าเรื่องนี้ก็แก้ไขได้ง่ายมาก มีคนตะโกนว่าหอคณิกามีการแสดงใหม่ โรงงิ้วมีงิ้วเรื่องใหม่ ก็หายไปทันทีครึ่งหนึ่ง


“ข้าอำนาจมากน้อย ขุนนางบุ๋นพูดแล้วได้ผลหรือขุนนางบู๊พูดแล้วได้ผล ส่งผลต่อใต้หล้าได้ ย่อมมีไม่เกิน 20 คน 20คนนี้ย่อมมีผู้ร่วมขบวนการไม่ถึง 200 คน 200 คนนี้ก็ใช่ว่าจะได้รับผลกระทบที่เกิดจากข้า ใช่ว่ามีผลได้ผลเสียกัน ผู้ใดจะสละชีพไม่กลัวตายกันจริงๆ”


รอทหารติดตามหวังทงจับกุมกลุ่มคนท้ายสุดมาได้ หวังทงยิ้มกับหยางซือเฉินกล่าววิจารณ์ขึ้น สีหน้าหยางซือเฉินยังคงเป็นกังวล หวังทงได้แต่กล่าวว่า


“พวกที่ไม่สามารถทนอดอาหารค่ำได้ เอาแต่คิดไปเที่ยวหอคณิกาดูงิ้วพวกนั้น ท่านยังหวังให้พวกเขามีอุดมการณ์อันใด เป็นเพียงกลุ่มนกกาก็เท่านั้น”


ทหารปฏิบัติหน้าที่ในที่ทำการส่วนใหญ่กลับไปแล้วครึ่งหนึ่ง  ส่วนการสอบสวนคนพวกนี้ไม่ใช่หน้าที่ทหารเหล่านี้ หน่วยรักษาความสงบกับศาลซุ่นเทียนส่งเจ้าหน้าที่ทหารชำนาญการมาสอบสวนลงทัณฑ์ในคุกองครักษ์เสื้อแพร ไฟสว่างทั้งคืน


ไม่ต่างกับที่หวังทงคิดนัก ตอนเข้าจับกุมคนมาได้ ตอนบ่ายก็มีคนมาล้อมหาเรื่อง และคนที่มาหาเรื่องถูกจับได้แล้ว ก็กลับเงียบสงบไปหมด จากนั้นก็ไม่มีคลื่นลมใดอีก มีคนกลับไปกินข้าว มีคนไปเที่ยวเตร่ มีคนไปฟังงิ้ว ผู้ใดก็ไม่สนใจคุณธรรมใหญ่อันใดอีก


คืนดึกสงัด มีคนเห็นหน้าประตูสำนักองครักษ์เสื้อแพรมีเสียงร้องไห้ดัง ในบรรดาคนก่อเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นคนมามุงดู มีบ้างที่สมองเลอะเลือน  คิดว่าตนเองเป็นพวกผดุงคุณธรรมใหญ่พวกนั้น ที่เหลือหลังคนกระจายตัวกลับ พวกเขายังอยู่หน้าประตูต่อ ก็ถูกจับกุมหมด


ครอบครัวพวกเขามากัน เดิมคิดว่าจะถูกองครักษ์เสื้อแพรดุด่าไล่ตี ทว่ากลับนุ่มนวลยิ่ง  ถามชื่อเสียงกระจ่างก็ปล่อยตัวกลับไป


บัณฑิตหัวแข็งพวกนี้ตอนออกมาก่อเรื่องล้วนเลอะเลือน กำลังวังชาไม่ดีนัก ตามตัวไม่ได้บาดเจ็บอันใด แต่ตอนนี้มีรอยช้ำตามตัวเพราะขัดขืนตอนถูกจับกุม


คนที่บ้านถามไถ่เป็นห่วง ผู้ใดก็ไม่กล้าคิดมาก รีบกลับบ้านทันที พวกที่ออกมาหลังได้ยินพวกที่ออกมาก่อนเล่าว่า การสอบสวนในคุกนั้น พอถาม พวกที่ปลุกระดมก็ตอบไปหมด รู้ว่าถูกหลอกใช้ เป็นเครื่องมือทำร้ายผู้อื่น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่คิดแล้วพึงพอใจอันใด


************


บรรยากาศเฉลิมฉลองในเมืองหลวงเริ่มครื้นเครง  ทัพใหญ่มีชัยกลับเมืองหลวงมาตรวจนับกำลัง สถานการณ์นี้ไม่ค่อยได้พบเห็นในเมืองหลวง หลายปีมานี้ ราษฎรเมืองหลวงได้ยินแต่พ่ายแพ้ ชาวบ้านที่ใดสักที่ถูกพวกนอกด่านหรือไม่ก็โจรสลัดสังหารปล้นฆ่าเสียมากกว่า  ตั้งแต่มีชีจี้กวง อวี๋ต้าโหยว หลี่เฉิงเหลียง  จึงพอได้ยินข่าวชัยชนะบ้าง ตอนนี้ยังมีหวังทงนำชัยชนะใหญ่อันรุ่งโรจน์มา


นักเล่านิทานในร้านน้ำชาและร้านอาหารล้วนเล่าว่า  หวังทงเป็นดังดาวบนท้องฟ้าที่ส่องประกาย เป็นดังผู้ที่สวรรค์ส่งมาช่วยเหลือฝ่าบาท ไม่เช่นนั้นตอนนั้นที่เปิดร้านอาหารเล็กๆ ฝ่าบาทจะคิดไปเสวยเนื้อน้ำแดงได้อย่างไรกัน!


เมืองหลวงแต่ละแห่งเตรียมการ ส่วนใหญ่ศาลซุ่นเทียนกับศาลอาญาใหญ่ออกหน้า ศาลซุ่นเทียนมีหลี่ว์วั่นไฉร่วมประสานงานกับองครักษ์เสื้อแพร ย่อมทำงานได้สะดวกคล่องตัว


เทียบกับบรรยากาศเฉลิมฉลองตามท้องถนนแล้ว แต่ละหน่วยงานเรียกได้ว่าเงียบเหงามาก หลังชัยชนะใหญ่มีเรื่องมากมายให้ต้องขบคิด กรมทหารกับกรมอากรและสำนักในวังส่งขุนนางและขันทีไปเมืองกุยฮว่าเฉิง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมการงานยุ่งมาก


ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ชัยชนะนี้ของหวังทง บรรดาเสนาบดีหน่วยงานต่างๆ กลับไม่ได้แสดงออกว่ายินดีนัก แต่เป็นความไม่เป็นมิตรเสียมากกว่า  เบื้องบนส่งผลเบื้องล่าง ทุกคนรู้จุดยืนของตนเองดี


สำนักองครักษ์เสื้อแพรปกติดีทุกอย่าง เมื่อวานเพิ่งมีคนมาก่อเรื่อง วันนี้ทหารในเมืองหลวงระดับนายกองร้อยก็มาถึงที่ทำการรออยู่ก่อนหน้าแล้ว


ฟ้าเพิ่งมีแสงรำไร กลองวังหลวงเพิ่งตีดังไม่นาน ขันทีคนสนิทที่สุดของฮ่องเต้ว่านลี่ เจ้าจินเลี่ยงหัวหน้างานสำนักส่วนพระองค์ ก็นำราชโองการมาถ่ายทอด


“…….หวังทงเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ……”


ราชโองการร่างไว้มากมาย แต่ประเด็นที่สุดทุกคนก็ฟังเข้าใจ วันหน้าทุกคนเรียกหวังทง ก็ต้องเรียกว่า “ผู้บัญชาการหวัง” แล้ว


ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเป็นขุนนางบู๊อันดับหนึ่งในราชสำนัก ปกติต้องปรากฏตัวในท้องพระโรงยามประชุมขุนนาง แต่ทว่าหลังจางจวีเจิ้งกุมอำนาจ รู้สึกว่าขุนนางบู๊อันดับหนึ่งไม่จำเป็นต้องปรากฏตัว จึงเปลี่ยนธรรมเนียม


ไม่ว่าจางซื่อเหวยกับเซินสือหังจะทำตามหรือไม่ทำตามการเปลี่ยนแปลงของจางจวีเจิ้ง ความเคยชินนี้ก็มีสืบต่อมา  ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรมีเรื่องปรากฏตัว ไม่มีหน้าที่ปฏิบัติก็ไม่ต้อง ที่จริงแล้วก็เท่ากับว่าลดตำแหน่งสถานะผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรลง


ตอนนี้หวังทงขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมส่งเสริม เช้าตรู่มาก็ประกาศราชโองการยังสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็เพื่อให้ทุกคนในสำนักองครักษ์เสื้อแพรได้รู้ และให้หวังทงรีบเข้าประชุมขุนนางในวัง


ราชโองการประกาศจบ เจ้าจินเลี่ยงก็ยิ้มร่าเข้ามาแสดงความยินดี เห็นขันทีที่ตามมาพากันใบ้กิน เจ้ากงกงอายุยังน้อย หากไว้ตัวอยู่ไม่น้อย นอกจากฝ่าบาทกับจางกงกงแล้ว ไม่เคยเห็นเกรงใจผู้ใด


หน่วยวินัยทหาร กองลาดตระเวน หน่วยฝึกทหารและนายกองพันในเมืองพากันมาแสดงความยินดี ป้ายประจำตัวผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเปลี่ยนเป็นป้ายงาช้างที่เตรียมไว้แล้ว  พอแขวนให้หวังทง เปลี่ยนชุดขุนนาง ทักทายกันสองสามคำ หวังทงก็เข้าวังไป


การออกว่าราชการหน้าพระที่นั่ง ณ พระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน ทุกคนแต่เช้าก็จะมาวิพากษ์วิจารณ์หารือกัน หวังทงรายงานตัวด้านนอกแล้วก็เข้าไป


สำหรับขุนนางที่มีสถานะพอจะปรากฏตัวในที่ประชุมนี้ได้ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนได้ยินชื่อเสียงหวังทงมานาน แต่ไม่เคยได้เห็นตัวจริง หลายวันนี้เกิดเรื่องมากมาย พวกเขาย่อมไม่รู้สึกดีหรืออยากยิ้มให้หวังทง แต่ละคนล้วนมองดูด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่แสดงท่าทีอันใด


หวังทงในชุดผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรอายุน้อยจนดูประหลาด ขุนนางใหญ่หลายคนเห็นหวังทงแล้วก็มองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่ พากันถอนหายใจ  ฮ่องเต้อายุน้อย ขุนนางอายุน้อย พวกเราแก่ไปแล้วจริงๆ


ปกติได้ยินแต่ข่าวหวังทงเหิมเกริมอย่างไร หวังทงวางอำนาจอย่างไร วันนี้ได้เห็นเอง  กลับไม่เห็นการวางอำนาจเหิมเกริมอันใดจากการวางตัวของหวังทง  กลับรู้สึกว่าหวังทงมีท่าทีนิ่งเป็นผู้ใหญ่อย่างที่คนอายุเท่านี้ไม่พึงมี  คนเข้าประชุมในมือย่อมมีฎีกา แต่หวังทงกลับหอบเอกสารมาปึกใหญ่ ไม่รู้ว่าคืออะไร


“หวังทง เจ้าหอบเอกสารปึกนี้มาทำไม?”


ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลตรัสถาม หวังทงรีบยกเอกสารในมือทูลเกล้า


“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมนำคำให้การมา บ่ายเมื่อวาน มีคนหลายร้อยรวมตัวกันหน้าประตูสำนักองครักษ์เสื้อแพรส่งเสียงเอะอะโวยวาย ต่อมาสอบสวนกระจ่าง เรื่องนี้มีคนบงการชักใยเบื้องหลัง ที่กระหม่อมถืออยู่นี้ ก็คือคำให้การพวกก่อการวุ่นวายพวกนั้น”


ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์นิ่งไป ตรัสถามขึ้น


“เป็นผู้ใดชักใยเบื้องหลัง?”


“ทูลฝ่าบาท องครักษ์เสื้อแพรเมื่อวานสอบสวน กุข่าวลือใส่ร้ายเรื่องทหารไร้ระเบียบวินัยสิ้น เมื่อวานสืบสวนคนบงการที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร ล้วนชี้ไปที่ผู้บงการเบื้องหลังคนเดียว ….เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิง ใต้เท้าเหยียน!


“หวังทง วันนี้เจ้าเข้าประชุมราชสำนัก เจ้าถึงกับกล้าสาดเลือดป้ายสีผู้อื่น!!”


ยังไม่ทันรอฮ่องเต้ว่านลี่ตรัส เสนาบดีกรมอากรหวังหลินก็ออกโรง  ชี้หน้าหวังทงด่าขึ้น หวังทงเงยหน้าหรี่ตามอง ตอบเสียงเยียบเย็นว่า


“ใต้เท้าหวัง  ข้ามีคำให้การในมือ มีพยานด้วย ใช่ว่าสาดเลือดป้ายสีผู้อื่น!”


“นำมาดู!!”


เห็นหวังหลินจะพูดต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตวาดดัง หวังทงรีบนำถวาย ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงทอดพระเนตร  ในราชสำนักตอนนี้ ขุนนางต่างสบตากันไปมา พากันอึ้งไป  หวังทงผู้นี้ลงมือโหดมาก และยังกล้ามาก เข้าร่วมประชุมวันแรก ก็ถึงกับลงมือกับ เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิงได้


ฮ่องเต้ว่านลี่พลิกอ่านไปสองสามหน้า สีพระพักตร์ก็ดำคล้ำลง เงยพระพักตร์ทอดพระเนตรเหยียนชิงตรัสว่า


“เหยียนชิง นี่มันเรื่องอันใดกัน?”


เหยียนชิงผมขาวหนวดเคราขาว อายุไม่น้อยแล้ว เข้าประชุมย่อมได้เก้าอี้นั่ง ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถาม ก็จัดชุดให้เรียบร้อยก่อนจะยืนขึ้นคุกเข่ากราบทูลว่า


“ทูลฝ่าบาท  นี่เป็นการกระทำของกระหม่อมทั้งหมด”


หวังทงฟ้องออกมาไม่อ้อมค้อม เหยียนชิงก็ยอมรับไม่อ้อมค้อม การเคลื่อนไหวนี้เหนือความคาดหมายของทุกคนในที่ประชุม  ในวงการขุนนางย่อมเน้นเรื่องการกล่าวความจริงเพียงสามส่วน เน้นการกล่าวอ้อมค้อม หากกล่าวกันตรงๆ เช่นนี้ ทำให้รู้สึกไม่ชินนัก


ยังไม่ทันรอให้ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัส เหยียนชิงก็กล่าวว่า


“ฝ่าบาท กระหม่อมทำเรื่องพวกนี้เรียกได้ว่าไม่สง่าผ่าเผย ยังทำให้ญาติมิตรเดือดร้อน กระหม่อมรู้ผลของการกระทำแล้ว ที่กระหม่อมทำไป ก็เพื่อแผ่นดินฝ่าบาท เพื่อไม่ให้ขุนนางต่ำต้อยได้ขึ้นตำแหน่งสูง ทำลายระเบียบธรรมเนียมที่มีมา ก็เพื่อไม่ให้ขุนนางบู๊คิดการไม่ซื่อหรือคิดการล้มล้างแผ่นดิน!”


เหยียนชิงอายุมากแล้ว กล่าววาจานี้ หนวดเคราปลิวไสว ท่าทางองอาจผ่าเผยยิ่ง  เห็นได้ชัดว่าคิดการดีเพื่อแผ่นดินหมิง!

 

 

 


ตอนที่ 805

 

 เอาเรื่องให้ถึงที่สุด

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่าทางเหยียนชิงยามนี้หากแพร่ออกไป ย่อมสร้างความเดือดแค้นให้กับบัณฑิตกับขุนนางหนุ่มทั้งหลายได้ไม่น้อย ย่อมอยากจะใช้ความตายเพื่อผดุงคุณธรรมแผ่นดินนี้เสียให้ได้


ทว่าในพระที่นั่งตอนนี้ ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ที่ฟังจากลืมตัว แม้แต่ขุนนางหรือขันทีก็พากันมองอย่างตกในภวังค์เช่นกัน


ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทรงอึ้งไป  หันไปทางหวังทงทันที ท่าทางเช่นนี้หวังทงย่อมรู้ หวังทงหันไปถามขึ้น


“ใต้เท้าเหยียน  กองกำลังสังกัดวังหลวง กองกำลังเมืองจี้โจว กองกำลังเมืองต้าถงยกทัพขึ้นเหนือ ล้วนมีภัยถึงชีวิตได้ตลอดเวลา พวกเขาทำเช่นนี้ เป็นเพราะคิดการไม่ซื่อ หรือว่าคิดต้องการล้มล้างแผ่นดินหรือ?”


เหยียนชิงแค่นเสียงเย็น กล่าวว่า


“มารน้อยเช่นเจ้าทำเพื่อชื่อเสียงวาสนาตนเอง ไม่สนใจความวิกฤตแผ่นดินหมิง หากขุนพลทหารกล้าพวกนั้นตายไป ก็ล้วนสละชีพเพราะความมักใหญ่ของเจ้า  เจ้าเสี่ยงตายสร้างความชอบเกรงว่าก็คงเพื่อต้องการซื้อใจทหารทั้งหลาย ให้กลายเป็นสุนัขรับใช้เจ้า กลายเป็นผู้สมคบคิดกับเจ้า”


วาจาเช่นนี้ทำให้หวังทงโมโหเลือดขึ้นหน้าในทันที หากไม่ได้อยู่หน้าพระที่นั่ง หวังทงคงเข้าไปลงมือแล้วก็เป็นได้ เขาสูดลมหายใจเข้า กล่าวน้ำเสียงเอาเรื่องว่า


“ข้านำทหารออกชายแดนสามครา เมืองเซวียนฝู่จางเจียโข่วที่ด่านกู่เป่ยโข่ว และเมืองต้าถงที่ช่องเขาสังหารพยัคฆ์ สองครั้งตัดหัวศัตรูมาได้สองพัน ชัยชนะใหญ่เห็นได้ชัด ราชสำนักมีราชโองการพระราชทานรางวัล ครั้งนี้ขึ้นเหนือตีเมืองกุยฮว่าเฉิงทำลายเผ่าอันต๋า ตัดหัวมาได้เกือบห้าหมื่น ทัพข้าตายไปแค่สามพัน  ออกรบหลายครั้งล้วนได้ชัยชนะใหญ่ สูญเสียน้อยแต่ได้มากกว่า แม้ข้าไม่พูด ผู้รู้การทหารก็ย่อมมองออกถึงสิ่งที่ข้าทำลงไปทั้งหมดด้วยความมั่นใจ เหตุใดเรียกว่าเสี่ยงภัยไปสู่วิกฤต เหตุใดจึงกล่าวว่านำพาแผ่นดินหมิงสู่วิกฤตกัน”


ชัยชนะใหญ่หลายครั้ง เห็นชัดถึงความสามารถในการนำชัยของหวังทง  การล้มตายน้อยมากแลกมาซึ่งผลการรบอันยิ่งใหญ่ เห็นชัดว่าการรบนี้ไม่ใช่การเสี่ยงภัยหรือวิกฤต หากเป็นการวางแผนล่วงหน้า


เหยียนชิงเหยียดตามองหวังทง กล่าวเพียงว่า


“วาจาปลิ้นปล้อน เจ้ามารน้อย!”


หวังทงส่ายหน้า กล่าวว่า


“ใต้เท้าเหยียน ท่านว่าเป็นภัยต่อแผ่นดิน ข้านำทัพขึ้นเหนือปราบเมืองกุยฮว่าเฉิง ทำลายเภทภัยหลายร้อยปีชายแดนเหนือของแผ่นดินหมิงลง ชายแดนแผ่นดินหมิงสงบสุขไปครึ่งหนึ่ง ที่นารอบเมืองกุยฮว่าเฉิงอีกจะคิดอย่างไร ผลประโยชน์มากมายจะว่าอย่างไร ออกช่องเขาสังหารพยัคฆ์ไปถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง ไปถึงที่ราบลุ่มน้ำ ศึกนี้ก็เพื่อบุกเบิกแผ่นดินเพื่อฝ่าบาท หรือว่าเป็นภัยต่อแผ่นดินกัน?”


หวังทงเสียงค่อยๆ ดังขึ้น ตวาดถามขึ้น


“ทหารภักดีของฝ่าบาทหลั่งเลือดเพื่อแผ่นดิน รบเป็นตายกับพวกนอกด่าน เพื่ออันใด หากไม่ใช่เพื่อความสงบสุขชายแดนแผ่นดินหมิงนี้ ไม่ใช่เพื่อความยั่งยืนแผ่นดินหมิงนี้หรือ เสนาบดีเหยียน ท่านอาศัยอย่างสงบสุขได้ นั่งอยู่ในห้อง ไม่ต้องออกต่อสู้ ไม่ต้องหลั่งเลือด อาศัยเพียงพูดวาจาสวยหรู  ก็สามารถลบล้างความชอบทหารกล้าได้หรือ!!?”


“ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายอันใดกับเจ้า ที่ข้าทำไป ก็เพื่อผดุงธรรม!”


“ท่านว่าผดุงธรรม!! ทัพใหญ่ระเบียบวินัยเข้มงวด ได้ชัยกลับมา ในเมืองคนของท่านไปกุเรื่อง ว่าทัพไร้วินัย สังหารประชาชน หากทัพใหญ่ถูกท่านให้ร้ายเหลวไหลสร้างความโกรธแค้นไปทั่ว หากเหตุนี้ทำให้เกิดภัยใหญ่ขึ้นจริง ความรับผิดชอบนี้คิดอย่างไร หรือว่าท่านเสนาบดีเหยียนจะกล่าวว่าจิตใจพวกเขาคิดการไม่ซื่ออยู่แล้วงั้นหรือ?”


หวังทงไล่รุกตำหนิไม่หยุด ฮ่องเต้ว่านลี่ตั้งใจฟังอย่างมาก ไม่ทันรอให้เหยียนชิงกล่าว หวังทงก็กล่าวอีกว่า


“สร้างข่าวลือให้ร้ายทหารมีความชอบ และยังยั่วยุปลุกระดมให้บัณฑิตล้อมสำนักองครักษ์เสื้อแพร ฝ่าบาท ที่เหยียนชิงทำนั้นคิดการใดกันแน่  ย่อมต้องคิดการร้าย  เขาปากบอกว่าเพื่อแผ่นดินหมิง กระหม่อมว่า เพื่อทำร้ายแผ่นดินหมิงเสียมากกว่า ฝ่าบาท เสนาบดีกรมปกครองกุมอำนาจเลื่อนขั้นขุนนาง ตำแหน่งสำคัญเช่นนี้จะมอบให้คนเช่นนี้ดูแลได้อย่างไร ย่อมต้องเกิดภัย กระหม่อมขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย!!”


“เหลวไหล!! ที่ข้าทำไปเพื่อชาติเพื่อประชา ไม่มีความรู้สึกผิดอันใด! เจ้าเด็กน้อยกล้ากลับดำเป็นขาว สาดเลือดใส่ร้ายผู้อื่น !! เจ้าไม่รู้ว่าหรือว่าใต้หล้านี้ยังมีความเป็นธรรมและกฎหมาย?”


“ทหารกล้าภักดีสละเลือดเนื้อเพื่อบุกเบิกแผ่นดินให้ฝ่าบาท เหตุใดจึงขัดกับความเป็นธรรมและกฎหมาย!!?”


“…….เจ้าเป็นขุนนางตัวน้อยๆ  ระบบแผ่นดินหมิงตอนนี้เป็นขุนนางบัณฑิตดูแลใต้หล้า เจ้าเป็นขุนนางบู๊ ใช้เพียงวาจาล่อลวงฝ่าบาท  และยังใช้วิธีการสร้างความชอบทางการทหารมาทำลายระบบบรรพชนที่วางไว้…….”


ที่หวังทงกล่าวมาล้วนอาศัยความจริง แต่ที่เหยียนชิงว่ามากลับอ้างคุณธรรมที่ว่างเปล่า เรื่องนี้แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงรู้ในพระทัย ขุนนางบุ๋นบู๊สู้กันเพื่อครองอำนาจ หวังทงสร้างความชอบใหญ่ทำให้พวกเขาระแวง


ตามความเป็นไปในวงการขุนนาง หวังทงสร้างความชอบใหญ่แล้วย่อมระวังตัว ยิ่งต้องทำตัวให้เงียบที่สุด  พบกับการใส่ร้ายเช่นนี้ ก็ควรจะบ่นในที่ลับ  ยิ้มแย้มรับหน้าต่อ  คิดไม่ถึงว่าหวังทงกลับตีโต้กลับตรงไปตรงมา หรือเรียกได้ว่าปะทุอารมณ์ใส่อย่างไม่คิดอันใดมากเช่นนี้


ไม่คุยเรื่องหลักการขุนนางอันใดกับเจ้า ไม่คุยเรื่องธรรมเนียมอันใดกับเจ้า หากเจ้าให้คนกุเรื่อง ข้าก็จับคนกุเรื่อง เจ้าให้คนล้อมที่ทำการ ข้าก็จับคนล้อม จากนั้นก็ยังมาหาความกระจ่างในที่ประชุมเช่นนี้นี้อีก


เหยียนชิงก็ไม่ลดราวาศอก แต่ฟังแล้วไร้เหตุผลจูงใจ  เขาพูดไปแล้วก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่ขัดขึ้นเสียงเย็นว่า


“เหยียนชิง แผ่นดินเราขยายอาณาเขต เรามีความชอบ เจ้าไม่พอใจหรือ?”


ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นนี้ ในพระที่นั่งก็เงียบกริบทันที เหยียนชิงเป็นหัวหน้ากลุ่มขุนนางจางซื่อเหวย เพิ่งมีคนออกมาช่วยเหยียนชิงพูด แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ตำหนิเช่นนี้ ทำให้ทั้งพระที่นั่งได้แต่รีบรู้ทิศทางลมกันทันที


ฮ่องเต้ว่านลี่เคาะเอกสารหวังทงไปมา ตรัสว่า


“เรื่องกุข่าวป้ายสี ปลุกระดมประชาล้อมที่ทำการ เหยียนชิง เจ้าเป็นขุนนางใหญ่ราชสำนัก นี่เป็นการกระทำเพื่อแผ่นดินเพื่อราษฎรหรือ?”


เหยียนชิงอึ้งไป ตามด้วยส่ายหน้า สองมือถอดหมวกขุนนางออก วางลงบนพื้น จากนั้นทูลน้ำเสียงจริงจังว่า


“กระหม่อมมีความผิด ขอทรงลงพระอาญาด้วย!”


เมื่อครู่โต้เถียงดุเดือด พอฮ่องเต้ว่านลี่สรุป เหยียนชิงเห็นว่ายังสามารถโต้แย้งได้ต่อ แต่กลับยอมจำนนในทันที ทำให้ทุกคนแปลกใจมาก ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรตรัสว่า


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ……”


“ฝ่าบาท  ขอทรงเห็นแก่เหยียนชิงเป็นขุนนางดี โปรดลงอาญาสถานเบาด้วย เหยียนชิงทำไป ก็เพราะจงรักภักดี”


ในตอนนั้นเอง มหาอำมาตย์เซินสือหังก็ออกหน้าทูลน้ำเสียงนิ่งเรียบ มหาอำมาตย์เซินสือหังกับพวกจางซื่อเหวยเหมือนน้ำกับน้ำมัน ในราชสำนักขัดแย้งกันมา ยามนี้เซินสือหังออกหน้าพูดช่วยเหยียนชิง ทำให้ทุกคนอึ้งไป จากนั้นหวังหลิน หยางเหว่ย เฉินจิงปัง ก็ได้สติ พากันออกมาคุกเข่า ล้วนทูลขอให้เหยียนชิง


ฮ่องเต้ว่านลี่กวาดสายพระเนตรมองไป เห็นหวังทงคุกเข่าสีหน้าไม่เปลี่ยน ก็หันกลับไปมองจางเฉิงพยักหน้าเบาๆ ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสสุรเสียงเย็นว่า


“กลับบ้านไปปิดประตูสำนึกผิดสองสามวัน คิดว่าที่ทำมานั้นแล้วผิดหรือถูก!”


ที่เหยียนชิงทำนั้นตามหลักกฎหมายแล้ว ก็ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงอันใด และเซินสือหังกับขุนนางใหญ่ในราชสำนักออกหน้าขอร้อง ย่อมต้องไว้หน้า ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้ตัดสินพระทัยเช่นนี้


ตามทั่วไปยามเกิดการโต้แย้งในราชสำนัก หวังทงควักคำให้การออกมา การลงโทษให้ปิดประตูสำนึกผิดนี้แท้จริงแล้วเรียกได้ว่าสถานเบามาก คนในราชสำนักตอนนี้ล้วนรู้ว่าต่อไปจะเช่นไร ก็แค่เหยียนชิงอำนาจจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดอ้างว่าชราภาพหรือล้มป่วย ในวังย่อมอนุญาต จากนั้นก็จบเรื่องไป


สีหน้าเหยียนชิงไม่มีความยินดียินร้ายอันใด เพียงแต่คุกเข่าขอบพระทัยฮ่องเต้ คุกเข่ากวาดตามองขุนนางรอบๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองหวังทง


ยามนี้สีหน้าหวังทงมีแต่ความโกรธด้วยคุณธรรมจากใจ  ในสายตาเหยียนชิง  หวังทงอายุยังน้อยมาก ความโกรธนี้ใช่ว่าเสแสร้ง  เป็นความโกรธด้วยคุณธรรมที่มาจากใจ จากนั้นหันไปมองคนอื่นๆ ในราชสำนัก แต่ละคนท่าทีเก็บงำความคิดสามส่วน เหยียนชิงถอนหายใจ โขกศีรษะก่อนจะลุกขึ้นทูลว่า


“ฝ่าบาท ทุกท่าน ข้าพยายามเต็มที่แล้ว ละอายใจยิ่ง”


ทูลจบก็ค่อยๆ ก้าวออกจากที่ประชุมไปด้วยอาการโงนเงน บรรยากาศแปลกยิ่ง แม้แต่หวังทงก็รู้สึกได้ เหยียนชิงพยายามอ้างเหตุผล สร้างข่าวลือให้ร้าย แต่กลับส่องประกายคุณธรรมเช่นนี้ออกมาได้ การกระทำนี้หวังทงเองก็เข้าใจ เหยียนชิงต้องแสดงท่าที ไม่อาจให้หวังทงผู้เป็นขุนนางบู๊ฝ่ายใน ขุนนางคนสนิทฮ่องเต้ได้ปืนขึ้นตำแหน่งสูงได้ ไม่อาจให้หวังทงส่งผลกระทบต่อระบบยกย่องขุนนางบุ๋นและกดหัวขุนนางบู๊ที่เป็นมาในแผ่นดินหมิงได้


เหยียนชิงเห็นๆ ว่ากระทำผิด แต่เขากลับไม่คิดว่าตนเองผิด  ยังคิดว่าตนเองผดุงคุณธรรมใหญ่ นี่จึงเป็นความน่าเศร้าสลดแท้จริง


หวังทงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามที เหยียนชิงคิดเช่นไรไม่สำคัญ เขาทำผิดไป เขาทำเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง คิดให้ร้ายหวังทง ให้ร้ายแผ่นดินหมิง หวังทงไม่รับ  ต้องโต้ตอบคืนไม่อาจลดรา การลงมือกับเหยียนชิงเป็นเพียงก้าวแรก


หวังทงเข้าประชุมวันแรก ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม  ขุนนางใหญ่ในราชสำนักลำดับสามอย่างเสนาบดีกรมปกครอง เหยียนชิง ก็ถูกให้กลับไปปิดประตูสำนึกผิด แม้ว่าเหยียนชิงกำลังจะอำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิดแล้ว แต่ก็ยังทำให้คนรู้สึกเศร้าไปด้วย ทุกคนมองไปยังหวังทงที่คุกเข่า ในใจกระจ่างทันที มุมปากหวังซีเจวี๋ยกระตุกยิ้มเยียบเย็น


เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ในราชสำนักก็เหมือนไปต่อไม่ได้ ทุกคนมองซ้ายมองขวา ไม่คิดหารือราชกิจต่อ รอให้เลิกประชุมขุนนางตรงนี้ ทุกคนค่อยไปที่คณะเสนาบดีใหญ่ ไปที่หกกรมกองหารือกัน


ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่คิดให้บรรยากาศเช่นนี้ดำรงต่อไป จึงทรงกระแอมไอตรัสว่า


“ทัพใหญ่อีกสองวันจะมาถึงเมืองหลวงฉลองชัย เมืองหลวงเตรียมการไปถึงไหนแล้ว?”


“ทูลฝ่าบาท เมืองหลวงแต่ละหน่วยงานตั้งใจเตรียมงาน กระหม่อมเมื่อวานตอนบ่ายไปตรวจแต่ละแห่ง ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ขอทรงวางพระทัยได้พะยะค่ะ!”


เซินสือหังถวายคำนับกราบทูล ฮ่องเต้ว่านลี่พยักหน้าเคาะโต๊ะ กำลังจะตรัส ก็ได้ยินหวังทงทูลดังว่า


“ฝ่าบาท กระหม่อมยังมีอีกเรื่อง!!”


ในห้องคนไม่มาก แต่ก็มีเสียงเคลื่อนไหวดัง ทุกคนพากันจับตามองไปยังหวังทง ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงอึ้งไป ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า


“เรื่องใด?”


“ฝ่าบาท กระหม่อมขอฝ่าบาทมีพระบัญชาลงอาญาแก่ผู้ที่ยื่นฎีกาให้ร้ายว่ากองทัพพ่ายแพ้ ใส่ร้ายว่าสมคบคิดพวกนอกด่าน หาว่าคิดการไม่ซื่อพะยะค่ะ!!!”

 

 

 


ตอนที่ 806

 

กล่าววาจาไร้หลักฐานมีความผิด

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวังทงทูลจบ ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป พระองค์ได้ยินชัดเจน แต่ไม่กล้าทรงยอมรับ ต้องการฟังอีกรอบ


“หวังทง เจ้าช่างเหิมเกริม เป็นพวกชั่วคิดวางแผนร้ายซ่อนอยู่ในใจจริงๆ ด้วย ฝ่าบาท หวังทงคิดการชั่วร้าย เป็นความชั่วไม่อาจให้อภัย ขอทรงพิจารณาด้วยพะยะค่ะ!!”


เสนาบดีกรมพิธีการเฉินจิงปังก้าวออกมาตวาดด่า สีหน้าหวังทงเด็ดเดี่ยวมองฮ่องเต้ว่านลี่  เสนาบดีกรมอาญาพานจี้ซวิ่นก็ออกมาทูลร้องเช่นกัน


“ฝ่าบาท การกล่าวได้อย่างไม่ต้องหวั่นเกรงนั้นเป็นหลักการสำคัญของการเมืองใสสะอาด ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิดก็เป็นธรรมเนียมที่บรรพชนกำหนดมา ที่หวังทงว่ามา ใช่ว่าเป็นการปิดกั้นการว่ากล่าวตักเตือนงั้นหรือ ราษฎรไม่อาจมากราบทูลได้โดยตรง ใช่ว่าเป็นการปิดปากราษฎรงั้นหรือ ป้องกันการวิจารณ์ราษฎร ก็เท่ากับกั้นเส้นทางน้ำ หากทำตามที่หวังทงว่า ช้าเร็วย่อมสั่งสมจนเป็นภัยหายนะใหญ่เป็นแน่!”


พานจี้ซวิ่นทูลไปก็มองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไปด้วย สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่กลับนิ่ง พานจี้ซวิ่นกัดฟันฝืนกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวต่อว่า


“ฝ่าบาท หวังทงคิดให้ราษฎรทวีความแค้น คิดอยากทำลายทำเนียมบรรพชน คิดอยากให้แผ่นดินฝ่าบาทไม่สงบ ความคิดเช่นนี้ย่อมประสงค์ร้าย เหตุใดจะไม่ใช่คิดการชั่วร้ายเล่า ขอทรงพิจารณา ขอทรงลงอาญาด้วยพะยะค่ะ!!”


เสนาบดีกรมอากรหวังหลิน เสนาบดีกรมโยธาหยางเจ้า เสนาบดีกรมอาญาพานจี้ซวิ่น  เสนาบดีกรมพิธีการเฉินจิงปัง พากันก้าวออกมา พวกเขาเป็นพรรคพวกจางซื่อเหวย  ย่อมต้องออกหน้าประสานรับกัน ช่วยเหลือกัน ยามนี้ย่อมต้องก้าวออกมา


เสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนยังไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหว ในคณะเสนาบดีใหญ่ มหาอำมาตย์เซินสือหังกับรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยล้วนไม่สนใจ สีหน้าเซินสือหังนิ่งเรียบ เมื่อครู่เขาได้ออกมาขอแทนเหยียนชิงไปแล้ว แต่ไม่ได้ใจดีจะออกหน้าอีก สายตาหวังซีเจวี๋ยจับจ้องไปที่บรรดาเสนาบดีกับหวังทง กวาดตามองรอบหนึ่ง ยิ้มเยียบเย็นกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า


“หวังทงไม่อาจทนฟังวาจาเห่าหอนมั่วซั่วของขุนนางบัณฑิต!”


หวังซีเจวี๋ยไม่พอใจพฤติกรรมชั่วร้ายของขุนนางบัณฑิตนั้นเป็นที่รู้กัน ที่เขากล่าวมานั้นก็เป็นเรื่องปกติ เซินสือหังที่มีท่าทีนิ่งมาตลอดก็ถลึงตาจ้องมาองเขากล่าวขึ้นเบาๆ ว่า


“ระวังวาจาท่านด้วย!”


หวังซีเจวี๋ยทำงานไม่เหมือนกันขุนนางบุ๋นคนอื่น เขาเคยเป็นขุนนางในสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน เคยเป็นราชบัณฑิตในสำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วน  มีประวัติการทำงานมาสองสำนักนี้ ก็เท่ากับเป็นผู้นำในสายตาของพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิว แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ปีที่ห้า เรื่องการไว้ทุกข์ตอนนั้นมีขุนนางบัณฑิตชิงหลิวห้าคนที่ถูกจางจวีเจิ้งล่อออกมา หลังปลดตำแหน่งและลงโทษไปแล้ว ในราชสำนักก็ไม่มีคนกล้าออกมากล่าวอันใดอีก หวังซีเจวี๋ยกลับยื่นฎีกาขอไว้


บทสรุปทุกคนก็รู้กันว่าห้าคนนั้นถูกเนรเทศไปบ้าง ถูกปลดจากตำแหน่งบ้าง หวังซีเจวี๋ยก็อ้างว่าล้มป่วยอยู่แต่ในบ้านมาจนถึงปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11


ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 พอกลับถึงเมืองหลวง  ก็ได้มาเป็นเสนาบดีอันดับสามในกรมพิธีการ จากนั้นก็ได้เข้ามาสู่คณะเสนาบดีใหญ่ พวกในราชสำนักที่เป็นของจางซื่อเหวยเหมือนกับขับอำนาจจางจวีเจิ้งเดิมทิ้งไปหมดสิ้น ใต้หล้าล้วนรู้ว่าทิศทางลมเปลี่ยนแล้ว ทุกคนกำลังปฏิเสธความดีความชอบจางจวีเจิ้งที่เคยมีมา ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนโจมตี


อยู่ๆ ในตอนนั้นหวังซีเจวี๋ยกลับยื่นฎีกายอมรับความดีความชอบจางจวีเจิ้ง คิดว่าตอนจางจวีเจิ้งคุมอำนาจนั้น หลายเรื่องก็เป็นนโยบายดีควรรักษาไว้ ดังนั้นจึงว่าเป็นตัวประหลาดแห่งแผ่นดินหมิง ขุนนางที่มาจากสายบัณฑิตชิงหลิว ไม่ค่อยได้พบเห็นพวกที่ลงมือปฏิบัติจริงเช่นนี้นัก


ตอนหวังทงดูแลอยู่ที่เทียนจิน ทุกปีส่งเงินทองเข้าวังมากเพียงนั้น นอกเมืองเซวียนฝู่ นอกด่านกู่เป่ยโข่วสองแห่งได้รับชัยชนะ ก็ล้วนเป็นหวังซีเจวี๋ยที่ยอมรับในความสามารถของหวังทง หวังทงออกรบที่เมืองกุยฮว่าเฉิง แม้ว่าเขาเองคิดว่าเป็นการมุทะลุบุกไป แต่หลังเคลื่อนทัพแล้ว ก็เร่งให้กรมทหารและกรมอากร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้จัดสรรเครื่องจำเป็นสำหรับการทหารให้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการรบ


ตอนที่ขาดการติดต่อไป ฎีกากับการโจมตีก็มากขึ้นเรื่อยๆ หวังซีเจวี๋ยเคยกล่าวในคณะเสนาบดีใหญ่ว่า หากทัพใหญ่ยังไม่พ่ายแพ้  การทำลายขวัญกองทัพเช่นนี้นับเป็นความผิดใหญ่ หากทัพพ่ายแพ้มา ก็ต้องรีบเตรียมการป้องกันทุกอย่างจึงจะถูกต้อง การกุข่าวลือเช่นนี้มีประโยชน์อันใดกัน


คำเสียดสีของหวังซีเจวี๋ยหน้าพระที่นั่งตอนนี้มีแต่เซินสือหังที่ได้ยิน ไม่กระทบต่อสถานการณ์ตอนนี้นัก ขุนนางสองคนจากสำนักตรวจสอบลังเลก่อนจะก้าวขึ้นหน้ามากล่าวว่า


“ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด  หวังทงต้องการปิดกั้นเช่นนี้  ย่อมทำให้แผ่นดินสะเทือน ขอทรงพิจารณาด้วยพะยะค่ะ!!”


หากเป็นฎีกาปกติ หรือเป็นขุนนางอื่นเสนอ  ก็คงไม่เท่าไร แต่เพราะเป็นหวังทงที่ถวายฎีกาครั้งแรกก็ทำให้เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิงต้องปิดประตูสำนักผิด ตอนนี้ยังเสนอเช่นนี้อีก ทุกคนไม่อาจมองข้าม หรือว่าฮ่องเต้ว่านลี่วางแผนกับหวังทงไว้ล่วงหน้าแล้ว?


ความคิดเช่นนี้ยิ่งทำให้น่าตกใจ ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นชัดว่าทรงลังเล ทรงมองไปยังขุนนางที่ก้าวออกมาทูลกับหวังทงสลับไปมา ก่อนผินพระพักตร์ไปทางพวกสำนักส่วนพระองค์


เซินสือหัง หวังซีเจวี๋ยกับจางเสวียเหยียนล้วนทำท่าเหมือนไม่เกี่ยวอันใดด้วย สำนักส่วนพระองค์ด้านหลังทุกคน จางเฉิงและจางจิงก็สีหน้าเรียบเฉย  แต่จางหงกับเถียนอี้นั้นกลับมีสีหน้าโมโหมาก


“หวังทง เจ้าบอกว่าลงโทษ คนอื่นกลับไม่เห็นด้วย พวกเขาได้บอกเหตุผลแล้ว เจ้าลองว่าเหตุผลเจ้ามา?”


ได้ยินพระดำรัส  ทุกคนก็กระจ่างทันที ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ทรงวางแผนกับหวังทงมาก่อนหน้า ในใจทุกคนก็เบาใจ หวังทงทูลตอบว่า


“ขุนนางบัณฑิตยื่นฎีกา ก็เพื่อเสนอนโยบายปรับปรุงแผนการดำเนินงานให้ดี การวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้แม้มีข้อผิดพลาด ก็ย่อมเป็นเพราะหวังดี คิดอย่างให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาท เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินหมิง หากเป็นเช่นนี้ไม่ควรมีโทษ นี่จึงเรียกว่าขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด แต่หากมีคนคิดอาศัยสถานะขุนนางบัณฑิต อาศัยขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิดมาปกป้องตนเอง ทุกวันเอาแต่กล่าววาจาไร้หลักฐาน กุข่าวลืออันเป็นเท็จ ไม่มีหลักฐานอันใด ก็สามารถทำให้ราษฎรสั่นสะเทือนได้ ก็สามารถโจมตีขุนนางได้ พฤติกรรมชั่วช้าเช่นนี้ จะบอกว่าไร้ความผิดได้อย่างไรกันเล่า!”


หวังทงกล่าวมาได้ทรงพลังยิ่ง ขุนนางใหญ่ในราชสำนักอยู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองไร้เหตุผลตอบโต้ มีแต่อ้างว่าเป็นบรรพชนกำหนดมา เป็นการปิดกั้นความคิด ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องไร้เหตุผล เสนาบดีกรมโยธาหยางเจ้าขมวดคิ้วกล่าวว่า


“หวังทง เมื่อครู่เจ้าว่าคนพวกนี้กุข่าวลือทำให้ขุนนางจงรักภักดีมีความชอบต้องหนาวเหน็บใจ  เช่นนี้การลงโทษของเจ้าก็ใช่ว่าทำให้ขุนนางบัณฑิตและขุนนางบัณฑิตชิงหลิวที่ภักดีและออกมาเคลื่อนไหวต้องรู้สึกหนาวเหน็บใจเช่นกันหรือ?”


“หากทำไปด้วยความภักดีจริง ก็ย่อมไม่กล่าววาจาไร้เหตุผล สภาพในตอนนี้ ขุนนางบัณฑิตหลิวพูดมานั้นล้วนไม่สนใจว่ามีผลดีอันใดต่อการบริหารแผ่นดิน ไม่สนใจจริงหรือเท็จ แต่ขอเพียงวาจาทำให้คนตกใจได้ ที่พูดไม่นั้นไม่ขอให้มีหลักฐานใด  ขอเพียงทำให้คนสนใจได้ ยื่นฎีกาว่าทัพใหญ่พ่ายศึกราบคาบ ยื่นฎีกาว่าทัพใหญ่สังหารคนตามอำเภอใจ พากันพูดกันหนาหู แต่ไม่มีสักคนที่บอกว่าทัพใหญ่แพ้อย่างไร เมืองหลวงควรป้องกันเช่นไร หากไร้แม่ทัพทหาร ควรจะเลือกผู้ใดมาทำหน้าที่ เอาแต่พูดปาวๆ ใส่ร้ายผู้อื่น มีคนฟังมาก พวกเขาก็มีชื่อเสียงมากว่าเป็นขุนนางมือสะอาด มีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งและร่ำรวยเงินทอง แต่เรื่องที่เขากุขึ้นนั้นกลับส่งผลเสียต่อการทำงานและผู้อื่นไหม?   หากเอาเรื่องขึ้นมา ก็กล่าวล่องลอยเพียงว่า ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด ก็กลบเกลื่อนให้ผ่านไปได้…….”


หวังทงหยุดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า


“กุข่าวลือ ใส่ร้ายคนดี พูดผิดไปแล้วไร้คนเอาเรื่อง ไม่ต้องรับผิดชอบ  กลับมีชื่อเสียงทั่วหล้า เทียบชั่งข้อดีข้อเสียแล้ว แม้เด็กสามขวบก็ยังดูออก  นานวันเข้า ผู้ใดจะยังกล้าตั้งใจทำงานเพื่อแผ่นดินกัน ผู้ยังกล้าทำงานอย่างตั้งใจยืนให้มั่นกัน  วันๆ คงเพียงแค่คิดหาทางกล่าวาวาจาให้ยิ่งใหญ่ กล่าวความเท็จ หลอกคนให้ตกใจก็สามารถมีชื่อเสียงทั่วหล้าได้ ค่อยๆ ได้เลื่อนขั้น การกระทำเช่นนี้นับวันยิ่งรุนแรง หากปล่อยต่อไป ขุนนางระดับล่าง บัณฑิตทั้งหลาย ยังจะมีผู้ใดอยากทำงาน ก็คงพากันอยากเป็น บัณฑิตมีชื่อ มากกว่า  จะมีผู้ใดมาช่วยแบ่งเบาราชกิจฝ่าบาท ผู้ใดมาแบ่งเบาภาระบริหารเงินทองให้ฝ่าบาท?”


ในพระที่นั่งเงียบกริบ ขุนนางทั้งหลายนอกจาก รองเจ้ากรมซ้ายขวาของสำนักตรวจสอบที่ดูแลพวกขุนนางบัณฑิต ไม่อาจออกหน้า ที่เหลือก็เป็นขุนนางชั้นสูงที่มีผู้ใดบ้างไม่เคยถูกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวระบายด่า หากทำผิดจริงก็ไม่มีอันใดกล่าวแย้ง แค่หน้าประตูทาสีสดไปหน่อย ที่บ้านกินดีไปหน่อย ก็มีคนยื่นฎีกาฟ้อง คิดจะทำให้เรื่องเงียบ ยังต้องฝากคนไปแอบหารือ ว่าจะให้เงินเท่าไร ระดับขุนนางในวงการแบ่งระดับสูงต่ำ แต่ตอนนี้ ระดับสามขึ้นไปกลับกลัวระดับล่างอย่างขั้นหกเจ็ด เกรงว่าพวกนี้จะจับความผิดได้


หากมาจากขุนนางที่ซื่อตรงอย่างไห่รุ่ยก็แล้วไป มาจากใจที่เป็นธรรม ทุกคนล้วนหวาดกลัว แต่ตอนนี้ในเมืองหลวงขุนนางบัณฑิตชิงหลิวกลับทำให้ผู้คนรู้สึกเพียงแค่ไม่รู้จะจัดการอย่างไร


การจะมาถึงระดับเสนาบดีและเจ้ากรมชั้นสูงได้ ก็ย่อมรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถแท้จริงจึงมีวันนี้ได้ ย่อมไม่รู้สึกดีอันใดกับการถูกรังแกด้วยวาจาเช่นนั้น และยังรู้สึกว่าการปล่อยให้คนพวกนี้รังแกนั้นยอมรับไม่ได้


ทว่าทุกคนรู้สึกได้ทันทีว่า หรือเช่นนี้ก็ถูกหวังทงเกลี้ยกล่อมได้แล้ว หากฎีกานี้ได้รับอนุมัติ ใช่ว่าเป็นหวังทงเข้าประชุมราชสำนักวันแรกก็จัดการทุกคนในราชสำนักได้หมด วันนี้เป็นเช่นนี้ วันหน้าจะเป็นเช่นไร ทุกคนมีปากมีเสียงอันใดได้อีก


แต่คิดจะปฏิเสธก็หาเหตุผลอันหนักแน่นไม่ได้ในเวลากระชั้นชิดนี้ ที่หวังทงว่ามาก็เป็นความจริง เหตุผลโต้กลับก็ไม่อาจล่องลอยเกินไปนัก ในพระที่นั่งจึงถึงกับเงียบกริบไป


เซินสือหังมองคนในที่ประชุมกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า


“ใต้เท้าหวังหมายความว่า ขุนนางบัณฑิตไม่มีความผิดหากกล่าวเรื่องจริง  แต่ข่าวลือป้ายสี กลับขาวเป็นดำจึงควรลงโทษหรือ?”


“เป็นดังที่ท่านอำมาตย์ว่ามา”


เซินสือหังถามเสร็จ ยังไม่ทันตอบ ก็เงียบไป ในเมื่อหวังทงไม่คิดยกเลิกระบบขุนนางบัณฑิต คิดเพียงแค่จัดการบางส่วน เป็นดังการเอาคืนของหวังทง จึงรับคำเขา  ไยต้องมีเรื่องกันตรงนี้มากไป หากนานไป หวังทงทำให้เป็นเรื่องใหญ่แล้วจะทำอย่างไร


ขุนนางที่เหลือค่อยๆ คิดได้  กำลังจะพูด ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสถามขึ้น


“จางปั้นปั้น  ท่านคิดว่าที่หวังทงว่ามานั้นเป็นอย่างไร?”


“ฝ่าบาท เรื่องขุนนางราชสำนัก กระหม่อมไม่กล้าออกความเห็น  หากเป็นเรื่องในวัง ขอเพียงผู้ใดกล่าวผิด ห้องพิธีการย่อมลงโทษตามธรรมเนียม อย่างไรทุกคนก็เป็นบ่าวรับใช้ฝ่าบาท ปล่อยปละมิได้  ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวล้วนเป็นข้าแห่งแผ่นดินหมิง ได้รับพระราชทานพระเมตตาจากฝ่าบาท ทำผิดก็ไม่อาจไม่เอาเรื่องให้ถึงที่สุด……”


 

 

 


ตอนที่ 807

 

 เดือนห้า ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12

โดย

Ink Stone_Fantasy

“จากนี้ไปเกรงว่าฟ้าคงมืดมิดไร้แสงตะวันแล้ว!”


หลังประชุมขุนนาง บรรดาขุนนางออกจากพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินไปยังหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ เพราะทัพใหญ่ตั้งทัพรออยู่นอกเมืองเตรียมเข้าเมืองมาฉลองชัยแล้ว แต่ละหน่วยล้วนมีงานที่ต้องทำ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะเสนาบดีใหญ่แล้วจึงดำเนินการได้ เสนาบดีหลายท่านที่ไม่ได้อยู่ในคณะเสนาบดีใหญ่ก็เดินตามมาด้วย


เสนาบดีกรมอากรหวังหลินถอนหายใจกล่าว พอจางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์กล่าวเช่นนั้น ทุกคนก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีหนทางให้หารือกันอีกแล้ว


มหาอำมาตย์เซินสือหังกับรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยต่างเย็นชาไม่สนใจ เสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนเองก็นิ่งราวขุนเขา ยังมีการสนับสนุนจากสำนักส่วนพระองค์ เสียงจากหวังทงเดิมก็เป็นอันใดที่ไม่อาจมองข้ามได้แล้ว ในราชสำนักยามนี้ ท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่เป็นอย่างไร ทุกคนล้วนเห็นด้วยตากระจ่างใจดี


“จะเป็นฟ้ามืดไร้แสงตะวันได้อย่างไร อย่างไรเสียงนกกาสุนัขเห่าน้อยลงบ้าง  หูก็สบายขึ้นมาก”


หวังซีเจวี๋ยได้ยินประโยคนี้ก็แค่นยิ้มกล่าวขึ้น เขากลับเข้าราชสำนักในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 พวกจางซื่อเหวยผลักดันให้เขาเข้ามาสู่คณะเสนาบดีใหญ่ก็เพื่อให้ต้านทานอำนาจกับเซินสือหัง แต่พอเข้ามาแล้ว พวกขุนนางบัณฑิตเริ่มโจมตีเซินสือหัง คิดไม่ถึงว่าหวังซีเจวี๋ยกับเซินสือหังกลับเข้ากันได้ไม่เลว ปรากฏว่าพวกขุนนางบัณฑิตต่างพากันหน้าดำคล้ำทำอันใดไม่ได้


แต่ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด พวกขุนนางบัณฑิตไม่ถูกลงโทษใด  เรื่องนี้ไม่ถูกใจหวังซีเจวี๋ยนัก หลังยื่นฎีกาฟ้องคัดค้านการกระทำหวังทง ความสัมพันธ์ก็ยิ่งแย่ลง


“ใต้เท้าหวัง  หวังทงวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้  หากไม่มีขุนนางบัณฑิตชิงหลิวคอยออกหน้าเรื่องคุณธรรมใหญ่ เช่นนั้นสถานการณ์จะเป็นเช่นไร!?”


ได้ยินหวังซีเจวี๋ยแค่นยิ้มเย็น เสนาบดีกรมอาญาพานจี้ซวิ่นอดไม่ได้กล่าวขึ้น  หวังซีเจวี๋ยกลับไม่สนใจ กล่าวว่า


“ก็เพราะหวังทงวางอำนาจเหิมเกริม จึงไม่อาจปล่อยให้พวกสุกรโง่เง่าส่งจุดอ่อนใส่มือหวังทง หากเพื่อคุณธรรมใหญ่ก็แล้วไป ความจริงเป็นเช่นไร ทุกท่านหรือว่าไม่รู้กัน? หรือว่าหวังทงไม่รู้กัน?”


************


เดือนห้า ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12  ราษฎรต่างวิพากษ์วิจารณ์กองทัพที่เข้าเมืองมาว่าเป็นเช่นไร มีคนกลับจากนอกเมืองไม่น้อยบรรยายภาพที่ตนเองได้เห็นได้ยินมาอย่างตื่นเต้นดีใจ


หลายวันนี้ทัพที่นำชัยชนะใหญ่มาล้วนฝึกซ้อมกันนอกเมือง ราษฎรที่ไปมุงดูก็เพียงแค่ถูกตักเตือนให้ออกไปให้พ้นรัศมีซ้อม พวกที่ไปมุงดูจึงน้อยมาก


เทียบกับความดีใจในช่วงฉลองเทศกาลของราษฎรแล้ว ขุนนางระดับล่างเมืองหลวงกลับมีบรรยากาศอึมครึมผิดปกติ ขุนนางบัณฑิตชิงหลิว 20 กว่าคนถูกจับตัวไป ความผิดพวกเขาก็ไม่มากอันใด ก็แค่กุข่าวลือว่าทัพใหญ่พ่ายแพ้ กุข่าวว่ากองทัพขากลับไร้ระเบียบวินัยรังแกราษฎร


ปลดตำแหน่ง  ให้กลับบ้านเกิด  ที่หนักสุดก็ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจเข้าร่วมการสอบบัณฑิตได้อีก เมืองหลวงตอนนั้นก็มีข่าวลือแพร่มาว่า พวกคนชั่วขัดขวางผู้ที่คิดกล่าวตรงไปตรงมา ถูกขวางไว้จนตาย  หลังวาจานี้แพร่ออกไป ไม่นาน ก็มีคนมาเตือนว่า อันนี้ก็เป็นการกุข่าวลือไร้เหตุเช่นกัน


คนที่พูดคิดไม่ถึงว่าองครักษ์เสื้อแพรจะมาเร็วเพียงนี้ ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ไหนเลยจะกล้าพูดต่อ แต่ละแห่งที่เกี่ยวข้องกับข่าวลือก็มีข่าวปล่อยออกมา และยังเป็นข่าวที่น่าเชื่ออย่างมาก  เป็นข่าวที่ปล่อยออกจากขุนนางประจำคณะเสนาบดีใหญ่ ว่าฮ่องเต้มีราชโองการพระราชทานรางวัลแด่หัวหน้ากรมกองสิบกว่าคน คนเหล่านี้บ้างก็ให้ความเห็นว่าควรบริหารจัดการเมืองกุยฮว่าเฉิงอย่างไร บ้างก็จัดการปรับปรุงส่วนงานอื่นให้ดีขึ้น ในบรรดาคนเหล่านี้มีคนว่าทัพใหญ่สิ้นเปลืองเงินแผ่นดินไปมา ไม่จำเป็นต้องจัดงานเฉลิมฉลองอันใดให้เปลืองเงินทองราษฎร


ในบรรดาคนเหล่านี้ บ้างก็พูดถูก บ้างก็พูดผิด และบ้างก็ไม่ได้ทำให้ราชสำนักพอใจอันใด หากล้วนได้รับรางวัล เทียบกับพวกกุข่าวลือให้คนตกใจแล้ว เห็นได้ชัดถึงหลายเรื่องระยะนี้


*************


เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิงกลับจวนปิดประตูสำนึกผิดแล้ว หวังทงได้เป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรแล้ว สองข่าวนี้ทำให้หลายคนพากันครุ่นคิดหนัก


ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด ที่ทุกคนให้ความสนใจก็คือใกล้จะถึงพิธีเฉลิมฉลองชัยประกาศความชอบทหาร ธรรมเนียมขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิดถูกทำลายลง พวกขุนนางบัณฑิตล้วนโกรธแค้น  มีคนคิดจะหาเรื่องตอนทัพใหญ่เข้าเมือง ให้พวกขุนนางชั่วได้รู้ว่าใต้หล้านี้ยังมีผู้ผดุงธรรมอยู่


*************


เดือนห้า ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12  เมืองหลวงฝนตกปรอย ๆ หลายรอบ ทว่าทัพใหญ่เข้าเมืองวันนั้น อากาศดีมาก ผู้ใหญ่สูงวัยล้วนบอกว่าฟ้าเป็นพยานในความดี หลังฝนตกปรอยก็แค่ชื้นไม่เป็นดินโคลน ทัพม้าและทหารเดินมาก็ไม่ต้องกังวลโคลนกระเด็นเปื้อนทำให้เสียอารมณ์


เมื่อก่อนในวังกับราชสำนักจัดพิธีใหญ่ ตามธรรมเนียมก็ต้องเงียบ ทว่าครั้งนี้เหมือนอยากร่วมยินดีกับราษฎร ราษฎรก็หัวไว ในเมื่อไม่มีเจ้าหน้าที่มาเตือนให้เงียบ พวกที่ว่างงานก็พากันออกไปมุงดูกันตามท้องถนน


เมืองหลวงคนมาก ทุกคนกลัวกันว่ามาช้าแล้วไม่มีที่ยืน ก็รีบมากันแต่เช้า มีคนนำอาหารเช้ามาด้วย มีคนถึงกับไม่กินอาหารเช้าเลยก็มี


ว่ากันว่าจากประตูฉงหวินเหมินเข้าเมืองมา ฟ้าทอประกายแสงรำไร มีคนมารออยู่ทางนั้นแล้วไม่น้อย ยังมีคนสัพยอกว่า  ทัพม้าและทหารมากมายผ่านประตูฉงหวินเหมิน ถึงกับไม่มีการเก็บค่าภาษีผ่านทาง เป็นครั้งแรกที่ผิดธรรมเนียมปฏิบัติ


ราษฎรตื่นเช้ามาก เจ้าหน้าที่ ทหาร องครักษ์เสื้อแพรกองลาดตระเวนก็ตื่นเช้าเช่นกัน แบ่งกันออกไปตามถนนสายต่างๆ เพื่อรักษาความสงบยามทัพใหญ่เคลื่อนผ่าน


ราษฎรเบียดเสียดกันเกินไป เกรงว่าทัพใหญ่ไม่อาจเคลื่อนทัพได้ ทหารกองลาดตระเวนไม่พอ นอกเมืองหน่วยฝึกทหารใหม่ก็ต้องส่งทหารใหม่มาช่วยด้วย พวกเจ้าหน้าที่จากสำนักรักษาความสงบและบางส่วนจากศาลซุ่นเทียนก็ต้องประจำตามจุดต่างๆ ในเมืองหลวงเพื่อป้องกันคนฉวยโอกาสก่อเรื่องขณะที่การป้องกันหละหลวม


ราษฎรออกมามุงตามท้องถนน สองข้างทางจากประตูฉงหวินเหมินไปยังวังหลวง  ชั้นสองของหอสุราอาหารโรงน้ำชาที่สูง ก็มีคนไปจองที่กันเต็ม คนมีเงินก็จองที่เตรียมรอดูอย่างสบายๆ


ถนนที่ทัพใหญ่เคลื่อนผ่านก็คือถนนในเขตทักษิณ อาคารที่มีชั้นสองนั้นน้อยมาก พวกชนชั้นสูงระดับต้นๆ ในเมืองคิดจะดูชมความครึกครื้นนี้  ไม่อยากเบียดกับฝูงชนคนอื่น จึงจ่ายเงินซื้อเรือนข้างทางไว้เสียเลย สร้างนั่งร้านไม้ไผ่ขึ้นไว้รอชม


ทว่าไม่ว่าชั้นสูงของอาคารหรือนั่งร้านสูง ก็ย่อมมีองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าไว้ มีคนไม่น้อยแปลกใจ กล่าวว่าไยต้องระวังรอบคอบเพียงนี้ ทัพใหญ่เคลื่อนผ่าน หรือว่ายังกลัวว่ามีราษฎรโจมตีสองข้างทางกัน


มาเช้า ใกล้กับทางประตูฉงหวินเหมิน ฟ้าสางก็มากันแล้ว เห็นประตูเมืองเปิดแล้ว ทุกคนพากันแปลกใจ ตามธรรมเนียม เปิดเร็วเช่นนี้ หรือว่าเพื่ออำนวยความสะดวกให้ทัพใหญ่เข้าเมือง แต่ก็ไม่น่า


พระอาทิตย์ค่อยๆ สูงขึ้น คนตามท้องถนนยิ่งมากขึ้น มีคนใช้คำว่าคนแออัดกันราวกับน้ำเดือดพล่านก็ไม่เกินไปนัก ยังมีคนที่ขายของกินเล่นริมทางมามุงดูไปขายไป ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศครึกครื้น


ในฝูงชนยังมีอีกเรื่องหนึ่ง บางจังหวะจะได้ยินเสียงเอะอะ จากนั้นก็มีชายแต่งตัวธรรมดาจับกุมคนมัดตัวไป มีคนตกใจกันใหญ่ ที่แท้เป็นพวกนักล้วงที่แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน


ถนนที่ห่างจากประตูฉงหวินเหมินไปทางเหนือร้อยก้าว กลางฝูงชนมีคนแต่งกายด้วยชุดยาวสิบกว่าคน พอมองไปก็รู้ว่าน่าเป็นบัณฑิตที่สถานะไม่ธรรมดา เห็นสองสามคนในนั้นวางท่าวางทางดี อาจเป็นขุนนางมีความชอบก็เป็นได้


เห็นภาพนักล้วงถูกจับกุมก็มีคนยิ้มกล่าวว่า


“เมื่อก่อนเมืองหลวงออกันแน่นเช่นนี้ ศาลซุ่นเทียนกับศาลอาญาใหญ่ต่างยุ่งกันมือไม่ว่าง ย่อมมีพวกฉวยโอกาสกันหลายจุด แต่ตอนนี้ไม่เช่นนั้นแล้ว!”


“หวังทงเจ้าเด็กนั่นไร้การศึกษา เห็นว่าพิธีฉลองชัยประกาศเกียรติทหาร กลับทำจนเหมือนงานวัดเสียได้ ช่างน่าขัน”


ชายผู้หนึ่งหน้าเคร่งกระแอมไอกล่าวว่า


“พวกเรามาที่ได้ไม่ได้มาท่องเที่ยว หากมาเพื่อทุกคนจะได้สั่งสอนคนชั่ว ให้เขาเสียหน้า ให้เขารู้ว่าคุณธรรมไม่อาจลบหลู่!!”


คนผู้นี้กล่าวจบ คนที่เหลือก็แสดงสีหน้านิ่งเป็นการเป็นงานทันที พากันพยักหน้า


***************


เวลาผ่านไปสักพักก็ได้ยินเสียงดังสามทีจากบนกำแพงเมือง ‘ผ่าง ผ่าง ผ่าง’ ฝูงชนเงียบกริบ  แม้ไม่รู้ว่าตีทำไม แต่ก็เดาว่าเป็นสักญาณทัพใหญ่เข้าเมือง


คนที่ยืนสองข้างถนน แม้ใกล้ประตูเมืองที่สุด มองไม่เห็นอีกด้าน แต่ทุกคนรออย่างไรก็ไม่เห็นทัพใหญ่ปรากฏ


หลังเงียบกัน ก็มีเสียงเอะอะดัง จากนั้นก็เสียงเอะอะก็เริ่มกลับคืนสภาพก่อนหน้า พ่อค้าตะโกนขายของลากเสียงยาว สร้างบรรยากาศได้ไม่น้อย


ทุกคนหันไปมองเป็นระยะ มองไม่เห็นอันใด จากนั้นก็คุยกันต่อ สักครู่ เสียงคุยก็เริ่มเบาลง เพราะมีคนได้ยินราวกับว่ามีเสียงกลองจากนอกเมือง ทุกคนถูกดึงความสนใจไปทางนั้นหมด


เป็นเสียงกลองจริง ทว่าเหมือนไม่ใช่กลองแห่งความยินดี และไม่ใช่วิธีการตีแบบตอนฝึกซ้อมของกองกำลังสังกัดวังหลวง เสียงตีดังจังหวะเดียว เหมือนว่าค่อยๆ ตีมาเรื่อยๆ


ทุกคนได้ยินแล้วก็พากันแปลกใจ เสียงดังเอะอะตามท้องถนนเริ่มเงียบลง ทุกคนได้ยินกันอย่างชัดเจน  เสียงกลองยิ่งดังขึ้น ราวกับว่ามีกลองร้อยตัวกำลังตี


  มีทหารนำธงเข้าเมืองมา พอพ้นประตูเมือง ทุกคนจึงเห็นธงในมือเขา เป็นลวดลายง่ายๆ สีดำสนิท ด้านบนมีอักษรสีแดงเขียนตัวใหญ่ว่า ‘หู่เวย’ ธงดำมีลายเสือบางๆ พลถือธงในชุดเกราะส่องกระทบแสงตะวันระยิบ


“ไม่รู้ว่าเป็นขุนพลท่านใด ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงมีชุดเกราะที่ดีเช่นนี้ได้!”


มีคนกระซิบกัน เสียงกลองยิ่งดัง แต่ยังคงเป็นจังหวะเดียว นอกจากเสียงกลอง คนที่อยู่ใกล้ประตูมาที่สุดยังได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่ง เสียง ‘ตึงๆ’ ดังมา เหมือนว่าเป็นเสียงตีพื้น ทุกคนพากันงง


“ถอยหลังๆ อย่าได้ขวางทางทัพใหญ่ มีความผิดหนัก!”


ทุกคนอยากรู้ว่าคืออะไร ก็เดินไปกลางถนน ทหารองครักษ์เสื้อแพรที่รักษาระเบียบอยู่ก็ตะโกนขวางไว้ พลถือธงเดินไปได้ราวร้อยก้าว ทัพใหญ่ตอนนี้ปรากฏต่อหน้าทุกคนแล้ว


เดิมถนนที่เสียงจอแจก็เงียบทันที ทุกคนมองทัพทหารบนถนนในตอนนี้ไม่กระพริบ พลทวนยาวในชุดเกราะหู่เวยเดินเรียงแถวมาอย่างเรียบร้อย ทวนยาวยกเอียง ก้าวเท้ายาวไปข้างหน้า


พลทวนยาวทุกคนล้วนอยู่ในชุดเกราะ หลายคนบนถนนได้แต่หรี่ตาอย่างไม่ทันรู้ตัว เกราะกับอาวุธส่องกระทบแสงอาทิตย์แยงตาไปหมด

 

 

 


ตอนที่ 808

 

เสียงกระหึ่มหมื่นปี ทัพใหญ่เข้าเมือง

โดย

Ink Stone_Fantasy

พลถือธงนำกองกำลังหู่เวยกับทหารราบเข้าเมือง มีหลายคนเคยชมการนำทัพใหญ่ก็พากันหัวเราะขำ บอกว่าไหนเลยมีการจัดเรียงทัพแบบนี้ ส่วนใหญ่ก็ต้องให้ทหารเก่งกล้าของทัพตนมาอยู่ด้านหน้าให้ทุกคนได้เห็นกันก่อน ก็เหมือนกับคนขายแตงที่จะเอาผลไม้ที่สดที่สุดมาเรียงไว้ด้านนอกให้คนได้เห็น


ทัพหนึ่ง ที่เก่งกล้าที่สุด ที่เครื่องมือยุทโธปกรณ์ครบครันที่สุดก็ย่อมเป็นขุนพลกับทหารติดตามตน  คนพวกนี้ไม่เพียงแต่เครื่องแต่งกายครบครัน ส่วนใหญ่ยังขี่ม้ากันอีกด้วย


ดังนั้นในสถานการณ์เกียรติยศแสดงบารมีกองทัพเช่นนี้ก็ต้องให้แม่ทัพนำทหารม้าเดินหน้า และทหารราบมักจะตามมาสุดท้าย และยังมักให้เดินผ่านไปอย่างเร็วเรียบง่าย  ต้องแสดงความมีหน้ามีตาของกองทัพไว้แรกสุด คนที่เหลือไม่ให้เข้าร่วม และคนถือธงก็มักจะถือธงใหญ่สะบัดบนหลังม้าเพื่อแสดงบารมีเกรียงไกร


พอกองกำลังหู่เวยปรากฏ ก็เหมือนผิดไปจากธรรมเนียมที่มีมา ทหารถือธงเดินนำ ที่ปรากฏตัวแรกสุดก็เป็นทหารราบ ทุกคนตกใจไปเตรียมขำไป


ทหารราบเป็นเช่นไร ทุกคนใช่ว่าไม่เคยพบเห็น สวมชุดเก่าๆ ขาดๆ สามารถปะเรียบร้อยเรียกได้ว่าเรียบร้อยสุดแล้ว ส่วนใหญ่สีหน้าซีด เหมือนไม่ได้กินข้าวอิ่มกันมา ต้องเป็นพวกระดับล่าง จึงมีท่าทางเช่นนี้


อย่าว่าแต่ทหารท้องที่อื่นเลย แม้แต่ทหารเมืองหลวงก็มีแต่กองกำลังสังกัดวังหลวงที่ดีหน่อย ทหารเมืองหลวงไม่น้อยก็เป็นเช่นดังกล่าวมาเมื่อครู่ มีอะไรน่าดูกัน


แม้ทุกคนรอดูเรื่องตลกกันอยู่ แต่ในใจก็อดผิดหวังไม่ได้ ตื่นแต่เช้ามาจับจองที่ เดิมคิดจะชมกองทัพม้ากองกำลังสังกัดวังหลวง ทัพเมืองจี้โจว ทัพเมืองต้าถง สามทัพร่วมแรงกันปราบปรามเผ่าอันต๋าบนทุ่งหญ้านอกด่าน พวกนอกด่านต้องมีทหารม้าม้า  คิดจะได้รับชัยชนะใหญ่ก็ต้องอาศัยทหารม้า


การได้ชมภาพทหารม้าเป็นแนวยาวนั้นเป็นภาพที่งดงาม ผู้ใดจะคิดว่ากลับเป็นทหารราบ ทำให้หลายคนรู้สึกไม่ได้ดังใจนัก


ทว่าพอเห็นทหารราบทวนยาวในชุดเกราะแวววาว ท่าทีฮึกเหิม ปกติเกราะพวกนี้จะอยู่บนตัวขุนพลบนหลังม้าเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ากลับได้เห็นบนตัวทหารราบ น่าสนใจยิ่ง


มีคนคิดว่าหรือเป็นกองกำลังสังกัดวังหลวงเรียงอยู่แถวหน้าเป็นทหารราบ ให้สวมชุดเกราะกัน เกราะพวกนี้ไม่แน่อาจเป็นทหารติดตามแม่ทัพท่านใดก็ได้ ด้านหลังคงไม่มีแล้ว


ท้องถนนเงียบลงเรื่อยๆ  ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะกับเสียงย่ำเท้าเป็นระเบียบพร้อมกัน แถวทหารราบในชุดเกราะพร้อมเดินเข้าเมือง


ท้องถนนแม้ว่ากว้างขวาง แต่มาตรฐานการเดินทัพของกองกำลังหู่เวยพลทวนยาวแบบแนวตั้งแนวนอนตามระเบียบนั้นกลับมีที่ไม่พอ จึงได้แต่เรียงแถวยาว แถวที่หนึ่งเป็นทหารชุดเกราะ ทุกนายล้วนมีท่าทางองอาจกล้าหาญ สีหน้าเด็ดเดี่ยวมองตรงไปยังด้านหน้า ก้าวไปอย่างเป็นระเบียบพร้อมเพรียงกัน


แถวที่หนึ่งเช่นนี้ แถวที่สองเช่นนี้  แถวที่สามก็เช่นนี้ ……กลบเสียงเสียงจอกแจกกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลงหมดสิ้น สุดท้ายก็กริบไปทั่วบริเวณ ทุกคนต่างตั้งใจชมกองกำลังหู่เวยเดินแถว ทุกคนต่างพากันอุทาน ทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ใต้หล้านี้มีกองกำลังเช่นนี้ได้อย่างไรกัน


คนไม่น้อยต้องหรี่ตามอง ไม่นานก็ต้องหลับตา เพราะตอนเกราะไม่กระทบแดดยังดี หากทวนยาวกลับส่องประกายใสตาไม่หยุด พลทหารไม่ต้องพยายามอวดบารมีทัพตน พวกเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น พวกเขาได้พิสูจน์ตนเองมาแล้วจากผลการรบ พวกเขาตอนนี้เพียงแต่เดินแถว


พลทวนยาวเดินจบขบวน จากนั้นก็พลปืนไฟ พลปืนไฟแบกปืนไฟไว้บนบ่า พวกเขาสวมเกราะหนังที่ติดด้วยแผ่นดีบุก ถุงดินปืนกับกระสุนปืนแขวนได้ที่ตัว แม้ว่าพวกเขาไม่ได้เดินนำหน้าองอาจเหมือนพลทวนยาว แต่พลปืนไฟเป็นทหารที่เก่งกล้าชำนาญการที่กองกำลังหู่เวยคัดเลือกมา ความองอาจเช่นนั้นจึงทำให้พวกเขามองแล้วรู้สึกได้ถึงความต่าง


พลปืนไฟเดินผ่าน จากนั้นก็เป็นปืนใหญ่สามกระบอกลากมาด้วยม้า รถปืนใหญ่มีทหารนั่งมาด้วยสามนาย ม้าลากปืนใหญ่ก็มีทหารม้าจูงมา แต่ละคนท่าทางจริงจังอย่างมาก ปืนใหญ่เดิมก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงแล้ว จึงยิ่งทำให้คนพากันอุทานอ้าปากค้าง


พลทวนยาว พลปืนไฟ  พลปืนใหญ่ผ่านไปตามลำดับ นี่คือการเดินแถวของหน่วยที่ 1 จากนั้นก็เป็นหน่วยที่ 2 แสดงการเดินแถวแบบเมื่อครู่อีกรอบ


จากนั้นจึงเป็นทหารม้า พอเห็นทหารราบด้านหน้าผ่านไป ทหารม้าตอนนี้ก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นอันใด ได้แต่มองชุดเกราะหมวกเหล็กของบรรดาทหารม้า  ม้าก็มีเกราะหนังคลุมปิดไว้ เคลื่อนไหวเป็นระเบียบ เหมือนกับสัตว์ประหลาด ราษฎรที่มามุงดูกัน  ชนชั้นสูงบนชั้นสองที่มามุงดูกัน ก็อดหายแรงอย่างตื่นเต้นไม่ได้


รอกองกำลังหู่เวยเดินทัพหมดแถว จากนั้นจึงเป็นทหารเมืองจี้โจว 6,000 เข้าเมือง ทหารเหล่านนี้ย่อมเป็นทหารแนวหน้าที่คัดเลือดมาจากก่อนหน้าที่ว่าดีเยี่ยมแล้ว ทหารม้าเป็นหลัก  ทหารราบก็ร่างกายกำยำแข็งแรง


เมืองจี้โจวไม่เหมือนที่อื่น ทหารราบส่วนใหญ่ฝึกกันดี ทหารเช่นนี้เดินตามท้องถนน หากเป็นเมื่อก่อน ราษฎรที่เห็นโลกมามากก็ย่อมยกนิ้วแม่โป้งชม แต่เพราะด้านหน้าเป็นกองกำลังหู่เวยที่เพิ่งผ่านไป บารมีองอาจที่ไม่เคยพบเห็นได้ทำให้คนตกใจกันไปหมดแล้ว ด้านหลังที่ตามมาก็ไม่เท่าไร


ตอนทัพเมืองจี้โจวเคลื่อนผ่าน ด้านข้างก็เริ่มมีเสียงจอแจ พอทหารม้าต้าถงเข้าเมืองมา ทุกคนก็รู้สึกว่าธรรมดาไปเลย ก็แค่นี้เท่านั้น


**********


บัณฑิตที่ว่าจะมาผดุงคุณธรรมก่อนหน้าพวกนั้น ตอนนี้เริ่มเบียดตัวไปด้านหน้า พอเห็นพลทวนยาวกองกำลังหู่เวย เรียงแถวเข้าเมืองมา สีหน้าก็เริ่มซีดขาว การเคลื่อนไหวเริ่มแข็งทื่อ


ทหารกองกำลังหู่เวยเข้าเมืองไม่มีมองซ้ายแลขวา มีแต่มองไปข้างหน้า พวกคิดก่อเรื่องก็อดไม่ได้ต้องถอยหลัง ผู้ใดกล้ากล่าวอันใด ผู้ใดกล้าเข้าใกล้กัน


ไม่เพียงแต่พวกเขา ราษฎรสองข้างทางก็หายใจแรงอย่างตื่นเต้นเช่นกัน บ้างก็อุ้มลูกออกมาชม เด็กๆ สนุกสนานครื้นเครงกันมาก  กำลังดีใจอยู่นั้น รอบๆ อยู่ ๆ ก็เงียบลง  เด็กน้อยเป็นพวกที่ประสาทสัมผัสไวที่สุด กลิ่นไอสังหารคละคลุ้งไปทั่ว ก็ตกใจจนแผดร้องไห้จ้า


ทว่าเพียงแค่ส่งเสียงร้อง ก็ถูกผู้ใหญ่อุดปากไว้ทันที เกรงว่าจะรบกวนทัพใหญ่ พวกบัณฑิตที่เดิมคิดขวางทางก็อดไม่ได้พากันตัวสั่น ยืนนิ่งกับที่ไม่กล้าขยับ


พอกองกำลังหู่เวยเคลื่อนผ่านไป เปลี่ยนเป็นทัพเมืองจี้โจว บรรยากาศก็ผ่อนคลายลง มีเสียงตะโกนเชียร์ดังโหวกเหวกว่า ‘สังหารพวกนอกด่าน สุดยอดมาก!!’


มีคนนำก่อน อยู่ ๆ รอบๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหว ความเงียบเมื่อครู่ช่างกดดันเกินไป ทุกคนจึงพากันตะโกนส่งเสียงดังตาม มีเพียงกองทัพเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถสังหารพวกนอกด่านให้ราบคาบได้ มีเพียงกองทัพเช่นนี้เท่านั้นที่จะทำลายเผ่าอันต๋าที่เป็นภัยของแผ่นดินหมิงร่วมร้อยปีนี้ลงได้ มีกองทัพเช่นนี้ แผ่นดินหมิงสงบสุขแล้ว


เดิมพื้นที่ที่กองกำลังหู่เวยเดินผ่าน ถนนสองข้างเงียบกริบ แต่พอทางนี้มีคนตะโกนดัง ทุกคนจึงได้สติตะโกนเชียร์ตามกัน ท้องถนนเริ่มแรกทีเงียบราวกับว่างเปล่า ยามนี้ทุกคนต่างตะโกนชมดัง แม้แต่ทหารองครักษ์เสื้อแพรก็ชูอาวุธในมือร้องตะโกนชมไปด้วย


การตะโกนชมเช่นนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความในใจประชา บัณฑิตในฝูงชนพวกนั้น ยามนี้สีหน้าซีดขาว ปากก็พึมพำไม่หยุดว่า


“พวกชาวบ้านหน้าโง่ๆ !!”


ทว่าไม่กล้าส่งเสียงดัง วาจาเคียดแค้นเต็มไปด้วยความชิงชังพวกเขาถูกกลบลงด้วยเสียงร้องชมดังของฝูงชน


‘บารมีฝ่าบาทคุ้มครอง จึงได้ชัยชนะใหญ่!!’ ‘ชัยชนะทั้งมวลล้วนเป็นของฝ่าบาท !!’


ตอนเสียงตะโกนดังขึ้นดังคลื่นแรง ในกองกำลังหู่เวยก็มีคนเป่านกหวีดดังสองสามที พวกทหารรีบเริ่มพากันตะโกนพร้อมกันดังไปทั่ว


เทียบกับการตะโกนดังของราษฎรแล้ว การตะโกนพร้อมเพรียงของกองกำลังหู่เวยย่อมมีระเบียบพร้อมกันมากกว่า ครู่เดียวก็กลบเสียงตะโกนดังของราษฎรไปหมด ราษฎรเงียบลง ก็ได้ยินกองกำลังหู่เวยด้านหน้ามีคนตะโกนลากเสียงยาวขึ้นว่า


“พวกเราทำไมต้องไปรบกับพวกนอกด่าน!!?”


“เพื่อฝ่าบาท เพื่อแผ่นดินหมิง!!!!”


คนหนึ่งถามขึ้น ทุกคนตอบพร้อมกัน  ราษฎรสองข้างถนนยามนี้เงียบไปทั่วบริเวณ ยิ่งทำให้เสียงตะโกนของทหารดังยิ่งขึ้น ยามนี้เองก็มีคนตะโกนขึ้นว่า


“ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!”


กองกำลังหู่เวย ทัพเมืองจี้โจว ทัพเมืองต้าถง ร่วมประสานเสียงสรรเสริญพระบารมี เสียงราษฎรถูกเสียงทหารกลบไปหมด ตามมาด้วยตะโกนว่า ‘ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!’ เสียงตะโกนเริ่มแรกก็ตะโกนตามๆ กันไป เริ่มแรกสนุกๆ กัน  ต่อมาจึงได้มาจากใจอันแท้จริง สมควรตะโกนดังเช่นนี้จริงๆ


คิดทำลายราบพวกนอกด่าน เพื่อขจัดภัยแผ่นดิน ในเมืองหลวง องครักษ์เสื้อแพรจัดกองลาดตระเวนให้ราษฎรมีความปลอดภัย ให้สามารถทำการค้าทำกำไรได้ยิ่งมาก ทุกแห่งมีสินค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สินค้าราคาก็ไม่ได้สูงผิดปกติ หรือว่าไม่ใชเพราะฝ่าบาททรงพระปรีชาหรือ? ฮ่องเต้ว่านลี่เช่นนี้ควรทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี


‘ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!’  ดังกระหึ่มทั่วเมืองหลวง ราวกับคลื่นกระทบลูกแล้วลูกเล่า ทหารตะโกนแซ่ซ้อง ราษฎรก็ตะโกนแซ่ซ้องตาม


**************


สนามฝึกกองกำลังสังกัดวังหลวงและสำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์ได้จัดเตรียมสถานที่ไว้ก่อนหน้า ตั้งเวทีสูง ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งในฉลองพระองค์ชุดแม่ทัพ หวังทงกับกองกำลังสังกัดวังหลวงยืนอยู่ด้านขวา ขุนนางบุ๋นนั่งอยู่ด้านซ้าย


พูดจากใจ บรรยากาศบนเวทีไม่ดีสักเท่าไร  แม้ว่าจากนั้นหวังทงจะไม่ได้ทำอันใด แต่วันนั้นในราชสำนักจัดการคว่ำเหยียนชิงลง และยังจัดการขุนนางบัณฑิตที่ใส่ร้ายป้ายสี ขุนนางบุ๋นย่อมยากที่จะรู้สึกดีกับหวังทง วันนี้เดิมบรรยากาศฉลองชัยคึกคัก หากสายตาเย็นชาของขุนนางบุ๋น ทำให้บรรยากาศฝืดยิ่ง


ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งอยู่ก็ทรงรู้สึกอึดอัด ทว่าไม่อาจตรัสอันใดได้ การประกาศความดีความชอบ ณ สนามฝึกของกองกำลังสังกัดวังหลวงนี้ก็มีขุนนางใหญ่ทัดทานแล้วว่าสิ้นเปลืองเงินทอง จึงได้แต่นั่งรออย่างเงียบๆ ไม่นานก็มีม้าเร็วมารายงานภาพการเข้าเมืองของทัพใหญ่


“ฝ่าบาท ท้องถนนเงียบกริบ ราษฎรถูกบารมีกองทัพข่มจนตกใจ!”


ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวลพยักหน้า หันไปตรัสกับหวังทงว่า


“เจ้าฝึกกำลังมาได้ดี เป็นทหารพยัคฆ์แท้จริง !”


“ฝ่าบาท ตามท้องถนนราษฎรต่างตะโกนชื่นชม…….”


มีคนรายงานขึ้น  ทางฝั่งขุนนางบุ๋นไม่รู้ว่าผู้ใดกระซิบขึ้นว่า ‘เกรงว่าจะมิใช่วาสนาแผ่นดิน’ ฮ่องเต้ว่านลี่พระพักตร์บึ้งตึง แต่ก็ไม่สนใจ ยามนี้ได้ยินคลื่นเสียงดังกระหึ่มมาจากทางใต้ของเมืองหลวง ทุกคนพากันตกใจ ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น แต่ก็ได้ยินกระจ่างต่อมา  ไม่จำเป็นต้องมีคนรายงานอีก


“ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี !!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)